ti2521
|
|
« ตอบ #1175 เมื่อ: 04 กันยายน 2554, 21:19:20 » |
|
.....สวัสดีครับ เฮียหนุน หลังจากเพิ่งคุยกัน๕๕ เดี๋ยวมาดูผัก จิงจูฉ่าย ครับ.....จิงจูฉ่าย หรือ เซเลอรี เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ส่วนมากนิยมนำไปใส่ในเกาเหลาเลือดหมูเพราะช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ การแพทย์แผนจีนโบราณถือว่าผักชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นยาเย็น(หยิน)มีรสขม ลักษณะต้นขึ้นเป็นกอคล้ายต้นใบบัวบก เจริญงอกงามในที่แดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ สรรพคุณทางยา ต้นและใบ มีน้ำหอมระเหย ประกอบด้วยสารไลโมนีน (limonene) ซิลินีน (selinene) และสารกลัยโคไซด์ (glycosides) มีชื่อว่า อะปิอิน (apiin) ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ทำให้เส้นเลือดขยายตัว ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยคุมกำเนิด ต้นสดและเมล็ด มีโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต จาก วิกิพีเดีย ครับ
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1176 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 14:39:47 » |
|
.....ราชา แห่ง เครื่องเคี้ยวมัน..... แมคาเดเมีย
แมคาเดเมีย (อังกฤษ: macadamiaฟังเสียง)
เป็นไม้ยืนต้นจำพวกหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ Protaceae
ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Macadamia integrifolia
แม้ว่ามะคาเดเมียจะมีลักษณะเหมือนถั่ว แต่มันกลับไม่ใช่พืชตระกูลถั่ว เพราะไม่ได้อยู่ในวงศ์ Legume
แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็เป็นต้นไม้ประเภทนัทที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมากและมีราคาสูง
ต้นมะคาเดเมียเป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดส่วนใหญ่มาจากออสเตรเลีย ต้นไม้ชนิดนี้จะให้ผลดีก็ต่อเมื่อปลูกบนพื้นที่ค่อนข้างสูง
จาก วิกิพีเดีย
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1177 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 15:28:26 » |
|
สวัสดียามบ่ายครับ.......พี่ตี๋..พี่ตู่..พี่อร..พี่อ้อย..พี่หนุน..น้องหยี และพี่น้องทุกท่าน
มะคาเดเมีย... เมืองไทยยังราคาสูงจริงๆ กระป๋องเล็กๆก็เกือบ 200 บาทแล้วครับ มีคนรู้จักอยู่ที่ฮาวายบอกว่าที่นั้นถูกกว่าบ้านเราเยอะเลย...
กาแฟมะคาเดเมียก็หอมอร่อยครับ...
|
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1178 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 21:25:39 » |
|
.....สวัสดีครับ เสี่ยแหลม พี่ก็ว่าบ้านเราราคาค่อนข้างสูง แต่กาแฟมะคาเดเมียยังไม่เคยชิมเลยครับ ไว้ต้องลองชิมบ้างล่ะ.....
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1179 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 21:33:54 » |
|
.....ทับทิม..... ทับทิม (punica) ชื่อท้องถิ่น เซี๊ยะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง
เป็นไม้ผลขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 5-8 เมตร
ทับทิมมีถิ่นกำเนิดจากตะวันออกของประเทศอิหร่าน ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานและทางตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ทับทิมจึงชอบอากาศหนาวเย็นและอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะอย่างน้อย 300 เมตร ยิ่งอากาศหนาวเนื้อทับทิมจะมีสีแดงเข้มมากขึ้น
ผลทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้มีรสหวานหรือเปรี้ยวอมหวานทับทิมเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
น้ำทับทิมมีวิตามินซีสูงและยังมีสารเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่สูงเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย น้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและมีประสิทธิภาพสูงมากสามารถลดภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง บรรเทาโรคโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มพลังและความงาม ดื่มน้ำทับทิมคั้นวันละแก้วจะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงและช่วยเสริมสุขภาพของหัวใจให้ดีขึ้น
เปลือกทับทิมรักษาโรคท้องเดินและโรคบิด จากการศึกษาวิจัยพบว่าในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง 22-25% โดยประกอบด้วยสารแทนนินในกลุ่ม มี Gallotannin เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้
นอกจากนี้ยังพบสารแทนนินในกลุ่ม Ellagictannin ในปริมาณสูงสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี โดยมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งกว่า 13 ชนิด ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร และลำไส้ใหญ่ ซึ่งพบว่าการให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลอง สารดังกล่าวจะไปเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็งแบบอะมอพโดซีส (Amoptosis) ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้
ทับทิมเป็นผลไม้มงคลของจีน กิ่งใบทับทิมเป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้ทุกงานที่มีน้ำมนต์ประกอบพิธี โดยจะใช้พรมน้ำมนต์และ มีไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัย
มีเรื่องเล่าว่า เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกนำมาเผยแพร่ในเมืองจีนพร้อมกับ พระพุทธศาสนา ซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า " พระถังซัมจั๋ง " ได้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกที่อินเดีย ท่านได้นำพันธุ์ไม้ต่างๆ มาด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือทับทิม
ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมาก จึงสื่อความหมายถึงการ ให้มีลูกชายมากๆ
จาก วิกิพีเดีย ครับ .....ลองทำวิธีนี้ ง่ายดีครับ หลังจากนั้นเอาเม็ดทับทิมใส่ถุงพลาสติกใสบีบให้แตกทั่วๆกันเทน้ำทับทิมใส่แก้ว ครับ.....
