26 พฤศจิกายน 2567, 12:25:18
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 68 69 [70] 71 72 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2794413 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1725 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2552, 12:20:15 »










โบว์  บุ๊ค  บีม  ลูกแม่.....

โบว์  ชนัญชิดา กำลังศึกษาที่ OXFORD BROOKES

บุ๊ค ปิยะสิทธิ์  กำลังศึกษาที่ IMPERIAL COLLEGE LONDON

บีม สิทธา  กำลังศึกษาที่ SEDBERGH  SCHOOL



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1726 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 11:33:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ super เมื่อ 07 พฤศจิกายน 2552, 08:53:07
แขกเยอะดีนะครับอาจารย์..เอ๋
....ช่วงแรกๆยังอุ้ม ลูกไม่เป็นเลย
ได้ย่า ยาย มาช่วยจึงทําได้คล่องขึ้น..
..บี กินเก่งกว่า บั๊ม..
ครั้งหน้าจะเล่าเวลาเด็กท้องผูก.. ครับ


เคยได้ยินคำสารภาพที่น่ารักๆของคุณพ่อคนนึงว่า เหตุผลที่ไม่อุ้มลูกเล็กๆช่วยภริยา

นอกจากกลัวทำลูกหล่นจากมือแล้ว  เค้ากลัวว่ามือใหญ่ๆของเค้าจะทำให้ลูกเจ็บค่ะ

ถ้าภริยาสังเกตและเข้าใจว่าสามีกลัวเช่นนั้นจริงๆ ก็จะไม่น้อยใจว่าสามีไม่ช่วยดูแลลูกฯ


และยังอาจจะแนะนำให้สามีนั่งเก้าอี้ นั่งกับพื้นราบ นั่งบนฟูกอ่อนนุ่มและช่วยอุ้มลูกบ้าง บ่ฮู้บ่หัน   
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1727 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 14:40:51 »

แพทย์แนะวิธีเลี้ยงลูกสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่

ครอบครัว ปลูกฝังคุณธรรมตั้งแต่เด็ก ช่วยเติบโตอย่างสมบูรณ์

ในวันที่หลายๆ ครอบครัวเดินเข้ามาพบแพทย์แล้วบอกให้จัดการกับเจ้าลูกตัวแสบทั้งหลายที่ก่อความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่จนปวดหัว

ไปหมด หัวใจแทบแตกสลายเพราะลูกรักต้องมาสร้างความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบหมดอาลัยตายอยาก พ่อหรือแม่ต้องทะเลาะกัน

เพราะต่างโยนความผิดใส่กันว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกป่วย

นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ บอกว่า สาเหตุที่ทำให้ลูกมีปัญหาด้านพฤติกรรม และสุขภาพจิตส่วนใหญ่

เกิดจากการเลี้ยงดูเป็นหลัก นอกนั้นอาจมาจากความเจ็บป่วยของตัวเด็กเองที่ส่งผลตามมาทางด้านพฤติกรรม แต่ไม่ว่าสาเหตุมาจากที่

ใดก็ตาม ก็ต้องย้อนกลับมาดูที่ครอบครัวด้วยว่ามีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไร ครอบครัวมีลักษณะอยู่บนปากเหวหรือไม่

สำหรับลักษณะของครอบครัวที่มีความเสี่ยง สังเกตได้จาก

1. พ่อแม่ที่มีปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ เพราะจะสะท้อนวิธีคิดที่ไม่เหมาะสมไปตามปัญหาบุคลิกภาพของพ่อแม่เหล่านั้นเช่น ชอบใช้

ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ไม่มีทักษะในการสื่อสารหรือแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล

2. พ่อแม่มีปัญหาสุขภาพจิต เช่น ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช (ไม่ว่าจะได้รับการรักษาหรือไม่ก็ตาม) เมื่อมีลูกย่อมมีความเสี่ยงที่จะถ่ายทอด

ความเจ็บป่วยมาทางพันธุกรรมได้เช่นเดียวกัน

3. พ่อแม่มีความขัดแย้งกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลี้ยงดูลูก เช่น พ่อคิดอย่าง แม่คิดอย่าง บางครั้งญาติแต่ละฝ่ายก็คิดอีกอย่าง

หนึ่ง เด็กเกิดความสับสนไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี ในที่สุดก็ตามเพื่อนเพราะคิดว่าเข้าใจตนดีที่สุด

4. พ่อแม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร แม้ไม่ใช่สาเหตุหลักแต่ก็พบว่าเป็นสาเหตุที่เจอได้บ่อยที่ทำให้ลูกสับสนในการดำเนินชีวิต เช่น การไม่

สื่อสารแบบตรงไปตรงมา จนลูกสับสนว่าโลกแห่งความเป็นจริงคืออะไร การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลเป็นอย่างไร

5. ครอบครัวที่ขาดความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา บางเรื่องก็มีความตึงเกินไป บางเรื่องก็หย่อนจนเกินไป โดยอ้างเหตุผลความชอบของ

ตนเอง แต่ไม่ได้อ้างอิงตามสถานการณ์ภายนอกหรือมาตรฐานของสังคมที่ควรจะเป็น

ตัวอย่างลักษณะของลูกที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวในอนาคต คือ

ลูกที่เติบโตท่ามกลางความเอาอกเอาใจของครอบครัวและญาติพี่น้อง ประเภทเอาอกเอาใจให้ทุกอย่าง หรือคอยช่วยเหลือจนลูกไม่เคย

