22 พฤศจิกายน 2567, 11:02:05
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 14  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมชาติ ธรรมดา แบบไทยๆ  (อ่าน 493081 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #250 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2556, 00:55:31 »

เมืองไทยพัฒนายาก เพราะขาด

1.ความไว้ใจ คิดแต่ว่าใครทำงานต้องโกงหรือได้ประโยชน์จากโครงการ ทำให้คนทั่วไป ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ไม่แก้ปัญหา เพราะคนด่ามีมากกว่าคนสนับสนุน ไม่ทำไม่ถูกด่า สบายใจกว่า

2.ความเข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่ค้นคว้าหาข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ ไม่สนใจอ่านเอกสารต้นฉบับ อ่านเอาแต่เอกสารที่นำมาตัดต่ออ้างถึง เลยขาดภูมิรู้ความจริงทั้งหมด การเผยแพร่ซักถามไปเน้นความเห็นมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง ทำให้เกิดการขัดแย้งสูงและหาทางยุติปัญหาข้อขัดแย้งยาก เพราะความเห็นที่ขาดข้อเท็จจริงและองค์ความรู้มีแต่ความเชื่อ ยากที่จะตัดสินอย่างเหมาะควรได้

3.ความเห็นใจ เนื่องจากมุ่งเน้นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ขาดมุมมองทางสังคม จริยธรรม ทำให้ใช้หลักประโยชน์ตนเป็นหลักพิจารณา ไม่เน้นประโยชน์ท่าน กรอบแนวคิดในการตัดสินใจ จึงไม่อยู่ที่ ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม

4.ความจริงใจ เนื่องจากขาดการอบรมบ่มใจให้มีศีลมีธรรม ทำให้ขาดความจริงใจในการทำงาน แก้ปัญหา ทำโครงการ ผู้ใหญ่มีมุสาวาทเป็นปกติ ไม่ทำตามที่พูด ไม่พูดในเรื่องที่ทำ เด็กและผู้น้อยเห็นว่าการพูดจริงเป็นเรื่องไม่ควรทำ จนกล่าวกันว่าเรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดตาย ทำให้หาผู้อาจหาญยึดถือสัจจะความจริงได้ยาก

5.ความอดใจ หากสังคมมีความอดใจต่อจิตใจไฝ่ชั่ว อดใจต่อผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม อดใจต่อความไม่เป็นธรรม มีหริโอตัปปะ ละอายความชั่ว สังคมจะน่าอยู่ยิ่ง

6.ความทำใจ ต้องถือกติกาของสังคม แข่งขันแพ้ต้องยอมรับ แข่งขันชนะไม่ลำพองใจ ยอมรับชัยชนะของผู้อื่นได้ อดทนรอเวลาเป็น อย่างที่เรียกว่าทำใจได้

ลองคิดดูว่าจริงไหม
พธู กะยาจิ
23/9/56
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #251 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2556, 03:52:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 02 ตุลาคม 2556, 00:55:31
เมืองไทยพัฒนายาก เพราะขาด

1.ความไว้ใจ คิดแต่ว่าใครทำงานต้องโกงหรือได้ประโยชน์จากโครงการ ทำให้คนทั่วไป ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ไม่แก้ปัญหา เพราะคนด่ามีมากกว่าคนสนับสนุน ไม่ทำไม่ถูกด่า สบายใจกว่า

2.ความเข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่ค้นคว้าหาข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ ไม่สนใจอ่านเอกสารต้นฉบับ อ่านเอาแต่เอกสารที่นำมาตัดต่ออ้างถึง เลยขาดภูมิรู้ความจริงทั้งหมด การเผยแพร่ซักถามไปเน้นความเห็นมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริง ทำให้เกิดการขัดแย้งสูงและหาทางยุติปัญหาข้อขัดแย้งยาก เพราะความเห็นที่ขาดข้อเท็จจริงและองค์ความรู้มีแต่ความเชื่อ ยากที่จะตัดสินอย่างเหมาะควรได้

3.ความเห็นใจ เนื่องจากมุ่งเน้นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ขาดมุมมองทางสังคม จริยธรรม ทำให้ใช้หลักประโยชน์ตนเป็นหลักพิจารณา ไม่เน้นประโยชน์ท่าน กรอบแนวคิดในการตัดสินใจ จึงไม่อยู่ที่ ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม

4.ความจริงใจ เนื่องจากขาดการอบรมบ่มใจให้มีศีลมีธรรม ทำให้ขาดความจริงใจในการทำงาน แก้ปัญหา ทำโครงการ ผู้ใหญ่มีมุสาวาทเป็นปกติ ไม่ทำตามที่พูด ไม่พูดในเรื่องที่ทำ เด็กและผู้น้อยเห็นว่าการพูดจริงเป็นเรื่องไม่ควรทำ จนกล่าวกันว่าเรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดตาย ทำให้หาผู้อาจหาญยึดถือสัจจะความจริงได้ยาก

