25 พฤศจิกายน 2567, 17:47:25
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 [4]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดีๆจากFW.MAIL ที่อยากให้อ่าน  (อ่าน 49054 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #75 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 20:10:05 »

ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า
ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก ๓ หวัง คือ


ยามแก่เฒ่า ... หวังเจ้า ... เฝ้ารับใช้

ยามป่วยไข้ ... หวังเจ้า ... เฝ้ารักษา

เมื่อถึงยาม ... ต้องตาย ... วายชีวา

หวังลูกช่วย ... ปิดตา ... เมื่อสิ้นใจ

ที่นี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้...


ในหลวงของเรา... ในหลวง...นอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก...เป็น THE KING OF KINGS แล้ว ในหลวงของเรายังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย
ความหวังของแม่...ทั้ง ๓ หวัง ในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วน ... สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยัง ? ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น

หวังที่ ๑. ยามแก่เฒ่า.. หวังเจ้า...เฝ้ารับใช้... ใครเคยเห็นภาพที่สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่างๆ แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...? ใครเคยเห็น..กรุณายกมือให้ดูหน่อย ... ขอบคุณ...เอามือลง

ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย... มีคนเยอะแยะ .. มีทหาร...มีองครักษ์ ...มีพยาบาล.. ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า

“ไม่ต้อง....คนนี้...เป็นแม่เรา...เราประคองเอง”

ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา ..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน... เพราะฉะนั้น..ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคองแม่เดิน
เพื่อเทิดพระคุณท่าน...ไม่ต้องอายใคร

เป็นภาพที่...ประทับใจมาก... เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่ ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ... สองข้างทาง ฝั่งนี้ ๕,๐๐๐ คน ฝั่งนู๊น.......๘,๐๐๐ คน

ยกมือขึ้น สาธุ แซ่ซ้อง สรรเสริญ “กษัตริย์ยอดกตัญญู...”
ในหลวง..เดินประคองแม่.. คนเห็นแล้ว... เขาประทับใจ ถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน...
เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้

ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้...ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย... แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่...กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ... ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก... แต่เวลาเดิน... ไม่กล้าประคองแม่... กลัวไม่สง่า... กลัวเสียศักดิ์ศรี...ประคองแม่..... เป็นเรื่องของ..คนใช้...หลายคน..ให้ประคองแม่..ไม่กล้าทำ....อาย

เวลาทำดี.. ไม่กล้าทำ...อาย , เวลาทำชั่ว...กล้า....ไม่อาย...

ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน..กรุณาซื้อใส่กรอบ... แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...เาอไว้สอนลูกเห็นภาพชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น ... ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น

หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา..ของสมเด็จย่า
มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า...ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ ปีเศษ
ตอนนั้นอายุ ๙๓ ในหลวง...เสด็จจากวังสวนจิตร..ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน

ไปทำไมครับ...? ไปกินข้าวกับแม่... ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่...ชุ่มชื่นหัวใจ... พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง

โฮ้โห้!...ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา

เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่... สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ ? พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน ? ... ๕ วัน …

มีใครบ้างครับ...? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ ...สัปดาห์ละ ๕ วัน หายาก...

ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ... มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ ๕ วัน พวกเรา ซี๗ ซี๘ ซี๙ ร้อยเอก..พลตรี...อธิบดี...ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ ....บอกว่า..งานยุ่ง

แม่บอกว่า... ให้พาไปกินข้าวหน่อย..บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ... ไม่มี...เวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง...?

พ่อแม่.. แก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง... ฝนตก..น้ำเซาะ .. อีกไม่นานโค่น...พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...

ในหลวงจึงตัดสินพระทัย... ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ ๕ วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ....๙๓

สัปดาห์หนึ่งมี ๗ วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ ๕ วัน อีก ๒ วันไปไหนครับ ...? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ ... องคมนตรี บอกว่า...

ในหลวง...ถือศีล ๘ วันพระ ...ถึอศีล ๘ นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น... เลยไม่ได้ไปหาแม่...วันนี้เพราะถือศึล อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกินข้าวกับพระราชินี...กับคนใกล้ชิดแต่ ๕ วัน...ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?

ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว ... ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า... ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก ... แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง
เข้ามากอด กอดเสร็จก็หอมแก้ม

ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวงบ้าง...? ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่..ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม

ตอนสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวง...อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไหร่..เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม...สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ.. เพราะท่าได้กลิ่นหอม... จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู
ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้

ตัวแม่เอง คือ สมเด็จย่า..ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์

เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป... เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้ในหลวงหน่ะ... เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า
ปัจจุบันเป็นกษํตริย์..เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง..ทีเป็นพระเจ้าแผ่นดิน.... ก้มลงกราบ..คนธรรมดาที่เป็นแม่

หัวใจลูก...ที่เคารพแม่...กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว... คนบางคน... พอเป็นเป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่... เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ... เป็นชาวนา...เป็นลูกจ้าง... ไม่เคารพแม่...ดูถูกแม่....

แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว... นี่แหละครับความหอม

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...ท่านหอมความดี...หอมคุณธรรม....หอมกตัญญู..ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว..ก็ร่วมโต๊ะเสวย... ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่เห็นลูกมาเยี่ยมก็ชื่นใจแล้ว

นี่ลูกมากินข้าวด้วย..โอย..ยิ่งปลื้มใจ

แม่ทั้งหลาย...ลองคิดดูซิ...อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่... เอ้าแม่...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ ๓ คำ ๔ คำ ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล...เอาใจใส่...

กินข้าวเสร็จแล้ว..ก็มานั่งคุยกับแม่...ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง..ทราบไหม..?

ตอนในหลวงเล็ก ๆ แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ “อยากฟังแม่สอนอีก”
เป็นยังไงบ้าง..? เป็นกษัตริย์.. ปกครองประเทศอยากฟังแม่สอนอีก

พวกเราเป็นยังไง..? เราคิดว่า..เรารู้มาก...เราเรียนสูง...เรามีปริญญา...แม่จบ ป.๔

เวลาแม่สอน...ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว ... รำคาญ... พูดจาซ้ำซาก.. เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที... เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่...

