เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี เลี้ยงลูกอย่างไรให้(ได้)ดี โดย นพ.สมพนธ์ บุณยคุปต์
วิชัยยุทธจุลสารเล่มนี้เป็นเล่มสำหรับเด็ก เด็กเป็นวัยที่มีความสำคัญต่อสังคมและ ประเทศชาติมากที่สุด แต่เป็นที่น่าเสีย
ดายที่ในช่วง ๑๐ ปี ๒๐ ปี หลังนี้เราละเลย หรือเลี้ยงดูเด็กผิดแนวทาง โดยถูกกระแสสังคมใหม่ ชี้นำไปจนทำให้เด็กใน
ยุคนี้แทนที่จะเป็นกำลังแก่สังคม กลับเป็นภาระของสังคม เพราะพูดได้ว่าเด็กจำนวนมากหลงทาง หลงผิด เด็กติดสิ่งเสพ
ติดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุรา ยาม้า ยาบ้า ยาอีไปจนถึงโคเคน และเฮโรอีน มีนิสัยเป็นอันธพาล ใจคอโหดร้าย อย่างข่าวที่นัก
เรียนชายบังคับนักเรียนหญิงไปข่มขืน เป็นเด็กไม่มีระเบียบวินัย เป็นเด็กไม่มีปัญญามีแต่ปัญหา เป็นเด็กที่หลงระเริง หลง
ทาง ซึ่งปัญหาเหล่านี้แพร่หลายทั่วประเทศ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด คนไข้ของผู้เขียนคนหนึ่ง เป็นครูที่โรงเรียนในจัง
หวัดไม่ห่างกรุงเทพฯมากนัก ได้ตรวจปัสสาวะของนักเรียนชายและหญิง พบยาเสพติดถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อผู้เขียนบวชที่วัดป่า
จังหวัดหนองคาย พบเณรอายุ ๑๑-๑๒ ปี เมื่อถามว่าบวชเพราะอยากบวชหรือ เณรบอกเปล่าแต่แม่ให้ บวช เพราะกลัวติด
ยา เพื่อนๆที่โรงเรียนติดยาเกือบหมดแล้ว!
หัวข้อเรื่องที่เขียนมี ๒ นัย คือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี” หรือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ดี” ซึ่งฟังเผินๆคล้ายกันแต่ความหมาย
ต่างกันมาก คนส่วนมากคงจะชอบอย่างแรก คือ เลี้ยงลูกให้ได้ดี ซึ่งการที่คนจะได้ดีนั้น สุดแต่ว่าใครตั้งเป้าไว้ว่าต้องการอะ
ไร มักจะเป็นเรื่องของทรัพย์ ตำแหน่ง อำนาจ วาสนา แต่ต้องไม่ลืมว่าคนที่ได้ดี อาจเป็นคนเลวมากก็ได้ เห็นตัวอย่างอยู่
เต็มเมือง ในสังคมปัจจุบันคนที่ได้ดีแต่ไม่ใช่คนดีมีให้เห็นมากมาย จึงอยากจะเขียนเรื่องเลี้ยงลูกให้ดี คือให้เป็นคนดี ซึ่งถ้า
เป็นคนดีอยู่ในสังคมที่ดีแล้ว ย่อมจะได้ดีเอง คนยุคใหม่มักตำหนิการเลี้ยงลูกของคนรุ่นเก่า ว่าคร่ำครึ ไม่ถูกยุคถูกสมัย จะ
ไปแข่งไปสู้กับชาวโลกเขาไม่ได้ ซึ่งความจริงคนรุ่นเก่า เขาไม่เคยมีใครมาอบรมสั่งสอนว่าให้เลี้ยงลูกอย่างไร ไม่มีหนังสือ
เขียนวิธีการเลี้ยงลูก แต่เขาเลี้ยงดูตามที่เห็นพ่อแม่เลี้ยงดูมา แต่เขาก็ไม่เคยนำประเทศไปเสียท่าแก่ประเทศอื่น พ่อแม่
สมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ เลี้ยงลูกโดยการอ่านตำรา ซึ่งส่วนใหญ่เขียนโดยคนต่างประเทศที่เขาสอนเพื่อให้เด็กอยู่ในสังคมและ
วัฒนธรรมของเขา ซึ่งต่างจากสังคมและวัฒนธรรมเรา สิ่งที่ดีเหมาะสมในสังคมฝรั่งอาจไม่เหมาะสมกับสังคมไทย ดูง่ายๆ
เรื่องการแสดงออกของความพอใจ เด็กยุคใหม่ต้องส่งเสียงร้อง “กรี๊ด” ให้ดังหนวกหูที่สุด นานที่สุด จนฟังไม่ออกว่าผู้
แสดงเขาร้องหรือพูดว่าอะไร ถ้าเป็นสมัยโบราณคงถูกพ่อแม่ตีตาย เพราะอย่างมากที่คนสมัยก่อนจะแสดงออกก็คือปรบมือ
เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นการแสดงออกของเด็กสาว การร้องกรี๊ดทุกกาละเทศะเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่สมควรแก่สังคมไทย
หรือ? การแสดงออก หลายอย่างเป็นลักษณะของวัฒนธรรมของอาฟริกัน อเมริกัน เช่น การแต่งกาย แต่งผม แต่งหน้า หรือ
ผู้ชายใส่ตุ้มหู ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรเลียนแบบเลย เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ
เรื่องเหล่านี้ยังไม่สำคัญเท่ากับผลที่เกิดต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากผลการปฏิบัติงานของ
คนยุคใหม่ในระดับต่างๆ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การมองแต่ผลประโยชน์ที่จะได้โดยไม่นึกถึงทางเสี่ยงหรือผลเสีย การวิ่ง
ตามยุคของเศรษฐกิจแบบใหม่ของอเมริกันโดยไม่ดูตัวเอง จนเกิดภาวะฟองสบู่แตก เข้าสู่ยุคไอเอ็มเอฟ (ดังที่เขียนความ
เห็นไว้ใน วิชัยยุทธจุลสาร เล่มที่ ๘ แล้ว) แต่ไม่ใช่ว่ากิจการทั้งหมดจะอยู่ในสภาพเลวร้าย จะเห็นได้ในทุกวันนี้ว่ากิจการ
ใดๆที่ดำเนินงานในลักษณะไม่เสี่ยง ไม่งกเอาแต่ได้ ก็จะสามารถประคองตัวรอดได้ ผู้เขียนเป็นอายุรแพทย์ไม่ใช่กุมาร
แพทย์ ไม่เคยศึกษาเรื่องวิธีเลี้ยงเด็ก แต่มีประสบการณ์จากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมา และตัวเองเคยเลี้ยงลูกมา ๒ คน คิด
โดยไม่ลำเอียงว่า ตัวเองคงจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ลูกที่ดี” หรือ “ลูกที่ได้ดี” ทั้ง ๒ กรณี และลูก ๒ คนของผู้เขียนก็คงจัดได้
เช่นเดียวกัน อย่างน้อยน่าจะแสดงว่าวิธีที่คุณพ่อเลี้ยงผมมา และที่ผมและภรรยาเลี้ยงลูกคงจะใช้ได้ เพราะทำให้เราเป็น
คนดีและได้ดี ผู้เขียนเคยใช้เวลาพิจารณาว่าที่ตัวเองเป็นอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร เป็นจากการอบรมของพ่อแม่อย่าง
เดียวหรือ? ตอบว่าไม่ใช่ เพราะพ่อแม่สมัยก่อนไม่มีเวลามากนักที่จะมาดูแลลูกหลายคน (พี่น้องผู้เขียน ๔ คน) แต่ส่วนหนึ่ง
เป็นจากการเห็นและการทำตามพ่อแม่หรือว่าได้การอบรมจากโรงเรียน? ก็ไม่ใช่อีก ได้จากเพื่อนหรือ? ก็ไม่ใช่ จากการอ่าน
หนังสือเองหรือ? ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นจากอะไร? คงตอบว่าจากทุกอย่างรวมกัน แต่แม้รวมกันแล้วก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีส่วน
สำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ส่วนที่อยู่ในตัวเอง ซึ่งคิดว่าอาจจะมากเกินครึ่งของทั้งหมด จะเรียกว่าอะไร อาจเรียกว่า “สันดาน”
ของคนคนนั้น หมายถึงว่าคนที่จะดีต้องมีสันดานดีอยู่ในตัว คนพาลสันดาลหยาบ ให้ไปอบรมอย่างไร ก็ยากจะดีได้ มีตัว
อย่างให้เห็นมากมายว่าคนบางคนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเลยแต่เป็นคนดีได้ แต่คนที่อยู่ในที่แสนจะดีกลับเป็นคนชั่วเอา
ตัวไม่รอด คนเราอาจเปลี่ยนได้บ้างถ้าได้รับการสั่งสอนถูกทางตั้งแต่เด็ก เจ้าตัว “สันดาน” นี้คืออะไร? อย่างที่เขียนใน
เล่มที่แล้วว่า พระพุทธเจ้าอธิบายการเกิดของมนุษย์ว่า เมื่อไข่ของมารดาผสมกับเชื้อของบิดาแล้วจะเกิด “กายทสกะ” ทำ
ให้มีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เป็นซึ่งจะมีส่วนคล้ายบิดามารดา มี “ภาวะทสกะ” ที่ทำให้กำหนดเพศว่าเป็นเพศอะไรและ “วัตถุ
ทสกะ” เป็นโครงสร้างของสมองที่ทำให้ลูกมีสติปัญญาเทียบเคียงพ่อแม่ ในทางวิทยาศาสตร์เราก็อธิบายเรื่องของพันธุกรรม
ไว้ตรงกัน แต่ก็ยังอธิบายว่าอะไรทำให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นนี้ไม่ได้อยู่ดี ยกตัวอย่างการที่ผู้เขียนมาเป็นแพทย์นี้ ไม่ได้เกิด
จากความชอบ ความต้องการของตนเอง เพราะสิ่งที่ชอบที่สุดตั้งแต่เด็กคือการเป็นเกษตรกร แต่บังเอิญในยุคที่เรียนจบจะ
เข้ามหาวิทยาลัย ยังไม่มีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีแต่วิทยาลัยแม่โจ้ ผู้เขียนเลยไม่ได้เป็นเกษตรกร ไม่ได้เกิดจากอิทธิ
พลความต้องการของครอบครัว ซึ่งเป็นครอบครัวทหารน่าจะเป็นทหาร บังเอิญใจผู้เขียนไม่ชอบเป็นทหาร (แต่ในที่สุดช่วง
