22 พฤศจิกายน 2567, 17:23:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 [4] 5  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ผลึกแห่งชีวิตและเสียงเพลงปฏิวัติไทย  (อ่าน 63475 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #75 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 10:43:17 »

นี่คือ ขอ้เขียนที่ เล่าถึงชีวิตใน แดนตะราง และขอให้ชื่อว่า

         ลูกหลานนักปฏิวัติ เชื้อไฟที่กำจัดไม่ได้

  เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง  เกิดขึ้นเมื่อ30กว่าปีแล้ว



    คืนนั้น นกเห็นพ่อกับแม่ยืนคุยกันอยู่นาน ต่อมาพ่อก็ออกไปจากบ้านไม่กลับมาอีกเลย
"แม่พ่อไปไหน นกคิดถึงพ่อ 3เดือนกว่าแล้ว ไม่เห็นพ่อกลับมาเลย" ส่วนน้องสาวของนกคงเล็กเกินไปที่จะรู้เรื่อง
         ทุกครั้งที่นกถามแม่ แม่ก็จะตอบว่า ไว้ลูกโตก่อนลูกจะรู้เองแหละ     นกเห็นแม่แอบร้องให้อยู่บ่อยๆ แม่คงคึดถึงพ่อเหมือนกัน
            วันหนึ่งแม่ได้รับจดหมายจากพ่อที่ส่งมาจากไหนก็ไม่รู้มีคนเอามาให้ แม่อ่านจดหมายของพ่อให้ฟังแต่อ่านบางตอนเท่านั้น พ่อบอกว่าให้แม่เลี้ยงลูกให้ดีๆ ลูกจะต้องเชื่อฟังแม่ ไม่ดื้อ   โตเร็วๆ  เป็นคนเก่ง พ่อจะได้ภูมิใจ แล้วจะได้เจอพ่อ

             แม่บอกกับ นก และน้องว่า ถ้าข้างบ้านถามว่าพ่อไปไหน ให้บอกเขาว่าพ่อไปทำงานต่างจังหวัดไปมีเมียน้อย

นกเองก็ไม่เข้าใจว่า เมียน้อยมันเป็นอย่างไร                                                                                                 
                                                                                                                                                                           ต่อมาเมื่อ นกอายุได้7ขวบ
     วันหนึ่งนกกลับจากโรงเรียนถึงบ้าน มีจดหมายของพ่อมาถึงบ้านอีก
  หลังกินข้าว อาบน้ำทำการบ้านแล้ว แม่เข้ามาคุยกัยนก  ลูกรู้จัก  คอมมูอิ๊ด หรือเปล่า
 รู้แม่มันไม่ดี มันทำลายชาติ   
  แล้วลูกเกลียดไหม 
 เปล่าแม่ นกยังไม่รู้จัก นกยังไม่เคยเห็นเลย   แต่เห็นรูปที่โรงเรียนตัวมันผอมแห้งๆ
แล้วถ้าพ่อเป็นแบบนั้แล้วลูกจะว่ายังไง   
  นกอึ้งอยู่พักใหญ่  แม่ถามต่อว่าแล้วลูกยังรัก คิดถึงพ่อเหมือนเดิมหรือเปล่า   นกงงจนพูดไม่ออก แล้วลูกจะไปบอกคนอื่นไหมว่าพ่อเป็น..    ไม่แม่เพราะเป็นพ่อของนก นกไม่บอกใครหรอก
               แม่จะบอกให้ พ่อของลูกเป็นคนดี   และการที่พ่อเป็นก็เป็นในเรื่องที่ดี   

 
--------เหล่าเป๊นทาห่านของประช้า จับอาวุธคึ้นมาปลดป่อยไท๊ จะอยู่ป่าอยู่เค้าลำเนาไพร.........


  ทุกเช้าก่อนที่นกจะไปโรงเรียนแม่จะสอนให้นกร้องเพลงวันละ1ท่อน  ขณะที่นกเดินไปโรงเรียนนก
 ก็จะหัดร้องเบาๆ  เพราะแม่กำชับไว้ว่าห้ามร้องให้คนอื่นฟังนอกจากแม่คนเดียว ตอนเย็นกลับมาก็มาประติดประต่อร้องให้แม่ฟัง
                                                                                                                                                                         และแล้วนกก็ร้องเพลงได้จนจบทั้งเพลง

   ต่อมานานเท่าไรนกจำไม่ได้ แม่บอกว่าพ่อจะกลับมาเยี่ยมพรุ่งนี้เช้ามืด  ให้นกเข้านอนแต่หัวค่ำ ตอนพ่อมาอย่าคุยเสียงดัง ห้ามให้ข้างบ้านรู้ว่าพ่อมา  แล้วพ่อจะอยู่แต่บนบ้าน พูดอะไรก็จะพูดเสียงค่อยๆ

       เหล่าเป็นทหารของประชา.......... นกยืนร้องเพลงให้พ่อฟังจนจบเพลง  พ่อดีใจมากที่ลูกร้องเพลงนี้ได้

พ่อยังร้องเพลง วีรชนปฏิวัติ  ภูพานปฏิวัติ ให้ฟังอีกด้วย    วันรุ่งขึ้นตอนหัวค่ำพ่อก็ออกจากบ้าน  และบอกว่ายังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีก   นกสงสารแม่ขึ้นมาอย่างจับใจ และอดที่จะร้องไห้ไม่ได้

   เช้าตรู่ของวันหนึ่ง นกจำได้ว่าเป็นวันเสาร์ไม่ต้องไปโรงเรียน
 มีผู้ชายสิบกว่าคนมาทุบประตูเสียงดังมาก บอกว่าเขาเป็นตำรวจ ให้รีบเปิดประตู มีหมายค้นจากอธิบดีตำรวจ มาขอตรวจค้นบ้านหลังนี้           
             ทันทีที่แม่เปิดประตู  พวกเขาทั้งหมดก็กรูกันเข้าไปค้นของในบ้านทุกซอกทุกมุมของไม่เว้นแม้หึ้งพระก็ปีนขึ้นไปยกองค์พระขึ้นมาส่องดูว่ามีส่องดูว่ามีของอะไรซ่อนในองค์พระหรือไม่
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนว่า  "บ้านนี้ไหว้พระด้วยเหรอ"

มีคนนึงเอาส้นรองเท้าเคาะตามพื้นซิเมนต์ในบ้าน  ถ้ามีเสียงดังแปลกๆไม่เหมือนที่อื่นก็จะตรวจสอบพื้นตรงนั้นเป็นพิเศษแทบจะกระเทาะพื้นลงไปดูเลยแหละ
  พวกเขาอ่านทุกข้อความที่มีอยู่ในบ้านไม่เว้นแม้สมุดพกโรงเรียนของนก พร้อมกับเอารูปถ่ายของคนหลายๆคน มาถามนก กับน้องว่าเคยเห็น รู้จักหรือไม่
 ข้างนอกบ้านมีเพื่อนบ้านเข้ามามุงดูอยู่ห่างๆเต็มไปหมด  ยังต้องตอบคำถามว่าเคยเห็นคนในรูปด้วยหรือไม่
     ชาวบ้านหลายคนทนดูไม่ได้ ถึงกับพูดกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ว่า อย่าไปจับเขากับลูกๆเลย เด็กก็ยังเล็กอยู่  เขาเป็นคนดีไม่ได้เป็นคนร้าย

 ประมาณ3ชั่วโมงนกเห็นพวกเขาเอากระดาษ หนังสือเป็นเล่ม ใส่ลังขนขึ้นรถไป ได้ยินเขาบอกว่าเป็นหลักฐานปลุกระดม ผิดกฎหมาย      พวกเขายังเอาวิทยุสื่อสารตั้งเสาอากาศที่บ้าน ว. เป็นโค๊ดอะไรก็ไม่รู้ นกฟังไม่เข้าใจ  แล้วเขาก็ถอดวิทยุออกไป

           พอขนของไปจนพอใจแล้วพวกเขาบอกแม่กับนกว่า ให้เตรียมของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นไปกับพวกเขาด้าย เพาะต้องไปนอนที่อื่น   แม่ถามเขา แต่เขาก็ไม่ตอบว่าไปที่ไหน  บ้านไม่มีคนเฝ้าก็ให้ปิดประตูไว้
                                                                                                                                                                          ขึ้นรถของเขา แล้วพาไปสถานที่แห่งหนึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ แต่ก็มีห้องที่กั้นเป็นสัดส่วนเหมือนสำนักงาน มีประตูปิดอยู่อีกหลายห้อง ทันทีที่ถึงสถานที่แห่งนั้น นกได้เห็นอีกหลายคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนกันกับครอบครัวของนก ต่างถูกแยกส่วนกัน แม้คนที่อยู่บ้านเดียวกันก็ห้ามคุยกัน  แยกให้นั่งอยู่กันคนละมุม  ทุกคนจะได้รับคำตอบว่า วันนี้ให้นั่งคอยคำวินิจฉัยจากท่านผู้กำกับฯว่า จะต้องเชิญตัวไว้สอบสวน หรือจะปล่อยตัวไปก่อน
 แต่นกกับน้องเป็นเด็กวิ่งเล่นไปมากจึงมีโอกาสได้พบเห็น พี่ ป้า น้า  อา ลุง หลายคนตามห้องต่างๆ    มีป้าผู้หญิงคนหนึ่งเอานกเข้าไปกอดแล้วกระซิบบอกนกว่า ให้ไปบอกทุกคนว่าในตึกนี้ติดเครื่องดักฟังเสียง
              “แม่ ๆ  มีผู้ใหญ่อีกตั้งหลายคนถูกจับด้วย ถูกให้นั่งแยกกัน” นกกระซิบกับแม่ และบอกแม่เรื่องเครื่องดักฟังด้วย
                           นกเห็น พี่ ป้า น้า  อา ลุง ถูกพวกเขาพาออกไปทีละส่วนจนหมดทุกคนแต่ไม่รู้พาไปไหน   เหลือแต่บ้านของนกเป็นบ้านสุดท้าย18.00น.แล้วยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร
น้องของนกเริ่มงอแงมาตั้งแต่บ่ายแล้ว    จนใกล้ค่ำ พวกเขามาบอกว่า ต้องให้นอนที่นี่ก่อน
เพื่อจะได้สอบสวน
              เขาพาไปห้องควบคุมหลังหนึ่งที่ใช้เป็นที่กักบริเวณแต่ไม่มีลูกกรง มีแม่ นก และน้อง อยู่ด้วยกัน       
             3-4วันต่อมา แม่ขอให้พวกเขาพาเรากลับไปเอาของใช้ที่บ้าน เพราะต้องถูกสอบสวนแบบไม่มีกำหนด
            ทันที่ที่เข้าไปในบ้าน    นกได้กลิ่นกับข้าวในตู้กับข้าวส่งกลิ่นเหม็นเน่า อย่างรุนแรง ก็เกือบอาทิตย์แล้วนี่นาจะไม่ให้มันบูดได้อย่างไร แม่พูดกับนก  เมื่อเอาของใช้เสร็จแล้วเขาก็พาเรากับไปควบคุมในที่แห่งเดิม  แม่เปรยกับนกว่า ต้องเตรียมใจนะว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้พบพ่ออีก..           

 



บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #76 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 10:51:43 »

อ่านต่อ

น้าอย่าจับพวกหนูมาขังเลย พวกหนูอยากกลับบ้าน  อยากออกไปวิ่งเล่นข้างนอก “
                                ต่อมานกและน้องๆมีโอกาสออกไปวิ่งเล่นในบริเวณที่ถูกจำกัด   2ครั้งต่อสัปดาห์ 
              ครั้งแรก นกและน้องๆ เข้าไปในเขตหวงห้ามของเขา  ถูกพวกเขาไล่กลับ เลยไม่ให้ไปวิ่งเล่นไปหลายวัน เหมือนโดนลงโทษอะไรอย่างนั้น      แต่ก็คุ้มนะ  เพราะได้เห็น ลุง ป้า น้า อา บางคนที่เคยเห็นในวันแรก อยู่ในห้องคุมขัง ที่เป็นซี่กรงเหล็ก แยกห้องละคน  เปิดไฟสลัวแบบอ่านหนังสือไม่ได้  ยังไม่ทันได้ไปสวัสดีนกและน้องๆก็ถูกผู้คุมที่ไม่รู้มาจากไหนไล่ออกมา   ในเขตหวงห้าม นกได้เห็น คนที่ดูแล้วไม่เหมือนตำรวจเลยสักนิด แต่เดินเข้าออกบริเวณเขตหวงห้ามได้ เท่าที่จำได้มี เด็กวัยรุ่น คนแต่งตัวมอมแมมเหมือนสติไม่ดี  คนเหมือนขอทาน
ผู้หญิงสาว ป้าสูงอายุ  คนห่มผ้าเหลือง    ยังมีอีกแต่จำไม่ได้แล้ว     
     มีคนแต่งตัวมอมแมมคนหนึ่ง เข้ามาถามนกว่า จำเขาได้ไหม  นกส่ายหน้า เขาก็หัวเราะ แล้วเดินจากไป
ในขณะที่เสียงผู้คุมยังตระโกนไล่หลังว่าให้นกกับน้องออกไปจากเขตหวงห้าม




กว่าครึ่งปี นก แม่ น้องๆ  รวมถึงลุง ป้า น้า อา ที่เขตหวงห้าม ถูกย้ายสถานที่คุมขังไปยังสถานที่แห่งที่สอง
   สถานที่แห่งนี้ ชายจะถูกขังเดี่ยว หญิงจะได้อยู่ห้องละ2คน ถึง3คน       
  < < สถานที่นี้นอกจากจะมีห้องคุมขังผู้ต้องหาคดีการเมืองระยะสอบสวนแล้ว       ยังแบ่งผู้ถูกคุมขังอีกประเภทหนึ่ง ต่างหากไม่ปะปนกัน กับพวกเรา เป็น นักโทษคดีอื่นๆหลายคดี ที่ถูกจองจำตามคำตัดสินของศาลจนครบระยะเวลาคุมขังแล้ว
 แต่ไม่ได้รับการปล่อยตัวเช่นบุคคลทั่วไป เพราะพวกเป็นเชื้อชาติอื่น แต่ไม่ได้สัญชาติไทย จึงต้องรอการเนรเทศ     หลายคนอยู่เป็น10ปีตั้ง แต่หนุ่มจนจะแก่  อยู่นานกว่าโทษที่ศาลตัดสินคดีที่มีความผิดจริงเสียอีก ส่วนใหญ่เขาก็คืออาเฮีย
 อาเเปะที่อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้สัญชาติไทยเท่านั้น
   แต่พวกเขาจะมีโอกาสได้ออกมาจากที่คุมขังเพื่อ ตากแดด เดินออกกำลัง แต่หลายคนก็ป่วยเป็นอัมพฤกษ  >> 
                   นก ขอเรียกพวกเขาว่า     “ นักโทษผู้พ้นคดีแล้ว ”
        หลังจากที่พวกเราได้ทำความคุ้นเคยกับห้องคุมขังใหม่ไม่นานนัก  มี  “ นักโทษผู้พ้นคดีแล้ว ” หอบหิ้วเอา ชาม ช้อน ของใช้ประจำวันเล็กๆน้อยๆ มาแจกจ่ายทุกห้องของพวกเราผู้มาใหม่  นกได้ยินผู้ใหญ่เขาคุยกันว่า
      A. ติดคดีการเมืองใช่ไหม ..เอาของนี่ไปใช้  ถ้าย้ายออกจากที่นี่ไปค่อยเอามาคืน รุ่นใหม่จะได้ใช้ต่อไป
      B.แล้วของเหล่านี้เป็นของใคร
      A.เป็นของคดีการเมืองรุ่นก่อน   เอาวิทยุเครื่องนี้ไว้ฟัง ส.ป.ท. ห้องไหนติดกันสาดดาดฟ้าไม่ต้องเอาเพราะ5โมงเย็นจะมีคนมาเปิดให้ฟัง ไปยืนที่หน้าต่างระบายอากาศ จะได้ยินเสียงดังชัดเจน   

