25 พฤศจิกายน 2567, 07:50:42
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 18  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยเรื่องพระเครื่อง  (อ่าน 274873 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #250 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2552, 11:29:16 »

   ขอบคุณครับพี่อ้อย กำลังรื้อบ้านหาหนังสืออ.ชินพร -_-' เจอแมงสาปหลายตัวแล้วครับยังไม่เห็นเงาหนังสือเลย สงสัยได้ซื้อใหม่อีกเล่ม
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #251 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2552, 15:16:39 »

   หลังจากที่บล็อคหินมีดโกนเสียหายแล้ว ช่างคนเดิได้แกะบล็อคใหม่ขึ้นจากทองเหลือง (บล็อคที่แตกชำรุดคือบล็อคพิมพ์ด้านหน้า) โดยยังคงใช้บล็อคหลังอันเดิม ส่วนจำนวนที่ปั๊มมาใหม่ ผมจำไม่ได้ รู้สึกว่าจะ 5000 องค์ แต่ว่าในระหว่างที่ หลวงตาบางกดพิมพ์กระยาสารทอยู่นั้น เนื่องจากไม่มีใครเคยสร้างพระมาก่อนจึงไม่ทราบวิธีทำให้พระอยู่ทรง พระที่กดพิมพ์ได้ส่วนใหญ่บิดและงอ ส่วนใหญ่ถูกสาดทิ้งลงแม่น้ำไปหมด หลวงตารอด(พระจากที่อื่น)มาพบเข้าจึงแนะนำให้ผสมปูนขาวลงไป ประกอบกับมีการนำบล็อคพิมพ์ไปเซาะใหม่ กลายเป็นพิมพ์นิยม ซึ่งภายหลังจากที่ ลป.ทิมมรณภาพแล้วนั้น พระยอดขุนพลบ้ายเกิดมีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขวัญมากมายเป็นวงกว้าง ทำให้สนนราคาสูงขึ้นเป็นหลักหมื่นภายในเวลาไม่กี่ปี แต่บล็อคที่ทุกครู้จักกันดีก็คือบล็อคที่ผสมปูนขาวลงไปเรียกว่า บล็อคหนึ่ง ส่วยบล็อคลองพิมพ์ที่มีเนื้อผงพรายเข้มข้นกว่านั้นถูกตีเป็นบลอ็คสอง จนถึงปัจจุบัน ราคาพระบล็อคลองพิมพ์ยังคงห่างจากพิมพ์นิยมอยู่ 2-3เท่าตัว ถึงแม้จะมีการสืบสวนจากผู้กดพิมพ์และกรรมการวัดในขณะนั้น ซึ่งทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่ แต่ราคาของพิมพ์นิยมก็วิ่งไปไกลมากแล้ว อีกทั้งโต๊ะเซียนทั้งหลายบางค่ายก็ยังไม่ยอมรับบล็อคลองพิมพ์กัน แม้จะไม่ย้งไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แต่ก็ไม่มีใครซื้อเข้า(ในสายที่เล่นพิพม์นิยมมาก่อนนานแล้ว) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ลุงแมงเล่าว่าพิมพ์นิยมนั้นยังมีอีก 3 กระสอบปุ๋ยที่ลป.ทิมยังไม่ทันได้ปลุกเสกก็มรณภาพไปเสียก่อน เรื่องพิมพนิยมนั้นจะเล่าในภายหลัง ในระยะแรกมีผู้ปฏิเสธบล็อคลองพิมพ์ลป.ทิม ทำให้เสี่ยตี๋ บ้านค่ายผู้มีอันจะกินในอ.บ้านค่ายออกมาท้าทายโต๊ะเซียนทั้งหลายหากใครกล้ายืนยันจะให้รางวัล 1 ล้านบาท เรื่องนี้เป็นอันจบไป ในระหว่างที่ผมกำลังจดๆจ้องๆพระบล็อคลองพิมพ์อยู่นั้นมีเซียนสายเมืองจันท์ท่านหนึ่งแนะนำว่า ซื้อเข้าได้ไม่เกิน 3 หมื่น ราคาในช่วงเดือนมกราคมปีนี้(52) อยู่ที่ประมาณ 2-3 หมืนบาท หลังจากที่เข้าไปดูการประมูลพระในเว็บ uamulet ด้วยความอยากได้ไปด้วยราคาแสนแพง 5.7 หมื่น เพื่อนที่สิงคโปร์เจ้าของลพ.พรหมองค์แชมป์ยังบอกแพง หลังจากนั้นเดือนเดียว บล็อคราคากระโดดข้าม 5 หมืนทุกองค์ ตอนนี้ไม่มีใครยอมปล่อยที่ราคานี้อีกต่อไปแล้ว พระพิมพ์นี้หายไปจากกระดานทีละองค์ จนเงียบไปเลบ เห็นถูกๆประมาณ 4หมื่น แต่มีรอยร้าวรานทั่วองค์ เป็นพิมพ์ที่น่าสนใจครับ ผมกำลังตามล่าเนื้อยานัตถุ์.....แต่ยังหาของไม่ได้เลยครับ -_-'

      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #252 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2552, 12:14:06 »

ตอนแรกเห็นมันเยอะก็ขี้เกียจอ่าน
แต่พออ่านแล้ว ยิ่งอ่านยิ่งมัน
หุหุ

ตาแคม
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #253 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2552, 13:34:10 »

จารย์ก๋งเขียนไปเรื่อยๆเดี๋ยวทำหนังสือได้..

