seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« เมื่อ: 15 สิงหาคม 2555, 23:10:23 » |
|
เที่ยวเมือง Annecy ประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองที่คนหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสเขามักใช้เป็นเมืองฮันนีมูนกันครับ เมืองนี้ชื่อ “อันซี”’ (Annecy) เมืองนี้อยู่ติดสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีทะเลสาบเจนีวาเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นขวาง มองไปอีกฝั่งก็เป็นเมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แถมเมืองนี้ยังแวดล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ อันซีเป็นเมืองเอกของเขตซาวัวตอนบน (Haute Savoie) ได้รับเกียรติให้มีฉายาว่า ห้องรับแขกของโรน-แอลป์ ในแถบเทือกเขาสูงของ French Alps เพราะมีเขตแดนติดกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินทางผ่านเส้นทางนี้จะต้องผ่านเมืองอันซี ด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะในฤดูท่องเที่ยวที่เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน เรื่อยไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง (ราวปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนตุลาคม) เมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งนี้จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มีทั้งคนในยุโรปด้วยกันหรือ มาจากทวีปอื่น รวมถึงชาวฝรั่งเศสเองก็นิยมมาท่องเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะคู่แต่งงานหนุ่มสาวชอบมาฮันนีมูนที่เมืองนี้กันครับ อะไรทำให้เมืองอันซีเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว... ก็เพราะสภาพของเมืองมีความน่ารักน่าอยู่อาศัยราวกับเมืองในฝัน ผังเมืองได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยม ถนนหนทางอยู่ใต้ร่มเงาความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ มีสวนสาธารณะที่คนไทยเห็นแล้วต้องอิจฉากันทุกคน เพราะกว้างและอยู่ริมทะเลสาบงดงามซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 ของฝรั่งเศส ส่วนตัวเมืองยังคงรักษาอาคารโบราณตั้งแต่สมัยยุคกลางเอาไว้ได้ในสภาพสมบูรณ์อาคารที่ว่านี้เรียงรายไปตลอดสองฟากฝั่งของลำคลองเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบ ในฤดูท่องเที่ยวจะมีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ท่ามกลางแสงแดดอุ่นและลม พัดเย็นสดชื่นสบายใจ บ้านช่องห้องหอตกแต่งปานประหนึ่งเมืองตุ๊กตา ทั้งเพื่ออยู่เองและเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอน ต้น จุดเด่นของเมืองอยู่ที่ Palais de L’Isle นอกจากมีรูปทรงเหมือนป้อมโบราณแล้ว ยังตั้งอยู่กลางลำคลองที่มีน้ำไหลผ่านทั้งสองด้าน เดิมทีอาคารนี้เป็นของตระกูลเดล ลิส์ล สร้างในศตวรรษที่ 12 แต่อีก 200 ปีต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นศาลและคุก แล้วเปลี่ยนมาเป็นโรงกษาปณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการของรัฐในศตวรรษที่ 15 แล้วกลับมาเป็นคุกใหม่อีกครั้งในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส จนถึงปี ค.ศ. 1986 ทางการฝรั่งเศสได้เข้าบูรณะครั้งใหญ่แล้วใช้เป็นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ของเมืองอันซีและซาวัว ด้วยความโดดเด่นในประวัติศาสตร์และรูปทรงทางสถาปัตยกรรมทำให้ Palais de L’Isle กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอันซีไปใน ปราสาทแห่งอันซี หรือ Annecy Castle ซึ่งสร้างในสมัยศตวรรษที่ 13 และถูกผู้ปกครองเมืองต่อเติมเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 16 ลักษณะเป็นปราสาทที่สร้างด้วยหินล้วนๆ แบบยุคกลาง หินบนพื้นถนนถูกบดถูด้วยเกือกและล้อรถม้าจนเป็นมันแผล็บภายหลังปราสาทขาดการดูแลเพราะภัยสงคราม และความจำเป็นในการใช้สอยน้อยลงจนที่สุดถึงขั้นไม่มีใครดูแล ปล่อยให้ร้างในที่สุด