22 พฤศจิกายน 2567, 05:58:15
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"  (อ่าน 45931 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #25 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2551, 07:32:23 »

ขอบคุณพี่สมชายอีกครั้งครับ

วันนี้มีข่าว รมต.กรณ์กระตุ้นอสังหาฯ โดยให้นำดอกเบี้ยมาหักลดหย่อนภาษี

ผมไม่ตำหนิ รมต.กรณ์หรอกครับ เครื่องมือดูแลเครื่องยนต์ที่ชื่อว่าประเทศไทยมีเท่านี้ ก็คงทำได้แค่นี้ แต่ใครได้ประโยชน์ครับ ใครเสียประโยชน์ครับ...มีฝ่ายได้ ต้องมีฝ่ายเสีย  ซึ่งถ้าเป็นการจัดการที่ถูกต้อง เมื่อปรับเข้าสู่จุดสมดุล โดยรวมแล้วประเทศต้องได้มากกว่าเสียครับ
ฝ่ายได้ที่แน่นอนที่สุดคือ นักธุรกิจอสังหาฯ (ซึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรมักไม่เคยสูญเสียอย่างแท้จริง เวลาเศรษฐกิจดีมากก็โกยทั้งบนดินและใต้ดิน..ใต้ดินก็เช่นเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ร่วมมือกับธนาคารจนเกิดฟองสบู่  และเหตุการณ์ที่กำลังส่อเค้าในช่วงปลายปี47ที่บ้านราคาเริ่มเกินจริงอย่างมาก ดีที่เกิดกรณีคุณสนธิลิ้มไม่พอใจคุณทักษิณ...เมื่อเศรษฐกิจแย่ก็เป็นผู้เก็บเกี่ยวรายต้นๆ เลวร้ายที่สุดก็ล้ม...แต่ล้มบนฟูกครับ)
ฝ่ายได้ต่อมาก็คือธนาคาร แต่ธนาคารได้ก็ส่งผลให้เงินเคลื่อนที่ (ซึ่งคือคุณสมบัติข้อสำคัญของเงิน)  เมื่อเงินเคลื่อนที่ เศรษฐกิจก็ขยับขึ้น

ฝ่ายเสียละครับ เกษตรกรครับ เมื่อเงินในมือผู้บริโภคน้อยลง ก็ต้องประหยัด กินน้อย ใช้น้อย ราคาพืชผลเกษตรก็ต้องตกต่ำลง เพราะสินค้าเกษตรมีอายุจำกัด

ระบบเงินคู่...จึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นครับ เพื่อใช้ปรับสมดุลระหว่างเงินบาทที่ผูกติดกับทรัพย์สินอย่างอสังหาฯ เครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์
ต้องใช้ระบบเงินคู่ ให้เงินรองผูกติดกับเกษตรกร สินค้าเกษตร รวมทั้งเครื่องมือสร้างสินค้าเกษตรและการแปรรูปสินค้าเกษตร

ระบบเงินคู่ ไม่เพียงช่วยเกษตรกรนะครับ แต่ช่วยทั้งประเทศอย่างสมดุล รวมทั้งช่วยภาคอสังหาฯได้อย่างแท้จริงด้วย ระบบเงินเดี่ยวในปัจจุบัน...อย่างกรณีช่วยอสังหาฯ ก็ทำให้อสังหาฯเติบโตแบบไม่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลเสียโดยรวมในที่สุด ( ผลเสียเช่น ในส่วนนักธุรกิจอสังหาฯก็ขยายงานจนเกินพอดี  ในส่วนผู้ซื้อก็อาจขาดการวางแผนที่ดีพอ  เมื่อส่วนใดเกิดปัญหาก็ส่งผลเสียต่อธนาคาร)

คราวหน้า คงได้ เริ่มข้อ 5.5 ว่าด้วยการขับเคลื่อน  น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีครับ
[/size]
บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #26 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2551, 08:29:58 »

เสี่ยขายส่งไอศกรีมคิดสั้น ผูกคอดับ-หนีพิษเศรษฐกิจ [25 ธ.ค. 51 - 08:15]

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 06.30 น. ที่ผ่านมา (25 ธ.ค.) เกิดเหตุ นายสมชาย ฉายวงศ์สว่าง  อายุ 55 ปี ประกอบกิจการขายส่งไอศกรีมใช้เชือกไนล่อนสีแดงผูกคอตัวเองเสียชีวิตอยู่ภายในห้องครัวของบ้านพักตึกแถว 2 ชั้น หลังโรงแรมตะวันนา ย่านสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร (กทม.)

 

จาก การสอบถามภรรยาผู้เสียชีวิตทราบว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ตนเองได้พูดคุยกับสามี ทราบว่ามีปัญหาเรื่องธุรกิจ ก่อนจะออกไปตลาดเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. และกลับมาถึงบ้านพักเวลาประมาณ 06.30 น. เมื่อเปิดประตูห้องครัวเข้าไปจึงพบว่า สามีได้เสียชีวิตแล้ว คาดว่ามีปัญหาเรื่องธุรกิจ

เอาที่เป็นข่าวมาให้อ่านครับ เป็นข่าวจากไทยรัฐ  ที่ไม่เป็นข่าวไม่ทราบครับ

ผมมองว่านี่คือการสูญเสีย ผู้มีอำนาจมักรู้สึกเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับผม  นี่คือเรื่องใหญ่มาก  การสูญเสียคนที่ตั้งใจทำมาหากินถือเป็นการสูญเสียยิ่งกว่าทรัพย์สิน
เป็นการขาดทุนยิ่งกว่าขาดทุน  คนเราเก่งไม่เท่ากัน แต่ผู้ที่พ่ายแพ้แล้วถึงกับฆ่าตัวตายไม่น่าจะเกิดจากการแพ้เพราะฝีมือตัวเอง ส่วนใหญ่ถ้าฆ่าตัวตายในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ผมโยนให้แพ้ในภาพแมคโครไม่ใช่ไมโคร

ขอแสดงความอาลัยกับผู้จากไปครับ
บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #27 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2551, 21:01:07 »

กำหนดการขับเคลื่อน

ข้อ 5.5 ว่าด้วยเรื่องภาษี

มีความจำเป็นที่ต้องมีการเก็บภาษีจากธุรกรรมใดๆที่เกิดด้วยการใช้เงินด้วง(เงินรอง)....ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกับภาษีอันเกิดจากธุรกรรมของเงินบาท  จะใช้แนวทางใดขึ้นกับนโยบายขณะนั้นๆและภาวะเศรษฐกิจโลก 

โจทย์ที่ผมยังไม่ตกผลึกก็คือ ภาษีที่รัฐบาลอาจเก็บจากธุรกรรมเงินด้วง(เงินรอง)โดยตรงนั้น ควรเก็บในรูปของเงินด้วง(เงินรอง) หรือ เก็บในรูปเงินบาท  แต่ถ้าเป็นภาษีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกเก็บจากธุรกรรมเงินด้วง ควรเป็นภาษีในรูปเงินด้วง หรือเงินบาทก็ได้ แต่ถ้าต้องนำภาษีจากธุรกรรมเงินด้วงส่งต่อให้รัฐบาล ต้องส่งในรูปเงินบาทเท่านั้น

ทั้งนี้ เพราะเงินงบประมาณใดๆที่ออกจากรัฐบาล รวมทั้งเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้องค์กรทางราชการ หรือเอกชนที่รับงานจากรัฐบาล ต้องจ่ายในรูปเงินบาท
ส่วนเงินที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ่ายให้กับข้าราชการหรือลูกจ้างหรือผู้รับงานจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจเป็นในรูปของเงินบาทหรือเงินด้วง(เงินรอง) ก็แล้วแต่ กลไกการขับเคลื่อนระหว่างเงินบาทกับเงินรองในขณะนั้น
บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #28 เมื่อ: 01 มกราคม 2552, 14:36:46 »

“รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงราคาให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น ถ้าถามว่าจะเอาเงินมาจากที่ไหนให้พิมพ์เงินออกมาเลย เพราะเรามีสินค้า มีข้าวอยู่ก็เหมือนกับมีทองคำสำรอง ไม่ใช่พิมพ์เงินออกมาโดยไม่มีของ นั่นคือเงินเฟ้อที่แท้จริง ถ้ามีเงินมากขึ้นและมีของให้ซื้อได้ ถือว่าสมดุลกัน ราคาสินค้าเกษตรสูงแล้วก็ต้องมีการปรับเงินเดือนให้สอดคล้องกัน เป็นนโยบายสองสูงซึ่งยังมีความมั่นใจมากว่าจะไปรอดได้”

วันนี้ ที่น่ากลัวสุดไม่ใช่ “เงินเฟ้อแต่เป็นเงินฝืด” และที่น่ากลัวอีกอย่างคือคนไม่มีกำลังซื้อ ดังนั้น อย่ากดราคาสินค้าเกษตร ที่ผ่านมาเราให้เกษตรกรช่วยคนจนในเมือง เช่น พอข้าวราคาขึ้น รัฐก็ทำข้าวธงฟ้า ยิ่งขายราคาข้าวยิ่งตก ประเทศยิ่งจนลง ในโลกนี้มีแต่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น แต่ประเทศด้อยพัฒนาไม่เข้าใจ


ข้างต้น คือ ความคิดเห็นของ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ คัดมาจากไทยรัฐฉบับ 1 มค 2552 หน้า8

 คำว่า"ถ้ามีเงินมากขึ้นและมีของให้ซื้อได้ ถือว่าสมดุลกัน" ใครจะเข้าใจบ้าง

กลไกระบบเงินคู่ คือเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการนี้ครับ  การพิมพ์เพิ่มปริมาณเงินโดยภาครัฐเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การพิมพ์เงินบาทออกมาแบบข้อเสนอนี้ อาจแก้ปัญหาระยะสั้นได้ แต่จะส่งผลเสียในระยะยาว เพราะกลไกอื่นๆในระบบเศรษฐกิจยังตั้งอยู่บนฐานเดิม


สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๒ ครับ
บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #29 เมื่อ: 10 มกราคม 2552, 09:24:06 »

คืนวันจันทร์ที่ 12 มค.นี้ เวลา 23.00 น. ช่อง3 คุณสรยุทธ จับเข่าคุยกับ คุณธนินท์ เจียรวนนท์

ในโฆษณา คุณสรยุทธพูดทำนองว่าหลักการ 2 สูง คงใช้ไม่ได้แล้ว แต่คุณธนินท์บอกว่ายังใช้ได้

ถ้ามีโอกาส ขอเชิญฟังร่วมกันครับ
บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #30 เมื่อ: 14 มกราคม 2552, 06:47:38 »

คืนวันจันทร์ที่ 19 มค. เวลา 23.00 น. ช่อง3 คุณสรยุทธ จับเข่าคุยกับ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ (ภาคต่อ)

หลักการ 2 สูง เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริงให้ประเทศไทยครับ


ขอพักตุ๊กตา "ระบบเงินคู่" ไว้ก่อน

ผมอยากแลกเปลี่ยนในเรื่อง สหรัฐอเมริกา จะเห็นด้วยกับ "ระบบเงินคู่" ไหม

ผมเชื่อว่า อเมริกา จะเข้าใจระบบเงินคู่ และ จะสนับสนุน ระบบเงินคู่ด้วย

เหตุผล......
เคยเผากระดาษไหมครับ สมมตินะครับว่า เราจะเผาสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง...หนาดี 
หากใช้ไม้ขีดไฟจุดโดยไม่ฉีกออกมาเป็นแผ่น จุดอย่างไรก็คงไม่ติด หรืออาจเผาได้แผ่นปกด้านบนแผ่นเดียว
แต่ถ้าสามารถใช้ไฟที่แรงพอแล้วจุดกระดาษทั้งเล่มให้เริ่มติดไฟได้ กระดาษของสมุดโทรศัพท์ก็จะยิ่งเพิ่มความร้อนแรงขึ้น และเมื่อโยนอีกเล่มลงไปก็คงไหม้หมด(ถ้าไม่หนาเกิน)
ปริมาณกระดาษของสมุดโทรศัพท์ เปรียบได้กับปริมาณเงินดอลลาร์ของโลก  เปลวไฟ คือ พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เปลวไฟทางเศรษฐกิจจะร้อนแรงมากน้อย ขึ้นกับความมั่นคงของการบริโภค..ปริมาณการบริโภค

ในโลกทุนนิยม การบริโภคเกิดได้โดยกลไกการเงิน โดยอาศัยปริมาณคนที่มีเงิน

การใช้ระบบเงินคู่ เท่ากับการเพิ่มเงินในระบบ โดยมีเงินรอง เหมือนเชื้อเพลิงอื่นที่จะช่วย เผาสมุดโทรศัพท์ ซึ่งจะช่วยให้ พลังความร้อนการเผาไหม้ลุกโชนยิ่งขึ้น
นั่นเท่ากับ ช่วยให้เงินดอลลาร์หมุนได้ หมุนได้ หมุนได้

ทุกวันนี้ เงินดอลลาร์มากเกินไป คล้ายสมุดโทรศัพท์ที่หนาเกินกว่า ความร้อนที่เกิดจากปริมาณคนมีเงินในขณะนี้จึงไม่อาจสร้างพลังจากเงินดอลลาร์ได้

ระบบเงินคู่ จะช่วยให้ ระบบดอลลาร์ขยายตัวอย่างมั่นคงไปได้อีกนาน

ประเทศใด ที่สร้างระบบเงินคู่ได้ สหรัฐยิ่งควรสนับสนุน (เพราะ ปริมาณเงินดอลลาร์ในขณะนี้มากจนสหรัฐน่าจะพอใจไปอีกนาน ซึ่งสังเกตจากหนี้สินที่สหรัฐมีต่อประเทศต่างๆ...ซึ่งก็คิดเป็นดอลลาร์สหรัฐ)

อย่างที่ผมเรียนไว้แล้วครับว่า  มีไม่กี่ประเทศในโลก ที่ใช้ระบบเงินคู่ได้


บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #31 เมื่อ: 03 เมษายน 2552, 19:46:24 »

เสียดายข้อความที่โพสต์ไว้หายหมดเลยครับ
บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #32 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 08:40:33 »

เนื่องจากระบบขาดหาย จึงนำส่วนที่ขาดไปมาลงไว้ครับ

กระทู้ต่อเนื่อง ถึงวันที่ 8 มีนาคม 52
............................
chaojom
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #31 เมื่อ: วันอังคาร 20 มกราคม 2552, 08.38 »
   
ในรายการจับเข่าคุย คืนวันจันทร์ที่19มค. คุณธนินท์ เจียรวนนท์ พูดได้เห็นภาพมากครับ
ข้าว ยางพารา มัน อ้อย
ความยากจนของเกษตรกร คนจนในเมือง และโอกาสที่ดียิ่งขึ้นของคนที่ดีอยู่แล้ว

ทั้งหมด ยิ้มแย้มใจใสพร้อมกันได้ ด้วยหลักการ 2 สูง

ซึ่งผมยังเชื่อว่า หลักการ 2 สูง จะเป็นจริงและยั่งยืนได้ ต้องภายใต้ ระบบเงินคู่ ครับ

หมายเหตุ : ก. 2 สูง จะเป็นไปไม่ได้ ถ้า ค่าเงินยังผูกติดกับทองคำเช่นในอดีต
             ข. หากประเทศไทยไม่ใช้ระบบเงินคู่  เมื่อเดิน 2 สูงแล้ว อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทของเราอ่อนตัวลงอย่างมากได้
                และอาจถูกถล่มด้วยอัตราแลกเปลี่ยน  
        

...................................   
chaojom

Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #32 เมื่อ: วันจันทร์ 16 กุมภาพันธ์ 2552, 08.26 »
   
แล้วช่วงทองของไทยก็กำลังหมดลง....