5.ความอดใจ หากสังคมมีความอดใจต่อจิตใจไฝ่ชั่ว อดใจต่อผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม อดใจต่อความไม่เป็นธรรม มีหริโอตัปปะ ละอายความชั่ว สังคมจะน่าอยู่ยิ่ง

6.ความทำใจ ต้องถือกติกาของสังคม แข่งขันแพ้ต้องยอมรับ แข่งขันชนะไม่ลำพองใจ ยอมรับชัยชนะของผู้อื่นได้ อดทนรอเวลาเป็น อย่างที่เรียกว่าทำใจได้

ลองคิดดูว่าจริงไหม
พธู กะยาจิ
23/9/56

 สวัสดี ครับ น้องติ๋ม น้องพธู
           จากบทความของน้องพธู 6 ข้อถูกทุกข้อ และถ้าเขียนเพิ่มอีก 10 ข้อก็คงปฏิเสธ ไม่ได้ว่า "ไม่ใช่ ความจริง"
   แล้วจะอะไร ต่อไปล่ะ.......มองเห็นปัญหา....../.แล้วมองเห็นต้นเหตุ ของการที่ ทำให้ คนไทย ทั่วๆไป มีนิสัย พฤติกรรม
   และความคิด ตาม 6 ข้อ หรือ 16 ข้อ หรือ ฯลฯ เหล่านี้หรือเปล่า ? .......ถ้ามีผู้เห็น ต้นทาง ของการเกิด และปลายทาง
   ของผลที่เกิดแล้ว..../  สิ่งต่อไป ก็คงจะต้องถามว่า จะแก้ อย่างไร ? ใครจะเป็นคนแก้ ? เริ่มที่ไหน? /  หรือ จะปล่อยมัน
   อยู่กับมัน.......เพราะ สิ่งที่เราคุยกันนี้ มันเกิดจากการพัฒนาทางความคิด พฤติกรรม ของมนุษย์ ในสังคมนั้นๆ รุ่นสู่ รุ่น
   มันมิได้เกิดขึ้นเอง.....จากผู้ใหญ่ สู่เด็ก....แล้วก็จากเด็กมาเป็น... ผู้ใหญ่ .....ทำอย่างไรกันดี ละ นั้นคือสิ่งที่ควร คิด ควรทำ
   ทำอย่างไร ละที่เราจะ แก้ที่ ต้นเหตุ.......ส่วนปลายนั้นมัน จึงจะ เปลียนแปลงไปตามปัจจัยที่ต้องการได้.......
  (ที่นี่ ประเทศไทย )    เหนื่อย เหนื่อย งง งง
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #252 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2556, 21:24:13 »



ธรรมชาติของคนที่ไม่มีพรมวิหาร 4 โดยเฉพาะ มุทิตา
6.ความทำใจ ต้องถือกติกาของสังคม แข่งขันแพ้ต้องยอมรับ แข่งขันชนะไม่ลำพองใจ ยอมรับชัยชนะของผู้อื่นได้ อดทนรอเวลาเป็น อย่างที่เรียกว่าทำใจได้
ข้อนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ยุคนี้กระมังคะ ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย ชาติที่เขาเรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้วอยู่แถวหน้าของชาติอื่น พรรคคนรวยเขายังหยุดการทำงานของรัฐบาลได้เพราะแพ้เสียงเรื่อง Health Care สำหรับช่วยคนจน และไม่อยากเห็นความสำเร็จของฝ่ายตรงข้าม

มนุษย์ก็คือคนไม่ว่าที่ไหนชาติใดเหมือนกันทั้งนั้น เห็นแก่ตัวและพวกพ้อง
 อายจัง อายจัง

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #253 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2556, 03:22:33 »

คุณครับ
เมื่อคุณตาย คุณจะรู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา เอาอะไรไม่ได้
เพราะเราไม่มี จะมีของเราได้อย่างไีร
มัวหลงว่าเป็นของเรา ไม่รู้ว่า ไม่มีเรา ไม่เป็นเรา

ธรรมสนทนา -พระอาจารย์จีรเดช อภิเชโต
-วัดป่าแก้ว จันทบุรี ๑๙ ต.ค.๕๖
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #254 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 07:14:23 »



      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #255 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 14:13:34 »

สวัสดีปีใหม่ค่า

      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #256 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 22:53:48 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 11 มกราคม 2557, 14:13:34
สวัสดีปีใหม่ค่า


สวัสดีค่ะป้อม
ได้คอมใหม่แล้วค่ะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #257 เมื่อ: 14 มกราคม 2557, 08:32:02 »

