22 พฤศจิกายน 2567, 15:27:43
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: สุขภาพที่..อาจ..ยังไม่มีในตำรา (แต่อิงวิชาการ..บ้างนะ)  (อ่าน 23569 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2553, 11:18:08 »

สวัสดีครับพี่หมอสำเริง  น้องบิ๊ก..ยศวินทร์

คุณแม่ของบิ๊กอาการดีขึ้นหรือยังครับ
ต้องไปตรวจหาเหตุตามคำแนะนำของพี่หมอสำเริงครับ

แต่..อย่าเพิ่งปักใจเชื่่อหมอที่ตรวจนะครับ
ถ้าฟังแล้วยังไม่สบายใจในข้อสันนิษฐานของหมอ
และรักษาไปสักระยะ อาการยังไม่ดีขึ้น



........................................
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญค้านการทำคลอดลูก ด่วนตัดสายสะดือ

นักวิจัยทางการแพทย์โวยวายขึ้นว่า การตัดสายสะดือเด็กทันทีที่คลอดออกมาเป็นการกระทำที่ด่วนได้ เป็นความเสียหายแก่ทารก หากว่ารอจนกว่าสายสะดือจะหมดหน้าที่ จะเป็นคุณกับสุขภาพเด็กอย่างสำคัญ

วารสารทางวิชาการ "เซลล์และโมเลกุลในทาง การแพทย์" ของสหรัฐฯ รายงานว่า ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเซาธ์ ฟลอริดา ได้กล่าวเตือนสูติแพทย์ว่า การตัดสายสะดือเด็กทันที เป็นการเร็วไป ควรจะรอสัก 2-3 นาที

สาย สะดือ มีหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนจากแม่เข้าสู่ท้องเด็ก การที่หมอรีบใช้ตัวหนีบยึดหนีบสายสะดือเสียก่อน ทำให้ทารกไม่ได้รับเซลล์ ต้นกำเนิดซึ่งมีคุณสมบัติในทางรักษาหลายอย่าง "มันไม่เพียงเป็นการให้เลือดตามปกติเท่านั้น หากยังเป็นการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดธรรมชาติหนแรกด้วย"

หัวหน้าคณะ นักวิจัย หมอปอล ซานเบิร์ก แจ้งว่า ปัญหาของทารกแรกเกิดปกติ มักจะเนื่องมาจากอวัยวะหลายอย่างที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ต้องอาศัยคุณสมบัติในการก่อตัวขึ้นใหม่ของเซลล์ต้นกำเนิดช่วยเหลือ ดังนั้น หากว่าชะลอการตัดสายสะดือเอาไว้ อาจจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะเจ็บป่วยด้วยโรคหลายโรค ตั้งแต่โรคทางเดินหายใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคโลหิตออกในสมอง โรคโลหิตจาง และโลหิตเป็นพิษ กับโรคตาลงได้ ยิ่งเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนดด้วย ยิ่งมีความสำคัญหนัก.


จากไทยรัฐออนไลน์ 29-5-53
http://www.thairath.co.th/content/life/85943

..................................................

อีกตัวอย่างของ "สุขภาพที่..อาจ..ยังไม่มีในตำรา (แต่อิงวิชาการ..บ้างนะ)"

เนื่องจากไม่เคยคิดและสังเกตเอง  เรื่องนี้ถือเป็นของแถมครับ..

เอ้อ..นับเป็นเรื่องที่่ 5 ดีกว่า

      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #26 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2553, 12:16:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ yc เมื่อ 29 พฤษภาคม 2553, 11:18:08
สวัสดีครับพี่หมอสำเริง  น้องบิ๊ก..ยศวินทร์

คุณแม่ของบิ๊กอาการดีขึ้นหรือยังครับ
ต้องไปตรวจหาเหตุตามคำแนะนำของพี่หมอสำเริงครับ

แต่..อย่าเพิ่งปักใจเชื่่อหมอที่ตรวจนะครับ
ถ้าฟังแล้วยังไม่สบายใจในข้อสันนิษฐานของหมอ
และรักษาไปสักระยะ อาการยังไม่ดีขึ้น



........................................
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญค้านการทำคลอดลูก ด่วนตัดสายสะดือ

นักวิจัยทางการแพทย์โวยวายขึ้นว่า การตัดสายสะดือเด็กทันทีที่คลอดออกมาเป็นการกระทำที่ด่วนได้ เป็นความเสียหายแก่ทารก หากว่ารอจนกว่าสายสะดือจะหมดหน้าที่ จะเป็นคุณกับสุขภาพเด็กอย่างสำคัญ