ความจริงเราโชคดีมาก..ที่เกิดเหตุประท้วงยุคยามเฝ้าแผ่นดิน(ไม่ใช่ยุคพันธมิตรนะครับ...)
ทำให้ธนาคารเรายังคงแข็งแรง  ในขณะที่หลายประเทศกระทบ...(อ่านเหตุผลได้ในห้องปรัชญาและการเมือง
http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,2700.0.html)

และแล้ว  เราก็ไม่ได้กำไรจากโอกาสทอง  และเราต้องขาดทุนแน่  ยิ่งไม่เข้าใจความเป็นไปที่กำลัง
จะเกิดขึ้น อันได้แก่การดูดซับความมั่งคั่งจากเศรษฐกิจรวมของโลกเพื่อการคงอยู่อย่างมั่นคงของดอลลาร์...
เราอาจขาดทุนมากๆ..น่าเสียดาย...น่าเสียดาย

ขออภัย...แล้วจะมาขยายต่อครับ
   
.......................
chaojom

Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #33 เมื่อ: วันอังคาร 03 มีนาคม 2552, 11.15 »
   
ปัญหาเศรษฐกิจโลกเวลานี้ พื้นปัญหาไม่ได้เกิดเหมือนเช่นในอดีต

ครั้งหนึ่งโลกเคยขาดแคลนปัจจัยการดำรงชีพ  ข้าวของจึงแพง  รายได้ของคนไม่เพียงพอ...เกิดปัญหา

ต่อมาด้วยสมองของคน เราพัฒนาการผลิต เราขุดโลกมาใช้ จนปัจจัยการดำรงชีพเหลือเฟือ..ในที่สุดเกิดปัญหาเพราะ
ปริมาณเงินในระบบไม่พอใช้

ดอลลาร์ภิวัฒน์ช่วยให้ปัญหาปริมาณเงินหมดไป แต่ด้วยกลไกความมีค่าอยู่จริงของเงิน...วันนี้จึงเกิดปัญหา

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเวลานี้ ไม่อาจแก้ด้วยวิธีเก่าๆ  การใช้วิีธีเก่าๆแก้ปัญหา  ก็เหมือนการปล่อยให้ต้นไม้งาม
ค่อยเหี่ยวเฉาไปแต่ละกิ่งแต่ละก้าน  เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของปัญหา ต้นไม้ไม่ตาย แต่กิ่งก้านเหลือน้อยลง

และการแก้ปัญหาของสหรัฐต้องใช้วิธีหนึ่ง  ส่วนประเทศอื่นๆก็ต้องใช้วิธีเฉพาะตามแต่ปัจจัยปัญหาและพื้นฐาน

ประเทศไทยโชคดีมากที่เกิดเหตุประท้วงยุคยามฯ

ใช้ความโชคดี นำความมั่งคั่งที่มีนี้สร้างเศรษฐกิจภายในประเทศเถอะ
ยกระดับความมั่งมีให้ชาวไร่ชาวนาชาวสวน ผู้ใช้แรงงานระดับล่าง
(คนระดับนี้ยังต้องการมีทีวีจอแบน มีคอมฯ มีเครื่องอำนวยความสะดวกฯลฯ)
แล้วคนระดับกลางก็จะยิ่งดีขึ้น..เป็นไปตามกลไก
แน่นอน เศรษฐีไทยก็จะยิ่งรวยขึ้นๆ...

อย่าปล่อยให้โอกาสทองของเราผ่านไปโดยไม่ได้อะไรเลย

เร่งสร้าง "ระบบเงินคู่" เถอะ

...................................   
จุ๊ง22

รุ่น: 2522
คณะ: วิศวกรรม
กระทู้: 566
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #34 เมื่อ: วันเสาร์ 07 มีนาคม 2552, 13.30 »
   
พี่เจ้าจอมครับ ผมอ่านระบบเงินคู่ของพี่แบบงงๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เข้าใจว่าคงเป็นระบบที่ดี ทำให้ผมนึกเขื่อนเวลาเรือจะแล่นผ่านประตูน้ำ ระดับน้ำของนอกและในประตูน้ำไม่เท่ากัน เข้าใจว่าระบบเงินคู่น่า จะเป็นแบบเขื่อนการเงินนั่นเอง ความคิดนี้พี่คิดเองหรือป่าวครับ แล้วถ้าจะผลักดันความคิดนี้ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ควรจะเสนอแนวคิดนี้กับใคร คงจะต้องมีรายละเอียดที่ต้องคิดอีกมากนะครับ
   

ซี มะโด่ง ถือเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึง ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้จะรู้สึกอบอุ่น สังคมไทยมีพื้นฐานที่ดีแต่กำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ จุดเริ่มต้นก็เกิดจากการขาดความอบอุ่นโดยเฉพาะเริ่มต้นจากครอบครัวพ่อแม่ลูก ขอสนับสนุนทุกคนทำสถาบันครอบครัวให้ดีเพื่อจะเป็นพื้นฐานของสังคมที่ดี เหมือนซีมะโด่งของเรา

..................................
khesorn mueller
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #35 เมื่อ: วันเสาร์ 07 มีนาคม 2552, 16.57 »
   
พี่จุ๊งยังงง!
แล้วหนิงไม่สติแตกเรอะ?
ยังไม่เริ่มที...sheเริ่มปอดแหก
เดี๋ยวก็มีร้อยคำถามๆพี่เจ้าจอม
ให้สติแตกตามไปด้วย...

เดี๋ยวมาคะ!

nn.27
   
...............................
สมชาย17
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #36 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 11.25 »
   
น้องเจ้าจอมครับ
กระทู้นี้ น่าจะเข้าได้ดี กับ ประเทศไทยเวลานี้ เพราะเรามีภูมิคุ้มกันที่ต่ำมาก
เขียนแสดงความคิดเห็น มาเรื่อยๆผมว่าคนที่เข้ามาอ่านจะได้ประโยชน์มาก
น่าจะกระตุ้นให้คิดต่อยอดกันได้  ถึงจะอ่านเข้าใจยากเพราะอยู่คนละวงการ
แต่ก็ได้ข้อคิดใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ มากขี้น

ส่วนตัวผม หลังอ่านไปเรื่อยๆ รู้แบบงูๆปลาๆ แต่ก็ยิ่งเห็นด้วยมากขึ้น กับระบบเงินคู่นี้

ผม ตีความ อุปมาอุปมัย ประเทศไทย เหมือน มนุษย์เดินดิน1คน อาการคบ32ประการ
ใช้เงิน บาทเป็นหลัก ในการคบหา ต่อสู้ กับ มนุษย์คนอื่น ไม่ว่าลาว จีน ฝรั่ง และสู้กับ อากาศ
ร้อย ฝน หนาว ฯลฯ

ส่วน เงินคู่ เหมือน หูตา จมูก ตับ ไต หัวใจ ลำใส้ กระเพาะ กระดูกฯลฯ ต้องมีภูมิคุ้มกัน ของมันเองด้วย
ต้องมีอาหาร(เงินท้องถิ่น)เฉพาะ ให้แต่ละส่วน แข็งแรง ตามหน้าที่ของ อวัยวะนั้นๆ

แต่ทั้งหมด ยัง ยึดโยง กับร่างกายทั้งร่าง ที่เป็นมนุษย์(โยงกับเงินบาท) ถ้าทุกส่วนดี ร่างกายจะแข็งแรงมาก

ถ้าร่างกาย บอบช้ำ จาก การต่อสู้กับคนอื่น หรือ ภัยธรรมชาติ ร้อน ฝน หนาว  ภ้าอวัยวะภายในดี ก็สู้ได้นาน
หรือ ฟื้นตัวได้เร็ว

..................................
   
สมชาย17
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #37 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 11.38 »
   
เหมือน น้องจุ๊ง ที่มีแนวคิดว่า เหมือนเขื่อน
น้ำบ่ามาแรง ก็ไม่ท่วม เพราะเขื่อนจะกักเก็บไว้
หน้าแล้ง ก็ไม่อดตาย เพราะระบายน้ำจากเขื่อน มาเลี้ยงดูกัน
(ถ้าแล้งนานๆ จนน้ำหมดเขื่อน ก็ตัวใครตัวมัน แต่เราก็อยู่ได้นานกว่าน้ำจะหมด)
ถ้าใครอ่านแล้วไม่ชอบคำว่า เขื่อน ก็ให้หมาบความว่า ฝายน้ำล้น ขนาดเล็กๆ
แต่มีเป็น ร้อยๆ ฝายน้ำล้น ก็แล้วกัน

ถ้าน้อง เจ้าจอม ช่วยให้ความเห็นและแนวทางเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยได้มาก

......................................
   
ตุ๋ย 22

รุ่น: rcu2522
คณะ: ครุศาสตร์


ชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นกันไป

......................................................

   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #38 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 19.49 »
   
ชอบจริงๆ ระบบเงินคู่ของพี่สมชาย
   
................................
จุ๊ง22

รุ่น: 2522
คณะ: วิศวกรรม
กระทู้: 566
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #39 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 19.57 »
   
อ้างจาก: ตุ๋ย ที่ วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 19.49
ชอบจริงๆ ระบบเงินคู่ของพี่สมชาย

ตุ๋ย อย่ามั่ว พี่เจ้าจอมเสนอความคิดนี้ต่างหาก เดี๋ยวแกน้อยใจ
   
...................................


ซี มะโด่ง ถือเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึง ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้จะรู้สึกอบอุ่น สังคมไทยมีพื้นฐานที่ดีแต่กำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ จุดเริ่มต้นก็เกิดจากการขาดความอบอุ่นโดยเฉพาะเริ่มต้นจากครอบครัวพ่อแม่ลูก ขอสนับสนุนทุกคนทำสถาบันครอบครัวให้ดีเพื่อจะเป็นพื้นฐานของสังคมที่ดี เหมือนซีมะโด่งของเรา
ตุ๋ย 22
ระดับชั้นอภิมหาเซียน
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2522
คณะ: ครุศาสตร์
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #40 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 20.36 »
   
ช่ายขอพระอภัยคุณเจ้าจอม อ่านเพลินไปหน่อย เหมือนมั่ว
ขอบคุณเพื่อนจุ๊งที่เตือนครับ

......................................
   
khesorn mueller
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #41 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 22.16 »
   
อ้างจาก: chaojom ที่ วันเสาร์ 11 ตุลาคม 2551, 09.37
ผมใคร่ขอให้ช่วยพิจารณาแนวคิด การใช้ระบบการเงินซึ่งผมจะเรียกว่า "ระบบเงินคู่"(เงินสองระบบ)

ทำไม ในเมื่อเงินเป็นเพียงตัวกลางแลกเปลี่ยนทรัพยากร เราจึงควรวางกติกาของเรา ให้เงินบาทเป็นเงินหลักของประเทศใช้แลกเปลี่ยนกับเงินประเทศต่างๆได้และใช้ ทั่วประเทศ และมีเงินรองไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับเงินประเทศต่างๆและใช้เฉพาะพื้นที่ แต่ค่าเงินรองนี้ต้องสัมพันธ์กับค่าเงินบาท (บางครั้งอาจมีค่ามากกว่าเงินบาท บางครั้งอาจมีค่าน้อยกว่าเงินบาท..แล้วแต่เป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ)

1.บ้านเราก็แปลกนะครับ ทรัพยากรที่มีของเราคือสินค้าเกษตร แต่พอสินค้าเกษตรแพงคนส่วนใหญ่(ซึ่งมีรายได้น้อย)ก็เดือดร้อน
ซึ่งความจริงเพราะสินค้าเกษตรราคาถูกจึงทำให้คนส่วนใหญ่มีรายได้น้อย (ปัญหานี้ระบบการเงินภายใต้กติกาเดิมแก้ไม่ได้เพราะข้อ2)

2. แม้สินค้าเกษตรจะมีราคาถูก ค่าแรงงานคนไทยต่ำ แต่เพราะเป็นทรัพยากรที่แท้จริง เมื่ออดทนไประยะหนึ่งก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่เพราะความที่เงินดอลลาร์ไม่ได้รองรับด้วยทรัพยากรที่แท้จริง เมื่อมีการปรับสมดุลดอลลาร์ ย่อมกระทบเงินบาท ส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียความมั่งคั่งที่สะสมมา สินค้าเกษตรและแรงงานก็ต้องเข้ามาแบกรับอีก

หากใช้ ระบบเงินเดี่ยว แบบที่เป็นอยู่ วงจร 1และ2 จะต้องเกิดโดยที่เราไม่มีทางชนะได้ เพราะประเทศเราไม่ใหญ่โต

อันที่จริงผมเชื่อว่า ปัญหาของสหรัฐจะไม่เกิดเร็วเช่นนี้ ถ้าไม่มีเงินยูโร
ขอบคุณครั
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #33 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 08:45:28 »

กระทู้ต่อเนื่อง ถึง 10 มีค.52


khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #50 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 23.43 »
   
พี่จุ๊งละก็ อย่าทำเล่นไป
เอาของง่ายไปทำให้เข้าใจยากน่ะ
ประสบอยู่ทุกวัน!
หนิงชอบเอาของยาก มา simplify
มันจำนานดีคะ!
ชาวบ้านจะได้เข้าใจง่ายๆ
nn.
   บันทึกการเข้า
จุ๊ง22
Hero Member
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2522
คณะ: วิศวกรรม
กระทู้: 566



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #51 เมื่อ: วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 23.47 »
   
อ้างจาก: khesorn mueller ที่ วันอาทิตย์ 08 มีนาคม 2552, 23.43
พี่จุ๊งละก็ อย่าทำเล่นไป
เอาของง่ายไปทำให้เข้าใจยากน่ะ
ประสบอยู่ทุกวัน!
หนิงชอบเอาของยาก มา simplify
มันจำนานดีคะ!
ชาวบ้านจะได้เข้าใจง่ายๆ
nn.

