26 พฤศจิกายน 2567, 07:35:59
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 66 67 [68] 69 70 ... 979   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ☼☼☼ ร่วมคุยกันในมุมมองของคุณแม่~แวะพักทักทายเอ๋ 24 ☼☼☼  (อ่าน 2793932 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1675 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 10:29:43 »

ท่านจะยุติข้อพิพาทได้อย่างไร

เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น  คู่พิพาทอาจเลือกวิธีการในการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ได้

หลายวิธีการ  กล่าวคือ  คู่พิพาทอาจเลือกที่จะเจรจาทำความเข้าใจและหาทางยุติ

ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างกันเอง  วิธีการนี้เรียกว่า  “ การเจรจาต่อรอง”  แต่ใน

หลายๆกรณี  การเจรจาต่อรองมักมีอุปสรรคและมีโอกาสน้อยมากที่คู่พิพาทซึ่ง

กำลังขัดแย้งกัน  ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองมิใช่ฝ่ายผิด  ย่อมเป็นการยากที่จะเจร

จาตกลงกันได้  วิธีการอีกวิธีการหนึ่งที่มีการนำมาใช้คือ  “การไกล่เกลี่ยข้อพิ

พาท”  วิธีการนี้จะใช้บุคคลที่สามซึ่งเป็นกลาง  คอยประสานความเข้าใจรวมทั้ง

จะต้องพยายามค้นหาหนทางแก้ปัญหาที่คู่พิพาททั้งสองฝ่ายน่าจะยอมรับ  มา

เสนอแก่คู่พิพาท  หากคู่พิพาทตกลงเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของผู้ไกล่เกลี่ย  ก็

จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีผลผูกพันให้คู่พิพาทต้องปฏิบัติ

ตาม  นอกจากนี้ในหลายๆกรณีดังเช่น  ข้อพิพาททางการค้า  ข้อพิพาทที่ต้องอา

ศัยความรู้ความชำนาญเฉพาะทางในการวินิจฉัย  เป็นต้น  คู่พิพาทอาจที่จะเลือก

ใช้ “การอนุญาโตตุลาการ”  เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกัน  ซึ่งคู่พิพาทจะแต่ง

ตั้งบุคคลคนเดียวหรือหลายคนขึ้นทำหน้าที่เป็น “อนุญาโตตุลาการ”เพื่อทำหน้า

ที่ตัดสินข้อพิพาทที่เกิดขึ้น  โดยคู่พิพาททั้งสองฝ่ายก็จะต้องมีการนำพยานหลัก

ฐานต่างๆที่เกี่ยวข้อง  มาเสนอต่อผู้เป็นอนุญาโตตุลาการ  (คล้ายๆกับการสืบ

พยานในศาล )  เพื่อให้อนุญาโตตุลาการมีคำตัดสินที่เรียกว่า  “คำชี้ขาด”  หากคู่

พิพาทไม่ปฏิบัติตาม  ก็จะต้องมีการอาศัยอำนาจของศาลในการที่จะบังคับให้คู่

พิพาทปฏิบัติตามคำชี้ขาด  และวิธีการสุดท้ายเป็นวิธีการที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่ว

ไป  โดยเป็นวิธีการที่คู่พิพาทจะใช้สิทธิตามกฎหมายนั่นคือ  “การฟ้องร้องคดี

ต่อศาล”  เป็นกรณีที่คู่พิพาทนำเอาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นมาฟ้องร้องต่อศาล  เพื่อให้

ศาลพิจารณาพิพากษาว่าข้อพิพาทนั้นใครเป็นฝ่ายถูก  ใครเป็นฝ่ายผิด  เมื่อมีคำพิ

พากษาของศาลอันถึงที่สุดออกมาแล้ว  ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจะถูกระงับไปอย่าง

แน่นอน  ซึ่งหากมองโดยผิวเผินดูจะมีประโยชน์แก่ผู้พิพาทมากกว่าวิธีการระ

งับข้อพิพาทแบบต่างๆที่กล่าวมาก่อนหน้านี้  แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว

การฟ้องคดีต่อศาลนี้ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคที่เห็นได้ชัดอยู่หลายประการ เช่น

การพิจารณาของศาลใช้เวลา  ก่อให้เกิดความล่าช้า  เนื่องจากก่อนที่ศาลจะสา

มารถวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทได้  ต้องมีการนำสืบพยานหลักฐานต่างๆกว่าจะสืบ

พยานเสร็จต้องใช้เวลานาน  นอกจากนี้กว่าข้อพิพาทจะเป็นที่ยุติโดยคำพิพากษา

อาจต้องใช้เวลานาน  เนื่องจากคู่ความอาจอุทธรณ์หรือฏีกาคำพิพากษาของศาล

ปัญหาต่อมาคือ  ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาล  มีการเสียค่าฤชาธรรมเนียม

ศาล  มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก  จำเป็นต้องจ้างทนาย  ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดี

ต่อศาลค่อนข้างสูง  และที่สำคัญคือ  การดำเนินคดีในศาลโดยทั่วไปเป็นแบบ

เปิดเผยต่อสาธารณชน  ทำให้ไม่อาจรักษาความลับของคู่พิพาทเอาไว้ได้  เนื่อง

จากข้อเท็จจริงแห่งคดีในบางเรื่อง  คู่พิพาทก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยให้ผู้อื่นได้

รับรู้  เช่น  ความลับทางธุรกิจ  ความลับส่วนตัว  เป็นต้น  ปัญหาสุดท้ายคือ  การ

รักษาสัมพันธภาพระหว่างคู่พิพาท  กระบวนการพิจารณาของศาลมีลักษณะ

ของการเผชิญหน้า  เป็นการปรปักษ์ซึ่งกันและกัน  และเมื่อคดีสิ้นสุดลง  คู่พิ

พาทก็ยังคงรู้สึกถึงการเป็นปรปักษ์กันอยู่



จาก  คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน

โดย  สำนักระงับข้อพิพาท  สำนักงานศาลยุติธรรม
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1676 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 12:44:33 »










ตอนโบว์และบุ๊คยังเล็ก และแม่ก็ยังผอมๆค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1677 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 13:34:04 »

เส้นทางครอบครัวไทยในยุคโลกาภิวัตน์

"ครอบครัว" เป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุดแต่มีความสำคัญที่สุด  สังคมจะเข้มแข็งได้ก็ต้องมีครอบครัวที่เข้มแข็ง

"ผมรักคุณนะ แต่งงานกับผมนะ"มักเป็นประโยคคุ้นหูที่ทุกคนคาดเดาได้เมื่อละครหลังข่าวใกล้อวสานพระเอกก็จะพูดกับนางเอกแบบนี้

เสมอแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าชีวิตจริงนอกนวนิยายของผู้คนทั่วไปนั้นจบลงเช่นใด

**ปรากฏการณ์ความรุนแรงในครอบครัว**

"พ่อจ๋า อย่าทำแม่เลยนะ" ... "พ่อจ๋า-แม่จ๋า อย่าทำหนูเลย หนูกลัวแล้ว โอย โอย"

รายงานสถิติจากโรงพยาบาล 70 แห่งของสาธารณสุข ในปี 2547 มีผู้กระทำรุนแรงถึง 6,596 ราย มีสตรีที่ถูกทำร้ายถึง 3,335 ราย

เด็กถูกทำร้ายถึง 2,626 ราย เฉลี่ยทุก 2 ชั่วโมงจะถูกทำร้าย 1 คน ส่วนใหญ่ด้วยฝีมือของคนใกล้ชิด เช่น สามี และบุคคลในครอบครัว

และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นความรุนแรงทางเพศ..ซึ่งในทุกๆ เด็ก 10 คนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จะมีอย่างน้อย 1 รายที่ถูกกระทำโดยพ่อของ

ตนเอง  นอกนั้นเป็นปู่ ตา น้า อา ลุง พ่อเลี้ยง ฯลฯ...ใครบ้างจะรู้ว่า เด็กๆที่ถูกกระทำเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้นในวันหน้า เขาจะกลายเป็นคน

เก็บกด ก้าวร้าวและกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นด้วยเช่นกันในเวลาต่อมา

**ครอบครัวสมรสน้อยลง หย่าร้างเพิ่มขึ้น**

ความไม่ลงรอยกันของสามีภรรยา การใช้อารมณ์ต่อกันในครอบครัวมีให้เห็นจนชินตา"เมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิกกันไปเลย"..."แน่จริงก็ไป

หย่ากันเดี๋ยวนี้เลย" ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีการสมรสน้อยลงและหย่าร้างเพิ่มขึ้นโดยภาคกลางมีอัตราหย่าร้างสูงสุด ส่วนภาคอีสาน

มีคนแต่งงานน้อยที่สุด

ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองระบุว่า... จากการสำรวจ 17,309,344 บ้าน เมื่อปี 2545 พบว่า การจดทะเบียนลดลง

เหลือ 291,734 คู่ จากช่วง 1 ปีที่มี 324,661 คู่..และจดทะเบียนหย่า 77,735 คู่ เพิ่มขึ้น 1 ปีที่มี 76,037 คู่

**เด็กและผู้สูงอายุยังคงถูกทอดทิ้ง**

ขณะเดียวกันก็พบว่า ปัจจุบันมีครอบครัวเดี่ยวถึง 55% และครอบครัวขยายลดลงเหลือ 32.1% คิดเป็นจำนวนครอบครัวเดี่ยวประมาณ 16

ล้านครอบครัว และมีพ่อหรือแม่ที่เลี้ยงลูกตามลำพังถึง 1.3 ล้านครอบครัว  (กระทรวงวัฒนธรรมและสถาบันรามจิตติ ,2548) รวมทั้งมีผู้สูง

อายุถูกทอดทิ้งปีละ 2,804 คน และเด็กถูกทอดทิ้ง 8,013 คน (สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ,2548)

