27 พฤศจิกายน 2567, 19:12:57
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 94 95 [96] 97 98 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2798281 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 22 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #2375 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 19:51:49 »

เห็นเพื่อนๆมีความสุข พวกเราก็พลอยมีความสุขไปด้วยค่ะ ดร.เอ๋
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #2376 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 21:16:57 »

อยากอยู่ในภาพด้วยง่ะ แบร่่!!!
      บันทึกการเข้า
vibrato24
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 42

« ตอบ #2377 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 07:45:00 »

ดีใจที่เห็นหน้าแต้ว สวยเหมือนเดิมเลย  4 สาวหน้าตาไม่เปลี่ยนเลย ไม่รู้สต๊าฟกันไว้ยังไง555
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2378 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 08:09:10 »

สวัสดีค่ะก้าน    คำว่า"อวบ"เป็นคำสุภาพของอีกคำนึงรึเปล่าคะ ยังไงก็ตามขอเหมาว่ายังเป็นคำชมได้อยู่(มองโลกในแง่ดีน่ะค่ะ)

สวัสดีค่ะแจงและไมโกะ   ซักวันแจงและไมโกะคงนัดพบเพื่อนๆได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆเลยในรุ่นเรานะคะ

สวัสดีค่ะครูตี๋  แต้วเธอเปลี่ยนน้อยมากเลยค่ะ นอกนั้นยอมรับกันโดยดีว่า"เปลี่ยนเยอะมาก"ยังไงก็ตามทีก็ขอบคุณที่ครูตี๋"พยายาม"

ให้กำลังใจเพื่อนค่ะ  





ขอบคุณเพื่อนที่แนะนำและพาไปชม มีความสุขและประทับใจมากค่ะ..
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2379 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 08:51:36 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๕  ลูกจะเป็นนักอ่านที่ดีได้อย่างไร

ข้อมูลจาก British International School, Phuket

การอ่านเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือคำศัพท์และหัวข้อที่ไม่รู้จัก ประโยคที่ยาวและซับซ้อน หัวข้อที่น่าเบื่อฯ

ข้อแนะนำ

๑)ต้องรู้วัตถุประสงค์ในการอ่าน เช่น อ่านเพื่อทำการบ้านก็จะยากกว่าการอ่านนิยาย เป็นต้น

๒)ค้นหาข้อมูลในหัวข้อที่จะอ่านเป็นภาษาไทยก่อน จะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

๓)รู้คำศัพท์มากเท่าไร จะอ่านง่ายมากขึ้นเท่านั้น

๔)ใช้ดิคชั่นนารี่ให้เกิดประโยชน์

๕)เรียนรู้คำศัพท์สำคัญในเรื่องที่อ่าน

๖)เลือกสถานที่อ่านให้เหมาะสม ควรเป็นที่สงบเงียบ แสงไฟพอเหมาะ

๗)เลือกเวลาที่จะอ่านให้เหมาะสม

รู้คำศัพท์มากเท่าใดก็จะสามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ยินและอ่าน

- เรียนรู้คำศัพท์สำคัญในวิชานั้นๆ

- เรียนรู้คำศัพท์ที่ได้อ่านและได้ยินบ่อยครั้ง

- เรียนรู้คำศัพท์ที่มักจะใช้บ่อยในการพูดหรือการเขียน

Becoming a better reader
 
The importance of reading  Reading is an extremely important skill. It is by reading that you learn much of

what you need to know for your different school subjects. Reading is also an excellent way to improve your

general English. You can only learn from reading, however, if what you read is not too difficult. For this reason,

it is important to know what makes texts difficult and how you can improve your chances of understanding

them.

What makes texts difficult to understand

Most of your reading difficulties will be caused by a problem on the list below. Of course, when two or more

of these problems happen together, your chances of understanding will be even smaller.

- many unknown words

- long, complicated sentences

- a topic you know nothing about

- a topic you find boring

How to understand more of what you read

- Know your reading purpose

-  The way you read a book or a text depends very much on your reasons for reading it. This is why it is so

important to know your reading purpose. You should read a question in your math exam differently from an

entry in an encyclopaedia which you are looking at quickly to find out the date of an event. The kind of reading

you do in class or for your homework is different from how you read a novel for pleasure in the summer holiday

- Get background information -  Find something out about the topic you have to read. The more background

information you have, the easier it will be to understand the text. You can get this background information

background in your own language. For example, if you are studying the Italian Renaissance, you could read an

encyclopaedia or textbook in your own language to find out the most important details about this historical

period. Your parents may also be able to give useful background information. Talk to them in your language.

You can sometimes get background information from the text itself. Many writers include a conclusion or sum

mary; if you read this first, it may give you a good start.

- Increase your vocabulary - Of course, reading itself is an excellent way to improve your vocabulary, but there

 are many other things you can do. The better your vocabulary, the easier you will find your reading.

- Use your dictionary sensibly - A  common mistake of ESL students is to read everything very slowly and

carefully, looking up each unknown word. Occasionally this is necessary for example, when reading exam ques

tions. But it takes a long time, can be very boring, and it can even make understanding more difficult.

- Learn the important words that organise text  - – When you read texts in your science or history books,

you will find that most good writers organize their writing with cohesion markers. These are words that connect

different parts of the writing and help writers organize their ideas. If you learn the important cohesion markers,

you will find it easier to understand the text.

Here are some important cohesion markers: also, therefore, except, unless, however, instead, (al)thoug

nevertheless, on the other hand, as a result, despite, in conclusion.

- Choose the right place to read - You can’t really expect to understand a difficult book if you are trying to read

in the same room with the television on and your little brother distracting you. The same goes for reading in the

bus on the way to school. You also can’t expect to read a textbook and listen to music at the same time. Try to

find a quiet and comfortable place with good light, and your dictionaries and other materials nearby.

- Choose the right to read - If you have a difficult text to read for homework, it’s probably best to do this first.

If you leave it until last when you are tired, you will find it even more difficult.


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2380 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 11:04:58 »

ภาพ(ต่อ)







      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2381 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 09:46:56 »

เมื่อครู่ ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี ณ วัดบ้านโพนข่า ต.โพนข่า อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

วันเสาร์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓           ในนามจุไรภัทร์และเพื่อนรุ่น๒๔ด้วยนะคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2382 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 10:29:16 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๖  ความผิดเกี่ยวกับศาสนา

จากหนังสือกฎหมายอาญาภาคความผิดเล่ม ๒  โดย ดร.เกียรติขจร  วัจนะสวัสดิ์

มาตรา ๒๐๖ “เหยียดหยามศาสนา

องค์ประกอบภายใน

เจตนา (ประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล)

องค์ประกอบภายนอก

(๑)ผู้ใด (ผู้กระทำ)     (๒)กระทำด้วยประการใดๆ (การกระทำ)     (๓)แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด

(วัตถุแห่งการกระทำ)     (๔)อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา (องค์ประกอบภายนอกซึ่งมิใช่ข้อเท็จจริงหรือ พฤติการณ์ประกอบการกระทำ)
   
วัตถุ หมายถึง สิ่งที่เคลื่อนที่ได้ เช่น พระพุทธรูป ไม้กางเขนซึ่งเป็นที่เคารพทางศาสนา
   
สถาน หมายถึง สิ่งที่ติดกับที่ดิน เช่น โบสถ์ เจดีย์ วิหาร สุเหร่าซึ่งเป็นที่เคารพในทางศาสนา ด้วยเหตุนี้การที่พระภิกษุร่วมประเวณีกับหญิง

ในกุฏิพระจึงไม่ผิดมาตรา ๒๐๖ (ฎีกาที่ ๗๓๖/๒๕๐๕) เพราะมิใช่ “สถาน” อันเป็นที่เคารพในทางศาสนา
   
ศาสนาของหมู่ชน ซึ่งหมู่ชนจะจำนวนมากหรือจำนวนน้อยก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ และไม่จำกัดว่าต้องเป็นศาสนาใด
   
การกระทำแก่ตัวบุคคลผู้ปฏิบัติศาสนา เช่น พระภิกษุ บาทหลวง อิหม่าม ไม่รวมอยู่ในมาตรานี้ ซึ่งมาตรานี้จำกัดเฉพาะ “วัตถุ” หรือ “สถาน”
   
การกระทำอาจด้วยวิธีใดๆ ก็ได้ เช่น เอาขวดน้ำมันหมูไปวางบนรูปที่เคารพของศาสนาที่รังเกียจหมู
   
การกล่าวคำดูหมิ่นตัวบุคคลหรือทำต่อตัวบุคคล โดยไม่มีการกระทำใดๆ ต่อวัตถุหรือสถานที่ไม่ผิดมาตรานี้
   
เหยียดหยาม แปลว่า “ดูหมิ่น”ถ้อยคำที่ว่า “อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา” เป็น “องค์ประกอบภายนอกที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” จึงไม่อยู่ภายใต้

มาตรา ๕๙ วรรคสาม (คือหลักที่ว่า “ไม่รู้ไม่มีเจตนา”) เพราะฉะนั้นการกระทำจะเป็นการเหยียดหยามหรือไม่ต้องพิจารณาตามความรู้สึกของ

