
“กราบเรียนท่านอธิการบดี ศาสตราจารย์บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ นะครับ ท่านศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล เพื่อนๆที่เคารพยิ่ง เพื่อนๆ น้องๆ และลูกศิษย์ชาวหอทุกคน วันนี้เป็นวันที่ประทับใจในชีวิต เป็นวันที่สำคัญอีกวันหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คาดคิดว่าบรรยากาศในวันนี้จะเป็นเช่นนี้ ผมให้อาจารย์แจ่มใส เตรียมของมาแจกแขกผู้มาในงาน ๒๐๐ กว่าชิ้น ต้องขออภัยด้วยสำหรับท่านที่มาทีหลัง ที่ของหมดแล้วนะครับ
หลายคนที่บอกว่ารักผม อาจไม่รู้ว่าผมคือใคร มีความเป็นมาอย่างไร ผมจะบอกทุกท่านว่า #ผมเป็นคนที่โชคดีมาก โชคดีตั้งแต่วันเกิด เพราะผมเกิดท่ามกลางครอบครัวที่ลำบากยากจน จึงทำให้ผมเป็นอาจารย์เผ่าในวันนี้ เตี่ยผมเสียตั้งแต่อายุผม ๔ ขวบ ผมได้มีโอกาสไปอยู่อุบลราชธานี เพราะแม่เลี้ยงผมไม่ได้ ทำให้ผมได้มีโอกาสได้มีเพื่อนที่อุบล ได้ซึมซับกับวัฒนธรรมประเพณีของชาวอุบลจนเป็นเหตุที่ทำให้ผมได้เป็นศิลปินแห่งชาติ
ผมอาจจะโชคดีที่ผมเรียนหนังสือดีคนหนึ่งในชั้น ในรุ่น ผมสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ โดยเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งผมเนี่ยเป็นอาจารย์อยู่ ซึ่งไม่คาดคิดว่าผมจะสอบติดด้วยซ้ำ ด้วยเหตุที่ไม่มีโอกาสได้เรียนพิเศษเหมือนใคร ความจนทำให้ผมต้องอดทน มุ่งมานะ ขยันกว่ามนุษย์คนอื่นหลายเท่า เพราะผมอยู่อุบลผมต้องทำงานหนัก เพราะผมไปอาศัยคนอื่นอยู่ ทำให้ผมมีความแข็งแกร่ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เมื่อผมเข้าเรียนมาที่จุฬาฯ ผมก็โชคดีที่มีรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือผม ผมได้รับทุนการศึกษาจากจุฬาฯ จนมีโอกาสเรียนจบ ผมได้กินข้าวฟรีจากทุนอาหารกลางวัน จากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ซึ่งเอื้อต่อเด็กที่ขาดแคลน
ผมโชคดีที่มีครูที่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ด้วยความที่ผมมีความมุ่งมานะขยันกว่าคนอื่น ผมจึงมีโอกาสเรียนมากกว่าคนอื่น ผมได้มีโอกาสได้ไปช่วยอาจารย์ทำงาน ปิดเทอมผมไม่เคยว่าง ไม่เคยไปเที่ยวเตร็ดเตร่เหมือนใคร ผมต้องไปทำมาหากิน ผมต้องไปฝึกงาน ผมไปรับจ้างตามออฟฟิศของรุ่นพี่ เป็นเหตุให้ผมมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนในรุ่น
เมื่อเรียนจบ บรรยากาศในสมัยที่ผมเป็นนิสิตนักศึกษา หลายๆท่านก็อยู่ในยุคราวคราวเดียวกัน เป็นบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย นิสิตนักศึกษามีใจที่จะรับใช้ประชาชน มีอุดมการณ์ ผมโชคดีที่ไม่มีมือถือตั้งแต่ในยุคนั้น ไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่มีไลน์ ทำให้ผมใช้เวลาทุกชั่วโมงนาทีเป็นประโยชน์กับตัวเองกับการศึกษา ทำให้ผมรู้จักการที่จะต้องการที่จะต้องรับใช้ประชาชน ตามอุดมการณ์ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในยุคนั้น จนทำให้ผมตั้งปณิธานว่า #ถ้าวันใดที่ผมจบไปเป็นบัณฑิตแล้วผมจะทำงานเพื่อสังคมอย่างซื่อสัตย์สุจริต นี่คืออุดมการณ์ที่ผมยึดมั่นมากว่า ๔๐ ปี ที่เรียนอยู่จุฬาฯ เพราะว่าจุฬาฯ สอนให้บัณฑิตทุกคนต้องรับใช้ประชาชน ฉะนั้น ผมเป็นคนที่โชคดีมากๆ โชคดีทีผมเกิดในยุคนั้น ได้เข้าเรียนในยุคนั้น ผมจบด้วยเกียรตินิยม ซึ่งไม่คาดคิดว่าผมจะได้...