หนึ่งของชีวิตก็ต้องไปเป็นทหาร อาจเรียกได้ว่าเป็นไปตามดวงเพราะหมอผูกดวงที่มีชื่อเสียงในอดีตท่านหนึ่ง คือ พล.ต.พิ
สนห์ ทองดีเลิศ ท่านทำนายไว้ว่าอนาคตของผู้เขียนจะเด่นมาก โตขึ้นจะเป็นครู หรือเป็นแพทย์ และจะเป็นทหารมียศเป็นถึง
นายพันตรี! ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าทำไมเป็นพันตรีจึงเด่น ในสมัยนั้นยศสูงสุด ที่คนธรรมดา จะเป็นได้คือพันเอกซึ่งมีเพียงไม่
กี่คน ดังนั้นเป็นพันตรีก็เทียบกับสมัยนี้เป็นนายพลแล้ว ซึ่งเมื่อผู้เขียนจบแพทย์หลังเป็นแพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ที่ศิริ
ราชแล้วก็ออกมาหางานทำ ไปดูโรงพยาบาลต่างๆ หลายแห่ง เขาอยากได้ผู้เขียนแต่ตนเองมาพอใจเอาที่โรงพยาบาลพระมง
กุฎเกล้า ซึ่งในยุคนั้นเหมือนโรงพยาบาลต่างจังหวัด มีคนไข้นอนในหออยู่ ๔๐ คน ไม่มีหมอประจำ นอนเตียงละ ๒ คนก็มี ไม่มี
ผ้าปูที่นอน ทั้งward มีเข็มฉีดยา ๒ อัน เลยเลือกมาอยู่ เพราะมีงานทำมากดี ได้ยศเป็นร้อยโทและอยู่จนเป็นนายพันตรีจริงๆ
ตามคำทำนาย พอดีทางมหาวิทยาลัยขอโอนไปเป็นหัวหน้าหน่วยโรคทางเดินอาหารและอายุรศาสตร์เขตร้อน โรงพยาบาล
รามาธิบดี แต่หมอดูผิดไปหน่อยที่หลังจากโอนมาพลเรือนแล้วมีคำสั่งกลาโหมติดตามมาให้เลื่อนยศเป็นพันโทย้อนหลัง คือ
เรียกว่าผู้เขียนได้ดีกว่าดวง!) เหตุที่ผู้เขียนมาเป็นแพทย์ก็เพราะบังเอิญไปเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ ซึ่งระยะนั้น
เป็นที่รวมคนเก่งจากโรงเรียนต่างๆเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย มีเพื่อนที่เก่งๆทั้งนั้น ทุกคนอยากเข้าเรียนแพทย์เป็นอันดับหนึ่ง
ถึงเราไม่เก่งแต่ก็สมัครรวมกลุ่มไปกับเขา และบังเอิญสอบติดแพทย์ด้วย ก่อนหน้านี้คุณแม่ป่วยหนักและเสียชีวิตในช่วงหลังสง
ครามที่ไม่มีหมอไม่มียารักษา เป็นเหตุจูงใจให้เห็นความ สำคัญของแพทย์ จึงเต็มใจไปสอบเข้าแพทย์
ตามที่เขียนไว้แล้วว่าผู้เขียนยังอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมผู้เขียนจึงเป็นอย่างที่เป็น ส่วนหนึ่งคือ “ดวง” หรือ จังหวะของชีวิต ซึ่งใคร
เป็นคนกำหนด หรือเกิดขึ้นเอง ถ้าเป็นฮินดูคงจะบอกว่า พระพรหมเป็นผู้กำหนดมา ทางคริสต์คงบอกว่าเป็นความต้องการของ
พระผู้เป็นเจ้า แต่ทางพุทธบอกว่าเป็น “กรรมกำหนด” คือสิ่งที่ตัวเองได้เคยทำมาแล้วในอดีตชาต ิจนถึงปัจจุบันนี้เป็นตัวกำหนด
“ปัจจุบันคือผลของอดีต” มันมาควบคุมเราได้อย่างไร มันมากับเราตั้งแต่เมื่อเราอยู่ในครรภ์ของแม่ คือ “จุติ วิญญาณ” ที่เข้ามา
ในรูปที่เราเรียกว่า “คันธัพพะ” เป็น “ปฏิสนธิวิญญาณ” มาพร้อมกับข้อมูลของกรรมเก่าที่เราแต่ละคน ได้สร้างสมมาในอดีต
เทียบกับความรู้ ปัจจุบันก็คือข้อมูลที่บรรจุไว้ในแผ่นดิสก์ เพื่อมาใช้ในชาติภพนี้ ดังนั้นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราเป็นอย่างนี้
จะฉลาดจะโง่จะดีจะเลว จะตกอับจะรุ่งเรือง ก็อยู่ที่วิบากกรรมที่ “เรา” ได้สร้างสมมาในอดีต ที่แสดงออกมาให้เห็นส่วนหนึ่ง
เรียกว่า “สันดาน” ของทุกคนนั่นเอง
สรุปได้ว่า เหตุที่ทำให้ใครก็ตามเป็นคนดีหรือได้ดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายอย่าง ส่วนสำคัญที่สุดมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ “วิญ
ญาณ และวิบากกรรม” ของตนเอง เรียกภาษาชาวบ้านว่า “สันดานและดวง” ของคนนั้นๆ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรมากไม่
ได้ อย่างมากคงเพียงตบแต่งได้ อย่างที่พูดกันว่าสันดอนขุดได้สันดานแก้ไม่ได้ ดังนั้นลูกที่เราจะเลี้ยงดูนั้นบาง ครั้งไม่ว่าเรา