พี่แซวเล่นแค่นั้นแหละ น้องโพสต์ไปละกัน พี่ไปนอนล่ะ พรุ่งนี้จะกลับมาแซวต่อ
   บันทึกการเข้า
ซี มะโด่ง ถือเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึง ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้จะรู้สึกอบอุ่น สังคมไทยมีพื้นฐานที่ดีแต่กำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ จุดเริ่มต้นก็เกิดจากการขาดความอบอุ่นโดยเฉพาะเริ่มต้นจากครอบครัวพ่อแม่ลูก ขอสนับสนุนทุกคนทำสถาบันครอบครัวให้ดีเพื่อจะเป็นพื้นฐานของสังคมที่ดี เหมือนซีมะโด่งของเรา
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #52 เมื่อ: วันจันทร์ 09 มีนาคม 2552, 00.07 »
   
พี่เจ้าจอมที่เคารพ,
อย่าเพิ่งส่ายหัวกะความเข้าใจที่หนิง
...เดินมาถึงตอนนี้!

เงินอีกระบบนึงที่พี่หมายถึงหนิงยัง
ยังไงๆอยู่!เพราะเมื่อ เงินระบบโน้น
เข้ามานับ/ตีค่า ให้เงินที่เรามี ขึ้นๆลงๆ
สิ่งที่ชาวบ้านเห็นในท้องตลาดต่างหาก
คือสิ่งที่พวกเค้ารับรู้จริง เมื่อจู่ๆ ราคาทรัพย์
ที่มีในมือ เกิดลดค่า ก็ต้องไปหาทางปั่น หาทาง
ดึงตรงอื่นให้ขึ้นตาม....การปั่นราคาที่ดินยังติดตา
ตรึงหู ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้การถือ ครอบครอง
แลกเปลี่ยนตรงนี้ทำยากยิ่ง เห็นการชงราคาแล้ว
ทำให้หมดกำลังใจจะมี แม้ผืนเท่ากระผีกในครอบครอง
ยินเรื่องที่ที่ทำเกษตร ลดจำนวนฮวบฮาบ เพราะไม่มีคนทำ
เพราะทำแล้วไม่รวย เพราะ อยากมีเร็วอย่างคนอื่นบ้าง

อย่าว่าแต่ที่เมืองไทยคะ ที่โน่นก็พูดถึงเรื่องนี้!
ที่ที่ปรับเปลี่ยนไปเป็นที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม
แต่เค้ารํ่ารวยซะนัก ซื้อกินได้!
ขาย BMW,Benz. VWกี่คัน เพื่อแลกอาหารมาเลี้ยงคนทั้ง
ประเทศ แต่เค้าก็ subventionเกษตรกร!!คํ้าชู สนับสนุน
ให้ผลิตเพื่อบริโภคให้มากที่สุด...ให้อยู่รอดมากที่สุด
นำเข้าน้อยที่สุด...

หนิงยังสงสัยว่า เมื่อขายที่ เพื่อไปถอย
มอเตอร์ไซค์,รถปิคอัพ ที่มีอายุใช้งาน
8-12ปี(นี่วัดมาตรฐานเยอรมันคะ...)มาแล้ว
มีความรู้รองรับเพื่อเวลาหลังจากนี้หรือไม่?
เวลาที่ต้องอาศัยสมองและสองมือ เลี้ยงชีพ

ขอหนิงพักคะ
เพราะนั่น แค่postแรกของพี่
postที่สอง เกี่ยวกะแนวคิดเงินคู่
ที่ชาวเราคิดขึ้น เพื่อใช้กันเอง
หนิงงงซะก่อน!!สติแตกไปแล้วพี่เจ้าจอม!
   บันทึกการเข้า
สมชาย17
Sr. Member
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 258



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #53 เมื่อ: วันจันทร์ 09 มีนาคม 2552, 14.15 »
   
น้องหนุงหนิง
น้องหนุงหนิง คงต้องอ่าน ระบบเงินคู่ ของพี่เจ้าจอมตั้งแต่เริ่มแรก หน้าแรก
และอ่าน บุญกุดชุม หรื่อ เบี้ยกุดชุม ของชาวบ้านที่กำหนดขึ้นใช้กันเอง
อาจจะเข้าใจ ระบบเงินคู่ของ พี่เจ้าจอม มากขึ้น (เรื่องนี้ เข้าใจยาก จริงๆ)


   บันทึกการเข้า
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #54 เมื่อ: วันจันทร์ 09 มีนาคม 2552, 15.11 »
   
พี่สมชาย,
นั่นล่ะค่ะ postแรกสุด!
ที่เกริ่นท้าวมามากมาย...
เพื่อต้องการแน่ใจว่า
ตั้งต้นที่ความเข้าใจเดียวกัน.
post เบี้ยกุดชุม หนิงงงซะก่อน
วันนี้จะต่อคะพี่!

nn.27
   บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
ระดับชั้นอภิมหาเซียน
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 2,909


ชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นกันไป


ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #55 เมื่อ: วันจันทร์ 09 มีนาคม 2552, 19.43 »
   
ขอข้อความทีละนิดอย่าโพสต์มาก ผมอยากได้ความรู้เรื่องนี้มาก
ถ้าข้อความมากๆ ตาจับข้อความแต่ละบรรทัดไม่ได้ เลยอ่านไปงงไป
เรื่องนี้ดีอยากได้ผู้รู้มากๆจัง
   บันทึกการเข้า
chaojom
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77


ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #56 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 07.34 »
   
อ้างถึง
จุ๊ง2522
ขาประจำพี่เข้าใจว่าความหมายของพี่เจ้าจอมคือถึงแม้ บางอย่างตีค่าเป็นเงินได้ อย่างเงินด้วงสมมติว่าตีค่าเท่ากับเงิน
แต่เนื่องจากเงินด้วงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแลกเปลี่ยนกับเงินดอลล์ ของบางอย่างที่เราตีค่าเป็นเงินด้วง เงินดอลล์ใช้ซื้อไม่ได้
ความหมายของพี่เป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ พี่เจ้าจอม

จุ๊งเข้าใจถูกแล้วครับ และที่เปรียบเทียบว่าระบบเงินคู่เหมือนเขื่อน
ทำให้เห็นภาพและดีครับ

อ้างถึง
ผม ตีความ อุปมาอุปมัย ประเทศไทย เหมือน มนุษย์เดินดิน1คน อาการคบ32ประการ
ใช้เงิน บาทเป็นหลัก ในการคบหา ต่อสู้ กับ มนุษย์คนอื่น ไม่ว่าลาว จีน ฝรั่ง และสู้กับ อากาศ
ร้อย ฝน หนาว ฯลฯ

ส่วน เงินคู่ เหมือน หูตา จมูก ตับ ไต หัวใจ ลำใส้ กระเพาะ กระดูกฯลฯ ต้องมีภูมิคุ้มกัน ของมันเองด้วย
ต้องมีอาหาร(เงินท้องถิ่น)เฉพาะ ให้แต่ละส่วน แข็งแรง ตามหน้าที่ของ อวัยวะนั้นๆ

แต่ทั้งหมด ยัง ยึดโยง กับร่างกายทั้งร่าง ที่เป็นมนุษย์(โยงกับเงินบาท) ถ้าทุกส่วนดี ร่างกายจะแข็งแรงมาก

ถ้าร่างกาย บอบช้ำ จาก การต่อสู้กับคนอื่น หรือ ภัยธรรมชาติ ร้อน ฝน หนาว  ภ้าอวัยวะภายในดี ก็สู้ได้นาน
หรือ ฟื้นตัวได้เร็ว

พี่สมชายขยายความได้โดนใจผมมากครับ  อวัยวะกับร่างกายทั้งหมด  ฝายน้ำแต่ละฝายกักเก็บน้ำ
ขอบคุณครับ


ขอบใจน้องหนิงและน้องตุ๋ยครับ ค่อยทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนกันนะครับ

ตอนนี้ ผมมีพี่สมชาย และน้องจุ๊งคอยช่วยอธิบายแล้ว..ดีใจมากเลยครับ
   บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
ระดับชั้นอภิมหาเซียน
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 2,909


ชีวิตไม่สิ้นต้องดิ้นกันไป


ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #57 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 20.17 »
   
แนวคิดของคุณเจ้าจอม  ขยายผลออกไปแค่ไหนแล้วครับ
   บันทึกการเข้า
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #58 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 21.03 »
   
พี่เจ้าจอม,
หนิงเข้าใจระบบเบี้ยกุดชุมแล้วคะ
ไม่เลวค่ะ...ตราบเท่าที่ทั้ง 5หมู่บ้าน
ร่วมมือร่วมใจ...ปรองดอง...เห็นพ้อง
ทำตามกติกา...กินพอเพียง ใช้พอเพียง
ไม่มีสื่อภายนอกเข้ามาเบี่ยงเบนความสนใจ.

nn.27
   บันทึกการเข้า
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #59 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 21.23 »
   
อ้างจาก: chaojom ที่ วันอาทิตย์ 19 ตุลาคม 2551, 11.18
หาก เปรียบประเทศเป็นแก้วน้ำ(ไม่เปรียบเป็นถังน้ำ เพราะถังน้ำอาจจะทึบ มองด้านข้างไม่เห็น โลกโลกาภิวัฒน์ สามารถมองเห็นกันได้ไม่ยาก  จึงเหมาะกับ แก้ว เพราะใส มองเห็นได้) ประเทศไทยก็เป็นแก้วใบย่อม ไม่ใหญ่โต
เปรียบเงินดอลลาร์เป็นน้ำ เขาใส่เข้ามาไม่ต้องมากเราก็สำลักแล้ว  เขาเอาออกไม่มากเราก็คอแห้ง
ประเทศที่ใหญ่กว่า  ปริมาณดอลลาร์ที่ใส่ลงมา อาจเหมือนเทแม่น้ำลงทะเล
เราจำต้องสร้างเกราะให้ตัวเอง
โลกยุคนี้ ไม่ต้องใช้ช้างม้าใช้ปืนแย่งชิงดินแดนแย่งชิงทรัพยากรกันแล้ว  เขาใช้อาวุธทางการเงิน
หากไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักสร้างอาวุธ(ทางการเงิน)เองบ้าง รบอย่างไรก็แพ้
ประเทศไทยเรา เป็นแดนทองครับ แต่คนไทยเรายิ่งนับวันยิ่งมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง
ชาวซีมะโด่ง  คือ ช้างเผือกจากป่า ที่มีโอกาสสัมผัสความศิวิไลซ์ ต้องช่วยกันเท่าที่ช่วยได้ครับ


พี่่เจ้าจอม,
ไม่ซีก งัดไม้ซุงค่ะ...หนิงมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้.
การรู้เท่าทันโลกตะวันตก ดีต่อเมื่อนำมาปรับใช้กะวิถี
ตลอดจนความเชื่อของเราเอง ในทางของเราเอง.

เห็นการโฆษณาชวนเชื่อ ขายสินค้า ว่าดี ว่าเลิศ ว่า
สะแมนแตนวิเศษมาจากเมืองนอก  ช่วยกันขาย ช่วยกัน
ทำแต้ม สะสม รับรางวัล อะไรต่อมิอะไร...เคยมีใครซักคน
ตั้งคำถามหรือปล่าว ว่า ช่วยทำให้อภิมหาเศรษฐี เจ้าของ
ที่นั่งอยู่อเมริกา รวยยิ่งๆขึ้นไปอีก?

ชีวิตที่แย่ลง เป็นผลพวงมาจาก การกระจายที่ไม่เท่าเทียมกัน.
การจัดสรรที่เอื้อให้ใครคนใด คนหนึ่งได้มากกว่าคนอื่นๆที่เป็นหมู่มาก.
ไม่ไช่ว่าทุนนิยมจะดีพร้อมเสมอไป เพราะข้อเสียมักแอบแฝง
มาด้วยในรูปที่คนมีโอกาส ก็มีช่องหาประโยชน์
คนขาดโอกาส ก็ได้แต่เกาะรั้วมองจากภายนอก.