**สัมพันธภาพในครอบครัวไม่อบอุ่น ขาดการให้เวลาแก่กันอย่างมีคุณภาพ**

ผลการสำรวจผู้ปกครอง 1,066 ครอบครัว ในเขตกรุงเทพมหานคร(มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวร่วมกับศูนย์ประชามติสถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยรามคำแหง ,2546) พบว่า...พ่อแม่ส่วนใหญ่ทำงานวันละ 7 - 9 ชั่วโมง โดยพ่อแม่ร้อยละ 43 รู้สึกห่างเหินกับลูก เนื่องจากใน

แต่ละวันมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกเพียง 1 - 3  ชั่วโมง ในแง่ของเด็กเองก็รู้สึกห่างเหินกับพ่อแม่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

**วัตถุนิยมและบริโภคนิยมเป็นใหญ่**

"ถ้าเลือกได้จะไม่มีผัวไทย เพราะจนแล้วยังงี่เง่าอีก"  ประโยคนี้เป็นคำพูดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในภาคอีสานที่ต้องการทำงานหาเงินให้

พ่อแม่โดยไม่เลือกว่าจะเป็นวิธีไหนเธอตั้งใจมีสามีต่างชาติและเห็นว่าการมีเงินเพื่อมีหน้ามีตานั้นสำคัญมากเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้อง

กลายเป็นเครื่องมือทำเงินเพื่อหน้าตาของครอบครัว(งานวิจัยของพญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม

สุขภาพ ,2547)

"หนูภูมิใจมากที่ได้ผัวฝรั่งจนได้มาอยู่ด้วยกันที่เยอรมนี..หนูมีวันนี้ได้ก็เพราะหนูเคยทำงานที่พัฒน์พงษ์...เจอกันครั้งแรกเขาก็ชอบหนูเลย

เดินตามก้นหนูไม่ห่างเลย.. หนูไม่อายที่จะบอกใครๆว่าการเป็นผู้หญิงขายตัวที่พัฒน์พงษ์ ทำให้หนูพบความสุขในวันนี้" (ศุภลักษณ์ เก่งบัญชา ,

สัมภาษณ์หญิงไทยในเยอรมนี ,2545)

ทั้ง 2 เหตุการณ์ข้างต้น ยากที่จะตัดสินว่าเธอผิดหรือไม่ดี...เพราะเธอเลือกแล้วที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งอาชีพอิสระที่เธอเห็นว่ามีศักดิ์ศรี

เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้..และเป็นหนทางที่ไม่ลำบากเกินความรู้ความสามารถของเธอ...แน่นอนว่ามีผู้หญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่แต่งงาน

กับสามีต่างชาติเพราะเชื่อว่าเขาจะรักและดูแลเธอไปตลอดชีวิต แต่ทว่าความจริงที่ผู้เขียนพบนั้น กว่า 50% ของหญิงไทยในต่างแดนก็คือ

การตกอยู่ในสภาพเมียทาส...ต้องทำงานมืด(ผิดกฎหมาย)  ที่มีรายได้น้อยเพื่อหาเลี้ยงสามีกรรมกรที่ตกงาน...ยิ่งกว่านั้นหญิงไทยบางคนต้อง

ทนทุกข์ทรมานกับสามีเจ้าชู้โดยถูกทอดทิ้งให้อยู่กับลูกเล็กๆ เชื้อสายไทย - เยอรมัน อีก 2 คน ตามลำพังเธอไม่เคยได้รับเงินค่าเลี้ยงดูลูก

เพราะสามีต่างชาติแกล้งเธอโดยการขอหย่าและทำตัวล้มละลายเพื่อมิให้ภรรยาคนไทยได้ทรัพย์สินส่วนแบ่งจากตนเองแม้แต่น้อย

สิ่งที่ผู้เขียนห่วงใยหญิงไทยและอยากฝากพ่อแม่ที่คิดจะขายลูกเพื่อหวังร่ำรวยมีหน้ามีตานั้นก็คือ ขอให้ตระหนักว่าไม่มีแผ่นดินไหนจะอบอุ่น

และน่าอยู่เท่ากับแผ่นดินไทย-แผ่นดินแม่ของเราอีกแล้ว  หญิงไทยในต่างแดนหลายคนปรารภกับผู้เขียนว่า...ทุกข์ทรมานและลำบากมาก

ในต่างแดนแต่กลับบ้านที่เมืองไทยไม่ได้ แม้จะคิดถึงพ่อแม่พี่น้องเพียงใดก็ต้องทนเพราะหากกลับไปแบบไม่มีอะไรก็อายชาวบ้านเขา..ชีวิต

เธอเหล่านั้นช่างรันทดเพียงใดอยู่ก็ไม่ได้ - กลับก็ไม่ได้

จึงอยากฝากคำถามท่านผู้อ่านว่า..

การบูชาเงินและวัตถุเป็นที่ตั้งนั้น..แท้ที่จริงแล้วให้ความสุขในชีวิตได้จริงหรือ?