พอสมเด็จย่าสอน.. ในหลวงจะเอากระดาษมาจด.. มีอยู่เรื่องหนึ่ง.. ที่จำได้แม่น สมเด็จย่าเล่าว่า... ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า..อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน

แม่บอกว่า... “ลูกอยากได้จักรยาน.. ลูกก็เก็บสตางค์... ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ” ...เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ.. สองเหรียญ พอได้มากพอ
...ก็เอาไปซื้อจักรยาน...

นี่คือสิ่งที่แม่สอน ... แม่สอนอะไร.. ทราบไหมครับ ..?

ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน... พอลูกขอ .. รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย... ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ ...ฟุ่มเฟือย ..เหลิง .. และหลงตัวเอง พอโตขึ้น .. ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ.. ก็
ได้.. ยิงตำรวจ .. ยังได้ ..เพราะหลงตัวเอง ..พ่อตนใหญ่ เห็นไหม.. ? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน ...

แต่สมเด็จย่านี่ ...เป็นยอดคุณแม่... สร้างคุณธรรมให้ลูก ... ลูกอยากได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหยอดกระปุก

แม่สอน 2 เรื่อง คือ ให้ประหยัด ... ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง

“ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี” ใครสอนลูกให้ประหยัดได้ ... คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก

พอถึงวันปีใหม่... สมเด็จย่าก็บอกว่า... “ปีใหม่แล้ว... ไปซื้อจักรยานกัน”“เอ้า .. แคะกระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร...?” เสร็จแล้ว ... สมเด็จย่าก็แถมให้... ส่วนที่
แถมนะ... มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก


มีเมตตา... ให้เงินลูก...ให้ .. ไม่ได้ให้เปล่า... สอนลูกด้วย.. สอนให้ประหยัด สอนว่า... อยากได้อะไร... ต้องเริ่มจากตัวเรา... คำสอนนั้น.. ติดตัวในหลวง
มาจนทุกวันนี้.....เขาบอกว่า... ในสวนจิตรเนี่ย... คนที่ประหยัดมากที่สุด... คือ... ในหลวง.. ประหยัดที่สุด ..ทั้งน้ำ.. ทั้งไฟ... เรื่องฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย.. ไม่มี..เป็นอันว่า ..ภาพนี้ .. ชัดเจน...

หวังที่ ๒. ยามป่วยไข้.. หวังเจ้า..เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ ยังไง... ? สมเด็จย่า.. ประชวร อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช .. ในหลวงไปเยี่ยม .. ตอนไหนครับ.. ?

ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษๆ ... จึงเสด็จกลับ... ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง ...

แม่... พอเห็นลูกมาเยี่ยม.. ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ทีมแพทย์ ที่รักษาสมเด็จย่า.. เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต... ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดว่า .. จะให้ยายังไง .. จะเปลี่ยนยาไหม..? จะ
ปรับปรุงการรักษายังไง.. ให้ดีขึ้น.. ทำให้สมเด็จย่า.. ได้รับการดูแล ที่ดีขึ้น... เห็นภาพไหม...?

กลางคืน... ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า... คืนละหลายชั่วโมง... ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน

ลองหันมาสำรวจตัวเราเองซิ... ตอนพ่อแม่ป่วย... โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า.. ตอนนี้.. อาการเป็นยังไง... ?

พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว... โผล่หน้าไปให้เห็น .. พอแค่เป็นมารยาท... แล้วก็กลับ... เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู ... เราไม่ได้ไปเพื่อ
ทดแทนพระคุณท่าน... น่าอายไหม... ?

ในหลวง... เสด็จไปประทับกับแม่... ตอนแม่ป่วย.. ไปทุกวัน... ไปให้ความอบอุ่น.. ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง.. นี่คือ.. สิ่งที่ในหลวงทำ

คราวหนึ่ง ... ในหลวงป่วย.. สมเด็จย่า... ก็ป่วย... ไปอยู่ศิริราช..ด้วยกัน... อยู่คนละมุมตึก.. ตอนเช้า..ในหลวงเปิดประตู... แอ๊ด... ออกมา... พยาบาลกำลังเข็นรถ
สมเด็จย่า... ออกมรับลมผ่านหน้าห้องพอดี

ในหลวง...พอเห็นแม่...รีบออกจากห้อง... มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก..กราบทูลว่า ไม่เป็นไร .. ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า... แม่ของเรา ... ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น... เราเข็นเองได้

นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน.. เป็นกษัตริย์... ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว.. ป้อนน้ำให้แม่... ป้อนยาให้แม่ให้ความอบอุ่นแก่แม่ ... เลี้ยงหัวใจแม่... ยอดเยี่ยมจริงๆ ... เห็นภาพนี้แล้ว ... ซาบซึ้ง...

มาตามดูต่อ ....

หวังที่ ๓. เมื่อถึงยาม.. ต้องตาย..วายชีวา.. หวังลูกช่วย..ปิดตา ..เมื่อสิ้นใจ... วันนั้น...ในหลวง..เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน... จับมือแม่... กอดแม่... ปรนนิบัติแม่... จนกระทั่ง “แม่หลับ...” จึงเสด็จกลับ...

พอไปถึงวัน ... เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า... สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์... ในหลวง...รีบเสด็จกลับไป...ศิริราช ... เห็นสมเด็จย่า.. นอนหลับตาอยู่บนเตียง .. ใน
หลวงทำยังไงครับ... ?

ในหลวงตรงเข้าไป...คุกเข่า... กราบลงที่หน้าอกแม่... พระพักตร์ในหลวง... ตรงกับหัวใจแม่... “ขอหอมหัวใจแม่... เป็นครั้งสุดท้าย.....” ซบหน้านิ่ง.. อยู่นาน ... แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น... น้ำพระเนตรไหลนอง...

