วิธีสร้างเสริมความฉลาด
ผู้ที่จะช่วยสร้างความฉลาดให้กับลูกได้ดีที่สุดคือ พ่อแม่ และสถานที่ที่ดีที่สุดคือ "บ้าน" หาใช่ที่โรงเรียนไม่ การจะเลี้ยงลูกให้ฉลาดนั้น
ประการแรกที่สำคัญก็คือ จะต้องรู้จักและเข้าใจลูกของเราให้กระจ่างเสียก่อนเพราะว่าแต่ละคนจะมีการเรียนรู้ในแบบที่ไม่เหมือนกัน แม้
แต่พี่น้องท้องเดียวกันก็จะต้องมีวิธีการเลี้ยงดูที่ต่างกัน ตามความเหมาะสมของลูกเฉพาะคน
เคล็ดลับของการเลี้ยงลูกให้ฉลาดคือ "ต้องให้ลูกคิดเป็น" ความคิดคือกุญแจสำคัญในการพัฒนาสมอง สมองที่ได้คิดยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี
พ่อแม่จึงควรกระตุ้นการคิดของลูกให้เกิดขึ้น และให้คิดไปในแนวทางที่ถูกต้องมีประโยชน์เพียงเท่านี้ลูกก็จะเป็นคนฉลาดได้
คราวนี้ก็มาถึงวิธีการที่พ่อแม่จะใช้กับลูกให้เหมาะสม ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ต้องใช้ศิลปะพอสมควร เพราะวิธีการจะไม่ตรงไปตรงมาเหมือน
หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แต่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพความต้องการของลูกด้วย
การจะสอนลูกให้คิดเป็น จะต้องรู้ว่าลูกเรามีลักษณะการเรียนรู้แบบใดที่เขาจะคิดได้เร็ว โดยทั่วไปเด็กจะมีวิธีการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 พวก
ใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. คิดแบบวิเคราะห์ พวกนี้จะชอบความสงบ แสงสว่าง นั่งทำงานเป็นที่เป็นทาง ทำงานให้เสร็จเป็นชิ้น ๆ ไป ระหว่างทำงานไม่กินของ
ขบเคี้ยว วิธีสอนเด็กกลุ่มนี้จึงต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม การสอนจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน มีการแจกแจงข้อมูลแยกแยะและ
สรุปข้อมูลให้ชัดเจน เด็กจะเข้าใจได้เร็ว
2. คิดแบบภาพรวม พวกนี้ชอบเสียงดนตรี แสงน้อย นั่งทำงานตามสบาย ทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน กินขนมพร้อมกับทำงาน วิธี
สอนเด็กกลุ่มนี้ ควรมีภาพประกอบเล่าเรื่องอธิบายภาพกว้าง ๆ ให้เขาเข้าใจ ส่วนรายละเอียดเขาจะไปหาเพิ่มเติมเอาเอง ถ้าเขาสนใจ
แต่ถ้าเขาไม่สนใจเขาจะไม่ทำอะไรเลย ฉะนั้นการสอนที่ดีควรกระตุ้นความสนใจให้ได้เท่านั้นก็พอ ถึงแม้การเรียนรู้ของทั้งสองกลุ่มจะ
ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มใดจะดีกว่าอีกกลุ่ม เพียงแต่เป็นความถนัดของการเรียนรู้เท่านั้น พ่อแม่เข้าใจตรงจุดนี้ ก็จะสามารถ
ปรับวิธีการเลี้ยงลูกให้เหมาะสมกับลูกแต่ละคนได้
ภาพจาก
www.oknation.netวิธีสร้างเสริมความฉลาด
วิธีที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างความฉลาด วิธีการจริง ๆ นั้นจะมีมากมายหลากหลายในรายละเอียดมีทฤษ
ฎีหลายทฤษฎี แต่พอจะสรุปหลักๆในการสร้างเสริมความฉลาดที่ค่อนข้างจะเห็นพ้องต้องกันมาเสนอในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความจำ
เป็นพื้นฐานต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะกระทำ ความจำจึงเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาสมอง เด็กฉลาดทุกคนจึงมักจะมีความจำ
