เริง2520
|
|
« ตอบ #625 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 19:58:44 » |
|
เสือมเหศวร จอมโจรผู้คงกระพัน
เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ศวร เภรีวงษ์ เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจอมโจรชื่อดังในแถบภาคกลางหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สองร่วมสมัยกับ เสือดำ, เสือฝ้าย และเสือใบ โดยเสือมเหศวรแต่เดิมเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ถูกอำนาจรัฐรังแกและถูกใส่ความว่าฆ่าพ่อตัวเอง จึงจับปืนขึ้นต่อสู้และกลายมาเป็นจอมโจรชื่อดังในที่สุด โดยได้ชื่อว่า “มเหศวร” จากการแขวนพระเครื่องมเหศวรไว้ที่คอ ซึ่งได้ชื่อว่าช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย เคยโดนตำรวจยิงที่ลำตัวและศีรษะหลายนัดแต่ไม่เข้า คงกระพันชาตรี
เสือมเหศวร ถูกปราบโดยขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งขุนพันธ์ ฯ เป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้เสือมเหศวรมอบตัว หลังจากได้รับโทษในเรือนจำแล้ว เสือมเหศวรก็ได้บวชเป็นพระและบวชเป็นพราหมณ์มา แม้มีอายุกว่า 90 แล้ว แต่เสือมเหศวรก็ยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอยู่ และเป็นที่เล่าลือว่าเป็นบุคคลจอมขมังเวทย์ มีชาวบ้านและผู้ที่เชื่อถือแวะเวียยนมาพบปะพูดคุยเสมอ ๆ โดยล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 เป็นผู้ทำพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพรุ่นเซ็นเสือมเหศวรของวัดแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ด้วย
ปัจจุบันนายศวร เภรีวงษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม เสือมเหศวร อดีตจอมโจรชื่อดังในแถบภาคกลางได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อเวลา 06.15 น ของวันที่ 15 พ.ย. 57 ที่ผ่านมา รวมอายุได้ 101 ปี
|
|
|
|
Dtoy16
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424
|
|
« ตอบ #626 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 20:59:46 » |
|
น่าสนใจทีเดียวค่ะน้องเริง เรื่องราวของคนดัง สมัยเด็กผู้คนแถวบ้านเอ่ยชื่อเสือเหล่านี้ ยังรู้สึกกลัวรีบปิดประตูบ้าน ซึ่งกว่าจะปิดหมดก็หลายบานไม่เหมือนประตูสมัยนี้ มีเวลาต้องอ่านให้แม่ฟังคนรุ่นแปดสิบกว่า รู้จักค่ะ
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #628 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2558, 12:07:24 » |
|
ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 ทางจังหวัดพัทลุงมีโจรผู้ร้ายกำเริบชุกชุมขึ้นอีก ราษฎรชาวพัทลุงนึกถึงขุนพันธ์ฯ นายตำรวจมือปราบ เพราะเคยประจักษ์ฝีมือมาแล้ว จึงเข้าชื่อกันทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอตัวขุนพันธ์ฯ กลับพัทลุงเพื่อช่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย กรมตำรวจอนุมัติตามคำร้องขอ ขุนพันธ์ฯ จึงได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงอีกวาระหนึ่ง ได้ปราบปรามเสือร้ายที่สำคัญๆสิ้นชื่อไปหลายคน ผู้ร้ายบางรายก็หนีออกนอกเขตพัทลุงไปอยู่เสียที่อื่น