ต่อไปนี้... จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว ..เอามือ.. กุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆ .. ที่ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก... จนได้เป็น กษัตริย์... เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง... ชีวิตลูก ... แม่ปั้น...



มองเห็นหวี... ปักอยู่ที่ผมแม่... ในหลวงจับหวี.. ค่อยๆ หวีผมให้แม่... หวี...หวี..หวี..... หวี..ให้แม่สวยที่สุด... แต่งตัวให้แม่.. ให้สวยที่สุด... ในวันสุดท้ายของแม่...

เป็นภาพประทับใจอาจารย์ที่สุด... สุดยอดของลูกกตัญญู... หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว

กษัตริย์ ... ยอดกตัญญู
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
คัดลอกจากหนังสือเรื่อง หยุดความเลว... ที่... ไล่ล่าคุณ

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
narongb
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 100

« ตอบ #76 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2552, 22:23:38 »

ทำไมพิมพ์เก่งจัง
      บันทึกการเข้า
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #77 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:03:35 »

หน้าที่พ่อ+แม่

ตอนที่ผมเพิ่งแต่งงานนั้น
ผมมีความคิดว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ชาย
ที่จะต้องหาเงินเข้าบ้าน
ยิ่งหาเงินได้มาก ก็แสดงว่าทำหน้าที่สามีและพ่อได้ดี

ผมคิดง่ายๆว่า ถ้าผมทุ่มเทเวลา+สติปัญญาหาเงินมากๆ
จนมีเงินมากพอที่จะใช้ได้ตลอดชีวิต
(ผมเป็นคนไม่สุรุ่ยสุร่าย คิดก่อนใช้เงิน)
รวมทั้งเหลือไว้ให้ลูก
อาจเหลือเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ทำเงินได้เช่นอพาร์ทเมนท์
ก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวได้ครบถ้วนแล้ว
------------------------------------
ตอนผมแต่งงานใหม่ๆ
เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเริ่มธุรกิจส่วนตัว
เป็นช่วงก่อร่างสร้างตัว งานยุ่งมาก
แทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องงาน
เพราะต้องควบคุมวางแผนและลงมือทำงานเองเกือบทุกอย่าง
ช่วยกันคิดช่วยกันทำ2คนกับภรรยา

ภรรยาผมเป็นคนขยัน อดทน
เธอรับผิดชอบงานหลายอย่างไม่น้อยกว่าผม
ผมรับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคเช่น
ด้าน ผลิต ซ่อมบำรุง
เธอรับผิดชอบด้านบัญชี ภาษี เอกสารต่างๆ
ส่วนการขายและงานบุคคล เราช่วยกันคิดและทำ



เมื่อกลับบ้านเธอยังต้องดูแลงานบ้านและลูกด้วย
ผมรู้ว่าเป็นภาระหนักสำหรับเธอ
จึงพยายามหาคนเลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลลูกเล็ก
และแม่บ้านมาทำงานบ้านแทนเธอ

จำได้ว่าใช้ชีวิตแบบนี้อยู่13ปี
2535-2548
ออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านค่ำ
ทั้งเหนื่อยและเครียด กับธุรกิจที่มีปัญหาให้แก้ไขอยู่ตลอด
บางคืนต้องลุกจากที่นอนตอนตี2
เพราะลูกน้องโทรมาตาม เพราะเครื่องจักรมีปัญหา
(โรงงานเล็กๆผลิต24 ชม
บ้านและที่ทำงาน ...งกันประมาณ10 กม)

ช่วงหลัง พี่เลี้ยงเด็กและคนทำงานบ้านหายาก
และมีปัญหาบ่อยมาก
เช่น ลาออกบ่อย ขโมยของ ไม่ดูแลลูก
แต่เราไม่กล้าตำหนิ
เพราะกลัวว่า อันตรายจะเกิดกับลูก

ภายหลังเราทนไม่ไหว(2546)
จึงตัดสินใจไม่ใช้คนงาน
ภรรยาผมต้องทำงานบ้านเอง
รวมทั้งขับรถ เพราะผมมีปัญหาด้านสายตา
ทำให้ภาระของเธอหนักมากยิ่งขึ้น

ส่วนลูกคนเล็กซึ่งอายุเพียง2ขวบ(ในขณะนั้น)
ก็ให้เข้า รร อนุบาล

ในช่วง11ปีนั้น บ้านและลูกถูกดูแลโดยคนที่จ้างมา
ภรรยาผมเคยถามผมว่า

"เราใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นเรื่องถูกแล้วหรือ
ซื้อบ้านสวยๆไว้ให้คนงานอยู่ แทบไม่ได้อยู่เอง
ออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านก็มืดแล้ว

ต้องคอยดูแลพี่เลี้ยงเด็กและคนทำงานบ้าน
ทั้งความเป็นอยู่ อาหารการกินที่ต้องซื้อมาให้ทุกวัน

ลูกก็ต้องให้คนอื่นเลี้ยงทั้งวัน
เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลแล้ว
หวังไม่ได้เลยว่า จะสอนและดูแลลูกอย่างดี
หวังแค่ไม่ทำร้ายลูกและดูแลลูกไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

พอเรากลับบ้านก็เหนื่อยและเครียด
ไม่มีเวลาและอารมณ์ดีพอที่จะพูดคุยและสอนลูก"

ผมไม่ตอบ
ผมรู้สึกว่า เธอพูดถูก

แต่ก็แก้ตัวกับตัวเองว่า
เงินซึ่งได้มาจากใช้เวลา+แรงกายแรงใจ ขับเคลื่อนธุรกิจ
ก็น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของตัวเองและลูก
เพราะเงินนำมาซึ่งความสุขสบายต่างๆให้กับชีวิต

ในอนาคต การหาเงินจะยิ่งยากลำบากกว่าปัจจุบัน
เพราะคนมากขึ้น มีความรู้ความสามารถมากขึ้น
ปัจจัยต่างๆในโลกลดลง

