จากซีรี่ย์เรื่อง Change นายกมือใหม่หัวใจประชาชน
สวัสดีครับทุกท่าน ผม ... อาซากุระ เคย์ตะ
วันนี้เป็นวันที่ 50 ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และ ผมตั้งใจที่จะบอกเล่าความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งอยากจะใช้โอกาสที่ผมยังดำรงตำแหน่งนายกฯ ดังนั้นการแถลงข่าวในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น
ในชั้นแรก ผมอยากจะกล่าวคำขอโทษต่อทุกคน 18 ปีก่อน เรื่องราวทุจริตของไดโดที่ทางบริษัทได้หว่านหุ้นล่อในคนในวงจรการเมือง
และด้วยความไม่รู้ ผมก็ได้แต่งตั้งนักการเมืองเหล่านั้นเป็นรัฐมนตรี ... ถึง 8 คน ผมทำให้พวกคุณต้องผิดหวัง ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ
วันนี้ .... มีหลายอย่างที่ผมหวังว่าจะได้บอกกับพวกคุณด้วยตัวของมันเองให้มากที่สดุเท่าที่จะเป็นไปได้
ผมจะไม่ใช้ถ้อยคำหรูหราเข้าใจยาก เพราะ ผมเคยเป็นคุณครูประถมมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้จะง่ายเสียจนเด็กประถม 5 ก็ยังเข้าใจ
ก็อย่างที่ทุก ๆ คนทราบกัน ก่อนหน้าจะมาเป็นสมาชิกของสภาแห่งนี้ ผมไม่มีประสบการณ์การทางเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเป็นเพียงแค่ครูประถมธรรมดา ๆ เท่านั้น และหากจะพูดตามตรงความสนใจทางด้านการเมืองของผมก็เป็นศูนย์
แล้วเมื่อมีข่าวคราวเกี่ยวกับบุคคลในวงการออกมา หรือ เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ผมเองก็เหมือนทุกท่าน .... คือ รับฟังข่าวไปตามปกติ แต่จะให้ลงสมัครรับเลือกตั้งนะเหรอ .... ไม่หรอก
ผมรู้ดีว่าการเมืองนั้นสำคัญ แต่ มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเราตรงไหนหรือ หากจะพูดให้ตรงกว่านั้น คือ ผม ... ไม่เคยคาดหวังอะไรกับการเมือง
บ่อยครั้งที่เราได้ยินข้อความว่าเพียงหนึ่งเสียงของคุณการเมืองก็"เปลี่ยน" แต่ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยคิดเลยว่าหนึ่งเสียงของผมจะทำให้อะไร"เปลี่ยน"ไป
แน่นอนว่า ในเวลาเลือกตั้งนั้น ... ผมก็รู้สึกว่าตื่นเต้นว่าใครกันนะจะได้รับเลือกตั้ง พรรคไหนจะชนะคะแนนเสียง แต่ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย และก่อนที่เราจะรู้ตัว ... นโยบายสวยหรูต่าง ๆ ที่บรรดาผู้สมัครได้ให้ไว้ก็กลับกลายเป็นอากาศว่างเปล่า
หลังจากนั้น ผมก็กลับมาคิดว่า ..... แล้วเราจะตื่นเต้นไปเพื่ออะไร จากนั้นก็เริ่มคิดว่านี่เราถูกหลอกให้หวังหรือ แต่แล้วก็กลับคิดต่อไปว่า .... เอาน่ะจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เสียงของผมหนึ่งเสียง ...... ที่สุดแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