แต่อ่านแล้วมันส์จริงๆว่ะ..กรูนึกว่าไอ้แครมมนะมันส์กับหนังสือแบบอื่นอย่างเดียวนะเนี่ยะ
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #254 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2552, 19:46:37 »

                        อ่านเรื่องของน้องก๋งแล้ว ก็วิ่งไปเปิดตู้ดูพระมั่งเผื่อจะมีหลงมาบ้าง แต่ก็...แป่ววว...กิเลศขึ้นนะ..อยากได้มั่งอ่ะ..
          แต่ถ้าราคาขนาดนั้น ขอชมภาพไปก่อนนะ น้องก๋งเอาภาพมาลงด้วยดิ เผื่อจะเจอหลงมาบ้าง... เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #255 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2552, 13:37:37 »

 เหนื่อย ตกลงยังไม่เคยมีใครเห็นรูปที่ผมโพสต์ไว้ที่ แกลลอรี่ เลยใช่ไหมครับ เอาเว็ปลิงค์ไปแทนก็แล้วกันครับ

http://www.ittiyano.com/index.php?option=com_smf&Itemid=2&topic=746.15
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #256 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2552, 17:15:26 »

                ตามไปดูแล้วน้องก๋ง...สวยมากจริงๆ..กิเลศพุ่งจิ๊ดอีกแล้ว...
      บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #257 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 06:02:40 »

 ปิ๊งๆ

เข้ามาอ่านครับ
      บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #258 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 07:58:24 »

พระปิดตาบัวผุด จักพรรดิ์พระปิดตาสายลป.ทิม ของเซียนวุธ(พ่อค้าพลอย) เมืองจันท์
http://www.ittiyano.com/index.php?option=com_smf&Itemid=2&topic=651.msg1953#msg1953
องค์นี้เป็นองค์ที่สองที่ได้ครอบครอง ขอบใจน้องมินท์มันตาที่แบ่งให้พี่ พี่จะเก็บทะนุทะนอมไว้อย่างดีไม่ต้องห่วง

ในบรรดาพระปิดตาของหลวงปู่ทิม ถือว่าพระปิดตาบัวผุด เป็นสุดยอดพระเครื่องอันดับ 1 ของท่าน ท่านได้นำบัววิเศษที่แปลกประหลาดไม่เหมือนบัวบนโลกมนุษย์ที่ขึ้นจากอ่างไม้ล้างหน้าของท่าน บัวนี้ได้ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ หลวงปู่ทิมท่านนำมีดหมอมาตัดตัดแล้วผสมผงพระพุทธคุณของท่าน กดแม่พิมพ์ไว้จำนวนหนึ่ง ตำรากล่าวไว้ว่ามี 22 องค์ แต่ความคิดผมคิดว่าน่าจะมากกว่านั้น เพราะท่านทำไปแจกไป ท่านไม่ได้บอกว่ามีเพียง 22 องค์ แต่ศิษย์มาเขียนขึ้นเองโดยคำนวนการแจกพระปิดตาชุดนี้ไปที่ใครนัก แต่เป็นเรื่องแปลกที่ถ้ามีมากทำไมไม่พบเห็น และ หายากมาก ๆ ข้าพเจ้าคิดว่า นะจะมีประมาณ 50 องค์โดยประมาณไว้ ผมเองพูดได้เต็มปากว่าว่าเห็นมากกว่าใครได้คำนวนจากการที่ผมได้เห็นทั้งภาพพระและเห็นของจริงมาแล้วไกล้ 20 องค์ และศึกษาเนื้อพระและแม่พิมพ์มาโดยตลอดเพราะด้วยใจชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

พระปิดตาบัวผุดสุดยอดอย่างไรหรือ

พระปิดตาบัวผุดเป็นพระปิดตาเพียงรุ่นเดียวและไม่มีพระเครื่องรุ่นอื่นปะปนอยู่ ท่านเก็บไว้ในย่ามของท่านตลอดตราบจนท่านถึงวาระสุดท้าย ท่านจะแจกให้ศิษย์ของท่านและคนที่ท่านคิดว่าให้ไว้เป็นของคู่บุญบารมี ท่านดำรัสว่า พระปิดตาของท่านมีเจ้าของทุกคนถึงเวลาเขาจะมาเอาเอง