ปรากฏการณ์ข้างต้น สะท้อนความไม่เท่ากันสื่อของเด็ก เยาวชน และครอบครัวควบคู่ไปกับความหลงใหลไปกับสิ่งเร้ารอบตัวทั้งทางวัตถุ

จิตใจและทางเพศอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สะท้อนให้เห็นภูมิต้านทานที่อ่อนแอของเด็ก เยาวชนและครอบครัวไทยอย่างน่าวิตกยิ่ง...

พ่อแม่ผู้ปกครองน้อยคนที่จะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับลูกของตนในขณะนี้...หรือเมื่อรู้ก็มักสายเกินแก้

**ครอบครัวไทยจะไปทางไหนดี**

ปรากฏการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ครอบครัวสมรสน้อยลง หย่าร้างเพิ่มขึ้น เด็กและผู้สูงอายุยังคงถูกทอดทิ้ง สัมพันธภาพในครอบครัว

ไม่อบอุ่น ขาดการให้เวลาแก่กันอย่างมีคุณภาพ วัตถุนิยมและบริโภคนิยมเป็นใหญ่....

ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า..เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้แล้ว "ครอบครัวไทยจะไปทางไหนดี"

ประการที่ 1 ภาคีด้านครอบครัว ที่ประกอบด้วยองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการและประชาชน(โดยการประสานงานของโครงการครอบ

ครัวเข้มแข็ง สถาบันครอบครัวรักลูก)  มีมติเห็นพ้องร่วมกันว่า...

1.1 ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรประกาศให้ "ครอบครัวเป็นวาระแห่งชาติ"โดยระดมทุกองค์กรและทุกระดับของสังคม ตั้งแต่ระดับระดับชาติไป

จนถึงรากหญ้าในชุมชนร่วมกันสำรวจทบทวนกลไกของรัฐและสังคม รวมทั้งร่วมกันปกป้องคุ้มครองครอบครัวอย่างจริงจัง เพื่อให้ครอบครัว

สามารถทำหน้าที่ของตนได้เต็มศักยภาพ

1.2 สร้างพื้นที่จัดการเรียนรู้ด้านครอบครัวทั่วประเทศ...ในทุกรูปแบบ ทุกกลไกทุกภาคส่วน และทุกระดับ...เพื่อให้เกิดเวทีครอบครัวเรียนรู้

 - ครอบครัวศึกษาแก่บุคคลทุกเพศทุกวัยในทุกระบบและทุกชุมชน

1.3 ขยายพื้นที่สร้างสรรค์ และจำกัดพื้นที่ไม่สร้างสรรค์(จัดระบบโซนนิ่ง)โดยให้มีพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย - มีคุณภาพเป็นแหล่งเรียนรู้

และทำกิจกรรมร่วมกันสำหรับครอบครัวและชุมชน

1.4 พัฒนาสื่อสร้างสรรค์ต่อครอบครัว..โดยจำกัดควบคุมสื่อที่ทำร้ายเด็กและครอบครัวอย่างจริงจัง รวมทั้งผลิตและเผยแพร่สื่อที่มีคุณภาพ

..กำจัดสื่อลามก..สื่อรุนแรง..หนุนกลไกภาคประชาคมเพื่อเฝ้าระวังสื่อ

1.5ปรับปรุงกฎหมายและระบบสวัสดิการเพื่อการปกป้องและช่วยเหลือครอบครัวทุกกลุ่ม..ให้เกิดผลบังคับใช้กฎหมายลาคลอดอย่างจริงจัง

..มีศูนย์รับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน..เพิ่มความช่วยเหลือพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยากลำบาก  รวมทั้งพ่อแม่ที่มีลูกพิการ พ่อแม่ที่ยากจน อย่างเหมาะสม

ประการที่ 2 ถึงเวลาแล้วที่ทุกครอบครัวต้องหันกลับมาให้เวลากับตนเองและสมาชิกในครอบครัวให้มากขึ้น..ให้เวลาพูดคุยรับฟังปัญหา -

ความรู้สึกสุขทุกข์ของครอบครัว..มอบสัมผัสรักที่อบอุ่นใกล้ชิดแก่กันอันนำมาซึ่งความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อกันในครอบครัว

ประการที่ 3 กลไกของรัฐต้องเร่งรณรงค์ส่งเสริมให้ "วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว"เพื่อให้ทุกครอบครัวมีโอกาสใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสร้าง

สรรค์ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ..เป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้มี อบจ.หลายแห่งให้ความสนใจวางแผนจัดกิจกรรม Beautiful Sundayและค่ายสายสัม

พันธ์พ่อ-แม่-ลูกขึ้นในท้องถิ่นแล้ว

ประการที่ 4 ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวัง ป้องกัน ช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวเพื่อนบ้านที่ประสบปัญหาเพื่อมิให้เกิดปัญ