แล้วคนอย่างผมนี้ .... ลงสมัครรับเลือกตั้งทำไมเล่า แล้วเหตุใดจึงเข้าเป็นสมาชิสภาอันทรงเกียรตินี้หลังจากได้รับเลือกตั้ง เพราะว่าผมเป็นครูมาก่อนก็เลยไม่เขินอายเวลาที่ใคร ๆ เรียกว่า “เซนเซ” หรือ เพราะว่าผมสามารถจะใช้บริการรถไฟได้ฟรี (อันที่จริงแล้วก็เหมือนกับผู้สูงอายุสินะครับใช้ฟรีเหมือนกัน -- แอบฮานะยะ) บางคนอาจจะคิดว่าผมอยากดัง
ทว่า .... เมื่อผมเข้าไปในสภาอย่างที่ได้รับคำแนะนำ ผมกลับไม่เข้าใจว่าทุกท่านกำลังถกเถียงเรื่องใดกันอยู่ เอาล่ะ หากเราพูดถึงคณะกรรมการ ก็จะนึกถึงคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ ซึ่งตอนนั้นเลขาฯของผมอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่าระบบรัฐสภามันก็อย่างเดียวกับสภานักเรียนในโรงเรียนประถมนั่นเอง ซึ่งคณะกรรมการพิจารณางบประมาณที่ทำหน้าที่ถาวรก็เหมือนกับคณะกรรมการห้องสมุด ส่วนคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะก็มีสถานเหมือนกับชมรมต่าง ๆ นั่นเอง พอได้ยินแบบนั้นผมก็ว่า “อ๋อ .... แบบนั้นเองเหรอ” ความเข้าใจของผมอยู่ในระดับเพียงเท่านี้ .... น่าอายนะครับ
หากหลังจากที่ได้ฟังอะไร ๆ เยอะขึ้นผมก็เริ่มทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ๆ กันทีละนิด ๆ สิ่งที่เขาถก ๆ กันอยู่นั้นก็เพื่อเป็นการคุมเชิงกันนั่นเอง
นั่นก็แปลว่าสิ่งที่พรรคเสียงข้างมาก และ พรรคฝ่ายค้านกระทำอยู่ก็เพียงแค่การยึดถือเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก
แม้จะได้รับการโน้มน้าวใจซักเพียงไหน
โดยไม่มีการหยุดคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอนั้นมีข้อดีไม่ดีหรือไม่อย่างไร แล้วก็ยึดถือรูปแบบนั้นเรื่อยมา
อา ..... มันจะต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งไปหรือ ? ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถาม .... ตอนที่ผมยังเป็นคุณครูผมเองก็สอนลูกศิษย์โดยใช้วิธีนี้แหละ
ดีเบตกันถกเถียงกันจนกระทั่งพบคำตอบ เพราะแบบนั้นเด็ก ๆ จึงรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างระมัดระวังและตั้งอกตั้งใจ และก็เพราะแบบนั้น
เมื่อพบว่าความคิดของตนเองนั้นบกพร่องไป หรือ ผิดพลาดไปก็จะยอมรับความผิดพลาดนั้นแต่โดยดี
อย่างไรก็ตามวิธีการเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับสภาแห่งนี้
เป็นธรรมดาที่ส.ส.ก็ต้องกระทำการตามนโยบายของพรรค และ เงื่อนไขทางการเมือง หลาย ๆ คนถึงกระทั่งลงนามในร่างกฎหมายที่ตัวเองคัดค้านตลอดมาเช่นเดียวกับที่เคยเห็นส.ส.รุ่นพี่ได้เคยกระทำมาจนเป็นประเพณี เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครเคยคิดอย่างจริงจังว่า กฎหมายที่ตนได้ลงนามรับรองนั้นมีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ ผมได้ก้าวเข้ามาในวงวนของการเมืองอย่างใกล้ชิดขนาดนี้แต่ผมกลับรู้สึกว่าการเมืองช่างห่างไกลเหลือเกิน