คนทั่วไป (วิญญูชน) หารกระทำโดยประสงค์จะเหยียดหยาม แต่วิญญูชนเห็นว่าพฤติการณ์เช่นนั้นไม่เป็นการเหยียดหยาม ผู้กระทำไม่ผิดตาม

มาตรานี้เลย แม้ฐานพยายามก็ไม่ผิด

มาตรา ๒๐๗ “ก่อให้เกิดการวุ่นวายในที่ประชุมทางศาสนา

องค์ประกอบภายใน

เจตนา

องค์ประกอบภายนอก

(๑)ผู้ใด     (๒)ก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้น     (๓)ในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการหรือ กระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ โดยชอบ

ด้วยกฎหมาย



ภาพจาก news.clipmass.com
   
ตัวอย่าง ขณะพระกำลังเทศน์บนศาลา ก็ร้องรำทำเพลง ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ไม่ให้ฟังเทศน์ได้ยิน ก็ผิดมาตรานี้ได้ การกระทำต้องมีผลคือ

การวุ่นวายเกิดขึ้น หากทำไม่สำเร็จ ก็เป็นการพยายามกระทำผิด
   
ตัวอย่างต่อไปนี้ถือว่าเกิดการวุ่นวายแล้ว แม้จะไม่มีปฏิกิริยาจากผู้ชุมนุม คือฎีกาที่ ๑๑๐๐/๒๕๑๖ มีการชุมนุมกันทำพิธีสวดมนต์ทำบุญฉลอง

กระดูกผู้ตายบนหอสวดมนต์ในบริเวณวัด จำเลยขึ้นมาส่งเสียงเอะอะอื้อฉาวด่าว่าพระว่า พระนี่ยุ่งจริง พระไม่มีความหมาย แล้วจำเลยนั่งลง

ใช้มือตบกระดาน ๗-๘ ครั้ง และชักปืนพกออกจากเอวมาถือไว้  หันปากกระบอกปืนมาทางพระ แม้ผู้ชุมนุมไม่มีกิริยาวุ่นวายขึ้นก็ตามเป็นความ

ผิดมาตรานี้
   
ความวุ่นวายต้องเกิดขึ้น ในที่ประชุมศาสนิกชนซึ่งจะกี่คนก็ได้ แต่คงหมายความว่าหลายคนประชุมกันทำพิธีกรรม ผู้ที่วุ่นวายคือผู้กระทำส่วน

ผู้มาร่วมประชุมไม่ต้องวุ่นวายก็ได้
   
ความวุ่นวายต้องเกิดขึ้นในเวลาประชุม เช่นขณะกำลังสวดมนต์ขณะทำพิธีบวช เผาหรือฝังศพ

มาตรา ๒๐๘ “แต่งกายหรือใช้เครื่องหมายเลียนแบบพระหรือนักบวช”

องค์ประกอบภายใน

(๑)เจตนา     (๒)เจตนาพิเศษ “เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น”

องค์ประกอบภายนอก

(๑)ผู้ใด     (๒)แต่งกายหรือใช้เครื่องที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือ นักบวชในศาสนาใด โดยมิชอบ
   
ตัวอย่าง โกนศรีษะแล้วแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยครองจีวรโดยไม่ได้บวชให้ถูกต้องตามพิธีกรรมในพุทธศาสนา
   
ภิกษุ สามเณร หมายถึง ผู้บวชในพุทธศาสนาตามกฎหมาย เช่น พ.ร.บ. คณะสงฆ์
   
นักพรต นักบวช คือ ผู้บวชในศาสนาอื่น ถ้อยคำที่ว่า “เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นนั้น” เป็น “เจตนาพิเศษ” หากขาด “เจตนา

พิเศษ” ดังกล่าว การกระทำก็ๆไม่เป็นความผิด เช่น โกนศรีษะครองจีวรในการแสดงภาพยนตร์ เป็นต้น
   
ฎีกาที่ ๔๔๙๙/๒๕๓๙ คณะสงฆ์ชั้นต้นมีคำวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ให้จำเลยสึกจากการเป็นพระภิกษุ จำเลยได้

ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยดังกล่าวต่อคณะสงฆ์และกลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุอีกเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระภิกษุ จำเลยมีความ

ผิดตามมาตรา ๒๐๘
   
ฎีกาที่ ๓๖๙๙/๓๗๓๙/๒๕๔๑ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๒๓ กำหนดให้การแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธี

การที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม เมื่อจำเลยไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์แต่ทำพิธีบวชให้ผู้อื่น การบวชจึงไม่ชอบตามกฎมหาเถรสมา

คมและพ.ร.บ. คณะสงฆ์ฯผู้รับการบวชจึงไม่มีสิทธิแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ต้องมีความผิดตาม ป.อ.

มาตรา ๒๐๘ ผู้บวชให้และทำหน้าที่เป็นพระผู้รับนำเข้าหมู่ เป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๒๐๘,๘๖


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว



ภาพจาก www.watsuthatschool.com




      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2383 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 15:11:27 »

โครงการพัฒนาศักยภาพคณะผู้พิพากษาสมทบ บรรยายโดยท่านกมลรัตน์ สุวรรณหิตาธร





















      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2384 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 15:48:57 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๘   มั่วสุม

จากหนังสือกฎหมายอาญาภาคความผิด เล่ม ๒   โดย ดร.เกียรติขจร  วัจนะสวัสดิ์

มาตรา ๒๑๕ “มั่วสุม”

องค์ประกอบภายใน

เจตนา

องค์ประกอบภายนอก

(๑)ผู้ใด  (๒)มั่วสุมกันตังแต่สิบคนขึ้นไปโดย  (ก)ใช้กำลังประทุษร้าย  (ข)ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือ

(ค)กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

เหตุฉกรรจ์ตาม วรรคสอง ผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ ผู้ที่กระทำความผิดทุกคนต้องระวางโทษหนักขึ้น

วรรคสาม ผู้กระทำความผิดผู้เป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้ที่มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดจะได้รับโทษหนักขึ้น

“มั่วสุม” คือเข้ามารวมกัน โดยไม่จำต้องรู้จักหรือนัดหมายวางแผนกันมาก่อนก็ได้ (ฎีกาที่ ๓๔๖-๓๔๗/๒๕๓๕) อาจมาทีละคนสองคน

เข้ามาเองแต่ลำพังจนถึง ๑๐ คนก็ได้

แม้การมั่วสุมจะไม่ต้องนัดหมายร่วมกันมาก่อน แต่การกระทำคือ (ก) ใช้กำลังประทุษร้าย (ข) ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย (ค) กระทำ

การอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง  ต้องเป็นการกระทำด้วยความประสงค์ร่วมกัน ของผู้ที่มั่วสุมตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไปนั้น

การที่คนจำนวนมาก เกิดวิวาทกันชุลมุน โดยปัจจุบัน แม้จะเป็นการวุ่นวายใช้กำลังประทุษร้าย แต่ก็ต่างคนต่างทำ มิใช่ความประสงค์ที่จะ

กระทำร่วมกันจึงไม่ผิดฐานนี้ เพราะมิได้ตกลงหรือพร้อมใจกระทำร่วมกัน

ความวุ่นวายในบ้างเมือง คือ ทำให้เสียความสงบของประชาชน คำว่าบ้านเมืองอาจหมายถึงหมู่บ้าน ตัวเมืองหรืองานวัดกลางนาก็ได้

การวุ่นวายนี้หมายความว่า คนที่มั่วสุม ๑๐ คนนั้นเองวุ่นวายกันเอง หากเป็นการทำให้คนธรรมดาทั่วไปเห็นว่าคน ๑๐ คนนั้นวุ่นวายจน

เป็นการไม่สงบสุข น่ากลัวอันตรายแก่ประชาชนก็เป็นการวุ่นวายได้แล้ว

การชุมนุมเดินขบวนคัดค้าน ไม่ถือเป็นการวุ่นวายแต่ถ้ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น พังประตู เผารถยนต์ขว้างปาสิ่งของ ก็ถือว่า

เป็นความผิดตามมาตรานี้เพราะเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย การพังประตูเผารถยนต์ ขว้างปาสิ่งของ ไม่จำต้องทำทั้ง ๑๐ คน

แม้บางคนทำ ทั้ง ๑๐ คนก็ผิดมาตรานี้ หากเป็นความประสงค์ร่วมกันที่จะกระทำเช่นนั้น

มาตรา ๒๑๖ “ไม่ยอมเลิกมั่วสุม ตามคำสั่งเจ้าพนักงาน”

องค์ประกอบภายใน

เจตนา

องค์ประกอบภายนอก

(๑)ผู้ใด มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา ๒๑๕  (๒)ไม่เลิกมั่วสุม เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก

มาตรานี้ เป็นกรณีที่คนตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไป มั่วสุมกันโดยมีเจตนาพิเศษหรือมูลเหตุจูงใจเพื่อกระทำผิดตามมาตรา ๒๑๕ ซึ่งหมายความว่า

เพื่อ   ๑)ใช้กำลังประทุษร้าย หรือ  ๒)ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือ ๓)กระทำการอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง

หากการ “มั่วสุม” นั้น ไม่ได้กระทำไป “เพื่อ” กระทำความผิดตามมาตรา ๒๑๕ กล่าวคือ มิได้มั่วสุมเพื่อ