วารสารทางวิชาการ "เซลล์และโมเลกุลในทาง การแพทย์" ของสหรัฐฯ รายงานว่า ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเซาธ์ ฟลอริดา ได้กล่าวเตือนสูติแพทย์ว่า การตัดสายสะดือเด็กทันที เป็นการเร็วไป ควรจะรอสัก 2-3 นาที

สาย สะดือ มีหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนจากแม่เข้าสู่ท้องเด็ก การที่หมอรีบใช้ตัวหนีบยึดหนีบสายสะดือเสียก่อน ทำให้ทารกไม่ได้รับเซลล์ ต้นกำเนิดซึ่งมีคุณสมบัติในทางรักษาหลายอย่าง "มันไม่เพียงเป็นการให้เลือดตามปกติเท่านั้น หากยังเป็นการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดธรรมชาติหนแรกด้วย"

หัวหน้าคณะ นักวิจัย หมอปอล ซานเบิร์ก แจ้งว่า ปัญหาของทารกแรกเกิดปกติ มักจะเนื่องมาจากอวัยวะหลายอย่างที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ต้องอาศัยคุณสมบัติในการก่อตัวขึ้นใหม่ของเซลล์ต้นกำเนิดช่วยเหลือ ดังนั้น หากว่าชะลอการตัดสายสะดือเอาไว้ อาจจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะเจ็บป่วยด้วยโรคหลายโรค ตั้งแต่โรคทางเดินหายใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคโลหิตออกในสมอง โรคโลหิตจาง และโลหิตเป็นพิษ กับโรคตาลงได้ ยิ่งเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนดด้วย ยิ่งมีความสำคัญหนัก.


จากไทยรัฐออนไลน์ 29-5-53
http://www.thairath.co.th/content/life/85943

..................................................

อีกตัวอย่างของ "สุขภาพที่..อาจ..ยังไม่มีในตำรา (แต่อิงวิชาการ..บ้างนะ)"

เนื่องจากไม่เคยคิดและสังเกตเอง  เรื่องนี้ถือเป็นของแถมครับ


ตอบน้องยังชิน

คุณแม่ของบิ๊กอาการดีขึ้นหรือยังครับ

น้องบิ๊กส่งข่าวตอบมาว่ารักษาแบบกรดไหลย้อนแล้วดีขึ้นได้แนะนำให้ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามโรค

พี่ได้นำข่าวอย่าด่วนตัดสายสะดือนี้ไปโพสต์บอกให้ที่เวบ ร.พ.พนมสารคาม ให้ทุกคนได้ทราบแล้ว

ขอขอบคุณที่นำมาให้ทราบครับ

http://forums.212cafe.com/panom/board-2/topic-117.html

ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2553, 08:53:44 »

เรื่องที่ 6

จริงหรือถ้าเป็นเรื่องสุขภาพร่างกาย ต้องยกให้แพทย์ เภสัชกร

ความอึดอัดของผม พลุ่งพล่านมาหลายหนแล้ว เมื่อเห็นสื่อหรือนักวิชาการ มักแนะนำประชาชนไปในทำนองว่า
อย่าคิดเองอย่าตัดสินใจเอง ต้องปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร อะไรทำนองนี้

และยิ่งรายการตีสิบ เมื่ออังคารที่15มิย53 เรืื่องแพ้ยา..แล้วยกความผิดพลาดที่มีผลต่อชีวิตหญิงนั้นไปที่การแพ้ยา

ผมหัวเราะมิได้ ร้องไห้มิออกจริงๆ  เมื่อไร คนทีมีศักยภาพในสังคม จะเสนอแนะสิ่งที่สร้างปัญญาได้อย่างจริงจัง

ในรายการคืนนั้น ผมดูแล้ว ผมอยากบอกว่า  ความเสียหายทั้งสิ้น เกิดที่่ความไม่รู้ของหญิงนั้น และความเสียหายเพิ่มขึ้นมากมาย เกิดเพราะการรักษาที่ผิดพลาด

ชีวิตผม สัมผัสกับการรักษาทีผิดพลาดมาหลายครั้ง

ครั้งแรก คุณตาของผม พยาบาลจ่ายยาผิดพลาด ทำให้ตาซึ่งมีปัญหาของระบบหายใจอยู่แล้วแย่ลง เพราะยาที่จ่ายผิด
นอกจากไม่ช่วยรักษาแล้ว ผลข้างเคียงของยากลับทำให้มีสารคัดหลั่ง(ของเหลวที่ร่างกายหลั่งออกมา)ในระบบหายใจเพิ่มขึ้น
ผลคือ ร่างกายตาทรุดหนักลง และเป็นเหตุให้ ตาเสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน

ครั้งที่สองต่อเนื่่องครั้งที่สาม  แม่ผมซึ่งเป็นเบาหวานมาร่วมสิบปี ขณะเกิดเหตุการณ์นี้ แม่อายุ64  เริ่มที่มีแผลที่ปลายนิ้วเท้าเล็กน้อย ไม่ได้ไปหาหมอ ต่อมาเท้าบวมจนครึ่งหน้าแข้ง แล้วก็ยุบดีขึ้น แต่แผลยังไม่ทันหาย ด้วยความไม่สบายใจจึงมีคนพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลมีชื่อของรัฐ...แล้วแพทย์ก็เปิดปากแผล เพื่อพยายามดู..แต่ไม่พบสิ่งปกติ....ทิ้งไว้วันรุ่่งขึึ้น  หน้าแข้งที่เคยยุบไปบวมช้ำขึ้นอีก..แพทย์ผู้ดูแล เกิดความกังวล คิดว่า ถ้าปล่อยไว้อาจต้องตัดถึงเข่า รีบพาเข้าห้องผ่าตัด...แล้วนิ้วเท้าที่เป็นแผลและข้างเคียง ก็ถูกตัดออกไป (ตอนนั้นผมไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้ทัน โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้..)

บางที ถ้่าแพทย์สนใจซักถาม พัฒนาการของโรคอย่างละเอียดสักหน่อย ก็อาจได้ข้อมูลที่นำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องกว่านี้
(แม่เป็นคนที่แผลหายง่าย เริ่มเป็นแผลที่นิ้วเท้าประมาณ 5 วัน จึงไปหาหมอ)

ต่อเนื่่องครั้งที่สามเลยครับ...แผลผ่าตัดของแม่ยังไม่หาย นอน รพ.ต่อ  หมอคนเดิม ตรวจแผลแม่ เมื่อแตะใต้แผล ก็ถามว่า "เจ็บไหม" แม่ตอบว่า "เจ็บ"...หมอฟุ้งซ่านอีกแล้วครับ  คิดว่าต้องมีการอักเสบซ่อนเร้นอยู่ (ทั้งที่คำว่าเจ็บของแม่นั้น ผมถามแม่ว่า เจ็บ หรือ รู้สึก  แม่ตอบว่า รู้สึก คือ รับรู้การสัมผัสของหมอแต่ไม่ใช่เจ็บ) หมอบอกว่าต้องเจาะใต้เท้าดูว่ามีการอักเสบอยู่ไหม...ผมพยายามอธิบายกับหมอว่า หมอเขาใจผิด หมอไม่ได้ดูพัฒนาการของโรคเลย...แต่หมอไม่ฟังผมพยายามจะให้ แม่อยมให้เจาะ...ผมมีญาติเป็นหมอที่นั่นซึ่งร่วมดูแลอยู่ด้วย ผมคุยกับท่่าน ท่านก็ไม่ฟังผม หาว่าผมดื้อ  ในที่สุด ผมก็ยอมอ่อนให้ ไปกล่อมแม่ให้ยอมทำตามหมอบอก......
ผลหรือครับ...หมอเจาะลงไปตื้นๆไม่พบอะไร  จึงเจาะลึกลงไปอีก...แล้วคำตอบที่ได้คือ...สบายใจได้นะครับป้า ไม่มีการอักเสบ
(แล้วแผลบริเวณนี้ก็ไม่เคยหายขาดเลยจนแม่เสียชีวิต เข้าใจว่าเป็นเพราะระบบไหลเวียนของเลือดท่ีีี่ไปเลี้ยงบริเวณดังกล่าวเสียหายไปเนื่องจากการผ่าตัด)

ครั้งที่สี่ เรื่่องของแม่ผมเช่นกันครับ ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งที่สามนั้นแหละ แผลจากการเจาะ ไม่หายตลอดหนึ่งปีจนแม่เสียชีวิต หลายครั้ง ที่แม่มองเท้าตัวเองแล้วร้องไห้จิตใจแม่หดหู่กับการรักษาแผลใต้ฝ่าเท้า จิตใจแย่ กินน้อยหลับยาก ในที่สุดแม่มีอาการปวดหัวไหล่ซ้าย แล้ว แม่ก็เสียชีวิตที่โรงพยบาล...ผมไม่กล้าฟันธงว่าเสียชีวิตเพราะยา แต่ก็มีข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตของแม่ เกิดขึ้นภายหลังที่หมอสังจ่ายยา 2 ชนิด เพื่อลดความเจ็บปวดให้แม่ ยาทั้งสองเสริมฤทธิ์กันกดประสาท และมีผลข้่างเคียงคืออาจคลื่นไส้อาจเจียน  แต่ก็ไมไ่ด้มีการห้ามคนไข้ทานอาหาร แม่ทานอาหารแล้วหลับไป จนพบฟองอากาศปรากฎที่ปาก จึงรู้ว่าแม่ไม่หายใจแล้ว (ผมเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องเลย ทุกครั้งที่มีเหตุใหญ่อยู่ไกลทุกที) แล้วก็ช่วยไม่ทัน ปั๊มหัวใจคืนมา.. นอนหนึ่งคืนพวก็เราก็ยอมแพ้เมื่อหัวใจหยุดเต้นอีกครัง
(ผมสันนิษฐานว่า มีอาหารสำลักเข้าไปอุดในทางเดินหายใจ  แต่ก็ไม่อยากทำร้ายร่างกายแม่ เพราะแม่เชื่อและรักในร่างกายของท่าน)
 