พุทธคุณเป็นอย่างไร
 
ตั้งแต่ผมเรียนรู้พระเครื่องมา ทราบว่าพระเครื่องมีพลังพุทธคุณต่างกัน คงกระพันชาตรีก็ต่างกัน แบ่งเป็นสามระดับ ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรีของตำรับเขาอ้อเป็นต้น วิชาชาตรีคงกระพันไม่เข้าไม่เจ็บเหมือนเหรียญพ่อกลั่น วัดพระญาติ วิชามหาอุดหยุดปืน ไม่ลั่น ออกไม่โดน กระสุนละลายกลายเป็นน้ำไหลปากกระบอกปืน เป็นต้น แต่เรื่องพระปิดตาบัวผุด ไม่รู้นะ ผมเองก็ไม่เคยได้สัมผัสถึงประสบการณ์อย่างเด่นชัด อาจารย์ชินพร บอกผมว่า พระปิดตาบัวผุดท่านมี แต่ท่านไม่ใส่ เนื่องจาก ถ้าใส่แล้ว เทพเทวดา ผีสาง นางไม้ พระภูมิเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่สิ่งสถิตย์ตาม ณ สถานที่แห่งใดก็ตามจะกราบไหว้ท่าน ท่านไม่อยากให้ใครกราบไหว้ท่าน แท้จริงแล้ว สิงศักดิ์สิทธ์กราบไหว้พระปิดตาบัวผุดนั่นเอง ซึ่งเป็นของสูงค่าอย่างยิ่ง เพราะเป็นบัววิเศษจากเบื้องบนให้หลวงปู่มา เนื่องจากท่านสำเร็จธรรมชั้นสูงอันเป็นบุญบารมี นั่นเอง

อาจารย์ตุ๋ย เล่าให้ผมฟังเมื่อ 10 กว่าปีก่อนในเรื่องเสี่ยตี๋ไปลองปืนมา และต่อมาเมื่อปีที่แล้วเสี่ยตี๋บ้านค่ายได้เล่าให้ฟังในเว๊ปยูนี่นี่เอง ว่า เสี่ยตี๋ได้นำพระปิดตาบัวผุดไปลองยิง เมื่อเสี่ยตี๋ยิงกระสุนออกไป กระสุนได้ย้อนกลับหาตัวเอง หญ้าแหวะเป็นทาง ฉิวเฉียด เฉียดหู ไปเลย เสี่ยตี๋ตกใจ จึงอยากชวนเพื่อน ๆ มาพิสูจน์เพื่อยิงอีกครั้ง ผลปรากฏว่า ครั้งที่สอง หลวงปู่ทิมไม่อนุญาต ผลปรากฏว่า ยิงออกไปพระปิดตาได้อันตธานหายไปหาไม่เจอเลย เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ผมพบน้องชายเสี่ยตี๋บ้านค่าย เขาอยู่ที่ อ.ปะตง จันทบุรี ได้ห้อยพระปิดตาบัวผุดที่ได้จากเสี่ยตี๋ ท่านก็ได้คุยกันเรื่องนี้เช่นกัน

พระปิดตาบัวผุด มีพุทธคุณ อุ้มหนุนดวงชะตามิให้ตกต่ำ ถึงดวงตกก็ไม่ตกถึงอุบายภูมิ เปรียบเสมือนการตกขุนนรกแต่บัววิเศษได้รองรับไว้ไม่โดนไฟโลกัลเผาผานนั่นเอง พระปิดตาชุดนี้ หลวงปู่ทิมไม่ได้เสก เพราะศักดิ์สิทธิเองในตัว เพราะสำเร็จด้วยบารมีพระพุทธเจ้า แต่ท่านได้นำผงพุทธคุณที่ท่านปลุกเสกไว้แล้วนำมาผสมผสานไว้ ท่านใดมีมาโชว์ในกระทู้ผมได้ครับ

 
อีกองค์ครับภาพสีเขียว องค์นี้ผมเก็บไว้ 10 กว่าปีแล้ว อาจารย์สาคร ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม ท่านเคยจับพลังมาแล้ว ท่านว่า องค์นี้ใช้ได้เลย สุดยอด


ชมพระไปฟังเพลงเพลิน ๆ ไปจิตใจสุขสบาย

โปรดสนับสนุนเพลงลิขสิทธิ์ ฟังเพื่อความบันเทิงในเน็ตเท่านั้น
 http://www.uamulet.com/BoardDetail.aspx?bid=10&qid=129782
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #259 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 14:08:16 »

พระฟอร์มสวยดีว่ะ พิมพ์ดูแล้วมันส์มาก..ชัดไปหมดเลย..กรอบหนักเท่าไหร่อ่ะ..

อยากได้....(แต่ยังไม่เข้าทาง ยังอยากได้พระหล่อโบราณอยู่มากกว่า..)

