22 พฤศจิกายน 2567, 14:56:52
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 70 71 [72] 73 74 ... 131   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: [2513] "ซำบายดีพี่แอ๊ะ ๑๓"  (อ่าน 794292 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 25 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #1775 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 13:50:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 25 เมษายน 2553, 21:24:02
น้อง ya น้องหยี พี่น้องๆทั้งหลาย  พี่แอ๊ะ ขอลางานไปเเอ่ว สุราษฎร์และกรุงเทพ 4-5 วัน


จะฝากไปกราบ แม่ ไอ้ตู่ไหม แม่เขาอยู่สุราษฎร์ค่ะ


 กลับมา กรุงเทพ จะไปชิดลม (เซ็นทรัล) ห้างในดวงใจของน้องหนู ได้ป่าวววหนอออออออ

อยู่ สุราษฏร์ หรือ กรุงเทพ จะเข้าเนตไม่เป็นค่ะ

แต่จะซื้อ bb มาสักเครื่องสองเครื่องเอามา ด่า ควายตู่   อิๆๆๆๆๆๆ


มาถึง อ่านตรงสุดท้าย ถูกใจ เชิ๊บๆๆ
      บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #1776 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 13:50:51 »

เอ๊ะ .. ทำไมวันนี้ไปห้องไหน ๆ ๆ ก็เจอน้อง PK ทุกห้องเลย .. ใจตรงกัน     บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #1777 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 13:51:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ iamfrommoon เมื่อ 26 เมษายน 2553, 13:50:38
อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 25 เมษายน 2553, 21:24:02
น้อง ya น้องหยี พี่น้องๆทั้งหลาย  พี่แอ๊ะ ขอลางานไปเเอ่ว สุราษฎร์และกรุงเทพ 4-5 วัน


จะฝากไปกราบ แม่ ไอ้ตู่ไหม แม่เขาอยู่สุราษฎร์ค่ะ


 กลับมา กรุงเทพ จะไปชิดลม (เซ็นทรัล) ห้างในดวงใจของน้องหนู ได้ป่าวววหนอออออออ

อยู่ สุราษฏร์ หรือ กรุงเทพ จะเข้าเนตไม่เป็นค่ะ

แต่จะซื้อ bb มาสักเครื่องสองเครื่องเอามา ด่า ควายตู่   อิๆๆๆๆๆๆ


มาถึง อ่านตรงสุดท้าย ถูกใจ เชิ๊บๆๆ

5555555+
    เหอๆๆ    เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #1778 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 14:04:05 »

คนสวยเหมือนกัน...รักชาติ รักในหลวงเหมือนกัน รักพี่แอ๊ะเหมือนกัน...ใจเลยตรงกันฮิ้วๆๆ.....

น้องอาจมาแว๊บๆ....เพราะเบื่อการเมืองมาก...แต่ว่าขอมาแว๊บๆ แบบถูกใจอันไหนก็ขอโพสต์ต่ออันนั้นของพี่ๆ น้องๆ นะคะ....

แต่ทุกวันก็ไปร้องเพลงชาติตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปสีลม (แอบไป) ไม่กล้าบอกใคร...เหอๆ...กลัวเฮีย พ่อกับแม่ห่วงสุดๆ แต่งงานยังไม่มีหลานให้อุ้ม...555
      บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1779 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 15:21:30 »

และแล้ว พธม. ก็มีคำตอบแรก หลังประกาศให้เวลารัฐบาล 7 วัน ไปตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา พร้อมแถลงการณ์ฉบับที่ 9

พันธมิตรฯ จี้รัฐหยุดอำนาจเถื่อนแดง นัด 29 เม.ย.ยื่นหนังสือราบ 11
26 เมษายน 2553 14:25 น.

 
       พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์หลังครบ 7 วัน จี้รัฐฯ หยุดยั้งอำนาจเถื่อนคนเสื้อแดง เหิมตั้งด่านขัดขวางการทำงานเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ เรียกร้อง ปชช.ตั้งหลุ่มปกป้องตนเอง พร้อมนัดตัวแทนทั่วประเทศ 29 เม.ย.ยื่นหนังสือหน่วยทหารทุก จว. พร้อมราบ 11 ทวงถามความชัดเจนแนวทางปฏิบัติ
       
       
       คลิกที่นี่ เพื่อฟังแถลงการณ์พันธมิตรฯ
       
       เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 26 เม.ย.ที่บ้านพระอาทิตย์ ภายหลังจากการประชุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 8/2553 ดังนี้
       
       
       แถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       ฉบับที่ 9/2553
       รวมพลังประชาชน หยุดยั้งอำนาจรัฐเถื่อน
       
       สืบเนื่องจากมติของที่ประชุมเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553 ที่ ม.รังสิต โดยมติที่ประชุมได้ให้เวลารัฐบาลดำเนินการจัดการกับการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและดำเนินการกับกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุมภายใน 7 วันตามแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 8/2553 นั้น
       
       บัดนี้ระยะเวลาดังกล่าวได้ครบกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับพบว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงยังมิได้ดำเนินการตามที่ภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้อง ส่งผลให้สถานการณ์เข้าสู่วิกฤติมากขึ้น ผลกระทบและความเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมรุนแรงและขยายตัวอย่างน่าเป็นห่วง ความรุนแรงในรูปแบบของการท้าทายกฎหมายและกติกาของบ้านเมือง ได้กลายเป็นค่านิยมที่ลุกลามไปยังต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธ ตั้งด่านยึดรถทหารและตำรวจ ตรวจค้นเอาผิดกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นต้น
       
       จึงกล่าวได้ว่าวิกฤตการณ์ประเทศไทยได้ขยายตัวรวดเร็วและรุนแรงจนเรียกได้ว่าเข้าสู่มิคสัญญี แล้ว แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงกลับยังไม่มีมาตรการที่สามารถยับยั้งและหยุดความเลวร้ายของวิกฤติการณ์ลงได้ ปล่อยให้การชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และมีลักษณะก่อการร้าย ตลอดทั้งการก่อวินาศกรรมคุกคามสังคมและประชาชน เสมือนจับประชาชนเป็นตัวประกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
       
       รัฐบาลในฐานะที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องประชาชนกลับไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ซ้ำร้ายรัฐบาลยังแสดงความอ่อนแอไม่บังคับใช้กฎหมาย จนเจ้าหน้าที่สับสน ฉวยโอกาสเฉื่อยงานกระทั่งเป็นไส้ศึกให้กับกลุ่มก่อการร้ายจนเกิดภาวะ สุญญากาศทางอำนาจ
       
       สภาวะไร้ระเบียบทางทางการเมืองหรือ อนาธิปไตย ดังที่กล่าวมาข้างต้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีความเห็นและความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 เพื่อทำหน้าที่เป็นพลเมืองปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดังนี้
       
       1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเห็นว่าสถานการณ์ในขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงได้ทำการยึดอำนาจรัฐในหลายพื้นที่ไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการยึดรถทหารและตั้งด่านตรวจค้นที่จังหวัดขอนแก่น การบุกเผาที่ราชธานีอโศก การปิดถนนตรวจค้นประชาชนทั่วไปที่ถนนพหลโยธิน การก่อวินาศกรรมและความรุนแรงในหลายๆ พื้นที่ กลุ่มคนเสื้อแดงได้สถาปนาอำนาจรัฐเถื่อนขึ้นมาซ้อนอำนาจรัฐ แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้ประชาชนเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐเถื่อนตามลำพัง
       
       2.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศจุดยืน นโยบายและกรอบปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมต่อการเอาผิดการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและการก่อการร้าย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศจะต้องแสดงให้เห็นถึงมาตรการและแนวทางที่ชัดเจนต่อการ กอบกู้วิกฤติการณ์ของบ้านเมืองในครั้งนี้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีทราบดีว่าวิกฤติในขณะนี้เป็นวิกฤติความมั่นคงของประเทศ ซึ่งต้องใช้มาตรการทางการทหารและเป็นการยากที่จะแก้ด้วยวิถีทางการเมืองปกติ ซึ่ง ผบ.ทบ.ก็กล่าวยอมรับในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยว่าพร้อมปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลทุกประการ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ได้ประกาศมาตรการที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการกับกลุ่มกลุ่มการร้ายอย่างไร จนสร้างความสับสนให้กับประชาชน
       
       จนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ แม้นายกรัฐมนตรีจะได้มอบอำนาจให้กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. รับผิดชอบศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมสถานการณ์ก็ตาม แต่ทุกอย่างยังคลุมเคลือไม่รู้ว่าใครมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดในการสั่งการและจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในขณะนี้
       
       3.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในจังหวัดที่มีพื้นที่สุ่มเสี่ยงและมีการสถาปนาอำนาจรัฐเถื่อนซ้อนอำนาจรัฐ และเพื่อให้มาตรการในการกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองเท่าทันและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลและกองทัพจะต้องใช้มาตรการทางทหารโดยการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อยุติการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายโดยเร็ว
       
       4.สำหรับแนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภายหลังจากครบเงื่อนไข 7 วันนั้น ที่ประชุมมีมติและกำหนดมาตรการเคลื่อนไหว 5 มาตรการโดยลำดับดังนี้
       
       4.1 ขอให้พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศสนับสนุนและเข้าร่วมเป็นพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ และดำเนินการจัดตั้งกลุ่มทุกระดับทั้งในระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับภูมิภาค เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวัง ปกป้องชุมชนของตัวเอง ต่อต้านการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และความมั่นคงของประเทศ
       
       4.2 ขอให้พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกจังหวัดจัดกลุ่มและตัวแทนไปยื่นหนังสือให้กับหน่วยงานทหารในแต่ละจังหวัดเพื่อกระตุ้นสำนึกให้กองทัพและทหารออกมาทำหน้าที่ทหารหาญของชาติเพื่อจัดการขบวนการก่อการร้ายและการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย คืนความสันติสุขให้กลับคืนสู่สังคมไทยโดยเร็ว โดยนัดหมายยื่นหนังสือพร้อมกันทั่วประเทศหน้าหน่วยทหารในแต่ละจังหวัดเพื่อทวงถามนโยบายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการจัดการกับขบวนการก่อการร้าย ในวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ.2553 เวลา 10.00 น โดยแกนนำส่วนกลางจะไปยื่นหนังสือที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
       
       4.3 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะจัดพิมพ์เอกสาร และซีดีเปิดโปงขบวนการล้มเจ้า และแผนการยึดอำนาจรัฐเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเบื้องหลังของขบวนการก่อการร้าย เพื่อเผยแพร่ให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้รับรู้ข้อเท็จจริงและสาเหตุของวิกฤติการณ์ในครั้งนี้
       
       4.4 ขอให้พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศไม่สังฆกรรมกับกลุ่มผู้สนับสนุนการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและการก่อการร้าย ไม่ซื้อขายสินค้าและต่อต้านธุรกิจในเครือของคนเสื้อแดง โดยให้ติดตามรายละเอียดในคำประกาศของพันธมิตรฯ อีกครั้งหนึ่ง
       
       4.5 ขอให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในแต่ละจังหวัดที่มีความพร้อมจัดชุมนุมโดยสงบ สันติ และรณรงค์ในแต่ละจังหวัดให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชนทั่วไป
       
       ทั้งนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีการประเมินสถานการณ์และมาตรการการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ และหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจะยกระดับการเคลื่อนไหวให้มีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะมีการประชุมรับฟังความคิดเห็นและมีการประเมินผลจากพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกว่าความสงบสุขจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ
       
       ด้วยจิตคารวะ
       พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       26 เมษายน พ.ศ. 2553
       ณ บ้านพระอาทิตย์
       
     
       
       
       
       รายงานสดจากพื้นที่ข่าว
       เดินทางไปที่นี่
       Latitude: 13.76197 Longitude: 100.49383
       
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9530000057141
 

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1780 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 17:52:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 25 เมษายน 2553, 09:17:21
และวันนี้ค่อนข้างเงียบจัง

แต่วันนี้จะมีการลงคะแนนเลือกตั้ง นายกสภาทนายความ และคณะกรรมการ
โดยลงคะแนนที่ศาลจังหวัดทั่วประเทศ และคาดว่าคืนนี้จะทราบผลว่า ท่านใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในสภาทนายควา


ข่าวอย่างไม่เป็นทางการ(ก่อนเที่ยวของวันนี้) ทนายทีมของทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถยึดครองสภาทนายความไว้ได้ โดยตำแหน่งนายกสภาทนายความตกเป็นของ "นายสัก กอแสงเรือง" อดีต คตส. และเป็นอดีตนายกสภาฯ 2 สมัย รวมทั้งกรรมการสภาฯ ทั้ง 22 ตำแหน่งด้วย

"สัก กอแสงเรือง" ซิวเก้านายกสภาทนายความ
26 เมษา. 2553 11:25 น.

                                        ฯลฯ
สำหรับผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ นายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. และอดีตนายกสภา ฯ 2 สมัย ผู้สมัครนายกสภา ฯ หมายเลข 1 ได้คะแนนรวม 5,870 คะแนน ส่วนนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ประธาน ส.ส.ร.ปี 50 และอดีตเลขาธิการสภา ฯ ผู้สมัครหมายเลข 2 ได้ 4,494 คะแนน นายถวัลย์ รุยาพร ผู้สมัครหมายเลข 5 ได้ 1,647 คะแนน นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความรับผิดชอบคดี นปช. หมายเลข 6 ได้ 986 คะแนน นายโลมิรันดร์ บุตรจันทร์ ผู้สมัครอิสระ หมายเลข 3 ได้ 8 คะแนน และนายแสงฟ้า นพรัตน์เรืองเด่น ผู้สมัครอิสระหมายเลข 4 ได้ 7 คะแนน

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=444973&lang=T&cat=

 
 
 
 
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #1781 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 21:42:51 »

ข่าวคุณสัก กอแสงเรือง ได้เป็นนายกสภาทนายความ
เป็นข่าวดีโดยมีนัยว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ยังไม่สามารถยึดครองประเทศไทยไปได้โดยง่ายนัก
งานนี้ถ้าคุณสักแพ้ คุณสุริยาฟังเพลงอะไรก็ไม่ไพเราะเลยละ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1782 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 22:03:33 »

ขออัญเชิญพระราชดำรัส ที่พระราชทานแด่ผู้พิพากษาใหม่ในวันนี้มาลงให้ทราบกันครับ (ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์)



ในหลวงทรงแนะศาลทำหน้าที่สุจริตเคร่งครัด-รักษาความเรียบร้อยของประเทศ
26 เมษายน 2553 20:33 น.