ช่วยเหลือตนเองหรือพบกับความผิดหวังหรือความยากลำบากเลย จนลูกกลายเป็นเด็กหลงตัวเองและแทบไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของชี

วิต เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตนเอง ขาดการควบคุมตนเองที่ดีพอ มีปัญหาที่รุนแรง เช่น ก้าวร้าวใส่ผู้อื่นหรืออาจก้าว

ร้าวใส่ตนเอง (เช่น การทำร้ายตนเอง) ก็ได้ติดสารเสพติดหรือติดอะไรทั้งหลายที่พึงจะติดได้ (เช่น ติดเกม ติดอินเทอร์เน็ต ติดการพนัน)

ลูกที่เติบโตท่ามกลางพ่อแม่ที่ขาดวินัย คือไม่สามารถเป็นแบบอย่างของการมีวินัยให้ลูกเห็นได้ รวมทั้งไม่สามารถควบคุมลูกให้อยู่ตามกฎ

เกณฑ์ที่ควรเป็น เพราะรู้สึกว่าการควบคุมให้ลูกมีวินัยนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจลูก เด็กก็เติบโตขึ้นมาท่ามกลางชีวิตที่ไม่มีกฎระเบียบ ไม่มี

เป้าหมายชีวิตที่แน่นอน ขาดความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต

ลูกที่เติบโตท่ามกลางการขาดความรักอย่างแท้จริง มิใช่การตามใจแล้วบอกว่ารัก  หรือเลี้ยงลูกด้วยการให้เงินปรนเปรอความสุขเพื่อทด

แทนเวลาที่พ่อแม่ไม่สามารถให้ได้ มักนำไปสู่ปัญหาบุคลิกภาพแบบขาดความรัก พึ่งพิงผู้อื่น และอิจฉาผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา มักลงเอยด้วย

อารมณ์ซึมเศร้าและบางรายก็ฆ่าตัวตาย

ลูกที่เติบโตท่ามกลางการขาดคุณธรรม จริยธรรม ข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก พบว่าเด็กที่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวหรือคนใดคนหนึ่ง

ในครอบครัวที่ขาดคุณธรรมจริยธรรมจะเลียนแบบพฤติกรรมนั้นๆ จนกลายเป็น "สันดานโจร" ติดตัวในที่สุด

ทั้งนี้จิตแพทย์แนะ 5 ข้อคิดสำหรับพ่อแม่ในการเลี้ยงลูก คือ

1. จัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของพ่อแม่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาจัดการลูก

2. ตระหนักว่าการลงทุนเลี้ยงลูกด้วย "ใจ" มีความสำคัญกว่าการ "ให้เงิน" อย่างแน่นอน

3. ระเบียบวินัยเป็นเรื่องสำคัญมากในทุกครอบครัว ซึ่งหมายความว่าลูกคุณจะเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจ

4. เด็กที่มีความอดทนร่วมด้วยคุณธรรม จริยธรรมสำคัญที่สุดที่ทุกครอบครัวต้องมีและเป็นแบบอย่างให้กับลูกหลานต่อไป

5. หากแก้ปัญหาเองไม่ตก ขอให้มาปรึกษากับบุคลากรทางด้านสุขภาพจิต ไม่ควรคิดเองเออเองหรือหลงเชื่อคนที่ไม่มีประสบการณ์ที่

ถูกต้องและเหมาะสม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Update 17-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

www.thaihealth.or.th

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1728 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 14:56:41 »










ภาพเด็กๆน่ารักจากdek-d.com และ kapook.comค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1729 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 15:12:28 »

เด็กยุคใหม่...ไร้ภูมิคุ้มกัน

ครอบครัว เรื่องเด่น

ภารกิจด่วนแม่ไทย'เติมทุนชีวิตลูก'

 "ค่านิยมการเลี้ยงลูกโดยเน้นการเสริมสร้างทุนปัญญาเพียงอย่างเดียว เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือความสำเร็จในหน้าที่การงานและผล

ตอบแทนจำนวนมหาศาล ทัศนคติในการเลี้ยงลูกสมัยใหม่นี้ได้ส่งผลกระทบต่อทุนชีวิตและภูมิคุ้มกันตัวเองที่ขาดหายไปของเด็กไทย

ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นในสังคมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชนเอง ซึ่งผลที่ตามมาก็คือการมีพฤติกรรมเสี่ยง”

 ...นี่เป็นสถานการณ์เด็กและเยาวชนไทย - คนไทยรุ่นใหม่ ที่ทางคณะทำงานแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน “เด็กพลัส” สำนักงาน

กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยออกมา ก่อนที่ “วันแม่” จะเวียนมาถึงอีกครั้งในวันที่ 12 ส.ค. 2552 พร้อมๆ กับ

มีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสำคัญปัญหานี้

 “ทุนปัญญา” ถูกจุดพลุในไทย...ว่าสำคัญ แต่...จะเกิดปัญหาหากละเลย “ทุนชีวิต !!”