หลังสงครามโลกครั้งที่สองเกิดไฟไหม้เมืองอันซีครั้งใหญ่และลามมาถึงบางส่วน ของปราสาท ปัจจุบันได้รับการบูรณะเรียบร้อย แล้วดัดแปลงมาเป็นพิพิธภัณฑ์ รวมถึงใช้เป็นที่แสดงงานศิลปะของเมือง โดยเฉพาะงานของศิลปินที่เป็นชาวอันซี ตามปกติเมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปชมปราสาทเสร็จแล้วจะออกมาเดินชมเมืองต่อ โดยเดินชมความคลาสสิกของอาคารที่อยู่ติดกับปราสาท ซึ่งเป็นอาคารสูงเพียง 2-3 ชั้น ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ส่วนชั้นล่างใช้เป็นที่ขายของ มีตั้งแต่ร้านขายงานศิลปะ ร้านของชำ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารธรรมดาไปจนถึงระดับภัตตาคาร ร้านขายกาแฟ ร้านขายเนื้อ ขายเสื้อผ้า และอื่นๆ อีกจิปาถะ สำหรับร้านอาหารฝั่งที่ติดกับลำน้ำจะเน้นทำบรรยากาศสวยและโรแมนติก มีโต๊ะริมระเบียงวางกระบะดอกไม้สีสดเพิ่มความน่ารักขึ้นอีก และถ้าเผื่อไปตรงกับวันที่มีตลาดนัดจะถือว่าโชคดีเป็นของคุณ เพราะถนนสายเล็กๆ กลางเมืองจะมีชาวบ้านนำพืชผักผลไม้และผลิตผลการเกษตรต่างๆ ออกมาวางจำหน่าย ซื้อๆ ขายๆ กันสนุกสนาน ทะเลสาบของเมืองอันซีนี้ชาวเมืองเขาภูมิใจของเขานักหนา ถึงขนาดคุยว่าน้ำในทะเลสาบสะอาดจนกวักขึ้นมาดื่มได้เลย ในช่วงฤดูท่องเที่ยวคือฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนมีกิจกรรมในทะเลสาบมากมาย เช่น มีเรือพานักท่องเที่ยวล่องชมความงามของทะเลสาบ ส่วนใครมีเรือใบเรือยอต์ชก็เอาออกจากอู่มาอวดกัน กลางทะเลจึงขาวสะพรั่งไปด้วยเรือเหล่านี้ ดูหรูดูแพงสมกับเป็นเมืองตากอากาศชั้นนำของประเทศทีเดียว
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2555, 23:18:11 » |
|
จุดเด่นของเมืองอยู่ที่ Palais de L’Isle นอกจากมีรูปทรงเหมือนป้อมโบราณแล้ว ยังตั้งอยู่กลางลำคลองที่มีน้ำไหลผ่านทั้งสองด้าน เดิมทีอาคารนี้เป็นของตระกูลเดล ลิส์ล สร้างในศตวรรษที่ 12 แต่อีก 200 ปีต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นศาลและคุก แล้วเปลี่ยนมาเป็นโรงกษาปณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการของรัฐในศตวรรษที่ 15 แล้วกลับมาเป็นคุกใหม่อีกครั้งในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส จนถึงปี ค.ศ. 1986 ทางการฝรั่งเศสได้เข้าบูรณะครั้งใหญ่แล้วใช้เป็นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ของเมืองอันซีและซาวัว ด้วยความโดดเด่นในประวัติศาสตร์และรูปทรงทางสถาปัตยกรรมทำให้ Palais de L’Isle กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอันซีไปใน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2555, 23:21:55 » |
|
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
ออฟไลน์
รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 07:15:00 » |
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูล หน้าใสเชียวตะวัน
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 09:55:28 » |
|
ท้าวความเดิมเล็กน้อย 1-20 พค25555 คณะของเราประกอบด้วยพี่แจ๋ว+พี่เหน่ง( RCU13 )และญาติมิตรอีก 3 คน รวมผมด้วย 7 คนก็เหินฟ้า บินโดย EMIRATE AIRWAY ด้วยราคามิตรภาพ ที่ออกโปรโมชั่นเมื่อเดือน ธค.2554 ท่านละ 24,500 บาท NET เราจองออนไลน์ตัดเงินทันที เพื่อที่จะเดินทางในเดือน พค. แผนของเราคือ ไปลง เจนีวา นอนแถวชายแดน สวิส-ฝรั่งเศสที่นี้ 3 คืน จากนั้นย้ายไปนอนทีไกล้ๆ Interlaken 7 คืน แล้วตระเวณไปชายแดน ออสเตรีย-เยอรมัน 3 คืน แล้วที่เหลือก็ตลุยไปในเส้นโรแมนติคโรด+มิวนิค อีก 4 คืน รวมทั้งหมด 17 คืน นี่คือบ้านพักของเราอยู่ในฝรั่งเศส ติดชายแดนสวิสและนี่ คือ ราชรถของเรา BENZ VARIANO 7ที่นั่ง จะพาเราตระเวณไปทั่ว หลายประเทศเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว....บันทึกการเดินทาง..เที่ยวไปกับตะวัน..ก็จะเริ่มบทใหม่อีกครั้งหนึ่ง.. .ตามมาเที่ยวกับ ตะวัน นะครับ..ท่านจะได้ไปในที่ๆ ทัวร์เขาไม่พาไป แต่รับรองสวยบาดใจทุกๆที่เลยครับ..