(ก) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือ  (ข) ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือ (ค) กระทำการอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายในบ้างเมือง เช่นนี้ แม้เจ้า

พนักงานสั่งให้เลิก แต่ผู้ที่มั่วสุม “ไม่เลิก” ก็ไม่ผิดมาตรา ๒๑๖ (ฎีกาที่ ๓๐๕/๒๕๔๗) ความผิดตามมาตรา ๒๑๖จึงอยู่ตรงที่ว่า ผู้ที่มั่วสุมจะ

ต้องมีเจตนาพิเศษตามที่กล่าวแล้ว และไม่ยอมเลิกมั่วสุม เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มั่วสุมยังไม่ได้มีการกระทำผิดตาม ๒๑๕ กล่าวคือยังไม่ได้ลงมือกระทำการอย่างใดในสามอย่างข้างต้น เจ้าพนักงานสั่งให้

ผู้ที่มั่วสุมนั้นเลิก ผู้ใดไม่เลิกก็ผิดมาตรา ๒๑๖ หากผู้ใดเลิก ความผิดก็ไม่เกิด

หากคนตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไปที่มั่วสุมกันนั้น ได้ทำผิดตามมาตรา ๒๑๕ แล้ว กล่าวคือได้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างแล้ว ความผิด

ตาม ๒๑๕ ก็เกิด แม้เจ้าพนักงานจะได้สั่งให้เลิกมั่วสุม ผู้ที่เลิกมั่วสุมก็ไม่ได้รับประโยชน์อันใด กล่าวคือจะเลิกหรือไม่เลิกก็ไม่มีผลอะไรเพราะ

ถึงขั้นเป็นความผิดตามมาตรา ๒๑๕ เสียแล้ว ผู้ที่ได้ทำผิดถึงขั้นมาตรา ๒๑๕ ไปแล้ว แม้จะไม่เลิกมั่วสุมหลังจากที่เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกก็

ไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๑๖ ด้วย คงมีความผิดตาม มาตรา ๒๑๕ เท่านั้น (ฎีกาที่ ๓๔๖-๓๔๗/๒๕๓๕)

หากคน ๒๐ คนขึ้นไปมั่วสุมเพื่อกระทำผิดตามมาตรา ๒๑๕ เช่น เพื่อให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง เพียงแต่มั่วสุมเท่านั้นยังไม่ผิดมาตรา

 ๒๑๕ หรือมาตรา ๒๑๖ แต่ถ้าก่อนกระทำการวุ่นวาย เจ้าพนักงานให้เลิก ผู้ที่เลิกมั่วสุมก็ไม่มีความผิด ผู้ที่ไม่เลิกมั่วสุมก็ผิดมาตรา ๒๑๖

หากผู้ที่ไม่เลิกมั่วสุมได้กระทำการต่อไปถึงขนาดก่อให้เกิดการวุ่นวายก็ผิดมาตรา ๒๑๕ ด้วยนอกเหนือจากผิดมาตรา ๒๑๖ ถือเป็นกรรมเดียว

กันอันเกิดจากเจตนาเดียวกันลงโทษตามมาตรา ๒๑๖ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ (ฎีกาที่ ๑๙๗๔/๒๕๓๒)


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2385 เมื่อ: 27 มกราคม 2553, 22:06:51 »


เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2386 เมื่อ: 28 มกราคม 2553, 08:25:46 »

สวัสดีค่ะท่านทู ขอบคุณสำหรับการ์ตูนน่ารักๆนะคะ บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2387 เมื่อ: 28 มกราคม 2553, 10:58:51 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๖๙  คดีอุทลุม

จากหนังสือคำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว  โดย สมพร  พรหมหิตาธร อดีตรองอัยการสูงสุด
   
มาตรา ๑๕๖๒ ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรืออาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าว

ก็ได้  นี่เป็นคดีอุทลุม ที่เรียกขานมาแต่เดิม ห้ามผู้สืบสันดานฟ้องผู้บุพการีเป็นคดีแพ่งหรืออาญาซึ่งกฎหมายกำหนดทางออกให้อัยการผู้

เป็นทนายแผ่นดินยกคดีขึ้นว่ากล่าวให้ได้  ตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๑(๖) ในคดีที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดฟ้อง

เองไม่ได้โดยกฎหมายห้ามเมื่อเห็นสมควรอัยการมีอำนาจเป็นโจทก์ได้ ซึ่งรับกับมาตรา ๑๕๖๒ นี้ การฟ้องคดีให้บุตรนี้ อัยการฟ้องให้ในนาม

ของทนายแผ่นดิน โดยบุตรไม่ต้องแต่งอัยการเป็นทนายเหมือนคดีแพ่งหรืออาญาทั่วไป เพราะถ้าบุตรแต่งตั้งอัยการเป็นทนายดำเนินคดี

แทน การจะกลายเป็นว่าบุตรเป็นตัวความหรือโจทก์เองซึ่งต้องห้ามดังกล่าว
   
บุพการีในที่นี้หมายถึง ตั้งแต่บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงชั้นทวดและเหนือนั้นขึ้นไปของบุตรถ้าหากมี และโดยที่การห้ามบุตรฟ้องบุพการี

ของตนนี้เป็นกฎหมายจำกัดสิทธิของบุคคล ศาลจึงตีความโดยเคร่งครัด เช่น บุตรนอกกฎหมายฟ้องชายที่อ้างว่าเป็นบิดา แต่ยังไม่เป็นบิดา

ชอบด้วยกฎหมายของตนได้ข้อนี้เห็นได้จากมาตรา ๑๕๕๖ ดังกล่าวในคดีฟ้องให้รับเด็กเป็นบุตร ซึ่งกำกับไว้เลยว่าถ้าบุตรอายุได้สิบห้าปีบริ

บูรณ์แล้วต้องฟ้องให้รับเด็กเป็นบุตรเอง  หรือกรณีบุตรฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แต่บิดา มารดาหรือปู่ ย่า ตา ยายหรือทวดของบุตรเกี่ยวข้อง

กับคดีนั้นด้วยและศาลเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีซึ่งตามรูปคดีก็คือเป็นจำเลยของบุตรผู้สืบสันดานนั่นเอง กรณีนี้แม้จะเป็นบุพการีชอบ

ด้วยกฎหมายของบุตรโจทก์ ศาลก็ไม่ถือว่าเป็นคดีอุทลุม ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๑/๒๕๒๗, ๒๒๗/๒๕๓๒, ๒๒๖๘/๒๕๓๓, ๑๖๔๙/

๒๕๓๔ หรือบุตรมิได้ฟ้องบิดา มารดา ปู่ ย่า ตาหรือยาย โดยตรง แต่เป็นผู้รับมอบอำนาจจากตัวโจทก์ให้ฟ้องผู้บุพการีดังกล่าว ไม่ต้องห้าม

ตามมาตรา ๑๕๖๒ ดูที่ ๖๖๕๗/๒๕๓๙

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๖/๒๕๒๙  ผัวเมียฟ้องยายของเมียเป็นจำเลย โดยเป็นโจทก์ที่ ๑ ที่๒ เมียต้องห้ามฟ้องยายผู้บุพการี แต่ผัวเป็น

หลานเขยไม่ต้องห้ามผัวดำเนินคดีต่อไปได้แม้ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับเมียก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๘๗/๒๕๒๙  โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกสามีที่ตาย ยายโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ อ.ยายทำสัญญาจะขายที่ดิน

มรดกของ อ.ให้สามีโจทก์ ยายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องยายในฐานะผู้จัดการมรดกของ อ.ให้โอนที่ดินตามสัญญาที่ทำไว้กับสามีโจทก์ที่ตาย

ไม่เป็นคดีอุทลุมเพราะ มิได้ฟ้องในฐานะส่วนตัวและยายก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะส่วนตัวด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๕๗/๒๕๓๓  โจทก์เป็นภรรยา เป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของสามีซึ่งตายตามคำสั่งศาล ฟ้องบิดามารดา

ของผู้ตายขอแบ่งมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์และบุตรผู้เยาว์ของผู้ตายเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ซึ่งมีอำนาจฟ้อง

ขอให้แบ่งมรดกให้แก่บุตรของผู้ตายซึ่งเป็นทายาทได้ มิใช่ฟ้องแทนบุตรอันจะเป็นคดีอุทลุม คือถ้าโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกและฟ้องแทนบุตร

ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรก็เท่ากับบุตรฟ้องตายายของบุตรเองเป็นคดีอุทลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๑๘๑/๒๕๓๓  ผู้ร้องๆขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของผู้บุพการีๆ คัดค้านเข้ามา ไม่เป็น

คดีอุทลุมเพราะเป็นการกระทำหรือเข้ามาในคดีของผู้คัดค้านเอง มิใช่เป็นจำเลยหรือผู้คัดค้านเพราะการกระทำของผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๔๒/๒๕๓๔  ยายเป็นผู้จัดการมรดกของมารดาโจทก์ยายโอนที่ดินมรดกของมารดาโจทก์ให้จำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้อง

ยายขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนได้ เพราะมิได้ฟ้องยายในฐานะส่วนตัวแต่ฟ้องในฐานะยายเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อยายตายและศาลตั้งให้จำ