กับเรื่องนี้ นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน ที่กล่าวมาข้างต้น บอกว่า... “ทุนชีวิต” นั้นหมายถึงต้นทุนขั้น

พื้นฐานที่มีผลต่อการพัฒนาการทางด้านจิตใจ สังคม และสติปัญญาของคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงบวกด้านจิตใจที่จะหล่อหลอมให้

เด็กเติบโตและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งทุนชีวิตนี้จะเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูและปลูกฝังของครอบครัวและสิ่งแวดล้อม

ตั้งแต่เยาว์วัย ถ้าเด็กมีต้นทุนชีวิตที่ไม่แข็งแรงจะก่อให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงและปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง... เซ็กส์ ยาเสพติด ความ

รุนแรง ฯลฯ

ทั้งนี้ ทางแผนงานได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ต้นทุนชีวิตเด็กและเยาวชนไทย” และพบว่าปัจจุบันทรรศนะในการเลี้ยงดูลูกของพ่อและแม่ โดย

เฉพาะ “แม่” ได้เปลี่ยนไป มักจะเน้นปัจจัยเพียง 2 ด้านคือ “เงิน” และ “ปัญญา” โดยมีเป้าหมาย คือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโตขึ้นมีหน้า

ที่การงานที่ดี มีอาชีพที่สร้างรายได้จำนวนมาก

“ปัจจุบันบทบาทของแม่ในการสร้างทุนชีวิตให้ลูกแต่ละด้านมีน้อยมาก และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แม่ให้ความสำคัญกับทุนชีวิตด้านต่างๆ

ไม่ถึง 50% ทำให้แนวโน้มของเด็กไทยจะเคร่งเครียดกับการเรียนมากขึ้น โอกาสที่เด็กจะยึดติดกับวัตถุนิยมก็สูงขึ้น ซึ่งต้นเหตุของพฤติ

กรรมเสี่ยงในทุกๆ เรื่องที่เป็นปัญหาของสังคมในปัจจุบัน ล้วนเกิดขึ้นมาจากการมีต้นทุนชีวิตที่ต่ำ ดังนั้น ต้นทุนชีวิตคือเหตุแห่งปัญหา

ถ้าเราสามารถเติมทุนชีวิตได้ ปัญหาต่างๆ ก็จะลดลง”

นพ.สุริยเดวบอกอีกว่า... พ่อ - แม่สมัยใหม่ต่างเติบโตขึ้นมาด้วยทัศนคติของ “เงิน” และ “ปัญญา” เป็นเป้าหมายชีวิต โดยหลงลืม “ทุน

ชีวิต” ในด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดสังคมไทยที่ขาดความเอื้ออาทรเมตตาปรานี ชุมชนและสังคมอยู่แบบตัวใครมันตัว ขาดการเฝ้าระวัง ส่ง

ผลให้พื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นพื้นที่ดีก็จะหายไป เด็กไทยขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หันไปยึดติดวัตถุนิยมตามกระแสสังคม เด็กไทยขาดความ

คิดสร้างสรรค์เนื่องจากคิดนอกกรอบไม่เป็น และสุดท้ายก็จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนอื่นๆ

“จากการศึกษาพบว่าทุนชีวิตของเด็กไทยที่อ่อนแอ และต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนมากที่สุดมีอยู่ 5 ข้อคือ... การเป็นผู้ให้หรือจิตอาสา,

การร่วมกิจกรรมทางศาสนา, ความรู้สึกมีคุณค่าต่อชุมชน, การได้ทำกิจกรรมนอกกรอบ, การพูดความจริง ซึ่งบทบาทของแม่สามารถช่วยแก้

ปัญหาเหล่านี้ได้ แต่แม่ต้องเรียนรู้ว่าลูกมีการเรียนรู้ในอีกมิติหนึ่งนอกเหนือไปจากการเรียนปกติด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ลูกเป็นคนมากขึ้น ไม่

ได้เป็นเหมือนหุ่นยนต์ โดยแม่จะต้องให้ความสำคัญกับเทคนิค วิธีการ และกิจกรรมต่างๆ ที่จะเติมทุนชีวิตที่บกพร่องเหล่านี้ให้กับลูก”

...นพ.สุริยเดวระบุ   ขณะที่ วันชัย บุญประชา ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัว เสริมว่า... เพราะสังคมไทยเปลี่ยนไป มีอัตราการหย่า

ร้างสูง ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ทำให้เกิดแม่ยุคใหม่ 2 ลักษณะคือ “แม่ที่ปกป้องลูก” และ “แม่ที่ทอดทิ้งลูก” ซึ่งทั้ง 2 ลักษณะนี้ถ้ามาก

เกินไปก็จะเกิดปัญหา โดย สสส. ก็มีโครงการ “ขจัดร้ายขยายดี สร้างภูมิคุ้มกัน” ที่พยายามแก้ปัญหานี้ โดยจัดให้มีพื้นที่เพื่อทำเรื่องครอบ

ครัวสุขภาวะในโรงเรียนและในชุมชน

วันชัยระบุด้วยว่า... การปกป้องลูก - ปรนเปรอให้ความสะดวกสบายมากเกินไป ทำให้เด็กยึดถือตัวเองเป็นใหญ่ ขาดทักษะจัดการปัญหา

ส่วนการทอดทิ้งลูกที่มีเพิ่มขึ้นจากการที่แม่ต้องทำงาน ถ้าทิ้งมากไปก็ทำให้เด็กต้องไปเรียนรู้นอกบ้าน จนเป็นเด็กกร้านชีวิต ก้าวร้าวรุน

แรง เบียดเบียนคนอื่นๆ

ทางด้าน พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการ สสส. ก็ระบุถึงประเด็น “ต้นทุนชีวิต” ว่า... เป็นสิ่งที่สร้างหรือเติมให้ลูกได้โดยไม่เกี่ยวว่า

ต้องมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย อย่างการ “ให้นมลูกจากอกแม่” ก็ถือว่าใช่เช่นกัน เป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกัน และลูกจะสัมผัสได้ถึงความรัก