การมองย้อนกลับเข้าสู่ตัวเอง...back to the root
เดินตามทางของตัวเอง ขณะเดียวกัน จับตา
โลกภายนอกอย่างเข้มงวด เพื่อจะทำให้เรารู้เท่าทัน
ว่าเค้าต้องการอะไรจากเรา จึงเป็นทางเดียวที่เราจะ
จะไม่ถูกเอาเปรียบจากทุนนิยม โลกาภิวัฒน์

nn.27
   บันทึกการเข้า
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #60 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 21.49 »
   
อ้างจาก: chaojom ที่ วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2551, 11.03
จบเรื่องเงินเป็นเครื่องมือนะครับ...ต่อไปเรามาดูคุณสมบัติของเงิน

คุณสมบัติพื้นฐานของเ้งินคือ เงินจะแสดงค่าเมื่อมีการเปลี่ยนมือ  นั่นคือ ถ้าเงินหยุดนิ่งเมื่อไรเงินก็เหมือนไร้ค่า  ข้อนี้ถือเป็นหัวใจนะครับ ฝรั่งเรียกเงินว่า CURRENCY เพราะฉะนั้น รัฐบาลที่เก่งต้องพยายามทำให้เงินเคลื่อนที่
เมื่อเราจุดตะเกียงน้ำมัน แสงสว่างก็ตามมา การเกิดแสงและความร้อนทำให้น้ำมันสูญหายไป  แต่เงิน กลับไม่เป็นเช่นนั้น  เงินนั้นเมื่อได้แสดงบทบาทแล้ว กลับไม่สูญหายไป เพียงแต่ย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง..คุณสมบัติข้อนี้ก็สำคัญครับ..2ข้อแล้ว
คุณสมบัติข้อที่3 เงินเป็นเครื่องมือที่ใช้ที่ใช้แลกเปลี่ยนทรัพยากร  ทำให้ตัวมันเองกลายเป็นทรัพย์สิน(ทรัพย์สินนะครับไม่ใช่ทรัพยากร)ที่ มีค่า  และจัดเป็นสุดยอดของทรัพย์สิน  เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายในการดูแลน้อยหรือไม่มีเลย  มีมากเท่าไรก็ไม่เป็นภาระ  มีได้อย่างไม่รู้เบื่อ (ต่างกับทรัพย์สินอื่น ยังไงก็มีจุดอิ่ม)

ทั้ง3ข้อคือคุณสมบัติของเงิน ที่ไม่เปลี่ยนแปร  ใครมีข้ออื่น แนะนำเพิ่มด้วยนะครับ
ด้วย หน้าที่และคุณสมบัติของเงินดัง กล่าว  ปัจจุบันได้มีการพัฒนาส่วนควบทางการเงินซับซ้อนขึ้น  จนวันนี้ วันที่ดอลลาร์มีการปรับฐานขนานใหญ่ จึงเป็นช่วงที่เหมาะยิ่งที่จะใช้ "ระบบเงินคู่"  แล้วมาแลกเปลี่ยนกันต่อครับ.....

เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน?
เป็นต้วรักษาค่า?
เป็นตัววัด?

พี่เจ้าจอมกำลังนำเข้าสู่..cash monopol??

nn.27

   บันทึกการเข้า
จุ๊ง22
Hero Member
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2522
คณะ: วิศวกรรม
กระทู้: 566



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #61 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 21.57 »
   
น้องหนิงตั้งคำถามได้ดีมาก ดีถามเยอะๆ พี่จะได้เอาขี้เลื่อยออก บรรจุไว้ด้วยเงินบ้าง พี่เจ้าจอมน่าจะกำลังเรียบเรียงความคิดเพื่อจะได้อธิบายละเอียดขึ้น
   บันทึกการเข้า
ซี มะโด่ง ถือเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึง ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้จะรู้สึกอบอุ่น สังคมไทยมีพื้นฐานที่ดีแต่กำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ จุดเริ่มต้นก็เกิดจากการขาดความอบอุ่นโดยเฉพาะเริ่มต้นจากครอบครัวพ่อแม่ลูก ขอสนับสนุนทุกคนทำสถาบันครอบครัวให้ดีเพื่อจะเป็นพื้นฐานของสังคมที่ดี เหมือนซีมะโด่งของเรา
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #62 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 22.02 »
   
อ้างจาก: chaojom ที่ วันศุกร์ 07 พฤศจิกายน 2551, 09.33
ผมขอเสนอตุ๊กตา สำหรับ "ระบบเงินคู่" ในความคิดของผม
เอาเป็นว่า ทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้ปรับแก้เพื่อการสร้าง "ระบบเงินคู่" เรียบร้อยแล้ว

1. กำหนดพื้นที่ที่จะให้มีการใช้เงินรอง (เงินหลัก คือเงินบาท ใช้ทั่วประเทศอยู่แล้ว)

    -กรุงเทพมหานคร ไม่มีเงินรองใช้  ใช้เงินบาทอย่างเดียว

    -พื้นที่ที่จะมีการใช้เงินรอง กำหนดโดยขนาดพื้นที่  การผลิตทรัพยากร(ทรัพยากรหมายถึง การเกษตร วัฒนธรรม และสิ่งที่ก่อเกิดจากต้นทุนธรรมชาติพิ้นฐาน)
      สมมติผมแบ่งตามภาค ภาคเหนือ ภาคกลาง(ไม่รวมกรุงเทพ) ภาคอีสาน ภาคใต้
      ทุกภาคมีเงินรองสกุลเงินเดียวกัน แต่รูปแบบเงินที่แตกต่างกัน คือต่างมีคณะกรรมการดูแลเรื่องเงินรองแต่ละภาค ธนบัตรจะไม่เหมือนกัน
      (เหตุผลที่ต้อง แบ่ง เพื่อให้บทบาทของเงินรองมีจำกัดในระดับหนึ่ง  มิฉะนั้น จะกระทบกับค่าและความมั่นคงของเงินหลัก คือ เงินบาท  ต้องไม่ลืม คุณสมบัติ ที่สำคัญของเงิน คือ ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนมือ)


เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว!
พี่กำลังจะให้มีค่าเงินหลายค่าเหรอคะ?
แต่เงินต้องมีความเป็น homogeneous?
แบ่งภูมิภาคทางรัฐศาสตร์ ยังพอเข้าใจคะ
แต่ส่วนกลาง...ก็ยังต้องมี"Hoheit"เงินเป็น
หนึ่งในนั้นนี่คะ...แทนในนามของเงินไทย.

nn.
   บันทึกการเข้า
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #63 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 22.10 »
   
อ้างจาก: จุ๊ง2522 ที่ วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 21.57
น้องหนิงตั้งคำถามได้ดีมาก ดีถามเยอะๆ พี่จะได้เอาขี้เลื่อยออก บรรจุไว้ด้วยเงินบ้าง พี่เจ้าจอมน่าจะกำลังเรียบเรียงความคิดเพื่อจะได้อธิบายละเอียดขึ้น

พี่จุ๊ง หนิงไม่ได้ตั้งคำถามคะพี่
หนิงพยายามทำยากให้ง่าย!
จะได้จำนานๆพี่.

เงินบาทจะรักษาค่าได้หรือคะหากมีค่าอื่น
จากแต่ละท้องถิ่นมาเทียบคู่.
แค่ให้อภิสิทธิ์หลายๆอย่างในกรุงเทพอย่าง
เดียว ก็แบ่งเขตจะแย่แล้ว ยังจะต้องตีตราตัว
เองว่าใช้เงินแตกต่างอีก....หนิงกำลังถามตัวเอง
คะพี่เจ้าจอม

nn.
   บันทึกการเข้า
จุ๊ง22
Hero Member
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2522
คณะ: วิศวกรรม
กระทู้: 566



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #64 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 22.16 »
   
อ้างจาก: khesorn mueller ที่ วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 22.10
อ้างจาก: จุ๊ง2522 ที่ วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 21.57
น้องหนิงตั้งคำถามได้ดีมาก ดีถามเยอะๆ พี่จะได้เอาขี้เลื่อยออก บรรจุไว้ด้วยเงินบ้าง พี่เจ้าจอมน่าจะกำลังเรียบเรียงความคิดเพื่อจะได้อธิบายละเอียดขึ้น

พี่จุ๊ง หนิงไม่ได้ตั้งคำถามคะพี่
หนิงพยายามทำยากให้ง่าย!
จะได้จำนานๆพี่.

เงินบาทจะรักษาค่าได้หรือคะหากมีค่าอื่น
จากแต่ละท้องถิ่นมาเทียบคู่.
แค่ให้อภิสิทธิ์หลายๆอย่างในกรุงเทพอย่าง
เดียว ก็แบ่งเขตจะแย่แล้ว ยังจะต้องตีตราตัว
เองว่าใช้เงินแตกต่างอีก....หนิงกำลังถามตัวเอง
คะพี่เจ้าจอม

nn.

น้อง หนูไม่ได้ตั้งคำถาม แต่สิ่งที่น้องหนูบรรยายมามันกลายเป็นคำถามในใจพี่ ซึ่งบางทีพี่ก้ไม่รู้จะถามอย่างไรเหมือนกัน พี่ถึงเชียร์ให้น้องหนิงตั้วคำถามเยอะๆ พี่จะได้ประมวญเอาและจับใจความได้ไง ก็บอกแล้วว่าพี่เข้าใจแบบงงๆไงล่ะ
   บันทึกการเข้า
ซี มะโด่ง ถือเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึง ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้จะรู้สึกอบอุ่น สังคมไทยมีพื้นฐานที่ดีแต่กำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ จุดเริ่มต้นก็เกิดจากการขาดความอบอุ่นโดยเฉพาะเริ่มต้นจากครอบครัวพ่อแม่ลูก ขอสนับสนุนทุกคนทำสถาบันครอบครัวให้ดีเพื่อจะเป็นพื้นฐานของสังคมที่ดี เหมือนซีมะโด่งของเรา
khesorn mueller
อภิมหาอมตะเซียนตลอดกาลนานเทอญ
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 27,350



ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #65 เมื่อ: วันอังคาร 10 มีนาคม 2552, 22.41 »
   
พี่เจ้าจอม,
งงไปเรียบร้อยแล้วคะ!
จนถึงหัวข้อที่ 5...ทั้งด้วง ทั้งบาท
อุตลุตไปหมดค่ะ.
ขอพัก!

ภาคแถม:ตอนสหภาพยุโรปมีมติจะปรับค่าเงิน
เป็นค่า €เดียวกันหมด หนิงได้มีโอกาสเห็นความ
เปลี่ยนแปลงทั้ง pro / contra ที่ออกมาเดินขบวน
ทั้งให้สัมภาษณ์ เห็นด้วย และต่อต้าน แต่เมื่อเป็น
มติทุกประเทศร่วม ก็ทำตาม...ประเทศที่ไม่เห็นด้วย
ก็ไม่ร่วม....ครั้งแรกสุด จำได้ว่า 1 €= 2 DM ขบเขี้ยว
เคี้ยวฟัน...1€ แลกเงิน  US$ได้ 80กว่า cent.
แต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ชี้ให้เห็นว่า เงิน €แข็งขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ 1 € ~1.3 US $....
เศรษฐศาสตร์ของชาวบ้านที่โน่น ง่าย ปฏิบัติทันทีภายใต้
ความเข้าใจว่า จ่ายให้น้อยกว่าที่รับ..แบ่งเก็บ แบ่งลงทุน
มากกว่านี้ เกินความเข้าใจคะ

nn.27
   
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #34 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 17:49:39 »

กระทู้ต่อเนื่องจนถึงเว็บมีปัญหา


chaojom
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77


ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #66 เมื่อ: วันพุธ 11 มีนาคม 2552, 07.16 »
   
อ้างถึง
ข้อความโดย: khesorn mueller
พี่่เจ้าจอม,
ไม่ซีก งัดไม้ซุงค่ะ...หนิงมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้.
การรู้เท่าทันโลกตะวันตก ดีต่อเมื่อนำมาปรับใช้กะวิถี
ตลอดจนความเชื่อของเราเอง ในทางของเราเอง.

ว่าจะๆไม่ตอบใดๆกับน้องหนิง แต่น้องหนิงกลับสามารถทำให้ผมตอบได้

ถูกแล้วครับประเทศไทยเหมือนไม้ซีก สหรัฐเหมือนไม้ซุง
เพียงแต่ ระบบเงินคู่ ไม่ใช่การงัดไม้
ระบบเงินคู่ คือ การเสริมสร้างไม้
หากให้เป็นไม้ในเขื่อนของน้องจุ๊ง และให้คนนั่งบนไม้ ไม้ต้องลอยน้ำ คนจะได้ไม่จมน้ำ
ด้วยระบบเงินคู่ จะทำให้ไม้ซีก ประคองท่อนซุงไม่ให้จมครับ

อ้างถึง
ภาคแถม:ตอนสหภาพยุโรปมีมติจะปรับค่าเงิน
เป็นค่า €เดียวกันหมด หนิงได้มีโอกาสเห็นความ
เปลี่ยนแปลงทั้ง pro / contra ที่ออกมาเดินขบวน
ทั้งให้สัมภาษณ์ เห็นด้วย และต่อต้าน แต่เมื่อเป็น
มติทุกประเทศร่วม ก็ทำตาม...ประเทศที่ไม่เห็นด้วย
ก็ไม่ร่วม....ครั้งแรกสุด จำได้ว่า 1 €= 2 DM ขบเขี้ยว
เคี้ยวฟัน...1€ แลกเงิน  US$ได้ 80กว่า cent.
แต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ชี้ให้เห็นว่า เงิน €แข็งขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ 1 € ~1.3 US $....
เศรษฐศาสตร์ของชาวบ้านที่โน่น ง่าย ปฏิบัติทันทีภายใต้
ความเข้าใจว่า จ่ายให้น้อยกว่าที่รับ..แบ่งเก็บ แบ่งลงทุน
มากกว่านี้ เกินความเข้าใจคะ

ผมเคยแสดงความเห็นไว้ในหัวข้อของกระทู้แล้วครับว่า

"อันที่จริงผมเชื่อว่า ปัญหาของสหรัฐจะไม่เกิดเร็วเช่นนี้ ถ้าไม่มีเงินยูโร"


   บันทึกการเข้า
chaojom
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77


ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #67 เมื่อ: วันพุธ 11 มีนาคม 2552, 07.30 »
   