       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรมที่เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ทรงให้ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อรักษาเอาไว้ ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ พร้อมให้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนโดยสุจริตและเคร่งครัด 
     
       เวลา 17.27 น.วันนี้ (26 เม.ย.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา นำคณะผู้พิพากษา ประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายไพโรจน์ นวานุช ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ประจำสำนักประธานศาลฎีกา นายวรวุฒิ ทวาทศิน เลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
       
       ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยให้ยึดถือความซื่อสัตย์ สุจริตโดยเคร่งครัด
       
       “ตามที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้มาปฏิญาณตน ในโอกาสนี้ เป็นโอกาสที่สำคัญ เพราะเป็นการแสดงว่า จะปฏิบัติหน้าที่ มีความตั้งใจจริงๆ และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของประชาชน ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันพยุงความยุติธรรม ความเรียบร้อยของประเทศ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าท่านทำตามที่ปฏิญาณตนด้วยเคร่งครัด จะช่วยให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน การที่ประเทศนี้ ผู้ที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่านอกจากความเรียบร้อยที่จะเกิดขึ้น เป็นการแสดงว่า มีเจ้าหน้าที่ในประเทศที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่นอนอย่างชัดเจน และตั้งใจที่จะรักษาเอาไว้ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความตั้งใจในตัว ที่จะปฏิบัติงานของตนอย่างซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกัน เชื่อว่าการที่ท่านแสดงเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้พิพากษา จะทำให้เป็นความตั้งใจของประชาชนทั่วไป ที่จะตั้งใจทำงานทำการอย่างเคร่งครัด อย่างสุจริต ฉะนั้นการที่ท่านมารับหน้าที่เป็นการที่ดีที่จะช่วยประเทศชาติปฏิบัติตนคนในชาติ ปฏิบัติตนให้มีความเคร่งครัด ความสุจริต
       
       ในประเทศอาจจะมีคนที่ลืมหน้าที่ของตนได้ ท่านแสดงเป็นตัวอย่างว่ามีผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด อย่างสุจริต ฉะนั้น ท่านมีหน้าที่ที่สำคัญมาก ยิ่งได้ปฏิญาณตนว่า จะรักษาความยุติธรรมโดยเคร่งครัดนี้ จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปปฏิบัติงานของตนด้วยความเรียบร้อย ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตได้อย่างมากที่สุด เป็นผู้สุจริต เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ง่าย เพราะว่าในชีวิตมีสิ่งที่ล่อใจมาก ฉะนั้นท่านได้ปฏิญาณตนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้ท่านเตือนใจอยู่ตลอดว่า ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถ้าหากมีบุคคลที่ปฏิบัติดี ชอบ ด้วยความแน่วแน่น ด้วยความตั้งใจ เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนอื่นปฏิบัติตนให้ดี
       
       ฉะนั้นสำคัญมากที่ท่านได้มาปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เข้มแข็ง ถ้ารักษาความซื่อสัตย์สุจริตนี้ไว้ตลอดเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ ตลอดชีวิต แสดงว่ามีคนที่อุ้มชูความเรียบร้อยของประเทศจำนวนหนึ่ง ก็ขอให้ท่านได้สามารถรักษาความตั้งใจของหน้าที่ตามที่ได้มีปฏิญาณตลอดเวลา เป็นตัวอย่างสำหรับคนทั่วประเทศ ให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต อย่างที่ท่านได้ปฏิญาณ ขอให้ท่านรักษาความซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่ท่านได้กล่าวมาเมื่อครู่นี้ เป็นทางที่จะช่วยให้บ้านเมืองมีความเจริญมั่นคงแน่นอน และในคราวเดียวกัน ท่านเองจะได้ถือว่าเป็นตัวอย่างสำหรับประชาชนทั่วไป ทั้งผู้ที่เป็นข้าราชการ ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ต่างๆ จะช่วยกันอุ้มชูประเทศชาติให้ได้อยู่เย็น มีความผาสุก มีความเข้มแข็งในการงาน และทำให้งานการนั้นมีความสำเร็จ เรียบร้อย ทำให้ทุกคนมีความสุขได้
       
       ขอให้ท่านรักษาคำปฏิญาณโดยเข้มแข็ง เชื่อว่า ท่านจะมีความสุขในการปฏิบัติหน้าที่ที่ดี ขอให้ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่ท่านได้กล่าว ให้เป็นสิ่งที่ท่านมีส่วนในการสร้างบ้านเมืองให้ดี และเวลาเดียวกันท่านก็สร้างตัวท่านเองให้เป็นคนที่ดี คนที่มีความสำเร็จ ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยตลอดชีวิตของท่าน และขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สูงสุด ณ ในการปฏิบัติงานของคนที่เป็นคนสำคัญในชาติ คือ ผู้พิพากษา ขอให้ท่านมีความสำเร็จในการงาน มีความ ในเวลาเดียวกัน ท่านก็จะมีความสุขที่ได้ทำงานอย่างครบถ้วน ขอให้ท่านมีสำเร็จ มีความสำเร็จในงานการดังกล่าว”

 
 
 
พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9530000057458
 

      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #1783 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 22:17:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 26 เมษายน 2553, 21:42:51
ข่าวคุณสัก กอแสงเรือง ได้เป็นนายกสภาทนายความ
เป็นข่าวดีโดยมีนัยว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ยังไม่สามารถยึดครองประเทศไทยไปได้โดยง่ายนัก
งานนี้ถ้าคุณสักแพ้ คุณสุริยาฟังเพลงอะไรก็ไม่ไพเราะเลยละ

5555555555
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #1784 เมื่อ: 26 เมษายน 2553, 22:18:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 26 เมษายน 2553, 22:03:33
ขออัญเชิญพระราชดำรัส ที่พระราชทานแด่ผู้พิพากษาใหม่ในวันนี้มาลงให้ทราบกันครับ (ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์)



ในหลวงทรงแนะศาลทำหน้าที่สุจริตเคร่งครัด-รักษาความเรียบร้อยของประเทศ
26 เมษายน 2553 20:33 น.

       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรมที่เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ทรงให้ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อรักษาเอาไว้ ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ พร้อมให้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนโดยสุจริตและเคร่งครัด 
     
       เวลา 17.27 น.วันนี้ (26 เม.ย.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา นำคณะผู้พิพากษา ประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายไพโรจน์ นวานุช ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ประจำสำนักประธานศาลฎีกา นายวรวุฒิ ทวาทศิน เลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
       
       ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยให้ยึดถือความซื่อสัตย์ สุจริตโดยเคร่งครัด
       
       “ตามที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้มาปฏิญาณตน ในโอกาสนี้ เป็นโอกาสที่สำคัญ เพราะเป็นการแสดงว่า จะปฏิบัติหน้าที่ มีความตั้งใจจริงๆ และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของประชาชน ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันพยุงความยุติธรรม ความเรียบร้อยของประเทศ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าท่านทำตามที่ปฏิญาณตนด้วยเคร่งครัด จะช่วยให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน การที่ประเทศนี้ ผู้ที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่านอกจากความเรียบร้อยที่จะเกิดขึ้น เป็นการแสดงว่า มีเจ้าหน้าที่ในประเทศที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่นอนอย่างชัดเจน และตั้งใจที่จะรักษาเอาไว้ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความตั้งใจในตัว ที่จะปฏิบัติงานของตนอย่างซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกัน เชื่อว่าการที่ท่านแสดงเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้พิพากษา จะทำให้เป็นความตั้งใจของประชาชนทั่วไป ที่จะตั้งใจทำงานทำการอย่างเคร่งครัด อย่างสุจริต ฉะนั้นการที่ท่านมารับหน้าที่เป็นการที่ดีที่จะช่วยประเทศชาติปฏิบัติตนคนในชาติ ปฏิบัติตนให้มีความเคร่งครัด ความสุจริต
       
       ในประเทศอาจจะมีคนที่ลืมหน้าที่ของตนได้ ท่านแสดงเป็นตัวอย่างว่ามีผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด อย่างสุจริต ฉะนั้น ท่านมีหน้าที่ที่สำคัญมาก ยิ่งได้ปฏิญาณตนว่า จะรักษาความยุติธรรมโดยเคร่งครัดนี้ จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปปฏิบัติงานของตนด้วยความเรียบร้อย ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตได้อย่างมากที่สุด เป็นผู้สุจริต เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ง่าย เพราะว่าในชีวิตมีสิ่งที่ล่อใจมาก ฉะนั้นท่านได้ปฏิญาณตนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้ท่านเตือนใจอยู่ตลอดว่า ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถ้าหากมีบุคคลที่ปฏิบัติดี ชอบ ด้วยความแน่วแน่น ด้วยความตั้งใจ เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนอื่นปฏิบัติตนให้ดี
       
       ฉะนั้นสำคัญมากที่ท่านได้มาปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เข้มแข็ง ถ้ารักษาความซื่อสัตย์สุจริตนี้ไว้ตลอดเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ ตลอดชีวิต แสดงว่ามีคนที่อุ้มชูความเรียบร้อยของประเทศจำนวนหนึ่ง ก็ขอให้ท่านได้สามารถรักษาความตั้งใจของหน้าที่ตามที่ได้มีปฏิญาณตลอดเวลา เป็นตัวอย่างสำหรับคนทั่วประเทศ ให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต อย่างที่ท่านได้ปฏิญาณ ขอให้ท่านรักษาความซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่ท่านได้กล่าวมาเมื่อครู่นี้ เป็นทางที่จะช่วยให้บ้านเมืองมีความเจริญมั่นคงแน่นอน และในคราวเดียวกัน ท่านเองจะได้ถือว่าเป็นตัวอย่างสำหรับประชาชนทั่วไป ทั้งผู้ที่เป็นข้าราชการ ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ต่างๆ จะช่วยกันอุ้มชูประเทศชาติให้ได้อยู่เย็น มีความผาสุก มีความเข้มแข็งในการงาน และทำให้งานการนั้นมีความสำเร็จ เรียบร้อย ทำให้ทุกคนมีความสุขได้
       
       ขอให้ท่านรักษาคำปฏิญาณโดยเข้มแข็ง เชื่อว่า ท่านจะมีความสุขในการปฏิบัติหน้าที่ที่ดี ขอให้ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่ท่านได้กล่าว ให้เป็นสิ่งที่ท่านมีส่วนในการสร้างบ้านเมืองให้ดี และเวลาเดียวกันท่านก็สร้างตัวท่านเองให้เป็นคนที่ดี คนที่มีความสำเร็จ ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยตลอดชีวิตของท่าน และขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สูงสุด ณ ในการปฏิบัติงานของคนที่เป็นคนสำคัญในชาติ คือ ผู้พิพากษา ขอให้ท่านมีความสำเร็จในการงาน มีความ ในเวลาเดียวกัน ท่านก็จะมีความสุขที่ได้ทำงานอย่างครบถ้วน ขอให้ท่านมีสำเร็จ มีความสำเร็จในงานการดังกล่าว”

 
 
 
พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9530000057458
 


ขอบคุณพี่เหยงค่ะ รายงานชนิดเกาะติดสถานการณ์เลยค่ะเยี่ยมที่ซู๊ดดดดดดดดดดดด
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1785 เมื่อ: 27 เมษายน 2553, 08:42:23 »

จากกรณีเสื้อแดงปิดถนนเพื่อตรวจค้นรถตำรวจและทหารเมื่อวานนี้ แต่สร้างความเดือดในผู้ใช้ถนนโดยรวมในเกือบทุกพื้นที่

อ่านบทบรรณาธิการของ นสพ. แนวหน้าออนไลน์ ของวันนี้(27 เมษายน 2553)

บทบรรณาธิการ  
 
แดงถ่อยอันธพาลครองเมือง (บทบรรณาธิการ)  
 
 
 
 บ้านเมืองขณะนี้เหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้ขื่อไร้แปจากปฏิบัติการของม็อบคนเสื้อแดงที่แสดงพฤติกรรมถ่อยดิบเถื่อนอันธพาลครองเมืองที่นอกจากจะย่ำยีกฎหมายท้าทายอำนาจรัฐด้วยการปิดถนนและยึดย่านราชประสงค์ อันเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้ากลางเมืองหลวง เป็นที่ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อจนทำลายเศรษฐกิจของประเทศจนย่อยยับและสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนไปทั่วแล้ว ม็อบคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ยังตั้งตัวเป็นกองกำลังเถื่อนที่ใช้กฎหมู่ตามอำเภอใจ

 ปฏิบัติการถ่อยดิบเถื่อนอันธพาลเสื้อแดงในหลายจังหวัดทั่วประเทศเริ่มที่จังหวัดขอนแก่นก่อนหน้านี้จนกลายเป็น "ขอนแก่นโมเดล"ที่ม็อบเถื่อนคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดปฏิบัติตามโดยได้รับคำสั่งจากแกนนำม็อบคนเสื้อแดงที่ย่านราชประสงค์ ซึ่งที่จังหวัดขอนแก่นก่อนหน้านี้ม็อบเสื้อแดงได้ปิดถนนตรวจค้นรถทุกคันที่วิ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานครแล้ว กักตัวทหารทุกคนที่เดินทางกลับจากฉลองเทศกาลสงกรานต์เพื่อกลับเข้ากรมกองต้นสังกัด

 นอกจากนี้ ยังใช้รถขวางทางรถไฟแล้วควบคุมกำลังทหารตลอดจนยึดรถหุ้มเกราะซึ่งถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และล่าสุดม็อบคนเสื้อแดงได้ปิดถนนตั้งด่วนตรวจค้นควบคุมตัวทหารและตำรวจที่ได้รับคำสั่งให้ไปเสริมกำลังในกรุงเทพมหานคร ขณะที่ม็อบคนเสื้อแดงที่จังหวัดอุดรธานี หลายร้อยคน นำโดยนายวิเชียร ขาวขำ สส.พรรคเพื่อไทย ตั้งด่านสกัด

 โดยมีการยึดรถและปล่อยลมยางรถของทหาร และตำรวจทุกคันที่ผ่านเส้นทาง แพทย์หญิงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี พร้อมกับสาวใช้ได้ถูกม็อบคนเสื้อแดงหลายสิบคน ปฏิบัติการถ่อยด้วยการเข้าตรวจค้นทั้งๆ ที่เป็นเวลาค่ำคืนและเป็นบริเวณสถานที่เปลี่ยวอีกทั้งภายในรถมีทรัพย์สินมีค่าอยู่ด้วย โดยเหล่าคนเสื้อแดงนับสิบคนพูดจาข่มขู่และเข้าทุบรถทำให้แพทย์หญิงคนดังกล่าวเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมากจนตัดสินใจขับรถฝ่าวงล้อมเหล่าอันธพาลเสื้อแดงหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

 ล่าสุดที่จังหวัดปทุมธานี มวลชนคนเสื้อแดง 500-600 คน ได้ใช้รถเมล์ปิดถนนพหลโยธินขาเข้า กรุงเทพมหานคร ตั้งด่านตรวจค้นและสกัดกำลังทหารและตำรวจที่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานครที่บริเวณใกล้ห้างฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ทำให้การจราจรติดขัดยาวนับสิบกิโลเมตร ที่สำคัญม็อบเสื้อแดงปทุมธานี ยังทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ด้วยการยึดรถควบคุมผู้ต้องขังของตำรวจ 53 คัน พร้อมควบคุมตำรวจ 532 นาย ที่เดินทางมาจากภาคเหนือและอีสานเพื่อมาปฏิบัติภารกิจในกรุงเทพมหานคร

 ข้อน่าสังเกตอย่างมากก็คือ จากพฤติกรรมถ่อยดิบเถื่อนอันธพาลครองเมืองของม็อบคนเสื้อแดงดังกล่าว ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่กลับทำตัวเหมือนใส่เกียร์ว่างละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทั้งๆ ที่เป็นความผิดชัดแจ้งซึ่งหน้าแต่กลับไม่จับกุมดำเนินคดีทำให้ม็อบอันธพาลเสื้อแดงเหิมเกริมได้ใจและลุกลามไปในหลายจังหวัด อีกทั้งพื้นที่ซึ่งม็อบเสื้อแดงปฏิบัติการเย้ยกฎหมายท้าทายอำนาจรัฐล้วนเป็นพื้นที่เดิมๆ ซ้ำซาก

 ดังนั้น รัฐบาลจะต้องคาดโทษอย่างเฉียบขาดกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจในพื้นที่ซึ่งหากยังปล่อยให้ม็อบคนเสื้อแดง ทำตัวเหนือกฎหมายเป็นอันธพาลครองเมือง เกิดขึ้นอีกก็ต้องลงโทษด้วยการย้ายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ควรให้โอกาสได้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานอีกต่อไป 
 
วันที่ 27/4/2010
 
http://www.naewna.com/news.asp?ID=208819
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1786 เมื่อ: 27 เมษายน 2553, 08:44:38 »