อบอุ่น ปลอดภัย และหากทำสิ่งดีต่างๆ ให้ลูกรู้สึกถึงความรู้สึกดีเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเติบโตขึ้นลูกก็จะมี “ทุนชีวิต” ที่ดี นำพาให้

เด็กไปสู่ความเป็นคนดี

 “แม่สร้างทุนชีวิตให้ลูกได้โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่หลังคลอด แม่มีอิทธิพลกับลูกมากกว่าพ่อ ทั้งความใกล้ชิด ละเอียดอ่อน เอา

ใจใส่ แต่ปัจจุบันแม่มีแนวโน้มตามใจลูกมากขึ้น ทำให้เด็กด้อยระเบียบวินัย เอาแต่ใจ ดูแลตัวเองไม่ได้ ซึ่งในโอกาสวันแม่ที่กำลังจะมาถึง

ผู้เป็นแม่น่าจะได้ใช้เป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนบทบาทของตนเองในการเลี้ยงดูลูก” ...พญ.ชนิกาทิ้งท้ายให้แม่ไทยทั้งหลายได้ลอง

พิจารณาว่าจะสร้างให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคน “เก่งแต่ร้าย - เก่งแต่โกง” หรือเป็นคน “ดี” ที่ “สร้างสุขให้ชีวิต” ได้อย่างแท้จริง

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 

Update 09-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

www.thaihealth.or.th

 

 


      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1730 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 15:16:21 »










ภาพเด็กๆน่ารักจากkapook.comค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1731 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 15:22:40 »

วิธีเลี้ยงลูกให้เข้มแข็ง... แต่ไม่ก้าวร้าว   

(จากงานเสวนาที่โรงเรียนเพลินพัฒนา วิทยากร : ศ.(เกียรติคุณ) พ.ญ.วันเพ็ญ บุญประกอบ)

 ความสับสนหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเสมอในใจของพ่อแม่คือ จะเลี้ยงลูกอย่างไรให้เข้มแข็ง แต่ไม่ก้าวร้าว เพราะเข้าใจว่าสองสิ่งนี้เป็นเรื่อง

เดียวกัน แต่คุณหมอชี้ว่าความก้าวร้าวและความเข้มแข็งนั้นไม่เหมือนกัน และยังต่างกันมากอีกด้วย เพราะแท้จริงแล้วคนก้าวร้าวก็คือ

คนที่อ่อนแอที่สุด ซึ่งการจะเลี้ยงลูกให้เข้มแข็ง แต่ไม่ก้าวร้าวนั้นทำได้โดย ฝึกให้ลูกรู้จักอดทนรอคอย และรู้จักการปฏิเสธ
 
เด็กๆ เรียนรู้ที่จะปฏิเสธตั้งแต่วัยขวบกว่าๆ แต่เราจะต้องช่วยกันปลูกฝังให้เด็กรู้จักปฏิเสธอย่างเหมาะสม โดยการให้เด็กรู้จักตัวเอง รู้

ความต้องการของตัวเอง และยืนหยัดถึงความต้องการนั้นอย่างมีเหตุมีผล นั่นหมายถึงว่าเด็กจะต้องปฏิเสธเป็น โดยคงไว้ซึ่งความเป็น

ตัวเอง และความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนหรือผู้อื่น ซึ่งการสอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธเป็นต้องประกอบด้วย

๑. ให้เขามีโอกาสเลือก เช่น เด็กไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้ คุณพ่อคุณแม่ควรจัดเตรียมเสื้อผ้าที่คิดว่าเหมาะสมไว้ ๓-๔ ตัว ให้เด็ก

เลือก ซึ่งเป็นการเลือกภายใต้การควบคุมของพ่อแม่

๒. รับฟังเขา ( แต่ไม่ใช่การยอมทำตาม) คือการฟังอย่างเข้าใจ แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ต้องมีจุดยืนของความถูกต้องอยู่เสมอ เช่น เด็ก

อยากได้นาฬิกาเพราะเห็นเพื่อนใส่แล้วสวย ก็ให้ชวนลูกคุยว่า ทำไมหนูถึงอยากได้นาฬิกา... แล้วหนูคิดว่านาฬิกามีไว้ทำอะไร... แล้ว

หนูใช้เป็นหรือยัง... แม่ว่าถ้าเราใส่นาฬิกาทั้งๆ ที่เราใช้ประโยชน์ไม่เป็นนั้นดูไม่ดีเลยนะลูก... การพูดคุยลักษณะนี้จะทำให้เด็กได้คิดและ

เข้าใจ ซึ่งต้องเริ่มจากการรับฟังของผู้ใหญ่ก่อน


จากwww.plearnpattana.comค่ะ


 

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1732 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 15:31:12 »










ภาพเด็กๆน่ารักจากkapook.comค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1733 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 15:45:12 »

12 วิธีเลี้ยงลูกให้ดี...E.Q. สูง

เรื่องของ I.Q.หรือระดับสติปัญญานั้นขึ้นกับปัจจัยหลักคือสมองและระบบประสาทที่ดี พร้อมที่จะรับรู้ข้อมูลและเรียนรู้ อิทธิพลที่มีผล

ของระดับสติปัญญาขึ้นกับพันธุกรรม (Gene) ค่อนข้างมาก พูดง่ายๆ ก็คือถ้าพ่อแม่เฉลียวฉลาดย่อมมีโอกาสสูงที่ลูกจะเฉลียวฉลาด

เช่นกัน ปัจจัยอื่นๆก็คือการได้รับสารอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสมองตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์และตลอดช่วงวัยเด็ก นอก

