30 พฤศจิกายน 2567, 08:35:23
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า แล้วก็ได้แต่ภาวนา อย่าได้เกิดกับใครอีกเลย  (อ่าน 3857 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« เมื่อ: 27 มีนาคม 2551, 15:50:12 »

แม้จะรู้และเชื่อในเรื่องกัมมุนาวัตตีโลโก แต่ก็อดสะเทือนใจ เจ็บแค้นด้วยไม่ได้

ข้อมูลนี้ได้มาจากการส่งต่อทางอินเตอร์เนต

โปรดพิจารณา นี่คือผลพวงที่การบริหารประเทศพัฒนาไปสู่ระบอบธนาธิปไตย
หรือยุคเงินเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ศาสนาธรรมหดหายเหลืออยู่เพียงทรากของพิธีการและอามิสบูชา


ตอนที่ 1

> Date: Fri, 21 Mar 2008 10:20:37 +0700
> Subject: Fwd: มี ลูก หลาน ภรรยา ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไปด้วย
            > ผมมีตัวตนแต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ  เรื่องต่อไปนี้จะเป็นตัวบอกว่าทำไมผมจึงบอกไม่ได้
> ประมาณสองสัปดาห์หลังปีใหม่ ภรรยาผมลางานเพื่อไปติดต่องานราชการ  เสร็จแล้วแวะ Central ลาดพร้าว เพื่อหาซื้อหนังสือแนวที่เธอชอบอ่านที่ B2S  ระหว่างที่กำลังเลือกหาซื้อหนังสืออยู่นั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ สามสิบเข้ามาทักทาย  บอกว่าชอบหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเช่นกันและ มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มที่น่าอ่านมาก การสนทนาก็เป็นไปอย่างมี  มิตรไมตรีต่อกัน เพราะจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวดูเหมือนเป็น คนทำงานทั่วไป แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ให้นามบัตรภรรยาผมมา ส่วนภรรยาผมก็ให้เบอร์มือถือเธอไปเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #1 เมื่อ: 27 มีนาคม 2551, 15:51:39 »


ตอนที่ 2

การติดต่อพูดคุยก็ มีขึ้นเป็นระยะๆ  และมีนัดเจอกันเพื่อให้หนังสือภรรยาผมมาอ่านแล้วก็บอกว่า จะรีบไปทำงาน แต่หนังสือที่ให้มาเป็นหนังสือแนวสืบสวนธรรมดาที่ภรรยาผม เคยอ่านมาแล้ว  จึงอยากจะคืนกลับไปการนัดเจอกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นชวนทานข้าวเพราะเป็นช่วงเกือบเที่ยงวันแล้ว และได้แนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่ Food Center เธอบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานชอบอ่านหนังสือแนวนี้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้น ถามภรรยาผมและผู้หญิงคนนั้นว่า จะทานอะไรจะไปซื้อมาให้ ด้วยความ เกรงใจ จึงทานเหมือนกันเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู แต่ภรรยาผมก็พยายามจะขอตัวไปซื้อ น้ำมาให้แต่ทางผู้หญิงคนนั้น ชิงเดินไปซื้อมาให้ก่อน พอนั่งทานไปได้ประมาณ ครึ่งชามและดื่มน้ำไปหน่อย ภรรยาผมก็เกิดอาการมึนๆ และเริ่มง่วงนอน เพียงอีกไม่กี่นาทีต่อมา เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาประคองตัวภรรยาผมแล้วพูดบอกผู้ชายว่า คงเป็นลมช่วยพาออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย ตอนนั้น ภรรยาผมบอกว่าไม่สามารถ พูดอะไรได้ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว ระหว่างเดินผ่านตัวห้างมาลานจอดรถเห็นผู้ชายโทรศัพท์เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที  รถตู้สีขาวก็มาจอด  แล้วทั้งคู่ก็พาภรรยาผมขึ้นรถ วินาทีนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอพยายามขัดขืนแต่ ทั้งคู่ก็ใช้กำลังพาเธอขึ้นรถแล้วปิดประตูรถ  บนรถมีผู้ชายสองคนนั่งมาในรถด้วย เมื่อรถวิ่งออกจากห้างภรรยาผมพยายาม ร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงและผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเอามือมาปิดปากเธอไว้ พอรถวิ่งออกมาระยะหนึ่งผู้ชายที่เจอกันที่ Food Center  เริ่มปลดเสื้อผ้าภรรยาผม เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง  ผู้ชายอีกสองคนที่นั่งรออยู่บนรถก็ช่วยกันถอด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคงไม่ต้องบรรยายกันอีก โดยมีผู้หญิงเป็นคนเก็บภาพเป็นระยะๆ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกที่ภรรยาผมถูกนำ มาทิ้งที่ห้องน้ำหญิงของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาลสองย่านบางกะปิ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #2 เมื่อ: 27 มีนาคม 2551, 15:52:52 »


