27 พฤศจิกายน 2567, 20:14:29
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 95 96 [97] 98 99 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2798421 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2400 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 15:50:01 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๘๔  อารมณ์ จิตใจที่ดี

จากหนังสือ อยู่อย่างสง่า   โดย ศ.ดร. นายแพทย์วิทยา  นาควัชระ จิตแพทย์

ปลอบตัวเองเป็น

คนที่มีอารมณ์ดีมักจะปลอบตัวเองเป็นและปลอบคนอื่นได้ในยามวิกฤติ

มีอารมณ์ขัน

เป็นยาวิเศษที่ทำให้มีความสุขผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้เกิดมิตรภาพ มีความสนุกและบรรยากาศรอบๆ ตัวจะสุนทรีย์  ชีวิตนี้มีค่ามาก

มายเกินกว่าจะจริงจังหรือหาคำตอบให้ชัดเจนได้ทุกอย่าง

เปลี่ยนความอิจฉาให้เป็นยินดี

คนที่เห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้นั้นเป็นเพราะในจิตใต้สำนึกของเขาสะสมความรู้สึกต่ำต้อยเอาไว้ เมื่อเห็นคนอื่นดีกว่าจึงอิจฉา หรือนึกถึงความ

ต่ำต้อยของตนจนไม่อยากเข้าไปหาเพื่อแสดงความยินดีด้วย

รู้จักพอ

ถ้าเรารู้จักพอเสียบ้าง เราจะลดความเหนื่อยยากจากการอยากมี อยากสะสม  อยากเป็นในสิ่งที่เกินตัว ความพอทำให้รู้สึกอิ่มใจ ที่รู้จักความ

พอก็เป็นใจที่รู้จักความอิ่ม

รู้จักยอม

การยอมไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการยืดหยุ่น รู้จักคล้อยตามสภาพที่ควรจะเป็น เพื่อรักษาส่วนสำคัญหรือหลักการที่ดีเอาไว้

สนใจกิจกรรมที่ทำให้อารมณ์สุนทรีย์

ดนตรี การร้องเพลง การออกกำลังกายแบบไม่หวังเอาชัยชนะ การวาดรูป การเดินทางท่องเที่ยว การสนใจและรักความงามของธรรมชาติ

การสนใจมิตรภาพและความรักเพื่อนมนุษย์

รู้จักรักษาบาดแผลชีวิตให้หมดสิ้นไป

บาดแผลชีวิตคือประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กตลอดมา ซึ่งเรามักจะเก็บเอาไว้ในส่วนของจิตใต้สำนึก ดังนั้นต้องรู้จักอภัยคนที่

ทำผิดพลาดกับเรา ให้มองหาความดีของตนที่ได้กระทำมาแล้วบางอย่างและให้นึกซ้ำๆ  อย่าเกลียดและติตัวเอง ให้ถ่อมตัวรักเพื่อนมนุษย์

มากขึ้น

จงจับถูก อย่าจับผิด

การจับถูกคือการมองเห็นความถูกต้องในตัวคนอื่น โดยเราเป็นคนใจกว้างมากขึ้น เมื่อเขาทำอะไรที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมแล้วถือว่า

ถูกต้องเอาไว้ก่อน

จงเป็นผู้ฟังที่ดี

การเป็นผู้ฟังที่ดีทำให้ได้มิตรภาพ คนจะชอบ คนจะรัก และเราก็ได้ความรู้มากขึ้น ได้รู้จักสังเกตบุคลิก นิสัยของคนอื่นได้มากขึ้น ได้มีเว

ลาคิดที่จะพูดในสิ่งที่เหมาะสม เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูดจบ นักฟังที่ดีเป็นผู้มีเสน่ห์เสมอ

ทำความดีอย่างกว้างขวางกับคนไม่รู้จัก

ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ตั้งใจทำความดีอย่างนี้โดยมีจิตใจที่บริสุทธิ์ คุณจะรู้สึกโล่ง ตัวเบา อิสระและเป็นสุข เป็นการยกระดับจิตใจให้สูง

ขึ้น

หมั่นสร้างมิตรใหม่เสมอ

คนที่จะเป็นมิตรนั้นอาจแตกต่างได้ ทั้งทางด้านอายุและสถานภาพ  ฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ในความเป็นมิตรจะมีการพึ่งพากันเสมอ

ทั้งด้านจิตใจ การช่วยเหลือ  คำแนะนำหรือการให้กำลังใจ



ภาพจาก oknation.net

อย่าสร้างศัตรู

ศัตรูจะคอยหาทางทำลายหรือทำร้ายเราตลอดเวลา และชักชวนคนอื่นให้มีทัศนคติไม่ดีต่อเราด้วย  อย่าพูดถึงเขาในแง่ใดๆ ทั้งสิ้น ปิดปาก

ให้สงบแล้วใจจะสงบตาม

ยืดหยุ่นได้

ความรู้จักยืดหยุ่นเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ทำให้ประสบความสำเร็จสูง  ให้คิดว่าเราเป็นมนุษย์ธรรมดา มีขีดจำกัดของความสามารถย่อมทำบาง

อย่างไม่ได้หรือทำพลาดได้ซึ่งเป็นความปกติ ก็จะไม่ทุกข์ร้อนมาก

วิธีคิดเมื่อเกิดปัญหา

สู้ ถอย คอย เอาใหม่ ทำใหม่ ความคิดที่ดีทำให้เกิดอารมณ์ดีและมีการกระทำที่สร้างสรรค์เสมอ

รู้จักอดออม ประหยัด

“อยู่แบบคนจน จะไม่มีวันจน  อยู่แบบคนรวย จะไม่มีวันรวย”

ถ่อมตัวให้เป็น

รู้จักขีดจำกัดของมนุษย์และของตนเอง  มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติหรือคนอื่นได้เสมอไป การถ่อมตัวทำให้น่ารัก สง่าและเป็นที่

รักของคนอื่น

อย่าอาย

ความอายจะทำให้ไม่กล้าลงมือทำกิจกรรมที่ควรทำอีกมากมาย เช่น ไม่กล้าทักทาย ไม่กล้าขอ ไม่กล้าแสดงความรู้สึกของมิตรภาพหรือ

ความรัก ไม่กล้าอาสาคนอื่น ไม่กล้าเริ่มต้นใหม่ ลดความอายเพื่อจะได้ไม่สิ่งต่างๆที่ควรจะได้มากขึ้น

เลือกที่จะเหลือสิ่งที่ต้องการให้น้อยลง

ลดความโลภและความอยากได้ลง จงเลือกต้องการแต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ สำหรับชีวิต สิ่งที่มีอยู่แล้วถ้ามากเกินพอลองแบ่งปันให้คนอื่นไป

บ้างก็ได้

ขยัน

คนที่รวยหรือคนที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเองมักจะเป็นคนขยันทั้งนั้น ความขยันเป็นคุณสมบัติที่ดี ทำให้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆ

มากขึ้นและมีโอกาสที่จะได้ในสิ่งที่อยากได้มากขึ้น

อดทน

คนที่ไม่ค่อยอดทนเพราะคิดว่าความอดทนคือความลำบาก แต่ถ้าคิดว่าความอดทนคือความกล้าหาญ  จะทำให้อดทนได้มากขึ้นมนุษย์จะ

ต้องกล้าหาญที่จะเผชิญกับกิจกรรมของชีวิตทั้งสุขและทุกข์ได้ จึงจะอยู่รอดและเจริญ

อย่าเสียกำลังใจ

เมื่อมีกำลังใจแล้ว จะทำได้ทุกอย่างทั้งในยามล้มเหลวและผิดหวัง จงมีมุมมองชีวิตที่นับถือตัวเองได้ ยอมรับในกฎแห่งกรรม  ถ่อมตัว มอง

โลกในแง่ดี คุณจะสร้างกำลังใจขึ้นมาใหม่ได้อีก

กล้าเสี่ยงลงมือทำในสิ่งใหม่ๆได้

ควรเป็นการเสี่ยงที่ดี และสร้างสรรค์  คนที่จะกล้าเสี่ยง  มักจะมีจินตนาการที่ดี มองโลกในแง่ดี  และมักจะเป็นคนแบบเสรีนิยมหรือประชา

ธิปไตย

อย่าเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

อะไรที่เสียไปแล้วในอดีต จงอย่าเสียดาย  เริ่มทำสิ่งใหม่ๆ จงคิดเสมอว่าวันนี้ดีกว่าเมื่อวาน  แต่พรุ่งนี้จะดีที่สุด


ด้วยความปรารถนาดีจาก  คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.thaiblogonline.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2401 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 16:38:15 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๘๕  ชีวิต การงาน การศึกษา

จากหนังสือ อยู่อย่างสง่า  โดย ศ.ดร. นายแพทย์วิทยา  นาคว้ชระ จิตแพทย์

การงาน
   
ชีวิตต้องมีการทำงาน ทำให้รู้สึกมีค่าและได้ผลตอบแทนหลายรูปแบบ เช่น เงิน อำนาจ ตำแหน่ง ได้ระบายความก้าวร้าวและความต้องการ