จากนั้นยังต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสมด้วย จะเห็นว่าเรื่องของพันธุกรรมเป็นเรื่องที่่เราควบคุมไม่ได้ แต่เรื่องของ E.Q.นั้น เรา

สร้างเสริมให้ลูกได้ทั้งสิ้น ลองมาดูกันเลยครับว่า12 วิธีเลี้ยงลูกให้ดี... E.Q.สูง มีอะไรกันบ้าง

ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมากและไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูก

แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายซึ่งบ่งบอก

ถึงความรักได้เป็นอย่างดี

ครอบครัวมีสุข คือ การที่คุณพ่อและคุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และรวมถึงการมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดูอบรม สั่งสอน

ลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้างก็จะมีการพูดคุยกัน ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกันคือเป็นทีมเดียว

กันนั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดกันเองในการวางกฎเกณฑ์ มีครอบครัวหนึ่งลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบร้อง

ไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่าที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่นเพราะลิปติกจะหักเสียหาย แต่เวลาอยู่กับ

พ่อ พ่ออนุญาติให้ลูกเล่นได้หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" เด็กเองก็จะสับสน ไม่เข้าใจ

กฎเกณฑ์ว่าเรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียว

กัน

มีความรู้ความเข้าใจในพัฒนาการของลูก จะทำให้เราเข้าใจและปฏิบัติต่อลูกได้ถูกต้องและเหมาะสม ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ครับว่าพัฒนา

การไม่ได้หยุดหรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่มีต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย น่าเสียดายที่คุณ

พ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าวัยรุ่นแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะคิดว่าลูกเหมือนก็เมื่อ2-3 ปีก่อน ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อคุณแม่บาง

คนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศัพท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย

ครับที่ลูกวัยรุ่นจะโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญมากคือความเป็นส่วนตัว (Privacy) เห็นรึยังครับว่า

ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีความรู้ความเข้าใจพัฒนาการของลูกจะช่วยให้เราปฏิบัติต่อเขาได้เหมาะสมอย่างไร

คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นบางครอบครัว พ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่จึงจำเป็น

ต้องจ้างพี่เลี้ยงดูแลช่วงกลางวัน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนเลิกงานกลับมาบ้านแล้ว เหนี่อย กลางคืนก็ฝากพี่เลี้ยงดูแลอีก

ควรอยู่ใกล้ชิดลูกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยช่วงกลางคืนจะได้มีประสบการณ์ได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นมาให้นมลูกเวลา

ลูกร้องกลางคืน ได้โอบกอดและปลอบให้เขาหลับต่อ เมื่อได้รู้จักจะยิ่งรักและเข้าใจในตัวลูก

สร้างเสริมความภาคภูมิใจในตัวเองหรือความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า (self esteem) ให้ลูก นั่นหมายถึงเมื่อลูกทำดีหรือประสบความสำเร็จ

คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อเขาท้อแท้ก็ให้กำลังใจ บางคนบอกว่าชมมากเดี๋ยวเหลิง ไม่ต้องกลัวครับ การชมอย่างถูกต้อง สมเหตสมุผล

ไม่มีผลเสียแน่นอน จะช่วยให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเองซึ่งมีค่าต่อเด็กมากครับ

ให้อิสระและโอกาสในการตัดสินใจกับลูก จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่

ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยนะครับ)

สอนลูกให้รู้จักรักและดูแลตนเองเช่นเดียวกันกับผู้อื่น ซึ่งข้อนี้ก็คือส่วนสำคัญข้อหนึ่งของ E.Q.ดังที่ได้คุยกันไปแล้ว ซึ่งรวมไปถึงการ

สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่นการที่คุณพ่อคุณแม่บางคนพาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่

บ้านพักคนชรา

ส่งเสริมให้ลูกรู้จักคิดด้วยหลักการและเหตุผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างถ้าลูก

อยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักการและ้เหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร

สอนลูกให้รู้จักการผ่อนคลายและหาความสุขให้ตัวเองด้วย ข้อนี้ก็มีความสำคัญมากครับเพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จใน

การเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่งของตัวเองไว้ให้ได้ตลอดไปหรือให้เก่งมากขึ้น

เพื่อเอาชนะคนอื่น

เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก (modeling) คุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆตามลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติแทบไม่ต้องพูดสอนเลย ตัว

อย่างที่เห็นได้ชัดคือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่นอยู่บ้านว่างๆก็หยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้

ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าก็มักแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่าน

หนังสือไปโดยไม่รู้ตัว ผมมีอีกตัวอย่างหนึ่งคือการฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองและรับผิดชอบเช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่

บ้านก็ควรจะยกจานที่ทานเสร็จแล้ว ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะแล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) คุณพ่อคุณแม่

ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่าถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็น

ตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร

กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรักความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่

ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะของทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไปหรือน้อยเกิน

ไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีรายละเอียดมากครับ เราคงจะได้คุยกันในครั้งต่อๆ ไป หัวข้อนี้รวมไปถึงการฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ และ

ช่วยเหลือตัวเองตามวัย ซึ่งหัวข้อนี้เราเคยพูดคุยกันไปแล้ว

นอกจาก 11 วิธีนี้แล้ว ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ มีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมากต่อ E.Q. ของลูก มีอิทธิพลต่อเด็กมาก แต่เรามักไม่ค่อยนึกถึง

ทราบไหมครับว่าคืออะไร ระบบการศึกษาไงครับ
 
ระบบการศึกษา เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน เห็นด้วยใช่ไหมครับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากและมีผลต่อ E.Q. ของลูก

