25 พฤศจิกายน 2567, 07:53:05
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ตามครูไปเที่ยวอีก  (อ่าน 286120 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #600 เมื่อ: 09 เมษายน 2558, 22:23:10 »

มาระยอง




      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #601 เมื่อ: 11 เมษายน 2558, 11:26:40 »

มาถึงจันทบุรีอีก..



      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #602 เมื่อ: 12 เมษายน 2558, 14:00:12 »

พักที่โฮมสเตย์
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #603 เมื่อ: 12 เมษายน 2558, 14:25:57 »

ที่หน้าทีพักมีตลาดสายหยุด....7โมงตลาดวายแล้ว



ปลากะพง..ธรรมชาติน่ะ

      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #604 เมื่อ: 12 เมษายน 2558, 14:31:38 »

ตามรอยตลาดสดสนามเป้า



ที่มีบ้านไม้เก่า

      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #605 เมื่อ: 12 เมษายน 2558, 14:37:03 »

ได้เวลากลับล่ะ

      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #606 เมื่อ: 18 เมษายน 2558, 21:21:59 »

เล่นน้ำสงกรานต์ที่บางลำภู

      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #607 เมื่อ: 19 เมษายน 2558, 15:45:37 »


น้องเริง พี่ต้อยวางหาภาพ ดร.กมล ตอนรอรับเสด็จที่ ร,
.รเขาส้งกล้อง นครนายกได้ล่ะ  วันนั้นคงเป็นวันที่ทูลหม่อม
รับสั่งเรื่องงานการศึกษากับน้องดร.ไว้เยอะล่ะน่ะ
      บันทึกการเข้า

เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #608 เมื่อ: 20 เมษายน 2558, 12:35:21 »


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทายาทของนายโรเบิร์ต เลวิส หนึ่งในนักบินร่วมของเครื่องบิน"อีโนล่า เกย์"เครื่องบินลำประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่ใช้ทิ้งระเบิดปรมาณู ถล่มญี่ปุ่น ได้นำภาพลับที่ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อน ที่ประกอบด้วยภาพสเก็ตซ์แผนทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิม่าของญี่ปุ่น จำนวนนี้รวมทั้งจดหมายของบิดาเขา ที่มีข้อความสำนึกผิดต่อการกระทำของเขาด้วย

รายงานระบุว่า ภาพเหล่านี้คาดว่าจะถูกประมูลได้เป็นมูลค่ากว่า 3 แสนปอนด์ ซึ่งจะถูกนำขายโดยนายสตีเฟ่น เลวิส บุตรชายนักบินประวัติศาสตร์รายนี้ โดยจะประกอบด้วยภาพเอกสารที่ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อน โดยจำนวนนี้ ภาพหนึ่งเป็นภาพสเก็ตซ์เครื่องบินบี 29 ของสหรัฐที่ถูกใช้ปฎิบัติการโจมตีญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันว่าเครื่องบิน"อีโนล่า เกย์" จะทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มยังเมืองฮิโรชิม่าของญี่ปุ่น ในวันที่ 6 ส.ค.ปี 1945 ที่อยู่ในระดับความสูง 3 หมื่นฟุต
โดยภาพดังกล่าวถูกวาดด้วยปากกาหมึกซึม แสดงให้เห็นแผนของเครื่องบินอีโนล่า เกย์ ทิ้งระเบิดปรมาณู"ลิตเติล บอย"ใส่เมืองดังกล่าว ก่อนที่เครื่องบินนี้จะบินกลับด้วยการบินวกไปด้านขวาหักมุม 150 องศา และรวมทั้งภาพที่มีข้อความเขียนว่า"ระวัง จงอยู่เหนือควันระเบิดปรมาณูในระดับอย่างน้อย 2-3 ไมล์ ตลอดช่วงที่เกิดควันปรมาณู"

อย่างไรก็ตาม ในการประมูลนี้ยังรวมทั้งจดหมายของนักบินโรเบิร์ต เลวิส ด้วย ซึ่งเป็นการแสดงความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์โจมตีรุนแรงที่สุดในโลก ของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองดังกล่าว มีเนื้อความระบุว่า "พระเจ้า เราทำอะไรลงไป เราฆ่าคนไปมากแค่ไหนนี่ และว่า ผมคิดว่าลูกเรือทั้งหมดจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้มันเป็นมากกว่าสิ่งที่มนุษย์คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ และหากผมอยู่ได้ถึงหลายร้อยปี ผมจะไม่มีปล่อยให้เหตุการณ์ทิ้งระเบิดที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนี้ หายไปจากจิตใจตัวเองเลย