จะเลี้ยงดูอย่างไรก็ทำให้เขาดีไม่ได้และไม่ได้ดี ซึ่งพ่อแม่จะต้องทำใจ ถือว่าเป็นวิบากกรรมของเราด้วย ในส่วนที่มีการผูกพัน
กับเขามาในอดีตชาติ
อย่างไรก็ตามมีส่วนหนึ่งที่พ่อแม่อาจให้การอบรมดูแลและแก้ไขได้ ได้แก่
๑. การทำตนให้เป็นแบบเยี่ยงอย่างที่ดี ข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่สุด ลูกจะยึดเอาพ่อแม่เป็นแบบอย่าง นิสัยหลายอย่างได้มาจากพ่อ
แม่ อย่างที่โบราณว่า “ลูกปูเดินตามแม่ปู” หรือ “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” ผู้เขียนเองได้ความซื่อตรง และระเบียบวินัยมาจากพ่อที่
เป็นทหารรุ่นเก่า ที่มีกิตติศัพท์ทั่วกองทัพบกในยุคของท่าน และคงได้ความเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งหลายจากคุณแม่ ซึ่งเสียชี
วิตตั้งแต่ผู้เขียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ แต่ยังจำได้ถึงความเมตตาอบอุ่นของคุณแม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าครอบครัว
ใดพ่อแม่มีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้ง หงุดหงิดทั้งวัน หรือพ่อเมาเหล้า แม่เล่นการพนัน ครอบครัวแตกแยก จะมีผลกระทบต่อนิสัย
ของลูกแน่นอน พ่อแม่ที่หวังจะให้ลูกเป็นคนดี จึงจะต้องดูที่ตัวเองด้วยให้เป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความรักความใกล้ชิดอบอุ่นและ
อาทร
๒. สอนให้ลูกรู้จักคิด ค้นคว้า หาเหตุผล และความถูกผิด เป็นคุณสมบัติข้อแรกที่พ่อแม่จะต้องปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่เด็ก โดยใช้
ประสบการณ์ ของเด็กเอง ที่รู้อะไรหรือพบอะไรมา ให้มาคุยให้ฟังและให้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆ และพ่อแม่เป็นผู้สนับ
สนุนหรือชี้แนะในสิ่งที่เขายังมองไม่เห็นนึกไม่ถึง เมื่อลูกโตขึ้นก็ให้มีการนำเรื่องที่เกิดขึ้นต่างๆมาคุยและชี้มุมมองต่างๆ อย่าให้
ลูกมองอะไรในแง่มุมเดียว ชี้ให้พยายามมองในมุมอื่นทัศนะอื่น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญาณที่ดี คงทน ต่อสังคม
ปัจจุบันที่มีการชี้นำชี้แนะด้วยสิ่งต่างๆมากมาย และส่วนมากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ข้อสำคัญคือพ่อ-แม่จะต้องมีคุณสมบัติอันนี้ด้วย
ถ้าเด็กและคนรุ่นใหม่มีคุณสมบัติข้อนี้ ข้อเดียวจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าไปในทางที่ถูกแน่นอน แทนที่จะเลอะเทอะอย่างใน
ปัจจุบัน
๓. สอนให้ลูกมีวินัย เคารพในกติกาของสังคม เป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งที่คนไทยยุคใหม่ควรมี เพื่ออยู่ร่วมกันได้ด้วยดี จะเห็น
ได้ว่าในปัจจุบัน คนไม่มีวินัย ไม่มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือกติกาต่างๆ นิยมใช้กฎหมู่เป็นหลัก จนทำให้เกิดปัญหาแก่สังคม
ไทยและเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เราแก้ปัญหาต่างๆที่ควรแก้ไม่ได้ ที่เห็นตัวอย่างชัดเจนคือ เรื่องของการขับรถไม่เป็นตามกฎจราจร
จนทำให้เกิดปัญหาในเมืองใหญ่ทุกเมือง อยากให้ดูตัวอย่าง คนญี่ปุ่น อังกฤษ หรือเยอรมัน ข้อหนึ่งที่ทำให้ทั้ง ๓ ชาติมั่นคงเป็น
เจ้าโลกได้หลายยุคหลายสมัยก็เพราะคำว่าวินัยนี้ประการหนึ่ง เพราะไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ต่อข้อระเบียบอันใดอันหนึ่ง ถ้ามี
การโต้แย้งกันแล้วผลสรุปออกมาเป็นอย่างใด ทุกคนจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีบางอย่างเราดูว่าเขาไม่ใช้สติปัญญาแก้
ไขสถานการณ์เลย ผิดจากคนไทยที่แก้ปรับตัวตามสถานการณ์เสียจนขาดวินัย ไม่มีกติกา จึงทำให้สังคมวุ่นวาย...