ด้วย จะมีประโยชน์มากครับหากเราจะทำความเข้าใจกับระบบการศึกษาและกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก คงจะมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องนี้

กันต่อไปครับ

ที่มา : นพ.กมล แสงทองศรีกมล

กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

จากwww.bangkokhealth.comค่ะ

 
 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1734 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 15:50:22 »










ภาพเด็กๆน่ารักจากkapook.comค่ะ
      บันทึกการเข้า
Dr.parrot
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18

« ตอบ #1735 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 16:31:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 08 พฤศจิกายน 2552, 15:50:22









ภาพเด็กๆน่ารักจากkapook.comค่ะ

สวัสดีค่ะ  บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #1736 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 22:47:46 »

หวัดดีค่ะดร.เอ๋
 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
super
Full Member
**


วิดยา'20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 368

« ตอบ #1737 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2552, 08:54:52 »



เมื่อวานไม่ว่างเลยครับ..
..ตอนที่ลูกสาวอายุ ๓ เดือน - ๑ ขวบ ถ้าท้องผูกจะใช้
glycerin suppository for infant  ใช้ได้ผลดีกับเด็กเล็กๆ  ครับ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1738 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2552, 09:32:06 »

สวัสดีค่ะอ้อย ดีใจที่แวะมานะคะ


สวัสดีค่ะพี่หลิน ขอบคุณมากที่นำความรู้มาฝากทุกคนนะคะ บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1739 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2552, 09:39:37 »










ความสดชื่นสดใสของสาวๆ24ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Dr.parrot
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18

« ตอบ #1740 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2552, 10:00:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 09 พฤศจิกายน 2552, 09:39:37









ความสดชื่นสดใสของสาวๆ24ค่ะ

สวัสดีค่ะ  บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
Dr.parrot
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18

« ตอบ #1741 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 07:53:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dr.parrot เมื่อ 09 พฤศจิกายน 2552, 10:00:26
อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 09 พฤศจิกายน 2552, 09:39:37









ความสดชื่นสดใสของสาวๆ24ค่ะ

สวัสดีค่ะ  บ่ฮู้บ่หัน

สวัสดีค่ะ  บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
super
Full Member
**


วิดยา'20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 368

« ตอบ #1742 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 09:20:50 »



...ถ้าลูกสาวมีผื่นแพ้บริเวณแก้ม
จะใช้   ๐.๐๑% Aristocort cream  ทาบางๆ
ได้ผลดีครับ..อาจารย์..
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1743 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 09:24:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ super เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2552, 09:20:50


...ถ้าลูกสาวมีผื่นแพ้บริเวณแก้ม
จะใช้   ๐.๐๑% Aristocort cream  ทาบางๆ
ได้ผลดีครับ..อาจารย์..


สวัสดีค่ะพี่หลิน นำความรู้มาฝากแต่เช้าเลยค่ะ ขอบคุณพี่ชายมาก
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1744 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 09:48:05 »




ภาพมะหมาลูกชายส่งมาให้ค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1745 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 10:06:53 »

สยุมพร ส่งเรื่องดีๆมาให้อ่านอีกแล้วค่ะ

ขอบคุณมากนะคะเพื่อน


หนึ่งปีที่ไม่เท่ากัน

รายงานโดย : หนูดี – วนิษา เรซ: วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เวลาหนึ่งปีมีค่าไม่เท่ากันสำหรับคนสองคน ไม่เท่ากันสำหรับคนสามคน และไม่เท่ากันสำหรับคนสิบคน แม้เวลาในปฏิทินจะเท่ากันก็ตาม

ตอนอายุสิบแปด หนูดีเคยได้รับสิทธิพิเศษที่เด็กไทยน้อยคนจะได้รับในวันที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา แต่เด็กอเมริกันหรืออังกฤษได้รับกัน

เป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือ คำอนุญาตให้เดินทางท่องเที่ยวหรือเรียนอะไรก็ได้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยยังไม่ต้องตรงดิ่งเข้ามหาวิทยาลัยใน

ทันทีเหมือนเพื่อนๆ ที่จบพร้อมกัน  แนวคิดนี้เด็กฝรั่งเรียกกันว่า “Gap Year” หรือ “หนึ่งปีระหว่าง” ที่พวกเขามักออกเดินทางท่องโลก หรือ

ไปลองทำงานในสาขาที่กำลังคิดจะเรียนต่อด้านนั้น หรือไปทำงานอาสาสมัครในประเทศโลกที่สาม โดยเด็กๆและพ่อแม่หวังว่า ภายในเว

ลาหนึ่งปีที่ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยระบบการศึกษา พวกเขาจะรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น และกลับมาตัดสินใจเลือกเรียนได้ในสาขาที่

เหมาะกับตัวเองที่สุด

หลายครั้งพวกเขาพบว่า วิชาที่เคยคิดว่าอยากเรียน เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้อยากเรียนขนาดนั้น ที่เคยคิดว่าชอบ เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ชอบ

ขนาดนั้น แถมพอเปิดหูเปิดตาเปิดโลกก็มองเห็นโอกาสใหม่ๆ อาชีพใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ได้เจอคนจากที่ต่างๆ ที่ให้คำแนะนำต่อ

ชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อมาอีกในระยะยาว  หนูดีได้พบเพื่อนฝรั่งหลายคนที่ใช้ “Gap Year” เสียคุ้มเกินคุ้ม บางคนไปทำงานอาสาสมัครใน