หาความรุนแรงในเด็ก สตรี และครอบครัว โดยต้องถือว่า "ความรุนแรงในครอบครัวมิใช่เรื่องส่วนตัว..แต่เป็นเรื่องของทุกคน" อย่างไรก็ตาม

ขณะนี้ได้มีกลไกโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ จัดตั้ง "ศูนย์พึ่งได้"ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรงในภาวะวิกฤต

(One Stop Crisis Center) ในระบบสหวิชาชีพแล้วโดยผู้ประสบปัญหาและผู้พบเห็นเหตุการณ์สามารถแจ้ง Hotline สายด่วนของศูนย์พึ่งได้

ตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับ Happy Line 1507 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาเร่ง

ด่วน 24 ชั่วโมง

ประการที่ 5 สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายครู - พ่อแม่ ในแต่ละโรงเรียนให้มากที่สุดเพื่อเป็นกลไกในการดูแล เฝ้าระวัง สำรวจ ป้องกัน และแก้

ไขปัญหาเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้อย่างเข้าถึงและทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น

ประการที่ 6 สนับสนุนให้ทุกชุมชน ตำบล และจังหวัดทั่วประเทศ เกิด"ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน" ที่ริเริ่มโดยชุมชน บริหารจัดการโดย

ชุมชนเพื่อชุมชนให้มากที่สุด โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นกลไกในการเฝ้าระวัง ดูแลป้องกัน ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาครอบครัวและชุม

ชนได้อย่างทันท่วงทีและประสิทธิภาพ..ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ อบจ./ อบต./ เทศบาล จัดกิจกรรมสนับสนุนครอบครัวผาสุกเพื่อ

เตรียมความพร้อมคู่สมรสหรือครอบครัวใหม่..ให้มีความรู้ ทักษะ และทัศนคติในการใช้ชีวิตคู่ และการเลี้ยงดูลูกอย่างเหมาะสมต่อไปด้วย

ประการที่ 7 สนับสนุนให้เกิด "สมัชชาครอบครัวจังหวัด" และ "สมัชชาครอบครัวแห่งชาติ"เพื่อเป็นกลไกในการสำรวจ - ทำความเข้าใจ

สถานการณ์ครอบครัวของแต่ละจังหวัดและทำความเข้าใจภาพรวมระดับประเทศ..โดยสมัชชาครอบครัวแห่งชาติจะมีภารกิจรายงานสถาน

การณ์ครอบครัวไทยเป็นประจำทุกปีเพื่อเสนอให้รัฐสภาและรัฐบาลรับทราบและนำไปปรับปรุงแก้ไขนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อป้อง

กันและแก้ไขปัญหาครอบครัวและสังคมไทยในระยะยาว

ถึงเวลาแล้ว..ที่ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ทุกระดับของสังคม ต้องหันหน้าเข้าหากันโดยตระหนักร่วมกันถึงภารกิจการพัฒนาครอบครัวไทยให้

เข้มแข็ง มั่นคง มีคุณภาพร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาครอบครัวแบบองค์รวม บูรณาการ และยั่งยืน

ถึงเวลาแล้ว..ที่รัฐบาลจะต้องตระหนักและใส่ใจต่อประเด็นปัญหาครอบครัวไทยและผลักดันเรื่อง “ครอบครัว” ให้เป็น “วาระแห่งชาติ”

โดยเร็วก่อนที่”สุขภาวะ-วุฒิภาวะ” ของเด็ก เยาวชน และครอบครัวไทย จะสูญสิ้นพังทลายไปด้วยอำนาจของทุนนิยม สุขนิยม วัตถุนิยม

บริโภคนิยมสุดขั้ว – ไร้ขีดจำกัด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป..จนมิอาจเรียกกลับคืนได้

“หากครอบครัวไทยไม่แข็งแรง..ก็ไม่มีวันที่ประเทศไทยจะแข็งแรงได้เช่นกัน”



จาก www.Iove4home.com

โดย: ศุภลักษณ์ เก่งบัญชา

สำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว  สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์



      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1678 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 14:14:36 »











โบว์  บุ๊ค  บีม  ลูกแม่.....





      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1679 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 15:01:47 »

เมื่อครู่

ทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคีและผ้าป่าข้าวเปลือกเพื่อสนับสนุนการศึกษาและปรับปรุงภูมิทัศน์

ณ โรงเรียนมัธยมโพนค้อ ต.โพนค้อ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

ในนามจุไรภัทร์และเพื่อน24เรียบร้อยแล้วนะคะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #1680 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 15:16:38 »

ขอสวัสดีพี่เอ๋คะ
หนิงกลับถึงบ้านแล้วคะ
หลังมาผจญภัยที่เมืองไทยซะ 10วัน
      บันทึกการเข้า


churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1681 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 15:18:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 02 พฤศจิกายน 2552, 15:16:38
ขอสวัสดีพี่เอ๋คะ
หนิงกลับถึงบ้านแล้วคะ
หลังมาผจญภัยที่เมืองไทยซะ 10วัน