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 10:29:31 » |
|
กับพี่เหน่ง 13 นายพลทหารเรือ..ที่ยังสาวและสวยเสมอ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2555, 11:33:31 » |
|
สวัสดียามสายครับ... พี่ตะวัน..พี่อร และพี่น้องทุกท่าน
ตามเที่ยวด้วยคนนะครับพี่..
ชมรูปแล้วได้กลิ่นตะไคร่น้ำจางๆเลย.. สดชื่น!! !
|
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 12:24:33 » |
|
เมืองต่อไปที่เราจะไปเที่ยวเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในสวิต ไกล้ๆกับเเมืองเบิร์น เมืองเล็กๆนี้มีชื่อว่า กรูแยร์ Gruyeres เป็นเมืองเล็กๆที่มีบรรยากาศแบบยุคกลาง พื้นปูด้วยหิน มีบ่อน้ำอยู่กลางเมือง มีโบสถ์หลังเล็กๆน่ารัก และที่สำคัญคือมีปราสาทตั้งอยู่บนเนินสูงสุดของเมือง หลายคนสงสัยว่า ทำไมอยู่ๆเมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตขนาดนี้ คำตอบมีอยู่สองอย่างครับ หนึ่งคือความที่เป็นเมืองจากยุคกลางที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครใน สวิตเซอร์แลนด์ (ปราสาทกรูแยร์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ เช่นเดียวกับปราสาทชีลอง) นอกจากนั้นเมืองกรูแยร์ ยังเป็นต้นกำเนิดของเนยแข็งกรูแยร์ Gruyere cheese ที่ผู้คนรู้จักกันเป็นอย่างดี ทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้ชื่นชอบชีสกรูแยร์ แวะเวียนมาเยี่ยมชมโรงงานผลิตชีสที่นี่อยู่สม่ำเสมอ เราเดินเข้ามาจนสุดทางที่ทางเข้าปราสาทกรูแยร์ Chateau de Gruyeresหมือนเคย เราสามารถเข้าชมภายในปราสาทได้ เช่นเดียวกับสวนสวยสไตล์ฝรั่งเศสด้านใน (เสียค่าเข้า 9.5 CHF) สุดท้ายก่อนกลับ แนะนำให้มองหาจุดชมวิวแสนสวยของเมือง ที่ชื่อว่า Terresses Superieuresเดินขึ้นเนินมาเล็กน้อย เราก็จะพบกับอีกมุมมองหนึ่งของกรูแยร์ เนื่องจากเราไปถึงเมืองนี้เย็นมากแล้ว แสงไม่พอในการที่ได้ภาพสวยๆจึงขอใช้ภาพจากชาวบ้านมาให้ดูว่ามันสวยแค่ไหน.ขอบคุณเจ้าของภาพ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 13:03:29 » |
|
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 13:06:25 » |
|
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์
รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 18:22:36 » |
|
สวยมากค่ะ พี่ตะวัน .. สวยทุกมุมเลยจริง ๆ
|
.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
|
|
|
ประทาน14
Full Member
ออฟไลน์
รุ่น: 2514
คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 999
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 20:11:30 » |
|
สวยจริงๆ ขอตามไปเที่ยวด้วยคนครับ...ตะวัน
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 22:59:44 » |
|
หวัดดีน้องหยี..อยู่ไกล้ๆ วันไหนว่างๆ นั่งรถไฟ แวะไปเที่ยวได้เลย
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2555, 23:00:49 » |
|
หวัดดีครับพี่ประธาน ว่างๆก็แวะมาชมนะครับ..ติชมได้นะครับ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์
รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2555, 05:42:02 » |
|
อยาก repeat เส้นทางนี้ค่ะ พี่ตะวัน
เป็นไปได้ไหมคะ? ค่าใช้จ่ายประมาณหัวละเท่าไร? ควรจะเดินทางช่วงไหนดี?
|
.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2555, 13:13:18 » |
|
ช่วงที่พี่ไป คือระหว่าง 1-20 พค 2-3-4 พค.พักแถวชายแดนสวิส-ฝรั่งเศส 5-12 พค.พักแถว Interlaken ช่วงนี้เป็นช่วงใบไม้ผลิ อากาศดี แดดแรงถ่ายรูปสวย มืด 2 ทุ่มมีเวลาเที่ยวเยอะ 10 คืน หรือน้อยกว่านี้ได้ครับ เดี๋ยวพี่เอาโปรแกรมมาลงให้ ส่วนค่าใช้จ่าย ขึ้นกับที่พักว่าน้องหยีจะพักแบบไหน พั้กในเมืองก็แพงหน่อย ส่วนพี่จะเช่าเป็นหลัง นอกเมือง เพราะเรามีรถขับ หาที่พักในเวบได้ แต่ต้องเที่ยวแบบเช่ารถขับนะครับ จึงจะซอกแซกไปได้ทั่วๆๆ ค่าใช้จ่ายถ้าไม่รวมค่าเครื่องบิน หรือบินโดยโลว์คอสต์ก็ไม่แพง จากลิสบอน มีโลวคอสต์ไปลงซูริค ค่ากินถ้าซื้อกินก็ตกมื้อละ /คนละ 500 บาท แต่พี่หุงข้าวเองก็ถูกลงไปอีก รถเช่าต้องเช่าในเขตฝรั่งเศส (สนามบินเจนีวา ตั้งอยู่บนพรมแดน 2 ประเทศ เราต้องออกไปฝั่งฝรั่งเศส ค่าเช่าจะถูกลงไป 30 %) พี่กะคร่าวๆ น่าจะตก 4หมื่นบาท( บวก ลบ)ต่อหัวต่อ10 วัน คิดแบบประหยัดสุดๆๆ ไม่คิดค่ารถไฟขึ้นจุงฟราว ที่ตกหัวละ 5000กว่าบาท ค่าขึ้นเขา แมทเทอร์ฮอร์นอีกประมาณ3000 บาท คณะของพี่ ไม่รวมค่าเครื่องบิน 10 วัน ค่าใช้จ่ายรวมหมดทุกอย่างตกหัวละ 1500 ยูโร ที่สวิส ของแพงมากๆทุกอย่าง ค่าใช้จ่ายจริงๆมันขึ้นกับว่าเราจะกินแบบไหน พักแบบไหน ถ้าไฮโซ หน่อยก็จะแพงขึ้นไปอีก
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2555, 13:34:37 » |
|
Programm tour switzerland-France-Germany-Italy ระหว่างวันที่ 1- 20 พฤษภาคม 2012
1 พค. ออกเดินทางจาก กทม. 2 พค เวลา ถึง Zurich รับรถเช่า แล้วเดินทางไปที่พัก เที่ยวเมือง Annecy ประเทศฝรั่งเศส เข้าที่พักแล้วไปเที่ยวเมืองที่คนหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสเขามักใช้เป็นเมืองฮันนีมูนกันครับ เมืองนี้ชื่อ “อันซี”’ (Annecy) เมืองนี้อยู่ติดสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีทะเลสาบเจนีวาเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นขวาง มองไปอีกฝั่งก็เป็นเมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แถมเมืองนี้ยังแวดล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ อันซีเป็นเมืองเอกของเขตซาวัวตอนบน (Haute Savoie) ได้รับเกียรติให้มีฉายาว่า ห้องรับแขกของโรน-แอลป์ ในแถบเทือกเขาสูงของ French Alps เพราะมีเขตแดนติดกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินทางผ่านเส้นทางนี้จะต้องผ่านเมืองอันซี ด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะในฤดูท่องเที่ยวที่เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน เรื่อยไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง (ราวปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนตุลาคม) เมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งนี้จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มีทั้งคนในยุโรปด้วยกันหรือ มาจากทวีปอื่น รวมถึงชาวฝรั่งเศสเองก็นิยมมาท่องเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะคู่แต่งงานหนุ่มสาวชอบมาฮันนีมูนที่เมืองนี้กันครับ อะไรทำให้เมืองอันซีเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว... ก็เพราะสภาพของเมืองมีความน่ารักน่าอยู่อาศัยราวกับเมืองในฝัน ผังเมืองได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยม ถนนหนทางอยู่ใต้ร่มเงาความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ มีสวนสาธารณะที่คนไทยเห็นแล้วต้องอิจฉากันทุกคน เพราะกว้างและอยู่ริมทะเลสาบงดงามซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 ของฝรั่งเศส ส่วนตัวเมืองยังคงรักษาอาคารโบราณตั้งแต่สมัยยุคกลางเอาไว้ได้ในสภาพสมบูรณ์ อาคารที่ว่านี้เรียงรายไปตลอดสองฟากฝั่งของลำคลองเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบ ในฤดูท่องเที่ยวจะมีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ท่ามกลางแสงแดดอุ่นและลม พัดเย็นสดชื่นสบายใจ บ้านช่องห้องหอตกแต่งปานประหนึ่งเมืองตุ๊กตา ทั้งเพื่ออยู่เองและเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอน ต้น จุดเด่นของเมืองอยู่ที่ Palais de L’Isle นอกจากมีรูปทรงเหมือนป้อมโบราณแล้ว ยังตั้งอยู่กลางลำคลองที่มีน้ำไหลผ่านทั้งสองด้าน เดิมทีอาคารนี้เป็นของตระกูลเดล ลิส์ล สร้างในศตวรรษที่ 12 แต่อีก 200 ปีต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นศาลและคุก แล้วเปลี่ยนมาเป็นโรงกษาปณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการของรัฐในศตวรรษที่ 15 แล้วกลับมาเป็นคุกใหม่อีกครั้งในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส จนถึงปี ค.ศ. 1986 ทางการฝรั่งเศสได้เข้าบูรณะครั้งใหญ่แล้วใช้เป็นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ของเมืองอันซีและซาวัว ด้วยความโดดเด่นในประวัติศาสตร์และรูปทรงทางสถาปัตยกรรมทำให้ Palais de L’Isle กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอันซีไปในที่สุด ความเป็นเมืองเล็กไม่ได้ทำให้อันซีดูด้อยเลย แต่กลับทำให้การเดินเที่ยวทำได้ง่ายและน่าสนุก คนส่วนใหญ่จะเริ่มที่ปราสาทแห่งอันซี หรือ Annecy Castle สร้างในสมัยศตวรรษที่ 13 และถูกผู้ปกครองเมืองต่อเติมเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 16 ลักษณะเป็นปราสาทที่สร้างด้วยหินล้วนๆ แบบยุคกลาง หินบนพื้นถนนถูกบดถูด้วยเกือกและล้อรถม้าจนเป็นมันแผล็บ ภายหลังปราสาทขาดการดูแลเพราะภัยสงคราม และความจำเป็นในการใช้สอยน้อยลงจนที่สุดถึงขั้นไม่มีใครดูแล ปล่อยให้ร้างในที่สุด หลังสงครามโลกครั้งที่สองเกิดไฟไหม้เมืองอันซีครั้งใหญ่และลามมาถึงบางส่วน ของปราสาท ปัจจุบันได้รับการบูรณะเรียบร้อย แล้วดัดแปลงมาเป็นพิพิธภัณฑ์ รวมถึงใช้เป็นที่แสดงงานศิลปะของเมือง โดยเฉพาะงานของศิลปินที่เป็นชาวอันซี ตามปกติเมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปชมปราสาทเสร็จแล้วจะออกมาเดินชมเมืองต่อ โดยเดินชมความคลาสสิกของอาคารที่อยู่ติดกับปราสาท ซึ่งเป็นอาคารสูงเพียง 2-3 ชั้น ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ส่วนชั้นล่างใช้เป็นที่ขายของ มีตั้งแต่ร้านขายงานศิลปะ ร้านของชำ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารธรรมดาไปจนถึงระดับภัตตาคาร ร้านขายกาแฟ ร้านขายเนื้อ ขายเสื้อผ้า และอื่นๆ อีกจิปาถะ สำหรับร้านอาหารฝั่งที่ติดกับลำน้ำจะเน้นทำบรรยากาศสวยและโรแมนติก มีโต๊ะริมระเบียงวางกระบะดอกไม้สีสดเพิ่มความน่ารักขึ้นอีก และถ้าเผื่อไปตรงกับวันที่มีตลาดนัดจะถือว่าโชคดีเป็นของคุณ เพราะถนนสายเล็กๆ กลางเมืองจะมีชาวบ้านนำพืชผักผลไม้และผลิตผลการเกษตรต่างๆ ออกมาวางจำหน่าย ซื้อๆ ขายๆ กันสนุกสนาน ทะเลสาบของเมืองอันซีนี้ชาวเมืองเขาภูมิใจของเขานักหนา ถึงขนาดคุยว่าน้ำในทะเลสาบสะอาดจนกวักขึ้นมาดื่มได้เลย ในช่วงฤดูท่องเที่ยวคือฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนมีกิจกรรมในทะเลสาบมากมาย เช่น มีเรือพานักท่องเที่ยวล่องชมความงามของทะเลสาบ ส่วนใครมีเรือใบเรือยอต์ชก็เอาออกจากอู่มาอวดกัน กลางทะเลจึงขาวสะพรั่งไปด้วยเรือเหล่านี้ ดูหรูดูแพงสมกับเป็นเมืองตากอากาศชั้นนำของประเทศทีเดียว
..3 พค เดินทางไปเที่ยว Montrex- vevey- Gruyeres