ทางเพศ ได้ตระหนักถึงความมีค่าของตนเอง  ได้ฝึกการใช้สมองแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดความคล่องตัว

เริ่มต้นก่อน ได้รับก่อน
   
ในชีวิตนี้จะมีแต่คำว่าทำก่อนและทำใหม่เสมอ โดยใช้สติและปัญญาเป็นตัวกำกับ คุณจะมีผลงาน ผลลัพธ์และประสบการณ์มากกว่าคนอื่น

รวมทั้งความสำเร็จด้วย

อย่าบ้างาน
   
เพราะจะหวังแต่ความสำเร็จ ผลกำไรและกลัวการขาดทุนทำให้ชีวิตพังได้ง่าย ถ้างานไม่สำเร็จดังคาดหวังก็เสียใจ คบใครๆเป็นมิตรก็ยาก

เพราะนึกถึงผลลัพธ์หรือผลตอบแทน ความรักก็ไม่มี มิตรภาพก็ลดลง  คนในครอบครัวก็เครียด ความสุขส่วนตัวก็หาไม่ได้

สร้างมิตรภาพก่อนสร้างลูกค้า
   
ถ้ามีคนมาติดต่อทำธุรกิจหรือค้าขายด้วย จงสร้างความเป็นมิตรกับเขาก่อนทันที  และถ้าสร้างมิตรภาพระหว่างคุณกับเขาให้ได้แล้ว ใน

อนาคตเขาก็จะแวะเวียนมาเป็นลูกค้าหรือร่วมธุรกิจด้วยได้ง่ายขึ้นเพราะเขาประทับใจและได้รับมิตรภาพไปแล้ว

เมื่อเกิดปัญหา
   
ทั้งด้านการงานและสังคมหรือครอบครัว วิธีที่จะขจัดปัญหาได้เร็วและดีอย่างหนึ่งก็คือ จงให้ความเมตตาแก่คู่กรณีให้มากๆ อย่างผูกใจ

เจ็บ อย่าโกรธเขา จงเข้าใจเขา จงอภัยในความผิดหรือความไม่รู้ หรือความโอหังของเขาแล้วคุณจะสามารถผ่านวิกฤติหรือความขัดแย้ง

ปัญหาเหล่านั้นด้วยดีโดยไม่เสียมิตรภาพ

ทำงานและมีชีวิตอยู่ด้วยความตั้งใจ
   
ซื่อสัตย์ต่องาน รักลูกค้า ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ มีความกระตือรือร้น มีความอดทน ทำไปเต็มความสามารถ พัฒนาความสามารถไป

เรื่อยๆ อย่าคาดหวังผลมากนัก คุณจะพอใจกับชีวิตและการงานเสมอไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม

รู้จักการบริหารเวลา
   
การทำงาน นอนหลับพักผ่อน มีความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือมีงานอดิเรก ถ้าทำงานมากไปก็เป็นพวกบ้างาน ถ้าพักผ่อนมากไปจะ

เป็นพวกขี้เกียจ ถ้าสนุกสนานมากไปจะเป็นพวกมีความเป็นเด็กสูงไม่รับผิดชอบชีวิตส่วนอื่นๆ

มีบุคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จ
   
ซึ่งมักจะมีลักษณะที่ดีๆ ดังนี้คือขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว  กล้าเสี่ยงลงมือทำในสิ่งที่ควรทำได้ มีคุณธรรม เช่น กตัญญูกตเวที

เสียสละ รับผิดชอบ ซื่อสัตย์และรักเพื่อนมนุษย์

มีบุคลิกสร้างเพื่อน
   
ยิ้มแย้ม ทักทายผู้อื่นได้ก่อน ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว ชื่นชมคนอื่นได้  ช่วยเหลือคนอื่นได้มากขึ้น พูดเป็น ถ่อมตัวเป็น มองโลกในแง่ดี อภัยใน

ความบกพร่องของคนอื่นได้



ภาพจาก oknation.net

มีบุคลิกของผู้มีชื่อเสียง
   
คือ มีมุมมองชีวิตที่นับถือตัวเองได้เสมอทั้งในยามตกต่ำหรือยามประสบความสำเร็จ หวังผลของการทำงานในแง่นามธรรมไม่ใช่เพียงแต่เงิน

ใช้ความสงบสยบปัญหา
   
ถ้าเกิดปัญหามากๆจงเงียบ นิ่งเอาไว้ก่อนแล้วจึงคิดเรียบเรียงความรู้สึก ความคิดคำพูดและพฤติกรรมให้เหมาะสมและสร้างสรรค์ ปัญหาก็

น้อยลงทั้งกับคนรอบข้างและกับตนเอง

การศึกษา
   
มนุษย์ควรมีการศึกษาจนตลอดชีวิตทั้งในระบบและนอกระบบ ความใจกว้างและความถ่อมตนจะทำให้เกิดการเรียนรู้จากผู้อื่นหรือสื่ออื่นๆ

ได้อย่างรวดเร็วขึ้น

จดคำคมหรือคติเตือนใจไว้
   
เพื่อเตือนใจและหนุนใจให้เราทำในสิ่งที่ควรทำในเวลานั้นให้มากขึ้น จะได้อยากทำตัวให้น่ารักและทำตัวให้คนอื่นชอบบ่อยๆ จนเป็นนิสัย

ที่ดี วิธีนี้คุณจะพัฒนาตนเองได้เร็วมาก ถือเป็นการให้การศึกษาแก่ตัวเองด้วยตัวเองที่ดีมากวิธีหนึ่ง

พัฒนาความคิดและปรัชญาชีวิตเสมอ
   
ควรมีความเชื่อหรือปรัชญาชีวิตที่ดีๆเอาไว้เพื่อเตือนตัวเอง ทั้งในยามทุกข์และสุขและคุณสามารถเปลี่ยนแนวคิดหรือปรัชญาชีวิตนี้ได้

ตามความเหมาะสมและตามเวลาที่ผ่านไป

พัฒนาตนเองตลอดเวลา

สิ่งที่ควรพัฒนาตนเองคือ ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เศรษฐกิจ การงาน การศึกษา อนาคต ความรักเพื่อนมนุษย์ เซ็กส์ (เพศสัมพันธ์)

เมื่อพัฒนาตนเองได้ดีแล้ว ก็หาโอกาสช่วยเหลือแนะนำคนรอบๆ ข้างไปด้วย  โลกและสังคมจะน่าอยู่มากขึ้น

มองไกล ใจกว้าง
   
จงเปิดใจให้กว้างพร้อมจะรับความคิดและความรู้ใหม่ๆ ได้ จะทำให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่นได้มากขึ้นและทำให้ไม่ค่อยแก่

รู้จักสิ่งที่ควรพูด และควรทำ
   
สิ่งที่จะพูดและทำนั้นเป็นความจริงหรือไม่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายหรือไม่ สร้างไมตรีจิตมิตรภาพหรือไม่ จะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหรือไม่

เป็นนักศึกษาตลอดชีวิต
   
ไม่มีใครแก่เกินเรียนและไม่มีใครเรียนได้ครบหมดทุกอย่างในโลกนี้ จงถ่อมตัวเป็นนักศึกษาตลอดชีวิตเถิด คนที่คิดว่ารู้แล้วมักจะไม่ค่อยรู้

แต่คนที่คิดว่าอยากรู้ จะมีความรู้เพิ่มเติมเสมอ

มีวัฒนธรรมและคุณธรรม
   
วัฒนธรรมเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษา คุณธรรมเป็นเครื่องหมายของคนดี จะเป็นคนน่าคบหา น่ายกย่อง น่าเคารพ

จงอยู่แบบคนมีศักดิ์ศรี
   
รู้จักศรัทธาตนเองและผู้อื่น พึ่งตัวเองได้ เป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้ เข้มแข็ง  ไม่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย  เคารพในความมีคุณค่าของทุกคน มีสัจ

จะและกล้าหาญ รับผิดชอบต่อหน้าที่  ให้ความร่วมมือกับคนอื่นได้

จงอยู่แบบคนมีเป้าหมายชีวิต
   
อยู่แบบคนมีค่า มีความหมายกับตนเองและสังคม อยู่เพื่ออะไรและทำอย่างไรเพื่อให้มีค่าได้ ต้องรู้จักการให้กำลังใจตนเองและคนอื่น  ต้อง

รู้จักช่วยตัวเอง ช่วยคนอื่น รักตัวเองเป็นและรักคนอื่นได้ รู้จักการให้มากขึ้น มีเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขามากขึ้น

ไม่เสียเวลามากกับคนที่ไม่ดีและเหตุการณ์ที่ไม่ดี
   
ต้องมีสติ รู้จักมองข้ามสิ่งที่ไม่ควรให้ความสำคัญ อย่าไปใส่ใจหรือสนใจ จะได้ไม่เสียเวลา ไม่เสียกำลังใจ  ไม่เสียความรู้สึกกับสิ่งเหล่านี้

นานนัก


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.watkoh.com



      บันทึกการเข้า
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #2402 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 19:31:11 »

หนังสือ "อยู่อย่างสง่า" ของ คุณหมอวิทยา เล่มนี้ ดีมากจริงๆค่ะ ดร.เอ๋
เป็นเรื่องใกล้ตัว อ่านง่าย ปฏิบัติได้จริง