ดีกว่าเด็กอื่นๆ แต่การจำในสิ่งที่ควรจำ ในเรื่องที่มีประโยชน์จะได้ผลในการฝึกสมอง และในด้านการใช้งานด้วย การจะมีความจำดีนั้นก็มี
วิธีฝึกหัดหรือเทคนิคการจำที่แตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล ไม่มีวิธีไหนที่ใช้ได้กับคนทุกคน ดังนั้นการฝึกความจำจึงเป็นเทคนิคที่จะต้อง
พัฒนาเอาเองในเด็กแต่ละคน แต่ระยะฝึกหัดนั้นอาจจะเริ่มต้นทดลองฝึกหัดความจำด้วยวิธีของคนอื่นไปก่อนก็ได้ จนเกิดวิธีของตนเอง
ในที่สุด เช่น บางคนใช้การนั่งสมาธิช่วย บางคนใช้คำคล้องจองช่วยจำ บางคนจำเป็นตัวอักษรย่อ ฯลฯ หลายๆคนพยายามที่จะแนะนำวิ
ธีช่วยจำ เช่น มีสมุดพกติดกระเป๋าเวลาคิดอะไรได้ก็จดไว้ จดสิ่งที่อยากจำไว้ในสมุดเสมอ อ่านออกเสียงจะทำให้จำได้ดีขึ้น และแนะนำ
ให้ใช้เทคนิคต่างๆมากเทคนิคในการช่วยจำ อย่าใช้เทคนิคใดเพียงอย่างเดียว
พ่อแม่ควรฝึกลูกให้มีกระบวนการคิดที่ดี เพราะกระบวนการคิดที่เป็นระบบจะช่วยทำให้ความจำดีขึ้น และมีการเลือกข้อมูลในการจำได้
อย่างมีประโยชน์ทำให้ลูกมีความจำที่มีประสิทธิภาพและพัฒนาสมองให้เป็นเด็กฉลาด
ภาพจาก
www.kriengsak.comหนังสือ
หนังสือเป็นแหล่งรวมความรู้อันยิ่งใหญ่เป็นโลกกว้างของเด็กและผู้ใหญ่ การอ่านหนังสือย่อมช่วยให้สมองของเราได้รับความรู้เพิ่มมาก
ขึ้น หนังสือที่น่าสนใจก็มีมากมายจนอ่านไม่หมด แต่นิสัยรักการอ่านจะมีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เป็นที่แน่ชัดว่า
คนฉลาดทุกคนเป็นคนรักการอ่านหนังสือ อัจฉริยะบุคคลทุกสาขา เป็นคนรักการอ่านหนังสือ ฉะนั้นหนังสือคือปัจจัยหนึ่งในการสร้าง
เสริมความฉลาดให้กับตัวเราและลูกของเราได้
เด็กเล็กๆทุกคนเกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะเมื่ออายุได้ 3-4 ขวบ จะมีความกระหายใคร่รู้ในทุกเรื่อง จะเป็นเด็ก
ช่างพูดช่างถาม ถามมากจนพ่อแม่อาจจะรำคาญหรือเบื่อที่คอยตอบคำถาม หนังสือจึงเป็นสิ่งที่จะมาช่วยเราได้ ถ้าลูกมีนิสัยรักการ
อ่านมาตั้งแต่เด็ก เขาจะศึกษาสิ่งที่เขาอยากรู้ได้จากหนังสือ เด็กจะอ่านเรื่องที่เขาสนใจอย่างไม่รู้เบื่อ แต่ทำอย่างไรที่จะสร้างนิสัย
รักการอ่านให้เกิดขึ้นได้ เด็กเล็กๆก็พร้อมที่จะอ่านหนังสือได้แล้ว เพียงแต่พ่อแม่ไม่เข้าใจ คิดว่าลูกยังเล็กเกินไป การได้ฝึกการอ่าน
พร้อมกับการฟังการพูดนั้น เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ สามารถรับได้ ฉะนั้นการฝึกนิสัยรักการอ่านนั้นจะเริ่มโดยพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เปิด
หนังสือให้ลูกดูรูปตามไป พอโตขึ้นมาหน่อยก็หาตัวอักษรมาให้เด็กฝึกอ่าน ฝึกดูบ่อยๆเด็กก็จะคุ้นเคยกับหนังสือ และเกิดนิสัยรักการ
อ่านขึ้นได้ แต่การฝึกนี้จะต้องไม่ใช้วิธีบังคับ จะต้องดูความพร้อมความสนใจของเด็กแต่ละคนประกอบด้วย ไม่ควรไปเร่งเร้าเด็กจน
เกินไป จะทำให้เด็กเบื่อและเกลียดการอ่านได้
ภาพจาก
www.oknation.netเมื่อลูกเริ่มมีนิสัยรักการอ่านขึ้นบ้างแล้ว ควรเลือกหนังสือที่เหมาะสมให้กับเด็ก ดังนี้