** สถานที่คุมขังแห่งนี้ นักโทษด้วยกันจะถือว่าผู้ที่ติดคดีการเมืองนั้นมีเกียรติที่สุด เหมือนนักโทษชั้นหนึ่งเลย**
   
หลังจากกินอาหารของที่คุมขังแห่งนี้ได้เพียงหนึ่งวันครึ่งน้องๆของนกก็อาเจียรออกมาแล้วมีไข้ด้วย ต้องนำส่งโรงพยาบาล ( มีสี ) นกไปกับแม่ด้วย 

<ไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลหรอกอาเจียรออกหมดกินยาที่หมอให้ ระวังเรื่องอาหารอาการจะดีขึ้นเอง อาหารในคุกคงไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก ให้หาอาหารอื่นมาให้กินจะเหมาะกว่า >หมอกล่าว
     พอออกจากห้องตรวจคนไข้ ผู้คุมบอกกับแม่ว่า
      A.<เด็กไม่ใช่ผู้ต้องหาต้องชำระค่ายาค่ารักษาเช่นบุคคลทั่วไปเอง ราชการไม่มีงบประมาณให้>
     แม่< ฉันไม่มีเงินที่จะจ่ายค่ารักษาให้ลูกๆหรอก  พวกคุณทำให้เราเป็นคนไม่มีบ้านไปแล้วจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษา  >
     A.<  แล้วญาติพี่น้องอยู่ไหน ให้เขาช่วยซี่  >
     แม่ <  ญาติพี่น้องเราไม่มี  เรามีกันเท่านี้  >
      A.<   งั้นมีอีกวิธี เดี๋ยวจะพาไปที่งานประชาสงเคราะห์ของโรงพยาบาล แต่ต้องไปคุยเองนะ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย >
             แม่ของนกเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะเพื่อให้ปากคำกับ จ.น.ท.ประชาสงเคราะห์
       ก.<ดูการแต่งตัวของคุณแล้วน่าจะพอเจียดเงินส่วนหนึ่งสมทบกับประชาสงเคราะห์เพื่อจ่ายเป็นค่ารักษาจะได้ไหม>
     แม่ <ถ้าอยู่ที่บ้านฉันรักษาลูกๆฉันได้ แต่เมื่อถูกคุมขัง ราชการต้องรับผิดชอบให้กับเด็กๆ แม้ฉันจะมีเงินพอจ่ายหรือไม่ก็ตาม >
               ในที่สุดประชาสงเคราะห์ของโรงพยาบาลจำต้องเป็นผู้จ่ายค่ารักษาให้กับน้องๆของนก
                      ก่อนเดินทางออกจากโรงพยาบาลได้มีนางพยาบาลคนหนึ่งนำองุ่นจากตู้เย็นมาให้บอกว่าให้รีบกินที่โรงพยาบาล ไม่ต้องเอากลับไป เพราะในคุกคงไม่มีตู้แช่ เดี๋ยวจะเน่า องุ่นนี้แช่มาหลายวันแล้วจะเอาอย่างอื่นให้ก็เตรียมให้ไม่ทัน
        ส่วนพยาบาลอีกคนเอาไมโล หรือโอวัลติน (จำไม่ได้แล้ว) 1 กระป๋อง ให้น้องกลับไปกิน           
                   ในที่สุดองุ่นแช่เย็นถุงนั้นก็กลับมาเน่าในที่คุมขังจริงๆ เพราะไม่มีใครที่จะกินมันที่โรงพยาบาล หรือระหว่างทางเลย จะให้ใครต่อก็ไม่ทัน เพราะมันเน่าเร็วจริงๆ   
                                                                                                                                                                       
        มี“ นักโทษผู้พ้นคดีแล้ว ”นำไข่ไก่สดมาให้ 1แผง แม้จะให้เงินคืนกลับไป เขาก็ไม่รับ กลับบอกว่าไว้ให้พวกเด็กไว้กินกัน   (ที่คุมขังแห่งนี้ผู้ต้องขังสามารถนำเงินติดตัวเข้าไปได้  และสำหรับผู้ต้องขังชั้นดีสามารถประกอบอาหารกินเองได้  )             ในที่สุดผู้ที่ได้กินไข่แผงนั้นมีนก+น้องๆของนก+  และลุง ป้า น้า อา บางคนที่สุขภาพไม่แข็งแรงนัก

        จากที่น้องของนกป่วย จึงกลายเป็นประเด็นในการเรียกร้องขอให้มีการประกอบอาหารเอง เด็กกับผู้ใหญ่กินด้วยกันทุกคน โดยเรียกร้องทางวาจากับที่คุมขัง การเขียนคำร้อง การเรียกร้องโดยตรงกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เข้ามาตรวจงาน(มาชื่นชมผลงานของพวกเขา)
เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของ ลุง ป้า น้า อา และแม่ของนก แถมพ่วงข้อเรียกร้องที่จะได้ออกไปตากแดดเช่นผู้ถูกคุมขังอื่น

      ต่อจากนี้ไปนกขอเรียก ลุง ป้า น้า อาทุกคน ที่เจอกันตั้งแต่วันแรกจนย้ายมาอยู่ด้วยกันว่า
                              <สหายร่วมรุ่น>
   

                                                                                                                                                                        ไม่นานนักมีญาติมาเยี่ยม <สหายร่วมรุ่น> ที่นกจำได้ขึ้นใจมีอยู่2คน เพราะแต่ละคนมาเยี่ยมทีไรจะมีของอร่อยๆมาฝากลูกของเขา  แล้วเด็กๆก็จะได้รับการแบ่งปันด้วย     

    ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ต่างโผเข้ากอดกันโดยมี ลูกกรงเหล็กดัดกั้นระหว่างอ้อมกอดของคนทั้งสอง น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งคนที่เป็นแม่ และลูก
                                            คนที่เป็นลูกคือ<สหายร่วมรุ่น>
                                            คนที่เป็นแม่คือญาติที่มาเยี่ยม     
                        <อาแหมะคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ไม่มีใครมาบอก หายไปเฉยๆ>
            อาแหมะ เป็นคนค้าขายธรรมดาคนหนึ่ง พอลูกถูกจับต้องส่งข้าวส่งน้ำลูกในช่วงแรก  ต่อมา ก็ต้องเพิ่มจำนวนของเยี่ยม เพื่อให้พอกับการแบ่งปันให้ทุกคน  ลองคิดดูอาแหมะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น(สำหรับคนค้าขายธรรมดาคนหนึ่ง เป็นเรื่องไม่ธรรมดา)
             ส่วนญาติอีกคนนกเรียก อาเหล่าสิ้ม   มีฐานะค่อนข้างดี แต่ก็มีจิตใจเผื่อแผ่เช่นกัน
                  ดังนั้นอาแหมะ  และอาเหล่าสิ้มต่างไม่ได้มีลูกอยู่ในที่คุมขังคนละหนึ่งคนแล้ว แต่จะมี ลูกเป็น <สหายร่วมรุ่น> ทั้งหมดเลยที่ต้องคอยส่งข้าวส่งน้ำเป็นระยะๆ

           ต่อมาคำร้องรื่อง ขอประกอบอาหารเอง และขอออกไปตากแดด ได้รับความเห็นชอบ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ในที่ควบคุมนั้นดีขึ้นบ้าง   แต่คนที่ลำบากคงจะเป็นอาแหมะ  และอาเหล่าสิ้ม นอกจากจะมีสายเลือดแห่งความเป็นแม่ที่ดีเลิศแล้ว ยังมีคุณธรรมน้ำใจที่สูงส่งยิ่ง


       
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #77 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 11:02:00 »

อ่านต่อ 3

  นกขอขอบพระคุณในน้ำใจของท่านทั้งสองที่ให้ความเมตตากับพวกเราเหมือนญาติคนหนึ่ง ปัจจุบัน อาแหมะยังมีชีวิตอยู่  ส่วนอาเหล่าสิ้มเสียชีวิตหลายปีแล้ว


                        บ่อยครั้งที่ผู้คุมได้รับการแบ่งปันอาหารที่พวกเรารับประทานกัน ปรุงสุขร้อนๆ หอมกรุ่นๆ มีรสอร่อย จัดเป็นสำรับให้กินกันบนโต๊ะของผู้คุม
      <ขอบคุณครับขอบคุณ  เลี้ยงข้าวผมอีกแล้ว นี่ถ้าเอายาใส่ลงในข้าวแล้วผมหลับไปตื่นมาอีกทีผมต้องอยู่ในคุกแทนพวกคุณละยุ่งเลย ฮ่าๆ> (ผู้คุมแซวด้วยความคุ้นเคย) 

           นกได้มีโอกาสไปเดินเล่นหน้าห้อง<ของนักโทษผู้พ้นคดีแล้ว>ในช่วงที่พวกเขาเข้าห้องควบคุมไปแล้ว นกจะยืนเกาะอยู่หน้าลูกกรง แต่จะเลือกยืนอยู่ไม่กี่ห้อง เฉพาะคดีการเมืองเท่านั้น     

                     เท่าที่จำได้มีอาแปะอายุกว่า70แล้ว 3คน  ถูกจับเรื่องปลุกระดมการเมืองที่ภาคใต้  อยู่ขังห้องเดียวกัน ลูกชายของอาแปะคนหนึ่งถูกจับแล้วถูกฆ่าตายเหลือภรรยาทำสวนยางอยู่บ้านคนเดียว น่าสงสารมาก

          อีกคนหนึ่งเป็นคนเขมร แกบอกว่าแกเคยเป็นเขมรกู้ชาติ อยู่กองกำลังอะไรสักอย่าง คล้ายกับแนวที่ห้าอะไรทำนองนั้น  แกภูมิใจมากว่าแกเคยมีลูกน้องมากมาย มีคนรับใช้ด้วย
                  ในห้องของแกมีโต๊ะบูชาพระพุธรูป และเครื่องศักดิ์สิทธิ์มากมายที่นกไม่รู้จัก รวมถึงแขวนรูปของในหลวง ร.5 ที่หนังสือพิมพ์…(จำไม่ได้) พิมพ์ลงเป็นภาพสีเต็มหน้า
                  แกชอบลูบหนวดที่ยาวงามของแกหลายๆครั้งแล้วมองมาที่นกจนนกต้องหันมาสนใจกับการลูบหนวดของแก แล้วแกก็จะรีบหันไปมองที่รูป ร. 5  แสดงอาการที่พึงพอใจอะไรสักอย่างที่แกไม่ยอมพูดออกมา   แล้วก็ยกมือไหว้ไปที่โต๊ะบูชาและรูป ร.5   


     แกเป็นหมอดู นั่งทางใน ดูให้กับตัวเอง และคนอื่น    แกบอกว่าได้ทำเรื่องถึงผู้แทน ว่าแกจะได้ออกจากที่นี่แล้ว   
       วันหนึ่งนกเห็นแกนั่งทางในอยู่ นกยืนรอจนกว่าแกจะลืมตาขึ้น   แกบอกว่า พรุ่งนี้ จะมีผู้แทนมารับแกออกไปจากที่นี่ แกจะได้กลับบ้านแล้ว ได้ดูทางในแล้วไม่มีอุปสรรคเรื่องเดินทาง  ถ้านกจะมาส่งแกต้องมาที่หน้าห้องแกก่อน สิบเอ็ดโมงเช้า     
        ก่อน11.00น.นกมารอที่จะส่งแกกลับบ้าน พอเที่ยงนกขอตัวกลับไปบอกแม่ก่อน แล้วรีบวิ่งกลับมาอีก บ่ายโมงก็แล้ว บ่ายสองก็แล้ว ไม่มีวี่แววของผู้แทนมารับแกเลย  สีหน้าแกออกจะผิดหวัง  แกคงต้องคอยการแจ้งข่าวจากผู้แทนในคราวต่อไป
         นกจึงถือโอกาสขอ  ลักยม กับแกเป็นของที่ระลึก แต่แกไม่ยอมให้ บอกว่านกเป็นเด็กเลี้ยงไม่เป็นเดี๋ยวเขาจะไม่อยู่   
    แต่สมัยนั้นไม่รู้เป็นอะไร  นกรู้สึกชอบ ลักยม มากเพราะพอเพ่งมองเข้าไปในขวดแล้ว ได้เห็น ตุ๊กตาไม้ตัวเล็กๆ สีขาว1ตัว สีดำ1ตัว อยู่ในขวดน้ำมันจันทน์ แกบอกว่าต้องคอยเติมน้ำมันด้วยเพราะจะแห้งไปเอง นกจึงรู้สึกว่าเขาคงมีชีวิต
      เมื่อขอแล้วแกไม่ให้ นกจึงบอกแกว่านกจะไปทำ ลัก ยม มาเองแล้วจะมาให้แกปลุกเสกให้
แกได้แต่ยิ้ม….ไม่ตอบ
        งานใหญ่ของนกเริ่มแล้ว  นกวิ่งไปขอขวดเปล่ายาฉีด เพนนิซิลิน ที่ห้องพยาบาล เอาก้านไม้ขีดมา2ก้าน ก้านหนึ่งเอาปากาวาด ตา จมูก ปาก บนก้านไม้ขีด อีกก้านหนึ่งเอาปากกาดำละเลงหมึกให้เป็นตุ๊กตาสีดำ หักก้านไม้ขีดทั้งสองลงขวด ไปขอน้ำมันพืชจากแม่มาเทใส่ แล้วปิดจุกยาง
 เป็นอันเรียบร้อย รีบวิ่งตื๋อมาหาแกเพื่อให้ปลุกเสกให้ ทันทีที่ยื่นให้แก แกหัวเราะท้องแข็งเลย
 ก็น้ำมันพืชที่ใส่ เริ่มเป็นสีดำเพราะหมึกดำเริ่มละลายออกมากับน้ำมันแล้ว
        แกได้ให้พระห้อยคอ กรอบพลาสติกเป็นพระพลาสติกฉาบทอง เป็นพระ2หน้า หน้าหนึ่งพิมพ์ว่าหลวงพ่อกบ อีกหน้าไม่รู้หลวงพ่ออะไรจำไม่ได้แล้ว
                     อีกไม่นาน แกก็ได้กลับบ้านจริงๆ โดยไม่ได้นั่งทางในอีก

    มีข่าวจากผู้คุมว่า พวกเราทั้งหมดจะถูกย้ายไปที่คุมขังแห่งใหม่ คราวนี้ เด็กๆที่มีอายุเกิน.?.ขวบ(จำไม่ได้) ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในที่คุมขังนั้นได้ ซึ่งนกกับน้องๆ คงจะอยู่กับแม่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว
                                                                                                                                                           

 นกลืมเล่าไปว่า นกได้มีโอกาสเรียนในข้องขัง โดยมีคุณน้าลูกของอาเหล่าสิ้มเป็นคนสอน ใช้หนังสือแบบเรียนที่เขาใช้ในโรงเรียน ระยะแรกๆ คุณน้าบอกว่าดี มีอะไรทำไม่เครียด  ต่อมา คุณน้าเครียดกว่าเดิม  เพราะนกดื้อ