นอกจากงานด้านปราบปรามซึ่งเป็นงานที่ท่านถนัดและสร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นพิเศษแล้ว ท่านยังได้พัฒนาเมืองพัทลุงให้เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยปรับปรุงชายทะเลตำบลลำปำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และให้มีตำรวจคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารรถไฟที่เข้าออกเมืองพัทลุง ทำให้เมืองพัทลุงในสมัยที่ท่านเป็นผู้กำกับการตำรวจ มีความสงบสุขน่าอยู่ขึ้นมาก ตำรวจที่ทำหน้าที่ดังกล่าวได้เลิกไปเมื่อกรมตำรวจจัดตั้งกองตำรวจรถไฟขึ้น ด้วยความดีความชอบในหน้าที่ราชการ ท่านจึงได้รับพระราชทานเลื่อนยศ เป็นพันตำรวจโทในปี พ.ศ. 2493 ท่านอยู่พัทลุงได้ 2 ปีเศษ จนถึง พ.ศ. 2494 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปี พ.ศ. 2507
ครั้งหนึ่งเคยมีคำขวัญอันคมคายของกรมตำรวจอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" นี่เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นในยุคอัศวินแหวนเพชรเฟื้อง ในสมัยของท่านอธิบดีฯ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ปกครองกรมตำรวจ วีรบุรุษผู้สร้างเกียรติประวัติให้กรมตำรวจนั้นมีอยู่มาก มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่ในยุคสมัยที่ท่าน อธิบดีกรมตำรวจหลวงอดุลย์เดชจรัสนั้น...นามของ"ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ระบือลือลั่นสุดยอดแผ่นดินด้ามขวานทอง แม้ท่านขุนพันธ์จะปลดเกษียณราชการไปนานปี แล้วก็ตาม แต่ชื่อของท่านยังอยู่ในความทรงจำของกรมตำรวจและประชาชนทั่วไป นั่นเป็นเพราะผลงานอันน่าอัศจรรย์ของท่าน กลายเป็นผลงานอันยากยิ่งที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนเมืองใต้และคนของแผ่นดิน
พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ที่บ้านในซอยราชเดช ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุได้ 103 ปี
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #629 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2558, 08:19:49 » |
|
มันมาแล้ว...เชียงตุง อีกไม่นาน
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ว่า บรัษัทโยมา สตราเตอจิค ตัวแทนบริษัทไก่ทอดเคนทัคกี หรือที่รู้จักกันในนามเคเอฟซี ประจำเมียนมาร์ เผยว่า เคเอฟซีเตรียมเปิดสาขาแรกในย่างกุ้งเร็วๆ นี้ และมีแผนจะขยายเพิ่มอีกหลายสาขาภายในสิ้นปี แต่ไม่ได้ระบุกำหนดการที่แน่นอน โดยนับเป็นบริการอาหารจานด่วนสัญชาติอเมริกันเจ้าแรกในเมียนมาร์
ปัจจุบันเคเอฟซีมีสาขาในประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 15,000 แห่ง ซึ่งหากเปิดสาขาในเมียนมาร์ได้ ลาวก็จะเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคเอฟซียังเข้าไปไมถึง แต่ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจฟาสต์ฟู้ดอเมริกัน ก็ก่อให้เกิดกระแสรณรงค์ปัญหาด้านสุขภาพจากพฤติกรรมการกินไปพร้อมๆ กัน
เมื่อต้นปี เคเอฟซีฟิลิปปินส์ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังเปิดตัว "ดับเบิล ดาวน์ ด็อก" หรือ ไส้กรอกที่ประกบด้วยไก่ทอดแทนขนมปัง แล้วราดด้วยซอสชีส ซึ่งผู้ผลิตชี้แจงว่าปริมาณแคลอรีของเมนูนี้ก็ไม่ได้มากไปกว่าดับเบิลชีสเบอร์เกอร์เลย
