25 พฤศจิกายน 2567, 19:49:15
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 34  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: บทความการเมือง  (อ่าน 350371 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Surachai Chantosakun
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 114

« ตอบ #475 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 14:40:28 »

คำว่า สิทธิและหน้าที่ มักจะเป็นคำที่มาด้วยกัน แต่ตูคิดว่ามันแตกต่างกันอย่างมาก สำหรับตู

สิทธิ      คือ เราสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง (อันนั้นอันนี้เป็นสิทธิที่เราพึงได้รับ            ที่เราทำได้)
หน้าที่    คือ สิ่งที่เราควรจะต้องปฏิบัติ เพื่อเป็นสิ่งที่เราเป็น ให้สมบูรณ์ (ประชาชนมีหน้าที่.....)

ตราบใดที่คนยังมัวนังพูดถึงแต่สิทธิ โดยลืมคำว่าหน้าที่ สังคมก็คงมีแต่ความวุ่นวายเช่นนี้

ทุกคนมีแต่สิทธิ..... แล้วหน้าที่ละครับมันหายไปไหน
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #476 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 16:55:07 »

OH MY GOD...เจ๋งว่ะเพื่อนต้น..เยี่ยม..
      บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #477 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2552, 19:27:07 »

 ปิ๊งๆ  จากซีรี่ย์เรื่อง Change นายกมือใหม่หัวใจประชาชน

สวัสดีครับทุกท่าน ผม ... อาซากุระ เคย์ตะ

วันนี้เป็นวันที่ 50 ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

และ ผมตั้งใจที่จะบอกเล่าความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งอยากจะใช้โอกาสที่ผมยังดำรงตำแหน่งนายกฯ ดังนั้นการแถลงข่าวในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น

ในชั้นแรก ผมอยากจะกล่าวคำขอโทษต่อทุกคน 18 ปีก่อน เรื่องราวทุจริตของไดโดที่ทางบริษัทได้หว่านหุ้นล่อในคนในวงจรการเมือง

และด้วยความไม่รู้ ผมก็ได้แต่งตั้งนักการเมืองเหล่านั้นเป็นรัฐมนตรี ... ถึง 8 คน ผมทำให้พวกคุณต้องผิดหวัง ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ

วันนี้ .... มีหลายอย่างที่ผมหวังว่าจะได้บอกกับพวกคุณด้วยตัวของมันเองให้มากที่สดุเท่าที่จะเป็นไปได้

ผมจะไม่ใช้ถ้อยคำหรูหราเข้าใจยาก เพราะ ผมเคยเป็นคุณครูประถมมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้จะง่ายเสียจนเด็กประถม 5 ก็ยังเข้าใจ

ก็อย่างที่ทุก ๆ คนทราบกัน ก่อนหน้าจะมาเป็นสมาชิกของสภาแห่งนี้ ผมไม่มีประสบการณ์การทางเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเป็นเพียงแค่ครูประถมธรรมดา ๆ เท่านั้น และหากจะพูดตามตรงความสนใจทางด้านการเมืองของผมก็เป็นศูนย์

แล้วเมื่อมีข่าวคราวเกี่ยวกับบุคคลในวงการออกมา หรือ เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ผมเองก็เหมือนทุกท่าน .... คือ รับฟังข่าวไปตามปกติ แต่จะให้ลงสมัครรับเลือกตั้งนะเหรอ .... ไม่หรอก

ผมรู้ดีว่าการเมืองนั้นสำคัญ แต่ มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเราตรงไหนหรือ หากจะพูดให้ตรงกว่านั้น คือ ผม ... ไม่เคยคาดหวังอะไรกับการเมือง

บ่อยครั้งที่เราได้ยินข้อความว่าเพียงหนึ่งเสียงของคุณการเมืองก็"เปลี่ยน" แต่ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยคิดเลยว่าหนึ่งเสียงของผมจะทำให้อะไร"เปลี่ยน"ไป

แน่นอนว่า ในเวลาเลือกตั้งนั้น ... ผมก็รู้สึกว่าตื่นเต้นว่าใครกันนะจะได้รับเลือกตั้ง พรรคไหนจะชนะคะแนนเสียง แต่ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย และก่อนที่เราจะรู้ตัว ... นโยบายสวยหรูต่าง ๆ ที่บรรดาผู้สมัครได้ให้ไว้ก็กลับกลายเป็นอากาศว่างเปล่า



หลังจากนั้น ผมก็กลับมาคิดว่า ..... แล้วเราจะตื่นเต้นไปเพื่ออะไร จากนั้นก็เริ่มคิดว่านี่เราถูกหลอกให้หวังหรือ แต่แล้วก็กลับคิดต่อไปว่า .... เอาน่ะจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เสียงของผมหนึ่งเสียง ...... ที่สุดแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย

แล้วคนอย่างผมนี้ .... ลงสมัครรับเลือกตั้งทำไมเล่า แล้วเหตุใดจึงเข้าเป็นสมาชิสภาอันทรงเกียรตินี้หลังจากได้รับเลือกตั้ง เพราะว่าผมเป็นครูมาก่อนก็เลยไม่เขินอายเวลาที่ใคร ๆ เรียกว่า “เซนเซ” หรือ เพราะว่าผมสามารถจะใช้บริการรถไฟได้ฟรี (อันที่จริงแล้วก็เหมือนกับผู้สูงอายุสินะครับใช้ฟรีเหมือนกัน -- แอบฮานะยะ) บางคนอาจจะคิดว่าผมอยากดัง

ทว่า .... เมื่อผมเข้าไปในสภาอย่างที่ได้รับคำแนะนำ ผมกลับไม่เข้าใจว่าทุกท่านกำลังถกเถียงเรื่องใดกันอยู่ เอาล่ะ หากเราพูดถึงคณะกรรมการ ก็จะนึกถึงคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ ซึ่งตอนนั้นเลขาฯของผมอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่าระบบรัฐสภามันก็อย่างเดียวกับสภานักเรียนในโรงเรียนประถมนั่นเอง ซึ่งคณะกรรมการพิจารณางบประมาณที่ทำหน้าที่ถาวรก็เหมือนกับคณะกรรมการห้องสมุด ส่วนคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะก็มีสถานเหมือนกับชมรมต่าง ๆ นั่นเอง พอได้ยินแบบนั้นผมก็ว่า “อ๋อ .... แบบนั้นเองเหรอ” ความเข้าใจของผมอยู่ในระดับเพียงเท่านี้ .... น่าอายนะครับ

หากหลังจากที่ได้ฟังอะไร ๆ เยอะขึ้นผมก็เริ่มทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ๆ กันทีละนิด ๆ สิ่งที่เขาถก ๆ กันอยู่นั้นก็เพื่อเป็นการคุมเชิงกันนั่นเอง

นั่นก็แปลว่าสิ่งที่พรรคเสียงข้างมาก และ พรรคฝ่ายค้านกระทำอยู่ก็เพียงแค่การยึดถือเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก

แม้จะได้รับการโน้มน้าวใจซักเพียงไหน

โดยไม่มีการหยุดคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอนั้นมีข้อดีไม่ดีหรือไม่อย่างไร แล้วก็ยึดถือรูปแบบนั้นเรื่อยมา

อา ..... มันจะต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งไปหรือ ? ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถาม .... ตอนที่ผมยังเป็นคุณครูผมเองก็สอนลูกศิษย์โดยใช้วิธีนี้แหละ

ดีเบตกันถกเถียงกันจนกระทั่งพบคำตอบ เพราะแบบนั้นเด็ก ๆ จึงรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างระมัดระวังและตั้งอกตั้งใจ และก็เพราะแบบนั้น