           วันนี้มีการนำตัวคุณอาบางคนออกไปจากที่ควบคุมแล้วขึ้นรถไป ทุกคนเป็นห่วงเอามากๆ  รู้ภายหลังจากที่แกมาเยี่ยมพวกเราว่า ตัวแกไม่ถูกสั่งฟ้องศาล จึงต้องถูกปล่อยตัว    ดังนั้นคนส่งข้าวส่งน้ำ จะ มีคุณอา ท่านนี้มาแบ่งเบา ภาระของ อาแหมะ และ อาเหล่าสิ้มได้เป็นอย่างดี      ส่วนนกและน้อง หากเขาไม่ให้อยู่กับแม่ ก็ต้องไปอยู่กับคุณอา
     ในช่วงที่คุณอา มาส่งข้าวส่งน้ำ นกจึงมีโอกาสออกไปเที่ยวบ้านคุณอาเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่   
 ขณะที่นกกำลังเดินตามคุณอาไปซื้อของในตลาด อยู่นั้น นกรู้สึกว่าชีวิตของเรานี้แปลกดี มีใครกี่คนที่รู้มั่งว่า ในขณะที่นกน้อยตนนี้เดินอยู่กลางตลาด เมื่อวันก่อนยังอยู่ในคุกอยู่เลย แล้วพรุ่งนี้ก็จะกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีก ชีวิตเหมือนเราเหมือนนิยายที่เขียนด้วยดินสอ จะหันไปบอกใครเขาก็ต้องว่าเด็กเขียนนิยายหลอกผู้ใหญ่ (ในสมัยนั้น คดีการเมืองเป็นเรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปเกลียดกลัว จะเริ่มเข้าใจเมื่อใกล้ยุค14ตุลา พ.ศ.2516)
    ถ้าจะถามใจของนกแล้วนกอยากจะอยู่ในคุกกับแม่มากกว่าที่จะอยู่บ้านจริงๆ นะ    แต่ก่อนรู้สึกว่า เรื่องคุกนี่เป็นสถานที่ไม่ดี  มารู้ด้วยตัวเองว่าบางเรื่องก็ต้องมีข้อยกเว้นเหมือนกัน ทุกอย่างต่างมีเหตุผลของตัวมันเอง   
       นกๆ เดินคิดอะไรอยู่หรือ…?  กลับบ้านได้แล้ว เย็นนี้จะได้รีบไปทำกับข้าว พรุ่งนี้นกจะได้ไปอยู่กับแม่ไง    นกและคุณอาต่างช่วยกันหิ้วของและรีบกลับบ้านในทันที


           วันนี้แล้ว…………..ที่
      <สหายร่วมรุ่น>แม่ นก และน้องๆ ขึ้นรถไปสถานที่คุมขังแห่งที่ 3   ผู้ใหญ่ถูกส่งฟ้องศาลทั้งหมด    สถานที่คุมขังนี้แยก เป็นแดนชาย – แดนหญิง ไม่ได้อยู่ใกล้กัน หรือเห็นหน้ากันเช่นแต่ก่อน
       นกและน้องๆ ได้มีโอกาสเข้าไปกับแม่ในช่วงที่เขาทำประวัติผู้ต้องหา เงิน ทอง ของมีค่า ไม่อนุญาตให้นำเข้าไป ทุกคนสมัครใจที่จะเอามาฝากอาแหมะ อาเหล่าสิ้ม และคุณอา
            ในแดนหญิง ผู้ต้องหา (ที่ไม่ใช่คดีการเมือง) เวลาจะเข้ามาหาผู้คุมจะต้องย่อตัวลงต่ำๆนั่งพับเพียบด้วยกิริยาที่นอบน้อม แล้วเอ่ยคำเรียกเขาว่า คุณแม่     นกยังได้ยินคุณแม่บางคนพูดใส่นักโทษด้วยอาการระเบิดอารมณ์ และพูดไม่เพราะ กับนักโทษ  นี่เป็นชีวิตที่เกิดขึ้นจริงๆต่อหน้าต่อตาไม่ใช่ละคร เรื่องบ้านทรายทองที่นกเคยดูใน ทีวี   
           นกรู้สึกเป็นห่วงแม่ของนก และ<เพื่อนร่วมรุ่น> ขึ้นมาทันที เมื่อทำประวัติเสร็จแล้วก็จะถูกส่งเข้าไปที่เรือนนอน
            นกกับน้องๆ จึงต้องจำต้องแยกกับแม่ ณ ที่ตรงนั้น  น้ำตามันไหลเอ่อ ออกมาแบบรู้ตัวแต่มันกลั้นไม่อยู่ รู้ว่าเวลาแม่ไปขึ้นศาลก็ยังจะได้เจอกับแม่ แต่ความรู้สึกของการขาดซึ่งความรัก ความอบอุ่นที่เคยได้รับ นั้นบัดนี้คงเหลือไว้ซึ่งความทรงจำ
                                                                                                                 

            ศาลที่ส่งฟ้องแม่และคนอื่นๆ เป็นศาลทหาร  อ้าววว.. ศาลทหารไม่ใช่เอาไว้ ลงโทษแต่ทหารที่ทำความผิดหรือ
เขาฟ้องผิดศาลหรือเปล่า  แล้วแม่ คุณลุง คุณน้า คุณอา และคนอื่นๆไม่ได้เป็นทหารสักหน่อย
     ** หนูถ้าถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นเป็น คอมมูอิ๊ด บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติทั้งในและนอกราชอาณาจักร แล้ว แม้ไม่เป็นทหารเขาก็จะให้ขึ้นศาลทหาร **   
     วันแรก นกที่เข้าไปในศาลฯ ได้เห็นชายและหญิงที่ทำงานในที่แห่งนั้นแต่งกายด้วยชุดทหารทุกคน เห็นนักโทษที่เป็นทหาร อายุไม่มาก น่าจะเป็นทหารเกณฑ์          เออนี่ไงถ้าจะเป็นคนที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติทั้งในและนอกราชอาณาจักร แล้วให้ขึ้นศาลทหารน่าจะต้องอยู่ในวันนี้เรี่ยวแรงกำลังดี  ไม่เหมือนพวกแม่ ลุงน้า อา   
มีแต่โรคประจำตัว
       ในห้องพิจารณาคดี แม่ คุณลุง คุณน้า คุณอา และคนอื่นๆถูกผลัดฟ้องไปอีกหลายครั้งๆละ3เดือน
โดยให้เหตุผลว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ    และแล้ววันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง
  ในห้องพิจารณาคดี นกเห็น อัยการในชุดทหาร บรรยายคำฟ้องยาวเหยียดดดดดดด  จนจบ
จากนั้นคณะศาลจึงได้หันมาถามฝ่ายจำเลยว่าจะรับสารภาพตามคำฟ้องหรือไม่
                   ถ้ารับสารภาพ ศาลก็จะตัดสินคดี เลย
                   แต่ถ้าไม่รับสารภาพ การคุมขังผู้ต้องหาต้องยืดเยื้อออกไปอีก เนื่องจากต้อง @สืบพยานโจทก์  และ
#ซักค้านจำเลย ต้องใช้เวลาอีกนาน  กว่าจะมาเริ่มตัดสินคดี

           จำเลยทุกคนขอปฏิเสธตามคำฟ้องข้อกล่าวหาของโจทก์ทุกกรณี
หมายเหตุ:
@สืบพยานโจทก์  คล้ายกับ  เรียกพยานที่ตำรวจอ้างถึงมาเล่าให้ศาลฟังว่าได้เห็นว่าจำเลยทำผิดอะไรบ้าง
#ซักค้านจำเลย     คล้ายกับ  ศาลจะให้จำเลยแก้ตัวว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอย่างไร

                                                                                                                                                                               ชีวิตของนกและน้องๆ ตอนที่ไม่ได้ไปเยี่ยมแม่  กว่าจะผ่านไปแต่ละวันมันช่างนานแทบขาดใจ นกต้องแอบร้องให้คิดถึงแม่วันละหลายหน ส่วนน้องๆ ถ้าไม่วาดรูป หรือเล่นตุ๊กตาเบื่อแล้วก็จะนั่งซึม
            คุณอาให้บอกกับเพื่อนบ้านว่า พ่อ-แม่ของนกค้าขาย อยู่ต่างจังหวัด   เวลาไปเยี่ยมแม่ตอนแม่ขึ้นศาล ให้บอกว่าเขาว่าคุณอาพาไปเที่ยว  ห้ามบอกว่าแม่อยู่ในคุกต้องข้อหาคดีการเมืองเด็ดขาด เรื่องเข้าโรงเรียนให้นกบอกเขาว่าเรียนจบป.7แล้ว(สมัยนั้นยังมีป.7อยู่) ทั้งๆที่อายุของนกก็ยังไม่ถึงที่จะเรียนป.7สักหน่อย (แต่ต้องโกงอายุกับข้างบ้าน) แล้วให้บอกเขาว่านกเป็นเด็กโตช้า   ส่วนน้องๆ ก็ให้บอกเขาว่ายังไม่เข้าเกณฑ์ ทั้งๆที่ถึงวัยเรียนแล้ว โดยคุณอาจะเป็นผู้สอนหนังสือให้กับเด็กๆเอง
          ต่อมาเกิดการตื่นตัวทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนในการเรียกร้องเสรีภาพ ประชาธิปไตย รวมถึง การต่อสู้ของคนเดือนตุลา ทำให้การปฏิบัติต่อนักโทษการเมืองที่ถูกขังลืมไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนนั้นมีมนุษยธรรมมากขึ้น     นกและน้องๆเตรียมตัวที่จะได้ไปพบกับพ่อ โดยไม่ต้องห่วงแม่แต่อย่างใด
                และแล้วนกและน้องๆก็ได้มีโอกาสพบกับพ่อจริงๆ     น้องๆได้เรียนหนังสือโดยมีพี่ๆนักศึกษาเป็นผู้สอนให้  หลายปีต่อมาเมื่อถึงยุคที่บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจรตัดป่าสู่รัง.  นกได้กลับมาอยู่ในกรุงเทพฯอีกครั้ง ไปเรียนหนังสือที่ไหนเขาก็ไม่รับ เพราะไม่มีหลักฐานวุฒิการศึกษาใดๆ ไปขอที่โรงเรียนเก่าก็ไม่จบ ป.4 โรงเรียนไม่รู้จะออกให้ได้อย่างไร ท้ายสุดต้องไปกวดวิชาแล้วสอบเทียบที่กระทรวงศึกษาธิการ 3ปี ปีแรกได้วุฒิป.6 ปีต่อมาได้ ม.3 และม.6 ตามลำดับ เข้าเรียนที่รามคำแหงจนจบ ไม่กล้าไปลองเอ็นทรานซ์ ถ้าเกิดเอ็นติดกลัวจะเสียใจเพราะตลอดเวลานกต้องประกอบอาชีพตั้งแต่สอบเทียบ ป.6 ไม่มีโอกาสได้เรียนภาคปกติเหมือนคนทั่วไป
              จึงต้องขอจบเรื่องเล่าโดยย่อไว้เพียงเท่านี้   ยังมีอีกหลายชีวิตที่  น่าตื่นเต้น ประสบเรื่องที่เลวร้าย น่าสนใจกว่านี้หลายเท่าตัว
    สิ่งที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้อยากจะให้หนูๆทุกคนที่ได้รับรู้เรื่องดังกล่าวได้ใช้ โอกาส เวลา เงินทอง ที่คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครอง หามาให้ใช้ จะได้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด ในสังคมปัจจุบันยังมีเด็ก เยาวชนอีกมากที่ไม่มีโอกาสเช่นหนูๆ พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
      ดังนั้นขอให้หนูๆได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีที่ผ่านเข้ามาในวัยนี้ให้มากที่สุด เพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาในวัยเดิมของเราได้อีก                                                                         
                 
                                                                           
                                  จบบริบูรณ
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #78 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 11:11:28 »




                                              เพลงแดนตะราง


                                     จันทร์…..เจ้าอยู่บนแดนฟ้า โปรดมาเห็นใจฉันบ้าง
                                             ฟังทำนองที่ร่ำร้องครวญคราง เสียงเพลงในแดนตาราง
                                               ร้องครวญครางจากจิตใจ

                                                       ทำดี….กลับมีคนเห็นเป็นร้าย ใจฉันนั้นเฝ้าคิดไป
                                                       แต่คราวนี้ถูกเขาจงใจ หาความไม่ดีมาให้
                                                       ช้ำใจทุกวันทุกคืน

                                                    ใครรู้……ใครก็ต้องประนาม สังคมและโลกนี้ทราม
                                                             ล้วนความไม่จริงสุดฝืน
                                                             หวล….. คิดไปหัวใจเต็มตื้น ……คนจนระทมขมขื่น
                                                             ทุกคืนมันโศกไม่จาง


                                       คน…….มั่งมีกดขี่คนจน กี่หนแล้วเป็นตัวอย่าง
                                         จับเอาเรามาเข้าตาราง ถึงทีของเราเข้าบ้าง
                                    พวกมันจะต้องล่มจม
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #79 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 11:43:48 »

เบื้องหลัง


แดนตะรางฮิตมากโดยเฉพาะหลัง 6ตุลาฯ เมื่อนักเรียนนักศึกษาถูกจับ สุธรรมและเพื่อนถูกขังยาว ก่อนที่เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์จะยอมปล่อยในปี2521
ใครเรียนหนังสือช่วงนั้นคงจำได้ว่ามีภารกิจต้องไปเยี่ยมสุธรรมและเพื่อน มีคนพิมพ์เนื้อเพลงนี้แจกด้วย
สปท.ก็ชอบเปิดเพลงนั้ในยุคนั้น เตือนใจให้เห็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น และย้อนกลับไปถึงนักสู้รุ่นก่อนๆที่ถูกจับกุมคุมขัง บางคนโดนประหาร อย่างศุภชัย ศรีสติ ใครมีความทรงจำมาเล่าอีกก็ดีครับ ผมจำเขามาอีกที

“แดนตาราง” ผู้แต่งคือ “ร.ต.ต.วาศ สุนทรจามร” จริง ๆ ขอรับ ผมจำสับสนจนทำให้ข้อมูลที่ให้ไว้คลาดเคลื่อนอย่างยิ่ง

ร.ต.ต.วาศ สุนทรจามร ถูกขนานนามเป็น “ปัญญาชนปฏิวัติของชนชั้นกรรมกรไทย" เขาเป็นเพื่อนที่ร่วมงานกับ ถวัติ ฤทธิเดช ผู้นำกรรมการยุคแรก ออกหนังสือพิมพ์กรรมกร ต่อมาเขายังได้รับเป็นที่ปรึกษาสมาคมกรรมกรต่าง ๆ กระทั่งถูกจับกุมหลังการรัฐประหารปี ๒๔๙๐ และในปี ๒๔๙๒ เขาลี้ภัยไปอยู่ประเทศจีน และอาศัยอยู่ที่นั่นจนถึงแก่กรรม

 เคยได้รับรู้ว่า วาศ สุนทรจามร อดีตผู้นำกรรมกร ในช่วงปี ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นญาติกับ เวศ สุนทรจามร แห่งวงสุนทราภรณ์ (ภายหลังเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เดินทางไปจีนเมื่อต้นทศวรรษ ๒๔๙๐ และไปเสียชีวิตที่นั่น) ยังเป็นผู้เขียนเพลง “แด่เธอ” อีกด้วย

คุรุชน" มีนักร้องนำเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง (เสียดาย จำชื่อไม่ได้ชัดเจน) เธอมีเสียงที่มีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ เธอร่วมเข้าป่ากับผองเพื่อน และได้รวมวงกับศิลปินหลายคนในยุคเดียวกัน มีงานบันทึกเสียงในป่าหลายต่อหลายเพลง

คิดถึงเพลงหนึ่ง ที่เธอคอยร้องเอาไว้ เป็นเพลงซึ่ง "จิตร ภูมิศักดิ์" เขียนเอาไว้ ชื่อเพลง "แดนตาราง"
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #80 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 11:50:59 »

ขอแก้บันทัดสุดท้ายของช่องข้างบน ( จิตร ไม่ได้แต่งเพลงนี้ ) ผมลบไม่เป็น ลบแล้ว หายไปทั้งช่องเลย วานพี่ป๋องลบให้หน่อย เฉพาะบันทัดสุดท้าย ที่เขียนว่า
จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นผู้แต่งเพลงนี้
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #81 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 12:02:42 »

อยากเล่าประวัติ  ความเป็นมาของเพลงเพื่อชีวิต แต่ บทความนี้ ผมไม่ได้เขียนเองนะครับ ขออนุญาต คัดลอก มาเพื่อการเรียนรู้นะครับ



จากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อันมีการต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้จิตสำนึกเพื่อชีวิต เพื่อมวลชนเบ่งบาน จนเป็นจุดกำเนิดของบทเพลงประเภทที่ เรียกว่า "เพลงเพื่อชีวิต" ตามที่รู้จักกันในปัจจุบัน และได้รับความนิยมตั้งแต่นั้นมา