ผมควรใช้โอกาสในปัจจุบัน หาเงินให้มากที่สุดเผื่อลูก
------------------
ในช่วงเวลา2ปีนั้น(2547-2548)
ภรรยาผมต้องเหนื่อยมากขึ้นรับภาระทั้งธุรกิจและงานบ้าน
แต่สถานการณ์ในครอบครัวไม่ดีขึ้น

เรายังเหนื่อยและเครียดกับงาน
ไม่มีเวลาสอนลูก
ปล่อยเวลาเกือบทั้งหมดของลูกทั้ง2ให้ผ่านไปกับการเล่นต่างๆ
เช่นเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ดูการ์ตูน
โดยไม่มีการสอนและดูแลเรื่องความคิด นิสัยและความประพฤติ
----------------
วันที่15มีนาคม2549 (ผมจำได้อย่างแม่นยำ)

ครอบครัวผมจะล่องใต้ไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ7วัน
กับญาติอีก2ครอบครัว
เป็นการวางแผนล่วงหน้ามา2สัปดาห์แล้ว
ผมจองโรงแรมต่างๆตามเส้นทางเดินทาง
หาข้อมูลเรื่องสถานที่เที่ยวและร้านอาหาร

รวมทั้งสั่งงานลูกน้องไว้ล่วงหน้า7วัน
และเคลียร์นัด+ส่งของตามorderลูกค้าไปหมดแล้ว

เช้าวันนั้น ลูกๆดีใจที่จะได้ไปเที่ยวหลายๆวันแบบนี้
ผมนึกภูมิใจว่า
ผมได้ทำหน้าที่ พ่อที่ดี ในการพาลูกไปเที่ยวพักผ่อน
ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้ลูกเล่นเกมอยู่กับบ้านเพียงอย่างเดียว

ถึงแม้ว่า จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
รวมทั้งเวลาและความยุ่งยากในการเตรียมการ
ทั้งการสะสางธุรกิจ+หาข้อมูลในการเดินทาง

7.00 รถตู้ที่ว่าจ้างไว้มารับที่หน้าบ้าน
ลูกทั้ง2ทะเลาะกัน เพราะเกี่ยงกันเรื่องเปิดประตูและยกกระเป๋า

ผมรู้สึกโมโหและผิดหวังมาก
ผมใช้เวลาเตรียมการ2สัปดาห์ เพื่อtripนี้
ใช้โทรศัพท์หลายสิบครั้ง
ติดต่อพูดคุยนัดหมายกับผู้คนหลายสิบคน
ยอมเสียงาน เสียเงิน เสียเวลา

แต่ดูเหมือนลูกจะเอาแต่ใจตนเอง โดยไม่รับรู้อะไรเลย

ผมถามภรรยาอย่างผิดหวังว่า "ทำไม ลูกจึงทำแบบนี้"

เธอตอบด้วยความรู้สึกเดียวกันว่า
"เพราะเราไม่ได้เลี้ยงลูกเอง ปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงให้
แล้วก็ให้ลูกอยู่กับวัตถุ เช่นเกม การ์ตูน
จะให้ดีอย่างใจเรานั้น เป็นไปไม่ได้หรอก"

-----
เหตุการณ์ในวันนี้สะท้อนให้เห็นถึง
ความคิด นิสัย การดำรงชีวิตของลูกในอนาคต
ถ้าลูกยังเป็นแบบนี้ เขาคงลำบากแน่

ผมคิดผิดมาตลอด13ปี
ในการทุ่มเทเวลา+แรงกายแรงใจเพื่อการหาเงิน
เตรียมไว้ให้ลูก

ถ้าผมยังปล่อยให้ลูกมีนิสัยและความคิดแบบนี้
ในอนาคต ลูกอาจใช้เงินและทรัพย์สินที่ผมหามาทั้งชีวิต
ให้หมดไปในเวลาเพียง1-2ปี
แล้วคงลำบากยากจนในภายหลัง

--------
ผมตัวชาและมือเย็น รู้สึกใจหาย
เพราะเพิ่งรู้ตัวว่า คิดผิดมาตลอด10กว่าปี

ผมสัญญากับตัวเองว่า
นับตั้งแต่วันนี้ ผมจะไม่ใช้เวลาและสติปัญญาเพื่อ
หาเงินและทรัพย์สินเผื่อลูกอีกต่อไป
เพราะไม่เกิดประโยชน์

ความคิด ความสามารถ นิสัย ความประพฤติ ของลูก
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกมากกว่าทรัพย์สิน

ผมต้องเริ่มต้นทันที ตั้งแต่วันนี้
เพราะปล่อยเวลามานานมากแล้ว
ลูกอายุ11ขวบและ5ขวบแล้ว(ในขณะนั้น)

ลูกทั้ง2มีบุคลิกนิสัยและตัวตนแล้ว
การแก้ไขเป็นเรื่องยากกว่า การทำให้ดีตั้งแต่แรก

1.วันนั้น ผมบอกเลิกนัดญาติ และขออภัยที่ไม่ไปกับพวกเขา

2. สามเดือนที่แล้ว (2552) ผมได้ฟังนิทานธรรมะเรื่องหนึ่ง
เลยcopyให้เพื่อนๆอ่านครับ

มีชายคนหนึ่งมีภรรยา 4 คน
ภรรยาคนที่ 1 เขารักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ตามใจทุกอย่าง อยากจะได้อะไรก็หาให้ตลอดมิได้ขาด
ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักลองลงมา คอยดูแลเอาใจใส่และไปหาบ้างเป็นบางครั้ง
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยเอาใจใส่เลย ไม่เคยไปหาและไม่คิดถึงเลย