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1180 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 00:43:04 » |
|
ภาพวาด,รูปหล่อ หรือรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ส่วนใหญ่จะถือกิ่งเซี๊ยะลิ้ว(หรือกิ่งทับทิม) ด้วยครับ.
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1181 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 00:45:32 » |
|
ถ้าผมเจออีกเมื่อไร จะเอาไปกำนัลพี่... แน่นอน ครับ
|
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #1182 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 08:02:17 » |
|
...สรุปแล้วทับทิมมีประโยชน์มากๆค่ะ...และเป็นเครื่องหมายของความเป็นสิริมงคล...
...วันแต่งงานแบบจีนๆ...พี่ตู่ยังต้องเอากิ่งทับทิมมาทัดหูเลยค่ะ...
...ขอบคุณน้องตี๋นะคะสำหรับเกร็ดน่ารู้ที่นำมาลงค่ะ...
...ผักจิงจูฉ่าย...พี่ตู่ไม่รู้จักค่ะ...แต่พอบอกว่าคือเซเลอรี่...ก็เคยได้ทานบ้างค่ะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1183 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 22:03:10 » |
|
.....สวัสดีครับ เฮียหนุน พี่ตู่ พี่อร พี่อ้อย เสี่ยแหลม น้องหยี วันนี้มาดู รากครับ..... .....รากบัว..... รากบัว สายบัว ไหลบัว คนจีนนิยมใช้แทบทุกส่วนของบัวมาเป็นประโยชน์ในการทำอาหาร
รากหรือเหง้าบัวนำมาหั่นเป็นแว่นต้มกับกระดูกหมูเป็นแกงจืด รสอร่อยออกกลิ่นถั่ว
เอามาเชื่อมน้ำตาลกินเป็นของหวาน
กินเป็นผักแนมรากบัวที่หั่นเป็นแว่นเฉียงเนื้อเป็นรู ๆ
เมล็ดบัว คนจีนนิยมใช้ทำเป็นของหวาน ต้มน้ำตาลธรรมดาเป็นเมล็ดบัวร้อนหรือใส่น้ำแข็งเป็นเมล็ดบัวเย็น
คนจีนจะพิถีพิถันเกี่ยวกับคุณภาพและการเตรียมเมล็ดบัวที่จะนำไปปรุงอาหารเป็นพิเศษ ต้องเลือกที่เมล็ดโตและเนื้ออิ่ม
อีกอย่างหนึ่งที่ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาหารจีน ก็คือใช้ใบบัวห่ออาหารที่นำไปนึ่งให้สุกอย่าง “ข้าวห่อใบบัว” ก็เป็น
อาหารจีนที่เคยแพร่หลายมาก
คนญี่ปุ่นก็ใช้รากบัวมาทำอาหาร โดยส่วนใหญ่ใช้แว่นรากบัวประดับจานอาหาร
คนอินเดียก็ใช้ทั้งรากบัวและสายบัวทำอาหาร
คนไทยนิยมนำสายบัว (ก้านบัว) ของสายบัวมาทำผัดสายบัวหรือแกงสายบัว คนจีนนิยมกินบัวกันมากเพราะเชื่อว่าบัวเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เพราะดอกบัวเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเปรียบดอกบัวเหนือน้ำเป็นความบริสุทธิ์เป็นปัญหาที่สามารถถีบตัวหนีโคลนตมใต้ดินขึ้นมาได้
นอกจากนั้นยังถือว่าบัวเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการเจริญพันธุ์ออกลูกออกหลาน
เป็นสัญลักษณ์ความงามแท้ของแม่หญิงในพิธีวิวาห์ของคนจีน ให้คู่บ่าวสาวกินรากบัวเพราะรากบัวเมื่อถูกหักยังเหลือใย
ไม่ขาดจากกันง่าย ๆ เหมือนสำนวนไทยว่า “ตัดบัวยังเหลือใย”