...ผมเป็นคนโชคดีครับ ตอนที่ผมทำงานที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นจนครบ ๓ ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยท่านอาจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรี ท่านได้ติดตามการทำงานมา โดยตลอด ท่านบอกว่าไอ้เผ่าไปอยู่ที่อื่นไม่ได้หรอก นอกจากการเป็นอาจารย์เพราะมันตรงมาก สุดท้ายผมต้องมารับใช้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถามว่าผมเต็มใจมั้ย ผมเต็มใจ เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นลูกผมยังตัวเล็กๆ ยังแบเบาะอยู่คนนึง คนนึงก็เกิดมาได้ครบปีแล้ว ผมต้องพรากลูกพรากเต้ามา วันศุกร์เย็นผมนั่งรถกลับขอนแก่น
ผมโชคดีมาก ที่ว่าวันหนึ่ง ขณะที่ผมอาศัยบ้านอาจารย์ภิญโญอยู่ เมื่อปี ๒๕ กลางปี อาจารย์ประณต นันทิยกุล ท่านไปเที่ยวเยี่ยมอาจารย์ภิญโญ เป็นเพื่อนบ้านกัน ท่านบอกว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอนุสาสก อาจารย์ภิญโญก็แนะนำให้ผมรู้จัก ท่านก็ชวนผมว่า อาจารย์ไปอยู่หอด้วยกันมั้ย ผมก็เห็นว่าหอพักมันตรงข้ามกับคณะสถาปัตย์ ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอมรสุมอะไรหรอกนะ ก็รับปากรับคำว่าโอเค เพราะว่าผมมาจากบ้านอาจารย์ภิญโญเนี่ย มันใช้เวลานานมากลำบากลำบน ผมก็อาสาที่จะมาช่วยงานอาจารย์ประณต ก็ต้องบอกว่าไม่รู้คิดผิดหรือคิดถูกนะ วันแรกที่เข้ามาก็เจอมรสุม แต่ไม่เป็นไร ผมเข้าใจนิสิตในยุคนั้น...