เลยที่ ๒ เข้าเป็นคู่ความแทนยาย ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องยายในฐานะส่วนตัว ไม่เป็นคดีอุทลุมอันต้องห้ามตามมาตรา ๑๕๖๒

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๐/๒๕๓๖  บุตรเขยถูกผู้บุพการีของเมียฟ้องเป็นจำเลย บุตรเขยฟ้องแย้งโจทก์ซึ่งเป็นบุพการีของเมียได้ แม้เมีย

หรือบุตรสาวของโจทก์จะยินยอมให้บุตรเขยฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นสินสมรส ก็ไม่เป็นคดีอุทลุมแต่ในบางคดีศาลตี

ความห้ามฟ้องขยายออกไปถึงบุคคลภายนอกด้วย เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๗๙/๒๕๒๒ มารดาโอนที่ดินมรดกของโจทก์ให้ผู้อื่นโจทก์

ฟ้องมารดาขอให้ศาลเพิกถอนการโอนไม่ได้เป็นอุทลุม และฟ้องผู้รับโอนก็ไม่ได้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๘๑๖/๒๕๓๗  ปัญหาฟ้องบุพการีเป็นเหตุเฉพาะตัวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ผู้บุพการีของโจทก์เท่านั้น หามีผล

ถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วยไม่ จำเลยที่ ๒ไม่อาจยกเรื่องห้ามฟ้องจำเลยที่ ๑ มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้  แต่ถ้ามูลคดีเกี่ยวข้องกัน

เช่น มารดาโอนที่ดินมรดกให้ ก. อัยการฟ้องมารดาแทนบุตร พร้อมกับฟ้อง ก. ผู้รับโอนได้ด้วยเพี่อขอให้ศาลเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน

คืนกองมรดก ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๘๐/๒๕๓๙


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2388 เมื่อ: 28 มกราคม 2553, 11:03:57 »



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2389 เมื่อ: 28 มกราคม 2553, 11:23:04 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๗๑  สิทธิได้รับอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา

จากหนังสือคำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว  โดย สมพร  พรหมหิตาธร อดีตรองอัยการสูงสุด

ตามมาตรา ๑๕๖๔  บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์  บิดามารดาต้องอุปการะ

เลี้ยงดูบุตรซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้  ข้อแตกต่างระหว่างบิดามารดากับบุตรในเรื่องค่าอุปการะ

เลี้ยงดูคือสำหรับบุตรจะได้รับอุปการะเลี้ยงดูแต่ตอนที่เป็นผู้เยาว์หรือทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้เท่านั้น ส่วนบิดามารดาจะได้รับ

อุปการะเลี้ยงดูจากบุตรอย่างไม่จำกัดอายุ  กฎหมายตั้งอายุบุตรไว้ที่บรรลุนิติภาวะ หมายความว่าบุตรมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วหรือบรรลุนิติ

ภาวะด้วยการสมรสเมื่อชายหญิงอายุได้สิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙,๒๐  เมื่อบุตรอายุเกินกว่า

นี้แล้ว ไม่มีสิทธิได้รับอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาต่อไปแม้แต่บุตรที่ทุพพลภาพ ถ้ายังพอหาเลี้ยงตนเองได้หรือมีรายได้เลี้ยงตัวพอสม

ควรแก่ฐานะแล้ว ก็หมดสิทธิได้รับอุปการะจากบิดามารดาต่อไป และบุตรที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองมิได้นี้ มีแต่สิทธิได้รับอุปการะเลี้ยงดู

ไม่มีสิทธิได้รับการให้การศึกษาหากอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว  การเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรนี้ตามปกติไม่มีการเรียกร้องกัน เพราะเป็น

หน้าที่โดยธรรมชาติของผู้เป็นบิดามารดาเหมือนสัตว์โลกทั่วไปที่มีสัญชาตญาณหาเลี้ยงลูกให้เติบใหญ่และสอนให้รู้จักทำมาหากินต่อไป ที่

กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้ ก็เป็นการเผื่อไว้สำหรับบิดามารดาที่ขาดความรับผิดชอบต่อบุตร นอกจากนั้นยังเป็นการรองรับสิทธิได้ค่าสินไหม

ทดแทน  ค่าขาดไร้อุปการะในคดีละเมิดตามมาตรา ๔๓๓ ย้อนไปดูข้อ ๓) ที่ผ่านมา  

สำหรับมารดาย่อมเป็นมารดาชอบด้วยกฎหมายของบุตรตั้งแต่เกิด ซึ่งบุตรย่อมเรียกร้องเอาการอุปการะเลี้ยงดูได้ แต่บิดานั้นถ้าเพิกเฉย บุตร

ต้องดำเนินการให้มีการรับเด็กเป็นบุตรเสียก่อน โดยอาจขอให้สมรสกับมารดาตน หรือจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรหรือฟ้องขอให้ศาลพิพาก

ษาว่าเป็นบุตรเพื่อให้เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย แล้วค่อยใช้สิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาต่อไป  แต่ทั้งนี้ต้องดำเนินการก่อนบุตร

อายุครบยี่สิบปีบบริบูรณ์หรือบรรลุนิติภาวะด้วยการสมรสเมื่ออายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์  

ถ้าบุตรมีเงินได้ของตนเอง อาจเป็นการลดภาระอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดาได้เพราะบิดามารดาในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิจัด

สรรเงินได้นั้นเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้

มาตรา ๑๕๗๓ ถ้าบุตรมีเงินได้ ให้ใช้เงินนั้นเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษาก่อน ส่วนที่เหลือผู้ใช้อำนาจปกครองต้องเก็บรักษาไว้เพื่อ

ส่งมอบแก่บุตรฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๘/๒๕๑๙   บิดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรอง

แล้วมีสิทธิเพียงรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา ๑๖๒๙ จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุขาดไร้อุปการะตาม

กฎหมายจากผู้ทำละเมิดทำให้บิดาถึงแก่ความตายได้ กรณีไม่ใช่ช่องว่างที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔ มาใช้บังคับ
   
การฟ้องคดีละเมิดค่าขาดไร้อุปการะที่บิดาหรือมารดาถูกทำละเมิดถึงตาย บุตรมีสิทธิฟ้องได้ ระหว่างที่ตนเป็นผู้เยาว์หรือทุพพลภาพหาเลี้ยง

ตนเองมิได้เท่านั้น โดยถือวันเกิดเหตุที่ถูกทำละเมิดเป็นเกณฑ์ว่าบุตรนั้นอายุครบยี่สิบปีบรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่

๖๒๓/๒๕๒๙  

กรณีอายุครบแต่งงาน คือสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ หากบิดาหรือมารดาถูกทำละเมิดถึงตายก็ควรรอจดทะเบียนสมรสไว้ก่อน เมื่อเสร็จคดีละเมิดเรียก

ร้องค่าขาดไร้อุปการะแล้วจึงค่อยไปจดทะเบียนสมรสกันเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องบรรลุนิติภาวะซึ่งหมดสิทธิได้รับอุปการะจากบิดาหรือมาร

ดาที่ตายนั้น

อย่างไรก็ดีถ้าในวันทำละเมิดที่บิดาหรือมารดาตายนั้น บุตรยังมิได้จดทะเบียนสมรสตามสิทธิอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ก็ถือว่ายังมีสิทธิเรียก

ค่าขาดไร้อุปการะหากหลังจากนั้นไปจดทะเบียนสมรสกันทำให้บรรลุนิติภาวะ สิทธิที่ได้รับค่าขาดไร้อุปการะอยู่แล้วคงไม่หมดไป แต่ฝ่าย

ทำละเมิดอาจแย้งได้ว่าสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะเป็นค่าเสียหายในอนาคตเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะเรียกร้องอะไรกันอีก ดังนั้นจึงสุด

แต่ศาลจะเห็นด้วยกับฝ่ายใด
   
ถ้าจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อชายหญิงอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว ต่อมาบิดาหรือมารดาถูกรถชนตายจะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้

ทำละเมิด จึงไปจดทะเบียนหย่ากันเพื่อเรียกร้องสิทธิอันนี้ เข้าใจว่าคงไม่ได้เพราะในวันที่บิดาหรือมารดาถูกทำละเมิดซึ่งเกิดสิทธิเรียกค่า

ขาดไร้อุปการะแก่ตนนั้น ตนได้บรรลุนิติภาวะเสียแล้ว
   
กรณีบิดามารดาหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว ความเป็นบิดาหรือมารดากับบุตรยังไม่ขาดจากกันด้วยสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการอุป

การะเลี่ยงดูและการศึกษาระหว่างกันยังคงมีอยู่ เช่นบิดามารดาหย่าขาดและแยกกันอยู่บุตรอยู่กับมารดา แต่บิดายังส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดู

และการศึกษาของบุตร บิดาถูกรถชนตายโดยประมาท บุตรมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะของบิดาจากผู้ทำละเมิดได้และต่อมาหากมารดาถูก

ทำละเมิดตายอีกคน บุตรก็มีสิทธิเรียกค่าขาดไว้อุปการะของมารดาจากผู้ทำละเมิดได้อีก เพราะบิดามารดาที่หย่าขาดจากกันนั้น ยังไม่พ้น

หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๙๑/๒๕๒๘

กรณีบิดามารดายังไม่หย่าขาดจากกันหรือหย่าขาดจากกันแล้ว น่าจะไม่ต่างกัน เพราะหากบิดาหรือมารดาถูกทำละเมิดถึงตายไม่พร้อมกันบุตร

ย่อมมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ทั้งสองครั้ง หรือหากบิดามารดาถูกละเมิดถึงตายพร้อมกัน บุตรก็มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากบิดา

มารดาได้เช่นกัน


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2390 เมื่อ: 28 มกราคม 2553, 13:20:29 »









      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2391 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 08:38:13 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๗๓     เผยแพร่สิ่งลามก

จากหนังสือกฎหมายอาญาภาคความผิดเล่ม ๒  โดย ดร.เกียรติขจร  วัจนะสวัสดิ์

มาตรา ๒๘๗ “เผยแพร่สิ่งลามก”

องค์ประกอบภายใน

(๑)เจตนาธรรมดา   (๒)เจตนาพิเศษ

(ก) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า  (ข) เพื่อการแจกจ่ายแก่ประชาชน หรือ   (ค) เพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน

องค์ประกอบภายนอก (อนุมาตรา ๑)

(๑) ผู้ใด  (๒) ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้า หรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออก หรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพาไป หรือยังให้พา

ไป หรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด   (๓)   ซึ่งเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย

รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือสิ่งอื่นใดอันลามก

องค์ประกอบภายใน

เจตนาธรรมดา

องค์ประกอบภายนอก (อนุมาตรา ๒)

(๑)  ผู้ใด  

(๒)  (ก) ประกอบการค้า  (ข) มีส่วน หรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้า  (ค) จ่ายแจกแก่ประชาชน(ง) แสดงอวดแก่ประชาชน หรือ  (จ) ให้เช่า

(๓) วัตถุอันลามก หรือสิ่งของอันลามก (ตามที่กล่าวไว้ในอนุมาตรา ๑)

องค์ประกอบภายใน

(๑)  เจตนาธรรมดา   (๒)  เจตนาพิเศษ

(ก)  เพื่อจะช่วยการทำให้แพร่หลายซึ่งวัตถุอันลามกหรือสิ่งของอันลามกหรือ  (ข)  เพื่อจะช่วยการค้าซึ่งวัตถุอันลามกหรือสิ่งของอันลามก

องค์ประกอบภายนอก (อนุมาตรา ๓)

(๑)  ผู้ใด  (๒) (ก) โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ ว่ามีบุคคลกระทำการอันเป็นความผิด ตามมาตรานี้

(ข)  โฆษณา หรือไขข่าวว่าวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด

“อันลามก” คือ น่าอับอายในทางเพศ น่าอุจาดบัดสี โดยพิจารณาตามความรู้สึกของวิญญูชนผู้ซึ่งมิได้เคร่งต่อจารีตประเพณีถึงขนาดไม่

ยอมเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยมของโลกเลย

กรณีที่มิใช่ “ลามก”

ฎีกาที่ ๙๗๘/๒๔๙๒ ภาพหญิงเปลือยกาย คงปรากฏเด่นชัดเฉพาะถันเท่านั้นส่วนโยนีได้ถูกระบายให้ลบเลือนมองไม่เห็น เห็นเพียงฐาน

เท่านั้น เป็นรูปแสดงถึงสุขภาพอนามัยของการอาบแดดบ้าง  เป็นภาพศิลป์ สอนถึงวิธีเขียนแสดงถึงส่วนสัดความงามของร่างกายบ้าง

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่วินิจฉัยว่าภาพดังกล่าวไม่เป็นภาพลามกอนาจาร โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อพิจา

รณาตามความรู้สึกของวิญญูชน ผู้มิใช่เป็นบุคคลที่เคร่งต่อจารีตประเพณีโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยของโลก และโดยเฉพาะใน

สมัยที่คนไทยยอมรับเอาความนิยม ในการนุ่งน้อยห่มน้อยในโอกาสไปตามอากาศ ชายทะเล หรือในการอนุญาตให้ฉายภาพยนตร์แสดงการ

กอดจูบ หรือการรับเอาประเพณีการเต้นรำสากล ทั้งการจัดเอาความงามของสตรีเข้าประกวดตามแบบสากลแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็เห็นว่าภาพ

ของกลางไม่มีลักษณะน่าเกลียดน่าอุจาดบัดสี ที่น้อมนำไปสู่ความต่ำความชั่ว หรือความใคร่ในทางกามารมณ์ ภาพของกลางไม่ใช่ภาพลามก

อนาจาร
   
ฎีกาที่ ๑๒๒๓/๒๕๐๘ ภาพที่แสดงถึงส่วนสัดความสมบูรณ์ของร่างกายที่มิได้มีสิ่งปกปิดโดยเฉพาะส่วนล่างก็พยายามปกปิดหรือทำเป็น

เพียงเงาๆ และได้ลบเลือนให้เป็นอวัยวะที่ราบเรียบแล้ว ภาพไม่มีลักษณะน่าเกลียด น่าอุจาดบัดสี ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นภาพลามกตามความ

หมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗

กรณีที่ “ลามก”
   
ฎีกาที่ ๓๕๑๐/๒๕๓๑ ภาพหญิงยืนเปลือยกายกอดชาย ภาพหญิงสวมแต่กางเกงในโปร่งตา มีผู้ชายนอนกอด มือโอบบริเวณทรวงอก

ภาพหญิงเปลือยกายท่อนบนใช้มือจับหูโทรศัพท์กดที่อวัยวะเพศ ภาพหญิงเปลือยกายมีแหคลุมตัวมือข้างนึ่งกุมนมอีกข้างหนึ่งกุมอวัยวะ

เพศ  ภาพหญิงเปิดเสื้อให้เห็นนมล้วงมือเข้าไปในกระโปรง ภาพหญิงเปลือยอกสวมกางเกงในมือล้วงไปที่อวัยวะเพศ และภาพหญิง

เปลือยอกสวมกางเกงขาสั้น มือข้างหนึ่งล้วงไปจับที่อวัยวะเพศ ภาพดังกล่าวแม้ไม่เห็นอวัยวะเพศชัดเจน แต่มีลักษณะส่อไปในด้านยั่วยุ

กามารมณ์   และภาพหญิงเปลือยตลอดร่างซึ่งพอเห็นอวัยวะเพศได้บ้างถือได้ว่าเป็นภาพอันลามก ไม่ใช่ภาพศิลปะที่แสดงถึงส่วนสัด

ความสมบูรณ์ของร่างกาย  ข้อความต่างๆ ที่ได้บรรยายถึงการร่วมประเวณีของชายและหญิงอย่างชัดเจนละเอียดลออ โดยบรรยายถึงอา

รมณ์ของชายและหญิงไปในทางยั่วยุกามารมณ์ แม้จะมิได้ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ก็ถือได้ว่าเป็นข้อความอันลามก

ตัวอย่าง การกระทำที่เป็นความผิด

(๑)  นายแดงมีวีดีโอเทปภาพยนตร์ลามกแสดงการร่วมเพศระหว่างชายหญิงไว้ในความครอบครอง เพื่อบริการให้เช่า แลกเปลี่ยนแก่ลูกค้า

หรือ สมาชิก ด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่าม้วนละ ๒๐ บาท นายแดงผิดมาตรา ๒๘๗ ทั้งนี้เพราะเป็นการ “มีไว้” ซึ่งสิ่งลามก เพื่อ

ความประสงค์แห่งการค้า คือ เพื่อหากำไรเป็นปกติธุระ ตามความหมายของอนุมาตรา ๑

(๒)  นายขาวจัดให้มีการฉายภาพยนตร์วีดีโอเทปภาพยนตร์ลามก เพื่อแสดงออกแก่ประชาชน โดยเรียกเก็บเงินจากประชาชนที่เข้าชม นาย

ขาวผิดมาตรา ๒๘๗ (ฎีกาที่ ๒๘๗๕/๒๕๓๑) ทั้งนี้เพราะเป็นการทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งสิ่งลามกเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน

ตามอนุมาตรา ๑ รวมทั้ง เป็นการแสดงอวดแก่ประชาชนตามอนุมาตรา ๒ ด้วย

(๓)  นายม่วงสั่งทางไปรษณีย์ให้ผู้ขายในต่างประเทศ ส่งวีดีโอเทปภาพยนตร์ลามกมาให้เพื่อจำหน่ายให้แก่คนทั่วไป นายม่วงผิดมาตรา ๒๘๗

เพราะเป็นการ “ยังให้นำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งลามกเพื่อความประสงค์แห่งการค้า” ตามอนุมาตรา ๑ หากนายม่วงทำไปเพื่อเก็บไว้ดูเอง

หรือเพื่อแจกจ่ายระหว่างเพื่อนฝูง ก็ไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๘๗ เพราะตามอนุมาตรา ๑ ต้องมีเจตนาพิเศษ “เพื่อความประสงค์แห่งการค้า

หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายแก่ประชาชน” การให้บุคคลบางคน โดยเฉพาะได้ดู เช่น ให้เพื่อนดูไม่ถือว่าเป็น “ประชาชน” ต้องหมายถึง