ในขณะนั้นเอง ผมถูกขอร้องให้ลงเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ซึ่งหากส.ส.หน้าใหม่อย่างผมได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเซย์ยูที่เป็นพรรคเสียงข้างมากในสภาล่ะก็ผมก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นไปหรือครับสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่นี่ แน่ล่ะผมปฏิเสธไปตั้งแต่คราวแรก แต่เมื่อกลับมาคิดแล้วหากว่าเป็นนายกฯ .... คราวนี้ละมังที่ “หนึ่งเสียง” ของผมจะมีความหมาย ผมอาจจะสร้างสรรค์ความหวังใหม่ ๆ ให้กับเด็กรุ่นหลัง
สุดท้ายผมจึงลงผู้สมัครในตำแหน่งนายกฯ อย่างไรก็ตามเมื่อผมได้ฟังแนวคิดของผู้สมัครคนอื่น ๆ ผมก็คิดว่า “เฮ้ ๆๆ มันไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเป็นเราล่ะก็จะทำแบบนี้” แล้วสิ่งที่ผมได้คิดได้พยายามจะทำก็มาถึงเร็วเกินคาด แม้ผมจะไม่มีความสนใจในด้านการเมืองแม้แต่น้อย แต่ผมก็มีความปรารถนาที่จะกระทำการ และ มีแนวทางที่อยากให้โลกเป็นไป
ระว่างที่มีการเลือกตั้งผมได้สัญญาทุกคน
ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้สายตา เช่นเดียวกับพวกท่านทุกคน มองปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในตอนนี้อย่างถ่องแท้ แล้วดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้หูที่เหมือนกับพวกท่าน ในการฟังเสียงของผู้ที่อ่อนแออย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เบาขนาดไหน
ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้ขาแบบเดียวกับพวกท่าน ไปยังทุกๆ ที่ที่มีปัญหาอย่างไม่ลังเล
ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้มือเช่นเดียวกับพวกท่าน ลงแรงทำงานถึงจะต้องอาบเหงื่อเหนื่อยยาก และจะชี้ทางให้ประเทศนี้เดินหน้าไปในทางที่ควรจะเป็น
ทุกสิ่งทุกอย่างของผม, ทุกสิ่งทุกอย่างของตัวผม ก็เหมือนกับทุกท่าน”
ผมมิใช่มืออาชีพในเรื่องการเมือง ผมไม่ได้เป็นนายกฯเพราะหลงใหลในอำนาจ ผมทำงานก็เพื่อประโยชน์ของประชานทุกคน ผู้ที่ให้คะแนนเสียงผม และ ฝากความหวังไว้กับผม ผมคิดแบบนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ แต่ปรากฏว่าผมลับทรยศทุกคน เพราะ เหตุการณ์ทุจริตในเรื่องบริษัทไดโด ไม่เพียงแต่รัฐมนตรี 8 คนนั้น ยังมีสมาชิกสภาอีก 15 คนที่รับสินบนนั้นไว้ด้วย นี่คือความหายนะหากพูกในแง่ความเชื่อถือในการเมืองของประเทศนี้
เห็นมั้ยล่ะ นักการเมืองก็แบบนี้ไม่มีดีซักราย นักการเมืองแบบนี้มาเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะแบบนี้แหละ นักการเมืองถึงเชื่อไม่ได้ ผมได้ยินครับ ได้ยินเสียงของทุกท่านอย่างชัดเจน และ ผมเองก็รู้สึกอย่างเดียวกัน มันคงเป็นเรื่องผิดหากหลังเหตุการณ์นี้นายกฯจะทำหน้าใสซื่อและอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก ผมต้องขอโทษทุก ๆ คนอีกครั้ง ผมเสียใจจริง ๆ
แต่ขอให้ผมได้พูดอะไรสักหน่อย ..........