ดีจังเลยค่ะ คุณเหยงเขาก็ติดตามถามถึงอยู่ค่ะ เมื่อวันที่ 11 มกรา พี่ๆ 2514 มาเชียงใหม่กัน 2 รถตู้ ป้อมกับน้อยได้ไปร่วมสังสันทน์ด้วย ชวนน้องๆไปกันหลายคน น้องอ้อมไม่อยู่ไปลำปาง จุ๋มคุณพ่อแฟนเสีย สมควรติดงานปีใหม่บริษัท มีน้องกุ้งน้องแขกน้องไมน้องแอมาแจมด้วยค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมือถือแฟลตไม่ค่อยดี แต่พี่ๆถ่ายไว้ค่ะ เดี๋ยวคงได้ดู
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #258 เมื่อ: 14 มกราคม 2557, 22:38:44 »


จะรอดูรูปค่ะ คิดถึงค่ะ

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 14 มกราคม 2557, 08:32:02
ดีจังเลยค่ะ คุณเหยงเขาก็ติดตามถามถึงอยู่ค่ะ เมื่อวันที่ 11 มกรา พี่ๆ 2514 มาเชียงใหม่กัน 2 รถตู้ ป้อมกับน้อยได้ไปร่วมสังสันทน์ด้วย ชวนน้องๆไปกันหลายคน น้องอ้อมไม่อยู่ไปลำปาง จุ๋มคุณพ่อแฟนเสีย สมควรติดงานปีใหม่บริษัท มีน้องกุ้งน้องแขกน้องไมน้องแอมาแจมด้วยค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมือถือแฟลตไม่ค่อยดี แต่พี่ๆถ่ายไว้ค่ะ เดี๋ยวคงได้ดู
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #259 เมื่อ: 15 มกราคม 2557, 01:38:18 »

มาแย้ว พีฉัน
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #260 เมื่อ: 21 มกราคม 2557, 01:01:36 »


 หลั่นล้า หึหึ
นอนป่วยเป็น Flu ซะเป็นอาทิตย์เลยค่ะ
ได้นอนท่องพุทโธนานมาก ป่วยแต่กายค่ะ แต่ใจไม่ยอมป่วยตาม
จิตมีห่วงบ้างก็พี่น้องคนไทยด้วยกัน
ได้แต่ขอพรคุณพระให้คนไทยมีทิศทางที่ดี ไม่ต้องเจ็บ เสียหายไปมากกว่านี้นะคะ
ได้แต่เอาใจช่วย

      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #261 เมื่อ: 21 มกราคม 2557, 02:24:21 »

“...ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น
ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง
ชาติหน้าชาติหลัง
หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้

ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง
ศีล สมาธิ ปัญญา
อย่างแน่วแน่ก็พอ 

ถ้าสวรรค์มีจริง
ถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา 
ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้
เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ 

หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย
ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้
ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์
ย่อมอยู่เป็นสุข
เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ 

การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น 
ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้

ต้องเพียรปฏิบัติ
ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้ง 
ความสงสัยก็หมดไปเอง
โดยสิ้นเชิง..” 

โอวาทธรรม
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
*****************************

  .... ธรรมะสวัสดี ราตรีสวัสดิ์ ....
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #262 เมื่อ: 21 มกราคม 2557, 23:07:27 »


ขอบคุณมากค่ะน้องพธู เยี่ยม
ได้รับพรปีใหม่ที่วิเศษมากๆมา
ขอส่งพรนี้ต่อให้เพื่อนพี่น้องซีมะโด่งทุกท่านค่ะ

New Year Blessing - พรปีใหม่
Ten meritorious performances one can feel blessed:
กิริยาวัตถุ ๑๐
(1) doing charity -ทาน
(2) self discipline -ศีล
(3) meditation -ภาวนา
(4) respecting the virtue -เคารพผู้มีคุณธรรม
(5) well performing obligations -ทำกิจการงานเสร็จด้วยดี
(6) donation with true faith- ทำบุญด้วยสรัทธา
(7) congratulating to success -อนุโมทนาในบุญที่คนอื่นทำ
(Cool acquiring knowledge - ฟังธรรมตามกาล
(9) sharing knowledge -แสดงธรรมตามกำลัง
(10) searching for truth - ทำพระนิพพานให้แจ้ง


      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #263 เมื่อ: 23 มกราคม 2557, 08:35:18 »

ถึงเวลาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คุณแล้วหรือยัง
เรื่องแปลกของพ่อแม่ลูก

เวลาไม่มีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่

แต่พอมีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึง คือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ...
คนแรกที่คิดถึง คือพ่อและแม่

แต่พอมีรถ ...
คนแรกที่จะไปรับ คือแฟนและเพื่อน

ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ...
มีไว้สำหรับ แฟนและเพื่อน

อาหารบนโต๊ะที่บ้าน ... กลับมีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน

ทีวี และสวนหน้าบ้าน ...
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ...

ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ...

เวลาเรามีความสุข ...
มักจะมองหา แฟนและเพื่อน

เวลาเรามีความทุกข์ ...
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรร

แต่คนที่ดีใจที่สุด คือพ่อและแม่ ...

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรา มองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ...
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย ..เพื่อให้ลูกได้ดี แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ ... คือผู้ฝ่าฟันปัญหา เป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่เมื่อลูกมีปัญหา กับแฟน กับการเรียน ... มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... Huh?

คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรก ที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม ่ของคุณหรือยัง ?

แปลกมะ...ที่บางวัน ตื่นมาพร้อมกับคนที่รู้จักกันไม่ถึง 1 วัน

แปลกมะ... ที่คนที่คุณบอกว่ารักเค้า กลับทิ้งคุณไป
แปลกมะ... ที่เราต้องส่งเมล์ ให้กับคนที่ทำงาน อยู่โต๊ะติดกัน
แปลกมะ...ที่วันเกิดเรา  พ่อแม่ดีใจที่สุด แต่เรากับไปทานข้าวกับคนอื่น
แปลกมะ... ที่เราต้องพูดจาเพราะ ๆ เพื่อให้เค้ายอมรับ แต่ไม่เคยพูดครับคะ กับพ่อแม่ตัวเอง
แปลกมะ... ที่เพื่อนโทรมาชวนเรา เวลาไหนเราก้อออกไป แต่พ่อแม่จะมาหาเรา กลับบอกไม่ว่าง
แปลกมะ... ที่เรารักใครบางคน ที่ไม่กล้าจับแม้กระทั่ง กางเกงในของเรา แต่เรากลับเบื่อ เสียงเตือนของคน ที่ล้างก้นเรา ได้มากกว่าสิบปี
แปลกมะ... ที่คุณทำอะไรได้ทุกๆสิ่ง เพื่อใครบางคน แต่คุณไม่เคยทำ สิ่งที่พ่อแม่แอบดีใจ
แปลกมะ... ที่เรารักเพื่อนที่เคย เลี้ยงข้าวเราเพียง 1 มื้อ แต่เรากลับไม่เคยส่งเงิน ให้กับคนที่เลี้ยงข้าวเรา มาสิบกว่าปี

…แปลกมะ...ที่คุณยังรอ ที่จะทำบุญกับท่าน ในวันที่ท่านไม่อยู่....

แปลกจริงสำหรับคนส่วนใหญ่
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #264 เมื่อ: 23 มกราคม 2557, 22:35:50 »


มันเป็นกฏของธรรมชาติที่ยังดิบๆค่ะ ยังไม่ได้ขัดเกลา
ความกตัญญูนั้นเป็นเรื่องต้องสอนจนเป็นวัฒนธรรม เรื่องนี้ขอยกให้คนจีนโบราณก่อนลัทธิคอมมิวนิส คนไทยก็ใช้ได้ถ้านับถือพุทธแบบปฏิบัติ
เชื่อหรือไม่ว่าคนตะวันตกไม่มีคำนี้อยู่ในวัฒนธรรมเขา ไม่สอนกันแบบไทย จืน
เราทำให้เขาดู เขาสุดทึ่ง และเอาแบบอย่างค่ะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #265 เมื่อ: 23 มกราคม 2557, 22:36:27 »

มันเป็นกฏของธรรมชาติที่ยังดิบๆค่ะ ยังไม่ได้ขัดเกลา
ความกตัญญูนั้นเป็นเรื่องต้องสอนจนเป็นวัฒนธรรม เรื่องนี้ขอยกให้คนจีนโบราณก่อนลัทธิคอมมิวนิส คนไทยก็ใช้ได้ถ้านับถือพุทธแบบปฏิบัติ
เชื่อหรือไม่ว่าคนตะวันตกไม่มีคำนี้อยู่ในวัฒนธรรมเขา ไม่สอนกันแบบไทย จืน
เราทำให้เขาดู เขาสุดทึ่ง และเอาแบบอย่างค่ะ



อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 23 มกราคม 2557, 08:35:18
ถึงเวลาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่คุณแล้วหรือยัง
เรื่องแปลกของพ่อแม่ลูก

เวลาไม่มีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่

แต่พอมีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึง คือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ...
คนแรกที่คิดถึง คือพ่อและแม่

แต่พอมีรถ ...
คนแรกที่จะไปรับ คือแฟนและเพื่อน

ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ...
มีไว้สำหรับ แฟนและเพื่อน

อาหารบนโต๊ะที่บ้าน ... กลับมีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน

ทีวี และสวนหน้าบ้าน ...
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ...

ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ...