นับตั้งแต่เปิดประเทศเมื่อปี 2554 สินค้าต่างชาติรายใหญ่จำนวนมาก หลั่งไหลเข้ามาเปิดตลาดในเมียนมาร์ ซึ่งรวมถึงโคาคา-โคล่า เป็ปซี เชฟโรเลต และฟอร์ด แม้เคเอฟซีจะเป็นฟาสต์ฟู้ดอเมริกันเจ้าแรก แต่ก็ไม่ใช่ผู้บุกเบิกในวงการนี้ เพราะร้านเบอร์เกอร์สัญชาติเกาหลีใต้อย่าง "ลอตเตอเรีย" ได้เข้ามาบุกตลาดตั้งแต่ปี 2556 แล้ว และตอนนี้ก็ขยายออกไปถึง 7 สาขา
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #630 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2558, 10:05:29 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #631 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2558, 09:43:32 » |
|
เมื่อช่วงกลางดึก เวลา 00.30น. ของวันที่ 7 พ.ค. 58 เกิดเหตุแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลาง อยู่ในทะเลบริเวณ อ.เกาะยาว จ.พังงา อีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมเล็กน้อย ประชาชนจังหวัดพังงา/ภูเก็ต และกระบี่ รับรู้ถึงแรงสั่นไหว หลายพื้นที่ต้องอพยพกันรอบสอง
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศแจ้งข้อมูลแผ่นดินไหว ว่า เมื่อเวลา00.30น. วันที่ 7 พ.ค. 58 มีแผ่นดินไหวมีจุดศูนย์กลาง อยู่ในทะเลบริเวณ อ.เกาะยาว จ.พังงา ความลึกประมาณ 11 กิโลเมตร ขนาด 4.5 ทางทิศใต้ของเกาะยาวใหญ่ ได้รับแจ้งรู้สึกสั่นไหวบริเวณ จ.พังงา จ.ภูเก็ต และ จ.กระบี่ ส่วนผลกระทบจากแผ่นดินไหวดังกล่าวทำให้ชาวไทยใหม่ บ้านแหลมตุ๊กแก เกาะสิเหร่ ตำบลรัษฎา อำภอเมืองภูเก็ต กว่า 300 ครัวเรือน ต้องมีการอพยพทั้ง คน สัตว์เลี้ยง และขนข้าวของที่จำเป็นมาอยู่บริเวณจุดปลอดภัยที่โรงเรียนบ้านเกาะสิเหร่ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิเลเมตร ต่อเนื่องเป็นคืนที่ 2 หลังจากที่ช่วงเช้าเมื่อวานนี้ต้องอพยพมาแล้ว ซึ่งในครั้งนี้ชาวบ้านบอกว่ารุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา มีการสั่นไหวต่อเนื่อง 2 ครั้ง บ้านแทบพัง ข้าวของตกกระจาย ซึ่งขณะนั้นไม่ทราบว่าขนาดความรุนแรงระดับใด จึงต้องอพยพเร่งด่วน มายังที่ปลอดภัย เพื่อรอดูสถานการณ์ โดยผ่านไปประมาณ กว่า 1 ชั่วโมง ไม่มีความผิดปกติและไม่มีการประกาศเตือนภัยสึนามิจึงได้เดินทางกลับไปบ้านเรือน โดยชาวไทยใหม่บ้านแหลมตุ๊กแกทั้งหมดขณะนี้อยู่ในอาการวิตกกังวล หลังเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่อง 2 วันติดต่อกันในช่วงกลางคืน ทำให้เมื่อกลับไปถึงบ้านก็ไม่กล้านอนหลับสนิท ต้องคอยระแวดระวัง ทั้งการสั่นสะเทือน และระดับน้ำทะเลอยู่ตลอด บางหลังถึงกับต้องสลับกันเข้านอน
ขณะเดียวกันที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต กลุ่มชาวไทยใหม่กว่า 200 คน ได้มีการอพยพออกจากบ้านเรือนมาอยู่ที่จุดปลอดภัยบริเวณเนินสวนไผ่ หมวดการทางภูเก็ตที่ 2 อ.เมืองภูเก็ต โดยเทศบาลตำบลราไวย์ ได้มีการติดตั้งสัญญาณไฟกระพริบ เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ยังได้จัดหาน้ำดื่มไว้คอยบริการ พร้อมทั้งอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยด้วย หลังไม่มีการแจ้งเตือนสึนามิ ท้งหมดก็ทยอยกลับบ้านเรือน