1. หนังสือประเทืองปัญญา หนังสือที่ทำให้เด็กเกิดความคิด การวิเคราะห์เหตุผลเพื่อให้เด็กรู้จักคิด มิได้เชื่อตามที่อ่านเสมอไป
2. หนังสือประเทืองจิตใจ ช่วยให้เกิดความประทับใจ ความบันดาลใจ ความงดงามของจิตใจ มีคุณธรรม เช่นหนังสือโคลงกลอน
ธรรมะ ประวัติบุคคลสำคัญต่าง ๆ เป็นต้น
3. หนังสือที่เด็กสนใจ จะเป็นเรื่องแนวใดก็ได้ เลือกที่มีประโยชน์ เหมาะสม ให้กับลูกเราได้เลย แต่ไม่ควรจะให้พร้อมกันทีเดียว
หลายเล่ม เด็กจะอ่านไม่ทัน แล้วเบื่อเสียก่อน
การฝึกหัดการอ่านหนังสือนี้ ต้องให้เด็กเกิดความสนใจในตัวหนังสือ อ่านให้สนุกสนาน ตัวหนังสือใหญ่และมีสีสันสวยงาม อ่านเมื่อเด็ก
พร้อมจะอ่านเท่านั้น หนังสือคือประตูเปิดออกไปสู่โลกกว้าง รีบเปิดประตูนี้ให้กับลูกของท่านเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เด็กพร้อมอยู่แล้ว
ที่จะเรียนรู้ แล้วพ่อแม่ล่ะพร้อมหรือยัง
ภาพจาก
www.gconsole.comความคิดสร้างสรรค์
คือกระบวนการทางปัญญาระดับสูง ที่นำเอาความคิดหลายๆอย่างมารวมกันเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ ซึ่งแตกต่างไปจากความคิดเดิมๆ
ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นการพัฒนาของสมองที่ได้ประโยชน์อย่างมาก เด็กๆจะมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลาโดยธรรมชาติ แต่
เมื่อโตขึ้นความคิดสร้างสรรค์จะถูกบั่นทอนให้ลดน้อยลงโดยไม่รู้ตัว อาจเนื่องมาจากกรอบสังคมขนบประเพณีต่างๆและที่สำคัญคือ จาก
พ่อแม่ที่คอยห้ามปรามลูกไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยกลัวว่าลูกจะมีความคิดผิดไปจากคนอื่น จะเพี้ยนหรือจะมีอันตราย เด็กที่อยู่ในอำ
นาจการควบคุมปกครองอย่างเข้มงวด จะไม่มีอิสระทางความคิด จะไม่สามารถคิดอะไรที่สร้างสรรค์ใหม่ๆออกมาได้ ฉะนั้นพ่อแม่ที่ต้อง
การให้ลูกฉลาด จึงควรปล่อยให้ลูกได้มีจินตนาการทดลองความคิดที่แตกต่างจากเพื่อน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ อย่าเอาตัวเราเองเป็น
เกณฑ์ตัดสินจนเกินไป
วิธีที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้ลูกพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ มีข้อแนะนำดังนี้
1. ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพราะความรู้นี้เป็นพื้นฐานของความคิด ความคิดใหม่จะเกิดจากการดัดแปลงความคิดเต็มเสมอ ยิ่งมีความรู้มาก
เท่าไรการมองปัญหาจะยิ่งกว้างและเกิดความคิดใหม่ได้ง่าย
2. เปิดใจรับสิ่งใหม่ ต้องฝึกเด็กให้เป็นคนใจกว้าง พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงความคิดได้ ถ้ายึดติดกับความคิดเดิมจะสร้าง
สรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างไร
3. มองต่างมุม ต้องฝึกให้มองในมุมกลับ มุมอื่นที่แตกต่างจากคนอื่น คำตอบของปัญหาไม่ได้มีคำตอบเดียว อาจมีหลายคำตอบที่แตก
ต่างแต่ล้วนถูกต้องทั้งสิ้นก็ได้ ต้องพยายามหาคำตอบให้มากกว่าหนึ่งเสมอ
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ฝึกให้เกิดขึ้นได้ โดยเริ่มจากการมีความรู้เป็นพื้นฐาน จากนั้นเริ่มการคิด การรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อสัง