บทบรรณาธิการของ นสพ. ไทยโพสต์ออนไลน์

พักเที่ยงมาชุมนุม ให้ลูกหลานซาบซึ้งในบุญคุณ
บทบรรณาธิการ 27 เมษายน 2553 - 00:00

  มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  สัตว์หลายชนิดก็เป็นสัตว์สังคม  การรวมหมู่จึงถือเป็นธรรมชาติของสัตว์หลากชนิด   และสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์เรา  แต่ก็มีความต่างที่ยิบย่อยออกไปตามวิถีชีวิต ตามวัตถุประสงค์  และการดำรงอยู่
     สัตว์รวมหมู่ด้วยจุดประสงค์หลัก  คือ  หาอาหารและสืบพันธุ์  แต่มนุษย์มีชั้นเชิงมากกว่านั้น  นอกจากอาหารและสืบพันธุ์แล้ว  มนุษย์ยังมีกิจกรรมอื่นอีกมากหมาย  เช่น  สืบสานวัฒนธรรม  แลกเปลี่ยนความคิดเห็น  คิดค้น  พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ  ไปเรื่อยๆ  ไม่มีวันจบสิ้น  สิ่งเหล่านี้ในสังคมของสัตว์ทำไม่ได้
     ขณะที่การรวมหมู่ของสัตว์เองยังต่างกัน   สัตว์นักล่าก็ออกล่าเป็นกลุ่ม   ขณะที่สัตว์กินพืช  ก็เหมือนคนธรรมะธัมโม  ไม่หวือหวา  ค่อยๆ  เคลื่อนตัวออกหากินไปเรื่อยๆ  ไม่รีบร้อน  เหมือนไม่มีกาลเวลาสำหรับสัตว์กินพืช
     สิ่งหนึ่งที่เที่ยงตรงเสมอคือ  สัตว์กินเนื้อจะมีจำนวนน้อยกว่าสัตว์กินพืชเสมอ  และสัตว์กินพืชมักตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อเสมอ  ดังจะเห็นได้จากสารคดีสัตว์โลกที่ถ่ายทำกันในทวีปแอฟริกา  ฝูงวิลเดอบีสต์นับแสนนับล้านตัวมักถูกต้อนโดยฝูงสิงห์โตเพียงไม่กี่ตัวเสมอ
     มักจะมีความคิดเสมอว่า    ทำไมวิลเดอบีสต์ที่มีทั้งเขาและร่างกายซึ่งไม่เล็กกว่าสิงห์โต  แถมจำนวนยังเทียบกันไม่ได้ถึงไม่ลุกขึ้นสู้  แค่วิ่งฝ่ากลุ่มสิงห์โตเข้าไป  ทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลอง  แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น  สัญชาติญาณของสัตว์นักล่ากับสัตว์ที่ถูกล่านั้นต่างกัน  ถ้ามีชีวิตอยู่ถึงอีกล้านปีข้างหน้า  ฝูงวิลเดอบีสต์ก็จะวิ่งหนีสิงห์โตเสมอไป
     แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์  มนุษย์ยึดถือเอาตามเสียงข้างมากแต่เคารพเสียงข้างน้อย  มนุษย์นักล่าไม่อาจชนะมนุษย์ที่รักความสงบสันติเสมอไป  นั่นเป็นเพราะมนุษย์ฉลาดกว่าสัตว์  มีการจัดระเบียบสังคมที่ซับซ้อนกว่านั่นเอง  แต่บางครั้งก็เกิดความวิปริตผิดเพศขึ้น  มนุษย์เสียงข้างน้อยกลับมีอำนาจเหนือมนุษย์เสียงข้างมาก  และมนุษย์เสียงข้างน้อยในลักษณะนี้จะอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งพร้อมกับมีจุดจบอย่างอนาถเสมอไป
     ขณะที่คนไทยทั้งประเทศกลัดกลุ้มกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงตัวเลขหลักหมื่นที่แยกราชประสงค์และแยกศาลาแดง  หลายคนถึงกับต้องปรึกษาจิตแพทย์เพราะเครียดอย่างหนัก  บรรยากาศประเทศไทยในเวลานี้จึงดูคล้ายฝูงวิลเดอบีสต์วิ่งหนีสิงห์โต  คนกลุ่มน้อยกลับกุมชะตาของคนหมู่มากเอาไว้
     มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีความคิดแยกแยะได้ซับซ้อนกว่า  แต่เหตุไฉนถึงมาตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน  เท่าที่ตรวจสอบเวลานี้  กลุ่มคนหลากสีพยายามที่จะออกมารณรงค์เรียกหาความสงบสุขคืนมา  แต่ผู้คนที่รักความสงบจำนวนมากนั้นก็ยังออกมาร่วมกิจกรรมน้อยเกินไป
     ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องให้ม็อบออกมาชนม็อบ  แต่เป็นการเรียกร้องให้พลเมืองของประเทศนี้ได้ทำหน้าที่ตัวเอง  รัฐธรรมนูญมาตรา  70  ระบุให้บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
     ถึงเวลาแล้ว  ประชาชนต้องแสดงให้เห็นว่าต้องการให้ประเทศเดินไปทางไหน  อย่ามัวแต่ให้นักการเมืองไม่กี่คนจูงจมูก  ขอกันไม่มาก  แค่เวลาว่างช่วงพักเที่ยงของทุกวันออกมารวมตัวกันอย่างสงบให้ทั่วทั้งประเทศ  เพื่อลูกหลานจะระลึกถึงว่าคนรุ่นนี้ร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  พาชาติไปสู่ความสงบสันติอย่างแท้จริง.

http://www.thaipost.net/news/270410/21375
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1787 เมื่อ: 27 เมษายน 2553, 08:47:47 »

คอลัมม์ "คนปลายซอย" ของคุณเปลว สีเงิน

คราเอาบ่าแบกล้อ-แล้วเฆี่ยนควายให้เดิน
เปลว สีเงิน 27 เมษายน 2553 - 00:00

 ใคร  "นิ่ง"  ท่ามกลางความอลหม่านได้มากกว่าเท่าไหร่  จะเป็นผู้ได้เปรียบ  "มากกว่าเท่านั้น   คนจมน้ำตาย  มักเข้าใจกันว่าตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็น  แต่สาเหตุจริงๆ  ไม่ใช่  เพราะ  "ตกใจ-ไร้สติ"  ตะหาก  ที่ผมยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดก็ไม่ใช่อะไร  อยากจะบอกชนชาวสาว-หนุ่มเฟซบุ๊ก  และมิตรสหายร่วมสมัยว่า  "จากนี้ไป"  ไม่ว่ามีอะไร  หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ขอให้ใช้  "สติ"  นำปัญญารับภาระสืบทอด  "มรดกชาติ"  ดำรงไว้  เพื่อส่งต่อ  "รุ่นต่อรุ่น"  สืบๆ  กันไป  ไทยต้องเป็นไทย  จะปล่อยให้เป็นอื่นไม่ได้เด็ดขาด
     การจะเป็นอย่างนั้นได้  ก็จะต้องไม่ใช้ความเบาปัญญาสนองหยาบ  ถ่อยสนองเถื่อน  ดิบสนองดิบ!
     อะไรที่เกิดโดยหักหาญ-มุ่งร้าย-ทำลาย  เราต้องสนองตอบด้วยความรับผิดชอบ  อะไรที่เกิดด้วยความโง่เขลา  เราต้องเอาปัญญาแก้โจทย์ให้กระจ่าง  อะไรที่เขาใช้ความรุนแรงเข้าใส่  เราต้องใช้  "ใจเมตตา"  เป็นตาข่ายขึงรับ  และ...จับขมวด!
     ต่ำแล้วจะไปหนุนของเตี้ยให้สูง  เช่นนั้น...มันจะสูงไม่พ้นตาตุ่ม  มีแต่ต้องใช้  "ใจที่สูงกว่า"  จึงจะสามารถ  "แก้ปัญหามนุษย์"  ได้  ชาวเว็บไซต์ทั้งหลาย  ถึงเวลาต้องใช้เทคโนโลยียุคใหม่เป็น  "ล้อเลื่อน"  ให้สังคมไทยเคลื่อนไปอย่างถูกที่-ถูกทาง  และถูกจังหวะด้วย!
     ผมคิดนะครับ  คือผมคิดว่า  เราควรอยู่กับปัจจุบันด้วยการ  "ไม่ฝืนโลก"  และพร้อมหมุนตามโลกไปสู่อนาคตร่วมกัน  แต่ขณะเดียวกัน  เราต้องต่อสู้เพื่อพิทักษ์-รักษาอดีตของเรามิให้สูญหายดำรงอยู่คู่กับปัจจุบันตลอดไปด้วย
     ท่านว่าอย่างนั้นมั้ย  หรือผมคิดของผมไปคนเดียว?!
     นี่...วันนี้ก็  อังคารที่  ๒๗  เมษายน  ๒๕๕๓  ตรงกับวันขึ้น  ๑๔  ค่ำ  เดือน  ๖  ปีขาล  ที่ต้องการบอกไม่ใช่แค่วัน-เดือน-ปี  หากแต่อยากบอกว่า  ได้เวลา  "เสาร์ที่ราศีกันย์เล็งมฤตยูที่ราศีมีน"  แล้ว
     ๕  ถึง  ๖  วัน  นับจากนี้  นี่..ไม่ใช่ผมบอกนะครับ  แต่ผมดูจากปฏิทินโหรของท่านอาจารย์เทพ  สาริกบุตร  ท่านคำนวณแล้วบอกไว้  เมื่อเสาร์เล็งมฤตยู  มักมีภัยทางธรรมชาติ  มีอัคคีภัย  มีอุบัติเหตุใหญ่ๆ  ทั้งอาจเกิดเหตุยุ่งยากจากหมู่ผู้ใช้แรงงาน  เกษตรกร  หรือคนยากคนจนผู้ยากไร้
     วันนี้ที่  ๒๗  ถ้า  ๕-๖  วัน  นับแล้วก็ตกประมาณวันที่  ๑-๒  พฤษภาคม  ช่วงนั้น  "อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"  และไม่ว่าชาวเรา  หรือชาวเขา  ไม่ต้องตกใจไป  ใช้สติทบทวนเรื่องราวที่เราคุยกันมาตลอดซักนิดแล้วก็จะเข้าใจ  และเมื่อเข้าใจแล้วบางทีจะทำให้สบายใจเสียด้วยซ้ำไปว่า
     อ้อ...ที่ว่า  "เส้นทางสายเปลี่ยน"  ของประเทศไทยนั้น  เป็นอย่างนี้เองน่ะหรือ?!
     ทั้งพระ  ทั้งหมอ  ทั้งโรงพยาบาล  ทั้งผู้คุม  คงจะงานหนักและเหนื่อยหน่อย  แต่อีกด้านหนึ่ง  ผมเคยอ่านที่  "อาจารย์สุวิทย์  ตันติสุนทรชัย"  ท่านให้สัมภาษณ์ตอนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่  ๒๐๐๙  ระบาดปีที่แล้ว  ท่านบอกว่าดาวมฤตยูที่โคจรเข้าราศีมีน  อาณาเขตพิษนาค  นวางค์จันทร์เป็นตัวการสำคัญ
     พูดภาษาเทคนิคโหรจะไม่เข้าใจกัน  ถอดความตามที่ท่านบอกก็คือ  ดาวจันทร์หมายถึงประชาชนพลโลก  ดาวมฤตยูหมายถึงการสร้างความอาเพศ  ลึกลับ  จะไป-จะมา  ไม่รู้เนื้อรู้ตัว  และดาวเจ้าเรือน  (เจ้าของบ้าน)  ราศีมีนคือดาวพฤหัสบดี  หมายถึงโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวกับโลหิตเป็นพิษ  น้ำเหลือง  ไต  โรคตับ  ไขมัน  ส่วนนวางค์จันทร์จะเกี่ยวข้องกับของเหลวในร่างกาย  น้ำมูก  น้ำลาย  เสมหะ  เลือดดำ  กระเพาะปัสสาวะ  ลำไส้  เป็นต้น
     มิน่า...หมู่นี้  "ข่าวลือ"  ถึงใครบางคนที่เสาร์เล็งมฤตยู  เล็งราหูในดวงเดิมขณะนี้ถึงได้หนาหูเหลือเกิน  แต่ก็ช่างเถอะ  "ข่าวลือ"  ก็คือข่าวไม่จริง  (ก่อนจริงทีหลัง?!)  อย่าไปสนใจ  แต่ที่น่าห่วงคือ  ระวังระไวการกลับมาของไข้หวัดหมู-ตายหมู่กันไว้บ้างก็ดี
     การเป็น  "อัมพาตทั้งเมือง"  เท่าที่ผมฟังจากโหรโน้น-โหรนี้  เขาก็เตือนไว้เหมือนกัน
 ผมก็เลยเอามาบอกท่านในลักษณะ  "รู้อะไรก่อนเกิด"  ดีกว่าปล่อยให้  "เกิดแล้วค่อยรู้ทีหลัง"  แต่ถ้าไม่มีอะไรอย่างที่ว่านี้เกิดขึ้นเลย  นั่น...จะเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุด!
     มฤตยูนี่  ชื่อน่ากลัวนะครับ  มันลึกลับ  โลดโผนโจนทะยาน  ยิ่งกว่าไต่ด้ายหลอดข้ามเหวเสียอีก  แต่เป็นดาวบอกอนาคตที่น่าพิศวง  ร้ายถีบลงนรก  ดีส่งขึ้นสวรรค์ทันใด?
     พูดถึงเฟซบุ๊ก  ผมถือโอกาสบอกซักหน่อย  คือมีคนมากุ๋ยๆ  ผมว่า  "แหม..เดี๋ยวนี้เดิ้ลใหญ่แล้วนะ  เปิดเฟซบุ๊กด้วย"  ผมก็งงเหมือนยืนสี่แยกราชประสงค์  ไม่รู้จะเลี้ยวไปเหวงไหนดี  เพราะเคยบอกไปแล้วว่า  "ไม่ประสา"  กับเรื่องพรรค์นี้  แต่เขาก็ยืนยันว่า
     "อ่านกะตา  จะแกล้งไก๋ทำไม?"
     เอ้า...มีก็มี  ก็ต้องแต็งค์หลาย  ไม่ทราบว่าใครทำหน้าที่  "เปลว  สีเงิน"  ให้ในเฟซบุ๊ก  เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ  การเปิดหน้าเฟซบุ๊กคุยกันมันคงไม่ยากเหมือนสลายม็อบเสื้อแดงหรอก  อย่ากระนั้นเลย  ผมจะขอแรงฝ่ายระบบคอมฯ  ของไทยโพสต์เขามาช่วยเจ้ากี้-เจ้าการให้  เสร็จเรียบร้อยวันไหน...แล้วจะบอก
     อย่าลืมแวะเข้าไปทักทายในฐานะมิตรสหายโลกใหม่  คือโลกเว็บไซต์  facebook  ก็แล้วกันเน้อ!
     สำหรับท่านที่อีเมล์มาขอเป็นเพื่อนจนผมลบเมื่อยมือมาเป็นเดือนๆ  นั้น  โปรดเข้าใจด้วย  ที่ผมทำเฉยไม่คุยกะท่านนั้น  ไม่ได้แอ็คอาร์ตอะไรหรอก
     หากแต่  "เล่นไม่เป็น"  ไม่รู้จะติดต่อกลับไปยังท่านยังไง  ก็ได้แต่นั่งลบทิ้ง..ลบทิ้ง  อย่างว่า  เอาละ...ตานี้แหละ  ผมอัพเกรดสมองเก่าๆ  เรียบร้อยเมื่อไหร่  คงได้คุยกันเครื่องไหม้ไปข้างบ้างละ!
     ถึง  ณ  วันนี้  "อำนาจรัฐ"  ว่าด้วยการบังคับใช้กฎหมาย  "สิ้นสภาพ"  ไปเกือบครึ่งแล้ว  กฎหมาย  และอำนาจรัฐ  ยังคงใช้ได้เฉพาะสุจริตชน  คนเคารพบ้านเมืองเท่านั้น  ผมไม่แน่ใจว่านายกฯ  อภิสิทธิ์ก็ดี  กองทัพก็ดี  ตำรวจก็ดี  ข้าราชการก็ดี  ท่านรับรู้สภาพเป็นจริงหลัง  "กบฏทักษิณ"  ปฏิบัติการยึดประเทศได้มาก-น้อยขนาดไหน?
     ผมไม่ห่วงหรอกว่าประเทศไทยจะถูกพวกกบฏถ่อยยึดบ้าน-ยึดเมือง  หรือจะเปลี่ยนระบบ-ระบอบประเทศเป็นอะไรในวันนี้  พรุ่งนี้ได้  (ปะรืนไม่รู้นะ?)  เพราะจริงๆ  แล้ว  ชาวบ้านเสื้อแดงทั้งหลาย  บางคนก็  "หลงไป"  ชั่วคราว  บางส่วนก็  "หมู่มากลากกันไป"  บางส่วนก็  "รู้เห็นเป็นใจ"  เป็นไปกับตัวการใหญ่จริงๆ
     และบางส่วน  "มันแค้นจนอยากกบฏ"  จริงๆ  ซึ่งผมยอมรับว่า...มีแน่!
     อย่าไปว่าระดับชาวบ้านเลย  ผมเองก็เถอะ  ไม่เคยปฏิเสธ  ไม่เคยหลบเลี่ยงอำนาจรัฐ-กฎกติการัฐ   แต่ชัดกับตัวเองว่า  ใครทำตัวเป็น  "พลเมืองดี"  มากเท่าไหร่  เดือดร้อน  และฉิบหายมากเท่านั้น
     แม้กระทั่งวันนี้-วินาทีนี้  ความเป็นพลเมืองดีที่  "ไม่ยอมฝืนระบบ"  ของผม  ทำให้ต้องระบมทั้งนอก  ช้ำทั้งใน  ถึงตายก็ยังลืมไม่ได้ว่าระบบรัฐ-ระบบราชการ  มันบีบคั้น  รังแก  จนบางครั้งอยากเข้าป่าถือปืนประชดให้มันสิ้นเรื่อง-สิ้นราว  "เอากะมัน"  ให้บรรลัยไปข้างด้วยซ้ำ!
     ฉะนั้น   ผมจึงพอเข้าใจที่ชาวบ้านพอได้   "อำนาจ"  จากการขัดขืนระบบรัฐขึ้นมาบ้าง  มันช่างมีความสุข-สะใจ  เอ็นโดร์ฟินถะถั่งหลั่งไหลยิ่งกว่าควายได้ตีแปลงอาบแดด
     ชาวบ้านสามารถจับทหาร  ยึดรถถัง  ยึดปืน  ล้อมค่าย  ค้นอาวุธ ปิดถนน ค้น-จับตำร
วจ  ตั้งด่านตรวจสารพัดรถ  พอใจจะยึดสถานที่ราชการแห่งไหนก็ยกกันไปยึดได้ตามใจชอบ
     กระทั่งจะฆ่าทหาร  ฆ่าชาวบ้านที่เหม็นที่ขี้หน้าในฐานะ  "คนต่างสี"  เล่นซัก  ศพ-สองศพ  ก็ทำได้  ตำรวจเห็นแล้วแกล้งหลบให้ด้วยซ้ำ!
     นี่มันคืออารมณ์  "ใต้สัญชาตญาน"  ที่เก็บกดจนระเบิดเป็นปฏิบัติการ  "กบฏรัฐ"  อันมีมูลเหตุส่วนหนึ่งมาจาก  "คนรัฐ"  นั่นแหละ  ถือดีในอำนาจ  "อัดอารมณ์"  ชาวบ้านไว้จนกลายเป็นระเบิดในวันนี้
     แต่...ชนชาวสาว-หนุ่มผู้มีปัญญาทั้งหลาย  ขอให้เข้าใจ  และจงขอบใจเหตุที่เกิดวันนี้เถิดว่า  เพราะมีสิ่งนี้-ในวันนี้  จึงทำให้มีสิ่งดีใหม่ๆ  เกิดขึ้น-ในวันพรุ่งนี้  ถ้าเรารู้จักใช้สติมองสิ่งที่เกิด!
     ประชาชนนั้นมี  ๒  เอว  เอวข้างซ้ายกระเตงรัฐบาลอภิสิทธิ์  เอวข้างขวากระเตงชาติ  ชาตินั้น  "เป็นหน้าที่"  พลเมืองที่ดีพึงต้องกระเตงด้วยจิตสำนึก
     แต่จะให้กระเตงจน  ๒  เอวเป็นหนามอยู่อย่างนี้  เห็นจะไม่ไหว  ก็ควรต้องเข้าใจว่าความอดทนของคนก็  "มีขีดจำกัด"  นั่นก็คือ
     ประชาชนคงไม่ให้อภิสิทธิ์  "ขี้รดเอว"  อยู่ต่อไป  กระเตงมาร่วม  ๒  เดือน  แทบไร้ประโยชน์!
     ไปผลัดกันอุ้มเอง  ๒  คนก็แล้วกัน  อนุพงษ์จะเข้าเอวอภิสิทธิ์  หรืออภิสิทธ์จะเข้าเอวอนุพงษ์  ก็  "เตี้ยอุ้มค่อม"  กันไปตามสบายก็แล้วกัน  เพราะวันก็แล้ว..สองวันก็แล้ว  จนสี่สิบกว่าวันแล้ว  ท่าจะรอให้  "แม้วตาย"  แล้วเอาศพแม้วมาแลกม็อบกระมัง?
     การเมืองแก้ด้วยการเมือง?!
     การกบฏแก้ด้วยการเมือง?!
     สรุปแล้ว  ทั้งอภิสิทธิ์  ทั้งอนุพงษ์  ไม่ต้องแก้อะไรเลย  ทั้งการเมือง  และการกบฏ  เป็นหน้าที่ของประชาชน  "คนรักบ้าน-รักเมือง"  ต้องแก้กันเอง
     เอายังงี้ใช่มั้ย  มาร์ค...ป๊อก?
     เห็นตำรวจใหญ่ๆ  จะเป็นพวกมะเขือเทศ  หรือมะเขือโปกช้างก็ไม่ทราบแหละ  จะอ้าง  จะแก้ตัว  จะปัดความรับผิดชอบ  จะประชด  หรือจะด้วยอะไรก็ช่างเถอะ  แต่มีประโยคหนึ่งติดปากพวกเขาตลอดว่า  "จะให้สลายม็อบก็เซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรมา  พวกผมไม่อยากซวยเหมือนตอน  ๗  ตุลา.ตกเป็นผู้ต้องหาหมด"
     เมื่ออ้างกันแดงจะจะอย่างนี้  โดยไม่มีการแยกแยะสถานการณ์  ก็หมดความจำเป็นพูดกันถึงเหตุผล  สรุปอีกที  วันนี้...ประเทศชาติก็เป็นเรื่องของ  "ประชาชน"  นั่นแหละต้องรับภาระ
     กรุงศรีอยุธยาแตกทั้ง  ๒  ครั้ง  ไม่ได้แตกเพราะชาวบ้าน  แต่แตกเพราะ  "ข้าราชการ-คนหลวง"  อย่างหนังจีน  กี่เรื่อง-ต่อกี่เรื่อง  ฮ่องเต้มีอันเป็นไปสาเหตุใหญ่ก็มาจากพวกหลี่กงกง  อันเป็นประเภท  "คนข้างใน"  กังฉิน-ใกล้ชิดนั่นแหละ  และประเทศชาติ-ราชวงศ์ที่กู้กันขึ้นมาใหม่  พวกข้าราชการที่ไหน  "สามัญชนรักชาติ"  นั่นแหละ...ไม่ใช่ใคร
     ปักดาบ...กู้ขึ้นมาให้ทุกที!.