MONTREAUXเมืองพักตากอากาศ ได้รับสมญานามว่าเป็นไข่มุกของริเวียร่าแห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และที่เด่นคือปราสาทซีลอน (CHATEAU DE CHILLON) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่สวยงาม แต่ก่อนเคยเป็นปราสาทที่สวยงาม และได้ถูกดัดแปลงมาเป็นคุกเพื่อขังนักโทษการเมือง
เมืองวีเว่ ( VEVEY )เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในฐานะที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ด้านอาหารของโลกอย่าง เนสท์เล่ Nestle นอกจากนั้นแล้ว วีเว่ยังเป็นเมืองตากอากาศที่สุดยอด ไม่ได้ดูเป็นเมืองเศรษฐีเหมือนมองเตรอซ์ แต่เป็นแบบที่สบายๆ ไม่รีบร้อน ภายในเมืองวีเว่ก็ยังมีอะไรๆ ให้เดินดูอีกเยอะนะครับ อย่างเช่นโบสถ์ ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟมากมายครับ แต่จุดที่สวยที่สุดของเมืองก็น่าจะเป็นบริเวณริมทะเลสาบ โดยเฉพาะ จุดที่ส้อมขนาดใหญ่ยักษ์ปักลงกลางทะเลสาบ ใครที่ได้ไปวีเว่ ลองไปนั่งดูตรงเก้าอี้ตัวนี้แล้วถ่ายรูป รับรองจะได้ภาพที่สวยมากๆ เมื่อมาถึงวีเว่แล้ว เราก็ไม่ควรลืมที่จะมาทักทายกับ ชาร์ลี แชปลิน Charlie Chaplin บุคคลผู้เป็นตำนานโลกภาพยนตร์ ซึ่งได้มาเลือกใช้ชีวิตบั่นปลายที่เมืองนี้ และเสียชีวิตในวันคริสต์มาสปี 1977 โดยรูปหล่อขนาดเท่าตัวจริงของเขา สวมทักซิโด้ และถือไม้เท้า ยังคงตั้งอยู่ที่นี่
เที่ยวเมืองเล็กๆชื่อกรูแยร์ Gruyeres เป็นเมืองเล็กๆที่มีบรรยากาศแบบยุคกลาง พื้นปูด้วยหิน มีบ่อน้ำอยู่กลางเมือง มีโบสถ์หลังเล็กๆน่ารัก และที่สำคัญคือมีปราสาทตั้งอยู่บนเนินสูงสุดของเมืองหลายคนสงสัยว่า ทำไมอยู่ๆเมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตขนาดนี้ คำตอบมีอยู่สองอย่างครับ หนึ่งคือความที่เป็นเมืองจากยุคกลางที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครใน สวิตเซอร์แลนด์ (ปราสาทกรูแยร์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ เช่นเดียวกับปราสาทชีลอง) นอกจากนั้นเมืองกรูแยร์ ยังเป็นต้นกำเนิดของเนยแข็งกรูแยร์ Gruyere cheese ที่ผู้คนรู้จักกันเป็นอย่างดี ทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้ชื่นชอบชีสกรูแยร์ แวะเวียนมาเยี่ยมชมโรงงานผลิตชีสที่นี่อยู่สม่ำเสมอ เราเดินเข้ามาจนสุดทางที่ทางเข้าปราสาทกรูแยร์ Chateau de Gruyeresหมือนเคย เราสามารถเข้าชมภายในปราสาทได้ เช่นเดียวกับสวนสวยสไตล์ฝรั่งเศสด้านใน (เสียค่าเข้า 9.5 CHF)สุดท้ายก่อนกลับ แนะนำให้มองหาจุดชมวิวแสนสวยของเมือง ที่ชื่อว่า Terresses Superieuresเดินขึ้นเนินมาเล็กน้อย เราก็จะพบกับอีกมุมมองหนึ่งของกรูแยร์
4 พค. ไปเที่ยว Lavaux - Lausane
เมืองลาโวซ์ (Lavaux)เนินเขาริมฝั่งทะเลสาบเจนีวาอันกว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่จากเมืองเวเวย์ (Vevey) ไปจนถึงเมืองโลซาน (Losanne)เป็นที่ตั้งของไร่องุ่นยาวเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร เมืองลาโวซ์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ทะเลสาบรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีภูเขาล้อมรอบอย่าง Swiss Alps จึงเป็นเหตุที่ทำให้เมืองลาโวซ์มีอากาศที่นับว่าเหมาะสมแก่การปลูกองุ่นเป็น อย่างมากไร่องุ่นขั้นบันไดของเมืองลาโวซ์ ถือว่าเป็นไร่องุ่นที่มีความเก่าแก่มาก ด้วยอาณาเขตของพื้นที่การปลูกที่มีความยาวถึง 30 กิโลเมตร ตามแนวชายฝั่งด้านเหนือของทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) อีกทั้งยังครอบคลุมไหล่เขาตอนล่างระหว่างหมู่บ้านกับทะเลสาบ ส่งผลให้ไร่องุ่นขั้นบันไดลาโวซ์ มีทัศนียภาพที่แสนงดงาม สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนมาเที่ยวชมเมืองลาโวซ์เป็นจำนวน มากนอกจากความงดงามของไร่องุ่นแล้ว ไวน์ หรือ เหล้าองุ่น ที่ได้จากการปลูกของที่นี่ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองลาโวซ์มาตั้งแต่ยุคโรมัน "ไร่องุ่นขั้นบันได" แห่งนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์การทำไร่องุ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสภาพแวดล้อมที่ดำเนินมา หลายศตวรรษ พบกับความเป็นมาของการผลิตเหล้าองุ่น ซึ่งได้ผสมผสานไปกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ซึ่งมีตั้งแต่สมัยอดีตมาจนถึงปัจจุบันสำหรับการท่องเที่ยวไร่องุ่นขั้นบันไดลาโวซ์นั้น นักท่องเที่ยวจะได้ชมไร่องุ่นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ชมความงดงามของทะเลสาบเจนีวาที่ถูกขนานข้างไปด้วยไร่องุ่นและเทือกเขา Swiss Alps จากนั้นไปชม โรงเก็บไวน์ หีบไวน์ การทำเหล้าไวน์ และการชิมไวน์ ต่อมาไร่องุ่นขั้นบันไดลาโวซ์ ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ในปี 2007
Lausane เมืองที่คนไทยรู้จักดีในสวิส นอกจากจะเป็นเมืองที่ประทับของสมเด็จย่าแล้ว พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสำเร็จการศึกษาจากเมืองนี้อีกด้วย เราได้แวะถ่ายรูปกับศาลาไทยในเมืองโลซานน์ด้วย ศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติ นี้(ภาษาฝรั่งเศสที่ใช้กันในโลซานน์เรียกว่า Le pavillon thailandais) ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะเดอนองตู (Parc du Denantou) ใกล้พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงประกอบพิธีเปิดศาลาไทยอย่างเป็นทางการ ที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552
5 พค. เดินทางไปเที่ยว Soluthun- Bern
Solothurn ก็เป็น Old Town หนึ่งในดีที่สุดและกะทัดรัดที่สุดในเมืองเก่าสวิตเซอร์แลนด์โดยเน้นตามแบบ Baroque ที่เขาจัดว่าสวยที่สุดในSwitzerland ที่เด่นเลยคือ โบสถ์ชื่อ St Ursen สวยมากที่เดียว ซึ่งมีการผสมผสานสถาปัตยกรรมของเยอรมัน อิตาลีและฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว..Solothurn อยู่ห่างจากBERNแค่40กม.เป็นรัฐที่สวยงามเก่าแก่มาก.ยังมีกลิ่นไอสมัยชาวโรมันปกคลุมไปทั่ว..ตามผนังบ้านเรือนระบายสีสวยมากที่นี่มีวิหารสวยงามเก่าแก่เป็นที่รู้จักกันดี. แล้วก็มีแม่น้ำ Aare ไหลผ่านครับ กรุง Bern สร้างขึ้นในยุคกลางของยุโรป องค์การยูเนสโก้ประกาศให้ส่วนหนึ่งของเมือง เบิร์นเป็นมรดกโลก มาร์กาสเซ ย่านเมืองเก่าปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยร้านดอกไม้และบูติค เป็นย่านที่ปลอดรถยนต์จึงเหมาะกับการเดินเที่ยวชมอาค ารเก่า อายุ 200-300 ปี ถนนจุงเคอร์นกาสเซ ถนนทีมีระดับสูงสุดๆของเมืองนี้ ถนนกรัมกาสเซ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านภาพวาดและร้านขายของเก่าในอาคารโบ ราณ ชมนาฬิกา ไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม อายุ 800 ปี ที่มี “โชว์” ให้ดูทุกๆชั่วโมงในการตีบอกเวลาแต่ละครั้ง แวะถ่ายรูปกับมหาวิหารเซนต์วินเซนด์รัทฮอลล์ และเป็นเมืองที่มีน้ำพุมากที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรป
6 พค เดินทางไปเที่ยว ยอดเขา JUNGFRAU ..Top of EURope