บุคคลไม่จำกัดว่าเป็นผู้ใดโดยเฉพาะ ตามอนุมาตรา ๒ นายม่วงก็ไม่มีความผิดเพราะมิได้ประกอบการค้า และมิได้จ่ายแจกแก่ประชาชน


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2392 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 13:23:23 »

โครงการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบแผ่นพับ

เรื่องที่ ๘๐  งาน + ครอบครัว + เงิน + เวลา

จากหนังสือ Life matters  โดย เอ. โรเจอร์  เมอร์ริล และ รีเบ็คก้า อาร์ เมอร์ริล
   
มีผู้หญิงสักเท่าไรในปัจจุบัน ที่ค้นพบว่าการทำงานนั้นช่างสนุกเสียจริง
   
มีผู้หญิงสักกี่คน ที่ใจจริงนั้นรู้สึกดีกับเวลาที่พวกเขาให้แก่ครอบครัวทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
   
มีผู้หญิงสักเท่าไร ที่ตัดสินใจเลือกงานโดยไม่ได้พิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก
   
มีผู้หญิงสักกี่คน  ที่รู้สึกว่าตนเองมีบทบาทสำคัญอย่างแท้จริงต่อที่ทำงานหรือต่อโลกใบนี้
   


ภาพจาก www.greenspotthailand.com

ผู้หญิงเรามีพรสวรรค์พิเศษและความสามารถมากมาย ซึ่งทำให้เราเก่งฉกาจทั้งเรื่องในบ้านและเรื่องงาน แต่ความพิเศษของพวกเราอัน

รวมถึงความสามารถในการให้กำเนิดและชุบเลี้ยงชีวิตนั้นกลับทวีความลำบากให้เมื่อเราต้องถ่วงดุลระหว่างงานและครอบครัว มีปัญหามาก

มายที่ผู้หญิงทุกคนจะต้องเผชิญและทางออกในการสร้างความสมดุลในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช่ทางออกสำหรับอีก

คนหนึ่งด้วย  เรายังพบเห็นพวกผู้ปกครองที่รู้สึกผิดเมื่อพวกเขาพลาดชมการแข่งขันกีฬาของลูกเพราะติดประชุมเรื่องงาน...ในขณะที่อีก

พวกหนึ่งก็รู้สึกผิดเช่นกัน แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องพลาดการประชุมแล้วต้องไปชมการแข่งขันกีฬาของลูกแทน  เราพบเห็นพวกผู้หญิงที่

ละทิ้งครอบครัวเพื่อไล่ตามความฝันของตนและรู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาให้ลูกเลย  ขณะที่ผู้หญิงอีกส่วนหนึ่งละทิ้งอาชีพและความฝันของตน

เพื่ออยู่ดูแลลูก  เราได้พบเห็นสามีหรือภรรยาที่ต่างคนต่างทำงานกันจนเสมือนเรือสองลำที่แล่นสวนกันในตอนกลางคืนและพานพบกับ

ความสัมพันธ์อันรวดร้าวเมื่อพวกเขาพยายามตกลงกันให้ได้ว่าใครควรจะล้างจาน ทิ้งขยะ และเปลี่ยนผ้าอ้อมลูก  เราเคยเห็นพ่อหรือแม่ที่รู้

สึกเหมือนตนเองจมน้ำเพราะกระเสือกกระสนจะเป็นให้ได้ทั้งแม่ พ่อ ผู้หาเลี้ยงครอบครัวและมนุษย์ผู้เปี่ยมด้วยเหตุผลในเวลาเดียวกัน

งาน ครอบครัว เงิน และเวลา ไม่ได้แยกกันอยู่ละทิศทาง  คนเราสามารถทำให้แต่ละเรื่องดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วมาเก็บเกี่ยวเอาความสำเร็จอัน

ยิ่งใหญ่ในภายหลัง...เมื่อเวลาผ่านไปทั้งงาน ครอบครัว เงินและเวลาเหล่านี้ช่างมีความสำคัญเหลือเกินและคุณภาพชีวิตของคุณไม่อาจ

ดำรงอยู่ได้ ถ้าปราศจากความสำเร็จตามสมควรในแต่ละเรื่อง

เวลานั้นสำคัญแน่ การทำงานนั้นมีอะไรมากมายกว่าการหาเงินหรือการประกอบอาชีพเพราะงานคือหลักการสำคัญที่ช่วยยกระดับชีวิตที่มี

คุณภาพ งานคือสิ่งที่เราใช้ยังชีพตัวเองและครอบครัวทั้งยังเป็นเจ้าแห่งความสร้างสรรค์อันแอบซ่อนอยู่ภายในตัวเรา

ครอบครัวนั้นสำคัญจริง  ครอบครัวคือหลักการสำคัญแห่งความสุขส่วนตัวและการก่อเกิดชีวิตใหม่อันเท่ากับเป็นการให้กำเนิดครั้งใหม่แก่

สังคมด้วย  ความสำเร็จสุดยอดของคนเราคือความสำเร็จในบ้าน



ภาพจาก health.kapook.com

เวลานั้นสำคัญยิ่ง  สิ่งที่เราทำหรือไม่ทำในแต่ละวันต่างหากที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การใช้เวลาของแต่ละคนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่ง

มั่นที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราจัดอันดับว่าสำคัญทีสุด  เวลาจึงเป็นเครื่องวัดความสามารถในการเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลาที่

ต้องตัดสินใจในแต่ละวัน

เงินนั้นยิ่งสำคัญใหญ่  เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับแทบทุกสิ่งซึ่งแวดล้อมความสัมพันธ์ระหว่างงานครอบครัวและเวลา เงินเป็นการแสดงคุณค่า

ที่ผู้อื่นมีต่อเวลาและกำลังความสามารถของเราอย่างเป็นรูปธรรม  ชีวิตนั้นไม่หยุดนิ่ง ประเด็นอยู่ที่การสร้างดุลยภาพนั่นคือความสามารถ

ในการถ่วงดุลเหตุการณ์แวดล้อมซึ่งพิเศษและเปลี่ยนไปไม่หยุดหย่อนวันแล้ววันเล่า

ชีวิตเป็นเรื่องยาก  นี่คือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดมันเป็นสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ก็เพราะเมื่อเรามองเห็นสัจธรรมนี้อย่างถ่องแท้แล้วเราจะอยู่เหนือ

มัน เมื่อเรารู้ว่าชีวิตนั้นเป็นเรื่องยากชีวิตก็จะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป เพราะเมื่อเราต่างยอมรับกัน ดังนั้นแล้ว สัจธรรมที่ว่าชีวิตเป็นเรื่องยาก

ก็จะไม่สำคัญอีกต่อไป  ดอกเตอร์เอ็ม สก๊อต เพ็ค
   
เท่าที่เห็นจากประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่นั้น “งาน” และ “ครอบครัว” ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันเลย พวกมันเป็นชิ้นส่วนของภาพชีวิตอันขาด

กันและกันไม่ได้ ภาพนี้ผูกยึดครอบครัวไว้ด้วยความรัก การเกื้อกูลกันและชัยชนะในการต่อสู้ชีวิตร่วมกัน  การเข้าใจและการทำสิ่งที่นำพา

ความสุขมาให้ทีละเล็กทีละน้อยแต่สม่ำเสมอนั้นจะทำให้ชีวิตครอบครัวมีคุณภาพดีขึ้น

“พลังของประเทศเกิดจากความมีคุณธรรมของครอบครัว”  ขงจื๊อ
   
ครอบครัวที่แข็งแกร่งและมั่นคงมักจะประสบความสำเร็จและมีความสุขกว่าเด็กอื่นๆ ในทุกทางไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายความคิด จิตใจ

เศรษฐกิจและสังคม  ไม่มีอะไรที่สามารถสร้างความสุขส่วนตัวและค้ำจุนความมั่งคงทางสังคมได้ดีไปกว่าครอบครัวซึ่งประกอบด้วยพ่อและ

แม่ที่รักกันอย่างแท้จริง  คุณต้องให้เวลากับคนของคุณ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จงทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง แม้คุณจะไม่ได้รับ

ผลตอบแทนเป็นเงิน แต่การได้ทำก็ถือว่าพิเศษสุดแล้ว  อัลเบิร์ต ชไวท์เซอร์
   
ใช้เงินน้อยกว่าที่หามาได้และให้ความสำคัญกับการฝากเงินเข้าธนาคารอย่างสม่ำเสมอ...การบริหารเงินอย่างฉลาด...การลงทุนเพื่อให้เงิน

งอกเงย...เพิ่มพูนความรอบรู้ด้านการเงิน
   
ชีวิตคือสิ่งสำคัญและแต่ละวันของชีวิตก็คือหน้ากระดาษที่ยังมิได้เขียนและมิมีผู้ใดรู้จัก แต่หากเราเห็นคุณค่าของหลักการเรียนรู้ จากประสบ

การณ์ของตัวเอง เชื้อเชิญแรงบันดาลใจเข้าสู่ชีวิตเรา เราก็จะสามารถพัฒนาความรู้คิดรู้


ด้วยความปรารถนาดีจาก คณะผู้พิพากษาสมทบศาลจังหวัดศรีสะเกษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
      บันทึกการเข้า
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #2393 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 15:31:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 29 มกราคม 2553, 09:37:18
การ์ดจากโบว์ตอนอายุ15ปีค่ะ แต่งกลอนตามประสาเด็กๆนะคะมีไม่คล้องจองกันบ้าง ขอลงเป็นบางตอนนะคะ

.......