สวัสดีค่ะน้อง ชมภาพเรียบร้อยแล้วน้องเราสดใสมากค่ะ

น้องกลับแล้วและ21พย นี้จะได้เจอกันอีกรึเปล่าคะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1682 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 15:23:25 »










ความสดใสของเด็กๆค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #1683 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 15:32:08 »

รูปที่ญวนญีเหรอคะพี่?
ความจริงหนิงไปทั่วเลยคะพี่มาคราวนี้
เหนื่อยมาก
      บันทึกการเข้า


หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #1684 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 20:17:08 »

สวัสดีครับ ดร.เอ๋ น้องหนิง
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #1685 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 22:11:09 »

สวัสดียามดึกค่ะดร.เอ๋
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1686 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 08:21:10 »

สวัสดีค่ะน้องหนิง หนุ่ม และอ้อย   ดีใจที่แวะมาบ้านนี้ค่ะ

      บันทึกการเข้า
dtoy
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,076

« ตอบ #1687 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 08:30:48 »

สวัสดีค่ะเอ๋  ดีจังป๊ะกะเอ๋พอดีเลย
เอ๋ตอนลูกยังเล็กหุ่นดีผอมจังเลย
น่ารักค่ะทั้งคุณลูกและคุณแม่
ส่วนต๋อยเหมือนตุ่มสามโคกเลยค่ะ
ด้วยความเป็นคนขี้เกียจออกกำลังกาย
เดี๋ยวนี้ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนนิสัยนะคะ
      บันทึกการเข้า

Live Your Dream   
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1688 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 08:37:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ dtoy เมื่อ 03 พฤศจิกายน 2552, 08:30:48
สวัสดีค่ะเอ๋  ดีจังป๊ะกะเอ๋พอดีเลย
เอ๋ตอนลูกยังเล็กหุ่นดีผอมจังเลย
น่ารักค่ะทั้งคุณลูกและคุณแม่
ส่วนต๋อยเหมือนตุ่มสามโคกเลยค่ะ
ด้วยความเป็นคนขี้เกียจออกกำลังกาย
เดี๋ยวนี้ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนนิสัยนะคะ


สวัสดีค่ะต๋อย  สาวๆก็ผอมกันทั้งนั้นมังคะ

ตอนนี้ต้องภูมิใจในวัยทองกันแล้วล่ะค่ะ
      บันทึกการเข้า
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #1689 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 09:34:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ churaipatara เมื่อ 03 พฤศจิกายน 2552, 08:37:15
อ้างถึง
ข้อความของ dtoy เมื่อ 03 พฤศจิกายน 2552, 08:30:48
สวัสดีค่ะเอ๋  ดีจังป๊ะกะเอ๋พอดีเลย
เอ๋ตอนลูกยังเล็กหุ่นดีผอมจังเลย
น่ารักค่ะทั้งคุณลูกและคุณแม่
ส่วนต๋อยเหมือนตุ่มสามโคกเลยค่ะ
ด้วยความเป็นคนขี้เกียจออกกำลังกาย
เดี๋ยวนี้ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนนิสัยนะคะ


สวัสดีค่ะต๋อย  สาวๆก็ผอมกันทั้งนั้นมังคะ

ตอนนี้ต้องภูมิใจในวัยทองกันแล้วล่ะค่ะ

- สวัสดี ดร.เอ๋และมาดามมิลส์ ตุ่มสามโคกเป็นไง ที่บ้าน ตจว.มีตุ่มใบใหญ่มาก สามารถรองน้ำฝนได้เพื่อใช้ทั้งปี เป็นอย่างเดียวกันกะที่สาวๆ ที่นี่คุยกันหรือเปล่า...
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1690 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 10:54:33 »

สวัสดีค่ะลุงณะ  
      บันทึกการเข้า
super
Full Member
**


วิดยา'20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 368

« ตอบ #1691 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 10:58:02 »

      บันทึกการเข้า
super
Full Member
**


วิดยา'20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 368

« ตอบ #1692 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 11:00:15 »



อาจารย์..เอ๋..,ลุง ณะ,มาดามต๋อย,....
วันนี้พาลูกสาวมาด้วย..ครับ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1693 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 11:01:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ super เมื่อ 03 พฤศจิกายน 2552, 10:58:02



สวัสดีค่ะ ดีใจที่พี่หลินแวะมาค่ะ  หลานชื่ออะไรเรียนที่ไหนคะ หลานน่ารักมากๆเลย
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1694 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 11:58:11 »

การระงับข้อพิพาททางเลือกคืออะไร

การระงับข้อพิพาททางเลือก  เป็นคำที่ถูกใช้เรียกวิธีการระงับข้อพิพาทต่างๆที่

ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นวิธีการทดแทนหรือวิธีการเสริมการระงับข้อพิพาทโดยการ