หนังสือดี มีคุณค่า อ่านซ้ำได้ไม่เบื่อ
ทุกบ้านควรมีไว้นะคะ
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #2403 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 22:02:56 »

สวัสดีครับดร.เอ๋
สบายดีฤา


 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2404 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 09:01:46 »

อ่านหนังสือของคุณหมอเกือบทุกเล่มค่ะแจง ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือดีๆที่ลุงณะส่งมาให้ อ่านและนำไปออกรายการ

วิทยุ และจะทำเป็นแผ่นพับในลำดับต่อไปด้วยค่ะ  ขอบคุณลุงณะ ท่านทู น้องสน และเบื้องหลังต้องเป็นแจงและจิ้ง

(แน่นอนเลย)นะคะที่สนับสนุนและเห็นความสำคัญของโครงการฯ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2405 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 09:42:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ SC (ก้าน 24) เมื่อ 30 มกราคม 2553, 22:02:56
สวัสดีครับดร.เอ๋
สบายดีฤา


 บ่ฮู้บ่หัน

สวัสดีค่ะก้าน สบายดีค่ะขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2406 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 14:32:36 »

บุ๊ค..ตั้งแต่เรียนชั้นประถมฯโรงเรียนอนุบาลศรีสะเกษค่ะ



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2407 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 15:37:55 »

คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร

ประเทศมหัศจรรย์

รู้สึกแปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง

ยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำ

นาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหม

ครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูกอย่างไร หรือเขามีลักษ

ณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น

เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของ

เราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่

เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่

โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้ว

เปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ "sorry ...sorry ..sor

ry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่าง

ยิ่ง (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่นส่วน

ใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ

(ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)

วินัยของคนในชาติ

วินัยของคนในชาติสะท้อนออกมาผ่านวินัยจราจร ใครเคยไปประเทศญี่ปุ่นคงเห็นความมีวินัยของคนญี่ปุ่นที่เข้าแถวรอขึ้นรถไฟใต้ดินตรงเส้น

ถ้าเราไปออกนอกแถวที่เข้าคิว (เป็นเส้นด้านข้างไม่ใช่ล้ำเข้าเส้นอันตรายหน้าแถวนะครับ) เราจะถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนให้อยู่ตรงแถวทันที

ทุกคนเข้าแถวตรงเป๊ะ วินัยจราจรบนถนนดีเยื่ยม ไฟเขียวไฟแดงและทางม้าลายของเขาศักดิ์สิทธิมาก (เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์) ถ้าใคร

เคยไป เวลาจะข้ามทางม้าลาย สี่แยกจะเห็นว่าแค่ไฟเหลืองเท่านั้น ทุกอย่างสงบนิ่ง คือรถจอดสนิท ต่างจากบ้านเราข้ามทางม้าลาย แท้ๆ รถ

บางคันวิ่งมาไม่ยั้งแถมยังเปิดไฟสูงบีบแตรไล่ (ถ้าจะข้ามถนนก็ต้องวัดดวงวัดใจคนขับกันหน่อย) หรือไฟเหลืองก็หมายถึงให้เหยียบคันเร่งรีบ

ไปเพื่อให้พ้นไฟแดง ใครหยุดที่ไฟเหลืองอาจถูกคนที่นั่งข้างๆ ต่อว่าว่า "หยุดทำไม จะบ้าหรือเปล่า ทำไมไม่รีบไป" ดังนั้นวินัยของคนในชาติ

เป็นเรื่องดีแน่ไม่ต้องสงสัย เพราะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสงบสุข นอกจากนี้เราคง เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนญี่ปุ่นใน

เรื่องการเอาจริงเอาจัง ความรับผิดชอบ และความจงรักภักดีต่อองค์กรและประเทศชาติสูงมาก ซึ่งมีส่วนทำให้พัฒนาประเทศได้รวดเร็ว

ลักษณะพิเศษของครอบครัวญี่ปุ่น

เราคงเคยได้ยินกันมาแล้วว่าครอบครัวญี่ปุ่นนั้นสามีเป็นใหญ่คล้ายสังคมจีน ผู้ชายนั้นมักมีภาระงานมาก และคนญี่ปุ่นก็เป็นคนเอาจริงเอาจังกับ

งานมาก หลังเลิกงานแล้วก็จะต้องออกไปสังสรรกับลูกค้าจนดึกดื่น ดังนั้น ผู้หญิงจึงมีหน้าที่หลักในการดูแลบ้าน สามีและลูก เป็นเรื่องแปลกที่

ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่เองก็ยอมรับสภาพนี้ด้วยความเต็มใจ เคยดูสารคดี เป็นเรื่องของแม่บ้านชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีการศึกษาสูงเป็นเภสัชกร เธอจะทำ

งานเพียงแค่ช่วงเวลาบ่าย 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือเธอเอาเวลามาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านหมดอย่างเต็มใจ และตั้งอกตั้งใจ

แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และพ่อ

แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และพ่อเป็น 3 สิ่งที่เด็กญี่ปุ่นกลัวที่สุด สุภาษิตโบราณของชาวญี่ปุ่นคงพอจะสะท้อนหน้าที่สำคัญของพ่อได้ ถึงแม้พ่อ

จะไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก แต่ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยของลูก ซึ่งน่าจะมาจากสภาพสังคมชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณที่ผู้ชาย

เป็นผู้นำของสังคม พ่อบ้านในฐานะเป็นผู้นำของครอบครัว จึงมีบทบาทอย่างมากในการควบคุม กฏเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้าน จนทำให้ลูกรู้สึก

กลัวในฐานะเป็นภัยอันตรายใกล้ตัวที่สุด (ถ้าทำสิ่งไม่ถูกต้อง)

ความแตกต่างของคนญี่ปุ่นจากชนชาติอื่น

มีงานศึกษาวิจัยที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสังคม และวัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของคน (Landau, 1984) และเกี่ยว

ข้องกับคนเชื้อชาติญี่ปุ่นที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ เขาทำการศึกษาความเครียดที่เกิดขึ้นในสังคมว่าจะสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงของคน

ในสังคมหรือไม่ เขาใช้อัตราของครอบครัวที่มีปัญหาหย่าร้างต่อครอบครัวที่ชีวิตสมรสราบรื่นเป็นตัวบอกถึงความเครียดในสังคม นั่นหมายความ

ว่ายิ่งในสังคมของประเทศใดมีอัตราที่ว่านี้สูง สภาพครอบครัวย่อมไม่มั่นคง เมื่อคนในครอบครัวมีความเครียดก็มีผลทำให้ความเครียดในสังคม

สูงตามไปด้วย จากการศึกษานี้พบว่าประเทศใดที่มีสภาพสังคมที่มีความตึงเครียดสูงก็จะมีอัตราของอาชญากรรมและการทำร้ายผู้อื่นสูงตามไป

ด้วย อธิบายให้ง่ายๆก็คือเมื่อคนเราเครียด ความก้าวร้าวรุนแรงก็จะพุ่งไปสู่คนอื่น (ตัวอย่างเช่น สภาพสังคมของคนอเมริกันที่มีอัตราการหย่าร้าง

สูงก็จะมีความก้าวร้าวรุนแรงในสังคมสูง) จากทั้งหมด 12 ประเทศที่ทำการศึกษาพบว่ากฏเกณฑ์นี้ เป็นกับทุกประเทศ ยกเว้นอยู่ประเทศเดียว

ที่ไม่เป็นไปตามกฏเกณฑ์นี้ คือ ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพียงความตึงเครียดในสังคมกลับไป

สัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นแทน พูดง่ายๆ อีกครั้งก็คือเมื่อเกิดความตึงเครียดแล้ว แทนที่ความก้าวร้าวรุนแรงจะพุ่งออกไปโดยการทำ

ร้ายผู้อื่นกลับพุ่งย้อนกลับเข้าหา ตัวเองโดยการฆ่าตัวตายแทน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อัตราการฆ่าตัวตายสูงมากติดอันดับโลก เราคงเคยได้ยินข่าว

เกี่ยวกับนักเรียนมัธยมปลายของญี่ปุ่นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้แล้วตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เขา

อธิบายปรากฎการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมของชนชาติญี่ปุ่นมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสูงมาก มีความละอายต่อความผิดพลาดและการทำผิด

ของตน


จาก www.mythland.org



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2408 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 16:37:22 »



ภาพจาก www.tamdee.com

เลี้ยงดูลูกให้เป็นคนดี และเข้มแข็งด้วยวิถีไทยฯ 
   
การเจริญเติบโตทางสังคมทางเศรษฐกิจ การแข่งขันเพื่ออยู่รอดของคนในสังคมในปัจจุบัน ส่งผลให้วิถีชีวิตการดำรงอยู่ ซึ่งเรามักเรียกกัน

ว่า “วัฒนธรรม” นั่นเปลี่ยนไป วัฒนธรรมการเป็นอยู่ของสังคมไทยจากเดิมอยู่แบบครอบครัวขยาย คือมี ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง

ป้า น้า อา อยู่ร่วมกัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปัจจุบันเริ่มหายาก และในอนาคตอาจจะจางหายไป 
   
ด้วยลักษณะครอบครัวเดี่ยว และพ่อแม่เองก็ต้องออกทำงานนอกบ้าน ทำให้เวลาที่ให้สำหรับการอบรมเลี้ยงดูลูกแทบจะไม่มีเลย พ่อแม่จึง

พยายามให้ความรักกับลูกโดยการให้วัตถุสิ่งของเงินทองทดแทน และให้มากกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นเด็กและเยาวชนไทยรุ่นใหม่จึงเป็นเด็ก

ไทยที่อ่อนแอก็คือ การไม่ค่อยสู้ปัญหา เห็นแก่ความสะดวกสบาย ไม่รู้สิ่งยาก เพราะพ่อแม่ เลี้ยงดู ให้อย่างเดียวเท่านั้น เพราะเข้าใจผิดว่า

การให้ คือการให้ความรักแก่ลูกแล้ว ซึ่งทำให้เลี้ยงลูกไม่โต 
 
ศาสนาพุทธที่อยู่คู่คนไทยมากกว่า 2000 ปี วิถีชีวิตคนไทยจึงเป็นวิถีพุทธ ได้ให้หลักธรรมเพื่อให้มนุษย์ร่วมสร้างสรรค์อภิบาลบำรุงโลกหรือ

สังคมอยู่ได้ด้วยดี ด้วยหลักพรหมวิหาร 4 ซึ่งชาวไทยส่วนใหญ่ท่องจำกันขึ้นใจ คือ เมตตา มีกรุณา มีมุทิตา และมีอุเบกขา พ่อแม่ไทยส่วน

ใหญ่ในสังคมได้มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มากกว่าสังคมอื่น ๆ ในโลกเสียด้วยซ้ำกล่าวคือ
 
1.  มีเมตตา คือ ต้องการให้เขาเป็นสุข เมื่อเขาอยู่ปกติ พ่อแม่ก็มีเมตตา คือมีความรักใคร่ ให้ความอบอุ่น แสดงความปรารถนา เลี้ยงดูลูกให้

เจริญเติบโต 
   
2.  มีกรุณา คือ เมื่อเขาตกต่ำ ต้องพยายามช่วยเหลือปลดเปลื้องให้พ้นทุกข์ ข้อนี้พ่อแม่ไทยมีเต็มที่เลย เมื่อลูกเดือดร้อนเป็นทุกข์ พ่อแม่

หลายคนมองทุกข์ของลูกเป็นทุกข์ของตัวเอง  บางทีทุกข์ของลูกเท่านี้แม่ทุกข์ยิ่งกว่านั้นอีกหลายเท่านัก (ข้อนี้คนที่อ่านที่เป็นพ่อแม่ต้องเห็น

ด้วยอย่างแน่นอน) 
   
3.  มุทิตา คือ พลอยยินดีและช่วยเหลือสนับสนุนเมื่อลูกประสบความสำเร็จ ได้ดี มีความสุข พ่อแม่ก็ยินดีปรีดายิ่งกว่าใคร ๆ และยังคอยสนับ

สนุนส่งเสริมให้ลูกได้มีความเจริญเติบโต เช่นพ่อแม่บางคนสนับสนุนให้ลูกได้ศึกษาต่อในชั้นสูง หรือไปศึกษาถึงต่างประเทศ โดยยอมลำบาก

กู้ยืมเงินให้ลูกเรียน หรือขายทรัพย์สมบัติ วัว ควาย ส่งเรียนก็มีให้เห็นอยู่มาก ข้อนี้พ่อแม่ไทยก็ปฏิบัติได้ดีมากเช่นกัน 
   
4.  อุเบกขา คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดว่า “อุเบกขา” คือ เฉย ทางพระท่านว่าถ้าเฉยโดยไม่รู้เรื่อง เรียกว่า “เฉยโง่” เป็นอกุศลการ

เฉยต้องประกอบด้วยปัญญา คือต้องรู้ตัวว่าอะไรถูก ผิด อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นหลักการ เพราะฉะนั้น อุเบกขาจึงคลุมทั้งหมดเพราะเป็นตัวรัก

ษาดุล (พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตโต) 
   
พ่อ-แม่จึงต้อง มีอุเบกขากับลูกอย่างไรบ้าง 
   
1.  ต้องฝึกหัดให้ลูกพึ่งตนเองได้ เพราะเมื่อเขาอยู่ในสังคมเขาจะต้องอยู่กับความจริงของโลกและชีวิตด้วย  การจะเอาเมตตา กรุณา มุทิตา

(ให้ทุกเรื่อง ช่วยทุกเรื่อง เพราะรัก) ไปใช้ไม่ได้เสียแล้ว  เขาจะต้องใช้ปัญญา รู้จักดู รู้จักพิจารณา ไม่ใช่อะไรพ่อแม่ก็ไปทำให้แทนลูกเสียหมด

หากพ่อแม่เห็นว่า  อะไรเป็นเรื่องที่เขาจะต้องฝึกหัด  เขาพึ่งตนเองได้ และมีอิสระภาพ 
   
2.  ต้องฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เพราะลูกเมื่อเติบโตขึ้นจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สังคมนั้นมีหลักการ มีกฎเกณฑ์

กติกา ซึ่งทุกคนต้องรับผิดชอบต่อตนเอง จึงต้องฝึกหัดทั้งตนและครอบครัว ครอบครัวจึงต้องมีกติกา ทำผิดเป็นผิด ทำถูกทำผิด การวางตัว

เป็นกลางของพ่อแม่ เพื่อปฏิบัติให้เป็นหลักการและกติกานี้ก็ถือว่ามีอุเบกขาเหมือนกัน 
   
เมื่อลูกรับผิดชอบตนเองได้ พ่อแม่ต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในชีวิตเขา ให้แต่คอยดูแลพร้อมจะช่วยเหลือ โบราณจึงมักใช้คำว่า “เลี้ยงดู”

ซึ่งหมายถึง ต้องเลี้ยงดู  การเลี้ยงหมายถึงให้ช่วยทำให้ ตรงกับเมตตา กรุณา มุทิตา ส่วนดู คืออุเบกขา คือเอาแค่ดู ไม่เข้าไปวุ่นวายคือ ดูให้

เขาพัฒนา ดูให้เขาทำเป็น รับผิดชอบเป็น และพึ่งตนเองได้ 
 
หากพ่อแม่ไทยสมัยใหม่ได้หันกลับมาทบทวนการเลี้ยงลูกสมัยใหม่ โดยใช้หลักธรรมพรหมวิหาร 4 ที่อยู่คู่กันมากับสังคมไทยได้อย่างเข้าใจและ

ถูกต้อง สามารถนำมาปรับใช้ในการเลี้ยงดูลูกสังคมไทยก็จะมีเด็กไทยเป็นคนดี เข้มแข็ง กล้าเผชิญสิ่งยาก และเมื่อนั้นสังคมไทยก็จะเป็นสังคม

ที่เข้มแข็งเป็นสังคมน่าอยู่ และจะพัฒนาไปอย่างก้าวหน้า  ไม่ยิ่งหย่อนกว่าสังคมตะวันตกหรือที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกประเทศที่เจริญแล้วว่า

 “อารยประเทศ” อย่างแน่นอน


จาก www.jvkk.go.th
   
   
   
   
   
 
   
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2409 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 23:48:03 »

สวัสดีจ่ะดร.เอ๋ อ่านบทความดีๆและมีประโยชน์จากดร.เอ๋นำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้างดีเหมือนกันค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2410 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 07:55:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2553, 23:48:03
สวัสดีจ่ะดร.เอ๋ อ่านบทความดีๆและมีประโยชน์จากดร.เอ๋นำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้างดีเหมือนกันค่ะ



สวัสดีค่ะอ้อย  เชื่อว่าพ่อแม่24เป็นพ่อแม่ที่ดูแลลูกๆได้อย่างมีคุณภาพอยู่แล้วทุกครอบครัวค่ะ

แต่หาความรู้เพิ่มเติมไว้เสมอๆก็มีแต่ได้รับประโยชน์นะคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2411 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 09:24:49 »

ชายส่งมาให้ค่ะ

ภาพชนะการประกวด ธ.กสิกรไทย เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว



หนึ่งภาพ   แทนคำ   ล้านคำพูด

หนึ่งใบ   ยายพูด   พร่ำบอกหลาน

หนึ่งเรียน   ให้รู้   จึงอยู่นาน

หนึ่งคน   ถึงกาล   ย่อมโรยลา

.... อัฐนี้   ยายอด   เจ้าจึงอิ่ม

ยามนี้   เจ้าอิ่ม   จงเร่งหา

เรียนนี้   ให้รู้   รอบปัญญา

แต่นี้   ภายหน้า   เป็นคนดี.......
      บันทึกการเข้า
jum2524
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,077

« ตอบ #2412 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 09:30:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 02 กุมภาพันธ์ 2553, 08:56:17
พจน์และชายส่งมาให้ค่ะ

We have 3 stupid stages of life...ความเป็นจริงของชีวิต.....      