อ้างถึง
ข้อความโดย: ตุ๋ย 22
ใส่การอ้างถึงคำพูด
แนวคิดของคุณเจ้าจอม  ขยายผลออกไปแค่ไหนแล้วครับ

ระบบเงินคู่ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลครับ

ผมเคยส่งหัวข้อของกระทู้นี้ไปที่ Building a Better Future Foundation
ที่คุณทักษิณก่อตั้ง พบว่า มีการคลิกเข้ามาเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นนัยสำคัญ

ต่อมาสักระยะ ผมส่งหัวข้อนี้ไปตามที่ติดต่อในเวปของพรรคประชาธิปัตย์
ไม่พบการเปลี่ยนแปลงการคลิกอย่างเป็นนัยสำคัญ

ขณะนี้ผมทำได้่เท่านี้ครับ

น้องตุ๋ยมีช่องทางแนะนำหรือช่วยขยายได้ แนะนำด้วยครับ
   บันทึกการเข้า
chaojom
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77


ดูรายละเอียด
   
   
Re: ได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยจะใช้ "ระบบเงินคู่"
« ตอบ #68 เมื่อ: วันพุธ 11 มีนาคม 2552, 09.29 »
   
จุ๊ง2522
 พี่เข้าใจว่าความหมายของพี่เจ้าจอมคือถึงแม้บางอย่างตีค่าเป็นเงินได้ อย่างเงินด้วงสมมติว่าตีค่าเท่ากับเงิน แต่เนื่องจากเงินด้วงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแลกเปลี่ยนกับเงินดอลล์ ของบางอย่างที่เราตีค่าเป็นเงินด้วง เงินดอลล์ใช้ซื้อไม่ได้ ความหมายของพี่เป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ พี่เจ้าจอ
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #35 เมื่อ: 05 เมษายน 2552, 18:03:24 »

ขอบคุณน้องเต้มากครับ ที่ทำเว็บบอร์ดนี้

ทำให้ผมได้กำลังใจ และข้อคิดดีๆจากพี่น้องชาวซีมะโด่ง

ยิ่งนับวัน ผมยิ่งมั่นใจว่า "ระบบเงินคู่" คือทางออกหนึ่งของวิกฤติการเงินโลกในครั้งนี้

และหาก รัฐบาลไทยใช้โอกาสความมั่งคั่งของประเทศที่ได้มาด้วยความโชคดี

สร้าง "ระบบเงินคู่"  ซึ่่งมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ใช้ได้ จะเป็นความล้ำหน้าที่เหมาะสม

โลกทุนนิยม จะขับเคลื่อนไปได้ ต้องเคลื่อนบนฐานที่มั่นคงในทุกส่วน ในทุกประเทศ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ประเทศที่สามารถใช้ "ระบบเงินคู่" ได้ จะเป็นประเทศที่มีความสุข

มั่นคงและยั่งยืน
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #36 เมื่อ: 23 เมษายน 2552, 11:36:20 »

 
อ้างถึง   
ศก.โลกปีนี้หดตัวรุนแรง ไอเอ็มเอฟฟันธง แนวโน้มต่อเนื่องถึงปีหน้า
Pic_1400

รุนแรง ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ที่ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก พร้อมลดประมาณการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าลงอีกเกือบ 1%

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (23 เม.ย.) อ้า ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) พยากรณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ว่า จะหดตัวลงอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มต่อเนื่องถึงปีหน้า ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะหดตัวลงร้อยละ 1.3 เนื่องจากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ตกต่ำอย่างหนัก? ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง และมีอนาคตที่ไม่แน่นอน

สถาบัน แห่งนี้ประเมินด้วยว่าเศรษฐกิจโลกกำลังดำดิ่งลงสู่สภาวะถดถอยที่รุนแรง ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2? และเป็นครั้งที่ 3 แล้วในปีนี้ที่ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก? นอกจากนี้ยังได้ลดประมาณการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าลงอีกเกือบ 1%??? ไอเอ็มเอฟเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเติบโตอย่างเฉื่อยเนือยเพียงร้อยละ 1.9

ไอเอ็ม เอฟ ระบุด้วยว่า เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ในปีนี้จะหดตัวลงร้อยละ 2.8 ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นจะหดตัวลงถึงร้อยละ 6.2 ส่วนเศรษฐกิจของประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) จะติดลบร้อยละ 4.2 เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะติดลบร้อยละ 4.1 และ ของประเทศสหภาพรัสเซียติดลบร้อยละ 6.0 ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินเดีย ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดประมาณการเจริญเติบโตลงมาเหลือร้อยละ 6.5 และ 4.5 ตามลำดับ
ไทยรัฐออนไลน์

    * โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
    * 23 เมษายน 2552, 08:04 น.

tag

เอาข่าวเศรษฐกิจถดถอยจากไทยรัฐมาให้อ่านกันครับ

ผมเสียดายจริงๆ  เสียดายโอกาสทองของไทย..
นักวิชาการที่ไปเรียนทฤษฎีทางเศรษฐกิจของอังกฤษ,อเมริกา ก็เดินตามโดยไม่ยอมไตร่ตรอง

วันนี้ผมยังเชื่อว่าภาคการเงินรวมของไทยเรามั่งคั่ง..แต่ด้วยการจัดการที่ไม่รู้เท่าทัน
ในไม่ช้า..เราก็จะพบปัญหาเช่นเดียวกับนานาประเทศ..เพราะรัฐบาลจะขาดเงินไปใช้จ่าย
หนี้เสียจากธุรกิจจะเพิ่มขึ้ัน และส่งผลต่อธนาคารในที่สุด...น่าเสียดาย..เสียดายความโชคดีที่ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความจริง หากดูถึงเนื้อแท้ของเศรษฐกิจ แม้เศรษฐกิจไม่ขยายตัวก็ไม่เกิดปัญหา
ต้องหดตัวจึงอาจเกิดปัญหา
แต่ทุกวันนี้ ที่เศรษฐกิจจำเป็นต้องขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกๆปี เป็นเพราะกลไกของเงินดอลลาร์

เมื่อไรผู้มีอำนาจ จะเข้าใจเรื่องเงินของโลกเสียที

โอกาสทอง ลดน้อยลงไปเรื่อยๆแล้วนะครับ

ศึกษา ระบบเงินคู่ เถอะครับ




      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #37 เมื่อ: 27 เมษายน 2552, 22:00:09 »

"...ต่อไปเรามาดูคุณสมบัติของเงิน

คุณสมบัติพื้นฐานของเ้งินคือ เงินจะแสดงค่าเมื่อมีการเปลี่ยนมือ  นั่นคือ ถ้าเงินหยุดนิ่งเมื่อไรเงินก็เหมือนไร้ค่า  ข้อนี้ถือเป็นหัวใจนะครับ ฝรั่งเรียกเงินว่า CURRENCY เพราะฉะนั้น รัฐบาลที่เก่งต้องพยายามทำให้เงินเคลื่อนที่

เมื่อเราจุดตะเกียงน้ำมัน แสงสว่างก็ตามมา การเกิดแสงและความร้อนทำให้น้ำมันสูญหายไป  แต่เงิน กลับไม่เป็นเช่นนั้น  เงินนั้นเมื่อได้แสดงบทบาทแล้ว กลับไม่สูญหายไป เพียงแต่ย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง..คุณสมบัติข้อนี้ก็สำคัญครับ ..2ข้อแล้ว

คุณสมบัติข้อที่3 เงินเป็นเครื่องมือที่ใช้ที่ใช้แลกเปลี่ยนทรัพยากร  ทำให้ตัวมันเองกลายเป็นทรัพย์สิน(ทรัพย์สินนะครับไม่ใช่ทรัพยากร)ที่ มีค่า  และจัดเป็นสุดยอดของทรัพย์สิน  เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายในการดูแลน้อยหรือไม่มีเลย  มีมากเท่าไรก็ไม่เป็นภาระ  มีได้อย่างไม่รู้เบื่อ (ต่างกับทรัพย์สินอื่น ยังไงก็มีจุดอิ่ม)

ทั้ง3ข้อคือคุณสมบัติของเงิน ที่ไม่เปลี่ยนแปร...."


นั่นคือข้อความที่ผมเคยโพสไว้ที่กระทู้นี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2551  เอามาให้อ่านอีกครั้งครับ..เผื่อฟลุค
ผู้มีอำนาจบริหารระบบการเงินของประเทศมาอ่านเจอ อาจเกิดปัญญา...

คุณสมบัติข้อที่1 สำคัญนัก...วันนี้เงินในประเทศเรามีมาก(เพราะความโชคดี...ไม่ใช่เพราะบทเรียนจากปี 2540 อย่างที่ใครๆชอบอ้าง)
เมื่อประเทศมีเงิน  หากรัฐบาลต้องการมีเงิน ก็ต้องทำให้เงินเคลื่อนที่....
เวลานี้ พื้นเราดีกว่า ปี2540 มากมายนัก

เงินไม่พอ รัฐบาลใช้วิธีลดค่าใช้จ่าย...บริหารง่ายๆแบบนี้  ใครๆก็ทำได้ครับ..แต่ไม่ควรเป็นบทบาทรัฐบาล

และถ้าจะตัดงบ ควรแยกแยะครับ
งบในส่วนที่ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล (เพราะผู้อื่นทำไม่ได้) ตัดหลังสุด
แต่งบในส่วนที่รัฐบาลอาจส่งให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นได้ตัดก่อน  (เช่น โดยการให้สัมปทาน....) แล้วเชิญชวนให้ผู้อื่นลงทุน

จริงแล้ว ในทุกการตัดสินใจ มีทั้งด้านได้ และ เสีย
แต่การดำเนินการที่ดีที่สุด จะทำให้ ทุกการตัดสินใจ มีได้มากกว่าเสีย..และหักลบแล้วอาจได้มากๆ
แต่ดำเนินการไม่ได้เรื่อง ย่อมมีเสียมากกว่าได้..ขออย่าให้เสียมากๆเลย....ครับ


      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #38 เมื่อ: 28 เมษายน 2552, 17:10:09 »

ไปอ่านพบบทความที่คล้ายกับ  ระบบเงินคู่ นี้

เป็นเงินที่ใช้ในจีน ช่วงเปิดประเทศใหม่ๆ โดยมีการพืมพ์เงินออกมา 2 แบบ
แบบหนึ่ง คือ เงินหยวน แบบที่ใช้กันในปัจจุบัน
อีกแบบคือเงิน ว่ายฮุ่ยเจวี้ยน  ซึ่งมีหน่วยเป็น หยวน เช่นเดียวกัน แต่ใช้สำหรับแลกกับเงินตราต่างประเทศ


ผมลิงค์ไว้แล้วครับ บทความชื่อ   ว่ายฮุ่ยเจวี้ยน เงินตราแห่งยุคปฏิรูป


      http://www.jiewfudao.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538775448&Ntype=3

แล้วเชิญมาแลกเปลี่ยนกันนะครับ
   
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #39 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2552, 17:18:12 »

การที่จีนมีรูปแบบเงิน 2 แบบในช่วงนั้น ผมคิดเอาเองว่า รัฐบาลจีนคงรู้สึกถึงความน่าวิตกบางประการอยู่บ้าง
กับการที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ(8 ปีหลังจากสหรัฐลอยตัวเงินดอลลาร์)
และเพื่อความไม่ประมาท..ใช้รูปแบบที่ไม่เหมือนกันซะเลย นับเป็นการกระทำที่รอบคอบ และล้ำลึกยิ่ง

แต่จะอย่างไร...วิธีการ...รายละเอียดการจัดการ...ความเหมาะสม..ย่อมแตกต่างกันไป

ประการที่หนึ่ง  เงินว่ายฮุ่ยเจวี้ยน เป็นความแตกต่างเฉพาะรูปแบบของเงิน แต่ยังใช้ค่าเป็นหยวน เหมือนกัน
ถึงกระนั้นก็ยังพบว่า เงินว่ายฮุ่ยเจวี้ยน มีค่ามากว่า เงินเหรินหมินปี้ (เงินที่ใช้ปัจจุบัน)
ซึ่งเหตุการณ์นั้นเกิดในขณะที่จีนยังต้องการสินค้าต่า่งประเทศอยู่มาก 


ประการที่สอง  การใช้เงินสกุลเดียวกัน แต่รูปแบบต่างกัน
ด้านหนึ่งสร้างความสับสนและคนรู้สึกได้ถึงการได้เปรียบเสียเปรียบ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จะพบว่า แม้จะใช้เป็นเงินสกุลเดียวกัน
แต่กลไกตลาดกลับทำให้อัตราแลกเปลีี่ยนแตกต่างกัน

ประการที่สาม เป้าหมายของ  เงินว่ายฮุ่ยเจวี้ยน อาจมีจุดประสงค์เพียงเป็นการป้องกันและ
ควบคุมการเงินระหว่างประเทศ และออกใช้ในปี 1979 ซึ่งเท่ากับว่าเงินดอลลาร์
ถูกปล่อยให้ลอยตัวมาแล้ว 8 ปี นับเป็นช่วงที่ดอลลาร์ภิวัฒน์เริ่มวิ่งได้อย่างรวดเร็ว
การกั้นไม่ให้ดอลลาร์เข้าได้สะดวก  เท่ากับเป็นการสกัดกั้นปริมาณเงินในประเทศด้วย
(จะอย่า่งไร ผมค่อนข้างเชื่อว่า การตัดสินใจยกเลิกใช้เงินว่ายฮุ่ยเจวี้ยน ในปี 1995
เท่ากับ พ.ศ. 2538 จีนคงได้กำไรไปไม่น้อยจากการใช้เงินว่ายฮุ่ยเจวี้ยน เพราะอีก 2 ปี
ก็เกิด ต้มยำกุ้ง)

วันนั้น จีนใช้เพียงรูปแบบเงินที่แตกต่าง และไม่ใช่ "ระบบเงินคู่"
ยังเรียนรู้และจัดการกับระบบทุนนิยมโลกได้อย่า่งมั่นคงตลอดมา
(ซึ่งในความเห็นของผม จีน ไม่เหมาะสมที่จะใช้ "ระบบเงินคู่"
แม้จีนพยายามให้เงินหยวนมีค่ามากกว่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง..
และแม้จะเป็นประเทศเดียวกัน ใช้เงินคนละสกุล
แต่ก็ไม่ใช่ "ระบบเงินคู่" นะครับ)


วันนี้ วันที่ปริมาณเงินดอลลาร์ล้นทะลัก  สหรัฐกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาค่าเงินของตนให้สูง
ในขณะเดียวกัน ก็ยังต้องเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์ออกมาสู่ชาวโลกเพื่อแก้ปัญหาของตน

เราจะรักษาค่ีาเงินบาท ที่เราสะสมความมั่งคั่งไว้อย่างไร 
โดยให้ "ปริมาณเงินทั้งระบบ" ของเรา "มีค่า" และเพียงพอสำหรับสร้างความสุขที่มั่นคงให้คนไทย

ระบบเงินคู่  คือ ทางออก ครับ


ความจริง "ระบบเงินคู่" มีสิ่งที่ยังต้องช่วยกันคิดอีกมากครับ

แต่ผมขอพัก ตุ๊กตาระบบเงินคู่ ไว้ที่..กำหนดการขับเคลื่อน
ข้อ 5.5 ว่าด้วยเรื่องภาษี

ต่อไป...ผมจะมาวาดฝัน  ว่า เมื่อ ประเทศเรา ใช้"ระบบเงินคู่" 
สิ่้งที่ น่าจะเกิดขึ้น มีอะไรบ้าง....