เด็กที่โตขึ้นโดยมีระเบียบวินัยนั้นจะดูตัวอย่างของพ่อแม่และดูวินัยในบ้านเช่นกัน พ่อแม่จึงต้องมีกติกาสำหรับลูกในบ้าน และ
ต้องรักษากติกานั้นๆ ให้เด็กได้เห็นและปฏิบัติตาม แต่พ่อแม่สมัยนี้เอาใจลูกมากเกินไป ปล่อยตามใจจนเด็กขาดวินัย สมัยก่อน
โรงเรียนก็เป็นที่บ่มวินัยที่ดีเพราะครูจะเคร่งครัด เด็กทำผิดจะถูกตี เด็กนักเรียนต้องแต่งเครื่องแบบ แต่ปัจจุบันเห็นว่าเป็นสิ่งไม่
ถูกต้องคร่ำครึ จะมีการแก้ไขว่าเด็กนักเรียนแต่งกายอย่างไรก็ได้ไปโรงเรียนตามแบบอเมริกัน และไม่ทราบว่าจะเอาอะไรไปเป็น
แบบอย่างให้เด็กเห็นว่า ระเบียบวินัยเป็นสิ่งสำคัญ ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ขาดสิ่งนี้ประเทศชาติจะเจริญ
และสงบสุขไม่ได้
๔. สอนให้ลูกรู้จักค่าของเงินและใช้เงินให้เป็น ข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พ่อแม่ควรสอนลูก.. เมื่อผู้เขียนมีลูกก็
ได้อบรมสั่งสอนอย่างเดียวกัน ให้รู้จักรับผิดชอบ ใช้เงินในส่วนของตนเองตั้งแต่เด็ก รู้จักออมเพื่อซื้อสิ่งที่ตนอยากได้ ถ้าพ่อแม่
สมัยนี้จะสอนลูกเหมือนคนสมัยก่อนจะทำให้ลูกมีชีวิตที่มั่นคง
๕. สอนให้ลูกมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม คนที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อหน้าที่ของตน จะทำให้เป็นคนมี
คุณค่าต่อสังคมและมีโอกาสได้ดี ต้องอบรมนิสัยนี้ตั้งแต่เด็กให้รู้จักหน้าที่การไปโรงเรียน การทำการบ้านที่ได้มอบหมายให้เสร็จ
มิฉะนั้นจะไม่ได้ไปเล่น เป็นต้น ไม่ใช่ตามใจลูกจนเป็นเด็กเกเร ไม่เรียนหนังสือ ถ้าเขาได้รู้จักปฏิบัติตามหน้าที่ เมื่อโตขึ้นไปทำ
งานก็จะมีความรับผิดชอบ ปฏิบัติงาน ได้เป็นผลดีมีความก้าวหน้า
๖. ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ลูกติดยาเสพติดชนิดต่างๆ หรือติดเอดส์..เพราะมิฉะนั้นไม่ว่าจะอบรมสั่งสอนมาดีอย่างไรก็ตาม ลูก
จะไม่มีอนาคต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะเด็กยุคนี้ติดยาเสพติดต่างๆชนิดมากมาย หลายแห่งเกินครึ่ง
ของโรงเรียน และไม่มีท่าทีว่า จะหยุดยั้งลงได้ เพราะเด็กเป็นตลาดใหญ่และเป็นวัยอยากรู้อยากลองและชักจูงง่าย กว่าจะรู้ตัว
ก็เลิกไม่ได้แล้ว ติดแล้วเลิกยากจริงๆ พ่อแม่จะต้องพยายามพูดคุยสั่งสอนตั้งแต่เล็กๆให้ลูกเห็นโทษและกลัว ไม่อยากลอง และ
ที่สำคัญคือต้องสอนให้ลูกเลือกเพื่อนด้วย และดูเพื่อนของลูก เพราะถ้าได้เพื่อนดีก็จะรอดตัวไป สนับสนุนให้ลูกพาเพื่อนมากิน
มาเล่น หรือมาอยู่ที่บ้านเพื่อจะได้ดูได้ใกล้ชิด
ทางป้องกันอีกทางหนึ่งก็คือพยายามสนับ สนุนให้ลูกได้เล่นกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย อย่าง เพราะจะทำให้เด็กมีร่าง
กายแข็งแรงและได้เพื่อนที่เป็นนักกีฬาด้วยกัน โอกาสจะติดยาน้อยรวมทั้งรู้จักการรู้แพ้รู้ชนะในการเล่นกีฬาและรู้จักทำงานร่วม
เป็นกลุ่มเป็นคณะ นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้เล่นดนตรีหรือทางศิลป์ เช่น วาดรูป เพื่อให้เด็กมีจิตใจที่สงบอ่อนไหว มีความรู้สึก
ต่อสิ่งแวดล้อมที่ดี เมื่อลูกยังเล็กๆ ผู้เขียน เป็นผู้พาเขาไปหัดเล่นเทนนิสที่สนามกีฬาแห่งชาติ พาไปเรียนดนตรีที่สยามยามา
ฮ่า ซึ่งลูกทั้ง ๒ คนก็เล่นทั้งกีฬาและดนตรีได้ อีกระยะหนึ่งที่สำคัญคือเมื่อลูกโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวต้องดูแลใกล้ชิด แต่ให้