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #632 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2558, 19:16:56 » |
|
นักธรณีวิทยาหลายคนเชื่อว่า หลังเกิดแผ่นดินไหว 7.8 ตามมาตราริกเตอร์ เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 7,000 คนแล้ว เนปาลยังเผชิญหน้ากับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่า และมีอานุภาพทำลายล้างสูงกว่า ในพื้นที่รอยเลื่อนใกล้กรุงกาฐมาณฑุซ้ำอีกในอนาคต
เอริค เคอร์บี นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอน ระบุว่า จากการตรวจสอบเชิงธรณีวิทยาและการใช้เทคโนโลยีจีพีเอสตรวจสอบผลแผ่นดินไหวที่ผ่านมาของเนปาล พบว่า เปลือกโลกในบริเวณดังกล่าวเคลื่อนที่ไปเพียง 3 เมตร ทำให้เชื่อว่า แรงเครียดที่สะสมอยู่บริเวณรอยเลื่อนของเปลือกโลกในบริเวณดังกล่าวยังปลดปล่อยออกมาไม่หมดด้วยเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ25เมษายนเพราะทางนักธรณีวิทยาและนักธรณีฟิสิกส์ ประมาณว่า ถ้าหากจะปล่อยแรงเครียดที่สะสมอยู่ในแนวรอยเลื่อนให้หมดไป พลังที่ปลดปล่อยออกมาต้องมากถึงระดับที่สามารถทำให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ไปได้ระหว่าง 10-15 เมตรเลยทีเดียว
วอลเตอร์ เซลิกา นักธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย เซ็นทรัล วอชิงตันเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดยยืนยันว่า แผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นต่อๆ ไปในบริเวณนี้ สามารถใหญ่โตกว่าและรุนแรงกว่าที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาอีกมาก
ที่ผ่านมา นักวิชาการด้านธรณีวิทยา เข้าไปศึกษาพื้นที่ในบริเวณตอนกลางของประเทศเนปาลมามากมายในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ การตรวจสอบร่องรอยความเสียหายของอาคารบ้านเรือนและการขุดเจาะตามบริเวณแนวรอยเลื่อน ซึ่งผลทำให้พบว่า เคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขึ้นมาแล้วหลายครั้งในพื้นที่นี้ในอดีต แม้จะไม่สามารถระบุขนาดของมันได้แม่นยำนักก็ตาม
แผ่นดินไหวใหญ่ในระดับ 8 ตามมาตราริกเตอร์ขึ้นไปในบริเวณดังกล่าวย้อนหลังกลับไปได้ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 1255 ซึ่งคร่าชีวิตประชากรเนปาลไปมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาในวันที่ 6 มิถุนายนเกิดแผ่นดินไหวมหึมาที่ทำลายบ้านเรือนไล่ตั้งแต่ทิเบต ผ่านเนปาลไปจนถึงอินเดีย และครั้งล่าสุดที่เกิดแผ่นดินไหวระดับ 8.2 ริกเตอร์คือเมื่อปี 1934 ที่กาฐมาณฑุ มีผู้เสียชีวิต
เนปาลตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงมากที่สุดพื้นที่หนึ่ง เนื่องจากเป็นจุดชนกันของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น คือ แผ่นอินเดีย กับแผ่นเอเชีย ซึ่งเคลื่อนที่เข้าปะทะกันที่ระดับความเร็ว 2 เซนติเมตรต่อปี รอยเลื่อนในบริเวณนี้มีความแตกต่างทางธรณีวิทยากับรอยเลื่อนทั่วไป เนื่องจากแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นที่ชนเข้าด้วยกันนั้นมีความหนาแน่นใกล้เคียงกันและชนกันในลักษณะของการปะทะ ไม่มีแผ่นหนึ่งแผ่นใดมุดจมลงใต้อีกแผ่นหนึ่ง ผลก็คือแผ่นเปลือกโลกค่อยๆ ม้วนลงด้านล่าง ในขณะที่แผ่นเอเชียม้วนขึ้นด้านบนกลายเป็นที่มาของเทือกเขาหิมาลัย