โปรดติดตาม แลกเปลียนกันนะครับ...ขอบคุณครับ




      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #40 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2552, 11:59:15 »

เชื่อกู้เงินลงทุนคุ้ม สร้างศก.ไทยเข้มแข็ง


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ว่า จะมีการกู้เงิน 6-8 แสนล้าน โดยแยกเป็น 6 แสนล้านเพื่อการลงทุน และ 2 แสนล้าน เพื่อความคล่องตัวทางการคลัง ทั้งนี้ จะเป็นการกู้เงินในประเทศ จากคนไทยด้วยกัน เช่น การออกพันธบัตร ทำให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นการก่อหนี้เพิ่ม เพราะถือว่าอยู่ในภาวะปกติของการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ เมื่อวันพฤหัสบดี (7 พ.ค.) ยังได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงิน (Money Expo 2009) เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย

นำเนื้อหามาจากเว็บมติชนครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1241930001&grpid=00&catid=05

การตัดสินใจนี้ หลักการถูกต้อง ตอนนี้ของถูกควรต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ซึ่งยังช่วยกระตุ้นให้เงินหมุนเวียนด้วย

และต้องกู้ในประเทศเท่านั้นนะครับ

ส่วนจะได้ผลดีมากเพียงใด  ยังอยู่ที่รายละเอียดในการจัดการอื่่นด้วย

เอาใจช่วยครับ เพื่อประเทศไทยของเรา

ต่..เมื่อไรจะเข้าใจเรื่อง 2 สูง กับระบบเงินคู่เสียทีน



      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #41 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2552, 04:51:53 »

 
อ้างถึง   
yc
ขาประจำ



 ออฟไลน์

คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 163


      Re: • • ยังชิน มาแล้วจ้า !!! • •
« ตอบ #296 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2552, 14:55:54 » อ้างถึง 

--------------------------------------------------------------------------------

 ผมเห็นว่า เงินบาทแข็งดีกว่าเงินบาทอ่อน

มีข่าว ท่านนายกอภิสิทธิ์ ให้ไปหาวิธีทำให้เงินบาทอ่อน
http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=7391&categoryID=310

ผมใคร่เสนอตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยผ่านกลไก "ระบบเงินคู่"
ลองอ่านกันดูนะครับ ผิดพลาดอย่างไรแนะนำผมด้วยครับ

กรณีไม่มีระบบเงินคู่
สมมติข้อมูล ณ   วันที่1 กค.    เป็นดังนี้
เงิน 1 ดอลลาร์ แลกได้  35 บาท
ราคาน้ำมันบาร์เรล ละ 70 ดอลลาร์
ราคาข้าวเปลือก  ตันละ   10500 บาท และส่งออกได้ 310 ดอลลาร์
(ซื้อข้าวเปลือกมา300 ดอลลาร์ จึงกำไร 10 ดอลลาร์)

แต่เพราะต้องการช่วยเหลือผู้ส่งออกทำให้ วันที่ 1 ส.ค.  ข้อมูลจึงเป็นดังนี้
เงิน 1 ดอลลาร์ แลกได้ 70บาท
ราคาน้ำมันบาร์เรลละ  70 ดอลลาร์
ราคาข้าวเปลือก  ตันละ  10500 บาท  และส่งออกได้ 310 ดอลลาร์ (
ซื้อข้าวเปลือกมา 150 ดอลลาร์ จึงกำไร 160 ดอลลาร์)
อยากถามว่า เดือดร้อนไหมครับ  ค่าเงินในกระเป๋าคนไทย เพิ่มหรือลด

มาดูกันในกรณี ใช้ระบบเงินคู่
สมมติข้อมูลเดียวกัน  ณ   วันที่1 กค.    เป็นดังนี้
เงิน 1 ดอลลาร์ แลกได้  35 บาท
ราคาน้ำมันบาร์เรล ละ 70 ดอลลาร์
ราคาข้าวเปลือก  ตันละ  10500 หน่วยเงินรอง
(ระบบเงินคู่ ต้องพยายามกำหนดราคาสินค้าที่คนไทยสร้างได้เป็นหน่วยเงินรอง)
ระบบเงินคู่  เงิน 1บาทแลกได้  1หน่วยเงินรอง 

แต่เพราะต้องการช่วยเหลือผู้ส่งออก รัฐบาลจึงใช้กลไกระบบเงินคู่เข้าช่วย
โดยไม่ไปยุ่งกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ 

1 ส.ค.  ข้อมูลจึงเป็นดังนี้
เงิน 1 ดอลลาร์ แลกได้ 35 บาท
ราคาน้ำมันบาร์เรลละ  70 ดอลลาร์
ราคาข้าวเปลือก  ตันละ  10500  หน่วยเงินรอง
รัฐบาลผลักดันจนได้ เงิน 1 บาท แลกได้ 2 หน่วยเงินรอง
จะเห็นว่า กรณีใช้ระบบเงินคู่เข้าช่วย
ผู้ส่งออก ใช้เงินบาทเพียง 5250 บาท(150 ดอลลาร์) จะได้ข้าวเปลือก 1 ตัน ในขณะที่ชาวนา ได้เงิน 10500 หน่วยเงินรอง

มาวิเคราะห์เฉพาะผู้ส่งออกก่อน
กรณีใช้ระบบเงินคู่
ผู้ส่งออก ใช้เงินบาทเพียง 5250 (150ดอลลาร์)ในขณะที่ส่งออกได้ดอลลาร์เท่าเดิม 
เมื่อนำมาแลกเป็นเงินบาทแม้จะได้ไม่เท่าเงินบาทอ่อนตัว
แต่ก็ได้กำไรถึง 5600(160ดอลลาร์) บาท
ซึ่งสามารถซื้อน้ำมันได้ 5600/35/70 เท่ากับ 2.285 บาร์เรล

(แต่ เงิน 10850 บาทยังสามารถซื้อน้ำมันได้ (310/70 เท่ากับ ) 4.428  บาร์เรล )

ส่วนในกรณีที่ไม่ใช้ระบบเงินคู่ ทำให้บาทอ่อนตัว
ผู้ส่งออกได้เงินสูงขึ้น 310x70 เท่ากับ  21700 บาท ได้กำไร 11200 บาท(21700-10500)
 ซึ่งกำไรดังกล่าวก็ซื้อน้ำมันได้เพียง 2.285 บาร์เรลเท่ากัน(1120/70/70) 
จะเรียกว่าผู้ส่งออกได้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ได้อย่างไร
ผู้ส่งออกเพียงแต่แข่งขันได้และไม่เจ็บตัวเท่านั้น 
แต่ที่ต้องแบกรับการแข่งขันได้และไม่เจ็บตัวของผู้ส่งออกก็คือ
ความมั่งคั่งที่สะสมมาของประเทศไทย
(ยังไม่นับการสูญเสียจาการขาดทุนเนื่องจากการแทรกแซงค่าเงินโดยตรง) 
คือเบียดบังจากคนไทยทั้งประเทศ โดยที่ได้ไม่คุ้มเสีย
เพราะผู้ส่งออกก็คือคนไทย เมื่อประเทศเสียเปรียบในที่สุดผู้ส่งออกก็สูญเสียเช่นกัน

มาดูในส่วนของชาวนา
กรณีใข้ระบบเงินคู่
 ซึ่งแม้จะได้ค่าข้าวเปลือกเป็นหน่วยเงินรองเท่าเดิมคือ 10500 หน่วยเงินรอง
 แต่เมื่อเทียบกลับเป็นเงินบาทจะเหลือเพียง  5250 บาท
ซึ่งซื้อน้ำมันได้  2.142 บาร์เรล(5250/35/70)
กรณีไม่ใช้ระบบเงินคู่ แต่ใช้วิธีการแทรกแซงค่าเงินบาทให้อ่อน 
ชาวนาขายข้าวได้ราคา 10500 บาท ซึ่งซื้อน้ำมันได้
2.142 บาร์เรลเช่นกัน (10500/70/70)
จะเห็นว่า แม้ขาวนา จะได้เงินบาทน้อยลง แต่ก็ยังซื้อน้ำมันได้เท่ากัน   
และถ้าพัฒนากิจกรรมโดยใช้หน่วยเงินรองมากขึ้น
ก็จะเป็นการเพิ่มความมั่งคั่งสะสมในที่สุด 
แม้ในระยะแรกจะเหมือนกับชาวนาต้องแบกรับทางอ้อม
(ซึ่งความจริงทุกวันนี้เกษตรกรไทยก็เป็นผู้แบกรับอยู่แล้ว)
แต่เมื่อประเทศได้ ในที่สุดชีวิตเกษตรกรจะดีขึ้น

จากกรณีสมมติ  ผลได้ของความแตกต่างในระยะยาวจากการใช้ระบบเงินคู่จะส่งผลดีดังนี้
1.ความมั่งคั่งของคนไทยและประเทศไทยเมื่อเทียบเป็นดอลลาร์ไม่ได้ลดลง
2.เมื่อความมั่งคั่งไม่ลดลง ย่อมสร้างความแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ
 ย่อมสร้างสรรค์การผลิตทีมีคุณภาพได้ดีขึ้น
สามารถสร้างผู้ประกอบการที่พัฒนาผลิตผลการเกษตรได้หลากหลายขึ้น
3.คนมีความั่งคั่งขึ้น  ย่อมรับต่อการเพิ่มราคาสินค้าเกษตรได้
4....................

 

นั่นคืออีกหนึ่ง จากการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "ระบบเงินคู่"
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #42 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2552, 18:35:34 »

น้องเจ้าจอม ผมไม่ได้เข้ามานาน
น้องYC ได้ขยายความในเชิง เปรียบเทียบเป็นตัวเลขให้เข้าใจชัดๆ ได้ดีมาก ปิ๊งๆ
ไม่รู้ว่ารัฐบาลและคุณกรณ์ จะได้อ่านบทความนี้หรือเปล่า
คุณกรณ์ ท่านเป็นนักคิด ถ้าได้อ่าน คงได้แนวคิดหลากหลายมากขึ้น

อย่าหยุดเผยแพร่ ความคิดนี้นะครับ น้องเจ้าจอม ผมเชียร์อยู่ หึหึ
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #43 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2552, 17:52:56 »

นับแต่สหรัฐอเมริกา ยกเลิกข้อตกลงเบรตันวู้ด ไม่อิงเงินดอลลาร์กับทองคำ
เงินของโลกก็เริ่มเปลี่ยนไปนับแต่วันนั้น
..............................................