Teen age:  วัยรุ่น

Have Time + Energy ...but No Money        มีเวลา + มีกำลัง... แต่ไม่มีเงิน



Working Age:   วัยทำงาน

Have Money + Energy ...but No Time        มีเงิน + มีกำลัง....แต่ไม่มีเวลา



Old age:   วัยชรา

Have Time + Money ...but no Energy        มีเวลา + มีเงิน....แต่ไม่มีกำลัง



จงทำแต่พอดี.....ในตอนที่ยังมีกำลัง      อย่าโหมงานหนักจน.....ไม่มีเวลา     แม้จะได้เงินมา....แต่อาจไม่ได้ใช้
 

หวัดดีจ้ะเอ๋...เราอยากเป็นแบบมีเงิน + มีกำลัง + มีเวลา จังเลย...อิอิ... หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2413 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 09:40:48 »

หวัดดีจ้ะเอ๋...เราอยากเป็นแบบมีเงิน + มีกำลัง + มีเวลา จังเลย...อิอิ... หลั่นล้า
[/quote]

สวัสดีค่ะจุ๋ม   ถ้าใครมีพร้อมทั้ง3อย่างก็โชคดีมากเลยนะคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2414 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 11:41:46 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๘๗     ๗ คำถามเมื่อลูกเป็นธาลัสซีเมีย

ข้อมูลจาก : จุลสารชมรมผู้ปลูกถ่ายไขกระดูกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

โดย  ผศ.นพ.ปรีดา วาณิชยเศรษฐกุล  หน่วยโลหิตวิทยาภาควิชากุมารเวชศาสตร์  คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

๑.ธาลัสซีเมีย คืออะไร?
   
คำว่า ธาลัสซีเมีย หมายถึงการสร้างเม็ดเลือดแดงที่แปลกแตกต่างไปจากปกติ ตามปกติมนุษยเราจะสร้างเม็ดเลือดแดง ลักษณะคล้ายรูป

จาน หรือรูปร่างคล้ายยางรถยนต์ หรือขนมโดนัท คือลักษณะเป็นเซลล์กลมๆ ที่มีรอยจางลงตรงกลาง เม็ดเลือดแดงจะไหลเวียนไปตาม

กระแสเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั้งร่างกาย เลือดของมนุษย์เราเห็นเป็นสีแดงเพราะมีเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนอยู่เป็น

จำนวนมาก เม็ดเลือดแดงก็สร้างจากไขกระดูก สร้างและพัฒนาเติบโตจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่อยู่ภายในโพรงไขกระดูก ไขกระดูก

นั้นก็คือ เนื้อเยื่อที่อยู่ภายในหรือแกนในกระดูกอีกที พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เรา ถูกกำหนดโดยลักษณะพันธุกรรมที่มีอยู่ในทุกๆ

เซลล์ของเรา  ถ้าพันธุกรรมในตำแหน่งของการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ครบถ้วนปกติ เราจะมีเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างปกติ แต่ถ้าเรามีพันธุกรรม

ในตำแหน่งของการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไม่ครบถ้วน มีความบกพร่องหรือขาดหายไป เราจะมีเม็ดเลือดแดงที่ไม่สมบูรณ์ ขนาดเล็กกว่าปกติ

หรือรูปร่างบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไป และปริมาณสารโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินจะลดน้อยลงกว่าปกติ “ธาลัสซีเมีย” ในประชา

กรไทยเรามีหลายชนิด ที่พบบ่อยก็คือ ชนิดแอลฟ่า ๑,แอลฟ่า ๒,ชนิดเบต้า, ชนิดอี, ชนิดซีเอส เป็นต้น

๒.สาเหตุของการเกิดโรค
   
สายพันธุกรรมในทุกๆ เซลล์ของมนุษย์เราต้องอยู่กันเป็นคู่ หรือมี 2 ข้างนั่นเอง เม็ดเลือดแดงจะสร้างได้เป็นปกติ เมื่อสายพันธุกรรมในตำ

แหน่งที่สร้างเม็ดเลือดแดงมีความปกติครบถ้วนทั้ง 2 ข้าง ถ้าข้างใดข้างหนึ่งมีความบกพร่องขาดหายไป โดยที่อีกข้างหนึ่งยังดี ผู้ที่มีสาย

พันธุกรรมลักษณะนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีภาวะแฝงหรือพาหะของธาลัสซีเมีย บุคคลกลุ่มนี้จะมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าคนปกติ

เล็กน้อยเท่านั้น อาจมีลักษณะเม็ดเลือดแดงผิดปกติเล็กน้อย แต่จะไม่มีอาการซีด  ไม่อ่อนเพลีย การเจริญเติบโตเหมือนปกติไม่มีตับหรือ

ม้ามโต  ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น อายุขัยก็เหมือนคนปกติ อนึ่ง เชื้อสายคนไทยเราถือว่ามีภาวะแฝง

ของธาลัสซีเมียสูงมาก เมื่อเทียบกับประชากรโลกในภูมิภาคต่างๆ โดยจากการสำรวจและประเมิน คนไทยเรามีภาวะแฝงธาลัสซีเมียชนิด

ต่างๆ อยู่ประมาณเกือบ ๑ ใน ๓ ของพลเมืองทั้งประเทศ หรือประมาณเกือบ ๒๐ ล้านคน ถ้าหากว่าสายพันธุกรรมของตำแหน่งการสร้างเม็ด

เลือดแดงมีความบกพร่อง ขาดหาย หรือผิดปกติทางโครงสร้างไปทั้ง ๒ ข้าง ผู้ที่มีสายพันธุกรรมลักษณะนี้ เรียกว่า ผู้ป่วยโรค “ธาลัสซีเมีย”

จะมีโรคโลหิตจางเกิดขึ้น

๓.อาการที่เป็น
   
ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย มีเม็ดเลือดแดงที่ไม่สมบูรณ์ และแตกสลายได้ง่ายกว่าเม็ดเลือดแดงปกติ จึงเกิดอาการซีดและเหลือง ผู้ป่วยโรคธาลัส

ซีเมียชนิดที่รุนแรงที่สุด คือ ชนิดแอลฟ่า ๑ ผนวกกับแอลฟ่า ๑ เด็กจะซีดรุนแรง บวมน้ำ ตับโต ม้ามโต หัวใจวายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาและ

ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตเมื่อแรกคลอดออกมา ผู้ป่วยที่มีอาการซีด แต่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ในช่วงแรกของชีวิต จะเป็นโรคธาลัสซีเมียแบบอื่นๆโดย

โรคเบต้าธาลัสซีเมียทุกรายและโรคเบต้าธาลัสซีเมีย ฮีโมลโกลบินอี อีกหลายราย จะมีอาการซีดรุนแรงมากขึ้นๆ ตั้งแต่อายุเกือบ 6 เดือนเป็น

ต้นไป มีตับโต ม้ามโต จำเป็นต้องได้รับเลือดทดแทนอย่างต่อเนื่อง จึงจะมีสภาพร่างกายที่ไม่ทรุดโทรมมาก



ภาพจาก www.nstlearning.com

๔.วิธีการรักษา
   
ผู้ป่วยโรคเบต้าธาลัสซีเมีย และโรคธาลัสซีเมีย ฮีโมลโกลบินอีที่ซีดรุนแรงต้องได้รับเลือดเป็นประจำสม่ำเสมอทุก 3-4 สัปดาห์จึงจะพอทำ

ให้ร่างกายมีระดับความเข้มข้นเม็ดเลือดแดงใกล้เคียงคนปกติ และเจริญเติบโตไปได้  มิฉะนั้นถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องสภาพร่าง

กายจะทรุดโทรมไปเรื่อยๆ จนอายุสั้นได้ การรักษาอื่นๆ คือ การรับประทานยาบำรุงเลือด เรียกว่า ยาเม็ดกรดโฟลิคไปตลอด หลีกเลี่ยงยาหรือ

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ปัจจุบันการแพทย์มีวิธีการรักษาโรคโลหิตจางเบต้าธาลัสซีเมียและโรคเบต้าธาลัสซีเมีย ฮีโมลโกลบินอี ทีมีอาการรุน

แรงให้หายขาดสำเร็จได้ ด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell Transplantation) จากผู้บริจาคที่มีหมู่เนื้อเยื่อ HLA

ตรงกัน หรือเข้ากันได้กับผู้ป่วย Stem Cell นั้น ได้มาจากไขกระดูกหรือเซลล์ในกระแสเลือดของผู้บริจาคหรือจากเลือดสายสะดือและรกของ

ทารกแรกเกิดก็ได้ ผู้บริจาคต้องเริ่มหาจากพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ป่วยก่อน ซึ่งมีโอกาสตรงกันถึง ๑ ใน ๔ แต่ถ้าโชคไม่ดี หมู่เนื้อ

เยื่อ HLA ไม่ตรงกัน ก็ต้องแสวงหาผู้บริจาคจากทะเบียนอาสาสมัครผู้ยินดีบริจาค stem cell (Stem Cell Donor Registry) ซึ่งมีโอกาส

หาผู้บริจาคตรงกันได้แล้ว ในอนาคต ถ้าจำนวนอาสาสมัครคนไทยมีมากขึ้นๆ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสได้รักษาให้หายขาดมากขึ้น