มาร์ติน คลาร์ก นักธรณีฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ระบุว่า การชนกันของแผ่นเปลือกโลกทั้งสองทำให้เกิดแรงเครียดสะสมไปตลอดตามแนวรอยเลื่อน เหมือนเรากดขดลวดสปริงเอาไว้ พลังที่ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวเทียบได้กับพลัง เมื่อเราปล่อยขดสปริง นั่นเอง
นอกจากนั้น รอยเลื่อนบริเวณนี้ยังมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือเป็นรอยเลื่อนแบบย้อนมุมต่ำ (ทรัสต์ ฟอลท์) ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่น่ากลัวที่สุดในบรรดารอยเลื่อนทุกรูปแบบ เนื่องจากสามารถทำให้เปลือกโลกสั่นไหวเป็นบริเวณกว้างมากที่สุด เพราะแนวหน้าตัดของรอยเลื่อนมีลักษณะลาดเอียง ทำมุมไม่เกิน 10 องศา และความลาดเอียงต่ำดังกล่าวทำให้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ในระดับไม่ลึกมาก ก่อให้เกิดความสูญเสียได้สูงกว่า
นอกจากนั้น ยังเป็นรอยเลื่อนที่มีอุณหภูมิต่ำ เกิดแผ่นดินไหวได้ยากกว่าแต่ทุกครั้งที่เกิดจะรุนแรงมหาศาลเสมอ
มติชนรายวัน 7 พ.ค. 2558
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #633 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2558, 19:33:39 » |
|
"ทายาทเจ้าพระยารามราฆพ" เยี่ยม "บ้านนรสิงห์" บ้านเกิดบรรพบุรุษวันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18:50:30 น. วันที่ 7 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทายาทราชสกุล "พึ่งบุญ ณ อยุธยา" เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาล นำโดยนางสุรางค์ รักตะกนิษฐ บุตรสาวของเจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) เจ้าของบ้านนรสิงห์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของตึกไทยคู่ฟ้าในปัจจุบัน
โดยนางสุรางค์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 โดยตนเป็นบุตรคนที่ 3 จากจำนวน 30 คน ของเจ้าพระยารามราฆพ ตนเกิดที่บ้านนรสิงห์นี้ และอยู่จนถึงอายุ 6 ปี ก่อนที่จะย้ายออกไป พร้อมครอบครัวหลังจากที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มาซื้อบ้านหลังนี้ในราคา 1 ล้านบาท ซึ่งการกลับมาเยี่ยมชมบ้านเกิดครั้งนี้ เกิดจากการพูดคุยของบรรดาลูกหลานว่าอยากกลับมาสักครั้ง เพราะบางคนก็ไม่เคยได้เข้ามาเลย จึงรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านของบรรพบุรุษในครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานทำเนียบรัฐบาลของทายาทราชกุลพึ่งบุญ ณ อยุธยา ในครั้งนี้ ถือเป็นกรณีพิเศษที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุญาตให้เยี่ยมชมบริเวณชั้นล่างของตึกไทยคู่ฟ้า และบริเวณโดยรอบ รวมทั้งได้รับของที่ระลึก โดยมี น.ส.เรณู ตังคจิงกูร รองเลขาธิการนายกรัฐตรี ฝ่ายการเมือง ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชม http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1430999191
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #634 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2558, 21:38:30 » |
|
ครับ ท่านมีบ้านสวยๆ.