เมื่อพบว่าความคิดของตนเองนั้นบกพร่องไป หรือ ผิดพลาดไปก็จะยอมรับความผิดพลาดนั้นแต่โดยดี

อย่างไรก็ตามวิธีการเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับสภาแห่งนี้

เป็นธรรมดาที่ส.ส.ก็ต้องกระทำการตามนโยบายของพรรค และ เงื่อนไขทางการเมือง หลาย ๆ คนถึงกระทั่งลงนามในร่างกฎหมายที่ตัวเองคัดค้านตลอดมาเช่นเดียวกับที่เคยเห็นส.ส.รุ่นพี่ได้เคยกระทำมาจนเป็นประเพณี เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครเคยคิดอย่างจริงจังว่า กฎหมายที่ตนได้ลงนามรับรองนั้นมีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ ผมได้ก้าวเข้ามาในวงวนของการเมืองอย่างใกล้ชิดขนาดนี้แต่ผมกลับรู้สึกว่าการเมืองช่างห่างไกลเหลือเกิน

ในขณะนั้นเอง ผมถูกขอร้องให้ลงเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ซึ่งหากส.ส.หน้าใหม่อย่างผมได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเซย์ยูที่เป็นพรรคเสียงข้างมากในสภาล่ะก็ผมก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นไปหรือครับสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่นี่ แน่ล่ะผมปฏิเสธไปตั้งแต่คราวแรก แต่เมื่อกลับมาคิดแล้วหากว่าเป็นนายกฯ .... คราวนี้ละมังที่ “หนึ่งเสียง” ของผมจะมีความหมาย ผมอาจจะสร้างสรรค์ความหวังใหม่ ๆ ให้กับเด็กรุ่นหลัง

สุดท้ายผมจึงลงผู้สมัครในตำแหน่งนายกฯ อย่างไรก็ตามเมื่อผมได้ฟังแนวคิดของผู้สมัครคนอื่น ๆ ผมก็คิดว่า “เฮ้ ๆๆ มันไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเป็นเราล่ะก็จะทำแบบนี้” แล้วสิ่งที่ผมได้คิดได้พยายามจะทำก็มาถึงเร็วเกินคาด แม้ผมจะไม่มีความสนใจในด้านการเมืองแม้แต่น้อย แต่ผมก็มีความปรารถนาที่จะกระทำการ และ มีแนวทางที่อยากให้โลกเป็นไป

ระว่างที่มีการเลือกตั้งผมได้สัญญาทุกคน

ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้สายตา เช่นเดียวกับพวกท่านทุกคน มองปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในตอนนี้อย่างถ่องแท้ แล้วดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง

ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้หูที่เหมือนกับพวกท่าน ในการฟังเสียงของผู้ที่อ่อนแออย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เบาขนาดไหน

ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้ขาแบบเดียวกับพวกท่าน ไปยังทุกๆ ที่ที่มีปัญหาอย่างไม่ลังเล

ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้มือเช่นเดียวกับพวกท่าน ลงแรงทำงานถึงจะต้องอาบเหงื่อเหนื่อยยาก และจะชี้ทางให้ประเทศนี้เดินหน้าไปในทางที่ควรจะเป็น

ทุกสิ่งทุกอย่างของผม, ทุกสิ่งทุกอย่างของตัวผม ก็เหมือนกับทุกท่าน”

ผมมิใช่มืออาชีพในเรื่องการเมือง ผมไม่ได้เป็นนายกฯเพราะหลงใหลในอำนาจ ผมทำงานก็เพื่อประโยชน์ของประชานทุกคน ผู้ที่ให้คะแนนเสียงผม และ ฝากความหวังไว้กับผม ผมคิดแบบนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ แต่ปรากฏว่าผมลับทรยศทุกคน เพราะ เหตุการณ์ทุจริตในเรื่องบริษัทไดโด ไม่เพียงแต่รัฐมนตรี 8 คนนั้น ยังมีสมาชิกสภาอีก 15 คนที่รับสินบนนั้นไว้ด้วย นี่คือความหายนะหากพูกในแง่ความเชื่อถือในการเมืองของประเทศนี้

เห็นมั้ยล่ะ นักการเมืองก็แบบนี้ไม่มีดีซักราย นักการเมืองแบบนี้มาเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะแบบนี้แหละ นักการเมืองถึงเชื่อไม่ได้ ผมได้ยินครับ ได้ยินเสียงของทุกท่านอย่างชัดเจน และ ผมเองก็รู้สึกอย่างเดียวกัน มันคงเป็นเรื่องผิดหากหลังเหตุการณ์นี้นายกฯจะทำหน้าใสซื่อและอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก ผมต้องขอโทษทุก ๆ คนอีกครั้ง ผมเสียใจจริง ๆ

แต่ขอให้ผมได้พูดอะไรสักหน่อย ..........

หลังจากผมก้าวเท้าเข้ามาในวงการเมือง ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมเกิดความหวัง และ ได้เกิดการเรียนรู้

โปรดทราบไว้ด้วยว่า

ยังคงมีนักการเมืองที่ไม่หลงใหลใฝ่อำนาจ คนที่ทำงานด้วยความกระตือรือร้นและตระหนักถึงหน้าที่อของตน

โปรดทราบไว้ด้วยว่า

ยังคงมีนักการเมืองที่อิทธิพลและมีชื่อเสียงยาวนาน หากไม่มีใครรับรู้ แต่ก็พร้อมจะลงจากตำแหน่งอย่างกล้าหาญ

โปรดทราบไว้ด้วยว่า

ยังมีกลุ่มคนที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ ผู้ที่คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศ และ ทำงานเพื่อทุกคน

โปรดทราบไว้ด้วยว่า

ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พร้อมเอาชีวิตตัวเองปกป้องนายกฯเพื่อความมั่งคงของประเทศ และ ประชาชน

โปรดทราบไว้ด้วยว่า

ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่โดนพิษร้ายของการเมืองกลืนกิน คนที่มองการเมืองเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป

โปรดทราบไว้ด้วยว่า

ยังมีผู้คนที่ไม่มีความปรารถนา และ กระหายในเรื่องการเมืองยังคอยหนุนหลังผมอยู่มากมาย

และ โปรดทราบไว้ด้วยว่า ......... ผมขอโทษ


บุคคลเหล่านี้สอนให้ผมทราบว่าการเมืองนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อ ทุกท่านที่ผมกล่าวถึงนั้นเป็นคณะทีมงานที่เยี่ยมยอด ผมซาบซึ้ง และ ขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นอย่างยิ่ง

อย่างที่ผมได้พูดไว้ ผมต้องการจะยุติเรื่องราวเหล่านี้เสียที

ดังนั้นผมจึงขอลงจากตำแหน่งนายกฯ แต่ผมจะไม่รับผิดชอบเรื่องนี้เพียงผู้เดียว เพราะยังไม่หมดเชื้อร้ายในวงการเมืองของเรา ดังนั้นผมจะให้คนเหล่านั้น ไม่ใช่สิ ... ส.ส.ทุกคนรับผิดชอบร่วมกัน

ผมจึงขอใช้อำนาจที่มีอยู่ “ยุบสภา”

และ ผมอยากให้ทุกคนได้เลือกคณะรัฐบาลใหม่ในการเลือกตั้งทั่วไป

คะแนนเสียงแต่ละคะแนนนั้นมีค่ายิ่ง ผู้คนที่ได้รับเลือกก็คือตัวแทนของทุกท่าน และ จะทำงานตามเจตจำนงของทุกคน ส.ส.ทุกท่านจะทำงานเพื่อกำหนดทิศทางการเมือง