อย่างไรก็ตามการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ควรกระทำตั้งแต่ผู้ป่วยยังอายุน้อยๆ ตับ ม้าม ไม่โตมากได้รับเลือดมาจำนวนไม่มาก หรือถ้าได้รับ

เลือดมามาก ก็ควรได้รับยาขับเหล็กอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ จึงจะได้ผลสำเร็จของการปลูกถ่ายดีมาก การดูแลด้วยความเข้าใจและใส่ใจ

ผู้ป่วยเด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก เด็กเล็กอาจจะกลัวการทีถูกเจาะเลือดบ่อย หรือถูกแทงเข็มเพื่อให้เลือดเด็กโตที่รู้ความ อาจเกิดความรู้สึกเป็นปม

ด้อยที่คนเองเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง สุขภาพไม่แข็งแรง หรือหน้าตา รูปร่างดูผิดปกติ บิดามารดา ผู้ปกครองและครูอาจารย์ จะต้องคอยเป็นกำลังใจให้

แก่เด็ก โดยทั่วไป ถ้าเด็กได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอและระดับเลือดแดงไม่ซีดมากเกินไป เด็กก็สามารถไปเรียนหนังสือหรือออกกำลังกาย

ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติคนอื่น ความสามารถในการเล่าเรียนและสติปัญญาของเด็กที่ป่วยไม่ได้ด้อยไปกว่าเด็กทั่วไป

๕.สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์หรือไม่
   
โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียถือเป็นโรคที่ถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์  โดยบิดามารดาเป็นภาวะแฝงหรือพาหะ เนื่องจากเมื่อผู้มีภาวะแฝงแต่งงาน

สมรสกัน และกำเนิดบุตร สายพันธุกรรม ๑ ข้างของแต่ละบิดา มารดา จะมารวมกันที่ตัวบุตร ถ้าข้างที่ส่งมามีลักษณะ “ธาลัสซีเมีย” ทั้งคู่ เช่น

เบต้ากับเบต้า เบต้ากับอี  แอลฟ่ากับแอลฟ่า เด็กที่กำเนิดใหม่คนนั้นจะป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย แต่ถ้าข้างใดข้างหนึ่งที่ส่งมาเป็น “ธาสัลซีเมีย”

แต่อีกข้างเป็นปกติ เด็กคนนั้นก็จะเป็นแค่ภาวะแฝงของ “ธาลัสซีเมีย” ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ถ้าคู่สมรสมีภาวะแฝง “ธาลัสซีเมีย” ทั้งคู่ โอกาส

ที่บุตรแต่ละคนจะเป็นโรค “ธาลัสซีเมีย” จึงเท่ากับ ๑ ใน ๔ หรือร้อยละ ๒๕ โอกาสเป็นภาวะแฝง “ธาลัสซีเมีย” เท่ากับ ๒ ใน ๔ และโอกาส

เป็น “ปกติ” เท่ากับ ๑ ใน ๔

๖.วิธีการป้องกัน
   
คู่สมรสหรือสามีภรรยาที่เป็นคนไทย ทียังไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะแฝง “ธาลัสซีเมีย” หรือไม่  ควรตรวจเลือดเช็คดู ถ้าพบว่ามีภาวะแฝงทั้งคู่

ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อดูว่ามีความเสี่ยงที่จะให้กำเนิดบุตรที่ป่วยหรือไม่ หรือโอกาสเป็นเท่าไรเพื่อประกอบการตัดสินใจ ในกรณีที่คู่สามีภรรยา

มีความเสี่ยงต่อการเกิดบุตรโรค “ธาลัสซีเมีย” ชนิดรุนแรง และภรรยาตั้งครรภ์ แพทย์สามารถให้การวิเคราะห์วินิจฉัยโดยวิทยาการทันสมัยได้

ตั้งแต่อายุครรภ์อ่อนๆ

๗.ชื่อสถานพยาบาลของรัฐที่สามารถให้การรักษาได้
   
การรักษาโรค “ธาลัสซีเมีย” โดยการให้เลือดและยาขับเหล็ก สามารถทำได้ทุกโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาล

จังหวัดบางแห่ง  สำหรับการรักษาโดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตในผู้ป่วยเด็กนั้น ปัจจุบันทำได้ 4 แห่ง คือ โรงพยาบาลจุฬาลง

กรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.etcfoto.com
 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2415 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 13:38:23 »

บทความดีๆ เรื่อง - การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี   

โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 2 มีนาคม 2551 11:47 น.

ผมมีลูก 3 คน เป็นฝาแฝดชาย-หญิง และคนเล็กเป็นชาย คนเล็กเพิ่งแต่งงานไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมนี้เอง โบราณว่าเป็นฝั่งเป็นฝากัน

หมดแล้ว ผู้ใหญ่ที่ไปงานบอกว่า เรามีบุญที่มีลูกๆ ดีทุกคน เหมือนกับแต่ก่อนที่ใครๆ พูดว่าพ่อ-แม่ผมมีลูกดีทุกคน

การมีลูกดีคงหมายถึง ลูกซึ่งมีความประพฤติดี มีการงานทำเป็นหลักเป็นฐาน การเลี้ยงลูกให้ดีนั้น เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน แต่ละ

ครอบครัวมีวิธีการเลี้ยงดูอบรมต่างกัน  ตามประสบการณ์ของผม การเลี้ยงลูกให้ดีนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแม่ ป้าครูหรือคุณครูเนี้ยน

สโรชมาน ชอบบอกผมว่า ผมจะต้องเป็นเด็กดี เพราะแม่ผมนั้นเวลาท้องผม ก็กินแต่ผักเพื่อให้ผมเติบโตมาแข็งแรง และฉลาดมีสุขภาพ

อนามัยดี คนสมัยใหม่บางคนเปิดเพลงให้เด็กในท้องฟังด้วย นัยว่าเป็นการกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยน

เมื่อเด็กเกิดมาแล้วพอรู้ความก็จะได้รับการสั่งสอนอบรม ทั้งความประพฤติและมารยาท นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่ผมอยากแลกเปลี่ยน

ประสบการณ์กับท่านผู้อ่านคือ

1. การเล่านิทานก่อนนอน เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเด็กได้เรียนรู้หลายอย่าง การเรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่องเป็นวิธีการสอนที่สนุกและเพลิดเพลิน

ผมนอนกับย่า ย่าผมมีเรื่องเล่าเยอะแยะ ตั้งแต่นิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ย่าแต่งเองก็มี

2. อย่าสอนให้เด็กมีความอิจฉาริษยา หากมีพี่น้องก็อย่าเปรียบเทียบ โตขึ้นเด็กจะมีจิตใจไม่ดี

3. อย่าขู่เด็ก แต่ควรหาเหตุผลมาพูดกับเด็ก เวลาต้องการให้เด็กทำอะไร ควรพูดจาหว่านล้อมมากกว่าการข่มขู่หรือหลอก

4. ผู้ใหญ่ควรรักษาอารมณ์ให้คงเส้นคงวา อย่าตำหนิหรือลงโทษเด็กด้วยการใช้อารมณ์ หรือการประชดประชัน

5. แม้จะมีปัญหาครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระหว่างสามี-ภรรยา ปัญหาการเมือง ปัญหาการงาน ก็ไม่ควรนำมาพูดให้เด็กฟัง



ภาพจาก www.korruk.com

6. เมื่อเด็กโตขึ้น พ่อ-แม่ควรอยู่บ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะเวลาอาหารเย็น และมีเวลาว่างที่พาลูกไปเที่ยว

7. ควรพาลูกไปงานตามสมควร อย่างน้อยก็ไปบ้านญาติหรือไปร่วมงานที่เด็กไปได้ จะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักวางตัวเข้าสังคม

8. ไม่ควรให้รางวัลเด็กอย่างพร่ำเพรื่อ หรือมากจนเกินไป การที่เด็กประพฤติดี เรียนดี ถือว่าเป็นการทำหน้าที่อยู่แล้ว

9. ไม่ควรให้เงินเด็กมากเกินไป

10. ควรสอนเด็กด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่าง หากไม่ต้องการให้ลูกเล่นการพนัน สูบบุหรี่ กินเหล้า พ่อ-แม่ก็ต้องละเว้นจากอบายมุข

เหล่านี้ด้วย

11. พ่อแม่ต้องพาเด็กไปวัด  ไปหาพระ และประกอบพิธีทางศาสนา

12. ที่บ้านควรมีตู้หนังสือ สอนการรักการอ่านให้กับเด็ก การอ่านหนังสือเป็นการสร้างสมาธิและการคิด

13. การที่จะทำให้เด็กมีจิตใจดี มีเมตตากรุณานั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการให้เด็กมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข (ลูกๆ ผมรักสุนัขมาก โดยเฉพาะ

คนเล็กชอบเก็บหมามาเลี้ยง เวลาไปเล่นกอล์ฟก็ชอบซื้อขาไก่ และขนมต่างๆ ให้หมากิน) การเลี้ยงหมามีผลต่อการสร้างความเมตตา และ