บัวยังเป็นอาหารที่เก่าแก่ คนจีนยังถือว่ารากบัวเป็นยาชนิดหนึ่งด้วย
เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในยาต้มยาหม้อต่าง ๆ
สายบัวที่กินได้ต้องเป็นสายบัวของ “ บัวสาย” เท่านั้น
ส่วนรากบัว เมล็ดบัว และใบบัวนั้นเป็นของ “บัวหลวง”
ไหลบัวเป็นหน่ออ่อนใต้ดินของบัวหลวง ซึ่งเป็นเราเอาฝักมากินเมล็ดอ่อนและเมื่อแก่ก็เอามากินเป็นเมล็ดบัว ประโยชน์ รากบัวมีสรรพคุณเป็นยาบำรุง เป็นยาอายุวัฒนะ
รากบัวเป็นยาเย็นที่ใช้เป็นส่วนประกอบในยาหม้อ สายบัวเป็นอาหารลดน้ำหนักได้ดี ครับ
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1184 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 16:50:12 » |
|
สวัสดียามเย็นครับ..... พี่ตี๋..พี่ตู่..พี่อร..พี่อ้อย..พี่หนุน..น้องหยี และพี่น้องทุกท่าน
|
|
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1186 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 18:52:31 » |
|
.....สวัสดีครับ เสี่ยแหลม อยากชิมเหมือนกันครับ.....
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1187 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 18:59:28 » |
|
สวัสดีครับ... พี่ตี๋
หิวข้าวเลย....
ขอออฟไลน์ไปหาอะไรทานก่อนนะครับ...... ดึกๆจะเข้ามาใหม่ครับพี่.
|
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1188 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 19:07:42 » |
|
.....ครับ ของพี่เย็นนี้ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวผัดทรงเครื่อง น้ำทับทิม ครับ ดึกๆเจอะกันครับเสี่ยแหลม..........
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
ภาณุ ปาตานี
|
|
« ตอบ #1189 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 21:21:27 » |
|
สวัสดีครับพี่ตี๋ กาแฟมาะเด้อเมีย นี่ ท่าทางจะดุนะครับ..เลยแพง
|
|
|
|
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
ออฟไลน์
รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562
|
|
« ตอบ #1190 เมื่อ: 10 กันยายน 2554, 11:43:07 » |
|
สวัสดีค่ะ น้องตี่ และทุกคน น้ำทับทิม และน้ำรากบัว ทานบ่อยและชอบค่ะ ผัดไหลบัวก็อร่อยนะคะ แต่ไหลบัวหาซื้อไม่ง่ายนัก ต้องไปตามตลาดต่างจังหวัด นานเจอที แต่ที่ตลาดดอนหวายมีค่ะ
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1191 เมื่อ: 10 กันยายน 2554, 18:40:09 » |
|
สวัสดียามค่ำครับ..... พี่ตี๋..พี่ตู่..พี่อร..พี่อ้อย..พี่หนุน..น้องหยี..น้องยา และพี่น้องทุกท่าน
แกงส้มมะละกอใส่ไหลบัวก็อร่อยครับ.... พี่ตี๋, พี่อร
|
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1192 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 21:08:35 » |
|
.....สวัสดี พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่านครับ มาดู รำข้าว กัน ครับ..........รำข้าว.....