...ผมก็ตั้งปณิธาน ว่าผมจะเป็นครูที่ดีคนหนึ่งของชาวหอ วันใดที่ผมมีบทบาทที่จะทำอย่างอาจารย์ประยูรได้ผมก็จะทำ และผมเข้าใจชีวิตของเด็กหอทุกคน เพราะผมก็เป็นเด็กที่มาจากต่างจังหวัด มีฐานะลำบากเหมือนกับท่านๆ ไม่งั้นผมก็อยู่ไม่ได้
ผมพยายามที่จะตัดใจที่จะออกจากหอไปหลายรอบ ระหว่างทางไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คิดว่าการที่อยู่ที่ไหนนานๆ มันอาจจะทำให้เราเนี่ย ไม่มีอะไรที่สร้างสรรค์ แต่ผมก็มีโอกาส มีโอกาสจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า ท่านแล้วท่านเล่า จากพี่เก่าที่อยู่ในชมรมนิสิตเก่าหอพักรุ่นเก่าๆ นับตั้งแต่ ที่ผมสนิทก็คือพี่ทองอู่นะครับ ตั้งแต่พี่สมบูรณ์เนี่ย ผมยังไม่ได้เข้ามาอยู่หอ ก็ยังไม่รู้จักท่านดี ก็มารู้จักท่านทีหลัง แล้วก็มาในสมัยพี่ทองอู่ พี่เปรมประจักษ์ ทั้งสองท่านยังเป็นรุ่นที่สถาปัตย์ เพราะฉะนั้น การมีรุ่นพี่เป็นประธานชมรมนิสิตเก่ามันช่วยผมตั้งเยอะ ช่วยลดแรงดันจากพี่เก่า จากชาวหอเก่าๆ ที่ยังมีความรักศรัทธาอาจารย์ประยูรอยู่ ทำให้ผมอยู่หอได้อย่างราบรื่น และผมก็ทำตัว ที่ตรงไปตรงมา ผมด่านิสิตผมก็ด่ามึงกู ภาษาลูกทุ่ง แต่ทุกครั้งที่เราด่านิสิต เราด่าจากใจที่หวังดี อยากให้นิสิตเป็นคนดี ประสบความสำเร็จ เพราะนั้นลูกศิษย์อาจารย์เผ่าที่มาในวันนี้ โปรดเข้าใจผมด้วย และผมว่าทุกท่านเข้าใจผมแล้ว จึงกลับมา
ต้องขอขอบคุณท่านนายกสมาคมนะครับ ที่เป็นนายกสมาคมที่รวบรวมชาวหอ เป็นปึกแผ่นต่อจากพี่ราเมศวร์ และผมคิดว่าในโอกาสต่อไปเนี่ยสมาคมเนี่ยจะยิ่งใหญ่ จะเป็นสมาคมที่แข็งแกร่งสมาคมหนึ่งในจุฬาฯ ปีนี้นายกสมาคมได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการกลางของสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ สมาคมใหญ่ ซึ่งก็เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีให้รู้ว่า สมาคมนิสิตเก่าชาวหอมีศักยภาพ อยากจะให้พวกเรามีความภูมิใจ ในการเป็นสมาคมของเรา แล้วก็ให้ร่วมไม้ร่วมมือในการที่จะช่วยกัน มาเป็นสมาชิก มาช่วยกันสร้างสรรค์กิจกรรม เพื่อพวกเรากันเอง เพื่อน้องๆนิสิตปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ทางสมาคมให้ทุนการศึกษาที่เป็นค่าหอพัก ให้กับนิสิตหอเป็นประจำทุกเทอม และก็ช่วยระดมทุน นะครับ ผมอยากจะทราบพี่กลับไปหรือยัง พี่ปรีดา รวมเมฆ หาเงินได้ ๓๐ กว่าล้านช่วยสร้างตึกชวนชม ส่วนนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเห็นว่าความผูกพันธ์ของนิสิตเก่าหอพักกับมหาวิทยาลัย มีความเหนียวแน่น และพวกเราโชคดีมาก ที่ท่านศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล สมัยที่ท่านเป็นอธิการบดี ก่อนหมดวาระไม่นาน ท่านอนุญาตให้ใช้เรือนอนุสาสก เป็นที่ทำการสมาคม ท่านนายกสมาคม ท่านราเมศวร์ คุณสุรศักดิ์ ออกเงินทันทีคนละล้าน ที่เหลือได้จากพี่ๆหลายรุ่น คนละแสนบ้าง คนละหมื่นบ้าง รวมกันเป็นพลังมหาศาลที่สร้าง ที่ปรับปรุง อาคารสมาคมให้น่าภาคภูมิใจ เป็นที่ทำการของพวกเรา