ทำให้จิตใจอ่อนโยนยิ่งกว่าการฟังหรือเล่นดนตรี เพราะการเลี้ยงหมาเป็นปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต

14. ควรหางานอดิเรกให้เด็กทำ เพราะเป็นการสอนการใช้เวลาว่างที่ดี

15. ควรสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก โดยยกตัวอย่างผู้มีความดี หรือประสบความสำเร็จให้เด็กอยากเอาอย่าง

16. ควรสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้เด็ก ให้เด็กทำสิ่งที่ง่ายไปหายาก และคอยให้กำลังใจ ไม่ตำหนิหากเด็กมีความผิดพลาด

17. สอนให้เด็กมีสัมมาคารวะ มีความอ่อนโยน แต่ก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง

18. ให้เด็กรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่เห็นแก่ตัว

19. ไม่สนับสนุนให้เด็กชอบความหรูหรา ฟุ่มเฟือย หรือนิยมวัตถุสินค้าราคาแพง

20. สอนให้เด็กเข้าใจว่า การตรงต่อเวลามีความสำคัญ

21. สอนให้เด็กตระหนักถึงความซื่อสัตย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

22. สอนให้เด็กมีความอดทนในการทำงาน และทำงานอย่างมีคุณภาพ

23. สอนให้เด็กรู้จักการแบ่งเวลา



ภาพจาก index.mthai.com

24. สอนให้เด็กมีวินัยในตนเอง ควบคุมตัวเองได้ ใช้เวลาในทางที่เป็นประโยชน์

25. สอนให้เด็กมองโลกในแง่ดี รู้จักอุเบกขา และการให้อภัย ไม่ผูกใจเจ็บอาฆาตคน แต่ต้องรู้จักระมัดระวังตัว หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และ

ความรุนแรง

26. สอนให้เด็กรู้จักเสียสละ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว

27. พาเด็กไปเที่ยวในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติที่สวยงาม เพื่อย้อมใจให้เกิดความรักในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม

28. เวลาเด็กทำผิด หากไม่ใช่ความผิดที่ร้ายแรงก็เพียงแต่ตักเตือน การตักเตือนอาจใช้เพียงภาษากายก็พอ ไม่จำเป็นต้องดุด่าว่ากล่าว

หากเด็กรู้ตัวว่าผิดแล้วก็ไม่ควรซ้ำเติม

29. ให้ความไว้วางใจแก่เด็ก ไม่ใช่เอาแต่ห้ามหรือคอยระแวดระวังจับผิด

30. ให้ความเป็นเพื่อนกับเด็ก

ทั้ง 30 ข้อนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมได้จากครอบครัว และผมใช้ปฏิบัติต่อลูก รวมไปถึงเด็กนักเรียนวชิราวุธ ในขณะที่ผมเป็นผู้บังคับการอยู่

ด้วย   เป็นการเลี้ยงดูอบรมเด็กที่บางคนอาจเห็นว่า "อ่อน" เกินไป เพราะไม่มีการบังคับจ้ำจี้จ้ำไช แต่เด็กๆ ที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยแบบนี้

จะมีความไว้วางใจผู้อื่น มีวินัยในตนเอง เกรงกลัวบาป มีความเป็นอิสระ มีจิตใจดี โอบอ้อมอารี ไม่เห็นแก่ตัว มีความเมตตากรุณา............


จาก topicstock.pantip.com

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2416 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 13:57:48 »

การ์ดจากบุ๊ค..ตอนเล็กๆที่เรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นค่ะ



      บันทึกการเข้า
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #2417 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 18:57:00 »

สวัสดีครับดร.เอ๋
สบายดีนะครับ


 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2418 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2553, 22:49:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 02 กุมภาพันธ์ 2553, 13:57:48
การ์ดจากบุ๊ค..ตอนเล็กๆที่เรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นค่ะ




น่าปลื้มใจนะคะดร.เอ๋ลูกบุ๊คเก่งจัง
      บันทึกการเข้า
dtoy
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,076

« ตอบ #2419 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 02:32:31 »

กลับมาแล้วค่ะเอ๋
      บันทึกการเข้า

Live Your Dream   
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2420 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 08:24:48 »

สวัสดีค่ะก้าน สบายดีค่ะขอบคุณ และก้านล่ะคะ

สวัสดีค่ะอ้อย ดีใจที่แวะมานะคะ รอเรื่องเล่าดีๆจากอ้อยอยู่นะ

สวัสดีค่ะต๋อย ดีใจที่ต๋อยกลับมาแล้วและมาคุยกับเพื่อนๆเหมือนเดิมค่ะ  

คิดถึงทุกคนนะคะ



ภาพจาก bowajung.exteen.com
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2421 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 09:40:12 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๘๘ "คน"

จากหนังสือ How to Win Friends and Influence people  โดย  John C. Maxwell

New York Times Best – Selling Author of The 21 Irrefutable Laws of Leadership.

ทุกสิ่งเริ่มจากคน
   
ความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต ล้วนมาจากการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่ถูกต้องเหมาะสม เช่นเดียวกับความล้มเหลวในชีวิต ที่พอสืบสาว

ราวเรื่องไปก็มักจะเกิดขึ้นเพราะคนเป็นสาเหตุ บางครั้งผลกระทบเห็นได้ชัดเจนมาก เช่น ผู้ที่คู่ชีวิตชอบใช้ความรุนแรง หรือคนในครอบครัว

นำความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงมาให้  บางคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็เพราะไม่รู้จักวิธีจัดการกับผู้คน
   
ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีความสัมพันธ์อันดีกับทุกคนที่รู้จัก เพราะคุณย่อมควบคุมทัศนคติของคนอื่นไม่ได้ สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือทำให้

คุณเป็นผู้ที่คนอื่นอยากรู้จัก และอยากเข้ามาสร้างสัมพันธ์ด้วย  คงต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่าใช่ทุกคนจะมีทักษะในการริเริ่ม สานต่อ

และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีได้  หลายคนเติบโตในครอบครัวซึ่งไม่สมบูรณ์ ขาดแบบอย่างความสัมพันธ์ที่ดี  บางคนสนใจแต่ตนเองและความ

ต้องการของตน จนมองไม่เห็นคนอื่นในสายตา  ขณะที่หลายคนถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ทำให้มองเห็นโลกทั้งใบในมุมมองที่เจ็บปวด

กรรมพันธุ์
   
ลักษณะทางพันธุกรรมของคุณอาจมีทั้งดีและไม่ดี คุณสมบัติและลักษณะบางอย่างที่คุณได้มาตอนถือกำเนิดนั้นน่าทึ่งที่สุด  พันธุกรรมบาง

อย่างอาจเป็นเรื่องที่คุณไม่ชอบใจนัก ซึ่งคุณคงต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ เพราะอุปนิสัยเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขปรับปรุงจุดด้อย แต่พรสวรรค์

เป็นเรื่องที่ต้องนำมาใช้เป็นจุดเด่น

ภาพลักษณ์ของตนเอง
   
คนที่มองตัวเองดี ก็คาดหวังว่าจะได้เจอสิ่งดีๆ เช่นเดียวกันผู้ที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุด คือคนที่มองตัวเองดีและมองได้ตรงกับความ

เป็นจริง คนเหล่านี้มองคนอื่นว่ามีศักยภาพที่จะพบความสำเร็จ ขณะเดียวกันเขาจะถูกดึงดูดเข้าหาคนที่ประสบความสำเร็จเหมือนกัน

ประสบการณ์ที่ผ่านมา
   
ถ้าสมัยเด็กคุณหาเพื่อนใหม่ได้ง่าย พอโตขึ้นคุณก็จะชอบติดต่อพูดคุยกับคน ถ้าในวัยเด็กคุณถูกทอดทิ้งหรือถูกทำร้าย ผลกระทบที่เกิดกับ

คุณก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง  คนเราไม่อาจเลือกประสบการณ์ชีวิตได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เรายังเป็นเด็ก แต่ในชีวิตปัจจุบัน ประ

สบการณ์หลายๆ อย่างนั้นเราเลือกได้



ภาพจาก www.dhammadelivery.com

ทัศนคติและการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกประสบการณ์ชีวิต
   
ประสบการณ์เป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ทั้งหมด สิ่งที่ควบคุมได้โดยสมบูรณ์คือท่าทีหรือทัศนคติของตัวเราเอง

มิตรสหาย
   
คนที่มองโลกในแง่ดีและมีนิสัยใจคอที่ดีจะช่วยดึงลูกๆ ของเราไปในทิศทางที่เหมาะที่ควร
   
การรู้จักตนเอง การนับถือตนเอง การซื่อสัตย์ต่อตนเอง การปรับปรุงตัวเอง การรับผิดชอบต่อตนเองจะทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
   
ศิลปะที่แท้จริงของการสนทนา  อยู่ที่การพูดสิ่งที่เหมาะสมในจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น น้ำเสียงและท่าทีอ่อนโยนนุ่มนวลละลายความโกรธ

ได้  คำชมที่จริงใจมีผลในเชิงบวกต่อผู้คนรอบข้าง “โลกนี้หิวกระหายความชื่นชม โหยหาคำชมเชย แต่ต้องมีใครสักคน เริ่มลงมือทำด้วย