รำข้าว คือ เยื่อสีทองที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าวกล้องหรือข้าวทั่วไป
เป็นส่วนที่มีคุณค่า ทางโภชนาการสูงที่สุดของข้าว
น้ำมันที่ได้จากรำข้าว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากนำข้าวที่มีรำข้าวอยู่ มาผ่านกระบวนการบีบอัดและได้น้ำมันออกมา
เราถึงเรียกว่า “น้ำมันรำข้าว”
น้ำมันรำข้าวอุดมไปด้วยวิตามินและสารธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพทั้งวิตามินอี และกลุ่มโทโคฟีรอล (Tocopherol)
โทโคไตรอีนอล (Tocotrienol)
รวมทั้งโอรีซานอล (Oryzanol) ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยต้านอนุมูลอิสระ
ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
นอกจากนี้ รำข้าวที่นำมาสกัดน้ำมันยังมีส่วนของจมูกข้าวอยู่ด้วยถึง 30% ทำให้น้ำมันรำข้าวอุดมสารอาหารที่มีคุณค่ามากมาย จะเห็นว่ารำข้าวหรือน้ำมันที่ได้จากรำข้าว มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล ที่มา www.organicthailand.com
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1193 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 23:25:51 » |
|
สวัสดียามดึกครับ..... พี่ตี๋..พี่ตู่..พี่อร..พี่อ้อย..พี่หนุน..น้องหยี..น้องยา และพี่น้องทุกท่าน
แสดงว่าคนไทยฉลาดมานานแล้ว...... เพราะให้หมูกินรำข้าวเป็นอาหารมานานแล้วเหมือนกัน
|
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #1194 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 01:00:21 » |
|
รำข้าวเมื่อสกัดน้ำมันออกไปแล้ว อัตราโปรตีนจะสูงขึ้นด้วย เวลาขายจึงได้ราคาดีกว่ายังไม่ได้สกัดน้ำมัน
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
Pete15
|
|
« ตอบ #1195 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 08:29:42 » |
|
สวัสดี ครับ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน กำลังเก็บข้อมูล ยามแก่ จะอยู่กับธรรมชาติ ตอนนี้อยู่ในเมืองไปก่อน อิฐ หิน ปูน ทราย
|
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #1196 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 09:20:03 » |
|
...สวัสดีค่ะ...น้องๆทุกท่าน...
...ขอบคุณน้องตี๋สำหรับบทความที่ดีและมีประโยชน์ค่ะ...
...ตอนพี่ตู่แต่งงาน...เจอแต่กิ่งทับทิมค่ะ...รากบัวไม่เจอ...
...ส่วนน้ำมันรำข้าว...และจมูกข้าว...พี่ตู่ก็กำลังทานวิตามินชนิดนี้อยู่ค่ะ...
...และขอสนับสนุนว่า...ผลที่ได้จากการทานวิตามินนี้เป็นเวลา 8 เดือนแล้ว...
...ลดคลอเรสเตอรอล...ลดอาการแพ้คลอรีนจากสระว่ายน้ำ...แก้อาการปวดศรีษะ...
...ซึ่งแต่ก่อนนี้พี่ตู่เป็นประจำค่ะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1197 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 13:55:28 » |
|
.....แถมน้ำมันรำข้าว ผลิตไม่ทัน ออเดอร์ส่งออกอีกครับ (อันนี้อดีตผู้บริหารน้ำมันพืชชิมเค้าเล่าให้ฟัง ครับ).....
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #1198 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 14:10:05 » |