http://www.thaipost.net/news/270410/21381
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1788 เมื่อ: 27 เมษายน 2553, 09:06:11 »

บทวิเคราะห์ของ "ท่านขุนน้อย"

ถอดกระไดรอ!!!
ท่านขุนน้อย 27 เมษายน 2553 - 00:00

     เสียดาย...ที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้ด้าน  หมอดู  ติดตัวมาเลยแม้แต่น้อย  แม้นว่าจะเคยมีน้องๆ  บางราย  ชักชวนให้ไปลองศึกษาท้องฟ้า  ดวงดาว  ให้เห็นกันจะจะ  แต่พอเข้าช่วงดึกๆ  ดื่นๆ  น้ำค้างร่วงผล็อยๆ  ยังไม่ทันจะได้เงยหน้าดูฟ้า  ก็ดันหลับคาเต็นท์ไปเรียบร้อยแล้ว  ด้วยเหตุนี้...ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองอันสุดแสนจะพิลึกกึกกือเช่นนี้  โอกาสจะงัดเอาวิชาหมอดูมาแก้ขัด   ใช้เป็นเครื่องมือแยกแยะสถานการณ์ต่างๆ   ดังที่ท่านปรมาจารย์  ป๋าเปลว  สีเงิน  ท่านแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่าง  จึงเป็นไปไม่ได้เอาเลย...            ---------------------------------------------
     อย่างว่านั่นแหละท่าน...สถานการณ์ความเป็นไปในบ้านเมืองทุกวันนี้  มันช่างเป็นอะไรที่เหลือกำลังลาก  เกินกว่าจะเอาเหตุเอาผล  เอาทฤษฎีใดๆ  เข้าไปวิเคราะห์  แยกแยะ  หาข้อสรุปกันได้ง่ายๆ  ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์  นักประเมินสถานการณ์  ระดับขี่กระเรียนเหยียบเมฆ  นักวางแผนยุทธศาสตร์  ยุทธวิธี  ระดับขี่เมฆมารบกันบนท้องฟ้า  แต่เจอเข้ากับสถานการณ์ที่มวลชนเสื้อแดงประมาณ   10  คน   เข้าปิดล้อมการขนส่งกำลังทหารที่จังหวัดพิษณุโลก  จนทหารนับเป็นกองร้อย  กองพัน  ไม่อาจทำอะไรได้  ต้องงัดเอกสารทางราชการมาเปิดเผย พร้อมขอร้อง  วิงวอน  ให้ช่วยเปิดทางผ่านไปสับเปลี่ยนกำลังที่ภาคใต้...เจอเข้ากับลักษณะอาการเช่นนี้  นักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างก็ใบ้รับประทานไปตามๆ  กัน...แทบไม่เชื่อว่า  อะไรมันช่าง...ทำ...ไป...ได้  ถึงปานนั้น...
           -----------------------------------------------
     การประเมินขีดความสามารถของพวกก่อความไม่สงบวุ่นวาย  ต่ำไป  นั้น  คงไม่ถึงกับเท่าไหร่  แต่การประเมินขีดความสามารถของผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย  สูงไป  อันนี้...นี่แหละ  ที่ทำให้ใครต่อใครต่างต้องเกิดอาการอ้วกแตก  อ้วกแตน  ไปตามๆ  กัน  การปิดล้อม  ขัดขวาง  เจ้าหน้าที่  ฝ่าฝืนกฎหมาย  นำเอากฎหมู่มาบังคับใช้ได้อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง  ส่งผลให้ราษฎรนับเป็น  50-60  ล้าน  ต้องตกอยู่ภายใต้ความปรารถนา  ความต้องการของคนแค่ไม่กี่สิบ  กี่ร้อย  ไม่กี่พัน  กี่หมื่น  โดยที่เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย  กลับตั้งแถวเดินไปกินข้าวกล่องของผู้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ  ทั้งๆ  ที่ยังรับประทานภาษีอากรของปวงชนทั่วประเทศอยู่ทุกปี  ทุกเดือน  อันนี้...ต้องเรียกว่า  เล่นเอาไอ้เรืองน้ำตาตกใน  คิดไม่ถึงว่าระบบราชการ  บ้านเมือง  มันจะตกต่ำไปได้ถึงเพียงนั้น...
          ------------------------------------------------
     พูดง่ายๆ  ว่า...มันเป็นฉากสถานการณ์ที่แทบจะเอาเหตุเอาผล  เอายุทธศาสตร์  ยุทธวิธี  เอากองกำลัง  ของแต่ละฝ่ายมาวิเคราะห์ประเมินบนโต๊ะทรายแทบไม่ได้เอาเลย  มีแต่จะต้องกางแผนที่ดวงดาว   ลากเส้นความเชื่อมโยงระหว่างดาวพฤหัส  ดาวอังคาร  ดาวเสาร์  ดาวเนปจูน  พลูโต  หรือแม้กระทั่งดาวไถ  กันไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น  แต่ก็อีกนั่นแหละ...ระหว่างหมอดูของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ  กับ  หมอดูของฝ่ายผู้ต้องการที่จะเห็นความสงบเรียบร้อย   ก็ดันวิเคราะห์ตีความอิทธิพลดวงดาวกันไปคนละทางสองทาง  ประเภทที่เคยฟันธงกัน  แบบหักแล้วหักอีก  ก็ยังอุตส่าห์คว้าธงผุๆ  ออกมาฟันเปรี้ยง  สรุปว่า  เสื้อแดงชนะแน่  หรือ  ทักษิณกลับประเทศไทยได้แน่    ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหันมาคว้ากระดานชนวนทุบเปรี้ยงลงไปว่า  เสื้อแดงเจ๊งแน่  หรือ  ทักษิณ...ตายแหน่...ตายแหน่...ตายแหน่  ก็เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อข้างไหนดี  แม้นว่าฝ่าย  ป๋าเปลว  สีเงิน  จะเป็นต่อ  3-2  ไม่นับทดเวลาบาดเจ็บก็ตามที...
          -------------------------------------------------
     เอาเป็นว่า...ภายใต้สถานการณ์ความเป็นไป  ซึ่งกำลังอยู่ในรูปลักษณะเช่นนี้  ก็คงไม่มีอะไรดีกว่าการ...รอ...จนกว่า  ความจริง  จะปรากฏขึ้นมาเองนั่นแหละท่าน  อย่างที่นักปราชญ์ฝรั่งเค้าได้เอ่ยเป็นวาทะเอาไว้นานแล้วว่า  ความจริงนั้นรอได้...เพราะความจริงเป็นฝ่ายที่รอคอยจนชินซะแล้ว  ซึ่งความจริงในที่นี้...คงไม่ใช่แค่ข่าวสาร  ข้อมูล  ข้อเท็จจริง  เท่านั้น  แต่ยังหมายถึงความถูกต้อง  ชอบธรรม  คุณธรรม  ศีลธรรม  อันเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของ  ความจริงสูงสุด  หรือ  สัจจธรรม  ไม่ว่าผู้ประพฤติผิด  ไร้ความชอบธรรม  ไร้คุณธรรม  ศีลธรรม  จะออกฤทธิ์  ออกเดช  เผ่นผกหกเหินคะนอง กันยังไงก็แล้วแต่  แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันชักจะเลยขีดจำกัดความอดทน  อดกลั้น  ของมนุษย์มากยิ่งขึ้นทุกที...ท้ายที่สุดมันก็คงต้อง  เจ๊งแน่ๆ  และ  ตายแหน่...ตายแหน่  อย่างไม่พึงสงสัย...
          -------------------------------------------------
     เพียงแต่ในช่วงระหว่าง  รอ  นี่แหละท่าน...ก็คงต้องหาทาง  ทำใจ  หรือไม่ก็ต้องหาอะไรต่อมิอะไรมาทำแก้ขัดไปตามสภาพ  ใครที่ถนัดถักนิตติ้งก็นั่งถักนิตติ้งกันต่อไป  ใครที่ถนัดปอกกล้วยในบ้างร้างก็หยิบมาปอกเป็นหวีๆ   ซะให้เข็ดมือ   อย่าเผลอไปเปิดโทรทัศน์  เปิดวิทยุ  อ่านหนังสือพิมพ์โดยเด็ดขาด  เพราะโอกาสที่จะเกิดอาการ  ของขึ้น  เส้นประสาทในร่างกายสั่นกระตุก  ฝ่าเท้าร้อนวูบๆ  วาบๆ  เหมือนโดนมะนาวบีบใส่  อย่างที่เค้าเรียกๆ  กันว่า  เปรี้ยวตีน  นั่นแหละ...ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมจะไปทำลายความอดทน  อดกลั้น  อันเป็นสิ่งที่สังคมในขณะนี้ต่างปรารถนาและต้องการเสียเหลือเกิน...
           ----------------------------------------------
     แต่ก็อย่างว่า...สำหรับผู้ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการที่จะต้องติดตาม  ข่าวสาร  ความเคลื่อนไหวของบ้านเมืองในแต่ละวัน  อย่างเช่น  ท่านขุนน้อย  เป็นต้น  เดิมทีตั้งใจว่า  ภายใต้สถานการณ์แห่งการรอคอยเช่นนี้   น่าจะหาทางทะลุออกไปนอกโลก   นอกจักรวาลกันดีหรือไม่?  ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ท่านนายกฯ  อภิสิทธิ์  และท่านผู้บัญชาการทหารบก  พลเอก  อนุพงษ์ ท่านได้มีโอกาสรำหน้าพาทย์  ตามเสียงปี่พาทย์  ระนาดไม้นวม  ต่อไปอีกซัก  3-4  จบ  เพื่อไม่ให้เสียหน้าคณะลิเกคู่แข่งอย่าง  ไชยา  มิตรชัย  แต่คิดไป-คิดมาแล้ว...เห็นทีจะไม่ไหว!!!อย่างน้อยก็คงต้องคอยกระชุ่น  คอยกระตุ้น  กันมั่ง  เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละ...เท่าที่ผ่านมาเหตุที่สถานการณ์มันลุกลามบานปลายมาถึงระดับนี้  ก็เนื่องมาจากเราทั้งหลายดันไปประเมินขีดความสามารถของผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย   สูงเกินไป  ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมือง  มันจึงเลยเถิดไปถึงขั้น  กินไม่ได้  นอนไม่หลับ  อยู่เช่นทุกวันนี้...
          -------------------------------------------------
     ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้  จาก  เอช. จี. เวลล์ส...ชีวิตจะได้รับบทเรียนที่มีค่าที่สุด  ท่ามกลางความทุกข์ยาก...