ที่ใกล้มฤคทายวันก็มี
ที่สนามจันทร์มีด้วยไหมครีบ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #635 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2558, 21:41:09 » |
|
ท่านมีลูกเยอะดี
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #636 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 09:21:28 » |
|
ทำเนียบรัฐบาล เดิมเป็นบ้านพัก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อพระราชทานแก่ พลเอก พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก และผู้บัญชาการกรมมหรสพ ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายงานใกล้ชิด โปรดให้เป็นหัวหน้าห้องพระบรรทม นั่งร่วมโต๊ะเสวย ทั้งมื้อกลางวัน และกลางคืน ตลอดรัชกาล และตามเสด็จโดยลำพัง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
บ้านพักของพลเอกพลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) มีชื่อว่า บ้านนรสิงห์ ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม ติดต่อขอซื้อเพื่อทำเป็นสถานที่รับรองแขกต่างประเทศที่มาเยือนในราคา 1,000,000 บาท ต่อมาในปี 2484 มาใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล มีการเปลี่ยนชื่อจาก บ้านนรสิงห์ มาเป็น ทำเนียบสามัคคีชัย จากนั้นมาก็ใช้เป็นทำเนียบรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นสถานที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วยสำนักงานของหน่วยงานต่างๆสำหรับทำเนียบรัฐบาลเป็นตึกอาคารทรงแบบ"กอธิก"ตอนปลาย
กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วโดยพื้นที่รอบๆ ทำเนียบฯ มีทั้งหมด 27 ไร่ 3 งาน 44 ตารางวา
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #637 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 09:29:09 » |
|
. บ้านพิษณุโลก คือ บ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย เป็นบ้านแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ออกแบบและสร้างโดย มาริโอ ตามานโญ สถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลี (พ.ศ. 2443-2468) มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน เดิมชื่อ “บ้านบรรทมสินธุ์”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างบ้านบรรทมสินธุ์ และพระราชทานให้กับมหาดเล็กส่วนพระองค์ คือ พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) พร้อมกับการพระราชทานบ้านนรสิงห์ แก่ พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้พี่ และพระราชทานบ้านมนังคศิลา แก่ มหาเสวกเอก พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) รวมถึงพระราชทานบ้านพิบูลธรรม แก่ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล)
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ซื้อบ้านหลังนี้จากเจ้าของเดิม เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นซื้อไปเป็นสถานทูต เนื่องจากบ้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับกองพันทหารราบที่ 3 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ รัฐบาลสมัยนั้นได้ใช้บ้านนรสิงห์ เป็นทำเนียบรัฐบาล (ภายใต้ชื่อ "ทำเนียบสามัคคีชัย") สำหรับบ้านบรรทมสินธุ์นั้น ในช่วงแรก ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "บ้านไทยพันธมิตร" ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น "บ้านพิษณุโลก" เนื่องจากบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก ข้างโรงพยาบาลมิชชั่น ได้ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญของรัฐบาลมาจนปัจจุบัน
รัฐบาลยุคต่อมาได้ปรับปรุงบ้านพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่สมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในปี พ.ศ. 2522 และมาแล้วเสร็จในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ได้ย้ายเข้าไปพัก แต่ก็อยู่เพียง 2 วัน จึงย้ายออกไปพักที่บ้านพักเดิมคือ บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ทำงานของคณะที่ปรึกษาจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เรียกกันติดปากสื่อมวลชนว่า "ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก"แต่ไม่ได้มีการใช้เป็นที่พั
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #638 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 09:37:59 » |
|
พระราชทานให้มล.เฟื้อและมล.ฟื้น ท่านละ1หลัง