การเอ่ยชม และเอ่ยคำหวานหูต่อคนใกล้ตัวก่อน

ผู้ทีเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต
   
มิตรภาพประกอบขึ้นจากหูที่พร้อมรับฟัง หัวใจที่เมตตาและมือที่พร้อมช่วยเหลือ

คนสร้างสุข รู้จักเส้นแบ่งระหว่างติเตียนกับช่วยเหลือ
   
สิ่งเล็กน้อยที่คุณทำอยู่ทุกวัน มีผลต่อผู้อื่นมากกว่าที่คุณคิด เพียงแค่คุณยิ้มให้แทนที่จะทำหน้าบึ้งตึง  อาจทำให้บางคนมีความสุขได้ การ

เอ่ยชมช่วยให้จิตใจคนฟังเบิกบาน  ขณะทีคำวิพากษ์วิจารณ์ มีแต่ทำให้คนฟังห่อเหี่ยว คุณมีอำนาจที่จะทำให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้นหรือเลว

ลงด้วยสิ่งที่คุณทำลงไปในวันนี้ ผู้ที่ใกล้ชิดคุณมากที่สุด สามีหรือภรรยา ลูกๆ หรือพ่อแม่ คนเหล่านี้จะรับผลกระทบคำพูดและการกระทำ

ของคุณมากที่สุด ดังนั้นจงใช้อำนาจของคุณอย่างชาญฉลาด
   
พร้อมหรือยังที่จะเห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเอง

เมื่อใดที่คุณเลิกกังวลถึงแต่ตัวเองแล้วมองดูว่าคนอื่นปรารถนาสิ่งใด เมื่อนั้นคุณได้สร้างสะพานเชื่อมไปถึงเขา คุณจะกลายเป็นคนที่คนอื่น

อยากอยู่ใกล้ และสิ่งเหล่านี้คือหัวใจของการผูกมิตร คนที่นึกถึงและทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง จะมีปัญหาและเข้ากับคนอื่นไม่ได้เสมอ จงเรียน

รู้ที่จะช่วยเหลือคนอื่น

ความรับผิดชอบ
   
คนโสดและไม่มีลูกมีอิสระเสรีมากกว่าคนที่แต่งงานแล้วหรือคนมีลูกหลายเท่า  ใครที่แต่งงานโดยหวังว่าจะมีอิสระเสรีเท่ากับตอนที่ยังโสด

ก็กำลังเสี่ยงต่อชีวิตคู่ที่ล้มเหลว เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตแต่งงานไปรอด คือ ทั้งสองฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบ



ภาพจาก www.bloggang.com

การเรียนรู้ที่จะมองปัญหาจากมุมของผู้อื่น
   
หากคุณแต่งงานแล้ว คุณเจอความไม่ลงรอยในคู่ชีวิตไม่หยุดหย่อน เนื่องจากธรรมชาติของชายกับหญิงมองกันคนละด้านหรือเปล่า หากคุณ

มีลูก  ความขัดแย้งโดยมากเกินขึ้นเพราะลูกมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนที่คุณมองหรือเปล่า ใช่ว่าทุกคนจะมองปัญหาไปในทางเดียวกัน เพียง

เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะมองปัญหาจากมุมมองของคนอื่น ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ก็หมดไปถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
   
คนแต่ละคนที่เราพบล้วนมีบางอย่างซึ่งสอนเราได้ เราสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้  จากที่ซึ่งไม่น่ามีอะไรให้เรียนรู้ จากคนซึ่งไม่น่าสอนอะไร

เราได้ เพราะทุกคนล้วนมีเรื่องราวเล่าขานมีความรู้ที่จะสอนคนอื่น เพราะความจริงมีอยู่ว่า ไม่มีใครอายุมาก ฉลาด หรือประสบความสำเร็จจน

ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อีก พ่อแม่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากลูกเสมอ แม้ว่าลูกเป็นเพียงทารกพูดไม่ได้สักคำ
   
ผู้คนสนใจคนที่สนใจตนเสมอ

สนใจผู้อื่นจากใจจริง มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ จำชื่อผู้คนให้ได้ เป็นผู้ฟังดี คุยเรื่องที่เป็นความสนใจของคู่สนทนา ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตน

เป็นคนสำคัญและทำอย่างจริงใจ
   
ใจที่เชื่อมั่นย่อมมีสุขภาพจิตดี

“คนทีมีใจเชื่อมั่นมักจะมีสุขภาพจิตดีเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งมีอายุยืนยาว” “เชื่อในความดีพื้นฐานของมนุษย์ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่มีใจเป็นธรรม

และยึดเมตตาเป็นหลักแห่งการเกี่ยวข้องกับผู้อื่น” “หัวใจที่อ่อนโยนมีแนวโน้มว่าจะเป็นหัวใจที่แข็งแรง”
   
ชีวิตแต่งงานที่เป็นสุข

หากคุณแต่งงานแล้ว บุคคลสำคัญที่สุดซึ่งคุณต้องเชื่อมั่นคือสามีหรือภรรยาของคุณ สัญญาณอันดับหนึ่งซึ่งบอกถึงชีวิตแต่งงานที่เป็นสุข

คือ สามีภรรยาชื่นชมยกย่องกันและกัน  มากกว่าที่คนอื่นยกย่องสามีหรือภรรยาของตน
   
ความไว้วางใจเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ทุกชนิด

เมื่อคนสองคนไว้ใจกันและกันอย่างเต็มที่  มิตรภาพย่อมเติบโตจนถึงขั้นที่ความสัมพันธ์นั้นเป็นดั่งรางวัลแห่งชีวิต...การมีมิตรแท้สักคนผู้

ซึ่งเราสามารถไว้ใจอย่างถึงที่สุด ผู้ซึ่งรู้ซึ้งทั้งสิ่งดีสิ่งเลวของเราโดยตลอดและยังรักเราไม่ว่าเราจะมีข้อบกพร่องเช่นไรก็ตาม

นิสัยคน ๓ ประเภท

๑. ผู้รับ เอาแต่รับไม่เคยให้ ให้ความสนใจแต่ตนเองและไม่ทำอะไรเพื่อคนอื่น ไม่เคยรู้จักคำว่าเพียงพอเลย

๒. ผู้แลกเปลี่ยน  ได้รับแล้วจึงให้ยินดีให้ผู้อื่น แต่แรงกระตุ้นหลักที่มิใช่เพื่อช่วยเหลือ

๓. นักลงทุน  ให้แล้วจึงรับ ให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น เริ่มให้คนอื่นก่อน แล้วถ้าอีกฝ่ายตอบแทนมาจึงค่อยรับ  อยากสร้างสิ่งที่ดีๆ แก่ทุกสิ่งและ

ทุกคนที่เขาเกี่ยวข้องด้วยและรู้ดีว่าวิธีที่ดีที่สุดจะทำสิ่งนั้นได้ก็คือ  การให้

คุณเป็น “คน” ประเภทใด?


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก board.palungjit.com
      บันทึกการเข้า
jum2524
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,077

« ตอบ #2422 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 09:49:16 »

หวัดดีจ้ะเอ๋...สบายดีนะจ๊ะ  อยากดูรูปหลานๆอีกจ้า... รักนะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2423 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 10:00:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ jum2524 เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2553, 09:49:16
หวัดดีจ้ะเอ๋...สบายดีนะจ๊ะ  อยากดูรูปหลานๆอีกจ้า... รักนะ

สวัสดีค่ะจุ๋ม สบายดีค่ะขอบคุณ จุ๋มก็สบายดีเช่นกันนะคะ..รูปใหม่ๆของลูกๆตอนนี้ยังไม่มีเลยค่ะ

มีแต่รูปลูกหลานของคนรู้จัก ของเพื่อน ฯลฯ  เต็มไปหมด ทยอยลงให้ค่ะ นี่ก็คือ หลานชื่อ"เนะโกะ"ค่ะ

ได้ไปงานแต่งของพ่อแม่"เนะโกะ"..ต่อมาอีกไม่นานก็ได้เห็นหลานน้อย  ชื่นใจจังค่ะ





 
      บันทึกการเข้า
vibrato24
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 42

« ตอบ #2424 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 12:52:18 »

สวัสดีครับเอ๋ ช่วงนี้น้องพิมกำลังสอบโอเน็ต ก็ถูกแม่กดดันเรื่องอ่านหนังสือทุกวัน บรรยากาศในบ้านเลย มาคุ หน่อยๆ แต่ก็ไม่เครียดมาก(พิมไม่เครียด)แม่เครียดแทน ครูตี๋ก็สบายดี เช้าออกกำลังกาย บ่ายๆก็ไปเปิดหมวกกลับมาบ้านตอนเย็นก็วาดสีน้ำต่อ  เห็นข่าวเรื่องเด็กนักเรียนหญิงตีกัน แล้วทำร้ายร่างกายกัน หดหู่เลยครับ ว่าจะไม่โทษละครหลังข่าวก็อดไม่ได้  เอ๋..คิดเห็นเรื่องนี้ยังไงครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 95 96 [97] 98 99 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><