http://www.thaipost.net/news/270410/21366
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1789 เมื่อ: 27 เมษายน 2553, 09:10:08 »

บทความ"ถูกทุกข้อ" ของ สามวา สองศอก

ยุคกบฏครองเมือง
ถูกทุกข้อ 27 เมษายน 2553 - 00:00

 เรียน คุณสามวา สองศอก
     เพราะด้วยความอ่อนแอของฝ่ายที่มีหน้าที่โดยตรงในการรับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง  ปล่อยปละละเลยต่อความรับผิดชอบ  ไม่ศึกษากฎหมายและอำนาจที่ตัวเองมีอยู่  และจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามความรับผิดชอบ  บ้านเมืองในขณะนี้จึงเป็นกลียุค  และแสนวิกฤติอย่างสุดๆ
     ไม่เคยมีครั้งใดที่ผู้ก่อการร้าย  (กบฏ)  จะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์  กำแหงหาญ  ขนาดทำร้ายทหาร  ปลดอาวุธทหาร  ปล้นอาวุธจากผู้มีหน้าที่ที่จะใช้อาวุธภายใต้  พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง  แต่กลับปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
     เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ   หากไม่มีน้ำยาก็ให้โอกาสคนที่เขามีความสามารถมาทำงานดีกว่า  ประเทศชาติฉิบหายมามากเกินพอแล้ว  ผู้ก่อการร้ายประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้ง  ขนาดกล้าลบหลู่สถาบันฯ  กลางนครหลวงจะจะ  ทั้งรัฐบาล  ทหาร  ตำรวจ  กินภาษีราษฎรจนมีตำแหน่งเกินราษฎรสามัญหลายร้อยเท่า  จะทำหน้าด้านต่อไปอีกถึงไหนกัน
     คนบาดเจ็บจนถึงตายไปแล้วขนาดนี้  พวกเสื้อแดงยังมีราคาอยู่อีกหรือ  โทษประหารตามกฎหมายแล้วทุกคนชัดๆ  ยังปล่อยให้ลอยนวลอยู่ได้
                                                           อำมาตย์กรุง
ตอบ อำมาตย์กรุง
     เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นรัฐบาลและกองทัพแสดงความอ่อนแอให้ชาวบ้านได้เห็น  ปล่อยให้พวกกบฏมันอยู่เหนือกฎหมาย  นี่ขนาดมี  พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังขนาดนี้  แสดงว่าพวกกบฏไม่ได้เห็นรัฐบาลหรือกองทัพอยู่ในสายตา  มันต้องมีคนเก่งกล้ากว่ารัฐบาลและกองทัพหนุนหลังอยู่
     ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้พวกกบฏมันจับตัวนายกฯ  อภิสิทธิ์กับพลเอกอนุพงษ์ได้  เดี๋ยวมันเอาไปแก้ผ้าโชว์ที่สี่แยกราชประสงค์อายเขาตายเลย
                    การตั้งรับกับการเข้าตี     
เรียน คุณสามวา สองศอก
     ขณะนี้คนเสื้อแดงได้ใช้ถนนและพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์เป็นพื้นที่ตั้งรับ  โฆษณาปลุกระดมมวลชนของคนเสื้อแดงไปเรื่อยๆ  รอเวลาคิดที่จะเข้าตีต่อไปหรือไม่กับย่านถนนสีลม  หากระดมพลได้ไม่มากพอก็อาจไม่ขอเข้าตีต่อไปที่ย่านสีลม  แต่จะยึดพื้นที่ราชประสงค์ชุมนุมต่อไปให้เศรษฐกิจชาติมันฉิบหายไปเรื่อยๆ
     ในขณะที่กองกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลเอง  ก็ยังคงยึดหลักการตั้งรับที่ถนนสีลมไปเรื่อยๆ  เหมือนกัน  รอเวลาให้คนเสื้อแดงเกิดฮึกเหิม  รวมกำลังกำแพงมนุษย์ได้มากพอเคลื่อนเข้าตียึดถนนสีลม  และเมื่อถึงเวลานั้นกำลังทหารของพลเอกอนุพงษ์ก็จะดำเนินการสกัดกั้นตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก  7  ขั้นตอนที่วางไว้
     ขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่เมื่อคืนวันที่  22  เมษายน  2553  ก็ดันผ่ามีเหตุการณ์ยิงเอ็ม  79  4-5  นัด  ตกเข้าใส่ผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีจนตาย  1  คนและบาดเจ็บนับสิบคน  มันช่างตรงกับที่นอสตราดามุส  "จิ๋ว"  ผู้พยายามดึงฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเพิ่งพูดแหม็บๆ  เลย  ว่าจะมีคนบาดเจ็บล้มตายอีก  หากไม่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ...ช่างน่าแปลกดีไหมล่ะครับ!!!?
     ผมทายเอาไว้ว่าในที่สุดคนเสื้อแดงจะมองยุทธศาสตร์ตั้งรับดังกล่าวออก  และจะใช้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนั้นแทนที่การใช้ยุทธวิธี  นั่นก็คือใช้การชุมนุมยืดเยื้อไปเรื่อยๆ  ที่สี่แยกราชประสงค์  ในขณะเดียวกันก็ยื่นฟ้องต่อศาล  ถ่วงเวลาลดอำนาจการปฏิบัติการทางทหาร  พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและ  ศอฉ.ลง  และการทำลายความฉิบหายวายวอดทางเศรษฐกิจ  การท่องเที่ยวต่างๆ  ต่อไป   
     เพราะอ่านทาง  อ่านพฤติกรรม  การกระทำของแม่ทัพป๊อกออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วว่า  "นิ่งเฉยตำลึงทอง"  เรื่องอะไรจะแอ่นอกรับเต็มตัวประกาศใช้กฎอัยการศึก  สู้ทนใช้  พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ผู้นำรัฐบาลช่วยรับไปเต็มๆ  เสียดีกว่า
     ดังนั้นการประกาศใช้กฎอัยการศึกเข้าสลายผู้ชุมนุมก่อการร้ายเสื้อแดงจึงไม่มีวันเกิดขึ้นได้...ผมฟันธงกันจะจะเลยว่าน่าจะต้องเป็นเช่นนี้!!?
     ในเมื่อต่างฝ่ายต่างตั้งรับ  ไม่มีการริเริ่มการเข้าตีต่อกัน  ชัยชนะในทางยุทธวิธีย่อมไม่เกิดขึ้นกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แต่ชัยชนะในทางยุทธศาสตร์ย่อมเกิดขึ้นกับฝ่ายเสื้อแดงอย่างแน่นอน  เพราะฝ่ายเสื้อแดงยึดปมคมนาคมสำคัญของชาติด้านเศรษฐกิจของชาติเอาไว้เป็นตัวประกันในมือ
     กองกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลของพลเอกอนุพงษ์เองนั่นแหละ  จะต้องริเริ่มเป็นฝ่ายเข้าตีสลายกองกำลังชุมนุมก่อการร้ายก่อนที่สี่แยกราชประสงค์   แทนที่จะตั้งรับวัดใจกับสามเกลอหัวขวด  ซึ่งผมรับประกันได้ว่าสามเกลอจะใช้ความอึดอย่างหนาตราช้าง  ความหน้าด้านของพวกขี้ฉ้อ  และความตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลกได้  โดยหลีกเลี่ยงการเข้ายึดบริเวณสีลมตามแผนการเดิมที่วางเอาไว้
     การเขียนบอกถึงแผนการเข้าตี  ผมจะไม่เขียนในที่นี้เพราะเป็นความลับ  ปล่อยให้ไอ้ทหารแตงโมกบฏมันหาข่าวเอาเอง  แต่ผมอาจจะเขียนยุทธการลับส่งถึงรัฐบาลและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบให้ดำเนินการต่อไป
     ซึ่งผมบอกใบ้นิดเดียวก็ได้ว่า  การรบที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อมากมาย  และ  "ประทับใจป๊อก"  ในครั้งนี้  ก็คือการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่และใช้ยุทธศาสตร์  "การตัดกำลังบำรุง"  ในยุทธวิธีปิดล้อมต่อกบฏก่อการร้ายเสื้อแดงไม่ให้ได้กินข้าวกินน้ำ  ซึ่งคงต้องใช้เวลาสี่ห้าวัน  และกำลังพลที่ปฏิบัติจะต้องทำให้ได้จริง  หากมีการขัดขืนการกระทำก็ต้องใช้กำลังจัดการขั้นเด็ดขาด
     และจะให้สั้นเข้าก็ต้องใช้การปล่อยอาวุธชีวภาพแสวงเครื่องง่ายๆ  เช่น  ระเบิดพริกไทยป่นถุงละ  5  กิโลกรัมหลายๆ  ถุงลงไปจาก  ฮ.ทุกวันใส่พื้นที่ราชประสงค์  ถ้ายังทนดื้อด้านสู้อีกโดยไม่ยอมยกธงขาวเสือกยกธงแดงอยู่ตลอด  ก็ล้อมปราบกบฏที่กำลัวหิวโซและแสบหูแสบตา ให้เรียบร้อย  "โรงเรียนพันธะอนุพงษ์ศึกษา"  เลยทีเดียวเชียว
     ชัยชนะในทางยุทธศาสตร์นั้น  ย่อมนำมาซึ่งชัยชนะในทางยุทธวิธี  แต่ชัยชนะในทางยุทธวิธีอย่างเดียวอาจไม่ใช่ชัยชนะทางยุทธศาสตร์  พลเอกอนุพงษ์จะมียุทธศาสตร์อะไรอีกไหมในเวลานี้  ที่ท่านจะคิดวิธีการเอาชนะสามเกลอหัวขวดให้ได้
     อย่าลืมนะว่าท่านจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า  โรงเรียนเสนาธิการทหารบก  ปริญญาโทรัฐประศาสนศาตร์และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร  มีประสบการณ์ในการทำงานราชการสูง  ตรงกันข้ามกับสามเกลอหัวขวดไม่ว่าจะเป็นชาติวุฒิ  คุณวุฒิ  วัยวุฒิ  และบุญวุฒิใดๆ  ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงกับท่านได้ในทุกกรณี  (แต่หากถ้าจะพอเทียบได้สามชั้น  ก็เห็นจะเป็นบรรดากองเสนาธิการกบฏที่ตึกชั้น  3  อาคารชินวัตร  ส่วนปฏิบัติการร่วมกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้นแหละกระมัง)
     ในเมื่อแม่ทัพนิ่งดูดายแบบดู่..ดู๋...ดู...ดูเธอทำ  ไม่ขยับรุกเข้าตีเพื่อให้ได้พื้นที่กลับคืนมา  ในที่สุดแล้วความรับผิดชอบย่อมตกอยู่กับรัฐบาล  ที่ในที่สุดอาจนำไปสู่เกมการยุบสภาของคนเสื้อแดง  เพราะแรงกดดันทุกๆ  ฝ่ายที่ต้องมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างหลีกเลียงไม่ได้นั่นเอง 
     นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์จึงจะต้องตัดสินใจเข้าตีวงไพ่นกกระจอก  เกมไพ่ป๊อกที่เล่นอยู่ต้องกระเด้งถอนตัวจากการรบในความกดดันออกไป  โดยปล่อยให้ผู้นำทัพที่ชอบการเข้าตีเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้ามือไพ่วงนี้ต่อแทน  หรือว่าผู้นำรัฐนาวาจะยอมทนให้เล่นเป็นไพ่ป๊อกแบบธรรมดาๆ  ต่อไปก็ลองคิดดูเอาเองเถอะครับ!!?
     และการเล่นไพ่เกมใหม่ของผู้นำกองทัพคนใหม่  ก็จะเปลี่ยนไปเล่น  "ไพ่ตีแตก"  อ่านเกมของสามเกลอหัวขวดให้เป็นผีหัวขาด  เกทับจนหมดกระเป๋าเหมาทั้งวงแดงราชประสงค์  ความสงบสุขไพบูลย์สำหรับคนดีก็จะกลับมาสู่ประเทศไทยโดยเร็วพลันในที่สุด
     ผมยังคิดถึงในสมัยก่อนๆ  เมื่อผมยังเป็นเด็กอยู่นั้น  ผู้นำไทยปกครองประเทศไทยเป็นนายทหารชายชาติทหาร  ท่านจะมักให้คำขวัญที่ผมและใครก็จำได้ขึ้นใจมาจนทุกวันนี้ว่า
     1.เชื่อผู้นำไทยชาติพ้นภัย
     2.ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
     มาสมัยนี้โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้  ประชาชนคนไทยที่รักความสงบ  และความมีสิทธิเสรีภาพที่แท้จริง  กำลังจับตาดูพฤติกรรมการกระทำของนายกฯ  อภิสิทธิ์  และพลเอกอนุพงษ์  ผู้นำกองทัพว่า
     1.ถ้าจะเชื่อผู้นำไทยอีกต่อไป  ชาติจะบรรลัยหรือไม่!!?
     2.กูไม่อยากรับผิดชอบอะไรเลย  เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของกูคนเดียว  พวกมึงช่วยกูรับผิดชอบหน่อยเถอะน่า...นะ
     กรุงรัตนโกสินทร์กำลังจะสิ้นคนดี  โดยมีแต่คนเลวคนเอาตัวรอดอยู่หรือไม่?  ขอให้ประชาชนทุกคนติดตามกันต่อไปตาอย่าได้กะพริบ  แต่ที่แน่นอนที่สุดในเวลานี้  กรุงรัตนโกสินทร์กำลังจะเพิ่มกลุ่มประชาชนสามัคคีหลากสีไม่สี  เข้ามามีส่วนรับผิดชอบเพื่อขับไล่อำนาจของพวกคนแดงเถื่อนออกไป  โดยไม่อาจที่จะฝากความหวังไว้กับทหารได้อีกต่อไปแล้ว!!?
     คำว่า  "ประเทศเป็นบ้าน  ทหารเป็นรั้ว"  ในอนาคตก็คงเปลี่ยนไปเป็น  "ประชาชนเป็นรั้ว  และทหารอยู่เฝ้าบ้าน"  "ชาติ  เกียรติ  วินัย  กล้าหาญ"  ของทหารก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น  "ขายชาติ  ขาดเกียรติ  ไร้วินัย  และไม่กล้าหาญ"
     แต่กล้าถอย  กลัวๆ  กล้าๆ  เอ้อๆ  อ้าๆ  อู้ๆ  อี้ๆ  มันอย่างเดียวอยู่นั่นแหละ  กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้  แผลเล็กก็จะเป็นแผลใหญ่  แผลร้าย  แผลคม  แผลชัด  แผลลึก  จนไม่มีทางใดรักษาให้หายขาดได้เลย
                                                        ด้วยความเคารพ             
                                                           เสธ.เหลือง
                                                   ผู้ทรงคุณธรรมกองทัพบก 
ตอบ เสธ.เหลือง
     จิ๋วบัญชาการรบกับลาวยังแพ้  แต่พลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา  ผบ.ทบ.ยังไม่มีน้ำยาจะไปทำอะไรพลเอกชวลิตและเสธ.แดง  ทั้งๆ  ที่นายกฯ  อภิสิทธิ์ก็ได้ระบุชื่อออกมาแล้ว  ชาวบ้านก็อยู่บ้านสวดมนต์ไปพลางๆ  ก็แล้วกัน
                                                        สามวา สองศอก

http://www.thaipost.net/news/270410/21363
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1790 เมื่อ: 27 เมษายน 2553, 15:54:47 »