เคราะห์ให้เกิดความคิดใหม่ ซึ่งช่วงนี้ต้องใช้เวลาคิดทบทวนพอสมควร เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาทันทีโดยฉับพลัน
เมื่อได้ความคิดใหม่แล้ว ก็เป็นขั้นตอนการพิสูจน์ความคิดนั้นว่าจะใช้ได้ดีหรือไม่ เด็กที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ ต้องการเวลาคิด ฉะนั้น
พ่อแม่ควรให้ลูกได้มีเวลาหยุดพักความคิดบ้าง อย่าให้เขาต้องใช้เวลากับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไป เช่น การเรียนหนังสือที่ต้องเรียนพิเศษ
ในวันหยุดอีก เด็กจะขาดเวลาที่จะเล่นหรือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ไป เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์อาจจะดูแตกต่างไปจากเด็กอื่นๆ คือ
จะมีลักษณะชอบขบคิดปัญหาที่ซับซ้อน มีความมุมานะที่จะทำให้สิ่งที่คิด แม้คนอื่นจะไม่เห็นด้วย กล้าที่จะแตกต่างจากเพื่อน
ภาพจาก
www.siamzone.comเมื่อพ่อแม่สังเกตเห็นว่าลูกของเรามีลักษณะที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ ก็ควรจะสนับสนุนให้เขาได้พัฒนาความคิดต่อไป การพัฒนานี้
จะออกมาในรูปทางความคิด เช่น
1. มีความคล่องตัว คือสามารถคิดได้เร็ว 2. มีความหลากหลาย คือคิดได้แตกต่างไปจากความคิดเดิมได้มาก
3. มีความแปลกใหม่ ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมที่กำหนดเอาไว้ 4. มีความละเอียด สามารถใช้ความคิดมองสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
หนทางที่จะช่วยลูกให้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต่อไปคือ
1. คบหากับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ 2. เกิดความคิดใหม่ให้จดบันทึกทันที 3. สร้างอารมณ์ขันให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
4. คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้ 5. ถามคำถามที่จะช่วยให้เกิดจินตนาการ เช่น ถ้าคนในโลกนี้มีแต่ผู้ชาย จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
6. ถ้าเห็นลูกฝันกลางวัน อย่าดุด่าเขาอาจกำลังคิดอยู่ 7. สนับสนุนให้เขาเล่มเกมที่ใช้ความคิด เช่น หมากฮอส หมากรุก ฯลฯ
8. คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น 9. อย่ามองข้ามความคิดเล็กๆน้อยๆ
10. ให้เด็กได้แสดงออกทางการวาดภาพ เขียนหนังสือ ถ่ายภาพ เล่นละคร ฯลฯ
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่พ่อแม่จะเพิ่มเติมเข้าไปตามความเหมาะสม โดยยึดหลักว่าให้เขามีอิสระทางความคิด และคิดอะไรก็
ได้ตามใจ โดยไม่มีการตัดสินว่าผิดหรือถูก ความคิดสร้างสรรค์ก็จะหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
สิ่งที่จะคอยสกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ไม่ให้เกิดขึ้นที่เขาควรจะขจัดออกไป มีดังนี้
1. คิดว่าอะไรๆควรมีคำตอบเดียว 2. ปิดกั้นความคิดตัวเองจากกรอบของสังคม 3. ความเคยชิน เคยทำมาอย่างไรก็ทำตามเดิม
4. ไม่สนใจสิ่งใหม่ 5. สรุปความคิดเร็วเกินไป ไม่รอบคอบ 6. กลัวที่จะทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น