อิสระแก่เขาเพราะถ้าเราสอนเขาดีแล้ว เขาจะรู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี เพราะโอกาสที่เพื่อนที่เขาคบจะติดยาเสพติดยังมีอยู่
นอกจากยาเสพติดที่ต้องระวังที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการติดเอดส์ จะต้องคุยให้ข้อมูลถึงความน่ากลัวของโรคให้เด็กฟังอยู่เสมอ
โดยเฉพาะวิธีติดโรค เมื่อถึงวัยที่มีโอกาสติดทั้งลูกผู้ชายและผู้หญิงจะต้องสอนวิธีป้องกันตัว ป้องกันโรคทางด้านของเพศสัม
พันธ์อย่างเปิดเผยจริงจัง มิฉะนั้นจะสายเกินแก้ ขอให้ทุกคนรู้ว่าโรคเอดส์อยู่ใกล้ตัวทุกคนมากที่สุดแล้ว
พ่อแม่จะต้องดูแลลูกใกล้ชิดพอสมควร ในการออกไปเที่ยวนอกบ้าน โดยเฉพาะในเวลาที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ควรจะต้องรู้ว่าจะ
ไปไหนไปทำอะไร ไปกับใคร ซึ่งเด็กเมื่อถึงวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยชอบให้พ่อแม่ถาม ที่สำคัญคือต้องอย่าห้ามหวงโดยไม่มีเหตุผล
ต้องปล่อยให้เขาไปตามใจเขาบ้าง ถ้าเห็นว่าพอจะปล่อยได้ แต่ไม่ใช่ปล่อยมากจนเลยเถิด อย่างเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่
๗. สอนให้ลูกมีความมานะพยายาม มุ่งมั่นและอดทน ตั้งแต่เด็กเมื่อลูกต้องการอะไรหรืออยากได้อะไร ก็ต้องให้ลูกมีความพยา
ยามที่จะให้ได้สิ่งที่ต้องการ สอนให้มีความอดทนเพื่อสิ่งที่ต้องการ จนเป็นนิสัยติดตัว เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น
มานะ พยายาม ทุกคนคงจะได้อ่านหรือทราบพระราชนิพนธ์ ของพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง“พระมหาชนก” ซึ่งเป็นสิ่งที่เตือนใจชาว
ไทยทุกคนในปัจจุบัน ให้นึกถึงคุณสมบัติอันสำคัญข้อนี้ที่จะได้ช่วยกันทำให้ประเทศชาติผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงได้
๘. สอนให้เป็นคนมีสัมมาคารวะ รู้จักพูด อะไรควรพูดไม่ควรพูด วางตัวต่อคนอื่นและผู้ใหญ่ได้ดี รู้อะไรควรไม่ควร ผู้เขียน
เคยเห็นพ่อแม่พาลูกมาเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลและยืนหัวร่อที่ลูก ๒ คนวิ่งเล่นส่งเสียงดังและไปทุบประตูห้องคนไข้ต่างๆจน
ต้องให้พยาบาลไปห้ามเด็กไม่ให้ทำ เป็นต้น เรียกว่าพ่อแม่เป็นคนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ลูกจึงเป็นเช่นนั้น ในเรื่องของการพูด
อยากขอให้พ่อแม่ดูแลให้ลูกพูดภาษาไทยได้ถูกต้องด้วย โดยเฉพาะเรื่องของตัว ร. และ ล. ซึ่งน่ากลุ้มใจที่คนรุ่นใหม่พูด ร. ไม่
ได้ บางคนไม่ได้ทั้ง ร. และ ล. ขอเราอย่าได้ทำลายภาษาของเราด้วยเลย
๙. สอนให้เด็กช่วยงานบ้าน ให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่จะต้องช่วยกันทำงานตั้งแต่เด็กๆ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ช่วยล้างจาน
ซักผ้าตัวเองฯ ไปจนถึงการทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดหญ้าฯ ทำอาหารง่ายๆ ซึ่งถ้าสอน เด็กๆเป็นวัยที่กำลังอยากทำอยากลอง จะ
ทำให้เขารู้หน้าที่ และเป็นประโยชน์ติดตัวเขาต่อไป เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยได้ทำเพราะอ้างว่ามีการบ้านมากไม่มีเวลาช่วย ปล่อย
ให้คนใช้หรือพ่อแม่ทำเอง เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานเหล่านี้ ทุกอย่าง รวมทั้งทำสวนครัว เลี้ยงไก่ไว้กินไข่
ในยามสงคราม ซึ่งเมื่อโตขึ้นจึงรู้จักงานเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อมาดูแลโรงพยาบาลจึงดูแลได้
๑๐. สอนให้เป็นคนมีใจเมตตากรุณาต่อคนอื่น หรือต่อสัตว์ต่างๆ ไม่ใช่สอนให้ลูกทำร้ายสัตว์ฆ่าสัตว์ ไม่ว่าเล็กน้อยอย่างไร
ให้เห็นใจผู้ยากไร้ ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และสอนให้ๆความช่วยเหลือแก่เขาเหล่านั้น ความเมตตาจะช่วยค้ำจุนโลก
และสังคมรวมทั้งเป็นผลดีแก่ตนเองด้วย
๑๑. สอนให้ลูกเป็นนักอ่านหนังสือ ควรสร้างนิสัยให้ลูกชอบอ่านหนังสือ เริ่มด้วยการหาหนังสือสำหรับเด็กมาอ่านให้ฟังทุก
คืนก่อนนอน จะทำให้เด็กสนใจหนังสือ และเมื่อเด็กอ่านได้ก็หาหนังสือให้อ่าน สอนให้อ่านหนังสือทุกประเภท จะทำให้มี
ทัศนกว้างขวาง ความรู้รอบตัวกว้างขวาง ลึกซึ้ง และมักจะทำให้เป็นคนมีความคิดความอ่าน และมีวิจารณญาณที่ดี ความ
จริงส่วนหนึ่งคงเป็นจากนิสัยประจำตัว ผู้เขียนโตขึ้นในสมัยสงคราม หาหนังสืออ่านได้ยาก ช่วงหนึ่งกระดาษพิมพ์ใช้กระ
ดาษฟาง คุณพ่อเป็นคนอ่านหนังสือ มีหนังสืออ่านเล่นเต็มบ้าน ผู้เขียนอ่านตั้งแต่เด็ก เมื่อเป็นนักเรียนจะขี่จักรยานไป
เช่าหนังสืออ่านเล่นจากร้าน เช่าหนังสือชื่อดังในสมัยนั้นที่เทเวศม์จนหมดร้านแล้ว ก็ไปหอสมุดแห่งชาติ หาหนังสือ
อ่านทุกสัปดาห์ ลูกสาวก็เป็นนักอ่านหนังสือตัวยงตั้งแต่เด็กๆเห็นหนังสืออะไร เป็นจับอ่านนิ่งอยู่ตรงนั้น ในประเทศที่
เจริญทั้งหลาย คนของเขาอ่านหนังสือมากทั้งนั้น แม้ประเทศที่มีภาษาเฉพาะของตนเอง เช่น ญี่ปุ่น เขาจะรู้เรื่องของ
โลกเป็นอย่างดี เพราะหนังสือสำคัญๆในภาษาอื่นๆจะได้รับการแปลมาเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เด็กไทยเราอ่านหนังสือ
น้อยไป ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีหนังสือดีๆให้อ่าน เด็กอ่านแต่การ์ตูนและหนังสือที่ไร้สาระ เราต้องสร้างตลาดหนังสือให้ได้
ก่อน เพื่อคนไทยจะมีสติปัญญาจากการอ่านมากขึ้น
๑๒. สอนให้รู้จักคนดี-คนชั่ว ต้องอบรมลูกให้รู้จักพิจารณาว่าใครดีใครชั่ว ยกย่องคนดีไม่ยกย่องคนชั่ว ไม่หลงเชื่อข่าว
สารจากสื่อต่างๆ ซึ่งมักจะไม่เที่ยง บ่อยครั้งคนชั่วสารเลว ได้รับการยกย่องจากสื่อเพราะอิทธิพลของอำนาจหรือเงิน
คนดีไม่ได้รับการยกย่อง และบางครั้งกลับถูกใส่ร้ายเพราะไปขัดขวางผลประโยชน์ของคนชั่วหรือสื่อ นับวันความสำคัญ
ของสื่อจะมากยิ่งขึ้น เด็กรุ่นใหม่จะต้องมีวิจารณญาณที่ดี โดยอาศัยการชี้แนะจากพ่อแม่
๑๓. สอนให้ลูกรู้จักและรักษาวัฒนธรรมของเรา ประเทศไทยมีประวัติย้อนหลังอันยาวนานเป็นพันปี มี ศิลปวัฒนธรรม
เป็นของตัวเอง อย่างที่ควรจะภูมิใจและ รักษาไว้ แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้เยาวชนไปรับวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งหลายอย่างไม่ใช่
ของดีจากประเทศที่เกิดใหม่มีอายุเพียงไม่กี่ร้อยปี และละเลยวัฒนธรรมของเรา ผู้เขียนชอบคนที่มาจากต่างจังหวัด
เพราะเป็นคนที่ได้รับการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมชาวบ้าน มักจะเป็นคนดี จิตใจงามน่ารัก ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ มีความสมถะ
ปกครองง่าย เป็นผู้ร่วมงานที่ดีมากกว่าผู้ที่โตในเมืองใหญ่ๆ จึงหวังว่าพ่อแม่จะพยายามให้ลูกได้รู้จัก และปฏิบัติตามวัฒน
ธรรมพื้นบ้าน การหาโอกาสพาลูกไปในชนบทบ่อยๆ จะทำให้ลูกมีความนุ่มนวลของจิตใจ รักธรรมชาติ อย่าพาลูกไปแต่
ต่างประเทศ ซึ่งได้เห็นแต่ ความเจริญทางวัตถุแต่อย่างเดียวเลย...