ที่สุด"ภูมิใจไทย"ก็เปลี่ยนม้า แต่ นรม.อภิสิทธิ์ ไม่มีสิทธิขี่
อธิบดีกรมการปกครองคนเก่า เป็นผู้ใกล้ชิดทั้งกลุ่มเจ้แดงและกลุ่มภูมิใจไทย
แต่อธิบดีคนใหม่ เป็นสายเนวินบุรีโดยตรง รวมทั้งกรมพัฒนาชุมชน

มท.ขอไฟเขียวครม.โยกย้ายนอกฤดูกาล อธิบดี-ผู้ว่าฯ 6 ตำแหน่ง

วงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ พ้นอธิบดีกรมการปกครอง

     เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมครม. ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอบัญชีรายชื่อข้าราชการพลเรือนสามัญ กระทรวงมหาดไทย จำนวน 6 ตำแหน่ง คือ
นายพินิจ เจริญพาณิช พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ พ้นจากอธิบดีกรมการปกครอง ให้ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายมงคล สุระสัจจะ พ้นจากอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ให้ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการปกครอง 
นายวิเชียร ชวลิต พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ให้ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
นายระพี  ผ่องบุพกิจ พ้นจากผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์
นายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ รองอธิบกรมการปกครอง ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ
นายพินิจ เจริญพาณิช ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมการปกครอง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

     ทั้งนี้นายมงคล สุระสัจจะ เคยดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2551-30 ก.ย. 2552 และวันที่ 1 ต.ค. 2552 ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM01qTTBOemcyTXc9PQ==



      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #1791 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 00:49:16 »

ตอนเช้าคุณพิเชษฐ์ คงเอาบทความจากหนังสือพิมพ์มาให้อ่านกัน
วันที่ 28 เมย. นี้ คุณเปลว สีเงิน เกรี้ยวกราดได้น่ากลัวจริงๆ ลองอ่านนะครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1792 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:10:20 »

                                             

วันนี้เมื่อ 60 ปีที่แล้วเป็นวันบรมราชาภิเษกสมรส

ขอนำเสนอเรื่องราวดีๆ เพื่อคนไทยทุกคน สำหรับเช้านี้ โดยคลิ๊กไปอ่านที่
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000057863

6 ทศวรรษ...พระคู่ขวัญแห่งแผ่นดิน
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1793 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:19:56 »

ขอยกคอลัมม์ "ถูกทุกข้อ" ของสามวา สองศอก ที่เกี่ยวเนื่องกับ ราชาภิเษกสมรส ขึ้นมาก่อน พร้อมๆกับความรู้เรื่อง"เพลงมหาจุฬาลงกรณ์"

ราชาภิเษกสมรส
ถูกทุกข้อ 28 เมษายน 2553 - 00:00

 เรียน คุณสามวา สองศอก
     "ความรักในเพลงพระราชนิพนธ์"  ผมเขียนร่วมกับ  น.ท.หญิงสุมาลี  วีระวงศ์  โดยมีเจตนาจะร่วมฉลองในโอกาส  60  ปี  ราชาภิเษกสมรส  28  เมษายนนี้
     จึงเรียนมาเพื่อกรุณาพิจารณานำไปดำเนินการขยายผลตามที่เห็นสมควร
                                                       ขอแสดงความนับถือ
                                                      พ.อ.วัชระ วีระวงศ์

                   ความรักในเพลงพระราชนิพนธ์
     รักพาใจให้เป็นสุข  บทเพลงพระราชนิพนธ์ทุกบทเพลงมีความรักเป็นแก่นสาร  เผื่อแผ่ความสุข  ความปรารถนาดีให้ด้วยไมตรีจิต  มิตรภาพ  สานสายใยสู่บุคคล  สถาบัน  สังคม  ประเทศชาติ  และครอบคลุมถึงธรรมชาติ  อันเป็นพื้นฐานสำคัญของโลกและชีวิต   
     ความรักในเพลงพระราชนิพนธ์ค่อยๆ  เบ่งบานขยายจากจุดเล็กๆ  ไปสู่มุมมองที่กว้างขวาง  เช่นเดียวกับพระเมตตาที่แผ่ออกไปสุดจะประมาณได้
     เพลงพระราชนิพนธ์ระยะแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนอง  ขณะประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ตั้งแต่  พ.ศ.2489  แล้วโปรดเกล้าฯ  ให้พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริทรงนิพนธ์คำร้อง  ได้แก่
     "ดวงใจกับความรัก"  เสนอมุมมองเกี่ยวกับความรักที่สมหวัง  สดใส  โดยสัมพันธ์กับความงาม   และคุณค่าของธรรมชาติ  อีกทั้งความตระหนักรู้ว่า  สรรพสิ่งที่ประกอบเป็นความงาม  ความดี  ล้วนมีความรักเป็นแกน     
          "...ตะวันนั้นเหมือนดังดวงใจ       
          หากสิ้นแสงไปรักคลาย
          ขาดความรักเหมือนชีวาวาย         
          จะเป็นหรือตายทั้งใจและกายไม่วายโศกโทรม"
     "เทวาพาคู่ขวัญ"  (พ.ศ.2491)  ชี้ให้เห็นแง่งามบรรเจิดของชีวิต  และคุณค่าของความรัก
          "...โลกนั้นดังเมืองสวรรค์เทวัญสร้างไว้
          พิศดูเป็นคู่ทุกสิ่งล้วนมีรักจริงยิ่งใหญ่
          อันธรรมชาติไซร้ ใช้แรงความรักความใคร่
          ย้อมชีวิตให้ยืนยง..."
     "อาทิตย์อับแสง"   (พ.ศ.2491)   แสดงความรู้สึกห่วงใย  อาลัยหาคนรักยามไกลกัน  เป็นเพลงหวานแกมเศร้า
          "...ทิวาทราม     ยามห่างดวงกมล
          สุริยาหมองหม่น     ปวงชีวิตอับจนเสื่อมทราม
          หวังคอย          คอยเฝ้าโมงยาม
          จวบจนทิวาเรืองงาม สบความรักยามคืนคง"
     น่าสังเกตว่าเพลงพระราชนิพนธ์ที่กล่าวมา  ล้วนมีสาระเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติทั้งสิ้น  ระยะต่อมาเพลงเกี่ยวกับความรักได้แสดงให้เห็นว่า  ความผันแปรของธรรมชาติส่งผลต่ออารมณ์คนได้มาก  เช่น  เพลงยามเย็น  (พ.ศ.2489)  ลมหนาว  (พ.ศ.2497)  เป็นต้น
     "ยามเย็น"   ให้ความรู้สึกหวานแกมเศร้า  โดยเฉพาะเมื่อตะวันโรยแสงลง  ในขณะที่จิตใจห่วงถึงคนรักและความรัก
               "แดดรอนๆ           
          เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล
          ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ
          ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา..."
               "แดดรอนๆ             
          หากทินกรจะลาโลกไปไกล
          ความรักเราอยู่คู่กันไป     
          ในหัวใจคงอยู่คู่เชยชม"
     แต่  "ลมหนาว"  ตอนต้นให้ความรู้สึกเบิกบาน  โดยเฉพาะในยามที่ใจเป็นสุข  เต็มเปี่ยมด้วยรัก
          "...ยามลมหนาวพัดโบกโบยโชยชื่น
          เหล่าสกุณร้องรื่นรมย์
          หมู่ดอกไม้ชวนภมรร่อนชม
          ช่างสุขสมเพลินตาน่าดูใจ
              โอ้รักเจ้าเอ๋ยยามรักสมดังฤทัย
          พิศดูสิ่งใดก็แลวิไลแจ่มใสครัน
          อันความรักมักจะพาใจฝัน
          เมื่อรักนั้นสุขสมจิตปอง..."
     ความรู้สึกรื่นรมย์ดังกล่าว ก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองในท่อนหลัง
          "...ยามลมฝนพัดโบกโบยกระหน่ำ
          หยดหยาดนำน้ำหลั่งนอง
          ผึ้งคู่ทั้งวิหคเหงาเศร้าหมอง
          เกลื่อนกลาดผองมาลีร่วงโรยลงดิน
               เหมือนรักผิดหวัง
          เปรียบดังหัวใจพังภินท์
          น้ำตาหลั่งรินและลามไหลเพียงหยดฝนปราย
          อันความรักมักไม่เป็นดังหมาย ตราบวันตายขมขื่นเอย"
     ลมหนาว-ลมฝน  สองบรรยากาศที่แตกต่างในบทเพลง  ให้ข้อคิดถึงความไม่เที่ยง  ตามหลักธรรมะของพระพุทธศาสนา   รวมทั้งสอดคล้องกับความผันแปรของภูมิอากาศในประเทศไทย  ที่แตกต่างกับภูมิอากาศทางทวีปยุโรป  ด้วยเหตุนี้เพลงลมหนาวภาคภาษาอังกฤษจึงต่างจากภาคภาษาไทย  และใช้ชื่อว่า  Love  in  Spring

     เพลงพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับชีวิตรักในวัยครองเรือน  ได้แก่  "เพลงค่ำแล้ว"  (2498)  ซึ่งโปรดเกล้าฯ   ให้พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริทรงประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษชื่อ  Lullaby  ร่วมกับศาสตราจารย์ท่านผู้หญิงนพคุณ  ทองใหญ่  ณ  อยุธยา  และโปรดเกล้าฯ  ให้ท่านผู้หญิงสมโรจน์  สวัสดิกุล  ณ  อยุธยา  ประพันธ์คำร้องภาษาไทย
     เพลงนี้เป็นเพลงกล่อม  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  ทรงรับสั่งว่า  "ขณะทรงพระเยาว์ทรงฟังเพลงนี้ทีไรหลับทุกครั้ง"
          "...รัตนตรัย  ปวงเทวัญ                     
          ดลบันดาล     แต่ความชื่นบาน  แสนสำราญนิรันดร์
          อยู่ด้วยกัน     เป็นมิ่งขวัญ     อย่าห่างร้างแรมไกล
          สุดรักเอย     ตื่นได้เชยชมดวงใจ"

     ความรักความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์และอาณาประชาราษฎร์   ปรากฏชัดเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน  "เพลงพรปีใหม่"  เป็นมงคลชีวิตแก่พสกนิกรของพระองค์  ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่  2495
     และเพลงพรปีใหม่ยังคงเป็นพรประเสริฐ  ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ทุกปีอย่างต่อเนื่อง  เพราะทุกคนก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
     "สวัสดีวันปีใหม่พา      ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม      ต่างสุขสมนิยมยินดี
     ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า   ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี     ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
     ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่        ผองชาวไทยจงสวัสดี
     ตลอดปีจงมีสุขใจ       ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์    สวัสดีวันปีใหม่เทอญ"

     เพลงพระราชนิพนธ์ที่เกี่ยวกับความรักความสามัคคีในหมู่คณะ  เริ่มจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขอพระราชทานเพลงมหาวิทยาลัย  เมื่อ  พ.ศ.2492  จึงโปรดเกล้าฯ  พระราชทานทำนองที่ทรงคิดให้นำไปใส่คำร้อง   ท่านผู้หญิงสมโรจน์   สวัสดิกุล  ณ  อยุธยา  กับนายสุภร   ผลชีวิน  ได้ประพันธ์คำร้องขึ้นถวาย  คือเพลง  "มหาจุฬาลงกรณ์"
     น้ำใจน้องพี่สีชมพู        ทุกคนไม่รู้ลืมบูชา
พระคุณของแหล่งเรียนมา       จุฬาลงกรณ์
     ขอทูนขอเทิดพระนามไท   พระคุณแนบไว้นิรันดร
ขอองค์พระเอื้ออาทร          หลั่งพรคุ้มครอง
     นิสิตพร้อมหน้า          สัญญาประคอง
ความดีทุกอย่างต่างปอง        ผยองพระเกียรติเกริกไกร
     ขอตราพระเกี้ยวยั้งยืนยง  นิสิตประสงค์เป็นธงชัย
ถาวรยศอยู่คู่ไทย             เชิดชัยชโย
     ถึงต้นปี   2497  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้นายเทวาประสิทธิ์  พาทยโกศล  นำทำนองเพลงมหาจุฬาลงกรณ์แนวสากลมาปรับแต่งให้เป็นแนวไทยเดิม  เพื่อใช้บรรเลงดนตรีไทย  มหาจุฬาลงกรณ์เป็นเพลงศักดิ์สิทธิ์  คู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาตราบถึงปัจจุบัน
ตอบ พ.อ.วัชระ
     "ความรักในบทเพลงพระราชนิพนธ์"  ที่คุณกับ  น.ท.หญิงสุมาลี  วีระวงศ์  ร่วมกันเขียน   มีสาระที่ควรจะนำมาเผยแพร่  แต่เนื่องจากมีความยาวมาก  ผมจึงขอตัดทอนเพียงแค่นี้ก่อน  และจะหาโอกาสนำส่วนที่เหลือมาลงอีก
                                                       สามวา สองศอก

http://www.thaipost.net/news/280410/21425
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1794 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:25:29 »

คอลัมม์ "คนปลายซอย" ของคุณเปลว สีเงิน ในวันนี้ (28 เมษายน 2553)

"บริหารโดยไม่จัดการ" นี่คือ...รัฐบาลอภิสิทธิ์?
เปลว สีเงิน 28 เมษายน 2553 - 00:00 