ทุกท่านครับ นี่คือ หลักการของอำนาจอธิปไตย อาจฟังดูเข้าใจยากแต่คำ ๆ นี้ก็ปรากฏในแบบเรียนของนักเรียนชั้นประถม ดังนั้นทุก ๆคนก็คงรู้ความหมายนะครับ

หมายถึง คุณทุกคนเป็นผู้ชี้นำประเทศครับ ผมอยากฝากการเมืองของประเทศไว้ในมือพวกคุณ ปัญหาเกี่ยวกับประเทศนี้ยังมีอีกมากมาย ทั้ง อัตราการเกิดที่ต่ำลง การศึกษา การสาธารณสุข และ อีกหลายอย่างที่ต้องการการแก้ไข แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เพียงนักการเมืองเท่านั้นจะเป็นผู้พิจารณา แต่เป็นเรื่องที่ทุก ๆ คนจะต้องขบคิดร่วมกัน

ทุกท่านมีอิสรเสรีภาพ และ มีหน้าที่ที่จะต้องเลือกนักการเมืองที่จริงจัง และ จริงใจ นักการเมืองที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน นักการเมืองที่รักษาสัญญา นักการเมืองที่ทำงาน และ มีมุมมองเช่นเดียวกับประชาชน พวกคุณทุกคนสามารถให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปทำงานในสภา

ผมเคยผิดเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมพูดอย่างมั่นใจได้แล้วว่า

หนึ่งเสียงของคุณเปลี่ยนการเมืองได้ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีขอประกาศว่าผมตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร การประกาศยุบสภาครั้งนี้มีได้ทำขึ้นเพื่อให้ผู้คนจดจำคณะทำงานของอาซากุระ เคย์ตะ แต่ ทำเพื่อสร้างอนาคตและ ความหวังให้กับเด็ก และ เยาวชนรุ่นต่อไป

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมจะกล่าว ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามรับชม ขอบคุณครับ

      บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #478 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 09:51:05 »

กรูว่ามรึงไม่ได้อยู่ตุรกีแน่นอน..รูปวันก่อนก็ตัดต่อ..

รู้ทุกเรื่องที่เมืองไทย..แถมว่างโคดๆ
      บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #479 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 16:52:53 »

 เหนื่อย

โลกไร้พรมแดนเฟ้ย เพื่อนโต้ง

พม.สรุปผลสอบปลาป๋องเน่า ไม่พบขรก.-นักการเมืองเอี่ยว

นางกานดา วัชราภัย รองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้อเท็จจริงกรณีปลากระป๋องไม่ได้คุณภาพ ที่ถูกส่งไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.พัทลุง จนเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปลายปี 2551 ว่า คณะกรรมการฯ ได้ตรวจสอบตามขอบเขตที่ทำได้ 2 เรื่อง คือ การใช้เงินข้าราชการและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ ซึ่งสรุปว่า ไม่มีข้าราชการและนักการเมืองคนใดเกี่ยวข้องหรือทุจริต เพราะไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณกลางไปจัดซื้อถุงยังชีพ ส่วนกรณีนายวิเชน สมมาตร กุญแจสำคัญ ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้บริจาคนั้น พบว่ามีตัวตนอยู่จริง และเป็นสมาชิกสมาคมชาวพัทลุง โดยนายวิเชนให้ข้อมูลว่า สมาคมบริจาคสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยเป็นประจำ การซื้อปลากระป๋องได้เลือกแล้วว่าเป็นสินค้าได้รับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อย.) จึงไม่ทราบว่าจะมีปัญหาปลากระป๋องเน่า และยืนยันว่า ต้องการช่วยเหลือชาวพัทลุงด้วยความบริสุทธิ์ใจ


นางกานดา กล่าวด้วยว่า ระหว่างนี้ได้นำผลสรุปของคณะกรรมการทั้งชุด ให้คณะกรรมการแต่ละคนพิจารณาอีกครั้ง ก่อนนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับทราบ และแถลงยืนยันอีกครั้ง คาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า

ผมสรุปให้ครับ ว่าเป็นความผิดของปลากระป๋องแน่ๆ
      บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #480 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 18:39:23 »

ม่าย,
ผู้ผลิตปลากระป๋องดิ!
ยกเลิก lotผลิต,เรียกออกจากชั้นวางขาย...ด่วน!


p.nn
      บันทึกการเข้า


ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #481 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2552, 16:36:16 »

อย่าว่าแบ่งภาคอะไรกันเลยนะ..

แต่สงสัยมากๆ ว่าจากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อไทยชนะขาดในเหนือ และอีสาน ผมสงสัยครับ

1. เค้าเลือกเพื่อไทย เพราะเค้ารักทักษิณ แต่เค้าไม่ได้สนใจเรื่องเมื่อเดือน เม.ย. ที่วุ่นวายกันใช่รึเปล่า ทั้งๆที่รู้ว่าทักษิณปลุกม๊อบเสื้อแดงตอนเดือน เม.ย.

2.เค้ารักทักษิณ ทั้งๆที่เสื้อแดงทำการจาบจ้วงสถาบันหลายครั้ง ทั้งจากการที่สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศช่วงเดือน เม.ย. แสดงว่า เค้าสนใจแค่ทักษิณแต่ไม่สนใจเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันเลยใช่หรือไม่

3.แสดงว่า เค้าดูแค่เรื่องที่เค้าสนใจเรื่องเดียว ไม่ได้ดูภาพรวมทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ ไม่ว่าทักษิณจะทำอะไร เค้าก็ยังรักอยู่ตลอดไป

4. ถ้าข้อ 3 ใช่ แสดงว่า ถ้าเลือกตั้งคราวหน้า เพื่อไทยชนะเพราะฐานคะแนนเหนือกับอีสานเยอะกว่า ได้ สส. มากกว่า แล้วเราจะบริหารประเทศกันยังไง เพราะเพื่อไทยก็ตั้งป้อมแล้วว่า จะแก้รัฐธรรมนูญให้ทักษิณไม่ผิด กลับบ้านได้ ไม่ถูกยึดทรัพย์
(ทั้งๆที่เห็นอยู่ชัดๆว่า แจ้งทรัพย์สินไม่ครบ เงินอยู่นอกประเทศมากมายที่ไม่ได้แจ้ง ปปช.)แล้วอีกฝ่ายจะเอายังไง

5.ว้าเหว่เหลือเกินครับ..ส่วนตัวผมเองตอนนี้ก็รู้แค่ว่า ทักษิณไม่มีความชอบธรรม ไม่สง่างาม ถ้าจะกลับมาทำงาน เพราะเค้าก็ผิดอยู่หลายเรื่องเหลือเกิน เก่งก็เก่ง แต่ก็ทำเรื่องที่ไม่สมควรก็เยอะ แต่ถ้าเลือกตั้ง แล้วคนจำนวนมากอยากให้ทักษิณกลับ แล้วเราจะยึดหลักอะไรครับคราวนี้..
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #482 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2552, 17:06:12 »

^
^
ข้อ 1 ถึง 4 ผมว่ามาคุณมาถูกทางแล้ว
เหอๆๆๆ
(หัวเราะร่าน้ำตานอง)
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #483 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2552, 20:45:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ ppornson เมื่อ 30 มิถุนายน 2552, 16:36:16
อย่าว่าแบ่งภาคอะไรกันเลยนะ..