หลังจากผมก้าวเท้าเข้ามาในวงการเมือง ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมเกิดความหวัง และ ได้เกิดการเรียนรู้
โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ยังคงมีนักการเมืองที่ไม่หลงใหลใฝ่อำนาจ คนที่ทำงานด้วยความกระตือรือร้นและตระหนักถึงหน้าที่อของตน
โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ยังคงมีนักการเมืองที่อิทธิพลและมีชื่อเสียงยาวนาน หากไม่มีใครรับรู้ แต่ก็พร้อมจะลงจากตำแหน่งอย่างกล้าหาญ
โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ยังมีกลุ่มคนที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ ผู้ที่คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศ และ ทำงานเพื่อทุกคน
โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พร้อมเอาชีวิตตัวเองปกป้องนายกฯเพื่อความมั่งคงของประเทศ และ ประชาชน
โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่โดนพิษร้ายของการเมืองกลืนกิน คนที่มองการเมืองเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป
โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ยังมีผู้คนที่ไม่มีความปรารถนา และ กระหายในเรื่องการเมืองยังคอยหนุนหลังผมอยู่มากมาย
และ โปรดทราบไว้ด้วยว่า ......... ผมขอโทษ
บุคคลเหล่านี้สอนให้ผมทราบว่าการเมืองนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อ ทุกท่านที่ผมกล่าวถึงนั้นเป็นคณะทีมงานที่เยี่ยมยอด ผมซาบซึ้ง และ ขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นอย่างยิ่ง
อย่างที่ผมได้พูดไว้ ผมต้องการจะยุติเรื่องราวเหล่านี้เสียที
ดังนั้นผมจึงขอลงจากตำแหน่งนายกฯ แต่ผมจะไม่รับผิดชอบเรื่องนี้เพียงผู้เดียว เพราะยังไม่หมดเชื้อร้ายในวงการเมืองของเรา ดังนั้นผมจะให้คนเหล่านั้น ไม่ใช่สิ ... ส.ส.ทุกคนรับผิดชอบร่วมกัน
ผมจึงขอใช้อำนาจที่มีอยู่ “ยุบสภา”
และ ผมอยากให้ทุกคนได้เลือกคณะรัฐบาลใหม่ในการเลือกตั้งทั่วไป
คะแนนเสียงแต่ละคะแนนนั้นมีค่ายิ่ง ผู้คนที่ได้รับเลือกก็คือตัวแทนของทุกท่าน และ จะทำงานตามเจตจำนงของทุกคน ส.ส.ทุกท่านจะทำงานเพื่อกำหนดทิศทางการเมือง
ทุกท่านครับ นี่คือ หลักการของอำนาจอธิปไตย อาจฟังดูเข้าใจยากแต่คำ ๆ นี้ก็ปรากฏในแบบเรียนของนักเรียนชั้นประถม ดังนั้นทุก ๆคนก็คงรู้ความหมายนะครับ
หมายถึง คุณทุกคนเป็นผู้ชี้นำประเทศครับ ผมอยากฝากการเมืองของประเทศไว้ในมือพวกคุณ ปัญหาเกี่ยวกับประเทศนี้ยังมีอีกมากมาย ทั้ง อัตราการเกิดที่ต่ำลง การศึกษา การสาธารณสุข และ อีกหลายอย่างที่ต้องการการแก้ไข แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เพียงนักการเมืองเท่านั้นจะเป็นผู้พิจารณา แต่เป็นเรื่องที่ทุก ๆ คนจะต้องขบคิดร่วมกัน
ทุกท่านมีอิสรเสรีภาพ และ มีหน้าที่ที่จะต้องเลือกนักการเมืองที่จริงจัง และ จริงใจ นักการเมืองที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน นักการเมืองที่รักษาสัญญา นักการเมืองที่ทำงาน และ มีมุมมองเช่นเดียวกับประชาชน พวกคุณทุกคนสามารถให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปทำงานในสภา
ผมเคยผิดเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมพูดอย่างมั่นใจได้แล้วว่า
หนึ่งเสียงของคุณเปลี่ยนการเมืองได้ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีขอประกาศว่าผมตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร การประกาศยุบสภาครั้งนี้มีได้ทำขึ้นเพื่อให้ผู้คนจดจำคณะทำงานของอาซากุระ เคย์ตะ แต่ ทำเพื่อสร้างอนาคตและ ความหวังให้กับเด็ก และ เยาวชนรุ่นต่อไป
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมจะกล่าว ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามรับชม ขอบคุณครับ