ทั้งนี้ ประเมินว่า ปฎิบัติการ"อีโน่า เกย์"ทิ้งระเบิดปรมาณู ถล่มเมือง"ฮิโรชิม่า" ส่งผลให้มีชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตกว่า 150,000 คน หรือคิดเป็น 70 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งหมด
...ข่าวมติชน
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #609 เมื่อ: 23 เมษายน 2558, 11:22:14 »



6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เมืองฮิโรชิมา
    เครื่องบินบี 29 อีกลำหนึ่งได้บินอยู่เหนือเมืองฮิโรชิมาเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ ทำให้ประชาชนตื่นกลัวและหลบอยู่ในที่กำบัง เครื่องบินตรวจสอบสภาพอากาศรายงานผลไปยัง อีโนล่า เกย์ และเมื่อเครื่องบินตรวจสอบอากาศบินเลยไปโดยไม่มีการโจมตี ช่วงนั้นดูเหมือนภัยคุกคามจะผ่านไปแล้ว

    แต่ต่อมาไม่นานเครื่องบิน อีโนล่า เกย์ ก็บินอยู่เหนือน่านฟ้าฮิโรชิมา เวลา 8:15 นาฬิกา ระเบิดนิวเคลียร์(ทดลอง)ที่มีชื่อว่า Little Boy ระเบิดลูกประวัติศาสตร์ถูกปล่อยออกมา หลังจากหล่นลงมา 43 วินาที กลไกที่ทำงานตามเวลาและแรงดันอากาศก็เริ่มกระบวนการจุดระเบิด กระสุนยูเรเนียมถูกยิงไปตามลำกล้องเข้าใส่ยูเรเนียมที่เป็นเป้าหมาย ยูเรเนียมทั้งสองเริ่มทำปฏิกิริยาลูกโซ่ อณูของแข็งเริ่มแตกตัวและปล่อยพลังงานออกมาในปริมาณมหาศาล
ระเบิดปล่อยอานุภาพทำลายล้างออกมาทีละขั้น ประกายไฟที่ออกมาจากลูกไฟยักษ์ที่กว้างถึง 300 เมตร ทำให้อุณหภูมิที่อยู่ด้านล่างลูกไฟนั้นสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียส รังสีความร้อนหลอมละลายทุกอย่างที่อยู่ในที่โล่งถ้าไม่ระเหยกลายเป็นไอ ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที ปฏิบัติการของทหารอเมริกันครั้งนั้นคร่าชีวิตคนไปราว 200,000 คน และเป็นการยุติสงครามโดยสิ้นเชิง


      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #610 เมื่อ: 24 เมษายน 2558, 11:46:56 »

อดีตของฮิโรชิมา




ปัจจุบัน

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #611 เมื่อ: 24 เมษายน 2558, 20:23:20 »

เป็นหน้าที่ของ Lawyervat ที่เข้ามาในเว็ปเพื่อแนะนำงานให้
คงต้องเข้าบ่อยขึ้นมั้ง??
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #612 เมื่อ: 26 เมษายน 2558, 18:48:41 »

ดร.เสรี ซีมะโด่ง 2520

      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #613 เมื่อ: 27 เมษายน 2558, 13:18:15 »

เที่ยงนี้ ดวงอาทิตย์ตั้งฉากในเขตกรุงเทพฯ ได้รับพลังงานเต็มที่ แต่อุณหภูมิอาจสูงไม่ถึงตามที่คาดการณ์ไว้

นายศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่า เวลาประมาณ 12.18 น. วันนี้ (27 เม.ย. 58) ตามเวลาประเทศไทย ดวงอาทิตย์โคจรอยู่ในแนวตั้งฉากกับเขตกรุงเทพมหานคร ผ่านเหนือศีรษะของเราพอดี ทำให้ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ แต่อุณหภูมิจะสูงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทางอุตุนิยมวิทยา ซึ่งอาจส่งผลให้อุณหภูมิไม่สูงที่สุดตามที่คาดการณ์กันไว้
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #614 เมื่อ: 28 เมษายน 2558, 10:33:50 »

นครสวรรค์, วันนี้แดดดีมาก คาดว่าอากาศจะร้อนอบอ้าวมากพอดู
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #615 เมื่อ: 29 เมษายน 2558, 18:06:14 »

วันนี้จึงเชิญชวนท่านให้ติดตามอ่านบทความของ นนทพร อยู่มั่งมี ที่ชื่อว่า "คดีไฟไหม้ในกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5 : ภาพสะท้อนวิถีชีวิตของราษฎร และการปกครองของรัฐสมัยใหม่" ในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนพฤษภาคมนี้

แสงสว่างจากไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ในยุคแรกๆ จำกัดเฉพาะการใช้งานของรัฐ กับบ้านของผู้มีฐานะที่ต้องซื้อหาอุปกรณ์และจ่ายค่าไฟในราคาสูง

เหตุเพลิงไหม้ในเวลานั้นมักจะเกิดจากบ้านเรือนของประชาชนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่โดยพื้นที่ต้นเพลิงส่วนใหญ่คือ ห้องครัว เพราะต้องใช้ฟืนไฟเป็นองค์ประกอบหลัก ดังรายงานจากกองตระเวน โรงพักจักรวรรดิ เมื่อ พ.ศ.2450 บันทึกว่า

"ครั้นเมื่อทำการหุงต้มเสร็จแล้ว อำแดงเปลี่ยนได้ดับเพลิงที่เตาเอาถ่านที่ดับแล้วใส่ลงในหม้อมีฝาไม้ปิดเอาถ่านวางลงไว้ที่ข้างฝาครัวไฟแล้วใส่กุญแจห้องครัวไว้ตัวอำแดงเปลี่ยนรับใช้การงานในตึกพระยานรฤทธิ์ เพลิงในหม้อถ่านดับยังไม่สนิดดีลุกติดลามหม้อเลยคุไหม้ฝากระดานไม้สิงคโปร์ในครัวไฟเพลิงลุกลามขึ้น"

การใช้แสงสว่างจากดวงจันทร์ข้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแสดงมหรสพที่จะเปิดการแสดงเฉพาะข้างขึ้นตั้งแต่วันขึ้น 8 ค่ำเป็นต้นไปพอถึงข้างแรมก็งดการแสดง

ส่วนไฟฟ้าส่องสว่างบนถนนจะขึงสายไฟตัดข้ามถนนเป็นระยะ แล้วแขวนดวงโคมไฟฟ้าห้อยติดไว้กลางถนน บ้านเรือนที่ติดไฟฟ้าส่องสว่างขนาด 10 แรงเทียน ประมาณ 1-2 ดวง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้นจะเปิดเฉพาะข้างแรม พอเป็นข้างขึ้นก็อาศัยแสงสว่างธรรมชาติจากดวงจันทร์



(บน) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมกองตระเวน หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเหตุเพลิงในกรุงเทพฯ ประทับนั่งเก้าอี้ที่ห้าจากซ้าย คือ กรมหมื่นนเรศวรฤทธ์ เสนาบดีกระทรวงนครบาล ชาวตะวันตกซ้ายมือ คือ มิสเตอร์ เอ เย เอ ยาร์ดิน เจ้ากรมกองตระเวน คนแรก (ล่าง) ตึกแถวสองฝั่งถนนที่สร้างและเลือกวัสดุในการก่อสร้างที่สะท้อนแนวคิดของรัฐและชนชั้นนำมีต่อการป้องกันเพลิงไหม้  สังเกต เสาชิงช้า


เชื้อเพลิงหลักที่ใช้ขณะนั้นคือ"น้ำมันมะพร้าว" แต่ไม่นานเทคโนโลยีใหม่ของโลกอย่าง "น้ำมันก๊าด" ที่เริ่มแพร่หลายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย ที่ทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้เพิ่มขึ้นในช่วงแรก เนื่องจากน้ำมันก๊าดไวไฟกว่าและผู้ใช้ยังไม่คุ้นเคย

ดังจะเห็นได้จากเหตุเพลิงไหม้ตึกแถวย่านถนนเฟื่องนคร เมื่อ พ.ศ.2450 ซึ่งรายงานโรงพักสำราญราษฎร์ บันทึกคำให้การอำแดงผาดเจ้าของตึก ไว้ว่า

"วันนี้เวลาบ่าย ๓ โมงอำแดงช่วยได้วานผู้มีชื่อคือนายเคล้าซึ่งอยู่ห้องเดียวกันไปซื้อตะเกียงแก้วตั้ง คือดวงที่ลุกขึ้นนี้ จากร้านสี่กั๊กเสาชิงช้า ครั้นเมื่อซื้อมาแล้ว นายเคล้าเปนผู้เติมน้ำมันในคืนวันเดียวกันนั้นเองเวลา ๒ ทุ่มเศษ

ข้าพเจ้าได้ลองจุดแล้วเอาไปตั้งริมฝา พอจุดขึ้นไฟในตะเกียงก็พุบขึ้นโคมแตกน้ำมันก็ไหลซึมไปตามพื้นไปอีกห้องหนึ่ง คือห้องของอำแดงเจิมไปลุกที่หมอน ๑ ใบ ที่นอนน้ำมันผ้าห่มปะลังเก้ด ๑ ผืน"

กรณีของอำแดงผาดเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในหลายกรณีที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้นจากน้ำมันก๊าด นอกจากนี้ น้ำมันก๊าดยังเป็นเชื้อเพลิงที่คนร้ายส่วนใหญ่ใช้ในการลอบวางเพลิง เช่นคดีตัวอย่างจากบันทึกโรงพักสามแยก เมื่อ พ.ศ.2449 ว่า

นายอ่อนผู้ร้ายวางเพลิงบริเวณตรอกสวนผักกาดใกล้บ้านจีนล่ำซำถูกจับกุมขณะกำลังจุดไฟข้างบ้านจีนล่ำซำพร้อมหลักฐานทั้งขวดน้ำมันก๊าด ผ้าขี้ริ้ว กาบมะพร้าวชุบน้ำมันก๊าด และไม้ขีดไฟ

เมื่อสืบประวัตินายอ่อนรับจ้างทำนาอยู่คลอง 4 เมืองธัญญบุรี เข้ามากรุงเทพฯ ขาดแคลนทั้งทรัพย์สินและความสัมพันธ์ทางสังคม จึงเป็นแรงงานรับจ้างเพื่อหารายได้ อาศัยโรงบ่อนย่านบางรักและหัวลำโพงเป็นที่หลับนอน ทั้งนายอ่อนมีประวัติเคยถูกจับกุมมาก่อน

เหตุเพลิงไหม้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวข้างบนทำให้เห็นสภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น หากยังมีมุมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ เช่น การควบคุมการก่อสร้างบ้านเรือน, มาตรการดูแล เก็บรักษา และใช้เชื้อเพลิง, การทรงเจ้ากับเหตุเพลิงไหม้
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #616 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 11:01:11 »

ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะหวนกลับมาพบปะกับ “คนรักเก่า” ของตัวเองหรือแค่พูดถึงก็เป็นเรื่องแล้ว จึงต้องปล่อยให้เหตุการณ์หวานชื่นในอดีตค่อยๆ จางหายไป แต่ไม่ใช่สำหรับชุมชนเก่าแก่ อย่าง “เขิวไว” ที่ตั้งอยู่ใน “เขตแม้ววัก” ทางเหนือสุดของจังหวัดห่าซาง 500 กิโลเมตรจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และเกือบจะติดพรมแดนจีน

ชุมชนนี้มีประเพณีที่มีลักษณะเฉพาะตัวของตัวเองที่จะดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและผู้คนในบริเวณใกล้เคียงให้เข้ามาพบปะกัน นั่นก็คือ ประเพณี “พบคนรักเก่า”
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #617 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 11:06:19 »

ประเพณีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 26-27 ของเดือนสาม ตามปฏิทินจันทรคติ ในช่วงเวลา 2 วัน คู่รักเก่ากว่าร้อยคู่จากชนเผ่าต่างๆในหลากหลายพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ชาวไตนุง ไต โลโล ซันชิ ชาวสัยและชาวม้งจะเดินทางมาพบกัน พวกเขาจะเดินช้าๆ บุกป่าฝ่าดงข้ามภูเขาเพื่อที่จะมาพักอยู่ที่ชุมชนนี้เป็นเวลา 2 วัน เพื่อพบคนรักเก่า ผู้ที่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะได้เจอกันเพียงปีละครั้งเท่านั้น
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #618 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 11:09:51 »

เรื่องมีอยู่ว่า สาวเผ่าสัย จากจังหวัดห่าซางดันไปตกหลุมรักเข้ากับ หนุ่มเผ่าไตนุง จากจังหวัดกาวบั่ง แต่ด้วยความที่ฝ่ายหญิงมีรูปโฉมงดงาม ดังนั้น คนในเผ่าจึงไม่ยอมให้เธอแต่งงานกับคนนอกเผ่า จากนั้นทั้งสองเผ่าจึงได้ทะเลาะกันจนกลายเป็นสงครามนองเลือด หนุ่มสาวทั้งสองที่รักกันไม่ต้องการเห็นญาติพี่น้องต้องมาตายเพราะตัวเอง จึงยอมที่จะแยกจากกันตลอดกาลเพื่อจบศึกครั้งนั้น

ถึงกระนั้น ความรักของสาวเผ่าสัยและหนุ่มไตนุงก็ยังไม่ตาย ทั้งคู่แอบทำสัญญาให้คู่รักที่ไม่มีโอกาสครองคู่อยู่ด้วยกัน สามารถมาพบกันได้ที่ชุมชนเขิวไว ในวันที่ 26-27 เดือนสาม ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี

ปัจจุบันเมื่อถึงช่วงเวลานี้ ผู้คนท้องถิ่นจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสสวยงาม ระลึกถึงความรักของหนุ่มสาวคู่นี้...ที่ไม่สมหวังในอดีต ผู้ที่เดินทางไปเยี่ยมประเพณีนี้อาจคิดว่า มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่ในความเป็นจริง ชาวบ้านจะถือว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่จะมารำลึกความหลังและฉลองให้กับความสุขที่ในอดีตเคยมอบให้แก่กัน

“หลัว หมิ่น เปา” หนุ่มเวียดนามที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงและเดินทางมาเข้าร่วมประเพณีนี้เล่าว่า เขาต้องการมาพบกับคนรักเก่าปีละครั้ง แต่ก่อนพวกเขารักกันมาก แต่ก็ไม่ได้แต่งงานกัน เพราะอยู่ไกลกันเกินไป การมาพบกันครั้งนี้เหมือนได้รำลึกความหลังครั้งที่ยังรักกันดี ส่วนภรรยาของเขาก็รับได้ เพราะเธอเองก็มางานนี้เพื่อพบคนรักเก่าของเธอเช่นกัน
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #619 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 11:13:55 »

ทุกวันนี้ “ประเพณีพบปะคนรักเก่า” กลายเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมจนดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมที่เกิดขึ้นก็มีหลากหลาย เช่น การออกบูทนิทรรศการการท่องเที่ยว ชมพิธีกรรมบูชาฝนของชนเผ่าโลโล อีกทั้งยังมีการแสดงการละเล่นพื้นบ้านอีกหลายชนิด รวมทั้งการชนไก่ด้วย ผู้คนที่มาเข้าร่วมล้วนแต่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสประจำเผ่าตนเอง..ข่าวเดลินิวส์ 30 เมษายน
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #620 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 13:43:20 »

รู้จักกันไปบ้างแล้วสำหรับการพัฒนาอุปกรณ์ที่ทำให้สมาร์ทโฟนคู่ใจ แปลงร่างเป็นแว่นขยายหรือกล้องจุลทรรศน์เคลื่อนที่

ผลงานของคนไทยล้วน ๆ คราวนี้ถึงเวลาต่อยอด นำประยุกต์ใช้งานซึ่งมีได้หลากหลายและหนึ่งในนั้นก็คือการนำไปพัฒนาเป็นผลงาน “สมาร์ท เลิร์นนิ่ง” (Smart Learning) นวัตกรรมกล้องจุลทรรศน์สมาร์ทโฟนเพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา

ผลงานการพัฒนาของ รศ.ดร.สนอง. เอกสิทธิ์ และคณะ แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (แผนกประถมศึกษา)

ซึ่งคว้ารางวัลเหรียญทองเกียรติยศระดับนานาชาติมาหมาด ๆ จากการเข้าร่วมแสดงนิทรรศการและประกวดในงาน “43rd International Exhibition of Inventions of Geneva” ที่จัดขึ้นเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่กรุงเจนีวา ประเทศสมาพันธรัฐสวิส

งานนี้ได้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นผู้สนับสนุน นำทัพนักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยไปอวดศักยภาพในเวทีระดับโลก

รศ. ดร.สนอง บอกว่า เป็นการต่อยอดจากการพัฒนากล้องจุลทรรศน์สมาร์ทโฟนเพื่อการตรวจสอบอัญมณีและเครื่องประดับ เนื่องจากระบบเลนส์ที่พัฒนาขึ้นมีกำลังขยายที่พอเหมาะ การใช้งานไม่ซับซ้อน และสามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทุกยี่ห้อ ทุกรุ่นโดยไม่ต้องปรับแก้ใด ๆ

จึงนำมาใช้งานด้านการเพิ่มศักยภาพทางการศึกษาของเด็กไทยโดยมีกำลังขยายประมาณ 15 เท่า หากติดกับไอโฟนที่มีกล้องความละเอียดสูง ๆ สามารถขยายได้มากถึง 60 เท่าทีเดียว

ผู้วิจัยบอกว่าออกแบบเลนส์ให้เป็นคลิปหนีบขนาดเล็ก สามารถหนีบติดไว้ที่หน้ากล้องสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวกไม่หลุดง่าย เด็ก ๆ สามารถพกพาออกไปใช้งานภายนอกห้องเรียนได้อย่างสะดวก

เห็นได้หมด ไม่ว่าจะเป็นปากมด ปีกแมลง เกสรดอกไม้ ลายผ้า หรือว่าลายมือสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ แถมยังสามารถบันทึกและเชื่อมต่อโลกอินเทอร์เน็ตได้ทันทีอีกด้วย

ด้านนางสริญญา รอดพิพัฒน์ อาจารย์จากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในทีมพัฒนา บอกว่า ได้นำนวัตกรรมนี้มาใช้กับนักเรียนในชั้น ป.5 และ ป.6

แค่ติดเลนส์ ก็สามารถใช้งานได้ทันทีโดยส่วนใหญ่ตัวอย่างที่ให้เด็ก ๆ ได้ศึกษาก็คือเฟิร์น มอส หินและดอกไม้ เด็ก ๆ สามารถค้นคว้าได้ด้วยตัวเอง และนำข้อมูลมาลงในอีบุ๊ก ซึ่งมีแอพพลิเคชั่นรองรับอย่างหลากหลาย

เสมือนกับเด็ก ๆ ได้สร้างบทเรียนด้วยตัวเอง.

นาตยา คชินทร. แห่งเดลินิวส์
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #621 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 18:56:51 »

วันนี้ (30 เม.ย.) ผศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวตอนหนึ่งในงานแถลงข่าว “บทเรียนจากเนปาลสู่ไทย...รับมือแผ่นดินไหวอย่างไร” ที่จุฬาฯ ว่า ขณะนี้มีข้อมูลคลาดเคลื่อนถึงการเกิดแผ่นดินไหวซ้ำที่เนปาล ซึ่งจากการวิเคราะห์ของหน่วยงานนานาชาติล่าสุด ยืนยันแล้วว่ารอยแยกที่เกิดขึ้นเป็นคนละรอยแยกกับที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1934 แต่เป็นรอยแยกเดียวกับรอยแยกที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1505 ดังนั้น จึงเป็นการเกิดอุบัติซ้ำใน 510 ปี ไม่ใช่ 80 ปี ตามที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ทั้งนี้ ยืนยันว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยแน่นอน เพราะอยู่ห่างไกลกันมาก โดยแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ได้แก่ แนวมุดตัวสุมาตรา-อันดามัน และกลุ่มรอยเลื่อนสะกาย ที่ผ่านพาดเมืองมิตจีนา เนปิดอร์ และ มัณฑเลย์ ของเมียนมา ซึ่งกลุ่มรอยเลื่อนนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวมาแล้ว 12 ครั้ง ความแรงสูงถึง 8.0 ริกเตอร์ และไทยเคยได้รับแรงสั่นสะเทือนถึงกรุงเทพฯ จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง

ศ.ดร.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ ที่ปรึกษาศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหว ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เนปาลครั้งนี้ สร้างความเสียหายให้แก่โบราณสถานจำนวนมาก ดังนั้น จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องนำมาคิด เพราะไทยมีโบราณสถาน และวัดที่สำคัญจำนวนมาก เช่น วัดพระแก้วมรกต เป็นต้น หากได้รับความเสียหายจะส่งผลกระทบมากทั้งด้านจิตใจ และการท่องเที่ยว จึงฝากผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งอยากกำชับให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่คอรัปชั่น เพราะคนไทยยังย่อหย่อนอยู่มาก ซึ่งขณะนี้มีวัด และอาคารเรียนจำนวนมากที่ก่อสร้างหลังปี 2540 ไม่ได้ออกแบบให้ต้านทานแผ่นดินไหว ทั้งที่กฎหมายกำหนดว่าต้องออกแบบอาคารให้ต้านทานแผ่นดินไหว

“ ต้องเร่งให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่องระบบโครงสร้างอาคารที่รองรับการเกิดแผ่นดินไหว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมาก เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านสร้างบ้านโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยสร้างให้ใต้ถุนบ้านโล่ง เพื่อให้น้ำไหลผ่านได้ บางบ้านใช้ใต้ถุนเก็บอุปกรณ์การเกษตร ซึ่งในอดีตถือว่าทำได้ แต่ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะจะพังลงมาง่าย โดยในการก่อสร้างควรให้วิศวกรเป็นผู้ออกแบบ และในการก่อสร้าง รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ต้องได้มาตรฐานด้วย เช่น เสาสำเร็จรูป บ้านน๊อคดาวน์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน จึงอยากให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) มีการรับรอง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย นอกจากนี้รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความแข็งแรงของอาคารเก่า และเสริมสร้างความแข็งแรง โดยเฉพาะอาคารสาธารณะ และสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บัญชาการของตำรวจ และทหาร ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ และโรงเรียน เพราะเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น สถานที่เหล่านี้จะเป็นจุดสำคัญที่ใช้ในการดูแล และพักพิงของประชาชน” ศ.ดร.ปณิธาน กล่าว.
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #622 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 19:29:12 »

อดีตเสือร้าย” นามกระเดื่องที่ชื่อ “เสือใบ”

เสือใบ” เล่าถึงอดีต ว่า ก่อนเป็น “โจร” ก็เป็นชาวนา บ้านอยู่ จ.สุพรรณบุรี พอช่วงปี 2487 ตอนนั้นอายุประมาณ 30 ปี ที่บ้านถูกโจรวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามาขโมยควาย ตอนนั้นไม่คิด “แค้น” อะไรเพราะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่อีก 5 เดือนต่อมา โจรกลุ่มเดิมได้ย้อนกลับมาปล้นที่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ “ฉุดน้องเมีย” ไปด้วย จึงแค้นมากคว้าปืนลูกซองออกตามล่าโจรและตามน้องเมียกลับคืนมา สุดท้ายฆ่าโจรตายไป 2 ศพ ถูกตำรวจตามจับ

จึงหนีออกจากบ้านเข้าสู่ “เส้นทางสายโจร” มาอาศัยในป่าแถบ จ.อ่างทอง เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ เมื่อไม่มีเงินซื้อข้าวก็ออกปล้น จนมีชื่อเสียงใน “วงการโจร” มีลูกน้องเพิ่มขึ้นถึง 40 คน หลังจากนั้นก็เข้าไปอยู่ในสังกัด “ซุ้มเสือดำ” เป็น 1 ใน 4 เสือที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด

พื้นที่ปล้นจะอยู่ในเขต จ.อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ส่วนสุพรรณบุรีจะไม่ปล้นเพราะเป็นเขตอิทธิพลของเสือดำ ถือเป็นเขตเดียวกันจะไม่เข้าไปรบกวน โดยเลือกปล้นเฉพาะ “คนรวยหน้าเลือด” ได้เงินมาจากการ “โกง” คนจน คนรวยที่มีคุณธรรมช่วยเหลือชาวบ้านเราจะไม่ปล้น และการปล้นแต่ละครั้งจะไม่เอาทรัพย์สินหมด เอาครึ่งเดียว ใช้วิธีปล้นแบบขอเจ้าทรัพย์ สิ่งไหนเจ้าทรัพย์ไม่ให้ก็ไม่เอาและห้ามทำร้าย
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #623 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 19:34:03 »

ปัจจุบัน

เสือใบ อดีตโจรในตำนาน ฉายาโรบินฮู้ด วัย 94 ปี ถูกหามส่งโรงพยาบาล หลังอาการทรุดหนัก หายใจเหนื่อยหอบ พักรักษาตัวในห้องไอซียู

รายงานข่าวแจ้งว่า นายใบ สะอาดดี หรือที่ได้ยินในชื่อคุ้นหู “เสือใบ” อดีตจอมโจรระดับตำนานของไทย ในวัย 94ปี ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ภายหลังเกิดอาการหายใจหอบเหนื่อย รับประทานอาหารก็อาเจียนออกมาตลอดเวลา

ทั้งนี้จากการวินิจฉัยของแพทย์พบว่า เสือใบ มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และมีอาการปอดอักเสบ ทำให้มีอาการหายใจเหนื่อยหอบมากขึ้น จนต้องให้เข้ารักษาตัวด่วนในห้องไอซียู เบื้องต้นทางทีมแพทย์ได้ดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากไตเริ่มมีปัญหาซ้ำอีก ด้าน นาวาตรี วสวัตติ์ สะอาดดี (เศรษฐพล) อายุ 53 ปี บุตรชายคนโตของ “เสือใบ” เปิดเผยว่า พ่อของตนมีอาการอาเจียนไม่หยุดหลังทานอาหารเช้า ญาติ ๆ จึงได้พาตัวส่งโรงพยาบาลดังกล่าว

สำหรับ เสือใบ เป็นที่รู้จักในนามจอมโจรชื่อดังในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับ เสือดำ, เสือหวัด , เสือฝ้าย , เสือมเหศวร โดยเสือใบจะออกปล้นในแถบภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดลพบุรี โดยเวลาออกปล้นจะแต่งชุดสีดำ สวมหมวกดำ และปล้นด้วยความสุภาพ จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือใบ
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #624 เมื่อ: 30 เมษายน 2558, 19:54:17 »

เสือดำ จอมโจร ผู้ช่วยคนจน

สำหรับชีวิตจริงของเสือดำ ผู้เป็นจอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับ เสือใบ, เสือฝ้าย และ เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ระพิน ได้ชื่อว่าเสือดำ จากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ แต่เมื่อเวลาออกปล้นจะต้องประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์และปล้นด้วยความสุภาพ นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกับ เสือใบ