ดำเนินคดีในศาล  โดยมีวัตถุประสงค์ให้ปริมาณคดีที่จะต้องเข้าสู่การสืบพยาน

ซึ่งใช้ระยะเวลานาน  มีจำนวนลดน้อยลงตามความจำเป็น  และทำให้การดำเนิน

คดีในศาลโดยทั่วไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  วิธีการต่างๆดังกล่าวได้

แก่  การเจรจาต่อรอง  การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท  และการอนุญาโตตุลาการ  ดังที่

กล่าวมาแล้วนั่นเอง  ซึ่งวิธีการที่เป็นที่นิยมในประเทศไทยและศาลยุติธรรมได้

ดำเนินการส่งเสริมและเผยแพร่ในขณะนี้คือ  การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท  และ  การ

อนุญาโตตุลาการ


จาก  คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน

โดย  สำนักระงับข้อพิพาท  สำนักงานศาลยุติธรรม
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1695 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 12:18:33 »










ภาพเด็กน่ารักจาก ATCLOUD.COM ค่ะ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1696 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 13:18:47 »

http://www.thaiparents.com

รายงานวิจัยเร็วๆ นี้ พบว่าแม้เด็กๆ จะไม่มีเพื่อนฝูงรายล้อมเป็นตัน แต่เขามีเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งหรือสองคน ก็สามารถทำให้เขาเติบโตขึ้น

เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาทางจิตใจได้

หัวหน้าทีมวิจัย Cynthia Erdley, associate Professor ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเมน สหรัฐฯ เปิดเผยถึงผลการวิจัยพบว่า

เด็กที่ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนกลุ่มใหญ่ แต่ว่ามีเพื่อนสนิทหรืออยู่ในกลุ่ม เพื่อนกลุ่มเล็กๆเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนก็จัดว่าไม่มีปัญหา

เพราะการมีเพื่อนสนิท แม้จะเป็นกลุ่มเล็กก็สามารถช่วยขจัดความอ้างว้าง ว้าเหว่ และความเครียดให้เด็กได้ดีเช่นกัน

ทั้งนี้เพราะนักวิจัยทราบดีว่า หากเด็กถูกปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อนแล้วนั้น เด็กคนนั้นจะมีความเสี่ยงในการที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีพฤติ

กรรมและความคิดเป็นไปในทางลบต่อสังคมรอบข้าง และจะเป็นคนปรับตัวยากในการเข้าสังคม

ในรายงานล่าสุดเช่นกัน พบว่า เด็กที่ไม่มีเพื่อนสนิทแม้แต่คนเดียวก็กำลังเผชิญความเสี่ยงในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะจะเป็นเด็กที่มีความเครียด

ความกดดันสูง ขี้วิตกกังวล  ไม่มั่นใจในตนเอง ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีความนับถือตนเองต่ำ การที่เด็กเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม

เพื่อน การวิจัยพบว่า จะทำให้เด็กคนนั้นเป็นคนรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, มีความนับถือในตนเองสูง แต่ถ้าเด็กไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักการสร้างมิตร

ภาพในหมู่เพื่อนฝูงแล้ว เด็กจะรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมากเมื่อไปโรงเรียน

คณะนักวิจัยได้ทำการทดสอบเด็กนักเรียนชั้น ประถม 3 - ประถม 6 จำนวน 192 คน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้เด็กระบุชื่อเพื่อนสนิทที่สุด

 3 คนและคณะนักวิจัยจะทำการวิเคราะห์และจับคู่ชื่อเพื่อนที่เด็กให้มา เช่นถ้าหากว่า เด็กให้ชื่อเพื่อนสนิท 3 คนคือ บิล, บ็อบ และจอห์น

แล้วในสามคนนี้ ได้ระบุชื่อเพื่อนสนิท เป็นสามคนนี้หรือไม่  เพราะนักวิจัยกำลังมองหาความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนสนิทกันนั้นต้องเป็นความ

สัมพันธ์ที่สนิทกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้สึกไปเองคนเดียวในการเป็นเพื่อนสนิทกันใน ความหมายของคณะนักวิจัยนั้น หมาย

ความว่า มีความรักความปรารถนาดีต่อกัน, รู้สึกว่าเพื่อนคนนั้น อยู่ข้างเดียวกันกับเรา เชื่อถือเรา  เข้าข้างกัน ไว้ใจได้ ใกล้ชิดกัน ซื่อสัตย์

ต่อกัน และแบ่งปันความลับซึ่งกันและกัน รวมทั้งกล้าเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนคนนั้นฟัง

จากการทดสอบพบว่า มีเด็กบางคนประสบปัญหาความรู้สึกโดดเดี่ยว และกดดันระหว่างอยู่ในโรงเรียน ถ้าไม่มีเพื่อนสนิท  สิ่งที่นักวิจัยกำ

ลังมองหาและนำมาเป็นตัวแปรคือ ความสนิทสนมในกลุ่มเพื่อน, ความใกล้ชิด, ความชื่อสัตย์ต่อกัน, ความขัดแย้ง ไม่เห็นด้วย,ความถี่บ่อย