เวลาเรามีความสุข ...
มักจะมองหา แฟนและเพื่อน

เวลาเรามีความทุกข์ ...
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรร

แต่คนที่ดีใจที่สุด คือพ่อและแม่ ...

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรา มองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ...
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย ..เพื่อให้ลูกได้ดี แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ ... คือผู้ฝ่าฟันปัญหา เป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่เมื่อลูกมีปัญหา กับแฟน กับการเรียน ... มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... Huh?

คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรก ที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม ่ของคุณหรือยัง ?

แปลกมะ...ที่บางวัน ตื่นมาพร้อมกับคนที่รู้จักกันไม่ถึง 1 วัน

แปลกมะ... ที่คนที่คุณบอกว่ารักเค้า กลับทิ้งคุณไป
แปลกมะ... ที่เราต้องส่งเมล์ ให้กับคนที่ทำงาน อยู่โต๊ะติดกัน
แปลกมะ...ที่วันเกิดเรา  พ่อแม่ดีใจที่สุด แต่เรากับไปทานข้าวกับคนอื่น
แปลกมะ... ที่เราต้องพูดจาเพราะ ๆ เพื่อให้เค้ายอมรับ แต่ไม่เคยพูดครับคะ กับพ่อแม่ตัวเอง
แปลกมะ... ที่เพื่อนโทรมาชวนเรา เวลาไหนเราก้อออกไป แต่พ่อแม่จะมาหาเรา กลับบอกไม่ว่าง
แปลกมะ... ที่เรารักใครบางคน ที่ไม่กล้าจับแม้กระทั่ง กางเกงในของเรา แต่เรากลับเบื่อ เสียงเตือนของคน ที่ล้างก้นเรา ได้มากกว่าสิบปี
แปลกมะ... ที่คุณทำอะไรได้ทุกๆสิ่ง เพื่อใครบางคน แต่คุณไม่เคยทำ สิ่งที่พ่อแม่แอบดีใจ
แปลกมะ... ที่เรารักเพื่อนที่เคย เลี้ยงข้าวเราเพียง 1 มื้อ แต่เรากลับไม่เคยส่งเงิน ให้กับคนที่เลี้ยงข้าวเรา มาสิบกว่าปี

…แปลกมะ...ที่คุณยังรอ ที่จะทำบุญกับท่าน ในวันที่ท่านไม่อยู่....

แปลกจริงสำหรับคนส่วนใหญ่
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #266 เมื่อ: 23 มกราคม 2557, 22:43:46 »

ขอต่อขอความจากน้องพธูด้วยการแบ่งปันข้อความนี้ค่ะ

"พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"



http://pantip.com/topic/30556803

สมเด็จโตท่านเป็นยอดนักเทศน์ ท่านเทศน์ได้จับใจคนฟัง ธรรมเทศนาของท่านเข้าใจง่าย ไม่ต้องนั่งแปลไทยให้เป็นไทย เพราะท่านใช้คำไทยตรงๆ เป็นภาษาพื้นๆ ที่คนทั่วไปได้ฟังก็เข้าใจ เป็นที่นิยมของชนทุกชั้น
ฟังไปก็สนุกเพลิดเพลิน และยังได้คติธรรม ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนนักเทศน์ท่านอื่นๆ

สมเด็จโตท่านได้เล่าว่า มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ข้าราชการ และข้าราชบริพาร ครั้นพอพบหน้าท่านเจ้าผู้ครองแผ่นดินก็ทรงสัพยอกว่า “ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมืองว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย”

สมเด็จโตทรงทูลว่า “ผู้ที่ไม่เคยฟังในธรรม ครั้นเขาฟังธรรม และได้รู้เห็นในธรรมนี้แล้ว เขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพร มหาบพิตร” และวันนี้อาตมาจะมาเทศน์เรื่อง “พระอรหันต์อยู่ในบ้าน”

    
        
    
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหล่าขุนนาง ข้าราชการและข้าราชบริพารต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะอยู่ในถ้ำ ในป่า ในเขา ในที่เงียบสงัดหรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโตจึงกล่าวว่าจะเทศนาเรื่องพระอรหันต์อยู่ในบ้าน ในขณะที่ทุกคนพากันคิดสงสัยอยู่นั้น ฝ่ายสมเด็จโตทรงทราบด้วยญาณวิถีของทุกคน
ท่านจึงขยายความต่อไปว่า จิตพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านละจากความโลภ ความหลง ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆทั้งสิ้น เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม หากใครได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วไซร้ ก็ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด บุญที่ได้ทำกับท่านจะให้ผลในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า ทุกๆคนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน แต่ไม่เคยมองเห็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านเลย