เขียนต่อจารย์ก๋ง อ่านแล้วมันส์มาก(นี่พิมพ์ไปเรื่อยๆแบบต้องเปิดหนังสือด้วยป่าว)
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #260 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 21:24:17 »

     อ่านแล้วมาเล่าต่อ ถ้าเจอหนังสือจะพิมพ์คำต่อคำครับ เซียนโต้ง  กรอบไม่ถึงบาทน่าจะห้าสิบตางค์มันหนาเอาการอยู่เหมือนกัน นิมนต์มาพร้อมจีวรครับ เคยเอาไปเปลี่ยนจีวรใหม่จะยกซุ้ม มันตีราคากรอบให้ถูกไป ผมก็กะจะออกต่อเปลี่ยนองค์ใหม่ที่แจ่มกว่านี้เห็นว่าร้านทองเอาเปรียบผู้บริโภคเกินไป รอออกมันทั้งแบบนี้แหล่ะ ราคาไม่ตก  เหอๆๆ
หมายเหตุ........ เวลาจะเลี่ยมมันเลี่ยมด้วยทอง 60% แต่.....มันคิดตามนำหนักทอง 96.5%(ซึ่งบวกค่ากำเหน็จไปเรียบร้อยแล้ว.....ผมพอรับได้)  แต่เวลารับซื้อคืนมันบอกเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าทอง 96.5 ไม่รับเต็มราคา ผมถามว่าเวลาพี่เลี่ยมผมใช้ทอง 96.5 รึ มันบอกเปล่า Huh???  60 ครับ เออ....แล้วยังจะมาคิดราคาทองรูปพรรณ    bye bye อย่าเลี่ยมมันเลยชาตินี้  จ๊าากกก
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #261 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 22:10:54 »

   วันนี้มีของแปลกมาโชว์ครับ รูปที่ผมลงไว้เรียก ขุนแผน พิมพ์ใหญ่ บล็อคลองพิมพ์ หลังตะกรุดสาริกาคู่ มีอยู่แค่ 200 องค์(สำหรับพิมพ์นี้) ตะกรุดดอกยาวเรียกว่า ตะกรุดสาริกาตัวผู้ ทำนองเดียวกัน ดอกที่สั้นกว่าเรียกตะกรุดสาริกาตัวเมีย คติโบราณเชื่อว่า สาริกาคู่ให้ผลทางมหาเสน่ห์ สาริกาเดี่ยวให้ผลทางทำมาหากินซื้อง่ายขายคล่องประมาณนั้น แต่พิมพ์นี่ยังมีอีกองค์ที่ลุงแมงแกสร้างสรรค์ผลงานเอาไว้....อัดตะกรุดไว้ทีเดียว 3 ดอก มีอยู่องค์เดียวในประเทศไทยแถมปั๊มยันต์ข้างหน้าไว้อีกที ขณะนี้อยู่กับพวกของคุณวุธ จันทบุรี องค์นี้แปลกกว่าตะกรุดสาริกาทั่วๆไป คือนอกจากจะมีตะกรุด 3 ดอกแล้ว ด้านหน้ายังปั๊มยันต์เพิ่มไว้อีกด้วย แถมด้านหลังยังมีตะกรุดดอกเดียว ด้านหน้ามี 2 ดอก(ปกติด้านหน้าจะไม่มีตะกรุด) ดูจากขนาดแล้ว เป็นตะกรุดตัวผู้ 1ดอก อยู่ด้านหน้า นอกจากนั้นเป็นตะกรุดตัวเมีย 2ดอกอยู่กันคนละหน้า ที่แยกกันอยู่คนละหน้า คงกลัวจะเกิดเรื่อง คิดว่าดอกที่อยู่ข้างหน้าคงเป็นตะกรุดสาริกา1000ยาน้อย เพราะตะกรุดสาริกาตัวผู้เลือกมาอยู่หน้านี้ด้วยครับ เหนื่อย (อันนี้นอกประเด็นครับ)
 จำได้ไหมครับเซียนโต้ง emo4:))เราเคยเตือนท่านแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นในคู่มือการใช้รถ(กระทู้ช่วยกันถามช่วยกันตอบ) เหอๆๆ
 http://www.ittiyano.com/index.php?option=com_smf&Itemid=2&topic=795.msg2481#msg2481
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #262 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2552, 08:13:02 »

วันนี้ขอลงเรื่องผงพรายกุมารต่อครับ ไปคัดลอกมาจากเว็ปอื่น (ซึ่งเป็นคำบอกต่อไม่ใช่ต้นฉบับ)
จาก http://board.watthummuangna.com//showthread.php?t=6294 เป็นเหตุการณ์หลังจากที่ลป.ดู่ วัดสะแ
หลวงพ่อดู่ วัดสะแกคิดอย่างไรกับผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่?

ชินพร ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถามหลวงปู่ดู่ว่า...
"ท่านหลวงปู่ทิม อาจารย์ของผม
เป็นพระเถระที่ยึดมั่นพระธรรม และพระวินัยของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด
ไม่ยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และถือสันโดษ
เป็นพระภิกษุที่มีศีลลาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส
หลวงปู่ทิมได้สร้างพระเครื่องโดยมีผงพรายกุมาร
ที่ท่านทำมาจากเด็กตายทั้งกลมจากท้องมารดา
การกระทำของหลวงปู่ทิม จะเป็นบาปหรือไม่"

หลวงปู่ดู่ "ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า
เด็กที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตน
คือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณ
และแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้ว
ซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิม
คือ เป็นผงธุลีไป"

หลวงปู่หยุดเล็กน้อย
"การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาทำของจะบาปไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกันเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้นอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิดสภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมจึงเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่งและถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกด้วยอาคมและปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่า
ภูติ หรือ มหาภูติและถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคมและธาตุทั้งสี่มาทำของของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."