พ่อแม่ควรระมัดระวัง อย่านำสิ่งเหล่านี้มาส่งเสริมให้กับลูกเข้าโดยไม่รู้ตัว นั่นเพราะอาจเป็นความเคยชินของพ่อแม่เอง
ภาพจาก
www.laemkom.multiply.comการแก้ปัญหา
สังคมของเราเต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดพันประการ การจะแก้ปัญหาให้ได้ผลโดยไม่ทุกข์มากนัก ต้องมีการเรียนรู้และฝึกหัดซึ่งถ้าฝึก
เสียตั้งแต่เด็กได้ก็จะเป็นผลดี สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างง่ายดาย และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การฝึกหัดลูกรู้จักแก้ปัญ
หานั้น จะอาศัยปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น สภาพแวดล้อมทางบ้าน ควรมีการฝึกแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆกันบ่อยๆให้เด็กได้เห็นตัวอย่างการ
แก้ปัญหา จะได้มีประสบการณ์ ฝึกให้รู้จักการเสี่ยงบ้าง ต้องยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม ฝึกความคิดสร้างสรรค์ไปด้วย อย่าเพิกเฉย
เมื่อลูกมีปัญหาให้ช่วย
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ควรมีแนวคิดในการพิจารณา ดังนี้
1. ปัญหาไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หาแง่ดีของปัญหาให้ได้ 2. มองปัญหาหลัก ปัญหารอง แก้ไขทีละจุด
3. ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องแยกให้ออกว่าเป็นปัญหาจริงๆหรือว่าจินตนาการไปเอง 4. หาขั้นตอนการแก้ไขก่อน ค่อยหาวิธีแก้ไข
5. หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา เช่น ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นหรือไม่แก้ไขอย่างไร 6. เตรียมการแก้ปัญหาไว้หลาย ๆ แบบ
7. เปลี่ยนวิธีแก้ปัญหาให้หลากหลายขึ้น 8. อาจหากระดาษมาลองบันทึกดูว่าจะทำอะไรบ้างอย่างเป็นขั้นตอนในการแก้ปัญหา
นอกจากนี้ เมื่ออยู่ว่างๆไม่มีปัญหาอะไรก็ลองสร้างสถานการณ์ของปัญหาขึ้น และฝึกหัดแก้ไขกัน เล่นเป็นเกมสนุกๆกันระหว่างพ่อ
แม่ลูก
ภาพจาก
www.gotoknow.comศิลปะดนตรี
เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เด็กได้อยู่ใกล้ชิดกับจิตวิญญาณของตนเอง ปล่อยจิตใจและความคิดให้เป็นอิสระ อันจะเป็นพื้นฐานในการฝึก
และพัฒนาสมองทางด้านอื่นๆได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น การฝึกศิลปะทางดนตรี หรือวาดภาพเป็นเรื่องที่เด็กจะได้รับจากทางบ้าน โดยพ่อ
แม่มากกว่าทางโรงเรียน ซึ่งจะเน้นที่วิชาการอื่นๆเสียมากกว่า ถ้าเด็กขาดแคลนศิลปะทางด้านนี้ จะทำให้การพัฒนาสมองล่าช้าไป
อย่างน่าเสียดาย พ่อแม่จะช่วยพัฒนาสมองลูกได้โดยการให้ลูกของเราได้มีโอกาสใกล้ชิดกับงานศิลปะไม่ว่าจะเป็น ดนตรี ภาพวาด
การแสดง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถ้ามีความหลากหลายมากยิ่งดี เด็กจะได้รับข้อมูลมากขึ้น และกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้เป็นอย่างดี
ให้ลูกได้ฟังเพลงในจังหวะต่างๆ เพลงหลายแบบทั้งเพลงไทยเดิม สากล ร็อค ดูคอนเสริต์ หัดเล่นดนตรี เริ่มจากตีกระป๋อง เคาะแก้ว