ต่อมา.....ชายคนนี้กระทำความผิดร้ายแรง ถูกจับ....ต้องโทษประหารชีวิต ก่อนถูกประหาร ชายคนนี้ร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ว่า ขอกลับบ้านเพื่อร่ำลาภรรยาสุดที่รักอีกครั้ง ผู้คุมเห็นใจ จึงอนุญาต
เมื่อกลับถึงบ้าน เขารีบไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังและถามภรรยาคนที่ 1 ว่า " ถ้าเขาตาย เธอจะทำอย่างไร ? ."
ภรรยาคนที่ 1 ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า " เมื่อเธอตาย เราจบกัน "
เหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นึกเสียดายว่า ตลอดเวลาเราไม่น่าทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้มากที่สุดเลย
จากนั้นก็ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง แล้วถามว่า " ถ้าเขาตาย เธอจะทำอย่างไร "
ภรรยาคนที่ 2 ตอบหน้าตาเฉยว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ " เสมือนฟ้าผ่า! ลงมาที่เขาอย่างจัง และรู้สึกเสียใจและเสียดายว่า ที่ผ่านมาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน
จากนั้นก็เดินคอตกไปหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังแล้วถามว่า " ถ้าเขาตาย เธอจะทำอย่างไร "
ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง " ทำให้เขาคลายความเศร้าโศกขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็มีภรรยาที่จริงใจกับเขาบ้าง
ก่อนกลับไปรับโทษประหาร ระหว่างทางนึกขึ้นได้ว่ายังมีภรรยาอีกคน จึงไปหาภรรยาคนที่ 4 เล่าเรื่องราวให้ฟังและถามเช่นที่ถามภรรยาคนอื่นๆ
ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป " แทนที่จะดีใจ เขากลับต้องเสียใจหนักขึ้นเพราะสายไปเสียแล้ว ช่วงที่มีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยสนใจภรรยาคนนี้เลย แต่....
ภรรยาคนนี้ไม่เคยคิดทิ้งเขาและคิดจะตามเขาไปด้วย
จากนั้นเขาจึงกลับไปรับโทษ.... และภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามเขาไปจริง..
..............................เราทุกคนต่างก็มีภรรยา 4 คน................................
.............................. แล้ว 4 คนนั้น เป็นใครบ้าง.................................
ลองคิดดูครับว่า แต่ละคนคือใคร
ภรรยาคนที่ 1 คือ ร่างกายของเรา
เวลาเรามีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้อะไรก็สรรหาให้ แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายก็เปรียบเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
ภรรยาคนที่ 2 คือ ทรัพย์สมบัติ
เพราะเรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่พอเราตายกลับเอาไปไม่ได้ แต่กลายเป็นของคนอื่น
ภรรยาคนที่ 3 คือ พ่อแม่ ลูก ภรรยา ญาติพี่น้อง เพราะเราตายเขาก็จะทำศพให้เรา ทำบุญให้แปลได้ว่า เขาเป็นผู้ไปส่งเรา
ภรรยาคนที่ 4 คือ บุญและบาป
เมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาทรัพย์สินอย่างอื่นไปได้ มีเพียงบุญและบาปเท่านั้น ที่จะติดตามเราไป
รู้แล้วใช่ไหมครับว่า คนไหนที่เราควรให้ความสนใจเมื่อเรายังมีชีวิต

***************

กระทู้นี้ copy มาจาก Momypedia.com
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #78 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:06:09 »