|
.....สวัสดีครับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ครับ วันนี้ไปดู ไม้ใหญ่กันครับ..... .....ตาล..... ตาล หรือ โหนด ในภาษาใต้ (อังกฤษ: Asian Palmyra palm, Toddy palm, Sugar palm, Cambodian palm) เป็นพันธุ์ไม้พวกปาล์มขนาดใหญ่ สกุล Borassus ในวงศ์ปาล์ม (Arecaceae) เป็นปาล์มที่ แข็งแรงมากชนิดหนึ่ง และเป็นปาล์มที่แยกเพศกันอยู่คนละต้น ต้นสูงถึง 40 เมตร และโตวัดผ่ากลางประมาณ 60 เซนติเมตร ลำต้นเป็นเสี้ยนสีดำแข็งมาก แต่ไส้กลางลำต้นอ่อน บริเวณโคนต้นจะมีรากเป็นกลุ่มใหญ่ ใบเหมือนพัดขนาดใหญ่ กว้าง 1 – 1.5 เมตร มีก้านเป็นทางยาว 1 – 2 เมตร ขอบของทางของก้านทั้งสองข้าง มีหนามเหมือนฟันเลื่อยสีดำแข็ง ๆ และคมมาก โคนก้านแยกออกจากกันคล้ายคีมเหล็กโอบหุ้มลำต้นไว้ ช่อดอกเพศผู้ใหญ่ รวมกันเป็นกลุ่มคล้ายนิ้วมือ เรียกว่านิ้วตาลแต่ละนิ้วยาวประมาณ 40 เซนติเมตร และโตวัดผ่า กลางประมาณ 1.5 – 2 เซนติเมตร โคนกลุ่มช่อจะมีก้าน ช่อรวมและมีกาบแข็ง ๆ หลายกาบหุ้มโคนก้านช่ออีกทีหนึ่ง ช่อดอกเพศเมียก็คล้าย ๆ กัน แต่นิ้วจะเป็นปุ่มปม ปุ่มปมคือดอกที่ติดนิ้วตาล ดอกหนึ่ง ๆ โตวัดผ่ากลางประมาณ 2 เซนติเมตร และมีกาบแข็ง ๆ หุ้ม แต่ละดอก กาบนี้จะเติบโตไปเป็นหัวจุกลูกตาลอีกทีหนึ่ง ผลกลมหรือรูปทรงกระบอกสั้น ๆ โตวัดผ่ากลางประมาณ 15 เซนติเมตร ผลเป็นเส้นใยแข็งเป็นมัน มักมีสีเหลืองแกมดำคล้ำเป็นมันหุ้มห่อเนื้อเยื่อสีเหลืองไว้ภายใน ผลหนึ่ง ๆ จะมีเมล็ดใหญ่แข็ง 1 – 3 เมล็
ต้นตาลตัวผู้จะมีลักษณะที่แตกต่างจากต้นตาลตัวเมียเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้นตาลตัวผู้จะออกงวงเป็นช่อ ไม่มีผล ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "จั่น" ถ้าการเวียนของทางใบวนไปทางซ้ายมือจะเป็นตาลตัวผู้ ต้นตาลตัวผู้จะสังเกตจาก ใบและงวง เพราะถือเป็นเอกลักษณ์ของต้นตาลตัวผู้อย่างชัดเจน ส่วนต้นตาลตัวเมียนั้นจะมีลักษณะ การเรียงตัวของทางใบ ถ้ามีการเรียงตัววนไปทางขวามือจากบริเวณโคนไปสู่ยอดจะเป็นต้นตาลตัวเมีย
แต่ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ต้นตาลตัวเมียจะต่างจากต้นตาลตัวผู้ตรงที่ต้นตาลตัวเมียจะมีลูกเป็นช่อ ๆ หรือชาวบ้านเรียกว่า "ทะลายตาล"
จังหวัดเพชรบุรีมีต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย ดังปรากฏหลักฐานจาก “นิราศเมืองเพชร” ของสุนทรภู่ ความตอนหนึ่งว่า ทุกประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล
ด้วยเหตุนี้ ต้นตาลจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเพชรบุรีคู่กับเขาวัง หรือพระนครคีรี ปรากฏเป็นตราและธงประจำจังหวัดเพชรบุรี สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ต้นตาลเมืองเพชร ให้ผลผลิตน้ำตาลโตนดที่ดีที่สุดมาตั้งแต่สมัยโบราณตราบจนถึงปัจจุบัน จึงมีชื่อเสียงติดปากคนทั่วไปว่า “น้ำตาลเพชรบุรี” เพราะมีรสหวานหอมอร่อย มีรสชาติกลมกล่อมชวนรับประทาน จนเป็นที่มาของคำว่า “หวานเหมือนน้ำตาลเมืองเพชร” ดังนั้นต้นตาลจึงนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดเพชรบุรี โดยทั่วไปชาวชนบท ชาวนาจะปลูกข้าวและทำตาลควบคู่กันไป ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกต้นตาลไว้บริเวณคันนา ในตัวเมืองเพชรบุรี ก็ปรากฏว่ามีการปลูกต้นตาลเช่นกัน บริเวณที่มีต้นตาลมากที่สุดของจังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ท้องทุ่งตำบลหนองไม้เหลือง ตำบลโตนดหลาย ตำบลไร่ส้ม ตำบลโรงเข้ เป็นต้น และทุกท้องที่ในเขตอำเภอบ้านลาด เมื่อมองผ่านต้นตาล จะมองไม่เห็นท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีการทำนา 2 ครั้ง เป็นผลให้ต้นตาลปรับสภาพไม่ทัน เพราะพื้นที่มีน้ำมากเกินไป กลายเป็นที่มีน้ำท่วมขัง ต้นตาลไม่ได้พักตัวที่เรียกว่า “แต่งตัว” ในที่สุดก็ต้องยืนต้นตายภายในเวลาไม่นานนัก เพราะระบบนิเวศเปลี่ยนจากเดิม ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
ต้นตาลในจังหวัดเพชรบุรี ยังแบ่งออกได้เป็น 2 พันธุ์ ดังนี้ ตาลบ้าน มีจำนวนเต้าตาลในแต่ละผล 1-4 เต้า แบ่งสายพันธุ์ย่อยได้อีก 3 พันธุ์ คือ ตาลหม้อ มีผลขนาดใหญ่ ผิวดำคล้ำ ตาลไข่ มีผลสีขาวเหลือง ผลขนาดเล็กกว่า แต่เต้าตาลใหญ่ขนาดใกล้เคียงกับตาลหม้อ (มีเนื้อหุ้มเต้าตาลบาง) ตาลจาก มีผลในทะลายแน่นคล้ายทะลายจาก
ตาลป่า มีผลเล็กขนาดตาลไข่ มีผลเขียวคล้ำ มีเต้า 1-2 เต้า ลำต้นสีเขียวสด ก้านใบยาว (บางคนเรียกว่า ตาลก้านยาว) พบแถบเขาแด่น อำเภอบ้านลาด และในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตาลป่ายังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก เพราะมักขึ้นอยู่ในป่า
ประโยชน์ของต้นตาล ต้นตาลเป็นต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองเพชรบุรี ที่แข็งแรงยืนยง สามารถทนแล้ง ทนฝน และกระแสลมร้อนหนาวตามสภาพดินฟ้าอากาศได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องบำรุงรักษามากนัก นอกจากต้นตาลจะให้ประโยชน์ในการทำน้ำตาลโตนดแล้ว ส่วนต่าง ๆ ของต้นตาลยังมีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อีก เช่น
ลูกตาลเมื่อปอกเปลือกออกแล้ว ตาลตัวเมียจะมีลูกตาลต้องตัดเมื่อยังไม่สุก เพื่อให้ได้เต้าตาลหรือ ลอนตาล ในลูกตาลหรือผลตาล 1 ผล จะมีเต้าตาลประมาณ 2-3 เต้า ภายในเต้าตาลอ่อนนี้มีน้ำขังอยู่ รับประทานได้ทันที หรือนำมาหั่นบาง ๆ ใส่น้ำแข็งไส โรยน้ำหวาน และนมข้น นมสด บางครั้งก็นำไปต้มในน้ำเชื่อม เรียกว่า ลอนตาลลอยแก้ว ตาลตัวเมียที่กำลังจะมีลูกตาลแต่ยังไม่มีลูกตาลเรียกงว่า งวงตาล
เกิดจากผลแก่จัดของต้นตาลตัวเมีย เมื่อผลหล่นลงมาชาวบ้านจะเก็บรวบรวมกองไว้ ต่อมาต้นตาลตัวเมียจะแทงส่วนที่คล้ายรากงอกออกมาลงสู่พื้นดิน เรียกว่า “งอกตาล” ส่วนนี้จะกลายเป็นต้นอ่อนของต้นตาล เมื่อแทงยอดพ้นดินขึ้นมาจะเจริญเติบโตเป็นต้นตาลต่อไป จาวตาลนิยมนำไปเชื่อมรับประทานเป็นของหวาน ในการนี้ จะต้องใช้ความชำนาญผ่าเอาเปลือกแข็งชั้นนอก ซึ่งเปรียบเสมือนกะลามะพร้าวออกก่อน จากนั้นจะต้องผ่าเอาเปลือกชั้นรอง คือส่วนที่เป็นน้ำเพื่อขัดผิวนอกด้วยใบไผ่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ใบซอ เพื่อให้เมือกหรือไคลหมดไปจนขาวสะอาด เมื่อสะเด็ดน้ำแล้ว