เพลงเพื่อชีวิตถือกำเนิดขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากแนวคิด "ศิลปะต้องรับใช้ประชาชน" ซึ่งปรากฏในหนังสือ "ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน" ของ จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียนฝ่ายก้าวหน้า ซึ่งขบวนการนักศึกษาให้การยอมรับ

นับตั้งแต่ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองด้วยกฎอัยการศึกของจอมพลถนอม กิตติขจร สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นเป็นบรรยากาศของเผด็จการทหารสมบูรณ์แบบ นักศึกษาประชาชนถูกจำกัดการแสดงออกทางความคิดเห็น การปกครองด้วยกฎอัยการศึกของรัฐบาลทหารได้สร้างความกดดันอึดอัดใจให้แก่ประชาชน ในช่วงปี พ.ศ. 2516 ความกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์กรณี "ทุ่งใหญ่" ที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่เกิดเหตุเครื่องบินตก และได้เปิดเผยความเหลวแหลกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของทางราชการพาดาราสาวไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในการนี้ มีคณะนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงออกหนังสือเสียดสีเหตุการณ์ดังกล่าว มีผลให้ถูกตั้งกรรมการสอบสวนและถูกลบชื่อจากมหาวิทยาลัย นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งเห็นว่าเป็นการไม่ยุติธรรม จึงรวมตัวกันชุมนุมประท้วง บทเพลงเพื่อชีวิตบทเพลงแรกๆ ที่สะท้อนอุดมการณ์แห่งยุคสมัยก็ถือกำเนิดขึ้น คือเพลง "สู้ไม่ถอย" โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ในเวลาเดียวกัน สุรชัย จันทิมาธร ซึ่งร่วมในการประท้วงด้วย ได้แต่งเพลง "สานแสงทอง" โดยเอาทำนองมาจากเพลง Find the Cost of Freedom ของวงดนตรีครอสบี สติล แนช แอนด์ ยังก์ เพลงทั้งสองกลายมาเป็นจุดกำเนิดเพลงเพื่อชีวิตในยุคต่อมา

แม้การประท้วงจะประสบความสำเร็จ เหตุการณ์บ้านเมืองก็ยังตึงเครียดต่อไปด้วยปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหากรรมกรชาวนา การคอรัปชั่น นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งแม้ผู้เผด็จการทั้งสามจะหนีออกนอกประเทศแล้ว ก็ยังมีการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาโดยต่อเนื่อง

วงดนตรีเพื่อชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นคือ "คาราวาน" - สุรชัย จันทิมาธร กับวีระศักดิ์ สุนทรศรี ได้ร่วมกันก่อตั้งวงดนตรี "ท.เสนและสัญจร" เพื่อร่วมแสดงดนตรีในการชุมนุมประท้วง มีบทเพลงที่ได้รับความนิยมเช่น เพลงคนกับควาย เปิบข้าว และข้าวคอยฝน ซึ่งต่อมา ทั้งสองได้มีโอกาสรู้จักสนิทสนมกับวงดนตรีบังคลาเทศแบนด์ ที่มีทองกราน ทานา และมงคล อุทก จนได้มารวมตัวกัน กลายเป็นวงดนตรี "คาราวาน" ในที่สุด

ในช่วงนี้ เพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยมสูงสุดในแวดวงนักศึกษา ปัญญาชน วงดนตรีเพื่อชีวิตหลายวงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ พวกแรกใช้เครื่องดนตรีอะคูสติก เช่น กีตาร์ ไวโอลิน ซึง ฮาโมนิก้า และเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ และมีท่วงทำนองผสมผสานตะวันออกกับตะวันตก ได้แก่ คาราวาน, คุรุชน, กงล้อ, รวมฆ้อน, โคมฉาย ส่วนอีกพวกหนึ่งจะใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บรรเลง เพื่อปลุกเร้าให้เกิดความคึกคัก เช่น กรรมาชน, รุ่งอรุณ และไดอะเล็คติค และอีกพวกหนึ่งจะมีท่วงทำนองเพลงไทยเดิมและพื้นบ้านประยุกต์ ได้แก่ ต้นกล้า และลูกทุ่งสัจธรรม ฯลฯ เนื้อหาของเพลงเพื่อชีวิตมักเกี่ยวกับกิจกรรมนักศึกษา สถานการณ์บ้านเมือง บทกวีจากนักคิดนักเขียนรุ่นเก่าๆ อุดมการณ์สังคมนิยม และต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกา

ระหว่างปี พ.ศ. 2516-2519 สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย สับสน และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุด จุดแตกหักก็มาถึง เมื่อนักศึกษารวมตัวกันต่อต้านการกลับมาเมืองไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นิสิต นักศึกษา ประชาชน ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวง

วงดนตรีคาราวานได้ทราบข่าวก็ยุติการแสดง หลบหนีการล่าสังหารไปพร้อมกับเพื่อนนักดนตรีจากวงโคมฉาย รวม 11 คน เดินทางเข้าป่า

นักศึกษา ประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

ในช่วงระยะเวลาต่อเนื่องจาก 14 ตุลาคม 2516 ถึง หลัง 6 ตุลาคม 2519 ในช่วงนี้มีการผลิตผลงานเพลงเพื่อชีวิตแนวหนึ่งที่เรียกว่า "เพลงปฏิวัติ" ตัวอย่างผู้ประพันธ์เพลงในแนวนี้ก็ได้แก่ จิตร ภูมิศักดิ์ เช่น เพลงภูพานปฏิวัติ แสงดาวแห่งศรัทธา วาศ สุนทรจามร เช่น เพลงแดนตะราง นายผี อัศนี พลจันทร์ วัฒน์ วรรลยางกูร จิ้น กรรมาชน และ ส.เพลิง นาหลัก เป็นต้น บทเพลงเหล่านี้มีแนวร่วมคือ สะท้อนอุดมคติพรรคคอมมิวนิสต์ นำเสนอค่านิยมหลักของชาติในอุดมคติที่มีความเสมอภาค เป็นประชาธิปไตยและเป็นของประชาชน

ในสมัยนั้น มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางความคิดเป็นอย่างมาก มีการตรวจสอบสิ่งพิมพ์และมีประกาศรายชื่อหนังสือที่ห้ามอ่าน หรือมีไว้ในครอบครอง มีการควบคุมสื่อมวลชน ในยุคสมัยนี้ ไม่มีเวทีให้เพลงเพื่อชีวิตมาแสดงได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดมีขบวนการนักศึกษา และบทเพลงที่สอดแทรกอุดมการณ์เพื่อสังคมนำมาแสดงอย่างไม่เป็นที่เปิดเผย ตัวอย่างวงดนตรีในแนวนี้ก็ได้แก่ วงฟ้าสาง วงชีวี วงสตริง อมธ. ขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนั้น ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงยังมีวงเกี่ยวดาว, ดาวเหนือ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีวงนฤคหิต และที่มหาวิทยาลัยมหิดลมีวงประกายดาว มศว.บางแสนมีวงกอไผ่ นอกจากวงดนตรีเหล่านี้แล้ว ก็มีวงลูกทุ่งเปลวเทียน, พลังเพลง, น้ำค้าง พรีเชียสลอร์ด (เป็นวงชนะเลิศการประกวดเพลงโฟล์คซอง) ทะเลชีวิต เป็นต้น วงดนตรีเหล่านี้ล้วนแต่สืบสานแนวคิดมาจากยุคสมัย 14 ตุลา และ 6 ตุลา ทั้งสิ้น

 ( มีต่อครับ คอยติดตาม )
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #82 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 23:08:48 »

-ขอแทรกด้วย เพลง จากวนาสู่นาคร


ฝากใจสู่นาคร" เป็นบทเพลงที่ "แสงธรรมดา" ร่วมแต่งกับ "ปกรณ์ รวีวร" หรือสหายตา ณ ป่าภูบรรทัด(เขตงานพัทลุง ตรัง สตูล) โดยเป็นการเขียนเพลงแบบเขียนกลอน กันคนละวรรค คือ "แสง" ขึ้นต้นมาหนึ่งวรรค แล้ว "ปกรณ์" ก็แต่งต่ออีกหนึ่งวรรค สลับกันไปจนจบเพลงครับ

เพลงนี้ เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง มีการแปลงเนื้อนิดหน่อย ซึ่ง "ปกรณ์" เคยบอกว่า เนื้อหาอ่อนลงไปบ้าง แต่ก็เข้าใจว่า เป็นเพราะความจำเป็นในห้วงเวลานั้น

"ฝากใจสู่นาคร" เมื่อบันทึกเสียงในเมืองโดย "พลังเพลง" ในชื่อเพลงว่า "ยามห่างไกล"
ในยุคหลัง "คีตาญชลี" เคยนำมาบันทึกเสียงใหม่ในอัลบั้ม "คู่เท่" โดยเขียนเครดิตผู้แต่งเพลง "ยามห่างไกล" ในปกเทปว่า "ชด อิสรา" ครับ

ในขณะที่อยู่ในป่า เพลงนี้ได้บรรเลงกับวงจรยุทธที่ตรัง หลังจากนั้นก็แพร่เข้าเมืองอย่างรวดเร็ว โดยมีการแปลงเนื้อ เป็นเพลงเพื่อชีวิตที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งจากป่าในขณะนั้น
วงในป่าสมัยนั้น เขาเดินสายเล่นตามหมู่บ้าน จุดนัดพบ มีมวลชนแห่เข้าไปฟัง ทุกวันนี้คุณแสงก็ยังร้องเพลงอยู่ เห็นขึ้นเวทีเพลงปฏิวัติที่ศูนย์วัฒนธรรมเมื่อเร็วๆนี้


                                        ฝากใจสู่นาคร     


                       ขอฝากเสียงเพลงจากใจไปสู่นาคร
                     ข้ามเทือกสิงขรห้วงน้ำทะเลกว้างใหญ่
                   ถึงไกลกันสุดขอบฟ้า
                    ภูผาพนาหรือมาขวางกั้น
                    สายใยสัมพันธ์ผูกพันแน่นแฟ้น

                                          เพราะเรามีรักผูกพันด้วยอุดมการณ์
                                           ร่วมใจใฝ่ฝันมั่นในศรัทธายิ่งใหญ่
                                          อุทิศชีวิตเลือดเนื้อ
                                          เพื่อมวลประชาชนไทย
                                          นี่คือรักอันยิ่งใหญ่ศัตรูใดๆไม่อาจทำลาย


                    ไม่เคยลืมเลือน ย้ำเตือนสัมพันธ์
                     มั่นใจใฝ่ฝันสักวันคงได้กลับคืน
                     ลา.......[/b]                 

        มุ่งไปเถิดหนาฝ่าผองภัยด้วยใจเริงรื่น
                          ยิ้มเย้ยกับความขมขื่น
                          หยัดยืนท้าทายทมิฬ


              ขอให้ศรัทธาเราเป็นเหมือนดั่งดวงดาว
              ทอแสงสกาวพร่างพราวพลังยิ่งใหญ่
                 โหมเพลิงแห่งความคับแค้น
               ที่จำฝังแน่นอยู่ในดวงใจ
               ประสานเสียงเพลงแห่งชัย
             มุ่งสู่ไทยเสรี...

 
 
 

 
   [/b] 
 
 


บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #83 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 23:21:25 »

วงดนตรี พลังเพลง


วงพลังเพลง - เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ คุณคเณศวร์ วรรณโชติ และคุณน้ำทิพย์ โยธินพัฒนะ


หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 การเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกรูปแบบมีอันต้องหยุดชะงักไปอย่างเด็ดขาด นักศึกษาปัญญาชนส่วนใหญ่เดินทางเข้าป่าเพื่อสานต่ออุดมการณ์ที่ตนยึดมั่น ส่วนนักศึกษาปัญญาชนที่ยังอยู่ในเมืองก็ต้องยุติบทบาทของตนไปโดยปริยาย แต่ก็ยังมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันขึ้นในฐานะที่เป็นตัวแทนแนวร่วมด้านวัฒนธรรมในภาคสังคมเมือง และเริ่มการเคลื่อนไหวอีกครั้งในรูปแบบของการออกเทปเพลงใต้ดิน เพื่อใช้เพลงเพื่อชีวิตเป็นสื่อเชื่อมประสานระหว่างเมืองกับป่า ให้เสียงเพลงเป็นกำลังใจปลุกปลอบขวัญนิสิตนักศึกษาปัญญาชนที่บอบช้ำและเคว้งคว้างให้มีหลักยึดร่วมกัน และให้เสียงเพลงทำหน้าที่ปลุกเร้าจิตสำนึกของความถูกต้องดีงามในสังคม หล่อเลี้ยงกำลังใจที่ยังหลงเหลืออยู่ เสริมสร้างพลังใจให้เต็มเปี่ยมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังของเสียงเพลง และเป็นกำลังใจให้กับคนที่เข้าไปอยู่ในป่า ว่าสิ่งที่สร้างมาร่วมกันจะดำเนินอยู่ต่อไป

หนุ่มสาวเหล่านี้รวมตัวกันขึ้นในนามของ "กลุ่มพลังเพลง"

กลุ่มพลังเพลงผลิตผลงานออกจำหน่ายทั้งสิ้น 3 ชุด เทปชุดแรกชื่อชุด "พลังเพลง" (พ.ศ. 2520)  เกิดจากการรวมตัวของ นิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อผลงานได้รับการเผยแพร่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่นิสิตนักศึกษาสถาบันต่างๆ อย่างรวดเร็ว
กลุ่มพลังเพลงก็ออกผลงานชุดที่สอง "เธอคือความหวัง" (พ.ศ. 2521) ตามมา โดยมีสมาชิกเป็นนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยหอการค้า เพิ่มเข้ามา
 ตามมาด้วยผลงานชุดที่สาม คือ "ชุดปรับปรุงใหม่" (พ.ศ. 2522) โดยมีศิลปินวงโฮป (สุเทพ ถวัลย์วิวัฒนกุล - ผู้เขียน) ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มพลังเพลงได้นำเอาเพลงในชุดที่ 1 มาเรียบเรียงดนตรีและเสียงประสานใหม่ ทำเป็นเทปชุดที่สามออกเผยแพร่

ในปี พ.ศ. 2523 การแตกแยกทางความคิดของนักศึกษาที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในป่า รวมทั้งนโยบาย 66/23 "ป่าคืนเมือง" ของรัฐบาล เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยล่มสลาย เหตุการณ์การต่อสู้ทางการเมืองเปลี่ยนไป นักศึกษาและผู้รักความเป็นธรรมทยอยกลับคืนสู่เมือง ประกอบกับมีวงดนตรีเพื่อชีวิตที่จัดการแสดงดนตรีอย่างเปิดเผยเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก บทบาทของกลุ่มพลังเพลงในการออกเทปใต้ดินเพื่อเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับป่าจึงสิ้นสุดลง

แต่ช่วงเวลาเพียงแค่ 3 ปีกับผลงานเพลง 3 ชุด ก็ทำให้ชื่อของกลุ่มพลังเพลงได้จารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการเพลงเพื่อชีวิตของไทย
 ในฐานะที่เป็นกลุ่มศิลปินเพลงเพื่อชีวิตเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถผลิตผลงานออกเผยแพร่ได้ในช่วงเวลาแห่งการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางความคิด

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2519 ก่อนจะมาเป็นวงพลังเพลง นิสิตคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รวมตัวกันตั้งวงดนตรีกลุ่มผู้หญิงจุฬา
เพื่อเคลื่อนไหวเรื่องปัญหาผู้หญิง และพยายามเคลื่อนไหวให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจแนวคิดทางการเมือง
 คุณคเณศวร์ วรรณโชติ ซึ่งขณะนั้นเป็นนิสิตปริญญาโทคณะวิทยาศาสตร์ได้เข้าร่วมเล่นดนตรีกับวงผู้หญิงจุฬาด้วย

ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปี พ.ศ. 2519 ประมาณช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม เป็นช่วงที่วงดนตรีกลุ่มผู้หญิงจุฬาเริ่มออกแสดง
 โดยตระเวนเล่นดนตรีตามคณะต่างๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะที่วงอื่นๆ เริ่มเล่นเพลงเพื่อชีวิตหนักๆ
มีเพียงวงดนตรีกลุ่มผู้หญิงจุฬาวงเดียวที่ยังคงเล่นเพลงเบาๆ ที่เข้าถึงผู้ฟังในวงกว้าง
 ตัวอย่างเช่น เพลงฉันปรารถนา สิ่งฝันในใจนี้ สลัม เป้าหมายการศึกษา
แต่วงดนตรีเปิดแสดงอยู่ได้ไม่นานก็ต้องยุติบทบาทตัวเองลงด้วยเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาผ่านพ้น
 คุณคเณศวร์จึงรวบรวบเพื่อนพ้องที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันในกลุ่มผู้หญิงจุฬาอีกครั้ง
และตั้งวงพลังเพลงขึ้นในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2520

"การเคลื่อนไหวทางการเมืองตอนช่วงนั้นอันตรายมากเลยนะครับ ไม่ว่าจะทำอะไรนี่ มีโอกาสจะตายได้ตลอด ทุกครั้งที่มีการชุมนุมนี่จะมีการขว้างระเบิดใส่หมู่นักศึกษา ตายกันไปเยอะ

เหตุการณ์มันวิกฤตมาตลอด การเมืองมันใกล้จุดแตกหักมาเรื่อยๆ แต่ละคนไม่กลัวอะไรแล้ว จะคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ก็แสดงออกมาหมด ทุกคนเคลื่อนไหวกันอิสระมาก มันก็เลยบีบสถานการณ์ให้งวดเข้ามาเรื่อยๆ แต่พอหลัง 6 ตุลาถือเป็นจุดแตกหัก ทุกอย่างหยุดหมดเลย เพราะถูกจับง่ายมาก มีโอกาสเสี่ยงสูงมาก

การเคลื่อนไหวต่างๆ ตายสนิท เราทำอะไรไม่ได้เลย ยาวนานมาก มหาวิทยาลัยปิดไปเลย ปิดไปนานมาก จนเปิดเทอมการเคลื่อนไหวก็ไม่เกิด เพราะพวกเด็กกิจกรรมจำนวนมากหายไปหมดแล้ว หากันไม่เจอเลย เรียกว่าไม่เหลืออะไรแล้ว มันหมดไปแล้ว เหมือนกับมืดแปดด้าน ก็งงกับสถานการณ์ว่าทำไมมันถึงผิดพลาดทำให้ต้องหยุดเคลื่อนไหวไปอย่างนี้

พอเปิดเทอมมา ผมก็พยายามตั้งสติ รู้สึกเหมือนเราถูกปิดล้อม ก็ค่อยๆ ตั้งสติ คิดว่าทำยังไงจะสร้างความเคลื่อนไหวได้ ผมจึงรวบรวมคนที่เคยเล่นดนตรีด้วยกัน มาคุยกันว่า เราน่าจะมาเคลื่อนไหวด้วยเพลงเพื่อชีวิตอีกครั้งไหม เพราะว่าถ้าเป็นเพลงที่มีลักษณะเป็นการเมืองจริงๆ ก็คงจะทำไม่ได้ เพราะคงจะอันตรายเกินไป ก็คิดว่าน่าจะลองดูด้วยเพลงลักษณะนี้ พยายามจะเปิดความเคลื่อนไหวให้ได้"

 
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #84 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2551, 23:38:33 »

อ่านต่อ



กลุ่มพลังเพลงได้รวบรวมเพลงที่เป็นที่รู้จักกันในขณะนั้น นำมาเรียบเรียงดนตรีใหม่
เพลงที่วงพลังเพลงนำเสนอนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อหาของเพลงที่ออกไปในแนวสร้างสรรค์ ให้กำลังใจ สร้างความหวัง และสร้างศรัทธาในพลังของนักศึกษา
 โดยนำเสนอผ่านท่วงทำนองที่ไพเราะ อ่อนหวาน ไม่ได้ออกไปในแนวเสียดสีสังคมหรือปลุกระดมให้เกิดความคิดที่รุนแรง
คุณคเณศวร์อธิบายเหตุผลในการคัดเลือกเพลงเหล่านี้ว่า

"จุดประสงค์ของวงตอนนั้น เราพยายามเผยแพร่เพลงที่มีเนื้อหาง่ายๆ เราพยายามรวบรวมเพลงที่มีอยู่ในสมัยนั้นให้มากที่สุดเพื่อมาเผยแพร่
 ตอนที่ทำงานตอนนั้นเราไม่ได้สนใจว่าเป็นเพลงขอใคร มาจากไหนยังไง แต่เป็นเพลงที่มวลชนฟังได้ รับได้ เราก็รวบรวมมา

เราเล่นเพลงที่ไม่รุนแรง มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสังคม เพลงที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา (นักศึกษา) สมัยนั้น
ในช่วงนั้นวงอื่นๆ เล่นเพลงปฏิวัติ จับปืนกันหมดแล้ว เราเห็นว่ามีแนวร่วมอีกจำนวนมากที่ไม่ฟังเพลงแนวนั้น
 เพราะฟังแล้วเขาอาจจะกลัว อาจจะรู้สึกแปลกแยก


กระแสการเมืองยุคนั้นมันบอกว่า ถ้าคุณเล่นแต่เพลงรัก คุณก็จะเป็นคนไม่มีคุณค่า
 กระแสสังคมมันแรง ใครๆ ก็อยากเล่นเพลงแบบนี้ แต่ถ้าแรงเกินไป จะจับแต่ปืน คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วย
 มันเลยมีขอบเขตมาให้เราเคลื่อนไหวอยู่ตรงนี้ เพลงมันไม่ใช่เพลงรัก มีเนื้อหาพอใช้ได้
แต่บางทีก็มีความเพ้อฝัน พูดถึงสิ่งสวยงาม บางคนในสมัยนั้นก็มองว่าเราเล่นเพลงอ่อนเกินไป อยากจะให้เล่นอะไรที่แรงกว่านี้"

นอกจากจะรวบรวมเพลงเพื่อชีวิตที่ไพเราะ ฟังง่าย มานำเสนอแล้ว
วงพลังเพลงยังได้แต่งเพลงใหม่เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากเห็นว่าเพลงที่รวบรวมมาบางส่วนยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนมากพอ
คุณคเณศวร์เล่าถึงการแต่งเพลงในยุคนั้นว่า "อย่างเพลงสู่เส้นชัย เพลงนี้เป็นของพลังเพลงเองครับ
 เพราะว่าเริ่มต้นมีคนในวงแต่งบรรทัดแรกขึ้นมา ผมก็ใส่ทำนองเข้าไป
พอได้คู่แรกปั๊บ คนในวงก็มาช่วยกันทีละบรรทัดสองบรรทัด จนออกมาเป็นเพลง ไม่มีเพลงไหนของพลังเพลงที่แต่งคนเดียวเลย

รำวงสามัคคี ผมสตาร์ทไว้ 2 บรรทัดแรก ใส่ทำนองไว้ แล้วคนในวงอีก 2 คนก็มาช่วยแต่งต่อจนจบ

ในการแต่งเพลง เนื้อเพลงจะมาก่อน ดังนั้น ทำนองเพลงของเราจะถูกบังคับด้วยเสียงวรรณยุกต์ของคำ
 แล้วก็ใส่คอร์ดพื้นฐานเข้าไปเป็นเพลง เพลงที่เล่นส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงโฟล์คซองน่ะครับ
แล้วก็มีเครื่องดนตรีอื่นเพิ่มเข้าไปบ้าง เช่น มีขลุ่ยบ้าง ออร์แกนบ้าง กลองเล็กๆ บ้าง"

หลังจากรวมกลุ่มกันได้แล้ว กลุ่มพลังเพลงก็เริ่มการเคลื่อนไหวด้วยการทำเทปเพลงใต้ดิน
โดยตั้งใจจะทำเทปเพลงอย่างเดียว ไม่แสดงดนตรีเป็นอันขาด เนื่องจากคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ
 เพราะสถานภาพของนิสิตนักศึกษาตอนนั้นยังไม่มั่นคงเพียงพอ

"จุดที่เริ่มตั้งหลักได้คือเดือนมกรา ปี 20 เราก็ทดลองเริ่มการเคลื่อนไหวดู
แต่ทำเป็นเทป ไม่ได้เป็นตัวคน ก็ยังอุ่นใจว่าอันตรายมันน่าจะไม่มาก แต่ก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะปลอดภัย
เพียงแต่ว่าในกระบวนในการทำงาน สิ่งสำคัญก็คือเราปิดลับทุกขั้นตอน
 ที่สำคัญก็คือคนในวงเป็นคนที่รู้จักกันมายาวนาน ทุกอย่างปิดลับหมด ก็จะปลอดภัย

เราทำเทป ไม่มีใครรู้จักตัวเรา เราบันทึกเสียง เราไม่ใช้ห้องอัด เราใช้บ้าน
 เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครรู้การเคลื่อนไหว เราไม่เคยจ้างใคร ทำเองหมด มันเลยปิดลับอยู่ทุกขั้นตอน
 การขายก็กระจายไปตามสายงาน เป็นคนคนเดียวที่รู้จักผม พอมันกระจายออกไปเรื่อยๆ ก็มีคนที่รู้จักมารับไปบ้าง
แต่ก็มีแค่ 2-3 คนที่สนิทกันจริงๆ ทุกอย่างมันก็เลยปิดลับอยู่ได้

ตอนมกรานี่เราเริ่มนัดพบกัน ซ้อมดนตรีกันจริงๆ
ตอนปิดเทอม ช่วงเดือนเมษา ซ้อมกันที่ศาลาพระเกี้ยวชั้นบน ตรงที่มันเป็นมุมๆ
ตอนแรกเราตั้งใจว่าเปิดเทอม ปี 20 เทอมหนึ่ง เราจะเคลื่อนไหว แต่ทำไม่ทัน ช้าไปเดือนนึง
 แต่พอเทปออกไปสัก 2-3 สัปดาห์ เดินผ่านหอประชุม เอ๊ะ มีคนเปิดเพลงเรา ก็ยังแปลกใจว่ามาได้ยังไง
เพราะคนที่เราให้ไป ที่เป็นสายงานก็ไม่ใช่คนในจุฬา ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

คุณน้ำทิพย์ โยธินพัฒนะ เล่าให้เราฟังถึงบรรยากาศในการทำเทปเพลงใต้ดินในช่วงนั้นว่า

"เราไม่เปิดตัว เราออกจากบ้านก็ไม่บอกพ่อแม่ เราได้ยินเพลงเราก็ทำเป็นไม่รู้ว่าเป็นเพลงของใคร
แต่เรารู้สึกว่าเป็นพันธกิจที่เราต้องทำ ต้องเดินทางไปไกลแค่ไหนเราก็ไปกัน ไปเจอกันทุกอาทิตย์เลย
 ช่วยกันทำเทป ก็เป็นช่วงที่เหนื่อยกันมาก การทำเพลงเหมือนกับเป็นการทำงานใต้ดิน ต้องทำกันตามบ้าน
 เราตระเวนไปเรื่อยๆ ตามบ้านเพื่อน ใช้ห้องนอนเกือบทุกบ้านเพราะมันเงียบสงบที่สุด

จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เสี่ยงเลยนะ สมาชิกบางคนอย่างนักร้องชื่อน้องกุ้งเต้น (นันทนา เดชะบุญประทาน - ผู้เขียน) นี่
เสียงเป็นเอกลักษณ์มากเลย คือถ้าเรียกมาร้องเทียบกับเทปนี่ก็รู้เลยว่าเป็นใคร ติดคุกได้เลย
 เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามันไม่เสี่ยงนะ มันก็เสี่ยงมาก แต่เขาก็ยังอยู่กับเรามาตลอด
อันนี้มันทำให้เห็นว่าพลังนักศึกษาเป็นพลังบริสุทธิ์ ถึงเราจะไม่มีแนวคิดทางการเมืองที่เข้มแข็งหรือว่าซ้ายสุดขั้ว
 แต่เรื่องใจรักความเป็นธรรมนี่ เราเชื่อว่าทุกคนมีอยู่ ทุกคนมีใจให้"

สำหรับวิธีการบันทึกเสียงนั้น คุณคเณศวร์เล่าว่า "ในการบันทึกเสียง เราจะเล่นเครื่องดนตรีทุกเครื่องพร้อมกัน
ความดัง ความชัด ความเบามันจะขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างเครื่องดนตรีกับเครื่องบันทึก
ไม่ได้อัดเสียงทีละชิ้นแล้วค่อยเอามามิกซ์กันเหมือนสมัยนี้ เราเล่นพร้อมกันหมดหลายๆ รอบ
 พอรอบไหนสมบูรณ์เราก็หยุด เพลงนั้นเราก็จะไม่แตะมันอีก เปลี่ยนไปอัดเพลงใหม่

ช่วงทำเทป จะนัดกันอาทิตย์ละครั้ง ทั้งซ้อม ทั้งบันทึกเสียง การซ้อมกับการบันทึก
จริงๆ มันก็คือสิ่งเดียวกัน ซ้อมไปด้วยอัดไปด้วย จนกว่ามันจะใช้ได้ เพลงไหนอัดแล้วก็ทิ้งมันไปเลย
ไม่หยิบมาเล่นอีกเพราะไม่ได้แสดง เพลงเดิมเสร็จเราก็แสวงหาเพลงใหม่มาทำอีก ไม่เล่นเพลงเดิมซ้ำ มาทำซ้ำเพลงเดิมก็ตอนชุดที่สาม

ส่วนชุดสองห่างจากชุดแรกไม่เกิน 1 ปี ช่วงนั้นการผลิตเป็นเรื่องหนักมาก
ผลิตได้ช้ามากเพราะใช้เทปคาสเซ็ทมาต่อกัน ทั้งการสั่งของและอื่นๆ เป็นปัญหามาก
ช่วงที่ผมผลิตเองมีประมาณ 6,000-7,000 ม้วน พอเราได้เงินทุนกลับมาส่วนนึงเราก็ไปซื้อ tape deck มาพ่วง
ให้มันเพิ่มปริมาณมากขึ้น พอการผลิตมันอยู่ตัว ก็เริ่มมาทำเพลงชุดสอง ทำกันหามรุ่งหามค่ำ 24 ชั่วโมงน่ะครับ
เพราะว่าเครื่องมันน้อย แทบไม่ได้นอนเลยครับ ความคิดที่ว่าเราจะไม่จ้างใครผลิต มันปลอดภัยมากขึ้น แต่ก็เหนื่อยมาก

แต่ก็ดีที่ช่วงแรกๆ เขาก็สั่งนะครับ ไม่ไปก๊อปปี้กันต่อ พอผ่านไปสักปีก็มีคนเอาไปก๊อปปี้ขายกันเยอะ
 ซึ่งเราก็ว่าดีนะ เพราะเราต้องการให้มันแพร่หลายไปในวงกว้าง ครั้งสุดท้ายมี tape deck 10 เครื่อง
การผลิตเกือบไม่หยุดเลย ทุกวัน เป็นปีๆ สลับเวรกันทำ ระหว่างผมกับแม่

เราไม่มีเวลาคิดถึงผลของมันเลย มีคนสั่งมาก็ทำไป ผลของมันแค่ไหนยังไงนี่ไม่ได้อยู่ในหัวเลย
เรื่องผลกระทบของมันเราก็ไม่ได้นึกถึง เราแค่พยายามผลักดันให้มีการเคลื่อนไหวเท่าที่เป็นไปได้"

คุณคเณศวร์ได้เล่าถึงแรงผลักดันที่ทำให้เขาทุ่มเทให้กับวงพลังเพลงให้เราฟังว่า
 "สำหรับผม การทำงานเกี่ยวกับพลังเพลง ไม่เคยคิดว่ามันสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
 แต่เวลาที่ผ่านมายาวนาน ความคิดสำคัญที่ทำพลังเพลงมาได้ มี 2 อย่าง

