25 พฤศจิกายน 2567, 18:13:38
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 53 54 [55] 56 57 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2791974 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1350 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 12:54:17 »

หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ  ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย  เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า

มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพกำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา  จึงจับรถมากรุงเทพและเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)

สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น  ซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ  เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ  จึงมีเจ้า

หน้าที่มาเรียกให้นั่งและยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ  นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆ  ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า

“...ขอโทษครับพี่  ผม...คือว่า..  ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...”

เจ้าหน้าที่ที่นั่งรับสมัครอยู่นั้นชักสีหน้าทันที

“...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน  ถึงจะตำแหน่งแค่นักการภารโรง  ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา  แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียน

ได้ บ้างแหละ”

หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด  ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ

“...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ  แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่  ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ”

“งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..”  เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย

“...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ  อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ  ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ  กลับไปเถอะ”

หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียนที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย  และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ  ก็จึง

ต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย  จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก

แต่เมื่อกลับถึงบ้าน  จึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดก  เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแมวดิ้นตาย  มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว  ด้วยความ

เจ็บใจ  จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม  หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้นและค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย

อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .

…อาจเป็นบุญในปางบรรพ์ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้  ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมาสวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้นออกผลอย่างงดงาม และสร้างผลกำไร

มากทบทวีขึ้นทุกปี  กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง  ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .

หลายสิบปีต่อมา จากความขยันขันแข็ง มานะอดทนและประสบการณ์ที่เพิ่มพูน  บัดนี้หนุ่มบ้านนอกคนนั้นก็กลายเป็นชายชราที่คนทั้งเมือง

รู้จักในนามของพ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดและภูมิภาคนั้น

…อยู่มาปีหนึ่งเมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาลและชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อย  โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษาและแจกงาน

การให้ทำในสวนนั้นแล้ว  พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อนนั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ  เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก  เมื่อแจ้งนาม

และความจำนงกับธนาคารแล้ว  พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่  ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว  เมื่อพนมมือไหว้

ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว  ผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก  ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทองให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา

“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ  ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้  รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ”

พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ  ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ  พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ

“พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด  ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...”

ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีด  พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ

“... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ......เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ คือ...พวกเราในจังหวัดนี้

ก็ทราบกันดีอยู่ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยงในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้  แต่...” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความ

เกรงใจ  และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมาด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง

“...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...”

“...พ่อหนุ่ม” พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี

“...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ....”  แกถอนหายใจยาว  ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

“...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...”

============ ========= ========= ========= =

คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา  แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา  โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ

ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ  แล้วดอกผลจะตามมาเอง



ลูกศิษย์ส่งมาให้ค่ะ

      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1351 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 12:59:50 »










ผ่านมากี่ปีแล้วหนอ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1352 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 13:50:25 »

หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี  ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ  เพราะ....วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า

 ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง  มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ' ภรรยาผมพูด

'แต่ผมรักคุณนี่' ผมเถียง

'ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน'

ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ 'แม่' ของผมเอง   ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา 19 ปีแล้ว

เนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบ และยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแล  ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้ง

บางคราวเท่านั้น  ผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้น  วันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็น

และดูหนัง  แม่ถามผมว่า 'มีอะไรหรือ? ลูกสบายดีรึเปล่า?' แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหัน  หมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น

ผมตอบแม่ว่า 'ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ

ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง'  แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า 'ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ'  'แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ'

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน  ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย  เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่าแม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน

แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว  แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย  พลางยิ้มรับ

ผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์  แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า 'จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย'   แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ เพื่อน ๆ ของแม่ต่าง

พากันประทับใจยกใหญ่  เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านใน

สไตล์ที่แม่ต้องชอบ  แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง  หลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอา

หาร เพราะแม่บอกว่า 'ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น' เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงหยุดเว้น

จังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหาร ผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง  แม่พูดเปรยขึ้นด้วย

รอยยิ้มว่า   'ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ'

ผมบอกแม่ว่า 'งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว'   ในระหว่างมื้ออาหารนั้นเราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราว

พิเศษอะไร -เพียงแต่สลับกันถามถึงชีวิตของเรา  เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน  เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะออกไป

เที่ยวกับลูกอีกนะ'   'แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ'  'แน่นอนครับ' ผมตอบตกลง

'ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง?'  ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน  'วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย'  ผมตอบ

อีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน  มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย  หลายวันต่อมา

ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป  มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...

'แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ -  แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคง

เดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน,  รักลูกมากจ๊ะ'  ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ''รัก'

ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน  ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ  จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้อง

การคุณ  เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้ 

-มีบางคนบอกว่า หลังจากที่คลอดลูกแล้วต้องใช้เวลาพักฟื้นราว 6 สัปดาห์ แม่จึงจะคืนสภาพเดิม  คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่

คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป

-บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เอง  ตามสัญชาติญาณ  คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

-บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ  คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับ หลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาด ๆ

-บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง  คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน

-บาง คนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมา ทันได้เห็นลูกหวดลูกบอลเข้าใส่หน้าต่างครัวของ

เพื่อนบ้านพอดิบพอดี

-บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้  คนนั้นไม่เคยช่วยลูกที่กำลังเรียน ป.4 ทำการบ้านเลข

-บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก  คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน

-บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนคลอดและตอนเลี้ยง  คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก

ไม่เคยส่งลูกเข้าห้องหอในคืนแต่งงาน

-บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมู ๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไหว คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายขนมให้กับเหล่ายุว

นารีที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา

-บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป  คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่

เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

-บางคนบอกว่างานของแม่ สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป  คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า

-บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้  คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน




เรื่องราวดีๆที่สยุมพร สาวเศรษฐศาสตร์ส่งมาค่ะ
 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1353 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 13:56:24 »







จิ๋มคะ เพื่อนๆพยายามติดต่อหาอยู่นะคะ หวังจะเห็นจิ๋มในงานคืนสู่เหย้าค่ะ





ถ่ายกับเพื่อนๆคณะฯค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1354 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 14:35:21 »

จากชาติชาย รัฐศาสตร์ค่ะ 


ช่องว่างระหว่างวัยในการทำงาน

หนึ่งในสาเหตุของความเครียดในที่ทำงาน คือ การที่คนหลายรุ่น หลายวัย หลายความคิด ต้องมาทำงานร่วมกัน ความแตกต่างระหว่างเลข

วัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้งในที่สุด  บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจ

แห่งความสำเร็จ เพียงขอเปิดใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่น ให้ลึกซึ้งก็จะได้พบโลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้

อย่างถูกช่องถูกกลุ่มก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ชัด ๆ ก่อน โดยจำ

แนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น

กลุ่มลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498

ลายคราม...ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือเป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จะมีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย อัน

เนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ จึงเติบโตมาท่าม

กลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัด ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน มักมีคุณลักษณะที่มั่นคงเชื่อใจได้ สู้งานหนัก ใช้จ่ายอย่างรู้คิด

และภักดีต่อองค์กรสูง

กลุ่ม Baby Boom: คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507

หลังสงครามยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อย ๆ ขึ้นมากมาย Baby Boomเติบ

โตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็น

อุตสาหกรรม Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ ลูกจ้าง Baby Boom มักเคย

ชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ การจะก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่นั้นต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง

กลุ่ม Generation–X: คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523

Generation–X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกได้สำเร็จ ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก

หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และ Walkman พวกเขาเติบโตมาในยุครอยต่อของ Analog กับ Digital อยู่ท่ามกลางเทค

โนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ   ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้ กลับทำให้สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของ

คนรุ่นนี้จึงคลายลงมาก นำมาสู่การลาออก และเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น  ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่น

จะอึ้งที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา หรือลาออกไปหางานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อ

ว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต

กลุ่ม Millennium: คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา

Millennium คือ กลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียน

ต่อ ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ

ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium ได้เสริมทักษะด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบ

แสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และสนุกกับการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบเงื่อนไข ในขณะที่ ชาว Generation-X

เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อเป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง สลายช่อง

ว่างสร้างความเข้าใจ  เมื่อเข้าใจอย่างท่องแท้แล้วว่า ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆ ก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากัน

ได้

สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่าระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน

1. เข้าใจถึงความแตกต่าง ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อ หรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คน

ไม่ดีเสมอไป

2. ชื่นชมจุดดี แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ

3. บริหารความแตกต่าง เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย 

ทำงานกับกลุ่มลายคราม

จงให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่า

พวกเขา จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการเป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขาถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้

ความพากเพียรในการทำงานจน ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายคราม

คือ หมาล่าเนื้อไม่มีที่ไป  แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัยเกษียณนั้น เป็นเพราะพวกเขา เชื่อในคุณค่าของความมั่นคง และถือความซื่อ

สัตย์เป็นที่สุด

ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom 

จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของ Baby Boom แล้วพยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน

หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใด คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบเพราะ Baby Boom

ให้ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การ และเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท หากต้องทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ที่มี

ประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom ควรพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมา อย่างไร ก่อนที่จะ

เสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่ Baby Boom 

ทำงานกับกลุ่ม Generation–X 

ต้องพูดให้กระชับ ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม เพราะ Generation–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้ หากคุณ

สามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ควรพูดต่อหน้าเพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้

นโยบายกว้าง ๆ เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด

ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X ในการทำงานหนัก อย่างหนักโดยไม่มีวันหยุด หรือก้าวไปอย่างช้า ๆ อย่างรุ่นตน

เพราะ Generation–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่

ทำงานกับกลุ่ม Millennium

ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ ๆ Millennium จะชอบความเป็นคนสำคัญ การเพิ่มความรับผิดชอบ เสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้

Millennium ได้แสดงความคิดเห็นของเขา เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่น

กัน Millennium ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน มีผลต่อพวกเขามาก

แค่เข้าใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว
      บันทึกการเข้า
เก๊า(24)
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,069

« ตอบ #1355 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 14:36:15 »

สวัสดีครับ ดร.เอ๋.....วันนี้คิดถึงเพื่อนๆหรือครับ  ลงรูปเพื่อนๆเต็มเลย.....เพื่อนๆคนใดที่เกี่ยวข้องในภาพกรุณาเข้ามาคุยกันบ้างนะคร๊าบบบบบ....มีดอกไม้มาฝากเช่นเคยครับ

      บันทึกการเข้า
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #1356 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 14:52:40 »

แวะมาสวัสดี ดร.เอ๋
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1357 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 14:54:05 »










จำเพื่อนอารมณ์ดีอย่างใหญ่ได้ค่ะ







      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1358 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 14:57:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ Noom2524 เมื่อ 04 กันยายน 2552, 14:52:40
แวะมาสวัสดี ดร.เอ๋

สวัสดีค่ะหนุ่ม ดีใจที่แวะมานะคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1359 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 15:30:46 »

จากสยุมพรค่ะ


ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา...

จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว

ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร

แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ

     ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
     
     ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ

     ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ

     ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม

ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส

ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน

ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน

ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา

     ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
     
     ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
     
     ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา
     
     ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า

อย่ามองแต่ฟ้า . . . ที่สูงเกินตาประจักษ์

ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก

เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน

     ไม่จำเป็นต้องรวย

     มีความสุขแบบที่เรามีก็พอแล้ว
 


 



 

 

 

 

 

 

 

 






 
 
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1360 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 15:42:23 »










คิดถึงบรรยากาศหอนะคะ
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #1361 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 21:31:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 04 กันยายน 2552, 13:56:24






จิ๋มคะ เพื่อนๆพยายามติดต่อหาอยู่นะคะ หวังจะเห็นจิ๋มในงานคืนสู่เหย้าค่ะ




เอ๋คะเราก็คิดถึงจิ๋มเหมือนกัน แต้วด้วย บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #1362 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 21:37:26 »

  วันวานยังหวานอยู่จ่ะ ชมภาพแล้วคิดถึงวันวานจังค่ะอยากย้อนเวลาได้จังค่ะ
      บันทึกการเข้า
เก๊า(24)
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,069

« ตอบ #1363 เมื่อ: 05 กันยายน 2552, 16:13:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Lamai เมื่อ 04 กันยายน 2552, 21:31:44
อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 04 กันยายน 2552, 13:56:24