“หลวง พ่อทวีศักดิ์” หรืออดีต “เสือดำ” เล่าถึง “ทางโจร” ที่ทำให้พบ “เสือมเหศวร” และ “เสือใบ” ว่า ช่วงนั้นก็ออกปล้นเรื่อยมา จนมาพบกับ “เสือมเหศวร” และ “เสือใบ” ซึ่ง “หัวอกเดียวกัน” เพราะทั้งสองถูกโจรปล้นบ้านและต้องการแก้แค้น จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ขณะนั้น “สมุน” ยังไม่มี จึงแยกทางกันไป “สร้างชื่อ” เพื่อหาลูกน้อง จนมีลูกน้องติดตาม 50-60 คน จึงตั้งเป็น “ซุ้มเสือดำ”!!!

เสือดำ ถูกปราบได้ด้วย ขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจมือปราบชื่อดัง โดยขุนพันธ์ฯ ให้โอกาสเสือดำกลับตัว เสือดำจึงไปบวชกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น และบวชมาจนบัดนี้

“กฏเหล็ก สำคัญที่สุดของซุ้มเสือดำ คือ ห้ามข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ นอกจากเจ้าทรัพย์จะฮึดสู้ทำร้ายเราก่อน นอกจากนั้นสมุนทุกคนต้องอยู่ในศีลธรรม ห้ามยุ่งเกี่ยวกับสาวในหมู่บ้าน ห้ามปล้นโรงสีข้าวเด็ดขาด เพราะจะทำให้เราไม่มีข้าวกิน ห้ามปล้นตลาดสดเพราะเป็นจุดรวมของเด็ก คนแก่ และคนทั่วไป ถ้าพบลูกน้องคนใดทำผิดกฎจะฆ่าทิ้งทันที เพราะถือว่าผิดสัจจะของกลุ่มโจร ส่วนทรัพย์สินที่ปล้นมาจะแบ่งเป็น 5 ส่วน คือ 1.ค่าอาหาร 2.ค่ากระสุนปืน 3.แบ่งไว้ช่วยเหลือคนจน 4.ช่วยเหลือโรงเรียน และ 5.ช่วยเหลือวัด…..

…..พื้นที่ ปล้นอยู่ใน 3 จังหวัด คือ อุทัยธานี สุพรรณบุรี และชัยนาท โดยจะแบ่งโซนกันระหว่าง เสือใบ และเสือมเหศวร ช่วงว่างจากการปล้นจะพาลูกน้องเข้าป่าตัดต้นไม้ไปสร้างบ้านให้คนจนฟรี เพื่อตอบแทนคุณ พร้อมทั้งมอบวัวที่เราปล้นมาให้อีกครอบครัวละ 1 คู่” อดีต “เสือดำ” เล่าถึงเส้นทางสายโจรที่รุ่งโรจน์ของเขา ซึ่งพฤติกรรมดูคล้าย “โรบินฮู๊ดส์”

จนกระทั่งการมาถึงของ “ขุนพันธ์” เส้นทางสายโจรของพวกเขาก็เริ่มตีบตัน…..อดีต “เสือดำ” เล่าถึงชีวิตในช่วงต่อมา ว่า ช่วงปี 2495-2499 ทางการเริ่มปราบปรามกลุ่มโจรอย่างหนัก เรา 3 เสือ คือ “เสือดำ-เสือใบ-เสือมเหศวร” เป็นที่ต้องการตัวของทางการมาก มี “ค่าหัว” คนละหลายหมื่นบาท การปล้นเริ่มมีอุปสรรค บางครั้งถึงขั้นต้อง “ดวลปืน” กับตำรวจ แต่เราก็อยู่รอดปลอดภัยมาตลอดเพราะมีวิชา “อาคม” ที่เรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์ จนมาวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ดวลปืนกับ “ขุนพันธ์” ที่ยกกำลังมาดักจับที่ จ.ชัยนาท และวันนั้นก็ทำให้เรา “กลับใจ”

“ครั้ง นั้นต่างคนต่างมีวิชาอาคมทั้งคู่ ทำอะไรกันไม่ได้และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาขุนพันธ ก็นำกำลังออกไล่ล่าดวลปืนกันอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายขุนพันธ์ ได้นัดคุยกันอย่างลูกผู้ชายกับเราว่าต่างคนต่างมีอาคม คงทำอะไรกันไม่ได้ จึงขอให้เราเลิกเป็นโจร หยุดปล้น ถ้าหยุดตำรวจจะยกเลิกการจับกุมทุกหมายจับ แต่ต้องกลับตัวเป็นคนดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรากลับมานอนคิดอยู่ 3 วัน เราปล้นมา 20 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น จึงตัดสินใจหยุดเป็นโจร
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><