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #639 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 09:48:26 » |
|
บ้านมนังคศิลา
เป็นบ้านที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแก่พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) อดีตอธิบดีกรมชาวที่ ผู้มีหน้าที่ดูแลพระราชฐานที่ประทับทั้งหมด และพระราชทานชื่อบ้านนี้ว่า มนังคศิลา อันหมายถึงที่ประทับ
ต่อมาบ้านหลังนี้ติดจำนองไว้กับธนาคารเอเซีย กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำเรื่องขอไถ่ถอนมาใช้เป็นบ้านพักรับรองอาคันตุกะของรัฐบาล และใช้เป็นที่ประชุมปรึกษาของสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล โดยให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแลรักษา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อตั้งพรรคเสรีมนังคศิลา ร่วมกับ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ทำการพรรค
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ สภาสตรีแห่งชาติ ได้ย้ายเข้ามาตั้งสำนักงานในบ้านมนังคศิลา จนถึงปัจจุบัน
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #640 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 10:04:55 » |
|
บ้านพิบูลธรรมเดิมชื่อบ้านนนที เป็นบ้านที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง ซึ่งคงได้สร้างประมาณ พ.ศ. 2456 อันเป็นปีที่เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าพระยา
บ้านนี้มีชื่อว่าบ้านนนที ตามชื่อวัวพระนนทิการ ซึ่งเป็นเทวพาหนะของพระอิศวร (ตราประจำเสนาบดีกระทรวงวัง คือคราพระมหาเทพทรงพระนนทิการ)
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดีอยู่ที่บ้านหลังนี้จนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. 2485 ต่อมารัฐบาลสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ซื้อไว้เป็นบ้านรับรองแขกเมือง เปลี่ยนชื่อว่าบ้านพิบูลธรรมจน พ.ศ. 2501 จึงมอบให้เป็นที่ทำการของการพลังงานแห่งชาติ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #641 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 10:06:07 » |
|
สี่แห่งตามที่พระราชทาน
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #642 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 10:31:18 » |
|
แห่งที่สี่บ้านพิบูลธรรม คุ้นตากันไหมครับ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #643 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 14:10:00 » |
|
พิเศษ ..ที่สร้างให้พักในช่วงปฎิบัติภารกิจสถานที่ตั้ง: อยู่ภายในบริเวณ ค่ายนเรศวร ติดกับ พระราชนิเวศมฤคทายวัน อำเภอชะอำ จ.เพชรบุรี
สถาปัตยกรรมที่สวยงามโดดเด่น สถานที่โรแมนติก ริมทะเล ภายในค่ายพระราม6 พระราชนิเวศมฤคทายวัน ทรงบ้านตากอากาศที่นิยมกัน ในรัชกาลที่6 เจ้าของบ้านหลังนี้ คือ เจ้าพระยารามราฆพ หรือ ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ หนึ่งใน 50 เจ้าพระยายุคกรุงรัตนโกสินทร์ สมุหราชองครักษ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่รัชกาลที่ 6
ในสมัยเมื่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำริสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เพื่อแปรพระราชฐานมาประทับในฤดูร้อน ก็ทรงพระกุรณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างเรือนพัก ของเจ้าพระยารามราฆพ ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหราชองครักษ์ และเป็นมหาดเล็กหัวหน้าห้องพระบรรทม
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #644 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 14:13:29 » |
|
พี่เหยง
ที่พระราชวังสนามจันทร์ มีสร้างให้พิเศษช่วงปฎบัติภารกิจแบบนี้ไหมครับ
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #646 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 16:03:19 » |
|