แต่สงสัยมากๆ ว่าจากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อไทยชนะขาดในเหนือ และอีสาน ผมสงสัยครับ

1. เค้าเลือกเพื่อไทย เพราะเค้ารักทักษิณ แต่เค้าไม่ได้สนใจเรื่องเมื่อเดือน เม.ย. ที่วุ่นวายกันใช่รึเปล่า ทั้งๆที่รู้ว่าทักษิณปลุกม๊อบเสื้อแดงตอนเดือน เม.ย.

2.เค้ารักทักษิณ ทั้งๆที่เสื้อแดงทำการจาบจ้วงสถาบันหลายครั้ง ทั้งจากการที่สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศช่วงเดือน เม.ย. แสดงว่า เค้าสนใจแค่ทักษิณแต่ไม่สนใจเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันเลยใช่หรือไม่

3.แสดงว่า เค้าดูแค่เรื่องที่เค้าสนใจเรื่องเดียว ไม่ได้ดูภาพรวมทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ ไม่ว่าทักษิณจะทำอะไร เค้าก็ยังรักอยู่ตลอดไป

4. ถ้าข้อ 3 ใช่ แสดงว่า ถ้าเลือกตั้งคราวหน้า เพื่อไทยชนะเพราะฐานคะแนนเหนือกับอีสานเยอะกว่า ได้ สส. มากกว่า แล้วเราจะบริหารประเทศกันยังไง เพราะเพื่อไทยก็ตั้งป้อมแล้วว่า จะแก้รัฐธรรมนูญให้ทักษิณไม่ผิด กลับบ้านได้ ไม่ถูกยึดทรัพย์
(ทั้งๆที่เห็นอยู่ชัดๆว่า แจ้งทรัพย์สินไม่ครบ เงินอยู่นอกประเทศมากมายที่ไม่ได้แจ้ง ปปช.)แล้วอีกฝ่ายจะเอายังไง

5.ว้าเหว่เหลือเกินครับ..ส่วนตัวผมเองตอนนี้ก็รู้แค่ว่า ทักษิณไม่มีความชอบธรรม ไม่สง่างาม ถ้าจะกลับมาทำงาน เพราะเค้าก็ผิดอยู่หลายเรื่องเหลือเกิน เก่งก็เก่ง แต่ก็ทำเรื่องที่ไม่สมควรก็เยอะ แต่ถ้าเลือกตั้ง แล้วคนจำนวนมากอยากให้ทักษิณกลับ แล้วเราจะยึดหลักอะไรครับคราวนี้..

ฟังกระแสแล้วเซ็ง...อยากจะร้องเพลงเชียร์เพลงนึง...
แกลบ มั้ยครับแกลบ  กินมั้ยครับ จะหมดรึยัง แกลบ?
พลังง่าวของกลุ่มคนนิยมบริโภคแต่แกลบ(ที่สามเกลอหัวหน่าวมันป้อนอยู่) มันยิ่งใหญ่เหลือคณานับ -_-"

พวกมันคิดได้แค่นี้จริงๆ > ว่าทักกี้คือ "ตัวประชาธิปไตย"
      บันทึกการเข้า

...
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #484 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2552, 20:57:46 »

ขอเว้ากันแบบเถื่อนๆเลยม่ะ...อยากแยกเขตปกครองเลยม่ะ?  สำหรับพวกที่คลั่งไคล้ทักกี้ จนยอมละเมิดกติกา
แม้แต่ยอมไปเข้ากับพวกจาบจ้วงสถาบันฯ บางตัว
เอาภาคเหนือ ภาคอิสาน ให้ทักกี้ดูแลพวกเอ็งเลยม่ะ? อยากรู้ว่าจะมีปัญญาเลี้ยงพวกเอ็งได้อีกนานแค่ไหน ถุยส์!
ทางออกทะเลก็ไม่มี! รายได้หรือภาษีก็ไม่ได้มากมาย เมื่อเทียบกับภาคกลาง+ภาคใต้
ทักกี้จะเอาอะไรมาเลี้ยงพวกเอ็ง? เพราะทักกี้ไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจพึ่งตัวเองเลยสักนิดเดียว!

ส่วนภาคกลาง+ภาคใต้ อยู่ได้แน่นอน! อาจจะติดขัดตอนแรกๆบ้าง ที่ไม่มีภาคแรงงานจากสองภาคข้างบนมาทำ...แต่อีกเดี๋ยวเค้าก็จ้างแรงงานจากพม่ามาช่วยแทนได้ ไม่เห็นต้องง้อฐานเสียงของคนหน้าเหลี่ยมเลยว่ะ!
อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ไอ้พวกกระบือแดง!
ปล.อย่าหาว่าผมดูถูกคนเหนือหรืออิสาน  เพราะผมเพ่งเล็งเฉพาะพวกที่บูชาทักกี้จนไม่แยกแยะผิดถูก!
      บันทึกการเข้า

...
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #485 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2552, 08:29:24 »

นั่นะล่ะครับประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึง กลายเป็นคนอีสานถูกคนภาคอื่นๆดูถูก(พูดถึงในเวบอื่นๆนะ) โดนด่าเสียๆหายๆเลย

แต่แบ่งแยกการปกครองไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นข้อในรัฐธรรมนูญข้อแรกๆเลย..

เค้าพูดกันว่า คนอีสานรักคนที่เอาเงินมาให้เค้า มาทำให้เค้ากินอยู่ดีขึ้น เค้าไม่สนใจหรอกว่าคนนั้นจะเป็นใคร ได้เงินมายังไง เพราะภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกทิ้งมานาน(จริงๆกรูว่ามันก็ถูกทิ้งพอๆกันนะ แต่อยู่ที่ สส. ของแต่ละพื่นที่มากกว่า)

2 ข้อที่ทักษิณจะต้องทำคือ ไม่ติดคุก และ ไม่โดนยึดทรัพย์..แต่นึกไม่ออกจริงๆว่าจะทำได้ยังไงนอกจากเค้าจะต้องเป็นรัฐบาลและเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหรือการปกครองเลยด้วยซ้ำ เพราะหลักนิติรัฐจะเอามาใช้ไม่ได้เลย
      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #486 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2552, 10:09:38 »

อิ อิ ผมคนอิสานนะ เป็นหลานชาวนาด้วย ...

คนอิสานต้องการคนช่วยเรื่องปรับมุมมองความคิดอีกหน่อยครับ

จากเดิม คนที่มีเงินมาก มีตำแหน่งงานสูง เป็นคนที่มีบุญบารมีมาก

เป็น คนที่มีเงินที่ได้มาอยากถูกต้อง มีตำแหน่งงานสูงด้วยความสามารถ  เป็นคนที่มีบุญบารมีมาก
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #487 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2552, 16:05:47 »

จริงๆรัฐธรรมนูญแก้ได้ครับ(แม้แต่เรื่องระบบการแบ่งเขตปกครอง)  ถ้ามีเหตุผลหนักแน่นพอ แต่ที่สำคัญคือ เสียงส่วนใหญ่ในสภาจะตอบรับหรือเปล่า?
เดาว่าถ้าสมมติ ผมเป็นนายกฯ แล้วจะเอาเรื่องนี้เข้าสภา? พวก สส.ฝ่ายตรงข้ามมันต้องปลุกระดมคนมาต่อต้านผมแน่นอน หาว่าจะแบ่งแยกประเทศ
(จริงๆแล้วก็คือ เพราะพวกมันเสียผลประโยชน์)
แล้วแถมยังเป็นประเด็นที่คนไทยส่วนใหญ่(ที่ยังไม่เข้าใจระบบรัฐศาสตร์) อ่อนไหว(คล้ายๆประเด็นศาสนา) คือกลัวประเทศถูกแยก? แต่จริงๆผมแค่คิดว่า จะทำยังไงให้พวกฐานเสียงพรรคเพื่อทุย มันหูตาสว่าง...ก็ต้องให้มันสัมผัสด้วยตัวเอง ว่าเงินช่วยพวกเอ็งไม่ได้เลย ถ้าเอ็งไม่รู้จักพึ่งพาทรัพยากรณ์ที่มีอยู่จริงในพื้นที่...ต้องให้มันรู้รสชาติของความขัดสนจริงๆซะ