สำหรับผมถามว่า ทำไมผมต้องออกจากหอ ถ้าผมอยู่ผมก็เป็นอนุสาสกต่อได้ คงไม่มีใครเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ผมต้องการให้โอกาสคนอื่น ถ้าผมยังอยู่ต่อ ถ้าผมอยู่วันนี้ก็คงไม่มีอนุสาสกคนใหม่ชื่อเรืองวิทย์ ผมเกษียณมาเป็นปีที่ ๔ ก่อนหน้านี้ผมรับปาก กับท่านคุณหมอภิรม เมื่อท่านเป็นอธิการบดีในสมัยที่ ๒ เมื่อปี ๕๕ พอเดือนกันยายนปีนั้นผมก็จะเกษียณอายุราชการ ผมก็บอกท่านว่าผมขอไม่เป็นอนุสาสกต่อ ท่านบอกว่าไม่ได้ อาจารย์ต้องรับ เพราะอาจารย์เริ่มโครงการตึกใหม่ไว้ เพิ่งเริ่มก่อสร้าง อาจารย์ต้องอยู่ดูความสำเร็จ ต้องดูแลการก่อสร้างให้สำเร็จซะก่อน ผมก็คิดถึงความรับผิดชอบที่ผมต้องมีต่อมหาวิทยาลัย เมื่อหอพักชวนชมสร้างเสร็จเมื่อปี ๕๗ สามารถรับนิสิตเข้าพักได้ แต่ก็ยังมีปัญหาคาราคาซังที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง ผมก็อยู่ต่อจนมีการสะสางปัญหาไประดับหนึ่ง เมื่อเดือนกันยาปี ๕๘ ผมยื่นหนังสือลาออกจากอนุสาสกอีกครั้งหนึ่ง เป็นทางการ พร้อมกับการที่บอกคณบดีคณะสถาปัตย์ว่า อาจารย์ไม่ขอต่อ แต่ยินดีมารับใช้ถ้าต้องการ ผมไม่อยากกินเงินเดือน แล้วสอนอยู่ไม่กี่วิชา
อาจารย์อยากมีเวลาไปทำกิจกรรมเพื่อสังคมในด้านอื่น ไม่ได้ไปทำมาหากินที่ไหน ที่ออกไปต้องบอกว่างานหนักกว่าเดิม เมื่อกี๊ต้องขอขอบคุณหลายๆกลุ่มที่บริจาคเงิน ทุกวันนี้ผมไปทำวัด ไปทำโบสถ์ ทำเจดีย์ ไม่ได้ออกแบบเพื่อรายได้ ไม่มีรายได้ ไม่เคยรับค่าแบบ ซ้ำร้ายยังต้องหาเงินทอดผ้าป่า เพื่อสร้างเสนาสนะไว้ในพระพุทธศาสนาให้สำเร็จ เพราะถือว่ากระทรวงวัฒนธรรมเขายกย่องเชิดชูเกียรติเราให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ผมมีเงินเดือนประจำตำแหน่งศิลปินแห่งชาติเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท เขาเลี้ยงผมตลอดชีวิต ผมได้นั่งเครื่องบินฟรีเดือนละ ๒ เที่ยวพร้อมผู้ติดตาม ๑ คน จากบริษัทแอร์เอเชีย เพื่อไปทำภารกิจ ผมถือว่าผมยังมีหน้าที่ทางสังคมอีกมากมายที่ผมต้องรับใช้ เพราะการที่เป็นอนุสาสก หรือเป็นอาจารย์ประจำโดยเฉพาะการสอนหนังสือเนี่ย มีวันที่ต้องสอนประจำคืออังคารกับศุกร์ ไปไหนไม่ได้ ในบางเทอมต้องสอนวันจันทร์ด้วย มันมีเวลาว่างแค่พุธกับพฤหัส ผมไม่สามารถไปดูงานไปติดตามงานก่อสร้างตามต่างจังหวัดได้ ตำแหน่งอนุสาสกก็มีการประชุมไม่เว้น เพราะฉะนั้น #การที่เรากินเงินเดือนในตำแหน่งอนุสาสกหรือเป็นอาจารย์ประจำของคณะสถาปัตย์กินเงินเดือนแล้วเราทำงานได้ไม่เต็มที่ #แสดงว่าเราคอรัปชั่นเวลาของราชการแม้เราจะใช้เวลาไปทำประโยชน์ให้แก่สังคมก็ตาม ก็เป็นความในใจที่ผมอยากจะบอกพวกเราว่าผมจำเป็น มีความจำเป็นต้องหยุดตำแหน่งอนุสาสกพร้อมกับเลิกสอน