วันนี้ ถ้าประเทศไทยใช้ระบบเงินคู่

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของเงินหลัก(เงินบาท) ต้องกำหนดตามดอกเบี้ยสหรัฐ

แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของเงินรอง ต้องตั้งให้สูงมากกว่า 
จะกว่าเท่าไร ขึ้นกับการวางเป้าหมายของรัฐ

ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ ของเงินทั้งสองแบบ ไม่จำเป็นว่าจะเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกับเงินฝาก

ซึ่งเครื่องมือดอกเบี้ยนี้  จะสัมพันธ์กับอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินหลักและเงินรอง โดยขึ้นกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจของรัฐ และความสามารถพื้นฐานทางการผลิต


ขอบคุณพี่สมชายครับ
ยิ่งผ่านกาลเวลา ผมยิ่งมั่นใจแนวคิดนี้..
ขอกำลังใจ และช่วยกันขยายความคิดนะครับ

ประเทศใด(ที่มีศักยภาพ)ทำก่อน จะโกยความมั่งคั่งจากวิกฤติแฮมเบอเกอร์ไว้ได้
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #44 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2552, 17:08:06 »

 
อ้างถึง   
วันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 15:16:10 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ใบโพธิ์ชี้ช่องไทยลดพึ่งพิงส่งออก ต้องเร่งลงทุน เพิ่มผลิตภาพแรงงาน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีระดับการพึ่งพิงการส่งออกในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเพิ่มจาก 40% ของ GDP ในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย มาเป็นกว่า 70% ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นอันดับสองในภูมิภาค (ไม่นับสิงคโปร์) รองจากมาเลเซีย

 

แม้ว่าหลายๆ รัฐบาลจะมีนโยบายในการลดการพึ่งพาการส่งออก แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ สาเหตุสำคัญมาจากการที่ความพยายามในการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศไม่เป็นผล เนื่องจากรายได้ หรืออำนาจซื้อในการจับจ่ายใช้สอยของประชากรไม่เติบโต ทั้งนี้ค่าจ้างที่แท้จริงในภาคการผลิตของไทยยังคงล้าหลังอยู่ในระดับที่ไม่ ต่างจาก 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตัวเลขของสิงคโปร์และเกาหลี เพิ่มขึ้นกว่า 50%

 

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ค่าจ้างของไทยเติบโตช้า คือการที่ประเทศไทยยังคงมีผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) ที่ต่ำ และนั่นย่อมส่งผลไปถึงการขายของได้น้อย ประกอบกับการที่ราคาขายส่งออกของไทยถูกกำหนดโดยตลาดโลก ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่มีการเพิ่มมูลค่า (value chain) ไม่มาก ราคาขายเป็นสกุลดอลลาร์จึงไม่สูง โดยเฉพาะเมื่อแปลงเป็นเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในปัจจุบันแล้ว ยิ่งทำให้รายรับไม่เปลี่ยนแปลงนัก ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงระหว่างปี 2543-2551 ดัชนีราคาสินค้าส่งออกที่ผลิตโดยไทยโดยรวมเมื่อคิดเป็นสกุลเงินดอลล่าห์ เพิ่มขึ้นประมาณ 28% แต่เมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วเพิ่มขึ้นเพียง 6%

 

สาเหตุดังกล่าวทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถขยับราคาค่าจ้างได้มากนัก ดังนั้น เมื่ออำนาจซื้อไม่ขยับ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยสิ่งเหล่านี้ส่งผลถึงกันเป็นวงจร ทำให้ต้องพึ่งพาการส่งออก วนเวียนอยู่เช่นนี้

 

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า หากจะหยุดวงจรดังกล่าว จะต้องพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน เพื่อผลักดันทั้งปัจจัยด้านราคา และปริมาณของสินค้าส่งออก และต้องทำให้มั่นใจว่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าขึ้นเร็วกว่าเงินสกุลอื่นโดย เปรียบเทียบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำได้ไม่ง่ายนัก

 

แต่สิ่งที่ทำได้ และควรทำอย่างยิ่งในขณะนี้ก็คือ ควรเร่งให้การลงทุนสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันของไทยยังอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด โดยตัวเลขล่าสุดในปี 2551 ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียเมื่อปี 2540 ในขณะที่มูลค่าการลงทุนในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเกาหลี เพิ่มขึ้นไปถึง 20-50% แล้วโดยหากรัฐบาลเริ่มการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ก็จะทำให้การลงทุนจากภาคเอกชนหลั่งไหลตามมา แต่ถ้าไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และจริงจัง ก็คงยากที่จะเห็นประเทศไทยพ้นไปจากวงจรพึ่งพาการส่งออก หรือเกิดการพัฒนาผลิตภาพแรงงาน และเพิ่มรายได้แก่ประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม



นำมาจากประชาชาติครับ
................

หากเรายังคิดกันอยู่ในกรอบเดิม 
ทั้งที่ถึงเวลาแล้วที่การเงินต้องเปลี่ยนไปสู่คุณภาพใหม่

ผมก็คิดไม่ออกว่า จะทำให้ ผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) ของคนไทยเพิ่มได้อย่างไร
ในเมื่อมองย้อนไปอดีตไล่มาจนปัจจุบัน
ผู้ประกอบการไทย(เถ้าแก่-เจ้าของกิจการ) อ่อนเปลี้ยลงไปตามกาลเวลา
แล้วจะมีพลังใดเหลือพอสร้างเสริมประสิทธิภาพ

แต่เห็นด้วยกับบทความนี้ หากสาธารณูปโภคนั้น คือรถไฟรางคู่ทั่วทุกจังหวัด เพื่่อการขนส่งและโดยสารครับ


      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #45 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2552, 20:18:45 »

บทความนี้ตัดตอนมาจาก "หมายเหตุประเทศไทย"
ไทยรัฐ  16 ธันวา 52
http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/53085

 
อ้างถึง   
วารสาร "การเงินธนาคาร" ฉบับ 500 เศรษฐีหุ้นไทย  ก็มีรายงาน วิเคราะห์ในเรื่องหนี้โดยชี้ให้เห็นว่า "ฟองสบู่หนี้" ที่กำลังท่วมโลก จะเป็นสาเหตุทำให้เกิด "วิกฤติการเงินรอบใหม่" ต่อจาก "ซับไพร์ม" ถ้าหากแก้ปัญหาหนี้ให้ลดลงไม่ได้ เพราะหนี้สินประเทศต่างๆในโลกปีหน้า 2010 จะเพิ่มจาก 15.3 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 49 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 200 เปอร์เซ็นต์

ระบบดอลลาร์ภิวัฒน์ เป็นกติกาหลักของสังคมโลกไปแล้ว

จังหวะเช่นนี้ ถ้าประเทศไทยใช้ "ระบบเงินคู่" เร็วเพียงใด
สังคมไทยก็จะมีความมั่งคั่งเร็วเพียงนั้น

และ "ระบบเงินคู่" จะช่วยในการปรับสมดุลย์ทางสังคม
ระหว่าง คนรวยที่มีโอกาสยุ่งเกี่ยวกับเงินดอลลาร์
กับคนไม่ค่อยรวย ที่ไม่ค่อยเกี่ยวโดยตรงกับดอลลาร์






      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #46 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2552, 18:14:14 »

 
อ้างถึง   
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 19:15:10 น.   ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อนาคตของเงินดอลลาร์

คนเดินตรอก

วีรพงษ์ รามางกูร

 

ในระยะครึ่งหลังของปี 2552 มีการกล่าวถึงค่าเงินดอลลาร์กันมากว่า ค่าเงินดอลลาร์อาจจะดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่องเรื่อย ๆ ในระยะยาว บางคนออกจะมีความรู้สึกไม่ดีต่อค่าเงินดอลลาร์ ถึงขนาดออกมาคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์อาจจะถึงกาลอวสานในอนาคตอันใกล้ บางคนดีหน่อยก็ออกมากล่าวว่าไม่ช้าหรือเร็ว ด้วยเหตุผลหลายอย่าง

 

อย่างแรก เศรษฐกิจของอเมริกาที่รัฐบาลอเมริกันและสื่อมวลชนตะวันตก รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันที่อยู่ตามบริษัทห้างร้านต่าง ๆ รวมถึงที่อยู่ในสถาบันการเงินอเมริกันและสถาบันการเงินระหว่างประเทศใน อาณัติของกระทรงการคลังของสหรัฐได้ออกมาตีฆ้องร้องป่าวว่า เศรษฐกิจของอเมริกาเริ่มฟื้นตัวแล้ว เพราะบริษัทต่าง ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่นิวยอร์ก 500 บริษัทแรก มีอยู่กว่า 400 บริษัทที่ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ดีกว่าไตรมาสที่สอง แต่ภาพดังกล่าวที่จริงแล้วเป็นภาพลวงตา ตามขั้นตอนของวัฏจักรเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจถดถอยอย่างที่เป็นอยู่ในอเมริกา จะมีบางช่วงที่เศรษฐกิจอาจจะดูเหมือนฟื้นตัว

 

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมีการปรับตัวของสินค้าคงคลัง เมื่อปริมาณลดลงจนต่ำสุด ราคาก็ตกต่ำถึงที่สุดตามการลดลงของสินค้าคงคลัง การสะสมสินค้าคงคลังก็จะกลับมาใหม่ ประกอบกับสภาพคล่องของเงินดอลลาร์ที่มีมากขึ้นจากการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจของรัฐบาลโอบามา ในขณะที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ

 

ความต้องการลงทุนที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่การลงทุนในสินค้าคงคลังก็ยังไม่เกิด สังเกตได้จากการจ้างงานที่ยังไม่เพิ่มขึ้น หรือพูดกลับกันก็คืออัตราการว่างงานยังไม่ลดลง

 

เมื่อถึงจุดหนึ่ง การลงทุนเพื่อสร้างสต๊อกของสินค้าคงคลังก็จะหยุดลง ผลประกอบการของธุรกิจก็จะซบเซาลงไปที่เดิมพร้อมกันไปอย่างนี้ จนกว่าการลงทุนที่แท้จริงจะเกิดขึ้น

 

สถานการณ์ที่เห็นได้ชัดก็คือการขาดดุลการค้าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ของอเมริกายังขาดดุลเป็นอัตราส่วนต่อรายได้ประชาชาติของอเมริกามากขึ้น

 

เรื่องที่สอง การที่ปริมาณเงินถูกปั๊มออกมาอย่างมาก ไม่สมดุลกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวทางด้านความต้องการถือเงิน ดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือเกิดการคาดการณ์กันไปทั่วว่าเงินดอลลาร์อาจจะกลายเป็นเศษกระดาษ หรือค่าเงินดอลลาร์จะยังลดค่าของตนต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลต่าง ๆ ของโลก ยิ่งทำให้ผู้ถือเงินดอลลาร์ อันได้แก่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ พยายามลดความเสี่ยงจากการถือเงินดอลลาร์ หันไปถือทองคำ เงินยูโร เงินเยน หรือเงินสกุลอื่นในยุโรป รวมทั้งเงินออสเตรเลียและเงินแคนาดา

 

การที่ธนาคารกลางจีน อินเดีย รัสเซีย และอาจจะรวมทั้งธนาคารกลางของสหภาพยุโรป ทำเช่นนั้น ก็จะยิ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์ลดลงไปอีก

 

เรื่องที่สาม การที่สหรัฐไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐบาล หรือภาคเอกชน เงินที่ขออนุมัติรัฐสภาเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็มิได้นำไปลงทุน อะไรใหม่ ส่วนใหญ่นำไปลงทุนในการซื้อกิจการของเอกชน หลังจากให้เอกชนลดทุนลงไปแล้ว เพื่อพยุงราคาหุ้น ผลประกอบการที่ดูดีขึ้นก็เกิดจากการลดทุน เป็นกำไรทางการเงิน ไม่ใช่เป็นเพราะผลประกอบการที่ดีขึ้นจริง

 

การลงทุนเพื่อเพิ่มผลผลิตอันจะก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานจริงจึง ยังไม่เกิดขึ้น การขาดดุลการค้าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมากจึงยังคงดำเนินต่อไป ผลประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไปตกอยู่กับประเทศที่ส่งออกไปยังตลาด สหรัฐอเมริกา เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศเอเชียอื่น ๆ

 

วิธีแก้ไขปัญหาการขาดดุลกับจีนและประเทศอื่น ๆ โดยการลดการขาดดุลงบประมาณ ก็ดูจะเป็นมาตรการที่ตรงกันข้ามกับทฤษฎีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ กำลังทำอยู่ตามมติของที่ประชุมเศรษฐกิจในเวทีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ประชุม G-20 หรือ APEC หรือ ASEAN

 

เมื่ออเมริกาไม่มีเครื่องมืออันใดในการแก้ปัญหาการขาดดุลของตนก็กลับมาใช้ วิธีการเก่า คือบังคับข่มขู่จีนให้ขึ้นค่าเงินหยวน ซึ่งจีนก็ประกาศอยู่ตลอดเวลาว่าจะไม่ยอมทำตาม แม้ว่าความจริงแล้ว จีนเองก็แอบทำอย่างช้า ๆ กล่าวคือในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินหยวนเพิ่มค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐถึง 21 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาทางเศรษฐกิจของอเมริกาจึงวนกลับมาที่เดิม แถมยังมีความเสี่ยงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป กล่าวคือ

เรื่องที่สี่ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่ส่วนมากมาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐ มีความเป็นห่วงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการกู้เงินมาอัดฉีดเข้าระบบ เศรษฐกิจของอเมริกา นอกจากจะเป็นภาระแก่รัฐบาลและผู้เสียภาษีในอนาคต ยังอาจทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาไม่ปรับตัว หรือต้องใช้เวลาปรับตัวที่มีระยะยาวนานออกไป การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจอเมริกาอาจจะไม่เกิดขึ้นเลย เหมือนกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ฟุบตัวลงไปตั้งแต่ปี 1990 เพราะถูกอเมริกาให้ขึ้นค่าเงินเยนอย่างรวดเร็วในครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1980 ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ไม่เคยฟื้นตัวอย่างจริงจังอีกเลย มีขึ้น ๆ ลง ๆ บ้างก็เล็ก ๆ น้อย ๆ อันเป็นภาพลวงตาอย่างที่ว่า

 

เรื่องที่เขาห่วงกันมากคือ เรื่องที่ห้า เพราะมีนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันหลายคนคิดเลยเถิดไปถึงว่า นโยบายปั๊มเงินกันออกมาพยุงเศรษฐกิจกันอย่างมโหฬารทั่วโลก จะเป็นสาเหตุให้ปริมาณเงินดอลลาร์และเงินทุกสกุลทะลักออกมามากเกินไป เมื่อเทียบกับผลผลิตหรือรายได้ประชาชาติของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับผลผลิตที่มาจากทรัพยากรของโลก ไม่เฉพาะแต่แร่ธาตุอย่างทองคำ แต่จะรวมไปถึงน้ำมัน ทองแดง อะลูมิเนียม และอื่น ๆ เมื่อสินค้าเหล่านี้มีราคาต่ำลงเทียบกับปริมาณเงินที่ถูกปั๊มเข้ามาในระบบ เศรษฐกิจทั่วโลก

 

ผลก็คือจะทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นอย่างรุนแรงทั้งโลก ระบบตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ที่จัดระเบียบไว้ทั้งในตลาดปัจจุบันและในตลาดล่วง หน้า อาจจะพังทลายลงถ้าเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (hyperinflation) เช่น ราคาสิ่งของเพิ่มขึ้นทุกวัน สินค้าก็จะหายไปจากตลาด เศรษฐกิจทั้งโลกก็จะตกต่ำ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศละตินอเมริกาในทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเป็นเรื่องของภาพที่ถูกวาดขึ้นอย่างน่ากลัวและมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น มากมาย ในกรณีอย่างนี้ค่าเงินดอลลาร์จะถูกกระทบมากที่สุด เพราะถูกปั๊มออกมามากที่สุด

 