เม็กซิโก แล้วกลับมาตัดสินใจสมัครเรียนหมอเพื่อกลับไปช่วยคนประเทศนั้น บางคนตัดสินใจเรียนกฎหมายเพื่อไปช่วยคนที่ถูกเอาเปรียบ

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดเป็นทนายมาก่อน บางคนเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  เพราะติดใจการเดินทางเข้าเสียแล้ว ชีวิต

หลายคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีหลังหนึ่งปีระหว่าง  นับว่าแม่ของหนูดีกล้ามากที่อนุญาตแบบนั้นในตอนนั้น เพราะแม่ไม่บังคับอะไรเลย บอก

ให้หนูดีเต็มที่” กับการเดินทางของชีวิตบทใหม่ในครั้งนี้ ส่วนเพื่อนๆ แม่ก็ดูไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยกับ “วิธีเลี้ยงลูก” แบบนั้น เพราะแทบทุก

คนลงความเห็นว่า มันเป็นการเสียเวลาอย่างยิ่งไปเปล่าๆ หนึ่งปีโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย  แต่จริงหรือ  ปีนั้นเป็นปีที่หนูดีลืมไม่ลงและมีผล

กับการตัดสินใจของหนูดีตลอดมาอีกทั้งชีวิต ทำให้หนูดีเลือกเรียนในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุดมาเรื่อยๆ ทำให้หนูดีเห็นโลกกว้างและเข้า

ใจ “โลกแห่งความเป็นจริง” ที่ชีวิตไม่ใช่แค่การทำการบ้านไปส่งครู หรือเห็นการทะเลาะกับเพื่อนรักเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในโลกอีกแล้ว หนูดี

ใช้เวลานั้นไปเรียนละคร เรียนร้องเพลง ไปทำงานอาสาสมัคร และไปฝึกงานแบบจริงจัง

หนึ่งในงานที่หนูดีได้ลองทำคือ การฝึกงานในโรงแรมห้าดาวโรงแรมหนึ่ง ซึ่งหนูดีต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ขัดห้องน้ำไปจนถึงเช็ดรองเท้าให้

แขก นี่เป็นคำแนะนำจากคุณแม่ค่ะ เพราะอยากให้ลูกสาวได้ลำบากเสียบ้าง และก็ได้ลำบากสมใจ แต่แถมความสนุกมาอีกเป็นกระบุง

เพราะการได้ฝึกงานแผนกต่างๆ ตั้งแต่หลังบ้านไปจนถึงห้องทำดอกไม้ ทำให้หนูดีได้เห็นวิธีคิดของคนที่ต้องทำงานบริการให้ออกมาสม

บูรณ์แบบทุกวินาที พลาดไม่ได้เพราะแขกจ่ายแพงมากก็หวังมาก เห็นกับตาถึงความเหนื่อยยากของคนที่อยู่ฟากของการให้บริการ จนกลาย

เป็นนิสัยติดตัวมาทุกวันนี้ว่า หนูดีมักจะให้ทิปเยอะไว้เสมอ  หนแรกที่ได้ทิปมาหนึ่งร้อยบาทนั้นน้ำตาแทบร่วง เพราะการรับใช้มันช่างเหนื่อย

เหลือเกินค่ะ และพอมีคนเห็นค่าเราก็หวั่นไหวได้ง่ายๆ ตอนแรกที่แม่ขอให้ฝึกงานนี้หนูดีก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้ไปทำก็ซึ้งเลยว่า แม่อยากสอน

อะไร จากเด็กที่มีแม่บ้านมาทั้งชีวิต พอต้องกลายเป็น “แม่บ้าน” เองก็ได้เหนื่อยสมใจแม่

ที่ขำก็คือ วันหนึ่งหนูดีขัดห้องน้ำใกล้กับล็อบบี้ ก็มีแขกผู้หญิงเดินเข้ามาหน้าคุ้นๆ ที่แท้คือ เพื่อนของคุณแม่ คุณน้าดูท่าทางงงมากถามว่า

 “หนูดี หนูมาทำอะไรลูก” พอรู้หน้าที่ก็ขำใหญ่และยังเป็นเรื่องที่ขำกันได้จนทุกวันนี้ แม้เวลาผ่านมาประมาณสิบปีแล้ว  ชีวิตช่วงนั้นทำให้

หนูดีเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงหัวใจของคนที่ทำงานให้หนูดีทุกคน ส่งผลให้หนูดีไม่เคยขึ้นเสียงใส่พนักงานแม้แต่คนเดียว ไหว้แม่บ้านและคน

ขับรถทุกคนก่อน และคิดด้วยหัวใจถึงเขาและครอบครัวในทุกครั้งที่ถึงช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปี ไม่ได้ชั่งน้ำหนักแค่คำว่า “ธุรกิจ” เสมอไป

จริงๆ แล้ว เทรนด์ที่พูดถึงคุณธรรมในการทำธุรกิจไม่ได้ใหม่ในความรู้สึกหนูดีเลย เ พราะถ้าเจ้าของกิจการได้ลองพลิกบทบาทไปอยู่อีกฝั่ง

บ้าง คำว่า “ความยุติธรรม” จะผุดขึ้นมาในใจเองโดยไม่ต้องเข้าเรียนคลาส “Business Ethics” ที่ฮิตกันนักหนาตอนนี้เลย และถ้าไม่เคย

ต้องยืนอยู่ในจุดนั้นด้วยตัวเอง หนูดีคงเข้าใจชีวิตผิวเผินกว่านี้อีกมาก

หนึ่งปีตรงนั้น ไปกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ของหนูดีเข้าอย่างจังอีกด้วย เพราะจากที่มีคนบอกว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้