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ปวารณาตัว กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเนี่ย ผมเป็นหนี้ชีวิต เป็นหนี้บุญคุณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอบแทนยังไงก็ไม่หมด ผมได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ถ้าผมเป็นอาจารย์เผ่าอยู่ขอนแก่น อยู่วิทยาลัยเทคนิคหรือเป็นสถาปนิกที่ไหน หรือไม่มีหัวครอบที่เป็นครูบาอาจารย์ ผมไม่มีโอกาสหรอกครับ เพราะฉะนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้ ผมได้จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้งนั้น ผมได้รับการยอมรับจากสังคม เพราะความเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ตัวผมเก่งกาจสามารถอะไร ถึงแม้ว่าผมจะเก่งกาจเท่าเดิม แต่ถ้าความเป็นอาจารย์ไม่มีผมก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นในชีวิตนี้เนี่ย ใช้อีกเท่าไรก็ไม่มีวันหมดนะครับ และผมอยากจะเชิญชวนทุกคนให้มีจิตสำนึก คิดจะตอบแทนบุญคุณให้แก่มหาวิทยาลัย มีโอกาสไหนที่เราจะทำได้เพื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยากให้พวกเราทำ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ต้องเป็นคนดีของสังคม ของแผ่นดิน ผมพยายามทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ กับเพื่อนร่วมงาน
สุดท้ายนี้ การเป็นอนุสาสกผมไม่ได้เก่งคนเดียว การที่ประสบความสำเร็จมาได้เพราะมีอาจารย์เพ็ญพรรณเป็นอนุสาสกหอหญิงได้ร่วมกันดำเนินงานมา ผมมีลูกน้องทุกคน ซึ่งบอกได้เลยว่า บุคลากรของหอพักเนี่ย เป็นบุคลากรตัวอย่างของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทุกคน จะเห็นว่าหลายๆท่านที่จบไปนานแล้ว ยังมีความผูกพันธ์กับยามเฉื่อย ยามในหอพักไม่ได้สักแต่มานั่งเฝ้า มาตรวจตรา แต่ดูแลนิสิตทุกคนเหมือนลูกเหมือนหลาน ผมพยายามพร่ำสอนบุคลากรทุกคนว่า นิสิตหอพักทุกคน ก็เหมือนลูกเหมือนหลานเรา เราคงไม่เคยที่จะทำอะไรไม่ผิด เราเป็นวัยรุ่นมาก่อน ผมก็บอกลูกศิษย์เสมอว่าผมเคยเป็นเหมือนกับพวกคุณนั่นแหละ ผมไม่ได้เกิดมาแล้วก็หนวดออกเป็นอาจารย์เหมือนทุกวันนี้ ผมก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวัยคะนองมาเหมือนกัน เพราะผมเข้าใจนิสิตทุกคน แต่การทำหน้าที่ครูบาอาจารย์นั้น แน่นอนต้องบอกกล่าว ต้องสั่งสอน ต้องดุด่า ต้องลงโทษเพื่อให้เค้าเป็นคนดี เพื่อให้พ่อแม่เขามีความภูมิอกภูมิใจ ในความสำเร็จของลูก
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เนี่ย มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวที่ทำให้ผมอยู่หอจุฬาฯมาได้ ๓๔ ปี แต่ผมยืนยันว่า #ผมจะเป็นคนดีของสังคมเป็นนิสิตเก่าที่ดีคนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #และจะตอบแทนบุณคุณของสถาบันไปจนวาระสุดท้ายของลมหายใจ
ขอบคุณครับ”
เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี
๘ ตุลาคม ๒๕๕๙
บันทึกภาพและวีดิทัศน์งาน "เรารักอาจารย์เผ่า"
โดยชมรมดิจิทัลมีเดีย หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย