เริง2520
|
|
« ตอบ #250 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2557, 13:13:02 » |
|
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ราชอาณาจักรสยามประกาศสงครามต่อเยอรมนี เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 1917 และตัดสินใจส่งกองทหารอาสา จำนวน 1,284 นาย ไปประเทศฝรั่งเศสแล้วกลุ่มทหารเหล่านี้ เป็นใครกันบ้างและไปฝรั่งเศสได้อย่างไร ?-กระทรวงกลาโหมได้ประกาศรับสมัครทหารอาสาและคัดเลือกจนเหลือ 1,284 นาย แบ่งเป็น 3 หน่วย คือกองทหารบกรถยนต์ กองบินทหารบก และกองพยาบาล
กองทหารอาสาทั้งหมดออกเดินทางจากท่าราชวรดิฐ ในวันที่ 19 มิถุนายน 2461 โดยเรือกล้าทะเลและเรือศรีสมุทรเพื่อไปขึ้นเรือแอมไพร์ ซึ่งฝรั่งเศสส่งมารับที่เกาะสีชังเพื่อเดินทางต่อไปสิงคโปร์ ลังกา สุเอซ ถึงเมืองมาร์แชลล์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2461
ทหารอาสาของไทย โดยเฉพาะกองทหารบกรถยนต์ได้มีโอกาสเข้าร่วมปฏิบัติการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารฝรั่งเศสอย่างกล้าหาญและได้รับคำชมเชยอย่างมาก
กระทั่งวันที่ 6 พฤศจิกายน 2461 เยอรมนีได้ติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรขอเจรจาสงบศึก จากนั้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2461 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในสัญญาสงบศึกบนรถไฟ ณ เมืองคองเปียน ประเทศฝรั่งเศส
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #251 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2557, 13:25:13 » |
|
การกลับสู่มาตุภูมิของวีรบุรุษไทยแห่งสงครามเป็นไปอย่างอบอุ่นและสมเกียรติ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวต้อนรับกองทหารอาสาเสร็จแล้วทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีพระราชทานแก่ธงชัยเฉลิมพล และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญที่ระลึกในราชการสงครามทวีปยุโรปแก่ทหารอาสาทุกนายเพื่อบำเหน็จความชอบ
นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 บริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสนามหลวงเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงเกียรติประวัติทหารอาสาของไทย รวมทั้งเป็นที่บรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติการรบจำนวน 19 นาย ซึ่งพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลาคารวะดวงวิญญาณของทหารกล้าของชาติด้วยพระองค์เอง เรื่องและภาพ....เดลินิวส์
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #252 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2557, 14:25:39 » |
|
ข่าวจากออสเตรเลีย..โดย มติชนยิ่งกว่าละคร! ฮือฮา หญิงแต่งกับ"ผู้บริจาคอสุจิ"ผู้เป็นพ่อของลูก ดั้นด้นตามหา ก่อน"ตกหลุมรัก"สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หญิงออสเตรเลียรายหนึ่ง เตรียมแต่งงานกับผู้บริจาคอสุจิผู้เป็นพ่อของลูกเธอ ภายหลังได้ตามหาเขาและตกหลุมรักชายผู้นี้ ขณะที่ฮอลลีวุดเล็งจะนำเรื่องราวคล้ายละครนี้สร้างเป็นภาพยนตร์
รายงานระบุว่า นางอมินาห์ ฮาร์ท วัย 45 ปี ได้รับการบริจาคอสุจิเพื่อนำไปผสมเทียมให้กำเนิดลูก จากผู้บริจาคปริศนารายหนึ่ง หลังจากเธอมีเคยมีลูกกับสามีเก่า 2 คนแต่เสียชีวิตทั้งหมด เพราะเธอมีเชื้อพาหะของโรคทางพันธุกรรมบางประเภทที่จะส่งผลกระทบต่อลูกที่เป็นผู้ชาย โดยเธอได้เลือกอสุจิของผู้บริจาครายหนึ่งซึ่งศูนย์บริจาคระบุข้อมูลว่าเป็นโค้ชฟุตบอลและนักเพาะพันธุ์วัว