หนึ่งก็คือ เรามีปรัชญาที่เรียนรู้มา สอนเราว่า ท่ามกลางความมืด มันต้องหาหนทางให้เจอ
ในวัยของเราที่อยู่ตอนนั้น เราไม่รู้หรอกว่านี่มันคือสิ่งที่เป็นจริง มันเหมือนกับว่ารู้จักสิ่งนี้มานะ อ่านจากสรรนิพนธ์มา
 เราจะพยายามทำมัน มันเป็นเหมือนการชี้นำที่สำคัญ ทำให้เราพยายามหาหนทางนี้ออกมาให้ได้ ท่ามกลางความมืด มันต้องมีหนทางที่ฝ่าได้

อีกอย่างนึงก็คือ การทำงาน มันเหมือนลุงโง่ย้ายภูเขา เราต้องทำให้เหมือนลุงโง่ให้ได้
ความรู้สึกยากลำบากในการทำงานของเราที่อยู่กับงานนี้อาจจะไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่ามีความยากลำบาก
 แต่ผมรู้สึกว่าการทำงานนี้เป็นสิ่งที่หนักมากสำหรับชีวิตผม และผมรู้ว่าในชีวิตนี้ทำอย่างนี้ได้เพียงครั้งเดียว
ให้ทำอีกครั้งนึงไม่มีวันทำ แต่ที่ทำมาได้เพราะนิทานเรื่องลุงโง่ย้ายภูเขาเป็นสิ่งที่ชี้นำเรา ผมจึงอดทนทำมาได้เป็นเวลาหลายๆ ปี

ปรัชญาชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เราควรให้กับเยาวชนของเรา เพราะถ้าไม่มีมัน มันยากที่จะให้เขาก้าวไปสู่สิ่งที่ดีได้
และให้เขาคิดเองไม่มีวันเจอ ผมเองก็ไม่ได้เจอมันด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะว่าเรียนรู้จากหนังสือ
จากสิ่งที่คนอื่นสอน อะไรหลายๆ อย่าง มันจึงทำให้เราเดินบนหนทางนี้ได้มาตลอดรอดฝั่ง



 ผมว่า ถ้าไม่มี 2 สิ่งนี้ก็จะไม่มีพลังเพลง ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร
อาจจะขอบคุณสรรนิพนธ์ กับขอบคุณลุงโง่ ท่ามกลางความยากลำบาก ถ้าไม่มีอะไรชี้นำเรา เราอดทนทำมันไม่ได้หรอกครับ"


แม้เวลาจะผ่านมาแล้วถึง 30 ปี สมาชิกในกลุ่มพลังเพลงต่างแยกย้ายกันไปดำเนินชีวิตตามวิถีที่แตกต่าง
 แต่ก็ยังคงไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากความผูกพันแนบแน่นที่ก่อตัวขึ้นจากการทำงานร่วมอุดมการณ์กันในครั้งนั้น
คุณน้ำทิพย์เล่าถึงความประทับใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพลังเพลงว่า

"บรรยากาศที่เรามาร่วมกันทำงาน เป็นอะไรที่ประทับใจ เราไม่ได้รู้จักเพื่อนจากมหาวิทยาลัยอื่นมาก่อน
แต่ก็มีการเชื่อมประสานกันได้โดยธรรมชาติ บางทีเพื่อนจากประสานมิตรก็มาช่วย ไม่รู้ว่าใครพาเข้ามา
 มันมีความหลากหลาย แล้วทุกคนก็มีความตั้งใจที่จะผลักดันให้มีอะไรดีๆ ออกมาให้สังคม
 สิ่งเหล่านี้ เพลงเหล่านี้เป็นตัวหล่อเลี้ยงเป็นกำลังใจให้เราอยากทำสิ่งดีๆ อยู่ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจคนที่อยู่ในป่า
เพื่อนฝูงที่เข้าไป หรือไม่ได้เข้าใจระบบพรรคมากมาย เพลงมันมีความหมายด้วยตัวมันเอง แม้จะไม่มีใครมาบอกเราเป็นคำพูดก็ตาม

ในความที่เรามีส่วนร่วมในการร้องเพลง เรารู้สึกว่าเพลงที่เราร้องมันไม่ใช่แค่เพลง
แต่มันเหมือนเป็นการ commit ตัวเองด้วยนะ ถ้าเราร้องเพลงออกมาแล้ว มันเหมือนกับเราจะต้องเป็นแบบสิ่งที่เราร้องด้วย
ไม่อย่างนั้นเราจะร้องไม่ได้ สิ่งที่จะฝากกับคนรุ่นใหม่ก็คือ อยากให้หาอะไรที่มันเป็นแรงจูงใจให้มีเป้าหมาย
ให้เห็นคุณค่าของชีวิตที่จะทำให้เดินไปข้างหน้าได้"

นับจากปี พ.ศ. 2520 ที่กลุ่มพลังเพลงได้ผลิตเทปเพลงชุดแรกออกจำหน่าย
เพลงทุกเพลงในอัลบั้มก็ได้รับความนิยมแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว
แต่ก็ไม่มีใครได้รู้จักสมาชิกในกลุ่มพลังเพลงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเลย จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2541 องค์กร 14 ตุลา
ได้ใช้ความเพียรพยายามในการค้นหากลุ่มพลังเพลงซึ่งปิดตัวมานาน
และในที่สุด กลุ่มพลังเพลงก็ได้เปิดตัวแสดงสดเป็นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง ในงาน 25 ปี 14 ตุลา
คนเดือนตุลาและคนในวงการเพลงเพื่อชีวิตจึงได้มีโอกาสได้รู้จักตัวตนของวงดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุด
จนกลายเป็นตำนานของเพลงเพื่อชีวิตในยุคหลัง 6 ตุลา 2519[/b
]
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #85 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 09:07:03 »

อ่านที่ พี่ตะวัน เล่าให้ฟัง ทำให้หวนไปถึงอดีต สมัย 6 ตุลา 19
ใครอยู่ในสมัยนั้น จะเข้าใจบรรยากาศ สมัยนั้นได้ดี
ทำให้รู้ กลุ่มพลังเพลง
พี่ยังมีเพลงของ กลุ่มพลังเพลง เหลืออยู่บ้างหรือเปล่า
จะได้รวมชุด เอามาอัด แจกจ่าย ให้ผู้สนใจได้ฟังกัน

ขอบคุณ พี่ตะวัน หลายๆเด้อ
บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #86 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 10:03:46 »

น้องสมชาย

พี่มี เทปพลังเพลง อยู่เพียง 1 ม้วน และวงน้ำค้าง 1 ม้วน ยินดีที่จะให้ไป ก๊อป แจกจ่ายพรรคพวก นอกจากนี้พี่จะคัดเพลงเด่นๆ ที่เป็นเพลงปฏิวัติ เช่น
จากลานโพธิ ถึงภูพาน คนทำทาง แสงดาวแห่งศรัธา ฯลฯ ทำเป็นมาสเตอร์ให้สมชายไปอัดแจกแก่ผู้ที่สนใจ จะดีมั้ย
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #87 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 10:35:56 »

วงน้ำค้าง  เป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตอีกวงที่เกิดขึ้นในช่วง 6 ตุลา 19
และนี่ คือเรื่องราวที่น่าสนใจ ของวง น้ำค้าง



วงน้ำค้าง - เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ ผศ.นพ.สัญญา ภัทราชัย (ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี)


แม้ภารกิจในอาชีพปัจจุบันของคุณหมอสัญญาจะอยู่นอกวงการดนตรี แต่ด้วยอิทธิพลครอบครัวที่หล่อหลอมมาแต่เด็ก
 ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ทำให้คุณหมอผลิตงานเพลงเพื่อชีวิตที่ไพเราะเป็นที่จดจำออกมาได้
 คุณหมอสัญญาเกิดในครอบครัวคนรักดนตรี พ่อเล่นซอจีนและฮาร์โมนิก้าได้เก่งมาก
 พี่ชายเล่นเมาท์ออร์แกน แถมยังเป็นนักฟังเพลง สะสมแผ่นเสียงเพลงคลาสสิกเป็นพันแผ่น
คุณหมอจึงได้ฟังเพลงพวกนี้ตั้งแต่เด็ก ตอนที่พี่ชายไปอเมริกา ก็ยกแผ่นเสียงเหล่านั้นมาให้น้องชายฟังต่อ จนเกิดความคุ้นเคย

 พอไปอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญซึ่งมีวงออร์เคสตร้าที่สมบูรณ์แบบ ได้เห็นบราเธอร์เล่นไวโอลินชั้นเยี่ยมจากเยอรมัน
 ก็ไปขอเรียนด้วย เรียนจนจบ บราเธอร์แถมไวโอลินเยอรมันมาให้อีกต่างหาก คุณหมอสัญญาจึงเล่นไวโอลินมาเรื่อยๆ

จนมาเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้ละทิ้ง
 ไปร่วมเล่นไวโอลินในวงจามจุรีออร์เคสตร้าที่อาจารย์โกวิทย์ (รศ.ดร.โกวิทย์ ขันธศิริ - ผู้เขียน) ก่อตั้งขึ้น
พอตกเย็น บางทีอาจารย์ไปรับเล่นดนตรีในงานต่างๆ เช่น งานแต่งงาน คุณหมอก็ตามไป ได้ประสบการณ์พิเศษ
แล้วอาจารย์ยังได้ให้คำแนะนำเทคนิคการเล่นเพิ่มเติมให้ด้วย

ช่วงปี พ.ศ.2516 คุณหมออยู่ปีสาม เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา วันมหาวิปโยค
 ตอนนั้นเพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยม คุณหมอก็ได้ฟังเพลงของวงคาราวาน เช่น เพลงเปิบข้าว คนกับควาย
ก็ถูกใจว่าเป็นเพลงสไตล์ที่ไม่เคยฟังมาก่อน เมื่อทางสโมสรนิสิตแพทย์พยายามจะฟอร์มวงเพื่อชีวิตเพื่อเคลื่อนไหว
คุณหมอจึงไม่รีรอที่จะเข้าร่วมด้วย โดยตั้งชื่อวงว่า วงน้ำค้าง ออกเทปชุด "ตะวัน" มีการนำเพลงของวงคาราวานมาเล่นบ้าง
เพลงของจิตร ภูมิศักดิ์บ้าง นอกจากนั้นก็มีเพลงของคุรุชน อินโดจีน ฯลฯ


คุณหมอเล่าให้ฟังถึงกำเนิดของเพลงที่วงน้ำค้างเล่นและมีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้ว่า
"มีอยู่วันหนึ่งคณะอักษร จุฬาฯ จัดงานชื่อ "งานพลังเพลง" เห็นคณะแพทย์มีวง ก็เชิญมาเล่น
 คืนนั้นผมก็เลยนั่งเขียนเพลง "พลังเพลง" อาศัยว่าเราคุ้นเคยกับเพลงคลาสสิก เขียนโน้ต เขียนคอร์ดได้ มันมาด้วยกัน
ความจริงก่อนหน้านั้นก็เขียนเพลงมาแล้ว แต่ว่ามันห่วย ...ผมเล่นไวโอลิน กีตาร์ เมาท์ออร์แกน สามอย่าง ก็เขียนเพลงมา
 คืนนั้นแต่งสองเพลงเลย เพลง "พลังเพลง" กับเพลง "น้องใหม่" พอตอนเช้าก็มาเล่นให้เพื่อนฟัง เขาก็บอกว่าเพลงน้องใหม่ดี ไม่ได้แก้อะไรเลย
ส่วนเพลงพลังเพลง เพื่อนแก้คำร้องบางคำ บอกว่าเนื้อมันอ่อนไป ก็ไปเล่นในงาน"


งานนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ได้รับคำชมเชยจากทุกฝ่าย รวมถึงผู้ใหญ่อย่าง คุณอนุช อาภาภิรมย์ ด้วย
นั้น คุณหมอก็ทดลองเอาเพลงเป้าหมายการศึกษา ของวิทยากร เชียงกูล มาใส่ part ไวโอลิน เป็น counterpoint เล่นมาเรื่อยๆ

จน 3 ปีต่อมา เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คุณหมออยู่ปี 4 ขึ้นปี 5 ในฐานะที่เป็นวงดนตรีนักศึกษาแนวเคลื่อนไหว
ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ด้วย จึงต้องหยุดกิจกรรม
 เนื่องจากเกรงจะถูกเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณหมอเล่าถึงเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคมว่า

พอบ่ายตำรวจก็มาบุกที่ทำงานของภาควิชา สโมสรนิสิตจุฬาฯ มาไล่จับรุ่นพี่ ค้นหอพัก
จับหนังสือสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุงอะไรแบบนี้ จากนั้นขบวนการนักศึกษาก็ตายสนิทเลย มีไม่ได้เลย นักศึกษากลายเป็นผู้ร้าย
 ในขณะที่ 14 ตุลา นักศึกษาเป็นพระเอก ขึ้นสามล้อฟรี กินข้าวฟรี ชาวบ้านเห็นว่าขับไล่ทรราชได้
แต่หลัง 6 ตุลา นักศึกษากลายเป็นผู้ร้าย ไปไหนคนก็เขม่นกัน ว่ามันเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์หรือเปล่า
และวงการเพลงเพื่อชีวิตก็ไม่มี เข้าป่ากันหมดเลย มีแต่เพลงอย่างดาวใจ ไพจิตร เพลงผัวๆ เมียๆ เพลงเมียน้อย อะไรแบบนี้"


"แม้จะกระทำกิจกรรมดนตรีกันอย่างต่อเนื่องมา แต่ก็ไม่เปิดเผยตัวมากนัก
คุณหมอเล่าว่า "จะอัดเสียงเอง ผลิตเอง ไม่ถึงกับวางขายตามห้าง
และเวลาแสดงก็ไม่เคยถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ถ้าอยากได้รูปต้องไปถามสันติบาล สันติบาลจะมี สมัยนั้นผู้ใหญ่ไม่สนับสนุน
การเมืองก็ยังมีรัฐบาลที่เป็นทหารอยู่ ไม่มีใครกล้าไปชนหรอก วงนี้ก็เลยต้องกระเสือกกระสนเล่นไปตามมีตามเกิด
นักศึกษาก็ต้อง support กันเอง ไปเล่นเขาก็เลี้ยงข้าวเรา มีข้าวห่อ อัดเทปก็ไปอัดห้องไม่ดีเท่าไหร่ สุ้มเสียงก็แย่"

ในท่ามกลางความมืดมนของการสร้างสรรค์และการเคลื่อนไหวของกิจกรรมนักศึกษา
มีเทปเพลงชุดหนึ่งเกิดขึ้นมา เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างคุณหมอกับวงดนตรีนักศึกษาอีกคณะที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

"มีเทปชุดหนึ่งเกิดขึ้นมาในวงการนักศึกษา เพลงแรกของเทปคือเพลงพลังเพลง เป็นเพลงที่ผมแต่ง
 มันเหมือนกับเป็นฝนที่ตกลงมาในทุ่งกุลาร้องไห้หยดแรก มันก็ดังมากๆ ดังจากเหนือจรดใต้ อีสานจรดตะวันตก
ทุกๆ คนก็ถามว่าวงนี้เป็นใคร พยายามจะหา ขอเชิญไปเล่น วงนี้ก็ไม่ยอมเปิดตัว กลัวกระแสการเมือง ขออยู่ใต้ดินดีกว่า ขายเทปไปเรื่อย"
แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน คุณหมอสัญญาก็รู้สึกยินดีที่เพลงของตนได้รับการเผยแพร่
"วงพลังเพลงนี่มารู้จักทีหลัง เขามาขอลิขสิทธิ์ กลัวว่าผมจะว่า ผมก็บอกว่าเอาไปเหอะ ไม่ว่าหรอก
ต้องขอบคุณที่วงของคุณทำเทปออกมาจุดประกาย"


นอกจากเพลงพลังเพลงและเพลงน้องใหม่ ของคุณหมอสัญญาที่ทางวงพลังเพลงเอามาเผยแพร่อย่างลับๆ แล้ว
เพลงที่โด่งดังได้รับความนิยมอื่นๆ ก็เช่น เพลง "น้ำค้างบนปลายหญ้า" อันเป็นที่มาของชื่อวง "น้ำค้าง"
คุณหมอได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากภาพถ่ายในนิตยสารฝรั่งเกี่ยวกับธรรมชาติ
และได้ดัดแปลงทำนองเพลง Bridge of London มาเป็นทำนองเพลงเพลงนี้ เนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นไปของธรรมชาติ
ความไม่คงทนของสรรพสิ่งทั้งหลาย ต่อมา วงพลังเพลงได้นำเพลงนี้ไปขับร้องและเปลี่ยนเนื้อท่อนสุดท้ายเป็น
 "มองน้ำค้างบนปลายหญ้า ล่วงเวลาก็มลาย แต่ชีวิตมีความหมาย อยู่เพื่อใครในสังคม" เพื่อให้มีเนื้อหาเป็นลักษณะ "เพื่อสังคม" มากขึ้น


อย่างไรก็ดี บทเพลงที่เป็นผลงานของคุณหมอสัญญาที่โด่งดังที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ
เพลง "อยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก" คุณหมอเล่าความเป็นมาของบทเพลงเพลงนี้ว่า

"เกิดจากการที่เพื่อนผมที่เป็นหมออีกคนหนึ่ง เอากลอนเปล่ามาให้ บอกว่าความหมายมันดี
อยากให้ยูแต่งเพลงให้ ผมก็ไปใส่คอร์ดให้ ใส่ไวโอลิน คือลักษณะเด่นของวงผมนี่ก็คือว่า
 ไวโอลินจะเป็นทั้ง leading melody, เป็น harmony และบางทีก็เล่นคอร์ดด้วย เป็น double stopping
อย่างเพลงนี้ก็ใส่ double stopping เยอะมาก มันก็สนุก คนฟังก็ติดหูก่อน ก็ไปเล่น แสดงที่หอประชุมจุฬาฯ หาเงินช่วยน้ำท่วมภาคใต้
 คนเต็มหอประชุมเลย เพราะตอนนั้นนักศึกษาไม่รู้จะฟังอะไร พอมีวงนี้มาก็มากันเต็มเลย เป็นพันเลย

ทีนี้เพื่อนผมที่เป็นโฆษกก็เกิดไปบอกว่า เรามีเพลงใหม่มาเสนอ อยากให้ความรักแก่คนทั้งโลกเนี่ย
 เป็นเพลงที่เราแต่งเอง ปรากฏว่าเล่นไปคนฟังชอบมาก ตบมือกันใหญ่เลย แต่ปรากฏว่าเล่นๆ ไปมีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเวที.
 บอกว่า "คุณไม่ละอายใจเหรอ คุณแอบอ้างผลงานคนอื่น" เขาชื่อ "ดอกตะแบกสีม่วง"
เป็นนิสิตวิศวะ ใช้นามแฝงเขียนในหนังสือรุ่นที่เพื่อนผมเอามาให้นั่นแหละ ผมเลยบอกว่าขอโทษจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นคุณ
 ผมก็ได้เนื้อมาจากเพื่อนอีกคนหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าใครแต่ง ไม่รู้จะติดต่อกันได้ยังไง แต่ที่พลาดไปก็คือไปประกาศว่าแต่งเอง
ทั้งๆ ที่แต่งแต่เฉพาะทำนองน่ะแหละ ไม่ได้แต่งเนื้อด้วย ผมขอโทษจริงๆ คุยไปคุยมา เขาก็ดีใจ บอกว่าไม่เป็นไร
คุณก็ทำดนตรีได้ดีนะ คราวหน้าจะเอาอีกก็มาบอกละกัน จากนั้นก็ไม่เจอกันอีกเลย"

เพลงอยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก นอกจากจะโด่งดังในฐานะเพลงใต้ดินของขบวนการนักศึกษาที่จัดทำโดยกลุ่มพลังเพลงแล้ว
ต่อมายังขยายความโด่งดังไปสู่คนทั่วไปโดยการที่วงระดับอาชีพนำมาขับร้อง เช่น วงคีตาญชลี และวงดนตรีแกรนด์เอ็กซ์ ในเวลาต่อมา

 
วงน้ำค้างของคุณหมอสัญญายังคงทำกิจกรรมดนตรีมาโดยต่อเนื่อง ในยุคเดียวกันกับที่มีวงฟ้าสางของรามคำแหง
วงอมธ. ของธรรมศาสตร์ วงประกายดาว ของมหาวิทยาลัยมหิดล บทเพลงนักศึกษาเหล่านี้
แม้จะไม่ได้มีเนื้อหาหนักหน่วงแบบเพลงปฏิวัติ แต่ก็มีเนื้อหาปลุกเร้าให้ผู้ฟังเกิดสำนึกที่ดีต่อสังคม

"ไม่ถึงขนาดปฏิวัติ เพราะต้องการให้คนรับได้ เพราะคนก็ระแวงอยู่แล้วว่านักศึกษาจะเป็นคอมมิวนิสต์ เลยจะออกเป็นสายลมแสงแดดเสียเยอะ"

อย่างไรก็ดี บทเพลงที่วงน้ำค้างสร้างสรรค์ก็มีความตั้งใจว่า
"หนึ่ง เป็นเพลงที่ทำให้นักศึกษาได้เกิดแนวคิดที่จะทำประโยชน์เพื่อสังคมแทนที่จะเรียนไปเพื่อตัวเองเท่านั้น
อย่างเพลงน้องใหม่ "เรียนไปเพื่อรับใช้มวลชน สร้างตนสร้างสังคมให้สมบูรณ์" ไม่ใช่เรียนไปเพื่อตัวเอง
 ตอนนั้นมีสูตรเพลงเพื่อชีวิต เพลงอะไรที่เพื่อชาวนาก็เพื่อชีวิต เพลงอะไรที่ด่านายทุนก็เพื่อชีวิตหมด
เพลงอะไรที่พูดถึงความคับแค้นของกรรมกรก็เป็นเพื่อชีวิต แต่สำหรับวงผมนี่ผมคิดว่าไม่อยากเข้าสูตรนี้หรอก
ดนตรีมันมีอะไรมากกว่านั้น มันมีดนตรีเพื่อดนตรี มันไม่ใช่ดนตรีเพื่อชีวิต ดนตรีดีๆ มันก็ดี เพลงคลาสสิกมันก็ดี ถึงจะเพื่อนายทุน แต่มันก็ดี
ผมก็พยายามจะเขียนให้มันออกมาดี ไม่ให้มันออกมาลวกๆ"


วงดนตรีนักศึกษาที่ชื่อว่า "น้ำค้าง" มีผลงานบันทึกเทปสองชุด ชุดแรกชื่อว่าชุด "ตะวัน"
ส่วนชุดที่สองเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้นำไปเผยแพร่หรือจำหน่ายที่ใด
 วงดนตรีน้ำค้างรับงานเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ จะอยู่ในลิสท์ได้รับเชิญไปเล่นตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เวลาที่นักศึกษามีกิจกรรมเคลื่อนไหว
 จนกระทั่งเรียนจบคณะแพทย์ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพตามสายงานของตน
เหลือไว้แต่บทเพลงเนื้อหามีสาระ สะท้อนทัศนคติหนุ่มสาวนักกิจกรรมยุค 6 ตุลาจนถึงทุกวันนี้



ในปีนี้ เหตุการณ์วิปโยค 6 ตุลาคม 2519 เวียนมาครบสามสิบสองปีแล้ว หลายบทเพลงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงปฏิวัติ หรือเพลงเพื่อชีวิต ก็ยังคงได้รับความนิยมมาจวบจนปัจจุบัน ด้วยเนื้อหาสาระที่สอดแทรกอุดมการณ์ความเสียสละเพื่อสังคม และการต่อสู้เพื่อความดีงาม เพลงใต้ดินในสมัยหนึ่งกลายมาเป็นเพลงบรรเลง "บนดิน" ได้โดยเสรี และยังคงถูกบรรเลง กู่ก้องประกาศอุดมการณ์ ทุกครั้งที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะมืดมน และการต่อสู้เพื่อความถูกต้องยังคงดำเนินต่อไป
[/color]
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #88 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 19:41:56 »

ขอบคุณ พี่ตะวัน
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผมจะไปแปลงเป็น CD เพื่อสะดวกในการ อัดแจก
ใครสนใจ กรุณาจองล่วงหน้าได้ครับผม

บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #89 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 21:19:29 »

เพลง อยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก

                                           [size=14pt เพลง อยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก    ผลงานประพันธ์ ของลุงนริศและเพื่อนน้ำค้า
                                             อยากให้ความรัก เพื่อคนทั้งโลก

                                              อยากจะให้โชค เพื่อคนทั้งหล้า

                                              อยากให้รอย-ยิ้มลบคราบน้ำตา

                                              อยากให้ชีวา แด่คนทั้งปวง


                          อยากให้คนทุกข์ พ้นทุกข์ลำเค็ญ

                          ความเคืองเข็ญ แค้นยากลำบากใหญ่หลวง

                          ให้หมดทุกข์ สร้างสุขในใจทุกดวง

                           อยากให้ปวง-ชนทุกข์เป็นสุขสันต์



                                                   อยากอุทิศ ชีวิตทั้งหมดนี้

                                                       เพื่อสร้างความดีไม่เคยหวั่น

                                                           จะเร่งสร้างทั้งคืนและทั้งวัน

                                                                  เพื่อชีวิตอันสั้นนั้นมีราคา
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #90 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 21:25:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 11 ธันวาคม 2551, 19:41:56
ขอบคุณ พี่ตะวัน
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผมจะไปแปลงเป็น CD เพื่อสะดวกในการ อัดแจก
ใครสนใจ กรุณาจองล่วงหน้าได้ครับผม

แฮพไว้ให้หนิง 1แผ่นคะ
ต้อง inคะ...เพลงพวกนี้ร้อง-เล่น
ตอนหนิงอยู่ ป.1-ป.2
เติบโตมาด้วยกัน

nn.
บันทึกการเข้า


seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #91 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 21:31:14 »

เกร็ดเล็ก เก็ดน้อย ของเพลง อยากให้ความรัแก่คนทั้งโลก

เพลงอยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก เดิมเป็นผลงานการร้องของคีตาญชลี
แต่พอเมื่อแกรนด์เอ็กซ์ ศิลปินอันดับหนึ่งขวัญใจวัยรุ่นในขณะนั้นได้ นำบทเพลงเพื่อชีวิตเพลงนี้มาทำใหม่
กลับประสบความสำเร็จมากกว่าต้นฉบับซึ่งมียอดขายได้ไม่มาก
เนื่องจากผลงานของคีตาญชลีเป็นผลงานที่ไม่สามารถกระจายสู่ท้องตลาดมากนัก

 ในขณะที่แกรนด์เอ็กซ์ไม่ว่าจะออกชุดใดก็แล้วแต่ล้วนประสบผลสำเร็จแทบทั้งสิ้น
 จนมีสื่อโปรโมทมากมาย แม้แต่นิตยสารของตนเองก็เคยทำขายมาแล้ว
ทำให้หลายคนคนเข้าใจว่าเพลงนี้แกรนด์เอ็กซ์ร้องเป็นต้นฉบับหรือไม่ ทำไมถึงโด่งดังขนาดนี้

คำตอบก็คือว่าไม่ใช่


ในราวปี 2523-2524 วงคีตาญชลี ได้เอาเพลงนี้มาบันนทึกเสียงอีกครั้ง
ในอัลบั้มแรกของตัวเอง
ซึ่งในปกเทป ไม่ได้บอกเครดิตคนแต่งเพลงนี้เอาไว้ แต่เพลงอื่นๆบอก
คาดว่า ในตอนนั้น ยังสืบหาชื่อคนที่แต่งเพลงนี้ไม่เจอว่าเป็น นายแพทย์สัญญา ภัทราชัย
เพราะคิดว่าเพลงนี้คงขึ้นในตอนแรกเพื่อร้องกันในหมู่คณะ นักศึกษา
แล้วได้ถูกแพร่หลายออกมาวงกว้าง ด้วยเนื้อหาและความหมาย ที่งดงามของเพลงนี้
โดนส่วนตัว ผมชอบ เสียงพี่รินทร์คีตาญชลีร้องมากที่สุดนะเพลงนี้

แล้วในช่วงหลังๆถ้าใครได้ดูคีตาญชลีเล่นคอนเสิร์ต
ถ้าร้องเพลงนี้พี่เค้าจะมีเมดเลย์ต่อด้วยเพลงอีกเพลงนึงทันที
นั่นก็คือเพลง สิ่งฝันในใจนี้ ของวง รวมฆ้อน ซึ่งแต่งโดย น้าวี วีระศักดิ์ ขุขันธิน..
[/color]
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #92 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2551, 21:34:22 »

ให้แปะมั้ยคะ??
nn.27
บันทึกการเข้า


su
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 90

« ตอบ #93 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2551, 06:03:25 »

แล้ววงลูกทุ่งเปลวเทียนของ มช.ละคะ
บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #94 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2551, 10:41:13 »


    โอ.. เสียใจนะน้องสุ พี่ไม่มีลูกทุ่งเปลวเทียน เพราะช่วงนั้น ไม่ได่อยู่ในเมือง ไปทำ DR. JUNGLE อยู่ เทปที่มี เป็นของแม่บ้าน ตอนนั้น เขาเรียนอยู่
ที่เศรษฐศาสตร ปี 18 เลย ซื้อหาเก็บไว้

  เอ้า ใครมี ขอยืมหน่อย มาไรซ์ แจกกัน

ของพี่ จะมี คาราวาน เกือบทุกชุดเลย กรรมาชน คุรุชน คีตาญชลี แฮมเมอร์ เพลงในป่า ( เพลงจาก สปท. ) เทปการแสดงสด ของศิลปิน บนเทือกเขาภูพาน
เทปแสดงสด ที่มวกเหล็ก ของรวมศิลปิน
คิดถึงบ้าน ฉบับ ออริจินอล ของนาย ผี ซื้อมาในงานศพ นายผีฯลฯ

น้องหนิง แปะเลย เอางี้ดีกว่า พอพี่นำเสนอเพลงอะไร น้องหนิงก็แปะตามหลังเลย จะได้ ฟิล มากเลย ดีมั้ยครับ
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #95 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2551, 11:35:00 »

ขออนุญาตออกนอกกรอบเพลง ปฏิวัติ ซักหน่อย พอดีไปได้ฟังเพลงลูกทุ่งเก่า ของยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี
ไพเราะมาก เนื้อหากินใจ จึงอยากนำมาบันทึก ให้ เพื่อนพ้อง น้องพี่ ได้ รับรู้ และฟังกับ ( อันนี้ต้องรบกวน หนุงหนิง หามาแปะ นะครับ )




                                              "พ่อคนดีทีหนึ่ง\\\" ของ ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี


แล้วก็ขอร่วมอวยพรให้คุณพ่อของเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคน
มีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจากโรค สมปรารถนาทุกประการ กายสบาย ใจสบายตลอดปีและตลอดไปครับ




       จะกี่ พ.ศ.พ่อ ก็ยังเป็นหนึ่ง
 ทุกห้วงคำนึงพ่อคือ พระเอกในใจ
       ภาพพ่องดงามตั้งแต่ ลูกจำความได้
 ไม่มีผู้ชายคนไหน  ที่ รัก ลูกได้เหมือนพ่อ.