กรรมการ อาจารย์ ครู และพนักงานโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ฉายภาพพร้อมกันที่สนามหน้าหอประชุมโรงเรียนชั่วคราว ในวันบำเพ็ญพระราชกุลเปิดโรงเรียนที่สวนกระจัง วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๔ (นั่งพื้นจากซ้าย) ๑. นายยอด มีมานัส ครูวาดเขียน ๒. นายผิว วรรณจินดา ครูกำกับเรือนนักเรียน ๓. หลวงพิทักษ์มานพ (ต่วน ตาตะนันทน์) หัวหน้าพนักงานแลผู้ดูการสถานที่ ๔. นายพ้อง รจนานนท์ ครูวิชาสามัญ ๕. นายเพ็ง เพ็ญศิริ [๑] นายเวรพัสดุ (นั่งเก้าอี้) ๑. หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา มหาดเล็ก ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชา ๒. มร.ซี. เอ. เอส. สิเวล อาจารย์ชาวต่างประเทศ ๓. พระเทพดรุณานุศิษฏ์ (เชย ไชยนันทน์) อาจารย์วิชามหาดเล็ก ๔. พระยาไพศาลศิลปสาตร (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) กรรมการจัดการ ๕. นายขัน หุ้มแพร [๒] (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) กรรมการ ๖. พระโอวาทวรกิจ (เหม ผลพันธิน) อาจารย์ใหญ่บังคับการ ๗. หลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (ศร ศรเกตุ) ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปกครองนักเรียน (แถวยืน) ๑. นายศิลป ปริญญาตร ครูวิชายิมนาสติก ๒. นายแถม อรัณยปาล [๓] สมุห์บัญชี ๓. นายเสริญ ปันยารชุน [๔] อาจารย์วิทยาศาสตร์ ๔. นายเปลื้อง ภัณฑาธร [๕] นายเวรทะเบียน ๕. นายสนั่น สิงหแพทย์ [๖] ครูกำกับเรือนนักเรียน ๖. นายสอน ศรวัต [๗] นายงานสถานที่ ๗. นายดาบจ้อย พลทา ครูวิชาทหาร
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #647 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558, 16:05:59 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #648 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2558, 17:21:19 » |
|
. เจ้าพระยารามราฆพ
เมื่ออายุ 13ปีเศษ สมเด็จพระบรมฯได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯส่งไปศึกษาที่ร.ร.มหาดเล็กหลวง จนกระทั่งพ.ศ.2451จึงได้เข้ารับราชการในพระองค์ ตำแหน่งสำรองข้าราชการนายเวรขวา ทำหน้าที่ดูแลเครื่องเสวยและปฏิบัติราชกิจทั่วไป ต่อมาได้เลื่อนตำแห่งเป็นสมุหราชองครักษ์ เจ้าหน้าที่ตามเสด็จทุกแห่ง เรียกได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ใกล้เชิดพระองค์มากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงกีฬา ทรงละคร หรือกิจกรรม อื่นใด ท่านจะเข้าร่วมด้วยทุกคราวไป
ในชีวิตการรับราชการของเจ้าพระยารามรา ฆพดูจะรุ่งโรจน์เกินกว่าผู้อื่นใดในสมัยเดียวกัน ตำแหน่งที่ท่านผู้นี้ได้รับเมื่อรัชกาลที่หกขึ้นครองราชย์ คือ จางวางห้องที่พระบรรทม อธิบดีกรมมหาดเล็ก และผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กในที่สุด งานในหน้าที่ท่านอาจสรุปได้ดังนี้
1 ปกครองข้าราชบริพารทั้งหมดที่ล้วนเป็นกรมขนาดใหญ่ 2. อำนวยความสะดวกสบายทุกอย่างทำนองทนายหน้าหอ 3. ฝึกฝนเอาใจใส่วิชานาฏศิลป์ตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมแสดงโขน ละคร 4. ถวายอารักขาความปลอดภัยในฐานะสมุหราชองครักษ์
นอก จากราชการโดยตรงในกรมมหาดเล็กแล้ว เจ้าคุณรามฯยังได้รับตำแหน่งอื่นอีก ได้แก่ ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกรมมหรสพ ผู้บัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เป็นต้น นับว่าเป็นผู้ทีได้รับพระมหากรุณาธิคุณทั้งทางด้านการงานและเรื่องส่วนตัว ด้านการงาน นอกจากจะได้รับการเลื่อนยศ ตำแหน่ง ตลอดจนบรรดาศักดิ์เร็วกว่าคนหนุ่มที่รับราชการรุ่นเดียวกัน ยังเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้ดูแลราชการต่างๆที่เนื่องด้วยราชการใน พระองค์ อิทธิพลของเจ้าคุณรามฯเป็นที่ทราบกันที่ของหมู่ข้าราชการทั่วไป โดยตำแหน่งหน้าที่และความใกล้ชิด
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #649 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2558, 17:29:21 » |
|
พอจะสิ้นรัชกาลก็ยังทรงห่วงมหาดเล็กของพระองค์ โดยเฉพาะเจ้าคุณทั้งสอง (มล.ฟื้นและมล.เฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) ทรงอุตส่าห์ดำรัสให้มอบเงินเบี้ยเลี้ยงบำนาญเท่านั้นเท่านี้ แม้หลังสวรรคตแล้ว
พอถึงยุคเศรษฐกิจอับจนสมัยร.7 พระองค์ทรงเพิกเฉยกับเงินก้อนนี้ เพราะประเทศต้องประหยัดสุดชีวิต เจ้าคุณรามฯก็เลยเก็บความรู้สึกไว้จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ท่านเจ้าคุณกับพวกเป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องต่อศาล ให้ร.7ชดใช้ด้วยเรื่องอันนี้ แต่ศาลท่านคงเห็นว่าเรื่องที่เกิดครั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถือการตัดสินใจของพระมหากษัตริย์เป็นเด็ดขาด ในเมื่อตอนที่ร.6ออกกฎนี้มาด้วยฐานะกษัตริย์ ร.7ท่านก็เลิกกฎนี้ด้วยฐานะกษัตริย์เหมือนกัน ก็เลยยกฟ้อง
|
|
|
|
|