ตอนที่ 3

กะปิ
           > ผมไปรับเธอแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้และไม่ไปทำงานอีกเลย นั่งซึมอยู่กับบ้าน สามวันต่อมาคุณแม่ของภรรยาโทรมาบอกว่ามีจดหมายลงทะเบียนส่งมาที่ บ้านให้ไปรับผมก็ไปรับ แล้วเปิดออกดู มีภาพถ่ายพร้อมขอเงินสดสี่แสนบาทเป็นค่าฟิล์มและ ภาพถ่ายทั้งหมด > ผมพูดไม่ออก ทุกความรู้สึกวิ่งพุ่งเข้ามาในใจ สับสน เสียใจ แค้นใจ  เจ็บใจ  ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อและเพื่อนท่านที่เป็นนายตำรวจ มีความเห็นเหมือนกันว่าต้องแจ้ง ความกับตำรวจ  เพราะเงินสี่แสนครอบครัวเราคงหามาให้ได้ยาก ผมกับภรรยาเป็นเพียงลูกจ้าง กินเงินเดือนเท่านั้น  ในวันส่งเงินตามนัดหมายตำรวจกองปราบวางแผนอย่างดีและสามารถจับพวกเดนสังคมได้สองคนได้ฟิล์มและภาพจำนวนหนึ่ง  และตำรวจกำลังตามจับพวกที่เหลืออีกสามคน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าภาพถ่ายยังคงมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า ซึ่งหลังจากพวกมันถูกจับผมก็ได้รับโทรศัพท์ขู่ว่าจะเอาภาพลง internet สองครั้ง ทุกวันนี้ภรรยาผมไม่ได้ทำงานอีกแล้ว อยู่บ้านด้วยอาการซึมเศร้าและไม่ต้องการ พบปะกับใครเลย ส่วนผมก็ไม่กล้าออกไปไหนเช่นกันทำงานเสร็จก็กลับบ้าน  ชีวิตความเป็นอยู่ มีแต่ความกลัว ระแวง คิดมาก เหมือนเป็นโรคประสาท ผมจึงอยากฝากบอกเรื่องราวของ ผมให้เป็นข้อมูลกับทุกคน
> ทุกวันนี้การหากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วครับ ขอบุญกุศลในการให้ข้อมูลนี้ ทำให้ชีวิตครอบครัวผมดีขึ้นด้วยเถอะ อย่าลืมบอกต่อๆกันไปด้วยครับ
> พ. ศรีฯ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
nuchon
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 419

« ตอบ #3 เมื่อ: 28 มีนาคม 2551, 15:26:56 »

ถ้าเป็นเรื่องจริง งั้นทุกวันนี้สังคมไทยก้อเสื่อมลงอย่างมาก  นู๋ก้อมีเรื่องหนึ่ง เ็ป็นเรื่องทำนองเดียวกัน  ลองอ่านดูนะคะ  