จิ๋มคะ เพื่อนๆพยายามติดต่อหาอยู่นะคะ หวังจะเห็นจิ๋มในงานคืนสู่เหย้าค่ะ




เอ๋คะเราก็คิดถึงจิ๋มเหมือนกัน แต้วด้วย บ่ฮู้บ่หัน
ส่วนผมคิดถึง ชีเว้ง แซ่ลิ่ม ครับ...เพราะแกชอบชวนจับหมูประจำ.....วันนี้ส่งดอกไม้ให้ไม่ได้ครับไม่รู้ Web หอ เป็นอะไรแปะรูปไม่ได้เลย...เพื่อนๆท่านอื่นเป็นไหมครับ...หรือเป็นที่ผมคนเดียว
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #1364 เมื่อ: 06 กันยายน 2552, 10:25:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 04 กันยายน 2552, 21:37:26
  วันวานยังหวานอยู่จ่ะ ชมภาพแล้วคิดถึงวันวานจังค่ะอยากย้อนเวลาได้จังค่ะ


เราก็คิดถึงวันวานเหมือนกัน







      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1365 เมื่อ: 06 กันยายน 2552, 10:49:20 »

สวัสดีค่ะไมโกะ อ้อย และเก๊า บ่ฮู้บ่หัน


ขอยกตัวอย่างของวันนี้และวันวานที่ไม่เปลี่ยนไปเท่าไรเลยค่ะ









      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1366 เมื่อ: 06 กันยายน 2552, 13:12:17 »

สยุมพรส่งมาให้ค่ะ


1. ความเพียร

การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ

แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมัน

ควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่27 ตุลาคม 2516

2. ความพอดี

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและ

กำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อ

กันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540

3. ความรู้ตน

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ

ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน

พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ใน

การให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกัน

และกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521

5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ

พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

6. พูดจริง ทำจริง

ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย

พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุค

คลและส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

7. หนังสือเป็นออมสิน

หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็น

คล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

8. ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประ

โยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

9. การเอาชนะใจตน

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประ

พฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเรา

ร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1367 เมื่อ: 06 กันยายน 2552, 13:26:55 »










ถ่ายกับพี่ๆเพื่อนๆที่หอค่ะ


      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1368 เมื่อ: 06 กันยายน 2552, 14:17:23 »

สยุมพรส่งมาให้ค่ะ

เก็บ "ไข่ไก่ หรือ "ขี้ไก่" Huh?
 
 มีคนเลี้ยงไก่ 2คน  คนที่1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่แล้วก็ เก็บ”ขี้ไก่”ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!   แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้

ในโรงเรือน  เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน  ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!!  คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!

คนเลี้ยงไก่คนที่2  เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่เก็บไข่ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน  เขาเอาไข่ไก่ลงเจียวกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน

คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขาก็เอาไปขาย  แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน  ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....

ในชีวิตของเรา พวกเราจะเป็นคนเก็บ”ไข่ไก่ “หรือ เก็บ”ขี้ไก่ ”???   เราเป็นคนเก็บ“ขี้ไก่โดยเฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆแย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา

ไว้ในหัวของเรา  และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน!  หรือเราเป็นคนที่เก็บ”ไข่ไก่”  เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา  และมีความ

สุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!???  คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ”ขี้ไก่”  เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ  ความผิดพลาด

 ความเจ็บใจฯลฯ  มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน  ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ”ไข่ไก่” กับชีวิต ทิ้ง “ขี้ไก่” ไปเถอะ

ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที...



เรื่องดีๆจาก http://www.bswa.org   

เรื่องคนเลี้ยงไก่ จาก หลวงพ่อชา
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1369 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 14:13:38 »

(ต่อ)

วันที่ ๒๘  มกราคม  พ.ศ. ๒๔๙๕ 

ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๙๔  รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของเด็กและเยาวชนที่กระ

ทำผิดกฎหมาย  จึงได้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.

๒๔๙๔  และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔  และ

กระทรวงยุติธรรมได้จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง  กับสถานพินิจและคุ้ม

ครองเด็กและเยาวชนกลางขึ้นเป็นครั้งแรก  เมื่อวันที่ ๒๘  มกราคม  พ.ศ.