ไปจนถึงเครื่องดนตรีจริงๆ อุปกรณ์ช่วยเสริมจะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศิลปะด้านนี้ของเด็ก
เด็กที่มีพื้นฐานทางดนตรีดี มักจะมีลักษณะที่ชอบเสียงดนตรี สามารถแยกแยะจังหวะและระดับเสียงได้ สนใจเรื่องภาษาโน้ตดนตรี
ฯลฯ ถ้าเด็กมีแววทางด้านดนตรีเป็นทุนเดิมอย่างนี้ การส่งเสริมสนับสนุนจากพ่อแม่จะช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก แต่ถึง
ลูกจะไม่มีความสนใจดนตรีเลย เราก็ควรส่งเสริมเช่นกัน
เด็กที่มีความสามารถพิเศษทางด้านศิลปะนี้ จะเป็นความสามารถเฉพาะด้าน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาแต่อย่างใด ฉะนั้นการ
ที่เด็กเรียนเก่งหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาทางด้านนี้ซึ่งเด็กทุกคนควรจะได้รับ เพราะการพัฒนาทางศิลปะมีความสำคัญไม่แพ้
การพัฒนาทางด้านสติปัญญาหรือด้านอื่นๆ พ่อแม่ต้องจัดเวลาให้กับลูกด้วย อย่าเอาเวลาทั้งหมดมุ่งไปที่การเรียนหนังสือเพื่อสอบ
อย่างเดียว เพราะการพัฒนาทางศิลปะนี้ จะช่วยการพัฒนาด้านอื่นๆ ให้เจริญงอกงามได้เร็วขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครให้
ความสำคัญกับการพัฒนาศิลปะมากเท่าไรนัก เด็กของเราจึงมักจะเป็นคนฉลาดที่ไม่ค่อยมีจินตนาการ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาต่อสังคม
ได้ เพราะขาดความละเอียดอ่อนทางด้านจิตใจ
ภาพจาก
www.bloggang.com การเล่น
เด็กทุกคนสนใจการเล่นอยู่แล้ว ฉะนั้นพ่อแม่ควรจะส่งเสริมการเล่นชนิดที่สัมพันธ์กับความอยากรู้อยากเห็นของลูก เลือกการเล่นให้
เหมาะสมกับวัยด้วย จะได้ประโยชน์อย่างมาก เด็กใช้การเล่นเป็นการรู้จักเข้าสังคม เริ่มมีเพื่อนมีการแลกเปลี่ยนของเล่น มีการแย่ง
ของเล่น ฯลฯ เด็กจะเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เกิดปัญหาและเรียนรู้การแก้ปัญหาและเกิดความชำนาญมากขึ้นในเรื่องต่างๆ การสอน
ลูกให้เล่นอย่างมีประโยชน์มีเป้าหมายจะต้องค่อยๆสอนอย่างช้าๆให้ลูกตามได้ทัน พ่อแม่เพียงแต่แนะนำวิธีเล่นเบื้องต้นเท่านั้น เด็ก
จะสามารถเล่นได้เอง
มีข้อแนะนำพ่อแม่เกี่ยวกับการเล่นของลูกดังนี้
1. ให้ลูกเป็นผู้ริเริ่มการเล่น และจัดการการเล่นของเขาเอง เราเพียงคอยชี้แนะบางจุด 2. เมื่อลูกทำผิด ให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาเองบ้าง
3. ให้รางวัลเมื่อลูกมีความคิดริเริ่มใหม่ ๆ 4. ฝึกลูกให้รู้จักทดลองในสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ และหาวิธีใหม่ ๆ
5. การเล่นควรสัมพันธ์กับความสนใจของลูก 6. ไม่ควรยัดเยียดความรู้ให้กับลูกมากเกินไป
การเล่นของเด็กเป็นการเรียนรู้โดยธรรมชาติ พ่อแม่เพียงแต่คอยดูแลระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และส่งเสริมให้ลูกได้รู้จัก
เล่นเกม เล่นกับเพื่อน เล่นของเล่นและเล่นสิ่งอื่น ๆที่จะช่วยในการพัฒนาสมองของเด็ก ซึ่งพ่อแม่จะเป็นผู้ที่เลือกหามาให้ลูกได้เช่น
หมากฮอส หมากรุก ตัวต่อ ภาพต่อ ฯลฯ ซึ่งเป็นของเล่นที่สร้างสรรค์ความฉลาดให้กับเด็กได้
ภาพจาก
www.kukai.ac.th