คำอธิบายของหลวงปู่ดู่
ทำให้คุณชินพรและพวกหายข้องใจ
ในเรื่องที่นำเด็กในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกแล้วป่นทำเป็นผงนำไปผสมกับผงพระพุทธคุณ
แล้วนำไปสร้างพระ...หรืออุดผงนี้ลงที่ด้ามมีดหมอ
หรือนำผงนี้อุดที่องค์พระที่สร้างขึ้น
บรรดาคนทั่วไป มักจะเรียกผงนี้ว่า ผงพรายกุมาร

ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข

      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #263 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2552, 08:43:20 »

อันที่จริงแล้ว มหาภูติ ในข้อความข้างบนนั้น ในต้นฉบับ หมายถึง มหาภูตรูป 4 ซึ่งหมายถึง ดิน น้ำ ลม ไฟ ในความหมายของลป.ดู่นั้นลึกลงไปกว่านั้นคือ
ในอารมณ์กรรมฐาน ดิน หมายถึง ความอ่อนและแข็งที่มีอยู่ในวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง(สถานะของสสาร ของแข็ง ของเหลว) น้ำ หมายถึง อาการเกาะกุม แทรกซึม (เหมือนพันธเคมีที่ยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคหนึ่งๆเข้าไว้ด้วยกัน) ลม หมายถึง ความไหวหรือการเคลื่อนไหว(พลังงานจลน์) ไฟ หมายถึง ความเย็นหรือความร้อน(อุณหภูมิของสสารนั้นๆ) ในตอนแรกๆที่เริ่มศึกษาเรื่องผงพรายกุมาร ผมคิดว่าลป.ทิมสะกดวิญญานแม่และเด็กไว้ในพระเครื่อง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ลป.ดู่อธิบายเอาไว้ว่า ในธาตุทั้ง4 นั้น มันมีอารมณ์แฝงอยู่ถึงตัวจะตายไปแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึก ณ ขณะนั้นๆแทรกซึมอยู่ในธาตุเหล่านั้น (คล้ายๆนักสืบพลังจิตในสารคดีดิสโคเวอรรี่ ที่สืบคดีฆาตกรรมจากการสัมผัสวัตถุแล้วอ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะเกิดเหตุฆาตกรรม ใช้เป็นร่องรอยตามหาฆาตกรจนพบ)  ในที่นี้คือความรักระหว่างแม่และลูก การนำมวลสารต่างๆจากแม่และเด็กมาสร้างพระเครื่องนี้ เพื่อดึงเอาพลังความรักของแม่และลูกที่มีอย่างมากมายมหาศาลมาบบรรจุไว้ในพระ เพื่อให้เกิดผลทางเมตตามหานิยม (ผมว่าถ้าเอาพวกจงอางหวงไข่มาทำ น่าจะแรงกว่านี้อีก) ผงพรายกุมารนี้จึงมีชื่อเรียกเต็มๆว่า ผงพรายกุมารมหาภูติ<--------- มหาภูติ นี้ไม่ได้หมายความว่า ภูติผู้ยิ่งใหญ่ แต่ หมายถึง มหาภูตรูป4 ที่มาของผงพรายนั่นเอง ลองค้น คำว่า มหาภูตรูป 4 ปสาทรูป 5 ดูครับจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น สำหรับเพื่อนๆพี่ชาวซีมะโด่งที่เรียนอภิธรรมมาแล้วคงจะเข้าใจดี(ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ)  sorry
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #264 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552, 23:03:52 »

      วันนี้มาใหม่ เรื่อง"คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" มีความเป็นมาอย่างไร เชิญตืดตามได้ในหัวข้อ ลป.เอี่ยมวัดหนัง
http://krubain.awardspace.com/amulets_monkgut.htm
 http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm
                                               หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง

                                           ผู้ถวายคำพยากรณ์ แด่ ร.๕




คัดลอกจาก http://www.lekpluto.com/index01/special03.html

                 บทความในตอนนี้ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า  ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขา หรือพระราชนิพนธ์ "ไกลบ้าน" แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาจากบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ และปู่ย่า ตาทวดละแวกวัดโคนอน เขตภาษีเจริญ ที่ได้รู้ได้เห็นได้ประสบเหตุการณ์  เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เข้านมัสการ   "หลวงปู่เอี่ยม"   เจ้าอาวาสวัดโคนอนในสมัยนั้น เพื่อขอรับการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าในการเสด็จประพาสยุโรป จริง เท็จ ประการใด เชื่อได้หรือไม่ ? ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่านก็แล้วกันนะครับ