แม่ของฉัน นั้นเป็น คนจอมโหด                เขากระโดด  ไล่จับลูก  อยู่ทุกวัน

เราสามคน  โบว์บุ๊คบีม  ก็ผลุนผลัน          วิ่งตามกัน  หนีแม่  แทบเป็นแทบตาย..

มีวันหนึ่ง  แม่นั่ง  เหลาไม้เรียว                 เราทั้งเสียว  ทั้งสั่น  ทั้งสามคน

เราทุกคน  จึงไม่กล้า  ดื้อเกเร                  และหักเห  แนวทาง  เป็นเด็กดี..

ในชีวิต  หนึ่งชีวิต  เกิดมานี้                      ก็มีแม่  อยู่คนเดียว  นี่แหล่ะนะ

เป็นคนแปลกๆ  พิลึกพิลั่น  ใครๆก็รู้จัก        และชอบมัก  ทำตัว  โหดฉกรรจ์..

25กรกฏา  เราเกิดมา..                             ลืมตา  ดูโลก  อันสดใส
    
โผล่มาจาก  ท้องของแม่  ที่ปลอดภัย         ออกมาเจอ  โลกกว้างใหญ่  ต้องเผชิญ..

เกิดมา  ปี30  เป็นปีเถาะ                          ชอบทะเลาะ  กับน้อง..ปีม้า  ระกาไก่

น้องคนเล็ก  ปากกว้าง  ไม่ปลอดภัย            ทำเสียวไส้  เวลา  หัวเราะโฮ..

.....

จากตอนนี้  ก็รู้  ว่าแม่รัก                            ก็ประจักษ์  ว่าโลกนี้  ไม่มีอีกแล้ว

ใครจะแคล้ว  เหมือนแม่  ที่เรารัก                คอยเฝ้าทะนุถนอม  จนดี  จนเติบใหญ่..

ได้ลืมตา  ดูโลก  ก็เพราะแม่                     ร้องงอแง  ก็มีแม่  คอยปลอบใจ

พอมีภัย  แม่ปกป้อง  ไม่ห่างไกล                มีที่ไหน  แม่ที่อึด  ฮึดสู้ตาย..

สุดท้ายนี้  อยากบอก   แม่ว่า..               อย่าบ่น  อย่าว่าลูก  คนนี้หลาย

ทั้งตี  ทั้งดุ อย่างมากมาย                        ลูกคนนี้  โตเป็นควาย  แล้วแม่เอย..



แม่คาดหวังว่าลูกๆจะเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุขความฉลาดในการดำเนินชีวิตทุกด้านต่อไป..

อีกทั้งต้องไม่ลืมทำสิ่งที่ดีงามกลับคืนสู่สังคม  และช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่าเสมอๆด้วยนะลูก..








5555 นึกไม่ออก แม่เอ๋ จอมโหดจะโหดขนาดไหนเนี่ย
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2394 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 15:36:39 »

5555 นึกไม่ออก แม่เอ๋ จอมโหดจะโหดขนาดไหนเนี่ย
[/quote]


สวัสดีค่ะหนุ่ม ดีใจที่แวะมาบ้านนี้นะคะ..

ช่วงนี้อ่านการ์ดที่ลูกๆให้ เก็บไว้เป็นกล่องเลย ขำดีค่ะและทำให้คิดถึงพวกเค้ามากด้วย..

ก่อนจะตีเปี๊ยะแต่ละที..เตือนก่อนค่ะว่าแม่กำลังจะกลายร่างจาก(ประมาณ)นางฟ้าใจดีเป็น(ประมาณ)นางมารร้ายแล้ว..

เป็นการให้โอกาสก่อน..
      บันทึกการเข้า
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #2395 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 15:58:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 29 มกราคม 2553, 15:36:39
5555 นึกไม่ออก แม่เอ๋ จอมโหดจะโหดขนาดไหนเนี่ย


สวัสดีค่ะหนุ่ม ดีใจที่แวะมาบ้านนี้นะคะ..

ช่วงนี้อ่านการ์ดที่ลูกๆให้ เก็บไว้เป็นกล่องเลย ขำดีค่ะและทำให้คิดถึงพวกเค้ามากด้วย..

ก่อนจะตีเปี๊ยะแต่ละที..เตือนก่อนค่ะว่าแม่กำลังจะกลายร่างจาก(ประมาณ)นางฟ้าใจดีเป็น(ประมาณ)นางมารร้ายแล้ว..

เป็นการให้โอกาสก่อน..
[/quote]
สงสัยลูกคงเห็น นางฟ้า แปลงร่างเป็น นางมารร้าย บ่อยไปหน่อย อิ อิ
      บันทึกการเข้า
vibrato24
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 42

« ตอบ #2396 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 10:33:54 »

http://www.youtube.com/watch?v=HxZ27b6N8RU

จำได้เลาๆว่าเอ๋เคยลงบทความเรื่องการกอดไว้นะ  ดูแล้วครูตี่ชอบมากๆครูตี๋เล่นดนตรีบนถนน เห็นคนเยอะแยะแต่ก็เห็นหลายๆคนแอบเหงา เห็นในยูทูปแล้วรู้สึกดีมากๆเลยครับ เมืองไทยก็มีคนเคยทำ ครูตี่อยากทำบ้าง
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2397 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 11:11:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ vibrato24 เมื่อ 30 มกราคม 2553, 10:33:54
http://www.youtube.com/watch?v=HxZ27b6N8RU

จำได้เลาๆว่าเอ๋เคยลงบทความเรื่องการกอดไว้นะ  ดูแล้วครูตี่ชอบมากๆครูตี๋เล่นดนตรีบนถนน เห็นคนเยอะแยะแต่ก็เห็นหลายๆคนแอบเหงา เห็นในยูทูปแล้วรู้สึกดีมากๆเลยครับ เมืองไทยก็มีคนเคยทำ ครูตี่อยากทำบ้าง

ดูแล้วชอบเช่นกัน เป็นอะไรที่น่ารักดีค่ะครูตี๋  ชอบ"กอด"ลูกให้อุ่นๆตลอดเวลาเหมือนกันค่ะตั้งแต่เล็กจนโต



ภาพจาก www.sarnrak.net

แม้ในปัจจุบันพ่อแม่จะหันมาใส่ใจคุณภาพชีวิตของลูกมากขึ้น ด้วยการคัดสรรสิ่งต่างๆ ที่ดีมากมายมาสนองต่อความต้องการของลูกอย่าง

แท้จริงก็ดี หรือตามค่านิยมทางสังคมก็ดี แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนลืมกันมาก คือการดูแลด้านจิตใจของลูก หลายครอบครัวยิ่งลูกโต

ยิ่งห่างลูกมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุการฝากเลี้ยง ฝากดูแลจากสถานที่ต่างๆ ส่งผลให้ความผูกพันน้อยลง ลูกมีพฤติกรรมซึม เศร้า

เหม่อลอย หรือพฤติกรรมอื่นๆ ที่ทำเอาพ่อแม่หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พ่อแม่คิดว่าได้มอบสิ่งที่ดีมากมายเพื่อเติม

เต็มชีวิตให้ลูกแล้ว

หากเราลองมองย้อนถึงวิถีชีวิตที่ผ่านมาและลองถามตัวเองว่าสัมพันธภาพอันดีของครอบครัวลดน้อยลง จากการที่พ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มี

เวลาให้ลูกหรือไม่ การชดเชยด้วยวัตถุเป็นสิ่งที่ลูกต้องการจริงๆ หรือไม่ เพราะบางทีอาการต่างๆ ที่ลูกแสดงออกอาจไม่ได้หมายถึงความ

ต้องการทางวัตถุ หากแต่สิ่งที่ลูกต้องการอาจเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ เช่น อ้อมกอดแห่งรักจากพ่อแม่ก็เป็นได้

ต้นทุนชีวิตที่ดีจากการกอด

การลงทุนเพื่อความสุขของชีวิตครอบครัว ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินทองหรือสิ่งของต่างๆ ทำได้ง่ายๆ ค่ะ เพียงแค่คุณเปิดวงแขนให้

กว้างแล้วโอบกอดคนที่คุณรัก โดยเฉพาะลูกน้อยวัยเตาะแตะ จะผูกพันกับอ้อมกอดและสัมผัสจากพ่อแม่มาก พ่อแม่จึงควรใส่ใจและพยา

ยามให้ผิวกายของคุณ สัมผัสกับลูกให้มากที่สุด จากการอุ้ม กอดหรือให้ลูกดูดนมจากอกแม่ สิ่งต่างๆ จะถูกถ่ายทอด ผ่านผิวสัมผัสทางกาย

สู่ลูกได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าขณะนั้นลูกจะอยู่ในลักษณะอารมณ์ไหนสิ่งต่างๆ จะผ่อนคลายลงได้จากการกอด โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ

ทั้งนี้หากพ่อแม่โอบกอดลูกน้อยอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ยังเด็กจะเปรียบเสมือนการลงทุนด้านจิตใจและอนาคตของลูกจากสิ่งเล็กน้อย แต่ส่ง

ผลดีที่ยิ่งใหญ่ คือ ลูกมีพัฒนาการที่ดี มีความผูกพันกับพ่อแม่ เมื่อโตขึ้นลูกจะเป็นมีอารมณ์มั่นคง พร้อมที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ ได้ดีกว่าเด็ก

ที่ได้รับการโอบกอดจากพ่อแม่น้อย ดังนั้นเรามาเริ่มสร้างต้นทุนชีวิตที่ดีให้กับชีวิตลูกและครอบครัว สร้างความผูกพันที่เหนียวแน่น ด้วยการ

มอบความรักความเข้าใจและโอบกอดลูกกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่านะคะ

ชีพจรแห่งการกอด

แม้ว่าอนุภาพแห่งการกอดระหว่างพ่อแม่ลูกมีคุณค่ามากมายและหลากหลายความหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่จะต้องกอดลูกทุกวัน

ทุกเวลาหรือทุกชั่วโมง จนดูเหมือนเป็นหน้าที่ เพราะดูจะเป็นการกอดพร่ำเพรื่อมากไป การกอดมีคุณค่าและมีความหมายในตัว การกอดจึง

ควรมาจากความรู้สึกจากใจและความรู้สึกที่อยากกอดจริงๆ จึงเรียกว่าอ้อมกอดที่อบอุ่น ดังที่เวอร์จิเนีย แชตเตอร์ ได้แนะนำเกี่ยวกับความถี่

ของการกอดผ่านหนังสือ “พลังชีวิต” ไว้อย่างน่าสนใจว่า กอด 4 ครั้งต่อวัน เพื่อการดำรงชีวิต กอด 8 ครั้งต่อวัน เพื่อดำเนินชีวิต และกอด

 12 ครั้งต่อวัน เพื่อการเจริญเติบโตของชีวิต การกอดมีจังหวะและเวลาที่เหมาะสม จะสื่อความหมายของความรู้สึกได้มากกว่าการกอดบ่อยๆ

ตามปกติแล้วพ่อแม่ควรกอดลูก เมื่ออยากมอบความรักและความรู้สึกดีๆ ให้ลูก ต้องการคลายความเครียด ความกลัว ความเจ็บปวด เรียก

ขวัญและกำลังใจให้ลูกหรือกอด เพื่อเป็นการให้รางวัลทางใจแก่ลูก เมื่อลูกทำสิ่งดีและเหมาะสม แล้วท่ากอดมีผลต่อจิตใจลูกหรือไม่ พ่อแม่

สามารถกอดลูกได้กี่แบบนะ

รูปแบบแห่งอ้อมแขนที่อบอุ่น

ท่ากอดมีผลต่อจิตใจลูกแตกต่างกันหรือไม่นั้น ยังไม่มีการศึกษาทางวิชาการที่แน่ชัดว่า ท่าทางการกอดมีผลต่อจิตใจลูกมากน้อยเพียงใด แต่

รูปแบบการกอดนั้น นายแพทย์สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์เด็ก กล่าวในงานเสวนา “กอด...อุ่นไอรักจากอกพ่อ” ของโครงการสนับสนุนสถา

บันครอบครัวว่า การกอดมี 2 รูปแบบ คือกอดแบบเมตตารักใคร่ และกอดแบบเสน่หา กอดแบบเมตตารักใคร่ คือการกอดที่ไม่มีความรู้สึก

เสน่หาเข้ามาร่วมด้วย เป็นการกอดในลักษณะพ่อแม่กอดลูก พี่กอดน้อง เพื่อนกอดเพื่อน เป็นการแสดงออก ซึ่งความรักแบบเมตตารักใคร่เอ็น

ดู ในขณะที่การกอดแบบเสน่หาเป็นการกอดของคนรัก คู่รัก ที่มีความรัก ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ส่วนท่าทางในการกอดนั้นพ่อแม่สามารถกอด

ลูกด้วยท่าทางพื้นฐานดังนี้ค่ะ

ท่าหมีกอดกัน (Bear Hug) เป็นท่ากอดที่ทำให้ร่างกายสัมผัสกันด้วยแรงเบียดตัวอย่างเต็มที่ รวดเร็วและรุนแรง แต่ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น รู้

สึกถึงความรัก ความปลอดภัย กำลังใจและแรงสนับสนุนจากการกอด เช่น การที่ลูกวิ่งมาหาพ่อแม่อย่างรวดเร็ว พร้อมเหวี่ยงตัวและกระโดด

กอดอย่างรวดเร็วและเต็มแรง

ท่าโอบเอวด้านข้าง (Side-to-Side) ท่านี้พ่อแม่จะใช้แขนโอบกอดลูกพร้อมหอมแก้มลูกด้วย เป็นการแสดงความยินดี แสดงความรัก ความ

คิดถึงหรือการทักทาย ตามแต่สถานการณ์นั้นๆ

ท่ากอดกันกลมเกลียว (Sandwich Hug) ท่านี้เป็นการกอดกันระหว่างพ่อแม่ลูก โดยให้ลูกอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อแม่ที่หันหน้าเข้าหากัน

แล้วพ่อแม่โอบกอดลูกพร้อมๆ กัน สร้างความผูกพันให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

การกอดไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหน สถานการณ์ใด หากผู้กอดและผู้ถูกกอดมีความต้องการในอ้อมกอดนั้น อนุภาพและพลังแห่งการกอดก็สามารถ

สื่อถึงกันได้ กอดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคทางใจได้มากมาย สามารถหาได้ง่าย รักษาได้ง่ายและใช้ได้ไม่มีวันหมด มีผล

เป็นที่น่าพอใจ กอดจึงเปรียบเสมือนยาขนานเอก ของครอบครัวที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้เพื่อคนที่คุณรักและอยากกอด วันนี้คุณพกยาขนาน

เอกนี้ติดตัวไว้หรือยังคะ

(update 21 กรกฎาคม 2005)   [ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ กุมภาพันธ์ 2548]

จาก www.elib-online.com



      บันทึกการเข้า
vibrato24
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 42

« ตอบ #2398 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 11:28:50 »

ที่เมืองไทยก็มีกลุ่มแบบนี้เหมือนกัน ดีครับ ถ้าคนในสังคมทำแบบนี้ได้สังคมก็น่้าอยู่และคงอบอุ่นมากขึ้นครับ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #2399 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 14:34:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ vibrato24 เมื่อ 30 มกราคม 2553, 11:28:50
ที่เมืองไทยก็มีกลุ่มแบบนี้เหมือนกัน ดีครับ ถ้าคนในสังคมทำแบบนี้ได้สังคมก็น่้าอยู่และคงอบอุ่นมากขึ้นครับ

ค่ะครูตี๋



ภาพจาก cgengine.exteen.com

สื่อ เมืองผู้ดี เผยงานวิจัยระบุ หากอยากให้ชีวิตสมรสยั่งยืน ต้องหาเวลา "โอกาสแห่งคุณภาพ" เดือนละ 22 คาบ โดยควรกินข้าวนอก

บ้าน 7 ครั้ง มีของขวัญเดือนละ 1 หน...

คู่สามีภริยาคู่ใด หากอยากครองรักกันอย่างราบรื่นยั่งยืน ให้หาโอกาสโอบกอดกันให้ได้ วันละ 4 หน

ข่าว ของหนังสือพิมพ์รายวัน "เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ" ของเมืองน้ำชา รายงานข่าวว่า คณะนักวิจัยได้ความรู้จากการศึกษาคู่สามีภริยา

4,000 คู่ด้วยกันว่า หากอยากให้ชีวิตสมรสเป็นสุขและยั่งยืน จะต้องหาเวลา   "โอกาสแห่ง คุณภาพ" เดือนละอย่างน้อย 22 คาบ

เพื่อไปเดินเล่น หรือกินข้าวภายใต้บรรยากาศรักหวานชื่นด้วยกัน ที่สำคัญการออกไปกินข้าวตอนเย็น ควรจะไม่น้อยกว่าเดือนละ 7 หน

นอกจากนั้นสามีควรจะซื้อดอกไม้มากำนัลยาหยี หรือของขวัญอย่างอื่นก็ได้ เดือนละไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง

นักจิตวิทยาการศึกษา นายลุดวิก โลเวนสไตน์ ได้บอกเตือนว่า อย่าลืมเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การโอบกอดกัน มันเป็นท่าทางการ

แสดงความรัก ที่เหมือนกับบอกว่า "ผมรักคุณ ผมดีใจที่อยู่กับคุณ ผมขอบคุณในการดูแลและส่งเสริม ในโลกที่ผู้คนมีแต่ความยุ่งเหยิง

เรามักจะนึกเสียว่า จมอยู่กับการต่อสู้กับการงาน และหาเลี้ยงครอบครัว จะลืมความสำคัญของการกอด พอชักชินชากับชีวิตคู่เข้า".


ขอบคุณแหล่งที่มา/www.thairath.co.th/

จาก www.vcharkarn.com









 

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 94 95 [96] 97 98 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><