นำลงกระทะทองเหลืองเชื่อมกับน้ำตาลทาย ต่อไปก็จะได้ “จาวตาลเชื่อม” หรือนิยมเรียกกันว่า “ลูกตาลเชื่อม” การเชื่อมจาวตาลนิยมทำเป็น 2 แบบคือ เชื่อมเปียก จาวตาลจะฉ่ำน้ำตาล หรือเชื่อมแห้ง จาวตาลจะมีเกร็ดน้ำตาลจับแข็ง ซึ่งสะดวกต่อการบรรจุในภาชนะและเก็บได้นาน ถ้านำจาวตาลเชื่อมไปรับประทานพร้อมกับข้าวเหนียวมูนน้ำกะทิ เติมงาคั่วผสมน้ำตาลทราย เกลือป่น และมะพร้าวใย จะได้ขนมอร่อยอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า ข้าวเหนียวโตนด หรือข้าวเหนียวหน้าโตนด หรือข้าวเหนียวลูกตาล นอกจากนี้ เมื่อนำลูกตาลสุกมายีเนื้อสีเหลืองแล้วผสมกับแป้งข้าวเจ้า ตั้งตากแดดไว้สักครู่ใหญ่ เติมน้ำตาลพอควร แล้วนำมาใส่ห่อใบตองหรือใส่กระทง นำไปนึ่งให้สุกในลังถึง หรือหม้อหวด ก็จะได้ขนมเนื้อนุ่มฟูคล้ายขนมเค้ก เรียกว่า “ขนมตาล” นับเป็นขนมอีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน โดยไม่ต้องใช้ผงแป้งฟูแต่อย่างใด
หรือลูกตาลที่ยังไม่แก่จัด ถ้านำเอาส่วนของหัวตาลมาปอกผิวนอกออก แล้วหั่นออกเป็นชิ้นบาง ๆ ก็จะได้หัวตาลอ่อนนำไปปรุงเป็น “แกงคั่วหัวตาล” นับเป็นอาหารที่มีรสอร่อยกลมกล่อม แกงหัวตาลจะทำคล้ายแกงคั่ว มีส่วนผสมของกะทิ กระชาย ปลาย่าง ปลากรอบ หรือกุ้งสด แต่ส่วนใหญ่แกงหัวตาลของชาวเพชรบุรีนิยมใช้เนื้อย่าง หรือเนื้อเค็มหั่นบาง ๆ ผสมลงไปพร้อมกันใส่ใบส้มซ่าแทนใบมะกรูด หรืออาจใช้หอยขมมาแกะเนื้อใส่ผสมลงไปด้วย หัวตาล นิยมนำไปลอยน้ำตาลใส โดยตัดเฉพาะส่วนหัวลูกตาลที่ค่อนข้างอ่อนร้อยกับเส้นตอกเป็นพวง ประมาณพวงละ 7-10 หัว แล้วนำไปลอยน้ำตาลใสที่กำลังเคี่ยวเดือดพล่านอยู่ในกระทะ เมื่อสุกดีแล้วจึงนำขึ้นเอาไปรับประทานได้ ผิวนอกของลูกตาล เมื่อเอามีดปาดออกชาวบ้านเรียกว่า “พลอมออก” นิยมนำไปเป็นอาหารสำหรับวัว มีกลิ่นยอมและรสออกหวานเล็กน้อย
เมล็ดตาลสุก ถ้านำไปล้างและฟอกให้สะอาด แล้วนำไปตากแห้งจะมีลักษณะฟูฝอยละเอียดสวยงามคล้ายขนสัตว์ นิยมนำไปเป็นของเล่นสำหรับเด็ก โดยใช้หวี หรือแปรงจัดรูปทรงได้หลายแบบ สมมติว่าคล้ายช่างทำผม หรือตัดย้อมให้เป็นสีต่าง ๆ นับเป็นของเล่นของเด็กผู้หญิงอีกอย่างหนึ่ง
เปลือกแข็ง คือส่วนที่เป็นกะลา หลังจากที่ผ่าเอาจาวตาลออกแล้ว นิยมนำไปทำเชื้อเพลิง เมื่อนำไปเข้าเตาเผาจะได้ถ่านสีดำที่มีเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอนสูง ปัจจุบันมีผู้รับซื้อถ่านที่ผลิตได้จากเปลือกแข็งของลูกตาลจำนวนมาก เพื่อเป็นสินค้าส่งออก นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบของยาแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และลดกรดในกระเพาะอีกด้วย ในส่วนที่เป็นกะลานั้น หากเลือกลูกที่สวยงามมาผ่าครึ่งเป็นสองฝา นำมาขัดเช็ดถูผิวนอกให้สะอาดเกลี้ยงเกลาจนขึ้นเงา เซาะขอบด้านในของฝาหนึ่งกับขอบนอกของอีกฝาหนึ่ง แล้วแต่งขอบด้านนอกและด้านใน ให้สวมปิดเข้ากันได้สนิทดี ก็ใช้แทนตลับหรือกล่องสำหรับเก็บสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น กระดุม เข็ม ใบจาก เส้นยาสูบ