การบ้านต้องส่งเวลานี้ รายงานต้องทำหัวข้อนี้ กลายเป็นว่าโลกนี้เปิดกว้างและไม่มีใครกำหนดอะไรอีกแล้ว จริงๆ แล้ว เวลาไม่มีใครมา

บอกว่าเราควรทำอะไรเป็นเวลาที่น่ากลัวที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่ท้าทายที่สุดเช่นกันนะคะ  หนูดีเริ่มคิดโปรเจกต์ใหม่ๆ

เริ่มวางแผนชีวิต เริ่มนั่งลงดูชีวิตตัวเองอย่างจริงจังก็ปีนั้น และที่ดีที่สุดก็คือ หนูดีเปลี่ยนสาขาที่คิดจะเรียนปริญญาตรีจริงๆ เสียด้วย

ทั้งๆ ที่ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยน ดังนั้นแทนที่จะรีบๆ เรียนให้จบๆ ไปสี่ปีแล้วต้องเสียเวลาไปฟรีๆ สี่ปีในชีวิตเพราะไปเรียนด้านที่ไม่ชอบ

อย่างแท้จริง กลายเป็นว่าหนูดีได้รู้ใจตัวเองในนาทีที่เดินเข้ามหาวิทยาลัยเลย หนึ่งปีที่ใช้ไปจึงแสนคุ้มค่า เวลาผ่านไปรวดเร็วและของ

แถมที่ได้มาก็คือ “ความเป็นผู้ใหญ่” ที่ตัดสินใจเป็นตั้งแต่เป็นเด็กปีหนึ่ง เพราะหนึ่งปีนั้นคุณแม่ขอร้องให้ไปเรียนผสมเหล้าและชิมไวน์

วิชาที่ปกติลูกผู้หญิงคงไม่ได้เรียนกันเท่าไร แต่คำอธิบายของแม่ก็คือ ลูกสาวต้องรู้จักเหล้าจะได้ดูแลตัวเองเป็น เพราะบ้านเราไม่มีใคร

ดื่มเหล้ากันเลย จากเด็กที่ไม่หยิบเหล้ากลายเป็นรู้จักและผสมเป็นทุกอย่าง รู้อีกด้วยว่าดื่มอย่างไรถึงไม่เมา เหล้าอะไรมีไว้มอมผู้หญิง

(แน่นอนค่ะ ครูของหนูดีซึ่งเป็นผู้ชายใจดีวัยกลางคนรีบสอนเรื่องนี้กับนักเรียนสาวๆ เป็นอย่างแรกด้วยความเป็นห่วงพวกเรา) หนูดีรู้ราคา

ต้นทุนของเหล้าทุกแก้ว ทำให้ยิ่งไม่อยากดื่มเข้าไปใหญ่ และพอไปเรียนต่อต่างประเทศเลยได้วิชาที่แม่ให้ไปเรียนเล่นๆ เพื่อให้รู้มาหาราย

ได้พิเศษเสียเลยด้วยการเป็นบาร์เทนเดอร์และพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทย ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยต่างแดนกลายเป็นเรื่องแสนสนุก

ได้เพื่อนใหม่ๆ ในร้านอาหารไทยที่ยังคบกันจนทุกวันนี้ แถมได้เงินพิเศษขนาดบางเดือนจ่ายค่าเช่าบ้านได้เลยค่ะ
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #1746 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 10:16:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 07 พฤศจิกายน 2552, 12:10:18

สวัสดีค่ะ ดร.มนตรี ลูกชายหล่อเหลาเอาการเลยค่ะ อายุเท่าไรเรียนที่ไหนคะ



สวัสดีครับ พี่เอ๋  ลูกชาย อายุ 13 ปี อยู่ ม. 2  รร. เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการรัชดา ... ใกล้ บ้านและใกล้ที่ทำงานผม หน่ะครับ ^_^



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1747 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 10:23:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2552, 10:16:23
อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 07 พฤศจิกายน 2552, 12:10:18

สวัสดีค่ะ ดร.มนตรี ลูกชายหล่อเหลาเอาการเลยค่ะ อายุเท่าไรเรียนที่ไหนคะ



สวัสดีครับ พี่เอ๋  ลูกชาย อายุ 13 ปี อยู่ ม. 2  รร. เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการรัชดา ... ใกล้ บ้านและใกล้ที่ทำงานผม หน่ะครับ ^_^





สวัสดีค่ะ  ท่าทางจะเป็นเด็กอารมณ์ดีนะคะ
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #1748 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 10:28:17 »

อารมณ์ดี  เหมือนคุณพ่อ  ^_^


เทกแคร์ครับพี่ทำงานต่อหล่ะ  ครับ...


ปล.

นึกออกแล้ว ... เดี๋ยวว่างจะมาช่วยเขียนแชร์  การเตรียมลูกให้พร้อมทำงาน เป็นทีม ...


เด็กยุคใหม่ ต้องมี >>>  i-TEAM  (IQ, TQ, EQ, AQ และ MQ)

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1749 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2552, 10:34:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2552, 10:28:17
อารมณ์ดี  เหมือนคุณพ่อ  ^_

นึกออกแล้ว ... เดี๋ยวว่างจะมาช่วยเขียนแชร์  การเตรียมลูกให้พร้อมทำงาน เป็นทีม ...




ดร มนตรีหายไปเลย รอเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงอยู่นะคะ บ่ฮู้บ่หัน

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 68 69 [70] 71 72 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><