ตอบน้องชาร์ป...พี่ก็เชื่อว่า จริงๆแล้ว คนอิสาน พึ่งตัวเองได้!
(เคยทำงานที่นั่นมา)
เพียงแต่ตอนนี้ หลายคนไม่คิดจะพึ่งตัวเอง  ทุกวันนี้ชาวนาหลายคนไม่ได้อยู่ในสภาพหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน เหมือนแต่ก่อนแล้วครับ
เค้าจ้างรถไถกันแล้ว(ซึ่งผมก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ใครก็ไม่อยากลำบาก) แต่บางอย่างมันก้เกินไปจริงๆ เช่นยาฆ่าหญ้าเนี่ย แห่กันใช้เข้าไป (ตามกระแสรึเปล่า)สิ้นเปลืองเงินทองไปเท่าไหร่ แถมชาวนาหลายรายยังโดนพิษยาตัวเองเข้าให้ จนต้องมา Admit โรงบาลบ่อยๆ...ทั้งที่บางคนที่ไม่ใช้ยานี้ ผลผลิตของเค้าก็ไม่ได้น้อยลงฮวบฮาบจนขาดทุนซะเมื่อไหร่(แถมยังลดต้นทุนได้มากอีก แม้ผลผลิตจะลดไปบ้าง)

จริงๆแล้ว คนอิสานไม่ได้เกียจคร้านเลย แต่จากที่สังเกต ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเก็บออม หรือวางแผนระยะยาวครับ  gek
บางที พวกนี้อาจจะเหมาะสมกับวิถีชีวิตแบบคนลาว ก็ได้นะ?(แค่ตั้งข้อสงสัย) คือควรจะอยู่โดยไม่มีทุนหรืออำนาจรัฐเข้ามาแทรก ตามวิถีธรรมชาติไปเรื่อยๆ ทำไมคนลาวเค้าอยู่ได้ล่ะ? ไม่ต้องมีเงินมากมาย? แล้วพวกคนอิสาน(ที่เป็นฐานเสียงทักกี้) จะเป็นจะตายเลยเหรอ? ถ้าไม่ได้ทุนจากไอเหลี่ยมน่ะ หือ?

สังเกต โครงการในพระราชดำริ ดูดิ  ทำไมแต่ละโครงการ จะเน้นการบริหารทรัพยากรณ์ แต่ไม่เน้นทุนที่เป็นตัวเงินมากนัก
ทั้งที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็มีมากอยู่?  ก็เพราะตัวเงินมันเป็นสิ่งที่มีมูลค่าไม่แน่นอน มันบริโภคไม่ได้จริงๆ
เห็นได้ชัดๆจากโมเดลเศรษฐกิจของอเมริกา เมื่อไม่กี่ปีมานี้ยังเฟื่องฟู ทำไมมาตอนนี้ตกฮวบฮาบ
      บันทึกการเข้า

...
mmwindoo_79
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 254

« ตอบ #488 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2552, 23:33:58 »

เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริงครับพี่น้อง

คงลืมกันไปแล้วว่า ก่อนหน้าไอ้เหลี่ยมจะมา โคตรพ่อโคตรแม่ก็ทำมาหากินกันได้
แต่พอโดนฤทธิ์การตลาด และโฆษณาชวนเชื่อ ก็หลงงมงายว่าไอ้เหลี่ยมเอาเงินมาแจกจนตั้งตัวได้ ทั้งๆที่มันเอามาให้แค่เงินซื้อเสียง กับเงินลงทุนท้องถิ่นที่สุดท้ายก็กลับเข้ากระเป๋านายทุน
และทั้งๆที่ แม่มทำมาหากินได้เท่าเดิมๆที่ผ่านมา ต่างกันตรงไหนวะ เห็นพวกมรึงก็จนเท่าเดิม?

สรุปว่า พี่น้องรากหญ้าของเรา
1. ความจำสั้น แต่งมงายกันยาว
2. ชอบอะไรง่ายๆ แต่ไม่อิ่มท้อง เช่น เงินซื้อเสียงที่รับ120บาทต่อการเลือกตั้ง1ครั้ง
ดีที่หลังๆนี่ เลือกตั้งบ่อย เฉลี่ย3ปี ได้ตังค์จากการขายเสียงประมาณ2หน อิ่มทิพย์จนหลงรักตายแทนกันได้ซะงั้น
ซึ่งทำให้ได้ข้อสุดท้าย คือ
3. แม้จะมักง่าย แต่ก็มักน้อย ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีกแล้วนอกจากเศษเงินจิ๊บจ๊อยจากไอ้เหลี่ยม เอาประเทศไปแลกก็ได้ คิดไม่แพง
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #489 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2552, 16:48:12 »

เอ่อ...ไอ้สามเกลอหัวหน่าวครับ  พวกมรึงมีสิทธิ์อะไรมาขอให้เบื้องบนพระราชทานอภัยโทษให้ทักกี้ครับ?  เตือน
ตามกฏหมายแล้ว พวกมรึงต้องให้คุณเหลี่ยมมาเสนอขอเองนะครับ ไม่มีสิทธิ์เอามวลชน มากดดันสถาบันฯ
ไอ่สมุนควายแดงพวกนี้ก็เหลือเกินจริงๆ  พวกมรึงโดนหลอกมากี่ครั้ง มรึงไม่เข็ดเลยเหรอครับ?
ตอนช่วงสงกรานต์ ปูชนียบุคคลของพวกคุณมรึง โฟนอินบอกว่าจะกลับมาช่วย ถ้ามีเสียงปืนดังขึ้นใช่มั้ยครับ? แล้วตอนนี้มันกลับมาช่วยคุณมรึงรึยังครับ?
จนป่านนี้พวกคุณมรึง ยังยอมให้โดนหลอกมาอีกแล้วเหรอครับ?
พวกคุณมรึงเสื้อแดงเคยด่าสนธิลิ้ม ม่ะใช่เหรอ ตอนที่ลิ้มขอมาตรา 7 น่ะ?
แต่ตัวเองกลับทำในสิ่งที่ตัวเองเคยประณามไว้ แบบนี้เรียกว่าแหลคูณสอง ใช่ป่ะ?
นี่ยังสงสัยว่า ถ้าเบื้องบนไม่ทำตามข้อเรียกร้อง  พวกมันจะทำอะไรห่ามๆออกมาอีกรึเปล่า? แบบอีดาน่ะ น่ากลัวจริงๆ
      บันทึกการเข้า

...
Tritti_83
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,481

เว็บไซต์
« ตอบ #490 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2552, 08:47:10 »