                 ขอเริ่มเรื่องที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน"  หรือ "เจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง" ที่หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่อง รู้จักกันดี  เหรียญรูปเหมือนของท่านทั้งสองรุ่นที่ทันท่านปลุกเสก ค่านิยมในการบูชาอยู่ในหลักแสนมานานนับสิบปีแล้ว เหตุที่มีชื่อเรียกอีกนามหนึ่งนั้น เพราะภายหลังท่านได้มาปกครองวัดหนัง ภาษีเจริญ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระภาวนาโกศล"    ก็คงจะเป็นด้วยคุณงามความดีของท่านที่ถวายคำพยากรณ์  โดยที่ผลของคำพยากรณ์ออกมาเป็นจริง ทำให้ไทยเราไม่ต้องสูญเสียองค์พระปิยมหาราช ในขณะที่เสด็จรอนแรมอยู่กลางทะเล มหาสมุทร   และแผนอันชั่วร้ายของ "เศษฝรั่ง" ที่คิดปลงพระชนม์ชีพพระองค์อย่างแยบยล ชนิดที่ชาวโลกไม่กล้าตำหนิ

                                                         หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง บางขุนเทียน

หลวงปู่เอี่ยมนั้น ท่านเป็นศิษย์เอกของ "พระภาวนาโกศล (รอด) " อดีตเจ้าอาวาสวัดนางนอง วรวิหาร พระอารามหลวงชั้นตรีพระวิปัสนาจารย์ที่เก่งกล้าในด้านพุทธาคม มีตบะเดชะที่กล้าแข็ง สำเร็จวิชาแปดประการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ล่วงรู้จิตใจคน รู้อดีต รู้อนาคต แสดงฤทธิ์ได้ ฯลฯ  หลวงปู่รอดนี้  ต่อมาภายหลังท่านได้ถูกฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักร  ลงโทษด้วยการปลดออกจากตำแหน่ง ริบสมณศักดิ์คืนเพราะท่านไม่ยอมถวายอดิเรกแด่ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ในคราวเสด็จถวายผ้าพระกฐิน อาจจะเป็นเพราะความคิดที่ไม่เห็นด้วย ในการที่ล้นเกล้า ฯรัชกาลที่ ๔ ตั้ง   "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นมา ทำให้สงฆ์ต้องแตกแยกกันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็ไม่ควรเป็น "พระราชาคณะ" อีกต่อไป เพราะคำว่า "ราชาคณะ" นั้น แปลว่า "พวกของพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระราชา"

เมื่อหลวงปู่รอดถูกถอดจากสมณศักดิ์แล้ว ก็ออกจากวัดนางนอง กลับไปยังวัดบ้านเกิดที่ห่างไกลจากความเจริญ คือ "วัดโคนอน"ด้วยความกตัญญูรู้คุณแด่องค์พระอาจารย์     หลวงปู่เอี่ยม ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียง "พระปลัดเอี่ยม"ก็อ้อนวอนขอติดตามองค์อาจารย์ ไปปรนนิบัติรับใช้ ท่านไปไหนก็ไปด้วย เรียกว่าเห็นใจในยามทุกข์ ก็คงจะไม่ผิด      แสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดในลาภสักการะ ถิ่นที่อยู่ที่เจริญด้วยอาหารบิณฑบาต และปัจจัยในองค์หลวงปู่เอี่ยม นอกเหนือไปจากความกตัญญูกตเวที ที่ปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ จวบจนวาระสุดท้าย

หลวงปู่เอี่ยมนั้นเป็น "ศิษย์มีครู " ดังนั้น   จึงถอดแบบอย่างมาจากองค์หลวงปู่รอดแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน หลวงปู่รอดเก่งอย่างไร หลวงปู่อี่ยมก็เก่งอย่างนั้น  จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ท่านจะมีศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือมากมาย ทั้งที่วัดอยู่ในถิ่นห่างไกลความเจริญ การเดินทางไปมาหาสู่ไม่สะดวก แม้แต่พระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์" เจ้ากรมพระนครบาล (มหาดไทยในปัจจุบัน) ยังน้อมตัวเป็นศิษย์ และท่านผู้นี้แหละ     ที่ถวายคำแนะนำและทูลเชิญเสด็จล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ให้เสด็จมาขอรับคำพยากรณ์จากหลวงปู่เอี่ยม ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น  ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด   แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบายด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด  เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่าง ๆ  ของยุโรป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า "ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา"  เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษ และฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น "อาณานิคม" อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น  ทำได้ทางเดียว คือ "ทางเรือ" ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง  มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ "อับปาง" เลยครับ หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ "สุ่มสี่สุ่มห้า"  ล่ะก็  เป็นเสร็จทุกราย       คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า "อย่าไว้ใจทะเลคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที"  ท่านผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วซิครับ ว่ายากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้า ฯ     รัชกาลที่ ๕ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้  ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์    เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระ และคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า "ไม่ไร้สาระ" จนเกินไป

 --------------------------------------------------------------------------------

เมื่อล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕    ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์"ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว   ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยม เป็นการภายใน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ

ขบวนเสด็จประกอบด้วย เรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ   และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์    ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่นดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา  มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า "บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง"

 พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป    ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏร์ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์

"ที่รูปมาในวันนี้ ("รูป" เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"

"มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"

พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย "อนาคตังสญาณ"   จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด

ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้น ๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า  และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก

ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า

"มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้  จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน   อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้

ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง" ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต

คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า"  มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส  วิเสเสอิ   อิเสเส พุทธะนาเมอิ    อิเมนา พุทธะตังโสอิ  อิโสตังพุทธะปิติอิ "

หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จกันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ไปทวีปยุโรปต่อไป

 --------------------------------------------------------------------------------

            การเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ได้ทรงเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนที่เป็นกิจการภายในประเทศ ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อหน้ามหาสมาคม จากนั้นได้ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้ามหาสมาคมซึ่งประกอบไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าเสนามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระราชาคณะอันมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู กทม. มีใจความสำคัญ ดังนี้

๑. จักไม่เปลี่ยนแปลงจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาอื่น     

๒. จักเสวยน้ำจัณฑ์ (เหล้า) ต่อเมื่อไม่เป็นการผิดพระราชประเพณีต่อฝ่ายที่จะกระชับสัมพันธไมตรี และจะเสวยเพียงเพื่อไมตรีไม่ให้เสียพระเกียรติยศ 

๓. จะไม่ล่วงประเวณีต่อสตรีไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ตลอดเวลาที่พ้นออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม 

ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงบอกชัดเจนว่า

ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเล กับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการอาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมากและพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางเสด็จและในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนก็เป็นจริง 

เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับ สะดือทะเล หรือ "ซากัสโซ ซี" อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้วเรือพระที่นั่งมหาจักรี ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้     

กัปต้นคัมมิง (Commander Cumming) แห่งราชนาวีอังกฤษซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ บังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้ว การรอดออกมานั้นหมดหนทาง 

ในขณะที่วิกฤตินั้น ได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย    เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยมและผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย แล้วปาฎิหาริย์ก็ปรากฎ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน   จู่ ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูดสามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า "ฮูเรย์" ของกัปตันและลูกเรือ

ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า "แม่นยำยิ่งนัก"   คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น   มีช่วงที่รอนแรมในมหาสมุทรอินเดียยาวนานถึง ๑๕ วัน ๑๕คืน  คือเส้นทางระหว่างเมืองกอล (Galle) ประเทศศรีลังกา ไปยังเมืองเอเดน (Aden) เมืองท่าปากทางเข้าสู่ทะเลแดงของประเทศเยเมน ช่วงนี้แหละที่น่าจะเป็นช่วงอันตรายที่สุดและลำบากที่สุด เหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ข้างต้น    คงเกิดในช่วงเส้นทางนี้  คือระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน  ถึง ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ (ขอย้ำอีกครั้ง เป็นเรื่องเล่า ไม่ได้มีบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขา - เล็ก พลูโต)

ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางเสด็จ ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส  ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ฟอร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แรกไม่คิดจะต้อนรับขับสู้อย่างดีหรอกครับ     แต่สืบข่าวดูแล้ว ทุกประเทศที่พระองค์เสด็จผ่านมาก่อนหน้าที่จะเข้าฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษเบลเยี่ยม เยอรมัน ต่างก็ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยเฉพาะรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสทรงยกย่องนับถือเสมือนหนึ่งพระอนุชาร่วมอุทรของพระองค์เอง มีการฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่กัน เผยแพร่ไปทั่วยุโรป แล้วอย่างนี้ "เจ้าเศษฝรั่ง" จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร

ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส  ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน ๒๔๔๐นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการ หรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง

 --------------------------------------------------------------------------------

               โบราณว่าไว้ "หากไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร ? " เป็นบทท้าทายคำพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดตอนที่ล้นเกล้า ร.๕ พระปิยมหาราชเสด็จพระราชดำเนินเหยียบดินแดนของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นศัตรู ที่ร้ายกาจ หวังจะครอบครองแผ่นดินไทยให้ได้ทั้งหมด แม้จะได้เป็นบางส่วนแล้วก็ตามก็หาเป็นที่พอใจไม่

ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) นั้น สยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ  (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา ) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด"  คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน

กรณี "พระยอดเมืองขวาง"  แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว  ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า

"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ?   ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้

 ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า     เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้    เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง     เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า

 "ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"

"แน่นอน  ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"

"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ

"แน่นอน  ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ "

จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย

คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป

ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี    เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น  หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์

อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม  ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม  เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม

บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา  และทั้งหมดนี้คือจุดเล็ก ๆ    ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน

      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #265 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 07:01:02 »

^
^
เอ่อ เนื้อหาข้างบนออกแนวสุ่มเสี่ยงไปหน่อยป้ะ
มีบุคคลหลายๆ กลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้องอ่ะ
แถมยัง prove ไม่ได้ด้วย
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #266 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 15:55:24 »

มันก็พูดยากนะ เพราะตำนานเรื่องทำนองนี้มีเยอะ เช่น เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ก็มีประวัติประมาณนี้เช่นกัน

      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #267 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 16:22:19 »

^
^
อ๋อ ตรูหมายถึง เนื้อหาในส่วนที่ ประเทศฝรั่งเศสจะ ... ท่านอ่ะ
ถ้าเป็นคนฝรั่งเศสมาเห็น เค้าก้คงยอมไม่ได้เหมือนกันนะ
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #268 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 21:54:53 »

   ไม่รู้เหมือนกันครับ เคยเห็น GM ทำเป็นสารคดีเนื้อหาก็ประมาณนี้เหมือนกัน ไม่ผิดเพี้ยน วันก่อนฟังวิทยุก็เอาเรื่องนี้มาพูดเนื้อหาเดียวกัน....ลอกกันมาเลยว่างั้น สรุปว่าเรื่องนี้เป็นตำนานจริงๆ ไม่ใช่เพิ่งแต่งขึ้น แต่มีส่วนจริงเท็จเท่าไหร่นั้นบอกไม่ได้ (แต่พวกฝรั่งเศสสมัยนั้น มันเลวจริงๆครับอันนี้เรื่องจริง ) เรื่องนี้เก่าแก่มากครับ ถัดจากลป.เอี่ยมมาก็เป็นยุคของลป.ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรพระโอรสในพระพุทธเจ้าหลวงอีกต่อหนึ่ง ช่วงนี้มีเกจิอาจารย์สำคัญๆอีกรูปหนึ่งคือลพ.เงินวัดบางคลาน ลพ.เงินผมไม่ได้ค้นคว้าเลยไม่แน่ใจว่า ลป.ศุขกับลพ.เงินใครแก่กว่ากันเท่าไหร่ แต่ลป.เอี่ยมมาก่อนแน่นอน
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #269 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 22:04:59 »

    สำหรับลพ.เงินเนี่ยพอหันมาเล่นพระก็เจอเลย(เช่นเดียวกับลพ.พรหม วัดช่องแค) ในใจก็นึกเบื่อๆลพ.เงินอีกแล้ว ดียังไงเนี่ย..... ราคาก็แสนแพง(แถมไม่ทันลพ.เงินปลุกเสกอีก...เหมือนลป.ทวดที่ไม่ทันลป.ทวดปลุกเสกอีกเช่นกัน) มันต้องมีอะไรใหม่ๆที่มีคุณค่าแต่ราคาประหยัด(แนวคิดแบบ value investor เหนื่อย) ที่พยายามจะเอามาใช้กับวงการพระ] เลยเสียตังค์เช่าพระใหม่ไปเยอะมาก -_-' โดยเฉพาะองค์พ่อจตุคาม  สะใจจัง คิดแล้วสะเทือนใจไปนอนดีก่า
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #270 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2552, 11:53:49 »

โดนเหมือนกันเลย..แฮ่..

ดีว่าขายได้เยอะ สิริรวมเลยรอดตัว  ฝากหลวงปู่ศุขหน่อยอาจารย์ก๋ง ผมไปได้มา 2 เนื้อชินพิมพ์ประภามณฑล เมื่อซัก 4 ปีที่แล้ว เอาไปประกวด เก๊รวด ดีที่ร้านมันรับคืน จำชื่อไม่ได้แล้ว อยู่ในซอยโชคชัย 4 ร้านดังซะด้วย..
      บันทึกการเข้า
Kong_songpon
Full Member
**


กุมารดูดนม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 251

เว็บไซต์
« ตอบ #271 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2552, 08:10:24 »

       ติดเซียนโต้งอยู่ 2 เรื่อง 1.ลพ.ปานวัดบางนมโค 2.ลป.ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า  จะมาลงในไม่ช้าครับ
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #272 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2552, 09:35:14 »

เคยไปที่วัดปากคลองมะขามเฒ่ามาแล้ว พอดีจะไปนครสวรรค์ ก็เลยแวะซะหน่อย อยู่ริมคลอง วัดเงียบๆดีครับ
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #273 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2552, 07:55:06 »

อยากได้พญาครุฑ หลวงปู่ผาด วัดไร่ จ.อ่างทอง อ่ะครับ
ใครมี เช่ามาฝากบ้างสิครับ
ไม่เอารุ่นแรกก็ได้นะ ขอรุ่นล่าสุดที่เพิ่งออกมาก็ได้

ขอบคุณล่วงหน้าขอรับ









ขอบคุณเครดิตรูปจาก siamamulet ครับ
http://www.siamamulet.net/phpboard/qb.php?Qid=174131
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #274 เมื่อ: 01 กันยายน 2552, 15:53:07 »

ทำไมจะนิยมครุฑล่ะท่าน เวลาจะไปที่อโคจรที่ท่านต้องไปบ่อยๆต้องถอดก่อนเข้าไปนะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 18  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><