ระยะนี้จึงเป็นระยะที่นักเศรษฐศาสตร์ออกมาเสนอความเห็นแปลก ๆ กันมากมาย หากติดตามข่าวดู ซึ่งก็ดีทำให้ไม่เหงา ความเห็นเหล่านี้น่าจะเป็นความเห็นที่สุดโต่งเกินไป แม้ว่าเที่ยวนี้ทั้งโลกจะถูกสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายเศรษฐกิจไปทางเดียวกัน หมด อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยเหมือนกันเมื่อทุกคนคิดเหมือนกันและทำ เหมือนกันหมด ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าอนาคตของเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร ถ้าดูในขณะนี้ผลก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น การขาดดุลของอเมริกาขนาดหนักก็ยังขาดดุลต่อไป เศรษฐกิจก็ดูยังไม่ฟื้นตัว ยุโรปก็ยังเหมือนเดิม จีน อินเดีย เอเชียก็ยังเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดต่อไป เศรษฐกิจหดตัวมากกว่าการขึ้นราคาน้ำมันและวัตถุดิบต่าง ๆ และปริมาณเงินที่มีมากขึ้นในเกือบทุกประเทศ

 

เมื่อเป็นอย่างนี้ แม้ว่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่ผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ จะมีความกังวลต่อค่าเงินดอลลาร์ว่า ค่าเงินดอลลาร์ใน 2-3 ปีนี้น่าจะมีค่าอ่อนตัวลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ เมื่อเทียบกับทองคำ เช่น ยูโร หรือเงินเยนญี่ปุ่น ส่วนจะไปหยุดลงที่ไหนคงไม่มีใครคาดได้ถูก

 

ส่วนที่ห่วงใยกันว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง หรือเมื่อเศรษฐกิจที่แท้จริงของโลกฟื้นตัวแล้ว จะเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงนั้นก็ยังมองไม่เห็น ตราบใดที่ภาวะเศรษฐกิจแท้จริงของสหรัฐอเมริกายังไม่ฟื้นตัวอย่างจริงจังจนทำ ให้อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นในระยะที่เศรษฐกิจอเมริกายังคงอ่อนแออยู่อย่างนี้ อันตรายจากภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงอันเกิดจากการเพิ่มปริมาณเงินเข้ามาใน ระบบทั่วโลกก็ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น

 

สำหรับประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์และสื่อมวลชนตะวันตกออกมาตีข่าวว่า เงินดอลลาร์กำลังถูกท้าทายจากเงินสกุลอื่น เช่น เงินยูโร เงินเยน หรือเงินอื่น ๆ ในยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา หรือแม้แต่เงินหยวน ในระยะเวลา 4-5 ปีข้างหน้า เงินดอลลาร์ก็ยังคงความสำคัญในฐานะที่เป็นเงินตราที่ใช้ชำระหนี้ระหว่าง ประเทศ เป็นทุนสำรอง และเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรในตลาดการเงิน ตราสาร และสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ ยังมองไม่เห็นว่าจะมีเงินสกุลใด หรือเงินสกุลหลาย ๆ สกุลรวมกัน แล้วจะมีสภาพคล่องมากพอที่จะมาทดแทนเงินดอลลาร์ได้

 

แต่อย่างไรก็ตามความพยายามของผู้คนที่เกี่ยวข้องก็คงพยายามกระจายความเสี่ยง จากการถือสินทรัพย์ในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐออกไปเป็นรูปแบบอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น โดยการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐมาเป็นทองคำ และเงินตราสกุลอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น

 

ราคาทองคำ และค่าเงินสกุลอื่น ๆ ก็คงจะค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อค่าเงินสหรัฐอ่อนตัวลงเรื่อย ๆ ก็คงคาดได้ว่า ราคาน้ำมัน แร่ธาตุ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ก็คงจะมีราคาแพงขึ้น ๆ แต่ราคาสินค้าสำเร็จรูปยังไม่ฟื้นตัว ปัจจัยดังกล่าวนี้แหละจะเป็นตัวดึงเศรษฐกิจกลับลงมาที่เดิมอีก

เหมือนกับโอบามาพูดเกือบตายแต่ก็กลับมาที่เดิมเหมือนที่บุชเคยทำคือ เดินทางไปปักกิ่งขอให้จีนขึ้นค่าเงินหยวน

ในที่สุดก็กลับมาที่เดิม ยกเว้นยอดหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมหาศาล




อ่านข้อเขียนของ อ.วีรพงษ์ รามางกูร  ทีไรไม่เคยผิดหวังสักครั้ง
รอบด้านในมุมมองแห่งเหตุปัจจัย

ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง จะมีนักเศรษฐศาสตร์บางคน คิดได้ว่า

ปริมาณเงินดอลลาร์จะทำให้เกิดคุณภาพใหม่ของการเงิน

ผู้มีอำนาจประเทศไทยที่รักของผม

โปรดระดมความคิดเพื่่อ "ระบบเงินคู่" เถอะครับ

ได้โปรด...




      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #47 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2552, 09:24:04 »

ระบบเงินคู่ จะช่วยให้ประเทศที่ใช้
มีการกระจายรายได้เป็นธรรมขึ้น
เมื่อคนข้างล่่างมีรายได้มากขึ้น
คนข้างบนก็ตักตวงได้มากขึ้นด้วย
ประเทศจึงมีความมั่นคง และสะสมความมั่งคั่งไว้ได้

นอกจากประเทศที่ใช้ ระบบเงินคู่ จะดีขึ้นแล้ว
ระบบเศรษฐกิจโลก ก็จะหวือหวาน้อยลง
คือ จะเดินช้าลง  รอบวิกฤติที่อาจเกิดก็จะช้าลง(ไม่กล้าบอกว่าอาจไม่เกิด)


(วิกฤติเศรษฐกิจโลกอาจเกิดหรือไม่บอกไม่ได้ครับ 
แต่มั่นใจว่า "ระบบเงินคู่" จะช่วยให้ประเทศที่ใช้
ไม่ได้ัรับผลเสียใดๆ เลวร้ายที่สุดคือ ไม่ได้และไม่เสีย
แต่ถ้าใช้เก่ง ทุกรอบของวิกฤติ..(ถ้ามี)...จะมีแต่กำไร)
      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #48 เมื่อ: 18 มกราคม 2553, 13:07:47 »

การใช้ระบบเงินคู่เป็นเครื่่องมือ
จะทำให้ผู้ดูแลเศรษฐกิจของประเทศมียุทธวิธีหลากหลายขึ้น
 
ผู้บริหารต้องรู้ข้อมูลภาพรวม
มีจินตนาการถึงอนาคต
ยุทธศาสตร์ ต้องปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

เมื่อค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลหลัก...
บางครั้ง เงินบาทแข็ง  เิงินรองต้องอ่อน...ใช้ความอ่อนดูดซับความแข็ง
บางครั้ง เงินบาทอ่อน  เงินรองต้องแข็ง...ใช้ความแข็งเสริมสร้างส่วนอ่อน
บางครั้ง เงินบาทแข็ง  เงินรองต้องแข็งกว่า...ใช้ความแข็งกว่ายึดโยงความแข็ง
บางครั้ง เงินบาทอ่อน  เงินรองต้องอ่อนกว่า...ใช้ความอ่อนกว่าประคองความอ่อน

คงมีอะไรอีกมากมาย ที่ผมยังคิดไม่ได้
ลงมือ แล้วความรู้จะเกิด ด้วยการเรียนรู้

 

      บันทึกการเข้า
chaojom
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 104

« ตอบ #49 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2553, 23:30:36 »

บางส่วนจากประชาชาติออนไลน์ 29 พค.53
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1275114640&grpid=02&catid=no

ธนินท์ เจียรวนนท์ ถอดสูตรความสำเร็จผู้นำ-ย้ำทฤษฎี2สูงแก้วิกฤตศก.ชาติได้


" ก่อนกลับ "ธนินท์" ได้ให้แนวทางในการนำพาประเทศผ่านวิกฤตไว้ว่า ประเทศไทยต้องดูตัวอย่างญี่ปุ่น ที่ต้องเผชิญหน้าความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเศรษฐกิจพังยับ หรือไต้หวันที่ต้องผจญกับภัยธรรมชาติมากมาย แต่ทั้ง 2 ประเทศก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ ได้
 "ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของเมืองไทยเวลานี้รุ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเทศไทยมีเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่กว่า 1 แสนล้านยูเอสดอลลาร์และการส่งออกยังเกินดุล ขนาดการเมืองแบบนี้ หุ้นก็ยังขึ้นเรื่อย ๆ เพิ่งมาตก เพราะการเงินของโลกมีปัญหา"
 "เราต้อง มองบวก การเมืองแบบนี้หุ้นก็ยังขึ้นเอาขึ้นเอา เพิ่งมาตก แล้วที่ตกก็ไม่ใช่การเมืองของเรา การเงินของโลกมีปัญหา ผมอยากเรียนให้ทุกท่านทราบว่า เมืองไทยเป็นประเทศที่ผลิตอาหารเลี้ยงโลก เราผลิตข้าว ขายข้าวมากที่สุดในโลก เราผลิตยางธรรมชาติ ขายยางมากที่สุดในโลก เราเป็นพระเอกตั้ง 2 ตัว"
 "ประเทศเรา เพียง 60 กว่าล้านคน เรามีสินค้าตั้ง 2 ตัวที่ขายไปต่างประเทศมากที่สุด แล้วเชื่อว่ายางพาราจะต้องเติบโตไป แล้วเชื่อว่าข้าว ราคายังต้องสูงขึ้นอีก ราคาปัจจุบันยังไม่ใช่ราคาที่ถูกต้อง แต่ถ้าราคาแพงขึ้นสูงขึ้น ถ้ารัฐบาลเขาใช้ เขาก็ต้องปรับเงินเดือนขั้นต่ำให้สูงขึ้น ปรับเงินเดือนข้าราชการให้สูงขึ้น"
 "ธนินท์" ยังยืนยันว่าใช้ 2 สูง จะทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามพ้นจากวิกฤตได้
 "ญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้ง ที่ 2 เป็นประเทศที่แพ้สงคราม เป็นหนี้รุงรัง ยากจนมาก แต่วันนี้ญี่ปุ่นเมื่อหลาย 10 ปีก่อนก็เป็นที่หนึ่งของโลกในแง่ของเศรษฐกิจ เขาใช้ 2 สูงชัด ที่ดินราคาสูง สินค้าเกษตรราคาสูง"
 "2 ตัวนี้เป็นทรัพย์สมบัติของญี่ปุ่นของประเทศ แล้วงอกไม่ได้ มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น นี่คือทรัพย์สมบัติของชาติ แล้วสินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดิน สำคัญกว่าน้ำมันอีก แล้วประเทศเราผู้ผลิตน้ำมัน สำคัญกว่าน้ำมันเพราะเขาผลิตมาเลี้ยงมนุษย์ เป็นพลังงานของมนุษย์แล้วผู้ผลิตน้ำมันเลี้ยงมนุษย์จะจนได้อย่างไร ถ้านโยบายถูกต้อง
 เพราะฉะนั้นประเทศไทยต้องเรียนรู้จากญี่ปุ่น เกษตรกรเขาไปเที่ยวทั่วโลกได้ตั้งหลาย 10 ปีก่อน อยู่โรงแรม 5 ดาว ข้าวสารเราไปขายกิโลกรัมละ 10 กว่าบาทในสมัยนั้นเขาไม่ซื้อ เขาต้องการคนของญี่ปุ่น กินข้าว 100 กว่าบาท นั่นหมายความว่าอะไร เขาใช้ 2 สูง"
 "ถ้าใช้ 2 สูงเมื่อไหร่ เราไม่ได้เสียเปรียบใครเลย เพราะเราซื้อน้ำมันเราก็ซื้อจากโลก ทำไมเรากดน้ำมันของเราต่ำ แล้วคนไทยเราจะรวยได้อย่างไร"
 "ประเทศไต้หวันในอดีตก็ลำบากไม่แพ้ ญี่ปุ่น เกษตรกรไต้หวันเจอใต้ฝุ่นเข้า ภูเขาก็เยอะ ที่ดินทำกินก็น้อย แล้วมาเจอหน้าหนาวอีก แล้วทำไมไต้หวันใช้เวลา 20 ปีเท่านั้น จากยากจนกว่าเมืองไทยหลายเท่า ใช้ 20 ปีเกษตรไต้หวันไปเที่ยวทั่วโลกได้ ทำไมเกษตรกรวันนี้ของเรายังไปเที่ยวทั่วโลกไม่ได้ ช่วยไปถามรัฐบาลหน่อย ทุกอย่างเราดีกว่า แล้วอย่าเข้าใจผิด ถ้าเกษตรกรหลาย 10 ล้านคนร่ำรวย อุตสาหกรรมในประเทศจะร่ำรวยขึ้น เรามีความสามารถไปแข่งขันกับโลก ก็เท่ากับเรามีความสามารถผลิตสินค้าที่ต้นทุนถูก คุณภาพดีมาขายให้กับเกษตรกร ถ้าเกษตรกรมีกำลังซื้อ สินค้าของเราส่วนหนึ่งอีกหลาย 10 ล้านคนมาซื้อสินค้า จะทำให้อุตสาหกรรมของเรายิ่งเจริญรุ่งเรือง ทำให้ธุรกิจบริการยิ่งมากขึ้น ยิ่งดีขึ้น หมายความว่าต้องไปเอาจากภาคเกษตรขึ้นมาเป็นพนักงาน"
 "ถ้าหาก กำลังซื้อของคนยากจนมีมากขึ้น ประเทศชาติได้ นักธุรกิจได้หมด โดยเฉพาะข้าราชการเงินเดือนก็จะต้องสูง"
 "วันนี้รัฐบาลยังไม่เข้าใจ เราบอกว่าข้าราชการคอร์รัปชั่น แต่เรื่องความยากจนเราไม่แก้ไข"


...........................................

ต้องใช้ 2 สูง เป็นยุทธศาสตร์ครับ

และใช้ "ระบบเงินคู่" เป็นเครื่องมือ

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><