     ย้ายแค่อธิบดีกรมการปกครองเท่านั้นเรอะ...แล้วเมื่อไหร่จะย้าย   ผบ.ทบ.ที่ชื่อ  "พลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา"  ด้วยล่ะ  หรืออภิสิทธิ์ไม่คิดจะย้าย  เพราะตัวเองก็จะย้ายจากเก้าอี้นายกฯ  อยู่เหมือนกัน!?
     บ้านเมืองน่ะไม่อ่อนแอหรอก  แต่คนมีอำนาจปกครองบ้าน-บริหารเมืองตะหาก  มันไม่เอาไหน   ถ้าไม่ซุกหัวอยู่แต่ในก้นตัวเอง  ก็หลงอยู่ในโลกจินตนาการตามสูตรสังคมตัวเองมากไป  โดยเข้าไม่ถึง  "โลกและชีวิตจริง"  ของคนเดินดินกินข้าวแกงที่เรียกว่าคนหาเช้า-กินค่ำ
     เมื่อหัวหน้าแต่ละหน่วยไม่มีรังสีแห่งผู้นำบริหารที่เข้มแข็ง-เด็ดขาดให้   "ผู้น้อย"  ได้ใช้เป็นพลังยึดเหนี่ยวเช่นนี้ละก็  การปฏิบัติตามคำสั่งจะให้ห้าวหาญ-ฮึกเหิมมีประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลสมใจสุจริตชน
     นั่น...อย่าหมายเลยอภิสิทธิ์-อนุพงษ์!
     นายสุเทพน่ะ   แค่ระดับท่าน  ต่อให้ทำสีหนาทขนาดไหน  ก็อย่าหมายว่าผู้ใต้บังคับบัญชา  ทั้งตำรวจ  ทั้งข้าราชการมหาดไทยจะสนใจเคร่งครัดปฏิบัติตาม  เพราะด้วยสัญชาตญาณมนุษย์และสัตว์   สิ่งแรกที่คิดและทำคือ  ถ้าผู้สั่งไม่มีบารมีให้กลัวจนหัวหดแล้วละก็...กูขอเอาตัวรอดไว้ก่อนดีกว่า
     และโปรดทราบไว้ด้วย...
     แค่วาทะแต่ไร้กะทิของอภิสิทธิ์   ของกองทัพ  ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะประชาชนส่วนใหญ่  "รักชาติ-ห่วงสถาบัน"  จึงไม่อยากบั่นทอนอะไรในระหว่างศึก  แต่ในใจลึกๆ  ผมจะบอกให้  มีแต่คนหมั่นไส้ปนสงสัยว่าจะเกาะประเทศ   เกาะตำแหน่งอยู่ไปทำไม  ถ้ามีอำนาจ-มีหน้าที่แล้วไม่ทำอะไร  ทั้งๆ  ที่รู้และเห็นอยู่คาตาว่า
     "ไฟ-คือภัย"  ไหม้หลังคาบ้านแล้ว!?
     ทุกอย่างที่เกิด   และลุกลามไปทั่ว  ผมไม่โทษชาวบ้าน  เพราะที่เป็นเช่นนั้นจนถึงขั้นเรียกว่า   "กบฏต่อบ้านเมือง"   นั้น  ทั้งตัวการชักใย  และตัวนำปฏิบัติการแข็งบ้าน-แข็งเมือง   ร้อยละ  ๖๐-๙๐%  เป็นใครท่านก็ทราบใช่มั้ย?
     ทักษิณ-แค่ตัวตัวละครถูกเชิดหลอกใช้เอาเงิน  ถึงเวลาจะถูกเขี่ยลงเข่งไปเองโดยอัตโนมัติ   แต่ตัวการใหญ่อันเป็น  "ไอ้โม่ง"  เหนียงยาน-ตาพอง  "ตัวจริง"  ผสมด้วยข้าราชการการเมืองในระบบรัฐสภาที่เรียกว่า  "ส.ส."  ของพรรคไหนก็รู้-ก็เห็นคาตากันอยู่แล้ว
     ผสมเครือข่าย  "ไม่ตำรวจก็ทหาร-ไม่ทหารก็ตำรวจ"  หรือทั้งตำรวจ-ทหาร  ผสมด้วยข้าราชการพลเรือน   นำชาวบ้านก่อการแข็งบ้าน-แข็งเมือง  ปิดถนน  ค้นรถ  ยึดศาลากลาง  กระทั่งจับตำรวจ-ทหารไปขัง  มันก็ทำได้
     เพราะอะไร...?
     เพราะทหารแตงโม   ตำรวจมะเขือเทศ  ส.ส.บางคน  แฝงเป็นหัวหน้าขบวนการบ้าง  เป็นแนวร่วมต่างหน้าที่   "ทำไม่รู้-ไม่ชี้"  บ้าง  ระดับชาวบ้านโดดๆ  ไม่มีใครกล้าทำอย่างนั้นได้   แต่พอมีเส้น-มีสีแผ่บารมีให้ความคุ้มกัน  มันจึงกร่าง  เป็นหมาจูสะบัดหาง   ชูแผงคอให้คนเห็นว่าเป็นราชสีห์!
     และทำไมทหารแตงโม  ตำรวจมะเขือเทศ  และคนมหาดไทยในหลายพื้นที่  นับวันยิ่งกล้าเปิดเผยตัวเป็นแนวร่วมขบวนการกบฏชาติมากขึ้นอย่างนั้น?
     ซื่อสัตย์-ภักดีทักษิณงั้นรึ?
     มั่นใจว่าทักษิณจะได้กลับมาสถาปนา  "รัฐทักษิณไทยใหม่"  งั้นรึ?
     เปล่าเลย...ข้ออ้างเหล่านั้นแค่เปลือก   หวัง   "หลอกกิน-หลอกใช้"  พวกญาติทักษิณ  กับพวกนายทุนระบบทักษิณหน้าโง่ให้  "จ่ายเงิน"  ในแผนซ้อนแผนของไอ้เหนียงยาน  "ตัวการ"  ที่แอบเดินแผนใต้ดินมาหลายสิบปีแล้วนั่นตะหาก
     มันซ่องสุมผู้คนทั้งรุ่นใหม่   รุ่นกลาง  และรุ่นใหญ่  ใน  "ลัทธิล้มเจ้า"  โยงใยจากคนรุ่นใหม่ทั้งในและนอกประเทศ  โดยมีรังใหญ่พรางอยู่ในคราบธุรกิจ  "ทางกฎหมาย"  ชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง!?
     พวกแตงโม-มะเขือเทศ  "ระดับนาย"  รู้แผน-รู้เป้าหมายของไอ้เหนียงยาน  แต่ระดับไพร่ราบ-พลเลวที่ถูกนายใช้ให้มานำชาวบ้านก่อการแข็งเมืองพล่านตามถนน   นั่นไม่รู้อะไรมาก  นอกจากว่า  "นายสั่ง"  กับนาย  "มีเงินมาให้"  และมีความเข้าใจว่า  ช่วยให้ทักษิณได้กลับมาพวกเขาก็จะสบาย
     "ใช้อำนาจในระบบ"  หากินกับขบวนการคาบเกี่ยวกฎหมายโดย  "ระบบทักษิณ"  คุ้มหัวให้เท่านั้น!
     และแค่เดือนกว่า   จาก   ๑๒  มีนาคม  ๒๕๕๓  ถึงวันนี้  ที่  ๒๘  เมษายน  ๒๕๕๓  ด้วยเวลาเท่านี้  ทำไมขบวนการกบฏชาติจึงอุกอาจเหิมเกริมกันได้มากขนาดนี้?
     คำว่า  "ขนาดนี้"  จะพูดให้เห็นภาพว่ามันขนาดไหน  ผมก็จะเทียบให้เห็น  คือ  รัฐบาล-โดยนายอภิสิทธิ์   และกองทัพ  โดยพลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา  อ่อนแอ  โลเล  ขลาดกลัว  ไร้เอกภาพขนาดไหน  ความเข้มแข็ง  ความมุ่งมั่น  ความบ้าระห่ำอำมหิต  และความเป็นเอกภาพของพวกขบวนการกบฏ  มันก็ขนาดนั้น
     ขบวนการกบฏมันโตขึ้น  เพราะรัฐบาล-กองทัพไม่เอาไหน  ประกอบกับในกองทัพ-ตำรวจและคนระบบรัฐบางส่วน   "ขายชาติ"   เป็นแนวร่วมกบฏ   นี่คือตัวอย่างเลวทั้ง  ๒  ด้าน   จึงเป็นผลที่เกิดกับประชาชน  นั่นคือ
     ระดับชาวบ้านได้รับคำหว่านล้อมชักชวน  ๑  ได้รับอามิสสินจ้าง  ๑  มีความเจ็บแค้นจากความไม่เป็นธรรม  ๑  ติดประชานิยมอยากให้ทักษิณกลับมา  ๑  และเห็น  "รัฐบาล-ทหาร"  แตกแยก  ซ้ำไม่มีน้ำยาอีก  ๑  ก็เลยเฮโลมาเป็นพวกกบฏดีกว่า
     เพราะมีแต่ได้  กับเสมอตัว!
     ได้ยังไง-เสมอตัวยังไง?
     คืออย่างนี้...กบฏมาเป็นเดือนยังปราบไม่ได้  ก็หมายความว่า  "กองกำลังกบฏ"  มีน้ำยาเหนือกว่า  "กองกำลัง"  ของบ้านเมือง  เมื่อชั่งน้ำหนักตามตาชั่งสังคมสัตว์เมืองเช่นนี้  ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก  อิงข้างที่เหนือไว้  ชนะก็ได้เป็นพวกเจ้าเข้าครอง
     แต่ถ้าแพ้-ต้องจำไว้เป็น   "สูตรตายตัว"  เลยว่า...ประชาชนนอกจากมีเอาไว้ตายระหว่าง  "เขาควาย"  แล้ว  "ประชาชนไม่ได้มีเอาไว้เพื่อแพ้"  ให้กับใคร-ฝ่ายไหนทั้งสิ้น!?
     สั้นๆ  ชัดๆ.....
     ประชาชนเป็นสมบัติของคน  "ครองอำนาจ"!
     เดือนกว่า  เท่าที่ผมสังเกตการบริหารปัญหา  "กบฏยึดราชประสงค์"  ของรัฐบาล  ประเทศไทยมี  ๗๖  จังหวัด  รวมทั้ง  กทม. ปรากฏว่า  "ตำรวจ-ทหาร"  ที่กระจายตามท้องถนน   และกระจุกอยู่ในบางสถานที่  นายกฯ  อภิสิทธิ์-พลเอกอนุพงษ์  เกณฑ์ทั้งคน  ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์จากใน  ๗๕  จังหวัด
     มาสุมไว้  "รักษากรุงเทพฯ"  ที่เดียว!
     รักษาได้ก็จะไม่ว่าอะไร  แต่  "ตายซ้ำ-ตายซาก"  ทั้งชาวบ้าน  ทั้งทหาร  โดยเฉพาะ  "ไอ้เณร"  ทหารเกณฑ์บางคนถึงพิการตลอดชีวิตที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ  นั้น  ผมไม่อยากจะพูดว่า  "ตาย-เจ็บสูญเปล่า"  เพราะความงี่เง่าของผู้บังคับบัญชา  นอกจากไม่กล้าตัดสินใจ  แล้วยังไม่ประสากับยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี  "สงครามมวลชน"
     "การข่าว"  ไม่ต้องพูดถึง  ของทหาร-รัฐบาลเยี่ยมอยู่แล้ว!
     "เยี่ยม"   ในที่นี้คือคำชมของฝ่ายกบฏแดง  "เที่ยงตรง-แม่นยำ  และรวดเร็ว"  ประชุมมีแผนออกมาปุ๊บ  ฝ่ายกบฏรู้ปั๊บ  แล้วอย่างนี้จะไม่เยี่ยมได้อย่างไร  จริงมั้ยอภิสิทธิ์-อนุพงษ์?
     แต่ฝ่ายกบฏเคลื่อนไหวอะไร   ตัวการ-ตัวแกนจะหลบไปนอนที่ไหน-กินที่ไหน-ประชุมลับที่ไหน   ไปเยี่ยมเมียที่คลอดลูกแฝดอยู่ห้องไหน   โรงพยาบาลไหน  ใช้ชื่อใครเป็นป้ายหน้าห้อง  "การข่าว"  ของรัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ  รู้ชนิดชำนาญแต่ว่า  ผับ  บาร์  ซ่อง  บ่อน  อาบอบนวด  ของใคร  เปิด-ปิด  เวลาไหน  ราคาเท่าไหร่  แจกแจงได้ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่
     ส่วนนอกนี้  บี้-บอด-ใบ้  บ้านเมืองของมึง  ไม่ใช่ของกู!?
     ร่วม   ๒  เดือนนี่  นายกฯ  ลองตอบซิว่า  ต้องใช้งบอันเป็นภาษีชาวบ้าน  "สูญเปล่า"  ไปกี่ร้อย-กี่พันล้านแล้ว  แทนที่จะได้เอาเงินนั้นไปสร้างประโยชน์  กลับต้องเสียไปกับค่าเบี้ยเลี้ยง  ค่าข้าวกล่องบูดๆ  ค่าน้ำมันรถขนย้ายทหาร  ค่าปะยางที่ชาวบ้านเจาะ  ค่าซ่อมรถยนต์-รถถัง  กระทั่งอาวุธทั้งที่ชำรุดและสูญหาย  ยังไม่นับค่าชีวิตที่เจ็บและตาย
     เสียน่ะไม่ว่า  แต่เสียไปเพราะ  "ไม่จัดการอะไร"  ปล่อยให้กบฏมันสร้างความฉิบหายให้   โดยที่รัฐบาลและทหาร-ตำรวจก็ไม่มีคำตอบ   หรือท่าทีทางปฏิบัติการให้เห็นเลยว่าจะแก้ปัญหานี้ให้เป็นรูปธรรมแบบไหน  นอกจากผีเจาะปากให้พูดก็พูดเรื่อยไป
     คำก็  นิติรัฐ  สองคำก็  ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมาย  และลงท้าย...การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง!
     แล้วการเมืองคืออะไร...รู้มั้ยอภิสิทธิ์?
     การเมืองคือเรื่องประชาชน   ฉะนั้น  ถ้าต้องการเป็นนายกฯ  ศรีธนญชัย  ผบ.ทบ.ศรีธนญชัย  โปรดเข้าใจให้ตลอดด้วยว่า  ถ้าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง
     งั้น...เชิญไปได้เลย!
     เพราะด้วยตรรกะนี้ก็เท่ากับว่าปัญหานี้   "ประชาชนต้องแก้ด้วยประชาชน"  กันเองแล้ว  ไม่ต้องพึ่งรัฐบาล  ไม่พึ่งทหาร  และไม่ต้องพึ่งตำรวจ!?
     ผมน่ะ...ไม่เครียดหรอก  แต่ทุกวันๆ  ที่ถูกกระหน่ำถามทั้งทางโทรศัพท์  ทางอีเมล์  ทางเฟซบุ๊ก   กระทั่งทางปากด้วยคำถามเดียวกัน-เรื่องเดียวกันซ้ำๆ  ซ้อนๆ  ว่า  เมื่อไหร่จะจบ...รัฐบาลไม่เห็นทำอะไร...ตำรวจ-ทหาร  ทำไมเป็นอย่างนี้...อนุพงษ์อยู่ทำไม  ลาออกไปให้คนอื่นเขามาทำหน้าที่ดีกว่ามั้ย...
     ผม-ทั้งที่ไม่เกี่ยว  แต่ถูกถามมากๆ  เข้าพลอยจะบ้าไปด้วย   มีอยู่ท่านอุตส่าห์โทร.มาจากญี่ปุ่น   เห็นผมเป็นอภิสิทธิ์หรืออนุพงษ์หรืออย่างไรไม่ทราบ   ใส่มาชนิดทำนบแตก   ผมก็เลยตบะแตก  พูดเสียงดังไปบ้าง  ท่านคงตกใจ  ขอโทษ-ขอโพย  โทร.มา  ๒  ครั้ง  จากนั้นหายเลย  ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ผมใช้  "สันดานไพร่"  หนักไปหน่อย!
     ผมว่าไม่นายกฯ   อภิสิทธิ์  ก็พลเอกอนุพงษ์  และ  พล.ต.อ.ปทีป  ต้องมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนซักอย่างว่าการปราบกบฏคือการ  "ใช้กำลังสลายม็อบ"  จึงไม่กล้าทำอะไร   แต่ในข้อเท็จจริง  "ม็อบที่ต้องสลาย-กบฏที่ต้องปราบ"  มีอยู่เพียง  ๑๐-๒๐  คนเท่านั้น  มากที่สุดก็ไม่เกิน  ๕๐  คน
     แล้ว   "ทั้งกองทัพ-ทั้งประเทศ"  คิดแผนจับตั๊กแตนไม่ได้  ก็ปล่อยให้เขาสถาปนารัฐใหม่  แล้วไปสมัครงานกะเขาซะก็สิ้นเรื่อง!