เพื่อนๆ คะเรามีเรื่องอยากเล่าไว้เพื่อเตือนใจลูกผู้หญิงทุกคน

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเราไปรู้จักผู้ชายคนนี้ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
โดยบังเอิญเราไปกับเพื่อนผู้หญิงหลายคน ทั้งๆที่ปกติเราก็ไม่ได้เป็นคนเที่ยวกลางคืนนะ
แต่วันนั้นเรามีนัดพบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ไม่ ได้เจอกันนาน
และเสียงโหวตของคนอยากไปที่นี่ก็มากกว่า
เราก็เลยต้องไปเจอเพื่อนที่นั่นทั้งๆที่ไม่ได้อยากไปเลย
เพื่อนเราหลายคนก็พาแฟนมาเปิดตัว ซึ่งเราเองไม่เคยมีแฟน
เราไปคนเดียวก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็นั่งพูดคุยกันตามประสาคนไม่เจอกันนาน
แต่เราก็นั่งได้ไม่นานเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านเพราะว่าเหม็นกลิ่นบุหรี่มาก (เราเป็นภูมิแพ้ )
และเราก็ไม่ชอบเสียงหนวกหู! พูดกันก็ต้องตะโกนอ่ะ   เลยบอกเพื่อนๆ ว่า
ขอตัวกลับก่อน เอาไว้วันหลังค่อยเจอกันใหม

แฟนเพื่อนเราคนหนึ่งก็อาสาเดินออกไปส่งขึ้นแท็กซี่ เพราะว่าไม่อยากให้เราเดินคนเดียวออกจากร้านไป และร้านนี้ก็ไกลจากบ้านมากๆ แต่พอเราเดินออกมาจากร้านไม่นาน รู้สึกตัวอีกที

เราก็ตื่นขึ้นมาอีกทีอยู่บนเตี ยงในโรงแรมแล้ว....
เรามองตัวเอง...ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน ..เนื้อตัวเป็นจ้ำๆ
เรารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา ยังกะหนังไทยเลยเนอะ
แต่มันคือเรื่องจริง นี่คือตัวเรา นี่เราหรือเนี่ย...
เราไม่คิดว่าครั้งแรกของเราที่ทนุถนอมมากว่ายี่สิบปีจะต้องมอบให้แก่สัตว์
นรก   เรารวบรวมสติได้ในเวลาอันรวดเร็ว
บอกกับตัวเองว่าเราไม่สามารถย้อนเวลาคืนมาได้แล้วเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร
ถ้าไอ้สัตว์นรกตัวนี้ตื่นขึ้นมา...เราอาจจะถูกมันข่มขืนอีกก็รอบได้
เราเลยรีบแต่งตัวแล้วหวังจะออกจากโรงแรมให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะตื่น
เราจะวิ่ง ๆ ๆ เอาร่างอันโสมมของเราไปให้พ้นจะสถานที่แห่งนี้ให้ได้
ป่านนี้พ่อแม่เราจะห่วงขนาดไหนที่ลูกไม่กลับบ้านทั้งคืนโดยไม่ติดต่ออะไรเลย เราจะแจ้งความดีไหม เพื่อนเรารู้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น
สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเรา
เราได้แต่ก้มหน้ารับสภาพไป.....

แล้วเราก็ต้องตกใจที่พบว่าตัวเองเป็นกำลังเป็นนางเอกคลิปวิดิโออยู่
มันถ่ายคลิปเก็บไว้เพื่ออะไร เพื่ออวดคน เพื่อแบลคเมล์เรา หรือ อะไร..
และไม่ใช่แค่เราคนเดียว ยังมีเพื่อนเราในนั้น
มีคนอีกเกือบสิบคนที่ตกในสภาพเดียวกับเรา
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนเราคนนี้พยายามคะยั้นคะยอนัดพบเพื่อนเก่า
เพื่อให้แฟนตัวเองได้ลิ้มรสชาติใหม่ๆหรือปล่าวเนี่ย เราเลยโทรไปถามเพื่อนเรา  เหมือนเพื่อนเราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่ยอมรับโทรศัพท์
และเลิกติดต่อกับเราอีกเลย

เล่ามาถึงจุดนี้ อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนระวังตัวให้ดี อย่าไว้ใจเพื่อนตัวเอง
อย่าให้ใครไปส่งเราตามลำพัง และหากเกิดอะไรขึ้นต้องมีสติ
 
บันทึกการเข้า
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><