ประสบการณ์จริง จากรถเกียร์ออโต้ อุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด  !
คงเคยอ่านข่าว รถจอดอยู่แล้วไหลชนเจ้าของบ้าน  หรือตกคลองกันบ้าง  เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้
เหตุเกิดเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง หลังจากที่ได้นำรถออกจากอู่ตอนบ่าย  มันคือรถ  BENZ 300 E ที่เอารถไปเข้าอู่เพื่อดูแลตามปกติ  เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง. น้ำมันเกียร์ เช็คโน่นเช็คนี่ตามเลขที่กิโลตามกำหนด  ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเลย  แต่วันนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้  เคยได้ยินไหม  ' เกียร์หลุด  ' ไม่ใช่หลุดออกมา ไม่ใช่เข้าเกียร์ไม่ได้  แต่มันหลุดไปอยู่ที่เกียร์ถอย (R) อาการคือ ไม่ว่าคุณจะเข้าเกียร์อะไรก็ควบคุมรถไม่ได้  ไม่ว่าจะอยู่ที่  P, D, 3 หรือ  2
ทุกเกียร์รถจะถูกสั่งให้ถอยหลังทั้งหมด  ยิ่งคุณพยามยามจะเดินหน้า  โดยผลักไปที่ D แล้วเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์จะถูกเร่งให้ถอยหลังแรงขึ้น  ยกเว้นคุณจะ
เหยียบเบรคอยู่อย่างนั้น  อย่าหวังพึ่งเบรคมือ เพราะมันประสิทธิภาพเมื่อรถจอด  ป้องกันไม่ให้ไหลเท่านั้น  เหตุเกิดดังนี้
เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน  แวะ  Shopping ที่ห้างเดอะมอล์ ผ่านจากจุดรับบัตรตรงทางเข้า  ไปเล็กน้อยก็เห็นที่มีที่จอดรถว่างอยู่  เป็นทางลาดเล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ)  ก็เลยเปิดไฟกระพริบ เปลี่ยนเป็นเกียร์  R เพื่อถอยหลังเข้าที่จอด  ถอยไปได้ครึ่งคัน  เริ่มรู้สึกว่ามันไม่
ค่อยตรงเท่าไหร่  ก็เปลี่ยนเป็น D เพื่อให้รถเดินหน้าจะได้ตั้งลำถอยใหม่  ตอนนี้เองรถไม่ยอมเดินหน้า  ถอยหลังซะงั้น ก็เริ่มแปลกใจ หันมามองหน้ากัน  เกิดอะไรขึ้นรีบเหยียบเบรค เข้าเกียร์  D ใหม่เหยียบคันเร่งเบา ๆ  รถกลับถอยหลังแรงขึ้นไปอีก ก็เหยียบเบรคอีก  แต่กำลังของรถมันคอยจะถอยอยู่อย่างเดียว  เครื่องดังหึ่งๆ  จะถอยลูกเดียว ทีนี้คิดว่าจะทำอย่างไรดี ไม่เคยเจอ  ก็เลยให้อีกคนเปิดประตูลงมามองหาว่ามันมีที่กั้นล้อด้านหลังไหม  จะได้กั้นรถไว้ได้  เพราะด้านหลังเป็นท่อแก๊ส และท่อน้ำขนาดใหญ่ของห้าง ถ้าถอยไปชน  จะเกิดอะไรขึ้น ? พอลงไปดูเห็นมีที่กั้นค่อยโล่งใจหน่อย  ก็เลยตะโกนบอกมีที่กั้น  จอดเลยไม่ต้องถอยแล้ว คนขับก็เหยีบเบรค  และเลื่อนเกียร์มาที่เกียร์ว่าง N ห่างจากจุดที่กั้นเป็นปูนประมาณ  2 คืบได้  แล้วก็ปล่อยเบรค เพื่อจะดั บเครื่องจอด  ทันใดนั้นเองสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  รถกระโดดข้ามไปอยู่บนที่กั้นด้วยความเร็วและแรงมากในชั่ว
วินาทีเดียว  วินาทีเดียวจริง ๆ  ซึ่งคนที่ยืนดูท้ายอยู่  อยู่ห่างจากตัวรถทางด้านข้างไม่ถึงฝ่ามือ  ยืนตะลึง  แรงของรถ  กระแทกท่อแก๊สกับท่อน้ำอย่างแรง  กันชนแตกเละ โครมเบ้อเริ่ม สิ่งที่ทำตอนนั้นคือ ตะโกน  ดับเครื่อง  ดับเครื่อง  ดับเครื่อง หลายคนคงสงสัยแล้วแล้วจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ  ก็ค่อยๆ  มองซ้ายมองขวาช่วยกันเข็นรถที่มันคาอยู่บนขอบปูน  และกำลัง เบียดท่อแก๊สกับท่อน้ำ ออกหนะสิ โชคดีมาก ๆ  ท่อเป็นเหล็กหนามาก ไม่อย่างนั้น
คนที่ดูหลังอยู่ด้านท้ายคง  ไม่มีโอกาสมาเล่าให้ฟัง คงจะแบนไปกับท่อแก๊สไปแล้ว   
สิ่งที่อยากจะฝากเตือนทุกคนก็คือ   
1. เมื่อเกิดเหตุควบคุมรถไม่ได้เพราะเกียร์หลุด  ต้องดับ
เครื่องยนต์ทันที  ( คำแนะนำของช่าง) เพราะรถที่เกียร์หลุด จะไม่สามารถควบคุมได้เด็ดขาด  ยกเว้นหลุดไปเป็นเกียร์ว่าง   
2. เวลาจะถอยหลัง หรือออกรถ  ระวังอย่าให้มีคนยืนอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังเด็ดขาด  เพราะส่วนใหญ่ เวลาถอยรถ  เรามักมีคนไปด้วยช่วยลงไปดู  เพราะไม่แน่ใจหรือคอยระวังรถคันอื่น   
3. รถที่พึ่งออกจากอู่ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีข้อผิดพลาด
4. สติของคนขับ  สำคัญมาก  แม้ประสบการณ์หลายสิบปี  ก็อาจควบคุมไม่ได้
ด้วยความปรารถนาดี เพื่อเป็นประสบการณ์หากเกิดเหตุฉุกเฉิน 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #79 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:07:34 »

คุณค่าแท้ คุณค่าเทียม .. โดย ว. วชิรเมธี


ชีวิต : สำคัญที่รู้จักใช้

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสั้นหรือยาว


เงิน : สำคัญที่รู้จักบริหาร

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามากหรือน้อย


มิตร : สำคัญที่รู้จักคบ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีกี่คน


งาน : สำคัญที่ความสุจริต

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้เงินเท่าไหร่


ปัญหา : สำคัญที่การรู้จักวางท่าที

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องเล็ก-ใหญ่


เวลา : สำคัญที่นำไปสู่อะไร

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเวลามากหรือมีน้อย


ปัญญา : สำคัญที่รู้จริง

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ารู้มากไปเสียทุกเรื่อง


การศึกษา : สำคัญที่ความเป็นเลิศทางวิชาการ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจบมาจากสถาบันไหน


ความสุข : สำคัญที่คุณภาพ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ครอบครอง


ครอบครัว : สำคัญที่ความรักความอบอุ่นความเข้าใจ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของคนที่คุณแต่งงานด้วย


สัมพันธภาพ : สำคัญที่ความจริงใจ

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรู้จักคนมากมายไปทั่วทั้งโลก


นักการเมือง : สำคัญที่ประโยชน์สุขซึ่งเคยรังสรรค์ไว้

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็น ส.ส.มาแล้วกี่สมัย

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #80 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:08:56 »

สังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด

รายการ 'จุดเปลี่ยน' เมื่อวันเสาร์ที่ 14 และ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา (ช่อง 9 เวลา 13.00 น.) ออกอากาศเรื่อง '10 อันดับของสังฆทาน ที่ทำแล้วพระท่านจะได้ประโยชน์มากที่สุด' อันเนื่องมาจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้ เช่น ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบจะเป็นผ้าซีทรู ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้างๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ, สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม ไม่แน่ใจว่าศีลข้อที่ 6,7 หรือ 8 นี่แหละค่ะ) เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้นค่ะ

รายการจุดเปลี่ยนจึงได้ไปสอบถามพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง แล้วจัดอันดับสิ่งของสังฆทาน ตามความจำเป็นในการใช้งาน รวม 10 อันดับ ซึ่งเรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้




1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่างๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ อันดับ 1 จึงตกเป็นของ 'เครื่องเขียน' ไปอย่างพลิกความคาดหมาย (หรือว่าคุณทายถูกล่ะ ? เอ้อ)




2. ใบมีดโกนตราขนนก (Feather) หรือยี่ห้อ Gillette ยิลเลตต์
เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดสาด !!! ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลส ใช้ในการโกน?รั้งแรก ส่วนยิลเลตต์จะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน



3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความย?วพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม
เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้น ทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่ ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เตรียมผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระกันเถอะนะคะ



4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือที่ให้ความรู้ด้านอื่นๆ
เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธิตยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง



5. รองเท้า
(ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์นะจ๊ะ สังเกตให้ดีล่ะว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า) พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่างๆ, บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ 'รองเท้า' ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อยๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง




6. ยาหลักๆ ที่จำเป็น
ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง




7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้
เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง




8. ชุดคอมพิวเตอร์
อู้วววว ไฮโซไปนิดนึง แต่ถ้าใครรวบรวมเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างกฐิน ผ้าป่า ก็น่าพิจารณาถวายคอมพิวเตอร์แด่วัดที่ขาดแคลน .. ถ้าเป็นวัดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงจะดีมากๆ ค่ะ




9. น้ำยาเช็ดพื้น
เหอ... งงไปเลย พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ?? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย




10. แชมพู
พระท่านไม่มีผมแล้วจะเอาแชมพูไป??ำไมเนี่ย แถมยังฮอตฮิตติดท็อปเท็นของที่มีประโยชน์อีกด้วย แซงหน้าไมโล โอวัลติน ชาเขียว ขิงผง สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทิชชู่ ฯลฯ ที่เห็นสลอนอยู่ในถังเหลืองซะด้วยซี คืองี้ เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตร? แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล สังเกตง่ายๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า 'Scalp' เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้ ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึงนะคะ ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร 'เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม' ไปถวายท่าน... ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้ค่ะ


การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธค่ะ หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตกุศลต้องการทำสังฆทาน และกับพระภิกษุสามเณร ผู้รับสั?ฆทาน ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาของเราต่อไปค่ะ

ถ้ามีโอกาส ขอความกรุณาส่งต่อ Forward ให้กับเพื่อนสนิท มิตรสหาย เพื่อช่วยกันลดพาณิชย์อุบาทว์ สังฆทานถังเหลืองด้อ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #81 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:11:20 »

กด ATM แล้วไฟดับ ทำยังไงดี (มีประโยชน์มาก)

ผู้ชายคนหนึ่งไปกดเอทีเอ็มที่ธนาคารไทยพาณิชย์ประมาณ 6 โมงเย็น ธนาคารปิดแล้ว ขณะนั้นเขากด 5000 บาท ขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อย จนถึงขั้นตอนรอรับเงิน ไฟเกิดดับ บัตรเอทีเอ็มตีคืนมาแต่เงินไม่ออก เขารอสักครู่ไฟก็ยังไม่มา จึงขับรถไปตู้อื่นที่ไฟไม่ดับ ปรากฏว่ายอดเงินได้ถูกตัดไปแล้ว

วันรุ่งขึ้นเขามาทำเรื่องแจ้งธนาคาร ๆ ได้ตรวจสอบและบอกว่าเงินได้ถูกจ่ายออกมาแล้วแน่นอน ทางธนาคารไม่สามารถรับผิดชอบได้ แต่ถ้าเงินไม่ออกมาธนาคารก็จะคืนเงินให้ เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้เงิน ทางธนาคารก็บอกว่าช่วยไม่ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ให้โทรเช็คยอดกับศูนย์บัตรเอทีเอ็ม ถ้ายอดเงินถูกตัดไปแล้ว ต้องรอตรงนั้นเลย จนกว่าไฟจะมา พอไฟมาเงินจะออกมา

เงินของเขาก็คงมีคนที่มากดคนแรกหลังจากไฟมาได้เอาไปแล้ว ธนาคารแจ้งเพิ่มเติมว่า ถ้าไฟดับจังหวะอื่นที่ไม่ใช่ช่วงรอรับเง ิน เงินจะไม่ถูกตัด ยอดเงินจะคงเดิม หากยอดเงินถูกตัด ธนาคารจะคืนเงินให้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจว่า กดเอทีเอ็มแล้ว ถ้าไม่ได้เงิน อย่ารีบออกจากบริเวณนั้น โทรเช็คธนาคารให้ได้รับคำตอบแน่นอนเสียก่อน ถ้าเงินถูกตัดแล้วต้องรอจนไฟมาอย่างเดียว

ช่วยส่งต่อยังเพื่อนของท่านด้วย
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #82 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:12:51 »

วันนี้คุณเคาะรองเท้าให้คนที่คุณรักหรือยัง
 
   
เรื่องจริงเตือนใจครับ
ผมเพิ่งกลับจากงานศพลูกสาวเพื่อนข้าง บ้านมาครับ (อายุ 4 ขวบครึ่ง)
เป็นการเสียชีวิตแบบไม่ควรเกิดเลยครับ
       
       
เรื่องมีอยู่ว่า...
ตอนเช้าคุณแม่เขาก็ไปส่งลูกไปโรงเรียนตามปกติ
แต่แปลกที่ว่าลูกสาวพอขึ้นรถมาสักพักก็บ่นว่า หนูง่วงนอน
แม่ก็แปลกใจนิดหน่อยแต่ไม่คิดอะไรมาก เลยให้นอนหลับไป
       
       
พอใกล้ถึง รร. คุณแม่เขาก็ปลุก
ปรากฎว่าลูกตัวแข็ง และปากเขียวคล้ำ ไม่รู้สึกตัว
แม่ตกใจมากรีบพาส่ง รพ. คุณหมอบอกว่าเสียชีวิตแล้ว
         
         
จากการสันนิษฐานน่าจะเกิดจาก " งูกัด "
คุณแม่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเดินออกบ้านมาด้วยกัน ขึ้นรถก็ไม่เห็นงูเลย
         
         
เชื่อไหมครับ คุณหมอลองถอดถุงเท้าและรองเท้าดู
ผมฟังยังขนลุกเลยครับ " ลูกงูเห่านอนตายอยู่ในรองเท้านักเรียนครับ "
           