ยังมีครั้งที่สี่ที่ห้าอีกครับ......ในชีวิต เคยช่วยให้หนุ่มคนหนึ่งมีนิ้วเท้าอยู่ครบ เพราะหมอจะตัดออก แต่ผมทดสอบแล้วบอกหนุ่มนั้นว่าอย่าเพิ่งให้รอดูก่อน..ดีใจที่เขาเชื่อผม


............................

อนาคต เขาจะสอนและแนะนำประชาชนอย่างนี้ครับ...หมอที่ดีที่สุดคือตัวของเราเอง เพียงแต่ต้องพยายามหาความรู้ ปรึกษาผู้รู้ให้หลากหลาย อย่าปักใจเชื่อหรือฝากชีวิตไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง




      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #28 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2553, 10:57:51 »


สวัสดีครับ....พี่ยังชิน

อยากขอความรู้เรื่องการล้างตับหน่อยครับ (ประมาณว่า..ดี-ไม่ดี อย่างไร)
      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 11:45:05 »

แหลม สวัสดีครับ
ล้างตับที่ว่า หมายถึงที่เขาแนะนำให้กินผักผลไม้ น้ำมันมะกอก และดีเกลือใช่ไหม
ผมไม่ค่อยรู้นัก แต่ที่อ่านดูก็ไม่มีอะไรเสียหาย ดีเกลือทีเป็นแมกนีเซียม เป็นตัวช่วยให้ระบาย

ก็น่าลองดูได้ ได้ผลยังไงเอามาเล่าสู่กันฟังบ้าง
ถ้าเป็นอย่างที่เขาเล่ามา ก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็ถือว่่าได้ชำระล้างทางเดินอาหารแล้วกัน
      บันทึกการเข้า
จุ๊ง2522
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 781

« ตอบ #30 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 15:46:47 »

แหลมเขาชอบกินตับหวาน อาจจะไม่ได้ล้างมือก่อนกิน ไม่เหมือนผมที่ต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอลทุกครั้งก่อนและหลังทานอาหาร เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องตับเท่าไร โดยเฉพาะผมใช้แอลกอฮอลเข้าไปล้างถึงในตับทุกวันเว้นวัน ตับของผมยิ่งสะอ๊าด สะอาด ว่าแล้วเย็นนี้เพื่อความมั่นใจ ผมท่าจะต้องไปล้างตับอีกรอบ
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #31 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 19:39:59 »

กลับมาจากใช้แอลกอฮอลล้างตับแล้วหรือจุ๊ง?......ไปล้างที่ไหนมาล่ะ?
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #32 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 19:49:10 »

กี่ดีกรีพี่?
อย่าล้างมาก
เดี๋ยวตับ..แข็ง!
      บันทึกการเข้า


Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #33 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 20:43:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ yc เมื่อ 20 มิถุนายน 2553, 11:45:05
แหลม สวัสดีครับ
ล้างตับที่ว่า หมายถึงที่เขาแนะนำให้กินผักผลไม้ น้ำมันมะกอก และดีเกลือใช่ไหม
ผมไม่ค่อยรู้นัก แต่ที่อ่านดูก็ไม่มีอะไรเสียหาย ดีเกลือทีเป็นแมกนีเซียม เป็นตัวช่วยให้ระบาย

ก็น่าลองดูได้ ได้ผลยังไงเอามาเล่าสู่กันฟังบ้าง
ถ้าเป็นอย่างที่เขาเล่ามา ก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็ถือว่่าได้ชำระล้างทางเดินอาหารแล้วกัน


ขอบคุณครับ.......พี่ยังชิน

ผมไปเข้าโปรแกรมล้างตับ - Liver Flush (ครั้งที่2) ตั้งแต่เมื่อวาน เพิ่งกลับบ้านบ่ายวันนี้.

แล้วจะโทรหาพี่ครับ..........
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><