ทุกๆคนที่นั่งฟังเทศนาอยู่ในที่แห่งนั้น ต่างทำสีหน้างุนงงไปตามกัน เพราะไม่เข้าใจความหมาย สมเด็จโตจึงเทศนาต่อไปว่า “พระอรหันต์คือ พระผู้ประเสริฐ คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐ เพียงหวังที่จะยึดท่าน เกาะผ้าเหลืองท่าน เกาะหลังของท่าน เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุข แม้ว่าท่านจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คนเราก็ยังอุตสาห์ดั้นด้นดิ้นรนไปหา เพียงหวังเพื่อยึดเหนี่ยวและบูชาท่าน แต่พระที่อยู่ภายในที่ใกล้ตัวที่สุดกลับมองข้าม มองไม่เห็นเหมือนใกล้เกลือ แต่กลับไปกินด่าง อันน้ำใจของพ่อ แม่ ที่ให้ต่อลูก มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน เช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ที่ให้ต่อมนุษย์ ก็มีความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน

พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก ท่านมีน้ำจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้องของท่าน ทนทุกข์ทรมานร่วมเก้าเดือนบ้างสิบเดือนบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด มีแต่ความสุขใจ แม้ลูกเกิดมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ท่านก็ยังรักยังสงสาร เพราะท่านคิดเสมอว่านั้นคือสายเลือด ถือว่าเป็นลูก ไม่เคยคิดรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านกลับจะเพิ่มความรักความสงสารมากยิ่งขึ้น ครั้นตอนที่เราเป็นเด็กเล็กๆ ก็ซุกซนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอพ่อแม่ต่างๆ นานา เพราะความไร้เดียงสา ท่านก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับยิ้มร่าชอบใจเพิ่มความรักความเอ็นดูให้เสียอีก แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางครั้งด้วยความโกรธ ความหลง เราก็ยังทุบตีหรือด่าทอท่านอยู่ แทนที่ท่านจะโกรธหรือถือโทษเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉย ยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตา ยอมเป็นเครื่องรองรับมือ รับเท้า และปากของเรา
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #267 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2557, 21:57:44 »

http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=16946

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

      การพูดและการนิ่งก็คือจิต   เจตสิกที่ทำหน้าที่   การพูด    พูดด้วยจิตที่เป็นกุศลก็ได้

อกุศลก็ได้ การนิ่ง นิ่งด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้   พระพุทธเจ้าทรงแสดงในเรื่อง

ของการพูดไว้ว่าเราไม่กล่าวว่าควรพูดในสิ่งที่เราเห็น  ได้ยินทั้งหมด    เพราะสิ่งใดเมื่อ

พูดแล้วจิตเป็นอกุศล(ผู้พูด) สิ่งนั้นก็ไม่ควรพูด   แม้เรื่องนั้นจะจริงก็ตาม เรื่องใดไม่จริง

ไม่ควรพูด เรื่องใดจริง แท้แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ควรพูด เรื่องใดจริง ประกอบ

ด้วยประโยชน์   ควรพูดแต่ดูกาลเทศะที่จะพูดด้วย คำว่าประกอบด้วยประโยชน์  ในที่นี้

คือเป็นกุศลกับตัวเองและทำให้ผู้อื่นเป็นกุศลหรือให้ออกจากอกุศล



กล่าววาจาต่อหน้าและลับหลัง [อรณวิภังคสูตร]

องค์แห่งวาจาสุภาษิต ๕ ประการ [วาจาสูตร]  

                                     ********************

การนิ่ง การนิ่งที่เราเรียกว่า ดุษณีภาพ    การนิ่ง  นิ่งด้วยจิตที่เป็นอกุศลก็ได้  กุศลก็ได้

ผู้ที่นิ่งก็ด้วยเหตุหลายประการตามพระไตรปิฎกที่ได้แสดงไว้พอสรุปได้ดังนี้

1. นิ่งเพราะไม่รู้จึงนิ่ง ไม่พูด

2. เป็นผู้ไม่แกล้วกล้าจึงนิ่ง ไม่พูด

3. เป็นผู้สำรวมงดเว้นจากการพูดวจีทุจริตจึงนิ่ง ไม่พูด

4. โกรธจึงนิ่ง

5. เป็นผู้นิ่งอย่างพระอริยคือเป็นการนิ่งอันประเสริฐ

การนิ่งอย่างพระอริยะ    หรือกานิ่งอย่างประเสริฐหมายถึง ขณะที่สติปัฏฐานเกิดขณะ

ที่นิ่งหรือขณะที่พิจารณาสภาพธรรมอยู่   ซึ่งขณะนั้น   ไม่ได้พูดหรือแสดงออกทางกาย

วาจาอย่างใดอย่างหนึ่ง  จึงชื่อว่าเป็นการนิ่งอย่างพระอริยะ   ด้วยจิตที่เป็นกุศล

สรุปได้ว่า  การนิ่งจึงเป็นไปทั้งจิตที่เป็นกุศลและอกุศล  บุคคลจะเป็นผุ้มีปัญญา   เป็นผู้