ผมขอเสนอทางแก้นึงนะครับเรื่องคนอีสานหรือคนภาคไหนก็ตามผมว่าต้องแก้ด้วยการปรับปรุงการศึกษาครับ สอนให้คนรู้ว่าจะพึ่งตัวเองได้อย่างไร วางแผนอนาคตให้ตัวเองอย่างไร ต้องออมอย่างไร และที่สำคัญที่สุดทัศนคติต่อตนเองและสังคมโดยเฉพาะการคิดต่อส่วนรวมผมชอบที่ฮิลลาลี่ ตอบคำถามว่าทำไมถึงทำงานกับโอบามาได้ทั้งที่เป็นคู่แข่งกันมา ฮิลลาลี่ตอบว่าประธานาธิบดีก็คือประธานาธิบดีเมื่อจบการแข่งขันเราก็ต้องจบและเมื่อถูกขอร้องให้ทำหน้าที่เพื่อชาติเราก็ต้องหันมาร่วมกันทำเพื่อชาติ นี่คือทัศนคติที่เค้าถูกปลูกฝังมา ผมว่าคนไทยน่าจะเก็บมาคิดกันสักนิดนะครับอะไรคือประโยชน์ของชาติ
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #491 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552, 06:55:04 »

ไม่ต้องมาหาเหตุผลกับพวกนักการเมืองหรอกครับ
พวกแมร่งไม่เคยสนใจอยู่แล้ว....
      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #492 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552, 09:23:55 »

นักการเมือง นี้ชั่วสุด ๆ จริง ๆ
หนีมานนอนเล่นที่บ้านนอก
พ่อเล่าว่า มีงบประมาณลงมาให้โรงเรียน แต่ไม่ได้มาเป็นเงินก้อนนะ มาเป็นของ แล้วให้โรงเรียนเซ็นต์รับ  โดยมีบริษัทข้างนอกดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งของที่ได้กับมูลค่า มันต่างกันลิบลับเลย ...
อย่างโรงเรียนพ่อผมได้เต้นท์  ราคาตลาดราคา 3-4 หมื่นบาท  แต่มูลค่าที่รับุในหนังสือโครงการนี้เป็นแสนเลยพราน้อง

พ่อผมไม่เซ็นต์รับ สส. แมร่งก็เรียกไปว่า ทำไมอุตส่าห์หางบลงมาให้ ยังไม่รับอีก ... สุดตรีน จริงๆ

ใครก็ได้ หาทางแฉเรื่องพวกนี้หน่อย  มันเป็นกระบวนการเลย ... สส.นี้แหละ...วนนุส จริง ๆ

กู้เงินน่ะ ok แต่มาทำอย่างนี้นะ พรบ. กู้เงินอีก 4 แสนล้าน อย่าให้ผ่านเลย
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #493 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552, 09:49:07 »

โคตรโกงจริงๆ ทำไงดี
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #494 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552, 10:05:49 »

จริงๆแล้วมันไม่ใช่นักการเมืองอย่างเดียวหรอก มันเป็นขบวนการแก้จน(ของมันเอง)น่ะ ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ รัฐมนตรี สส.ผู้ว่าฯ(ด้วยนะ ผมต้องเอาเงินให้มันมาแล้ว เพราะไม่งั้นมันไม่ยอมเซ็นต์) ไล่ลงมายันกำนันผู้ใหญ่บ้าน เกลี้ยงครับ ขอบอก

แต่นักการเมืองสามารถเป็นหัวหอก(หรือตอนนี้อาจเป็นไอ้หอก) ได้ครับ ที่จะป้องกันเรื่องแบบนี้ เงินงบประมาณนี้รั่วไหลเยอะมากครับ
      บันทึกการเข้า
หลิม 81
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,840

« ตอบ #495 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552, 13:33:19 »

ให้พวกนักการเมืองติดไข้หวัด 2009 ให้หมด มันจะได้หยุดงาน 15 วัน ไอ้ 15 วันนี่แหละผมว่าประเทศจะลดการคอร์ปรับชั่นได้หลายพันล้าน เป็นการสร้างรายได้ให้ประเทศด้วยครับ....

สุดท้ายโครงการต่าง ๆ ไม่ต้องเดิน ประเทศมีรายได้เพิ่มครับ..
      บันทึกการเข้า

@ ปีนี้ปีของผม @
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #496 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2552, 01:35:16 »

555....เฮ้ยยย... คอรัปชั่น ทั้งรัฐและเอกชน... แย่จัง....(เริ่มเหมือนเป็นมือปราบจับทุจริตยังงัยก็ไม่รู้...ไปไหนก็เจอที่นั่น...แย่จัง...ความถูกต้องอยู่หนใด นอกจากอยู่ที่ใจ....)

อ้อ เห็นกระทู้โต้ง ถามว่าคนอีสานจำไม่ได้หรอว่าเหตุการณ์เดือนเมษานั้นเกิดอะไรขึ้น.... จากการพูดคุย...เค้าจำไม่ได้ครับ เพราะว่าช่วงนั้น เค้าไม่ได้ดูโทรทัศน์หรือติดตามข่าวสารกัน... เพราะว่าส่วนใหญ่ติดการเล่นสงกรานต์และงานสังสรรค์รวมหมู่ญาติกัน.(เมาอ่ะครับ)....และถึงแม้จะได้ยินข่าวบ้าง แต่กว่าเค้าจะกลับมาดูก็หลังเหตุการณ์รุนแรงแล้วครับ..ข่าวก็นำเสนอน้อยลง....จึงเสมือนว่าเค้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ.....(ไม่ได้แก้ตัวแทนนะ....แต่ว่าพี่สงกะสัยเหมือนกัน เลยถามคนอีสานที่ได้บังเอิญผ่านมารู้จักน่ะ...)  หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #497 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2552, 02:04:09 »

ผมก็คน อิสาน นะ ....
เพียงแต่ว่าหน้าตาดีผิดปกติ เท่านั้นเอง อิ อิ
      บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #498 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2552, 14:38:54 »

 win
เฮ้อ เมื่อไหร่จะจบเทศกาลกีฬาสีแห่งชาติซะที
ไหนจะนิทรรศการ เก้าอี้ดนตรี กรมตำรวจ





ประเวศ วะสี เสนอ 5 ข้อวิธีป้องกันไทยมิคสัญญีกลียุค

หวั่นใกล้วงจรจลาจลเช่นหลายชาติฆ่ากันตายเป็นเบือ เสนอ ๕ข้อป้องกันกลียุค-ปฏิรูปเมืองไทยไปพร้อม เน้นยกสถาบันกษัตริย์-แยกทักษิณจากสมการขัดแย้ง

สังคมไทยวิกฤตสุด ๆ ทุกด้าน และเข้าไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองจนสุดทางไป เมื่อหมดทางไปก็จะเกิดสงครามกลางเมือง อย่างที่เคยเกิดมาในประวัติศาสตร์ของชาติต่าง ๆ

ในยุโรปเมื่อ ๔๐๐ ปีมาแล้วเกิดสงคราม ๓๐ ปีบ้านแตกสาแหรกขาด ล้มตายกันเป็นเบือ ในสหรัฐอเมริกาเหนือ-ใต้ ตกลงกันไม่ได้เกิดสงครามกลางเมืองคนตายไป ๖๐๐,๐๐๐ คน ที่ศรีลังกาการสู้รบระหว่างทมิฬและสิงหลเกือบ ๓๐ ปีผู้คนล้มตายไปหลายหมื่นคน

"รวันดา" ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าฮูตู กับ ทุตซี นำไปสู่การสังหารผู้คนประมาณ ๙๐๐,๐๐๐ คน ภายใน ๓ เดือน
 ยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากที่ความติดขัดทางประวัติศาสตร์ ต้องนำไปสู่การตายของคนจำนวนมาก จึงสามารถหลุดไปสู่จุดลงตัวใหม่ได้