http://www.thaipost.net/news/280410/21435
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1795 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:35:33 »

คอลัมม์ของ "ทานขุนน้อย" ว่าด้วย "กรรมของบุคคลและกรรมของสังคม"

กรรมของบุคคลและกรรมของสังคม
ท่านขุนน้อย 28 เมษายน 2553 - 00:00

      ถ้าหากลองมองข้ามช็อตออกไป...ชีวิตทางการเมืองของท่านนายกฯ  อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  น่าจะจบลงคล้ายๆ  กับชีวิตทางการเมืองของท่านอดีตนายกฯ  อาจารย์  เสนีย์  ปราโมช  หลังเหตุการณ์  6  ตุลาคม  2519  ผ่านไปแล้วนั่นแหละ  คือถึงแม้จะสามารถนำความสงบเรียบร้อยกลับคืนมาสู่บ้านเมืองได้ภายในวันสองวันนี้  แต่ความพังพินาศ  เสียหาย  ที่เกิดขึ้นกับประเทศทั้งประเทศในตลอดช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา...มันค่อนข้างยากซ์ซ์เอามากๆ  ที่จะกลับคืนมาสู่เส้นทางการเมืองได้แบบมีชีวิต  ชีวา  เหมือนก่อน...มีแต่จะต้อง...เลือนหายไปในแบบแห้งง์ง์ๆ  อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
            ---------------------------------------------
     ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายเอามากๆ...ที่คนหนุ่มยังมีเรี่ยวแรง  กำลังวังชา  มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ในการก้าวขึ้นมามีตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ   แถมมีจิตใจมุ่งมั่น   เสียสละ  ซื่อสัตย์  บริสุทธิ์  อีกด้วยต่างหาก  แต่จะเป็นด้วยโชคชะตา  เวรกรรมบันดาล  หรืออาจจะเป็นเพราะชาติปางก่อนเคยทำเวร  ทำกรรม  เอาไว้กับพลเอก  อนุพงษ์  เผ่าจินดา  ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันในลักษณะไหนก็มิอาจทราบได้    ชาตินี้เลยต้องมาแบกรับหนี้กรรมร่วมกับ  นายทหารรายนี้  หรือถึงขั้นต้องชดใช้หนี้กรรมแทนนายทหารท่านนี้อย่างน่าอเนจอนาถ  น่าเวทนา  และน่าเสียดาย  แทนประเทศชาติ  และประชาชนคนไทยเป็นอย่างยิ่ง...
           -----------------------------------------------
     ส่วนตัวของพลเอก  อนุพงษ์  เผ่าจินดา  เองนั้น...คงแทบไม่ต้องพูดถึง  การ  ลืมหน้าที่  หรือ  ไม่เคร่งครัดต่อการทำหน้าที่  ตลอดช่วงระยะเวลาไม่รู้จะกี่ปีต่อกี่ปี  นับตั้งแต่ได้ขึ้นมารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก    มันพอใช้เป็นเครื่องพิสูจน์โดยไม่ต้องเสียเวลาไปแยกแยะ  พินิจพิเคราะห์  อะไรกันมากมายว่า  ถ้าหากท่านไม่โง่อย่างถึงที่สุด  ไม่หน่อมแน้มอย่างถึงที่สุดแล้ว   ท่านก็คงหนักไปในทางฉลาด   ในการเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุด  ลื่นไถลได้อย่างถึงที่สุด  ถนัดจัดเจนในการปกป้อง  รักษา  ผลประโยชน์สถานะภาพของตัวเอง  จนทำให้บทบาท  หน้าที่   ความรับผิดชอบ   ในฐานะของคนที่มีตำแหน่งเป็น  ผบ.ทบ.เป็นอะไรที่ตกต่ำ  ทรุดโทรม  ยิ่งไปกว่าการเป็นหัวหน้ายามตามศูนย์การค้าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
           -----------------------------------------------
     และการ  ลืมหน้าที่  หรือ  ไม่เคร่งครัดต่อการทำหน้าที่  ของผบ.ทบ.  ไม่เพียงแต่จะทำให้ชาติบ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย  เรื่องเล็กบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่  เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องอภิมหาวายร้าย  ดังที่เห็นๆ  กันอยู่ในทุกวันนี้  ด้วยเวรกรรมที่ผูกพันกันมากับนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ชาติปางก่อน  หรือชาติไหนๆ  ก็ไม่ทราบได้  ถือได้ว่าท่านมีส่วนอยู่ไม่น้อยในการทำให้ชีวิตทางการเมืองของคนหนุ่มอนาคตไกลอย่างท่านนายกฯ  อภิสิทธิ์  พลอยตกต่ำ  เสื่อมโทรม  ต้องหมดอนาคตลงไปพร้อมๆ  กับผบ.ทบ.  อย่างแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า  อะไรจะเลือดเย็น เหี้ยมโหด  อำมหิต  กันได้ถึงเพียงนี้...
            --------------------------------------------
     อันที่จริงก็มี  ผู้ปรารถนาดี  หลายต่อหลายราย  ที่พยายามหาทาง  สแกนกรรม  หาทางแยกบทบาทหน้าที่ของ   ผบ.ทบ.ผู้ซึ่งกำลังรอเวลาเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  ออกไปจากความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาบ้านเมืองช่วงระยะนี้มาแล้วหลายครั้ง  หลายหน  ไม่ว่าจะผ่านทางตัวนายกรัฐมนตรีเอง  ในฐานะผู้บังคับบัญชาของผบ.ทบ.  หรือผ่านไปทางเบื้องล่างของผู้ใต้บังคับบัญชาของผบ.ทบ.  ในระดับแทบจะทุกทิศทุกทาง...แต่ก็อย่างว่า  กรรม  นั้นมันอาจจะเป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้  ตัดไม่ได้  มีแต่จะต้อง  ชดใช้  ไปตามสภาพเท่านั้นเอง  อำนาจในการใช้กำลังจากทุกหน่วยที่อยู่ในมือผบ.ทบ.  โดยที่ผู้บังคับบัญชาระดับรองลงไปไม่อาจนำไปใช้ได้ง่ายๆ  แม้นว่าอยากจะใช้เพียงใดก็ตาม  กับอำนาจในการบังคับใช้ผบ.ทบ.  ที่อยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี  ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีกลาโหมอีกชั้นหนึ่ง  ก็จึงเกิดการผสมกลมกลืนจนกลายเป็น  กรรมของสังคม  ไปจนได้...
           -----------------------------------------------
     แม้นว่านายกรัฐมนตรีและผบ.ทบ.  จะ  เพิ่งตื่น  แล้วหันมาร่วมแรง  ร่วมใจ  ขจัดปัญหาเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ให้เสร็จสิ้นลงไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่าง มันได้เลยจุดความไว้วางใจ  ความเชื่อมั่น  ของพลเมืองที่มีต่อ  อำนาจรัฐ  ไปเรียบร้อยแล้ว  แก้วที่ร้าวแล้วย่อมยากประสานให้สนิทดังเดิมได้ฉันใด  ความเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐที่อยู่ในมือของผู้นำทางการเมือง  ตำรวจ  ทหาร  หรือต่อระบบราชการทั้งระบบ  ย่อมยากที่จะรื้อฟื้นให้กลับคืนมาสู่ความรู้สึกเดิมๆ  ได้ง่ายๆ...
           ----------------------------------------------
     สำหรับท่านนายกฯ  อภิสิทธิ์  นั้น  แม้ว่าชีวิตทางการเมืองนับแต่นี้ของท่านคงไม่สดใสดังเดิมอีกต่อไปแล้ว   แต่ในแง่ชีวิตความเป็นมนุษย์   ก็คงไม่ถึงกับหนักหนา  สาหัส  ซักเท่าไหร่  เพราะด้วยเจตนา  ความมุ่งมั่น  ความตั้งอกตั้งใจ  ที่จะคลี่คลายปัญหาต่างๆ  อย่างจริงๆ  จังๆ อย่างมาก...ท่านก็คงถูกมองว่า  หน่อมแน้ม  หรือไม่ได้เป็น  ผู้นำในยามศึก  ไปตลอดชั่วชีวิตเท่านั้น  แต่สำหรับพลเอก  อนุพงษ์  นั้น...รับรองได้ว่าถึงจังหวะเกษียณอายุราชการเมื่อไหร่  จังหวะนั้นนั่นแหละ...ท่านอาจถึงขึ้นต้องตกตะลึงพรึงเพริดต่อ  ผลแห่งการกระทำ  หรือ  ผลกรรม  ที่ท่านได้สร้างเอาไว้  จะโดยรู้ตัว  หรือไม่รู้ตัวก็ตาม  ชนิดยากเหลือเกินที่จะมีโอกาสพบกับความสุขในบั้นปลายชีวิตได้เหมือนกับนายทหารโดยทั่วไป...
             ------------------------------------------
     ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้...คงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า  การนำเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งล่าสุด  มาปิดท้ายเอาไว้  ณ  ที่นี้  โดยเฉพาะช่วงที่ทรงระบุเอาไว้ว่า...การที่ประเทศนี้  ผู้ที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะว่านอกจากความเรียบร้อยที่จะเกิดขึ้น   เป็นการแสดงว่ามีเจ้าหน้าที่ในประเทศที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่นอน  อย่างชัดเจน  และตั้งใจที่จะรักษาเอาไว้ซึ่งความเรียบร้อยของประเทศ  ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความตั้งใจในตัวที่จะปฏิบัติงานของตนอย่างซื่อสัตย์  สุจริต  เหมือนกัน...
             -------------------------------------------
     ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก  สุภาษิตจีน...ท่านอาจป้องกันนกแห่งความทุกข์มิให้บินข้ามศีรษะของท่านไม่ได้  แต่ท่านสามารถป้องกันมิให้มันทำรังบนศีรษะของท่านได้...

http://www.thaipost.net/news/280410/21428
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1796 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:38:34 »

ตามด้วยบทบรรณาธิการของ นสพ. แนวหน้าออนไลน์

บทบรรณาธิการ  
 
แนวร่วมของโจรทำลายชาติ (บทบรรณาธิการ)  
 
 
 
การเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองโดยอ้างคำว่าประชาธิปไตยบังหน้าของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันในชื่อ"แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ" หรือคนเสื้อแดงมีลักษณะของความเคลื่อนไหวที่ส่อไปสู่การรวมตัวของกลุ่มกองโจรก่อการร้ายหรือแนวร่วมของโจรทำลายชาติก็คงจะไม่ผิด

 พฤติการณ์ของคนเสื้อแดงที่ใช้กำลังคนหลายหมื่นคนเข้ามายึดสถานที่สาธารณะและชุมนุมกันอยู่ใน กทม.ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมจนถึงวันที่ 27 เมษายนรวมระยะเวลา 47 วันได้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนกทม.เป็นอย่างมาก จนทำให้ประชาชนทนไม่ไหวต้องออกมารวมพลังกันต่อต้านและเรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจปราบปรามกลุ่มคนเหล่านี้ตามกฎหมายที่มีอยู่ในมือ

ตัวการใหญ่ของความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ก็คือนายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีอาญาอยู่ในสาธารณรัฐมอนเตเนโกรในปัจจุบัน นายทักษิณได้ออกมาเผยตัวว่าเวลานี้ตัวเขาเป็นประชาชนชาวมอนเตเนโกรเต็มตัวแล้วซึ่งแสดงว่าเขาไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป

การออกมาปรากฎตัวต่อหน้าสื่อสารมวลชนในต่างประเทศในครั้งนี้ของนายทักษิณนั้นมีเป้าหมายส่งสัญญาณไปยังประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นสาวกของตัวเขาเป็นหลักเพื่อกลบกระแสข่าวลือที่ว่าตัวเขาได้ถึงแก่กรรมไปแล้วเพราะเป็นโรคมะเร็ง

ส่วนเหตุการณ์ในประเทศที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงทั่วประเทศทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดที่มีการใช้กฎหมู่ถืออำนาจเข้าไปตั้งด่านตรวจค้นสะกัดกั้นการเดินทางของประชาชนรวมไปถึงทหารและตำรวจในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอย่างชัดแจ้ง

 ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้สลายการชุมนุมของ นปช.ที่อำเภอคลองหลวงปทุมธานีเมื่อวันที่ 26 เมษายนและได้จับกุมตัวการรวม 11 คนเป็นชาย 9 คนและหญิง 2 คนไปสอบสวนและวันที่ 27 เมษายนได้นำตัวไปส่งศาลจังหวัดธัญบุรีซึ่งศาลท่านได้ปราณีมีเมตตาตัดสินจำคุกบุคคลทั้งหมดเป็นเวลา 15 วันโดยไม่มีการรอลงอาญาซึ่งถือเป็นโทษสถานเบา

เกี่ยวกับกรณีนี้ทางกลุ่มนปช.ที่ยึดสี่แยกราชประสงค์คงจะไม่พอใจและคงมีการปราศรัยโจมตีอีกตามเคย เรื่องที่น่าห่วงก็คือการใช้สื่อวิทยุชุมชนและโทรทัศน์เสื้อแดงโจมตีจาบจ้วงสถาบันอยู่ตลอดเวลาเป็นการล้างสมองและมอมเมาประชาชนโดยมีเป้าหมายปลุกระดมให้ประชาชนทำสงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อวันที่ 27 เมษายนคนเสื้อแดงได้ขัดขวางการเดินรถของรถไฟฟ้าบีทีเอสทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถเดินทางได้การกระทำของคนเสื้อแดงครั้งนี้ยิ่งเป็นการตอกลิ่มให้ประชาชนในกทม.โกรธคนเสื้อแดงมากขึ้นเท่ากับว่าเป็นตัวเร่งให้คนเสื้อแดงตกเป็นผู้ร้ายในสายตาของคน กทม.มากขึ้นไปอีก 
 
วันที่ 28/4/2010
 
http://www.naewna.com/news.asp?ID=208944
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1797 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:44:56 »

ตามด้วย สถานการณ์ของเสื้อหลายสี ที่ไปชุมนุมแสดงความเห็นกันที่"เยาวราช"เมื่อเย็นวานนี้

              

อากง ย่านเยาวราช

ออกมารณรงค์ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่วงเวียนโอเดี้ยน เรียกร้องให้คนเสื้อแดงเลิกชุมนุม และไม่ให้รัฐบาลยุบสภา

http://www.thaipost.net/node/21434
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1798 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:53:00 »

                      

ตามภาพที่ปรากฏ แปลเป็นไทยได้ว่า "บ้านเมือง ต้องมีขื่อมีแป เราจะสนับสนุนรัฐบาล"
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1799 เมื่อ: 28 เมษายน 2553, 09:56:03 »

เขียนไปมากๆ  เหนื่อย ไม่ทราบว่าท่านพี่ป๋อง จะตั้งข้อกล่าวหาว่า  เตือน ออกมายุยงหรือเปล่า??  งง งง
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 70 71 [72] 73 74 ... 131   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><