สงบ เพราะเหตุคือเป็นผู้นิ่งหรือเป็นผู้พูดมากก็ไม่ใช่   แต่สำคัญที่ใจและความเข้าใจที่มี

ของบุคคลนั้น



ไม่ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะความเป็นผู้นิ่ง [คาถาธรรมบท]

                                     ********************

 เมื่อไหร่ควรพูด เมื่อไหร่ไม่ควรพูด(เป็นผู้นิ่ง)....ธรรมเป็นอนัตตาเมื่อมีเหตุปัจจัยก็พูด

หรือไม่พูด แต่ถ้าเป็นความถูกต้องแล้ว หากจะนิ่งไม่พูดเพราะจิตเป็นอกุศลก็ไม่ควร พูด

ด้วยจิตที่เป็นอกุศลก็ไม่ควรแต่ขณะที่ฟังธรรม ขณะที่เข้าประชุมพระพุทธเจ้าทรงแสดง

ว่าสิ่งที่ควรพูดคือกล่าวธรรมหรือหากเธอไม่กล่าวธรรมก็ควรเป็นผู้นิ่ง นิ่งอย่างพระอริยะ

คือพิจารณาธรรม    เป็นต้น  การพูดคือควรพูดในสิ่งทีเป็นประโยชน์ด้วยจิตที่เป็นกุศล

และการนิ่งก็นิ่งด้วยจิตที่ประกอบด้วยกุศล มีการพิจารณาธรรม เป็นต้น

                                     ********************


     พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 73

เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เธอประชุมกันแล้ว  ก็มีกิจ

ที่ควรกระทำ  ๒  อย่าง  คือ   ธรรมีกถา  กล่าวธรรม  หรือดุษณีภาพนิ่งอย่างอริยะ".

ควรเป็นผู้นิ่ง   เพราะเคารพธรรม  หากจะกล่าวเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องของพระธรรมก็ควร

นิ่งเสีย  ในขณะที่ฟังธรรม  เพราะเป็นผู้เคารพธรรม  



นิ่งไม่พูด เรื่องไม่เป็นประโยชน์เพราะเคารพธรรม [ปุนัพพสุสูตร]

                                     ********************

ควรเป็นผู้นิ่ง   ด้วยเหตุเมื่อได้รับคำด่า   วาจาที่ไม่เป็นธรรม เพื่อประโยชน์กับตัวเองคือ

รักษาจิตตัวเองและรักษาผู้อื่นไม่ให้ผู้อื่นเกิดอกุศลมากไปกว่านี้ หากมีการกล่าวโต้ตอบ

กัน จึงควรนิ่งเสียด้วยกุศลจิต

         พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 471

                           ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว   เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้  

          ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและคนอื่น  

                                      เรื่องควรนิ่งเมื่อถูกคำด่าว่า

        พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 715

       พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคาถานี้แล้ว   จึงรับสั่งถามพระอานนทเถระว่า   ดูก่อน

อานนท์  ภิกษุทั้งหลายถูกคำว่าเย้ยหยันอย่างนี้แล้วพูดอย่างไร.   กราบทูลว่า  มิได้พูด

อะไรเลย พระเจ้าข้า.  ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์   เราเป็นผู้มีศีลมิใช่หรือ   เพราะฉะนั้นควร

นิ่งในเรื่องทั้งหมด  แม้รู้อยู่ก็ไม่พูด   เพราะคนพาลกับบัณฑิตเข้ากัน ไม่ได้.  

เรื่องที่ควรพูด.......พูดด้วยกุศลจิต    พูดเพื่อตักเตือน     พูดเพื่อประโยชน์กับผู้อื่นและ

บางอย่าง  เมื่อผู้อื่นกล่าวคำติเตียน  พระรัตนตรัย  ก็ควรพูดเพื่อให้มีความเข้าใจถูกและ

เคารพในพระรัตนตรัย แต่ควรดูกาลเทศะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #268 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2557, 23:49:17 »

ใกล้วันแห่งความรัก
เขาว่ากันว่า"มีรักก็มีทุกข์"
ความรักเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ
ทำอย่างไรจึงจะทำให้ธรรมชาตินี้ให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะเป็นทุกข์

เมตตาบารมี หมายถึง ไมตรีจิต ความรัก ความปรารถนาดีความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยความเข้าใจ ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง เป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน  ประกอบด้วยเมตตากายกรรม การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เมตตาวจีกรรม การพูดจากันด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีและจริงใจ เมตตามโนกรรม การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสาร มีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำแต่สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุขให้แก่กันและกัน

   ความเมตตาอย่างสูงสุดมุ่งที่จะเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์ในสังสารวัฏ จึงยอมสละได้แม้กระทั่งทรัพย์สิน คนรัก อวัยวะร่างกาย หรือแม้กระทั่งชีวิต เห็นการเกิดแก่เจ็บตายของสรรพสัตว์เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าเมื่อยังมิได้ตรัสรู้ ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิบัติในเมตตาบารมีอย่างแรงกล้ามาโดยลำดับ ๓ ขั้น ดังนี้

(๑) เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีมาโดยลำดับ ทรงรักษาปฏิบัติในเมตตาบารมีเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่ารักษาคนที่รักและทรัพย์สิน

(๒) เมตตาอุปบารมี พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมียิ่งขึ้นโดยลำดับ ทรงรักษาเมตตาบารมียิ่งกว่าอวัยวะร่างกาย คือ ทรงรักษาปฏิบัติในเมตตาบารมีเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าอวัยวะร่างกาย

(๓) เมตตาปรมัตถบารมี  พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีอย่างสูงสุด  ด้วยการรักษาเมตตาบารมียิ่งกว่าชีวิต คือ  ทรงรักษาปฏิบัติในเมตตาบารมีเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าชีวิต

อ้างอิงจาก
http://www.jariyatam.com/ten-fo-buddha/59-2009-06-21-02-06-12
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #269 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2557, 21:36:38 »

วันนี้วันดี เป็นวันแห่งความรัก ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ แผ่เมตตาแก่มวลมนุษย์และทุกสิ่งมีชีวิตที่เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=xMVpidwdMd8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=xMVpidwdMd8</a>
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #270 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2557, 22:02:35 »

เรื่องยุ่งๆในบ้านเมืองเกิดขึ้นเสมอๆ  เป็นเพราะต้องพึ่งผู้มีปัญญาบารมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
คติธรรม : บำเพ็ญปัญญาบารมี
ปัญญาอันล้ำเลิศนั้นย่อมทำคุณให้แก่บุคคล ยิ่งกว่ามีทรัพย์นับแสน แม้มิมีปัญญาดั่งปราชญ์ แต่ถ้าเป็นผู้รู้จักคิดให้รอบคอบก่อน ก็ย่อมเป็นผู้มีปัญญาและประพฤติชอบแล้ว


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=9K65JVGQZtk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=9K65JVGQZtk</a>
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #271 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2557, 23:31:38 »

ส่งเพลงไพเราะมาฝากอีกค่ะ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Am9t88Z_ZXc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Am9t88Z_ZXc</a>


อุเบกขาบารมี  หมายถึง การวางใจให้เป็นกลาง  แม้จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากใจ ก็มีใจเป็นกลางไม่โกรธเกลียด  มองทุกสิ่งและยอมรับตามความเป็นจริง  อุเบกขาในเบื้องต้น  เป็นการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ให้อคติมามีอิทธิพลทำให้เอนเอียงไปด้านในด้านหนึ่ง  ด้วยอำนาจของความรักชัง   อุเบกขาอย่างสูง ได้แก่ อุเบกขาในฌาน อันเป็นผลมาจากกำลังสมาธิที่เกิดจากความสงบระงับอย่างสูง

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้า ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญอุเบกขาสูงสูดด้วยการเกิดเป็นพรหม ดำรงอยู่ในอุเบกขาอันเป็นสุขอย่างสูงสุด เพราะไม่มีความทุกข์สุขอันเป็นผลมาจากรักชัง แม้เช่นนั้นก็ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ อุเบกขามี ๓  ขั้น  คือ

(๑) อุเบกขาบารมี คือ อุเบกขาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขายิ่งกว่ารักษาคนและทรัพย์สิน

(๒) อุเบกขาอุปบารมี คือ อุเบกขาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขายิ่งกว่ารักษาอวัยวะของตนเอง

(๓) อุเบกขาปรมัตถบารมี คือ อุเบกขาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขายิ่งกว่ารักษาชีวิตของตน
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #272 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2557, 23:59:59 »

สวัสดีค่ะติ๋ม ติดตามอ่านอยู่นะคะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #273 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2557, 22:10:08 »


ดีใจที่ป้อมมาฟังค่ะ
อยากให้ป้อมฟังเพลงนี้แล้วฟังเนื้อร้องทุกคำๆอย่างตั้งใจไปพร้อมกับหายใจเบาๆสบายๆนะคะ เป็นการทำสมาธิแบบง่ายๆอย่างหนึ่งค่ะ
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2557, 23:59:59

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=kXOGn_57AkY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=kXOGn_57AkY</a>

สวัสดีค่ะติ๋ม ติดตามอ่านอยู่นะคะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #274 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2557, 20:14:06 »

เข้ามาฟังแล้วนะคะ ขอบคุณค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
  หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 14  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><