สังคมไทยมีความขัดแย้งในตัวเอง ที่เรียกกันว่าความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง และพยายามดิ้นรนหาจุดลงตัวมากว่า ๑๐๐ ปี ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ผ่านการนองเลือดมาก็หลายครั้ง เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ กับ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายกองทัพกับฝ่ายประชาธิปไตย มีพระเจ้าอยู่หัวทรงมาไกล่เกลี่ยก็ระงับไปได้

แต่เป็นการระงับตามอาการ ไม่ได้ระงับต้นเหตุ โรคก็คงคุกรุ่นลุกลามขยายตัวมาเป็นความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งซับซ้อนกว่าเดิม ไม่มีใครไกล่เกลี่ยได้ สถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเคยเป็นศูนย์รวมใจ และทรงศักย์ในการไกล่เกลี่ย ก็ถูกดึงเข้ามาสู่ความขัดแย้งและเป็นเป้าของการถูกโจมตีท่ามกลางการต่อสู้ในปัจจุบันด้วย

ท่ามกลางวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน ที่ไม่มีใครฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขหรือเอาชนะได้ สังคมไทยจึงมาจ่ออยู่ที่ทางสองแพร่ง ทางหนึ่งคือไปสู่มิคสัญญีกลียุค ฆ่าฟันล้มตายกันเป็นเบือ อีกทางหนึ่ง เมื่อไม่มีทางไปในระนาบเดิมแล้ว สังคมไทยสามารถยกระดับออกจากภพภูมิเดิม ไปสู่จุดลงตัวใหม่ ที่สังคมไทยจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ เราไม่มีทางถอยไปสู่สภาพเก่า เพราะสภาพเก่าเป็นเหตุปัจจัยให้คนไทยขัดแย้งจนแทบจะฆ่ากันตายในวันนี้

สังคมไทยควรถือโอกาสที่มีสภาวะวิกฤตอย่างไม่มีทางออกในสภาพเดิม เปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปประเทศไทยไปสู่จุดลงตัวใหม่ในภูมิที่สูงขึ้น

ต่อไปนี้ คือข้อเสนอ ๕ ประการในการป้องกันมิคสัญญีกลียุค และปฏิรูปประเทศไทยไปสู่การลงตัวในระนาบใหม่

๑.การป้องกันความรุนแรงเฉพาะหน้า
 ความขัดแย้งไม่สามารถระงับดับลงได้ในเร็ววัน เรื่องเฉพาะหน้าจึงมีประการเดียวเท่านั้น คือ ป้องกันความรุนแรงอย่าให้ฆ่ากันตาย จะทะเลาะทุ่มเถียงชุมนุมเดินขบวนอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้เกิดความรุนแรง สังคมไทยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ต้องการความรุนแรง และมองในแง่ดี สังคมไทยมีจุดแข็งตรงนี้ ทั้งๆ ที่มีคนพยายามจุดชนวนให้เกิดการจลาจลหลายครั้ง ทั้งเมื่อ ๗ ตุลาคม ในการประชุมอาเซียนที่พัทยา ในเหตุการณ์สงกรานต์เลือด และในการยิงสนธิ คนไทยก็ไม่บ้าคลั่งก่อจลาจลเผาผลาญบ้านเผาเมือง เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ

นี่เป็นจุดที่เจริญของคนไทย ใครก่อความรุนแรง ความชอบธรรมจะลดลงในสายตาของสาธารณะ และต้องนอนเลียแผลกันอยู่ หรือรับกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง นับตั้งแต่กรณีฆ่านักศึกษากลางเมืองอย่างทารุณเมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เรื่อยมาจนถึงพฤษภามหาวิปโยค และกรณียิงสนธิเมื่อ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๒

ทุกฝ่ายต้องระลึกรู้ "การฆ่าคนแล้วไม่บาปไม่มี" จะขัดแย้งกันอย่างไรๆ ก็จะฆ่ากันไม่ได้ สังคมต้องเข้ามาช่วยกันป้องกันความรุนแรง สังคมควรจะเข้ามาร่วมกำหนดและกำกับกรอบ กติกา และกลไก ที่จะป้องกันความรุนแรง ทั้งนี้เพื่อให้เวลาประเทศไทยในการเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดลงตัวใหม่

๒."ยก"สถาบันพระมหากษัตริย์ และ"แยก"คุณทักษิณออกจากสมการความขัดแย้ง
 สังคมก็เช่นเดียวกับบุคคล เมื่อเกิดความรุนแรงแล้วจะปิดการรับความจริง เมื่อไม่รู้จักและใช้ความจริงก็ไม่มีทางออกด้วยสันติวิธี

ในขณะนี้จุดเร้าอารมณ์รุนแรงมีอยู่ ๒ จุด คือ จุดหนึ่งอยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ อีกจุดหนึ่งอยู่ที่คุณทักษิณ คุณทักษิณจะดีชั่วอย่างไรหรือเพราะอะไรก็ตาม เป็นจุดแตกแยกใหญ่ที่มีคนรักจำนวนมากและคนเกลียดจำนวนมาก ข้างละเป็นล้านๆ คน รักก็รักสุดๆ เกลียดก็เกลียดสุดๆ  ขนาดทำอย่างไรกูก็ไม่ยอมแม้นแผ่นดินกลบหน้าก็ตาม

การที่จะแก้วิกฤติได้จึงต้องแยกจุดเร้าอารมณ์ทั้งสองจุดออกจากสมการความขัดแย้ง คือ

หนึ่ง ต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง เลิกกล่าวหาใครว่าไม่จงรักภักดี หรือกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกันง่ายๆ ไม่กระทำการใดๆ ที่ดึงสถาบันเข้ามาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ในท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองทุกวันนี้ ทุกฝ่ายลำบากหมด รวมทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วย

พระมหากษัตริย์จะมั่นคงปลอดภัยต่อเมื่อบ้านเมืองมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่ประเทศอังกฤษเริ่มต้นก็เป็นการต่อสู้กันระหว่างกษัตริย์กับฝ่ายประชาธิปไตย แต่เมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย แล้วสถาบันกษัตริย์ก็มั่นคง พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษหลายพระองค์ก็ไม่ใช่คนเก่ง หรือบางพระองก็ไม่ใช่คนดีเสียด้วยซ้ำไป แต่บ้านเมืองก็อยู่ได้ เพราะในระบอบประชาธิปไตย ผู้คนอันหลากหลายช่วยกันประคับประคองบ้านเมือง ถ้าคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินต้องเป็นคนดีและคนเก่ง ก็จะเครียดมาก เพราะเป็นเรื่องที่พยากรณ์ไม่ได้ เราต้องการความคิดใหม่ สัมพันธภาพใหม่ ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมประชาธิปไตย

สอง ต้องไม่ดึงคุณทักษิณเข้ามาสู่เกมการต่อสู้ ซึ่งจะสาหัสและบอบช้ำมาก และไม่มีใครชนะ มีคนต้องการใช้คุณทักษิณเป็นเครื่องมือด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน จึงเป็นเรื่องของคุณทักษิณจะต้องตัดสินใจด้วยตนเอง ว่าจะยุติเกมการต่อสู้หรือไม่ คุณทักษิณสามารถเปลี่ยนจากยุทธศาสตร์การต่อสู้ ซึ่งจะก่อมิคสัญญีกลียุค ไปสู่ยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ได้ ซึ่งจะกล่าวต่อไป ถ้าคุณทักษิณปรับไปสู่ยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ จะเปิดทางออกให้คุณทักษิณอย่างหลากหลาย สังคมไทยจะได้เรียนรู้ความยุติธรรมเชิงฟื้นฟู (Restorative Justice) ความยุติธรรมไม่ได้มีแต่ความยุติธรรมเชิงตัดสินเท่านั้น ซึ่งมักแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนไม่ได้ ต้องใช้ความยุติธรรมเชิงพื้นฟูบูรณะด้วย