๑๔. ท้ายที่สุด พ่อแม่จะต้องชักจูงให้ลูกสนใจและเข้าใจศาสนาของตนเอง และปฏิบัติตามคำสอนหรือ ธรรมะของศาสนา
นั้นๆ ซึ่งในเรื่องนี้ศาสนาพุทธมีจุดอ่อนที่สุด เพราะไม่มีกิจกรรมชักจูงเด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เลย มีแต่พิธีกรรมซึ่งต่างจากศา
สนาอื่นๆ ดังนั้นพ่อแม่จึงมีความสำคัญและมีบทบาทมากที่สุด ที่จะต้องชักจูงให้ลูกมีความสนใจและศรัทธาในพุทธศาสนา
ซึ่งอาจกระทำได้โดยให้ลูกไหว้พระสวดมนต์สั้นๆตั้งแต่เด็ก โดยให้ทำประจำทุกคืน พาลูกไปวัดต่างๆ บ่อยๆ ให้หัดทำบุญ
ทำทาน ให้ดูถาวรวัตถุ เล่าประวัติของสถานที่ให้ฟัง ในวาระสำคัญต่างๆก็พาไปทำกิจกรรมที่เด็กจะสนใจ เช่น การเวียน
เทียน การเล่าประวัติ พระพุทธเจ้าให้ฟัง การให้ลูกเข้าใจหลักธรรมสำคัญๆ เช่น การปฏิบัติตามศีลห้า ซึ่งจะทำให้เขาเป็น
คนดีของ สังคม ไม่โกหก ไม่ลักขโมย ซื่อสัตย์ ไม่โกงกินบ้านกินเมือง อย่างที่เห็นกันตำตาอยู่ทุกวันนี้ การอธิบายถึงเรื่อง
ของกรรม ผลของกรรม โดยเอาตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจริง
การสอนให้นั่งสมาธิโดยพาไปที่วัดที่มีการปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยสร้างสมาธิให้แก่เด็ก อันจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาด้วย เมื่อ
โตขึ้นก็ให้ศึกษาลึกซึ้ง ขึ้นถึงสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้
แก่คนสมัยใหม่ได้ ถ้าเป็นลูกชายถึงวัยที่บวชพระได้ ถ้ามีโอกาสควรให้บวชโดยเลือกวัดต่างจังหวัดที่สงบและมีการปฏิบัติ
โดยมีพระที่มีปฏิปทาที่ดีเป็นผู้ดูแล ถ้าลูกมีความสนใจและเข้าใจในหลักธรรมของศาสนาแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าการดำเนินชี
วิตต่อไปข้างหน้าจะเป็นไปได้ด้วยดี เป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนดีของสังคม และควรจะได้ดีตามความต้องการของพ่อแม่
อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นจะเป็นปัจจัยปัจจุบันที่จะนำไปสู่ผลในอนาคต ทั้งในชาตินี้จนถึงชาติหน้าภพหน้าด้วย
อย่างที่เขียนไว้แต่ต้นแล้วว่าผู้เขียนไม่เคยศึกษาตำราเลี้ยงเด็ก ที่เขียนนี้จากประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ซึ่งคิดเข้าข้าง
ตัวเองว่าน่าจะเรียกตนเองได้ว่าเป็นคนดีพอสมควร และยังเป็นคนที่ได้ดีตามเกณฑ์ของสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นฐานะ
แพทย์ผู้รักษาคนไข้มาถึง ๔๕ ปี จนถึงบัดนี้ก็ยังมีคนไข้อยากให้รักษาอยู่ หรือในฐานะของนักวิชาการที่มีผลงานวิจัย พบ
โรคใหม่ๆในเมืองไทยหลายโรค ได้เป็นครูแพทย์ เคยเป็นนายกสมาคมวิชาชีพทางแพทย์ ๒ สมาคม เป็นกรรมการก่อตั้ง
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์คนหนึ่ง เขียนตำราแพทย์ภาษาไทยและตำราแพทย์ต่างประเทศที่ใช้ทั่วโลก หรือจะดูในฐานะ
ของผู้บริหารที่ทำให้โรงพยาบาลเล็กๆยืนยงมั่นคงมา ๓๐ ปี และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ได้ทำงานทางการเมือง
ในฐานะวุฒิสมาชิกติดต่อกัน ๑๐ ปี และไม่ได้ไปนั่งเฉยๆแต่มีผลงานในรัฐสภา เช่น กระทู้ถามรัฐบาล เรื่องภัยจากสารพิษ
ในอาหาร และยับยั้งการสร้างเขื่อนน้ำโจน เป็นต้น หรือถ้าจะวัดด้วยเหรียญตราก็ได้รับพระราชทานสูงเท่าที่คนธรรมดา
พึงได้ ผู้เขียนเชื่อว่าตนเองได้ทำประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่น แก่สังคม แก่สถาบันที่เกี่ยวข้องและแก่ประเทศชาติแล้ว
ผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่พ่อแม่ท่านอื่นๆที่จะพิจารณาบัญญัติทั้ง ๑๔ ประการนี้ไปใช้ในการอบรม
ลูกหลาน เพื่อให้เขาเป็นคนดีของสังคม และอาจเป็นคนที่จะได้ดีสมความดีของเขาด้วย แต่ถ้าเขาไม่สามารถเป็นอย่างที่
เราหวังได้ก็อย่าเป็นทุกข์เกินไป ต้องทำใจเพราะต้องเข้าใจว่านอกเหนือจากการอบรม ปัจจัยที่จะทำให้ใครเป็นอย่างไรนั้น
อยู่ที่วิบากกรรมของเขาเอง ซึ่งทางแก้มีเพียงการปฏิบัติตามธรรมะของพุทธศาสนาเท่านั้น
จาก
www.trainingbymotiva.com