ใบตาลและทางตาล สามารถทำเป็นพัด โดยตัดเจียน แล้วเย็บริมขอบให้เข้ารูป หรืออาจคัดเลือกใบตาลอ่อนแล้วรีดให้เรียบ นำมาจักเป็นใบ ๆ แล้วเย็บเป็นพัดใบตาลแบบพับก็ได้ ซึ่งเหมาะที่จะพกติดตัวไปได้ พัดแบบนี้อาจผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึก โดยตกแต่งสีสันให้สวยงาม นอกจากนี้ ใบตาลอ่อนยังสามารถนำมาจักสานทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ สำหรับแขวนให้เด็กดูเล่นได้อีกหลายชนิด เช่น ปลาตะเพียน กุ้ง ตั๊กแตน ชฎา หรือทำเป็นรูปสัตว์ ใส่ขาล้อแบบล้อเกวียนให้เด็ก ๆ ลากเล่น หรือนำมาจักเป็นเส้นตอก ถ้าใช้เส้นใหญ่มักสานขึ้นเป็นรูปกระเช้า ถ้าใช้ตอกเส้นเล็กนิยมสานเป็นกระเป๋าสตางค์ หากตัดใบตาลเป็นท่อนสั้น ๆ สามารถใช้แทนช้อนชั่วคราว เพื่อตักขนมและอาหาร โดยเฉพาะข้าวกระทงที่เคยขายดีขนรถไป นิยมใช้ช้อนใบตาลก่อนที่จะมาใช้ช้อนพลาสติกดังเช่นปัจจุบัน ส่วนใบตาลขนาดใหญ่ นิยมนำมาผ่าซีกแล้วหักงอผูกกับส่วนที่เป็นก้าน เรียกว่า “หักคอม้า” นำไปมุงหลังคา ทำปะรำ มุงกระท่อม หรือโรงนา มีอายุใช้งานประมาณ 2-3 ปี
ทางตาล เป็นส่วนของก้านของใบตาล สามารถลอกผิวนอกส่วนที่อยู่ด้านบน เรียกว่า “หน้าตาล” มาฟั่นเป็นเชือกสำหรับผูกวัว ล่ามวัว แม้จะใช้ได้ไม่ทนทานเท่าเชือกที่ทำจากต้นปอหรือต้นเส้ง แต่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องตากแดดตากฝน เพราะมีความชุ่มน้ำ ซึ่งหากใช้เชือกที่ทำจากวัสดุอื่นก็จะเปื่อยผุพังเร็ว ส่วนทางตาลตอนโคน ซึ่งอยู่ติดกับต้นตาลนั้น มีจำนวน 2 แฉก เมื่อทางตาลแก่จัดจนใบแห้งจะร่วงหล่นลงมาเอง ชาวบ้านเรียกส่วนโคนนี้ว่า “ขาตาล” มีลักษณะบางและแบน จึงเหมาะกับการนำมาตัดใช้เป็นคราด หากต่อด้ามหรือทำเป็นกาบก็จะเรียกว่า “กาบตาล” สำหรับกอบสิ่งของที่เป็นกอง เช่น ใช้กอบมูลวัว กอบขี้เถ้า กอบเมล็ดข้าว เป็นต้น อนึ่ง ขาตาลขณะที่แก่จัดแต่ยังไม่ถึงกับแห้งกรอบ ให้ตัดเฉพาะส่วนที่เป็นขาตาล นำมาทุบด้วยของแข็งหรือสันขวาน จนเส้นใยฟุ้งกระจายดีแล้ว จึงนำแปรงที่ทำจากตะปูแปรงส่วนที่ไม่ต้องการออก จนเหลือแต่เส้นในเป็นเส้นฝอยเรียบวางเรียงเส้นขนานกัน จากนั้นนำไปมัดรวมกันคล้ายมัดวุ้นเส้น หรือเส้นหมี่ แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิท แล้วมัดรวมเป็นมัดใหญ่เพื่อส่งจำหน่ายร้านรับซื้อ สำหรับเป็นแปรงหยากไย่ หรือทำไม้กวาด
ลำต้นตาล ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จัดว่าลำต้นแก่พอสมควร สามารถนำเปลือกนอก ซึ่งมีความแข็งและมีเสี้ยนตาล เป็นเส้นสีดำแทรกอยู่ในเนื้อไม้ หากนำมาแปรรูปแล้วจะได้ไม้กระดาน ขนาด 4-6 นิ้ว หรือนำมาประดิษฐ์เป็นเฟอร์นิเจอร์ได้หลายรูปแบบ
ตาลเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
จาก วิกิพีเดีย ครับ
#ลิงค์ YouTube ไม่ถูกต้อง#
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #1199 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 13:58:25 » |
|
สวัสดียามบ่ายครับ..... พี่ตี๋..พี่ตู่..พี่ปี๊ด..พี่อร..พี่หนุน..น้องหยี..น้องยา..น้องป๋าทู และพี่น้องทุกท่าน
ครบถ้วนเรื่องของตาลจริงๆครับ... พี่ตี๋
อ่านจบแล้วให้คิดถึงวงคาราบาว เจ้าของเพลง..... ตาตี๋
|
|
|
|
|