๒๔๙๕  โดยมีที่ทำการชั่วคราวอยู่ที่อาคารศาลแขวงพระนครใต้ (เดิม)  ตำบล

ตลาดน้อย  อำเภอสัมพันธ์วงศ์  จังหวัดพระนคร  ส่วนอาคารที่ทำการถาวรได้

ก่อสร้างขึ้นในที่ดินราชพัสดุ  ใกล้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้านถนนราชินี  จัดทำ

สัญญาจ้างก่อสร้าง  ๓๐๐  วัน




จาก  ประมวลแนวทางการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตนของผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัว

ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๔๗
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1370 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 15:21:25 »

(ต่อ)

การเปิดทำการศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง  เมื่อวันที่  ๒๘  มกราคม  พ.ศ.

๒๔๙๕  นับเป็นการเริ่มต้นแห่งระบบการแก้ไขเยียวยาเด็กและเยาวชนที่ถูกต้อง

เหมาะสม  โดยแยกการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด  ออกจากการปฏิ

บัติสำหรับผู้ใหญ่ซึ่งกระทำผิด  เพราะถือว่าเด็กและเยาวชนที่กระทำการอันกฎ

หมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ใช่อาชญากร  เป็นแต่เพียงผู้กระทำผิดกฏเกณฑ์

ของสังคมและเป็นผู้ที่ยังอ่อนต่อโลก  ไม่สมควรจะได้รับการลงโทษทัณฑ์ 

หากแต่ควรได้รับการช่วยเหลือเพื่อปรับปรุงตนเสียใหม่  ทั้งในด้านร่างกายและ

จิตใจ  ฉะนั้นกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติให้มีการสืบเสาะและพินิจข้อเท็จจริง

เกี่ยวกับบุคลิกภาพ  ภาวะแห่งจิต  และสิ่งแวดล้อมทั้งปวงของเด็กและเยาวชน

โดยแพทย์และพนักงานคุมประพฤติไปพร้อมกับการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยว

กับการกระทำความผิดซึ่งจะทำให้ศาลได้ทราบถึงสาเหตุแห่งการกระทำผิด

ก่อน  แล้วจึงใช้มาตรการแก้ไขเยียวยาเด็กหรือเยาวชนด้วยวิธีการสำหรับเด็ก

และเยาวชนให้เหมาะสมเป็นรายๆไป  รวมทั้งให้การศึกษาสามัญการฝึกวิชาชีพ

และการอบรมทางด้านจิตใจ  อันได้แก่  ศีลธรรมจรรยา  เพื่อให้มีโอกาสที่ดีใน

การกลับตนเป็นพลเมืองดี  มีอาชีพสุจริตต่อไปในภายภาคหน้า  และสามารถดำ

รงชีวิตอยู่ในสังคมโดยปกติสุขได้
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1371 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 15:25:03 »

ภาพน่ารักๆจากสยุมพรค่ะ
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #1372 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 20:16:04 »

สวัสดีค่ะเอ๋ เรารอให้สยุมพรย้ายกลับเพชรบุรี จะได้มีเวลาเข้า web บ้าง บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #1373 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 20:23:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 06 กันยายน 2552, 10:49:20
สวัสดีค่ะไมโกะ อ้อย และเก๊า บ่ฮู้บ่หัน


ขอยกตัวอย่างของวันนี้และวันวานที่ไม่เปลี่ยนไปเท่าไรเลยค่ะ











ขอบคุณเอ๋มากค่ะที่ให้กำลังใจเพื่อนๆ
 เหอๆๆ หึหึ
      บันทึกการเข้า
jum2524
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,077

« ตอบ #1374 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 21:14:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ Lamai เมื่อ 07 กันยายน 2552, 20:16:04
สวัสดีค่ะเอ๋ เรารอให้สยุมพรย้ายกลับเพชรบุรี จะได้มีเวลาเข้า web บ้าง บ่ฮู้บ่หัน

เอ!!..หยุมอยู่ "แจ้งวัฒนะ" แล้วถ้าจะย้ายไป "เพชรบุรี(ตัดใหม่)" จึงจะมีเวลาเข้า web ยังงั้นเหรอจ๊ะ???...อิอิ...ล้อเล่นจ้ะ...
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 53 54 [55] 56 57 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><