ของความขัดแย้ง และวิธีการแก้ปัญหาเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในหมู่เพื่อนฝูง

ในการคาดการณ์ว่าเด็กคนไหนดูท่าว่าจะมีความเครียด มีความกดดันในจิตใจนั้น เดิมนักวิจัยคาดว่าเด็กหญิงจะทำนายการว้าเหว่จากการ

ไม่มีเพื่อนง่ายกว่า

แต่จากผลการวิจัยพบว่า เด็กชาย ทำนายง่ายกว่า  คนไหนที่จะเป็นเด็กที่รู้สึกว่าตนเองกำลังโดดเดี่ยวและถูกกดดัน ทั้งนี้เพราะเด็กผู้หญิง

จะมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้องในการที่จะทำให้เป็นเด็กที่มีความเครียด ความกดดันสูง นอกเหนือจากสาเหตุเครียดเพราะไม่มีเพื่อน

ผู้เชี่ยวชาญในทีมนักวิจัย ได้แนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองทราบว่า การที่เด็กมีเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการมีเพื่อนที่สนิท รักใคร่สนิท

สนมกันเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเด็กในการเติบโตต่อไป เป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ที่มีอารมณ์มั่นคง เชื่อมั่นในตนเอง  ซึ่ง ดร.ลีออง ฮอฟแมน นัก

จิตวิทยาเด็ก แห่งสมาคมจิตแพทย์เด็กแห่งนิวยอร์คก็เห็นด้วย โดยให้ความเห็นว่า  มิตรภาพระหว่างเด็กด้วยกันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ

สุขภาพจิต มิตรภาพระหว่างเพื่อนสนิทสำคัญมากกว่า การได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อนเสียอีก

คำแนะนำบางประการจากคณะนักวิจัยเรื่องมิตรภาพระหว่างเพื่อนสนิทนั้น นักวิจัยแนะนำว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรสังเกตดูว่า  ลูกของตนนั้น

มีท่าทีน่าจะมีความลำบากในการคบเพื่อนฝูงหรือไม่ เช่น ลูกไม่เคยเล่าให้ฟังถึงเพื่อนฝูงในห้องหรือเพื่อนที่โรงเรียนเลย, ไม่เคยมีเพื่อนโทร

ศัพท์มาหาลูกที่บ้าน หรือไม่เคยได้รับคำเชิญให้ไปงานใดๆ ที่เพื่อนในห้องจัดขึ้นเป็นส่วนตัวเลย นี่อาจเป็นการเตือนว่าลูกไม่ค่อยมีเพื่อน

สนิท และลูกมีท่าทีไม่อยากไปโรงเรียน  แต่การไม่อยากไปโรงเรียนของลูกต้องดูด้วยว่าเป็นเพราะไม่ค่อยมีเพื่อน หรือถูกรังแกเมื่ออยู่ใน

โรงเรียน  แต่ถ้าหากว่าลูกมีเพื่อนคุยสนิทสนมเพียงแค่คนหรือสองคน หรืออยู่ในกลุ่มเล็ก หรือแม้แต่คบเด็กรุ่นน้อง ก็ยังไม่มีอะไรต้องวิตก

กังวล อาจจะเป็นไปได้ว่าลูกชอบคบนร.รุ่นน้องเพราะกำลังฝึกทักษะการเข้าสังคมกับเพื่อน เพราะบางทีการเข้ากันได้กับเด็กรุ่นน้องอาจ

ง่ายกว่ากับเพื่อนรุ่นเดียวกัน

พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็มีส่วนสำคัญในการช่วยลูกให้รู้จักเข้าสังคม คบเพื่อนฝูง โดยอาจเชิญเพื่อนลูก ให้มาเล่นที่บ้าน หรือจัดงานสังสรรค์

เล็กๆ น้อยๆระหว่างเพื่อนฝูงให้ลูก หรืออาสาขับรถพาลูก และเพื่อนลูกไปยังที่ต่างๆ แต่การเข้าไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนลูกมากเกินไปก็ไม่เกิด

ผลดีเช่นกัน เด็กๆ ควรได้รับการแนะนำส่งเสริมให้รู้จักสร้างสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนฝูง แต่หลังจากนั้น เด็กต้องช่วยเหลือตัวเองในการ

สร้างสัมพันธภาพให้ใกล้ชิด และตัดสินใจเลือกเพื่อนสนิทด้วยตัวเองโดยมีพ่อแม่คอยดูอยู่ห่างๆ






      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1697 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 13:23:00 »










ภาพจาก ATCLOUD.COM ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #1698 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 05:46:01 »

สวัสดียามเช้าค่ะดร.เอ๋ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
churaipatara
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 27,182

« ตอบ #1699 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2552, 08:15:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2552, 05:46:01
สวัสดียามเช้าค่ะดร.เอ๋ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ



สวัสดีค่ะอ้อย ที่นี่อากาศเริ่มเย็นได้3-4วันแล้วค่ะ เย็นสบายดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 66 67 [68] 69 70 ... 979   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><