๓. เหลือทางไปทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะต้องมีเป้าหมายร่วมกัน
 จากการดิ้นรนต่อสู้ในทางการเมืองกันมากว่า ๑๐๐ ปี และเลือดตกยางออกกันมาหลายครั้ง ได้ให้บทเรียนแล้วว่าสังคมไทยปฏิเสธอะไรและต้องการอะไร เช่น
 (๑) เราไม่สามารถกลับไปเป็นระบอบราชาธิปไตยได้
 (๒) เราไปเป็นระบอบคอมมูนิสต์ไม่ได้
 (๓) เราไปเป็นระบอบเผด็จการทหารไม่ได้
 (๔) การปฏิวัติรัฐประหารแก้ปัญหาของประเทศไม่ได้
 (๕) ระบอบการเลือกตั้งแบบใช้เงินซื้อเสียง แล้วเข้ามาโกงกินกัน แก้ปัญหาประเทศ ไม่ได้
 (๖) ระบอบการปกครองแบบอำนาจรัฐรวมศูนย์แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ และก่อให้เกิดความรุนแรง
 (๗) ระบบความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรมแก้ปัญหาประเทศไม่ได้
 (๘) การขาดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมก่อให้เกิดความขัดแย้งและรุนแรง
 ฯลฯ ท่านอาจจะเติมต่อลงไปได้อีกหลายข้อ

บทเรียนว่าทางไหนๆ ก็ตีบตัน จึงเหลือทางไปทางเดียวเท่านั้น คือประชาธิปไตยที่แท้ หรือประชาธิปไตยที่เป็นธรรม ไม่ใช่ประชาธิปไตยปลอมๆ และต้องเป็นประชาธิปไตยที่สามารถแก้ปัญหาของคนยากจน และสร้างความเป็นธรรมได้

เราไม่มีทางออกอย่างอื่นเลย ฉะนั้นจะสังเกตว่าแม้ฝ่ายที่ขัดแย้งกันก็ใช้คำว่าประชาธิปไตยเหมือนกัน เช่น พันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) - แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ลูกศิษย์อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ก็ชู “ปฏิวัติประชาธิปไตย” มานานแล้ว เมื่อก่อนก็มีทหารประชาธิปไตย

จึงเหลือประชาธิปไตยทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นทางไปร่วมกัน แทนที่จะตีกันตาย ฝ่ายต่างๆ น่าจะมาร่วมกันขับเคลื่อนประชาธิปไตยที่ถูกต้องเป็นธรรม ถ้ามีเป้าหมายร่วมกันก็จะเกิดพลังแห่งสันติวิธีอันมหาศาล

๔. ร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย

เรามักมองการเมืองแบบแยกส่วน การปฏิรูปการเมืองที่ทำกันมาจึงไม่ได้ผล ในสังคมที่เชื่อมโยงซับซ้อนและมีหลายมิติ จนเป็นระบบซับซ้อน (Complex System) การทำให้เกิดสิ่งดี ๆ นั้นยากมาก ต้องทำหลายอย่างเชื่อมโยงกันทั้งเรื่องจิตสำนึก โครงสร้าง ระบบ การจัดการ ที่รวมเรียกว่าปฏิรูปประเทศไทย อย่างน้อย ๑๐ ด้านอย่างเชื่อมโยงกัน ซึ่งไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง องค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง สามารถทำได้ นอกจากทุกภาคส่วนจะต้องเข้ามาร่วมมือกัน จึงจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ จุดลงตัวในระนาบใหม่ ได้

ที่จริงประเทศไทยมีทรัพยากรประเภทต่างๆ อย่างมหาศาล และมีเรื่องดีๆ อยู่มาก มากพอที่จะสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ถ้าคนไทยเปลี่ยนมุมมอง และเปลี่ยนจินตนาการใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์ต่อสู้มาเป็นเกียร์การทำงานสร้างสรรค์ร่วมกัน การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากการต่อสู้อย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงเกิดจาการทำงานร่วมกัน เรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติได้ด้วย และได้อย่างดีด้วย

๕. สื่อสารสร้างสังคมใช้ความรู้และเหตุผล

สังคมไทยเป็นสังคมอำนาจมาแต่โบราณ จึงใช้อำนาจมากใช้ความรู้และเหตุผลน้อย การใช้ความรู้และเหตุผลน้อยทำให้ตีบตัน ขัดแย้ง และรุนแรง มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างเร่งด่วน ไปเป็นสังคมที่ใช้ความรู้และเหตุผล อะไรที่เร่งด่วนต้องใช้การสื่อสารอย่างทั่วถึง เครื่องมือสื่อสารมีมาก แต่ปัญญาในการสื่อสารมีน้อย เครื่องมือสื่อสารจึงถูกใช้ไปในทางผิดๆ ที่ทอนพลังสังคมและมีส่วนนำสังคมไปสู่วิกฤต

รัฐบาลควรจะเอาจริงเอาจังในยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดีในฐานะเป็นจุดคานงัดที่จะงัดสังคมออกจากวิกฤต ในยุทธศาสตร์นี้ต้องสร้างนักสื่อสารที่มีความรอบรู้มีวิจารณญาณว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรมีประโยชน์ อะไรมีโทษอย่างไร มีศิลปะในการสื่อสารที่ทำให้สาธารณะหันมาเห็นคุณค่าของการใช้ความรู้และเหตุผล

ผู้สื่อข่าวทั้งหมด หนุ่มเหน้า สาวสวย ดาราทั้งหลาย ควรจะได้รับการฝึกอบรมอย่างดีที่สุดให้เต็มตามศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สามารถสื่อสารอย่างมีเสน่ห์กินใจผู้คน ช่วยให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หนุ่มเหน้าสาวสวยและดาราถูกใช้ไปในการกระตุ้นกิเลศตัณหาเนื้อหนังมังสาอย่างน่าสลดใจ ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคน และศักยภาพในการสร้างสรรค์ของเขาเหล่านี้ ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดี คนหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็น กัลยาณโฆษก ของสังคม ที่ทำให้สังคมไทยสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งดีงามได้

เรื่องยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดีก็ดี เรื่ององค์กรการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ก็ดี ผมได้พูดมามาก แต่ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลจะตอบรับอย่างใดเลย ถ้าเรื่องใดดีแล้วรัฐบาลไม่ทำ สังคมก็ต้องนำการเมือง

คนไทยและสังคมไทยถูกมายาคติครอบงำ ให้ดูถูกตัวเองจนหมดแรง ที่จริงคนไทยและสังคมไทยมีอะไรดีๆ เยอะแยะทีเดียว เราต้องสลัดมายาคติออกไปเป็นอิสระ มีสำนึกในศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของเรา ใช้ศักยภาพในตัวเอง ป้องกันการตกเข้าไปสู่สภาพมิคสัญญีกลียุค ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ไปสู่จุดลงตัวใหม่ ที่คนไทยมีศานติสุขถ้วนหน้า

      บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #499 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2552, 07:45:31 »

^
^
ผมว่าจะหนีไปอยู่ในสวนแล้ว
แถวจันทน์ มีที่ขายซัก 2-3 ไร่ป้ะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 34  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><