                เหนื่อยไม่เคยท้อขอ ให้ครอบครัวอุ่น
                       เป็นหลังคาบุญคุ้มใจปลอดภัยเพียงพอ
                          รักมากทุกวันถึงแม้ไม่เคยบอกพ่อ
                         ในใจ ลูกคนนี้หนอ  บูชา พ่อทุกเส้นทาง


                             .อยากบอกดังๆว่าลูก คนนี้รักพ่อ
                             อยาก จะขอร้องเพลง ให้พ่อ ฟัง
                             อยากบอกดังๆว่าลูก คนนี้รักพ่อ
                             อยาก จะขอร้องเพลง ให้พ่อ ฟัง.
                                     เหนื่อย มามากนักลูกอยาก ให้พ่อพักบ้าง
                                     สิ่งที่พ่อหวังปล่อยวาง ให้ลูกสานต่อ


                จะกี่ พ.ศ.พ่อ ก็ยังเป็นหนึ่ง
                กี่ความคิดถึง กี่รัก ตอบแทนไม่พอ
                 เทิด เหนือดวงใจ คือชาย ที่ชื่อว่าพ่อ
                  พระเอกรูปหล่อ ในใจ ของลูกตลอดกาล


                                          ....ดนตรี..........

                                        .อยากบอกดังๆว่าลูก คนนี้รักพ่อ
                                        อยาก จะขอร้องเพลง ให้พ่อ ฟัง
                                              อยากบอกดังๆว่าลูก คนนี้รักพ่อ
                                             อยาก จะขอร้องเพลง ให้พ่อ ฟัง.
                                                      เหนื่อย มามากนักลูกอยาก ให้พ่อพักบ้าง
                                                           สิ่งที่พ่อหวัง ปล่อยวาง ให้ลูกสานต่อ

                                จะกี่ พ.ศ.พ่อ ก็ยังเป็นหนึ่ง
                                 กี่ความคิดถึง กี่รัก ตอบแทนไม่พอ
                                 เทิด เหนือดวงใจ คือชาย ที่ชื่อว่าพ่อ
                                  พระเอกรูปหล่อ  ในใจ ของลูกตลอดกาล
                                  พระเอกรูปหล่อ  ในใจ ของลูกตลอดกาล

                                        ...................................................


สัญญาว่า วันที่ 31 มค. ที่ไปเชียร์บอลประเพณี จะร้องเพลงนี้ ให้ทนฟังกัน บนรถบัส ใครทนไม่ได้ให้หนีไปนั่งคันอื่น
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #96 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2551, 17:01:56 »

ป้าแจ่ม ตอนนี้ หาเพลงรัตติกาลได้แล้ว เสียกเพรียกจากมาตุภูมิ คนทำทาง อยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก จากภูพานถึงลานโพธิ์
กำลัง copy อยู่ รับรองว่าได้ฟังแน่นอน
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #97 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2551, 12:53:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 11 ธันวาคม 2551, 21:31:14
เกร็ดเล็ก เก็ดน้อย ของเพลง อยากให้ความรัแก่คนทั้งโลก

เพลงอยากให้ความรักแก่คนทั้งโลก เดิมเป็นผลงานการร้องของคีตาญชลี
แต่พอเมื่อแกรนด์เอ็กซ์ ศิลปินอันดับหนึ่งขวัญใจวัยรุ่นในขณะนั้นได้ นำบทเพลงเพื่อชีวิตเพลงนี้มาทำใหม่
กลับประสบความสำเร็จมากกว่าต้นฉบับซึ่งมียอดขายได้ไม่มาก
เนื่องจากผลงานของคีตาญชลีเป็นผลงานที่ไม่สามารถกระจายสู่ท้องตลาดมากนัก

 ในขณะที่แกรนด์เอ็กซ์ไม่ว่าจะออกชุดใดก็แล้วแต่ล้วนประสบผลสำเร็จแทบทั้งสิ้น
 จนมีสื่อโปรโมทมากมาย แม้แต่นิตยสารของตนเองก็เคยทำขายมาแล้ว
ทำให้หลายคนคนเข้าใจว่าเพลงนี้แกรนด์เอ็กซ์ร้องเป็นต้นฉบับหรือไม่ ทำไมถึงโด่งดังขนาดนี้

คำตอบก็คือว่าไม่ใช่

คงคล้ายๆเพลง ดอกไม้ให้คุณ ของลุงหงาคาราวาน ที่น้าแจ้ดนุพล เอามาขับร้อง จนโด่งดังกว่าต้นตำรับ
จะว่าไป เพลงเพื่อชีวิตแบบ ลุงหงา เนี่ย ฟังสบายกว่าเพลงเพื่อชีวิตแนวปลุกใจเสือป่า(ไม่ใช่อย่างว่านะ)...หมายถึงแนวชักนำให้รบกับชนชั้นนำน่ะ
บันทึกการเข้า

...
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #98 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2551, 13:24:48 »

จารย์ โอ เรื่องราวในสังคม ก็ คือ การต่อสู้ทางชนชั้น ที่ผ่านมา มีแต่ ชนชั้นสูง หรือ คนมีเงินเท่านั้น ที่เปลี่ยนหน้ากัน เข้ามาปกครอง ประเทศ
ไม่เคยปรากฏว่า ชนชั้นล่างจะเข้ามามีอำนาจได้ แม้ว่า ทักกี้ จะมองเห็นความสำคัญของรากหญ้า ก็แค่หลอกมาเป็นเครื่องมือ ในการครองอำนาจ ของเขา โดยการโยน เศษเงินเล็กๆน้อยมาให้ แต่คนที่อำนาจที่แท้จริง คือ นายทุน นั่นแหละ จะเน อำมาตร หรือ นายทุน ก็ไม่ต่างกัน อย่างที่เขาว่า


ชนชั้นใด เขียนกฏหมาย ก็เขียน เพื่อ ประโยชน์ของชนชั้นนั้น


การต่อสู้ในอดีต จึงเป็นการต่อสู้ ระหว่าชนชั้น
ดังนั้น บทเพลงในครั้งนั้น จึงเป็นปลุกระดม ให้ ประชาชน ลุกขึ้นมาปลดแอก จากชนชั้นปกครอง
ดังนั้ อย่ารังเกียจเลย ในบทเพลงดังกล่าว หากน้อง เกิด ในสมัยนั้น ก็จะเข้าใจถึงความคับแค้น เจ็บแค้น จากการ กลั่นแกล้ง จับเข้าคุก
หรือ เข่นฆ่า เหมือนผัก ปลา จึงลุกขึ้นสู้ เหมือนพี่น้อง 3 จังหวัด ภาคใต้ ที่ลุกขึ้นมาสู้ แต่ จะผิดถูกอย่างไร ไม่ขอออกความเห็น
มีบทเพลงที่อยากนำเสนอ ให้เห็นถึงความเจ็บช้ำของชาวนา คือ


 เพลง  อาลัยพ่อหลวงอินถา" (ทำนองเพลง "วอนผีพ่อ")

 ซึ่งเนื้อหาสะท้อนภาพเหตุการณ์การลอบสังหารพ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง เลขาธิการสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ เมื่อปี 2518

พ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง

ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ

และรองประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย



                ในปี 2518 พ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ อำเภอสารถี
ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ ขณะที่ อ้ายโต๊ะ ตุลาทา ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่อำเภอแม่ริม
ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่จังหวัดเชียงใหม่ พ่อหลวงอินถา อดีตผู้ใหญ่บ้านป่าบง
 มีลักษณะปราชญ์ท้องถิ่น มีความรู้ดี รูปร่างบอบบาง บุคลิกดี เป็นคนธรรมะธัมโม ใจดี
 มีรอยยิ้มที่ดึงดูดผู้คนให้เคารพนับถือ ขึ้นปราศรัยต่อหน้ามวลชนเรือนหมื่น
 ด้วยน้ำเสียงไพเราะรื่นหูและเด็ดเดี่ยว จึงสร้างพลังสามัคคีและความมั่นใจตนเองให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวนาชาวไร่
 เมื่อพ่อหลวงอินถา นำกำลังชาวนาชาวไร่ไปสมทบสนับสนุนการต่อสู้ของชาวนาชาวไร่ทั่วประเทศ ที่สนามหลวง
ระดับทางการเมืองและความเป็นผู้นำยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก

                ชัยชนะและการเติบโตของชาวนาชาวไร่ สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของเจ้าที่ดิน
 บรรดาผู้หวังฮุบที่ดินว่างเปล่าเป็นของตนเอง และบรรดาชนชั้นปกครองทุกระดับที่รู้สึกเสียหน้าเสียอำนาจลงไป
ได้ก่อกระแส ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ ขึ้น ผู้นำสหพันธ์และกรรมการสหพันธ์ฯตั้งแต่ระดับหมู่บ้านขึ้นไป ถูกลอบสังหารคนแล้วคนเล่า
 ในระหว่างปี 2517 – 2519 มีผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือถูกลอบฆ่าไปเกือบ 40 คน
 นับว่าเป็นสภาพที่น่าอเนจอนาถมาก ด้วยความห่วงใยต่อพ่อหลวงอินถา
 พวกเราบางคนได้หาอาวุธปืนสั้นไปให้พ่อหลวงอินถาพกเพื่อป้องกันตัว ด้วยความเป็นคนใจดีและไม่คิดทำร้ายใคร
พ่อหลวงอินถาได้เอาปืนกระบอกนั้นไปซ่อนไว้ที่ยอดต้นมะพร้าวหน้าบ้าน ไม่ได้นำติดตัวไว้แต่อย่างใด
ในที่สุดมือปืนได้ลอบยิงพ่อหลวงอินถาถึงแก่ความตายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2518

                พ่อหลวงอินถาจากไปด้วยความอาลัยโศกเศร้าและเคียดแค้นของชาวนาชาวไร่และผู้รักความเป็นธรรมทั่วประเทศ
วงดนตรีของนักศึกษายุคนั้นได้แต่งเพลง ‘พ่อหลวงอินถา’ เพื่อไว้อาลัยและให้เกียรติแก่ผู้นำชาวนาชาวไร่ท่านนี้
ขึ้นต้นว่า “ปืนที่ดังสิ้นสั่งสิ้นเสียง เหลือเพียง เหลือเพียงแต่ร่างพ่ออินถา...”
 บรรดานักศึกษาทั้งในเชียงใหม่และจากส่วนกลางหลายร้อยคนได้กระจายกันลงพื้นที่หมู่บ้านต่างๆ ทั่วเชียงใหม่-ลำพูน
เพื่อปลุกขวัญและให้กำลังใจแก่ชาวนา ผลของการลอบสังหารผู้นำชาวนาชาวไร่ยิ่งทำให้การต่อสู้ในเขตชนบทขยายตัวไปมากยิ่งขึ้
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #99 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2551, 14:17:50 »



ลูกทุ่งในสถานการณ์สู้รบ
"อาลัยพ่อหลวงอินถา"



ในบันทึกแห่งตำนานเพลงเพื่อชีวิต ยุคหลัง 14 ตุลา
 ทุกคนจะจับจ้องไปที่ "คาราวาน" และ "กรรมมาชน"
ไม่มีใครพูดถึงวงดนตรีของนักศึกษารามคำแหงกลุ่ทหนึ่งมากนัก
 หรืออาจจะถูกหลงลืมไปเสียด้วยซ้ำ

วงดนตรีที่ว่านี้คือ "ลูกทุ่งสัจจธรรม" ซึ่งก่อเกิดขึ้นในรั้วลูกพ่อขุนในยุคที่ "พรรคสัจจธรรม"
 ยึดกุมชัยชนะเหนือพรรคคู่แข่ง และได้เข้าบริหารองค์การนักศึกษารามคำแหง (อศ.มร.) ปี 2518
 และนอกจากวงดนตรีลูกทุ่ง ก็ยังมีวง"โคมฉาย" ที่ร่วมเคลื่อนไหวในการชุมนุมของชาวนาและกรรมกรทั่วประเทศ

 บทเพลงของวงลูกทุ่งสัจจธรรม ที่ได้รับความนิยมในพ.ศ.โน้น มีอยู่หลายเพลง
แต่เพลง "อาลัยพ่อหลวงอินถา"
จะเป็นเพลงเปิดวงในทุกครั้งที่ไปทำการแสดงในหมู่พี่น้องชาวนาชาวไร่ในต่างจังหวัด.......


                                            อาลัยพ่อหวงอินถา
.
                         ปืน...ที่ดังสิ้นสั่งสิ้นเสียง
                         เหลือเพียงๆแต่ชื่อพ่ออินถา
                      ทิ้งแนวร่วมชาวนา
                      พ่ออินถาเหมือนเป็นเช่นร่มไทร
                      วิญญาณ...พ่ออยู่แห่งไหน
                       ทุกคนแสนห่วงอาลัย
                         ทุกคนร้องไห้  พากันหลั่งน้ำตา

                (แหล่) จากไปแล้ว  ไปลับไม่กลับแน่ หมดหนทางแก้ทุกคนเฝ้าบ่นหา
            ไอ้คนโหดอำมหิตปลิดชีวา เลือดพ่อทาแผ่นดินก่อนสิ้นใจ
            อำนาจอันชั่วช้าพร่าชีวิต โลมโลหิตพร่างพื้นสะอื้นไหว
          ศพทุกศพสืบทอด ตลอดไป สั่งสอนให้จดจำเป็นตำนาน

         ว่าพ่อเอ๋ย...ว่าพ่อเอ๋ย   พ่ออินถาอย่าเป็นห่วง ลูกจะทวงเลือดหลั่งอย่างห้าวหาญ
         ปืนกับปืนยืนหยัดขึ้นรอนนาญ เลือดกับเลือดจะเดือดพล่านทุกย่านไป
         เมื่อแผ่นดินเคยตรากตรำถูกจำกัด ย่อมวิบัติหมดสิ้นแผ่นดินไหน
               เมื่อจะมาอวดเบ่งข่มเหงใจ ศพต่อศพก็แลกได้อย่างไม่กลัว

            วิญญาณพ่ออินถา...วิญญาณพ่ออินถาอย่าเป็นห่วง
             บ่าทั้งปวงรับแอกหนักจักเงยหัว
             หากใครมันเหลิงอำนาจขลาดเมามัว  ไอ้เลือดชั่วจะต้องตาย ทลายลง

                        หลับเถิดพ่อหลับไปให้สนิท แบบชีวิตพ่อเป็นหลักจักสูงส่ง
                        ถ้าลูกยังสู้ได้ไม่ตายลง จะยังคงเจตนา...ชั่วฟ้าดิน


บทเพลงนี้วงลูกทุ่งสัจธรรมแต่งเพื่อรำลึกการจากไปของพ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง

ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ และรองสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย

ย้อนไปเมื่อต้นปี 2517 ชาวนาชาวไร่ยกขบวนเข้ามาเรียกร้องให้รัฐบาลพระราชทาน
 จัดการปัญหาการไร้ที่ดินทำกิน และปัญหาหนี้สิน ขบวนแล้วขบวนเล่า จวบจนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2517
จึงมีการประกาศจัดตั้ง "สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย" ที่มี ใช่ วังตะกู
 เป็นปรธาน การต่อสู้ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯดำเนินไปอย่างเข้มข้น
 จนมีการเผชิญหน้ากับกลุ่มนายทุนแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
 อันนำไปสู่การลอบสังหารผู้นำชาวนาในหลายจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน

แล้วก็ถึงวันสูญเสียครั้งสำคัญของขบวนการชาวนาไทย.
..เมื่อ 30 กรกฎาคม 2518 พ่อหลวงอินถา ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่บ้านพัก ต.ป่าบง อ.สารภี จ.เชียงใหม่
และเป็นความตายที่ปลุกกระแสชาวนาให้ลุกขึ้นสู้ทั่วไทย


ท่วงทำนองดนตรีอันโหยไห้อาลัยหาของเพลง "วอนผีพ่อ"
 ที่ครูจิ๋ว พิจิตร ฟระพันธ์ให้ กังวานไพร ลูกเพชร ขับร้อง
ในช่วงที่แยกตัวออกมาตั้งวง "ศิษย์สุรพล"
 จึงถูกนำมาประยุกต์เข้ากับเนื้อหาของเพลงปห่งการรำลึกและบันทึกชีวิตผู้นำชาวนา
โดยสมาชิกวงลูกทุ่งสัจจธรรม



   
 
 
บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 2 3 [4] 5  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><