         
ผมเสียใจแทนคุณแม่จริงๆครับ คาดว่ามันคงไปขดอยู่ในรองเท้า
แล้วน้องเขาใส่เขาไป มันเลยฉก แต่ด้วยความที่มีถุงเท้าอยู่
แล้วเด็กคงเจ็บไม่มาก เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พิษมันมากครับ
         
           
ผมอยากฝากเพื่อนๆไว้ครับ บ้านใครที่ ต้น ไม้เยอะๆ
หรือวางรองเท้าไว้นอกบ้าน ก่อนใส่เคาะดูสักนิดนะครับ
ผมไม่รู้ว่า โอ กาสแบบนี้จะเกิด 1 ใน 100 หรือเปล่า
แต่อยากเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ 
 
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #83 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:24:58 »

หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง
เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย

เนื่อง จากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า
มี โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ
กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

จึงจับรถมากรุงเทพ
และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)
สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของ โรงเรียนนั้น
ซึ่ง กว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ

เมื่อ เข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ
จึงมีเจ้า หน้าที่มาเรียกให้นั่ง< /SPAN>
และยื่นใบ สมัครมาให้กรอกข้อความ
นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแห! ย ๆ
ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า

“...ขอโทษครับพี่
ผม...คือ ว่า...
ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...”

เจ้าหน้าที่ ท ี่นั่งรับสมัครอยู่นั้น
ชักสีหน้าทันที

“...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน
ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง
ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา
แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ”

หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด
ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ

“...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ
แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่
ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ”

“งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..”
เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย

“...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ
อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือ บ้างสิ
ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ
กลับไปเถอะ”

หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน
ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย

และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ใน กรุงเทพ
ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย
จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก



แต่เมื่อกลับถึงบ้าน
จึงนึกขึ้นได้ว่า
ตนเองนั้นเพิ่งได้ รับมรดก
เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแ มวดิ้นตาย
มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว

ด้วยความเจ็บใจ
จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม
หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น
และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย
อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .



อาจเป็นบุญในปางบรรพ์
ของพ่อหนุ่มคน นี้ก็ได้
ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา
สวนผลไม้ที่ ลงแรงไว้นั้น
ออก ผลอย่า! งงดงาม
และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุก ปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง
ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .

หลายสิบปีต่อมา
จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน
และ ประสบการณ์ที่เพิ่มพูน

บัดนี้
หนุ่มบ้านนอกคนนั้น
ก็กลายเป็นชายชรา
ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ
พ่อ เลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และ ภูมิภาคนั้น



อยู่มาปีหนึ่ง
เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล
และ ชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อย
โดยฝีมือของลูกหลานที่ เลี้ยงดู ให้! การศึกษา
และแจกงานการให้ทำในสวน นั้นแล้ว

พ่อ เลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน
นั่งรถเข้ามาในตัว อำเภอ
เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก

เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว
พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่
ผู้ จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว

เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว
ผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก
ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง
ให้ กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา

“ขอบพระคุณ เป็นอย่างสูงครับ
ทาง เรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้มี โอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้
รบกวนกรอกใบเปิด บัญชีด้วยครับ”

พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ
ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ
พร้อม กับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ

“พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด
ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...”

ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดย อัตโนมัติแบบงงสุดขีด
พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้า รายใหญ่ (มาก ) อย่าง เกรงใจสุดๆ

“... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ...
...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ
คือ...พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกัน ดีอยู่
ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง
ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้
แต่...” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ

และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา
ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง

“...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก
และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...”

“...พ่อหนุ่ม” พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคาร อย่างใจดี

“...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...”

แกถอนหายใจยาว

ก่อน จะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

“...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...”


========================================

คุณค่าของเ! ราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา
แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา
โอกาสยังมี อยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ
ตั้งใจทำในสิ่ง ที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ
แล้วดอกผลจะตาม มาเอง
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #84 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 19:29:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ narongb เมื่อ 09 พฤศจิกายน 2552, 22:23:38
ทำไมพิมพ์เก่งจัง

copy มาจากเมลที่มีคนส่งมาให้จ้ะ
      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #85 เมื่อ: 17 มีนาคม 2553, 23:09:09 »

มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง
สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชาย
วัยห้าขวบของเขากำลังจะได้
เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง
ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น

โดยส่วนตัวของเขาเอง
ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก
ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป
ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง
”ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่า
ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า
ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนา ผู้ ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดา ว่า
เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา
และพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำ ให้เขาได้พบว่า....
ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง
แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลา
รอบๆบริเวณบ้านโดย ไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บอาหาร
เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อน
คุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร
และ มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนา ที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน

แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต
อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ
ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน
แต่เขา ก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
... ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า ...
จริงๆ แล้ว ... เรายากจนกว่าชาวนามาก

      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
อ้อย31
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2531
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 342

« ตอบ #86 เมื่อ: 05 เมษายน 2553, 16:37:57 »

 “ มองที่ปัญหา หรือ     มองที่ทางออก “ 

   เรื่องแรก   


อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศเจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก นักวิทยาศาสตร์ระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกา   

ที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้     ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญและใช้เวลาไปหลายปี    ในที่สุดได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว    แม้ใต้น้ำก้อเขียนได้
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ประสบปัญหาเดียวกัน ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา   

 
               *******************************

 

                เรื่องที่สอง   

             
โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา   เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก้อตรวจจับได้ ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก   แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบปัญหาเดียวกัน    ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป     

               ****************************** 


คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา

ทุ่มกำลังสติปัญญาและทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น

ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย

               ******************************

เมื่อคุณเจอปัญหา ลองเปลี่ยนวิธีคิด แล้วคุณจะประหลาดใจ   


      บันทึกการเข้า

สุขภาพดีชีวีมีสุข สุขได้เมื่อใจรู้จักพอ
  หน้า: 1 2 3 [4]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><