ต่อมา เธอได้พยายามค้นหาตัวชายเจ้าของอสุจิจากการสืบค้นทางอินเตอร์เนท เพื่อหาชื่อของชายผู้นี้ จากข้อมูลที่เธอได้จากศูนย์บริจาคอสุจิ และเธอได้ส่งรูปลูกสาวของเธอให้แก่ชายผู้นี้ ซึ่งปรากฎว่าเขารู้สึกซาบซึ้งผูกพันมาก เพราะหน้าตาของเด็กหญิงน้อยคล้ายกับเขามาก และทั้งสองได้พบกันครั้งแรกที่เมืองเมลเบิร์นหลัง 4 วันที่เธอให้กำเนิดลูกสาว ซึ่งชื่อว่า"ไลล่า"ก่อนที่ทั้งคู่จะตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ก่อนประกาศหมั้นและเตรียมจะวิวาห์แต่งงานกัน
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #253 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2557, 15:26:47 » |
|
นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #254 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2557, 15:29:32 » |
|
กรณีพระราชสงครามยุโรป (สงครามโลก ครั้งที่ 1) มีเหรียญที่ระฤกออกมาด้วยครับ แต่ราคาแพง เนื่องจากหายากมาก ได้แต่เฝ้ามองครับ ตกเหรียญละเกือบ 40,000 บาท เพราะถือว่า ไปแล้วได้กลับ เป็นเหรียญปลอดภัยเหรียญหนึ่งทีเดียวเพิ่มในห้องนี้ครับ เหรียญรูปเสมา มีห่วงด้านบน ด้านหน้า : รูปพระมหามงกุฎ มีตัว ร ประดับด้วยฉัตร 7 ชั้น ด้านหลัง : มีข้อความ "พระราชทาน สำหรับงาน พระราชสงคราม ๒๔๖๐" เป็นเงิน ขนาด กว้าง 25.25 มิลลิเมตร ยาว 32 มิลลิเมตร ส่วนภาพเหรียญที่เป็นเครื่องราชอิศริยาภรณ์ - ดูกระทู้ต่อไปของน้องเริงครับ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #255 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2557, 19:59:42 » |
|
พี่เหยง
ใช้เหรียญนี้ไหม ฯเหรียญงานพระราชสงครามยุโรป
ใช้อักษรย่อว่า ร.ส. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 สำหรับพระราชทานแก่ ผู้ไปพระราชสงครามในทวีปยุโรป คือสงครามโลกครั้งที่1 ลักษณะเป็นเหรียญเงินทรงกลม ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพักตร์เสี้ยว มีอักษรที่ริมขอบว่า รามาธิปติสฺยามินฺโท วชิราวุธวิสฺสุโต ด้านหลังมีรูปวชิราวุธมีรัศมี พานรองสองชั้น มีฉัตรสองข้าง และมีอักษรที่ริมขอบว่า งานพระราชทานสงครามในทวีปยุโรป พระพุทธศักราช 2461 ห้อยกับแพรแถบสีเลือดหมู มีริ้วสีดำสองข้าง กว้าง 3.5 เซนติเมตร เหรียญนี้มีชั้นเดียว ไม่มีประกาศนียบัตร ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย.
แต่ไม่มีภาพด้านหลังของเหรียญครับ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #256 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 08:54:10 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #257 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 08:58:17 » |
|
จากอุโมงค์ใต้กำแพงเบอร์ลิน สู่อุโมงค์ในกรุงเทพฯ
ราล์ฟ คาบิช ตัดสินใจว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างหลังจากเขาและครอบครัวเดินทางกลับจากเมืองกอร์ลิตซ์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ในเยอรมันตะวันออกติดกับชายแดนประเทศฮังการี ในราวเดือนพฤษภาคม 1964
ในยุคนั้นถึงแม้เยอรมันถูกแยกออกเป็นสองส่วนแล้วก็ตาม แต่ชาวเยอรมันตะวันตกยังได้รับอนุญาตให้เดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องในฝั่งตะวันออกได้ด้วยการใช้หนังสือเดินทางพิเศษ แต่ชายแดนสู่ตะวันตกถูกปิดตายสำหรับชาวบ้านฝั่งตะวันออก
“ด้วยความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ไร้เสรีภาพ และเต็มไปด้วยการกดขี่ ญาติพี่น้องผมไม่มีทางมีชีวิตรอดได้เลยถ้ายังอยู่ในฝั่งตะวันออกต่อไป” ราล์ฟยังจำความรู้สึกตัวเองขณะนั้นได้
สิ่งแรกที่ราล์ฟทำหลังจากเดินทางกลับมาเบอร์ลินตะวันตกคือการหาใครก็ตามที่สามารถช่วยญาติพี่น้องของเขาได้ โชคชะตาพาให้ราล์ฟไปพบกับนักศึกษาคนหนึ่งที่เป็นแกนหลักในขบวนการช่วยเหลือชาวเยอรมันตะวันออกลี้ภัยมาฝั่งตะวันตก “ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แต่ทันทีที่ผมเอ่ยปาก เขาตอบทันทีว่า ผมคิดว่าผมสามารถทำอะไรบางอย่างที่ช่วยคุณได้” ราล์ฟยังจำครั้งแรกของการพบปะกับนักศึกษากลุ่มนี้ได้
ไม่กี่วันหลังจากนั้นราล์ฟก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักศึกษาประมาณ 20-25 คน ที่ร่วมกันสร้างวีรกรรมที่ถูกจารึกเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์กำแพงเบอร์ลินมาจนถึงทุกวันนี้
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #258 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 08:59:35 » |
|
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ราล์ฟและเพื่อนจะช่วยญาติๆ ให้ออกจากเบอร์ลินตะวันออกด้วยการหนีข้ามกำแพง มันสูงกว่าสามเมตร เป็นกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กที่วิ่งตลอดแนวแบ่งเขตแดนเกือบ 160 กม. แถมยังกั้นด้วยรั้วลวดหนาวอีกชั้น และยังมีป้อมยามและยามรักษาการณ์ตลอดแนว มีชาวเยอรมันตะวันออกนับสิบแล้วที่กลายเป็นศพขณะพยายามหนีข้ามกำแพง
เพราะฉะนั้นราล์ฟและเพื่อนจึงต้องคิดค้นวิธีที่ฝั่งตะวันออกนึกไม่ถึง นั่นคือการหนีด้วยการลอดใต้กำแพง และทางเดียวก็คือการขุดอุโมงค์
เกือบหกเดือนเต็มๆ ระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม 1964 นักศึกษาหนุ่มกว่า 20 คน ช่วยกันใช้เครื่องมือทุกอย่างขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพงจากฝั่งเบอร์ลินตะวันตกไปสู่ฝั่งตะวันออก
เป็นที่รู้กันดีว่าทุกความเคลื่อนไหวของชาวเบอร์ลินจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากตำรวจลับของรัฐบาลเยอรมันตะวันออกที่สร้างเครือข่ายการข่าวไว้ในทุกวงการ เพราะฉะนั้นราล์ฟและเพื่อนตระหนักดีว่าจะต้องทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความลับมากที่สุด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ปฏิบัติการนี้เริ่มจากการหาจุดที่จะเป็นปากอุโมงค์ ซึ่งโชคดีที่สามารถได้ร้านทำขนมปังเก่าร้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงไม่มากนัก แต่ที่ยากคือการหาจุดที่จะเป็นปลายอุโมงค์ที่อยู่ฝั่งตะวันออก แต่ในที่สุดด้วยการประสานงานกับผู้ร่วมขบวนการในฝั่งตะวันออก ก็ได้บ้านเช่าหลังหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะปลอดภัย
ราล์ฟเล่าให้ฟังว่า การขุดอุโมงค์ต้องทำในเวลางกลางคืนเท่านั้น เพราะกลางวันทุกคนต้องไปเรียนและพบปะผู้คนตามปกติเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย ที่สำคัญตำรวจลับฝั่งตะวันออกจะเฝ้ามองด้วยกล้องส่องทางไกลมายังฝั่งตะวันตกตลอดเวลาเพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย เวลาจะเข้าไปในบ้านก็ต้องแยกกันเข้าเป็นกลุ่มเล็กๆ ทีละสองสามคนเพื่อให้ดูเหมือนกับว่ากำลังเข้าบ้านเลี้ยงสังสรรค์กัน
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #259 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 09:00:48 » |
|
“อุโมงค์ที่เราขุดมีขนาดพอที่จะให้คนรอดผ่านได้ เพราะถ้าขุดใหญ่เกินไป เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาดินและทรายที่ขุดขึ้นมาไปทิ้งที่ไหน” ราล์ฟเล่าถึงปฏิบัติการ ซึ่งในระหว่างนั้น ดินและทรายจากการขุดอุโมงค์ต้องเอาไปเก็บไว้ในตู้ลิ้นชัก และเครื่องอบขนมปังเก่า
หลังจากขุดลงไปลึกประมาณ 12 เมตรและเจอะน้ำ ทีมงานก็เริ่มขุดเส้นทางตรงลอดใต้กำแพงไปยังจุดเป้าหมายฝั่งตะวันออก ในที่สุดในกลางเดือนตุลาคมปฏิบัติการขุดอุโมงค์ความยาวทั้งสิ้น 145 เมตรก็สำเร็จ ราล์ฟและเพื่อนกำลังเข้าสู่ปฏิบัติการขั้นที่สอง ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ผู้ร่วมขบวนการในฝั่งตะวันออกเริ่มส่งสัญญาณไปยังผู้ที่เตรียมตัวจะเป็นผู้ลี้ภัย ราล์ฟและทีมงานได้เตรียมรายชื่อของทุกคนไว้หมดแล้ว แต่การเคลื่อนไหวต้องทำด้วยความระมัดระวังเพราะตำรวจลับที่นั่นหูตาเป็นสับปะรด
บ้านเลขที่ 55 คือจุดนัดพบ เป็นจุดที่อุโมงค์จากฝั่งตะวันตกโผล่ขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางหลบหนี
“ผู้ลี้ภัยทุกคนจะได้รับการนัดแนะเวลาเพื่อเดินทางไปที่จุดนัดพบ เมื่อถึงหน้าบ้านเลขที่ 55 ก็จะเคาะประตู พร้อมเอ่ยรหัสลับ คือคำว่า โตเกียว” ราล์ฟยังจำรายละเอียดทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
มีคำถามแน่นอนว่าทำไมต้องเป็นคำว่า “โตเกียว”
“ปีนั้นเป็นปีที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก โดยจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว เพราะฉะนั้นเราจึงเอาคำที่จำง่ายที่สุด เพราะอย่าลืมว่าในภาวะแบบนั้น ทุกคนจะอยู่ในภาวะกดดันและตื่นเต้น เราต้องเอารหัสลับที่ไม่ซับซ้อนเกินไป” ราล์ฟเฉลย
สองคืนเต็มๆ ที่ชาวเยอรมันตะวันออก 50 คน ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนหนุ่มสาว และผู้สูงอายุ ค่อยๆ ทยอยกันลอดใต้อุโมงค์ไปสู่เสรีภาพฝั่งตะวันตก ทุกอย่างดูจะเป็นไปตามแผนหมด แต่ในคืนที่สามเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #260 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 09:05:06 » |
|
ตำรวจลับของเยอรมันตะวันออกค้นพบแผนการหลบหนี และบุกเข้าไปในบ้านเลขที่ 55 ขณะที่ผู้ลี้ภัยกลุ่มสุดท้ายกำลังหย่อนตัวลงไปในอุโมงค์ เกิดการต่อสู้กันขึ้น นักศึกษาคนหนึ่งยิงใส่ตำรวจเยอรมันตะวันออก
“ตำรวจคนนั้นได้รับบาดเจ็บ แต่วันรุ่งขึ้นรัฐบาลเยอรมันตะวันออกประโคมข่าวว่าเพราะถูกนักศึกษายิงเสียชีวิต แต่การสอบสวนภายหลังพบว่าเขาตายเพราะลูกหลงจากตำรวจด้วยกันเอง” ราล์ฟเล่าถึงนาทีตื่นเต้น
ราล์ฟทราบภายหลังว่า ที่ตำรวจลับล่วงรู้ถึงปฏิบัติการนี้ก็เพราะมีสายลับแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้ร่วมขบวนการนี้ด้วย
เหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้ปฏิบัติการของราล์ฟและเพื่อนต้องปิดฉากลง “แต่ยังดีที่เราได้ช่วยญาติๆ และเพื่อนๆ 57 คน ให้ได้พบกับเสรีภาพ” ราล์ฟพูดถึงจำนวนคนที่ช่วยออกมาได้
ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาแล้วถึง 50 ปี แต่คนเยอรมันก็ไม่เคยลืมวีรกรรมอันกล้าหาญของเด็กหนุ่มกลุ่มนั้น ถึงแม้จะไม่เหลือเค้าโครงเดิม บ้านเลขที่ 55 ก็ยังได้รับการรักษาไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนรุ่นหลัง
ทุกวันนี้ ปฏิบัติการ “อุโมงค์ 57” ก็ยังเป็นชื่อที่นักประวัติศาสตร์ใช้เรียกขบวนการของราล์ฟและเพื่อน และยังเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการกลางแจ้งเกี่ยวกับความโหดร้ายของกำแพงเบอร์ลิน
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #261 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 09:06:10 » |
|
ไม่น่าเชื่อว่าหลังเหตุการณ์นั้น 38 ปี ราล์ฟยังต้องมาขุดอุโมงค์อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นอุโมงค์ในกรุงเทพฯ และไม่ใช่เพื่อการหลบหนี แต่เพื่อเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดิน
“เมื่อมองย้อนกลับไป ผมถือว่าการขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพงเบอร์ลินเป็นการฝึกงาน” ราล์ฟเล่าติดตลก
ราล์ฟใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ สองปีระหว่าง 2002-2004 ในฐานะวิศวกรโยธาดูแลฝ่ายปฏิบัติของบริษัทซีเมนส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทที่สร้างระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้าเขาจะรู้จักเส้นทางรถไฟใต้ดินของบ้านเรามากกว่าคนไทยทั่วไป
ราล์ฟ ซึ่งปัจจุบันอายุ 72 ปี และครอบครัวยังกลับมาเที่ยวเมืองไทยเป็นระยะๆ เขาหลัก จ.พังงา เป็นสถานที่เที่ยวที่ราล์ฟโปรดปรานมากที่สุด
เขาไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อ 50 ปีที่แล้วให้ทุกคนที่สนใจฟัง เพราะราล์ฟเชื่อว่ามันจะช่วยให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นถึงความเลวร้ายของสงครามและการปกครองประเทศแบบเผด็จการ เพื่อที่ความเลวร้ายแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก
---------------------------------------------
(หมายเหตุ : จากอุโมงค์ใต้กำแพงเบอร์ลิน สู่อุโมงค์ในกรุงเทพฯ : เทพชัย หย่อง รายงาน)
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #262 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 09:20:59 » |
|
ภาพเหรียญ อยู่ด้านบนครับ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #263 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 14:01:11 » |
|
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจนะครับ
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #264 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 14:42:04 » |
|
ภาพสมัยที่ยังไม่มีอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ด้านประตูชุมพล
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #265 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 18:10:30 » |
|
ต้องตามไปชิม....ไม่ไกลจากบ้านนัก
ฮือฮา ก๋วยเตี๋ยวปทุมธานีชามละ 6 บาท คนแน่นร้านทุกวัน เผยขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 800 ชาม เสาร์-อาทิตย์ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชาม
วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบก๋วยเตี๋ยวในราคา 6 บาท แม้ราคาสินค้าต่าง ๆ จะขึ้นราคาตามสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันก็ตาม ทราบชื่อเจ้าของร้านคือ น.ส.มานัส บุญตา อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 ซอยสมประสงค์ 8 ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่ง น.ส.มานัส บอกว่า ตนขายก๋วยเตี๋ยวมา 18 ปีแล้ว เมื่อ 3 ปีก่อนตนขายในราคา 5 บาท เพราะอยากให้เด็ก ๆ ซื้อหารับประทานได้
ต่อมาปี 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ จึงเพิ่มราคาเป็น 6 บาท เพราะราคาสินค้าแพงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถขายได้กำไรอยู่ ปริมาณวัตถุดิบที่ใส่ในแต่ละชามก็ยังคงเท่าเดิมไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด และมีลูกค้ามาอุดหนุนมากทุกวัน ซึ่งทุกวันนี้ขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 800 ชามต่อวัน หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะขายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชาม
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #266 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557, 23:43:09 » |
|
มีคนเปรียบเทียบให้ฟังครับ.........
เขาบอกว่า กาแฟรถเร่ (จยย.สองล้อเครื่องมีข้างอีก 1 ล้อ) แก้วละ 20 บาท กำไรครึ่ง/ครึ่ง แล้วกาแฟสตาร์บั๊ค, กาแฟนกแก้ว อเมซอน แก้วละ 55 - 65 บาท กำไรเท่าไหร่ ??
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #268 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2557, 20:49:47 » |
|
พรุ่งนี้ไปงานหอฯช่วงภาคกลางคืน
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #270 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2557, 16:20:37 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #271 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2557, 16:32:34 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #272 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2557, 16:43:04 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #273 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2557, 16:47:33 » |
|
|
|
|
|
เริง2520
|
|
« ตอบ #274 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2557, 16:56:25 » |
|
|
|
|
|
|