ออกเดินทางจากที่พักสู่เมืองกรินเดอวาลด์(Grinderwald) หมู่บ้านกลางหุบเขาที่เป็นแหล่งพักผ่อน ตาก อากาศที่มีชื่อเสียงของสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยแห่งสวิสแอลป์ที่สวยงามครั้ง ยิ่งใหญ่ และประทับใจ แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟสายภูเขาที่ เมืองไคลน์ชีเด็ก ขึ้นพิชิตยอดเขายูงเฟราที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง11,333 ฟุต นั่งรถไฟขึ้นสู่สถานีบนยอดเขาจุงเฟรา ที่เป็นสถานีรถไฟสูงที่สุดของยุโรป (Top of Europe)3,454เมตร จากระดับน้ำทะเล ผ่านอุโมงค์ที่เจาะใต้ภูเขา Eiger และ Mönch รถไฟจะจอดให้ท่านได้ ชมวิวเทือกเขาจุงเฟรายอร์คในอีกบรรยากาศหนึ่ง เข้าชมหอชมวิว Sphinx observation ที่จะได้ชมทัศนียภาพอันอลังการของเทือกเขาจุงเฟรายอร์ค และสามารถมองเห็นยอดเขา Vosges Mountains ที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสอีกทั้งยังมองเห็นป่าดำของ ประเทศเยอรมัน ชมถ้ำน้ำแข็ง (Ice Palace)ที่แกะสลักให้สวยงาม อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร ธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier อันสวยงาม มีความยาวของทุ่งน้ำแข็ง ถึง 22 ก.ม. ยาวที่สุดในบรรดาทุ่งน้ำแข็งของเทือกเขาแอลป์ทั้งยุโรป ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากนั้นนำท่านสู่ลานหิมะ อิสระให้ท่านเพลิดเพลินกับการเล่นหิมะอันขาวสะอาดในลานหิมะ Plateau อันกว้างไกลสุดสายตา
7พค.เดินทางไปเที่ยว Lusern Luzern เมืองนี้เป็นเมืองที่ถูกบรรจุอยู่ใน โปรแกรมทัวร์ของแทบทุกบริษัททัวร์ในเมืองไทย เป็นเมืองแห่งสะพานไม้สุดคลาสสิคที่ทอดตัวยาวลงไปในบริเวณส่วนที่แคบที่สุด และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นของทะเลสาบลูเซริ์นอีกด้วย จากสถานีรถไฟถ้าเดินข้ามสะพานไม้ไปก็จะผ่านถนนสายชอบปิ้ง ซึ่งเชื่อมต่อไปยังอนุสาวรีย์สิงโตที่แสดงถึงความกลล้าหาญและจงรักภักดีของ ทหารของสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางธรรมชาตินั้นมีอยู่ 2 ที่ คือ ตัวทะเลสาบลูเซริ์น หรือเป็นที่รู้จักกันในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า Vierwaldstätter See และ ยอดเขา Pilatus ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทัศนีภาพของตัวเมืองและทะเลสาบได้จากยอดเขา นี้
8พค. เดินทางไปเที่ยว Zermatt –เพื่อขึ้นไปชมยอดเขา Matterhorn อันเป็นสัญลักษณ์ของสวิส
การขับรถไป Zermatt เราขับรถจากที่พักมุ่งหน้าไปเมืองTasch และต้องเอารถยนต์ไปขึ้นรถไฟเพื่อลอดอุโมงค์Lotschberg ซึ่งต้องเสียค่าบริการ 25 CHF ต่อรถ 1 คัน/1เที่ยว จากนั้นเราเอารถไปจอดที่เมือง Taschแล้วขึ้นรถไฟ ไปเมือง Zermatt อีกต่อหนึ่ง Zermatt สำหรับเมืองนี้นี่ต้องบอกว่า ถ้าใครมาสวิตเซอร์แลนด์แล้วไม่ได้แวะมาที่ Zermatt ก็เหมือนกับว่ามาไม่ถึงสวิตเซอร์แลนด์ เพราะว่าเมืองนี้เป็นเมืองของการเริ่มเดินทางไปสู่ยอดเขา Matterhorn ยอดเขาที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับในส่วนของตัวเมือง Zermatt นั้น ก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีถนนสายหลักเพียงถนนเดียวทอดยาวไปจนสุดตัวเมือง สองข้างทางของถนนสายนี้ก็เต็มไปด้วนร้านค้า ร้านอาหารและผับมากมาย เมืองนี้มีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน และบริเวณใจกลางเมืองก็จะมีสะพานเล็กๆ ข้ามแม่น้ำ ถึงแม้ว่าจะเป็นสะพานเล็กๆ แต่บริเวณนี้แหละที่เป็นมุมที่สวยทีสุดและมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปมากที่ สุด เพราะว่าจากมุมนี้จะเห็นยอดเขา Matterhorn เป็นฉากหลังส่วนด้านหน้าก็จะเป็นภาพบ้านไม้ซึ่งเป็นบ้านลักษณะเฉพาะของชาว สวิสเซอร์แลนด์และลำน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านตัวเมือง ลักษณะพิเศษอีกอย่างของเมืองนี้ คือ เมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่อนุญาตให้รถของนักท่องเที่ยวเข้าไป เรียกว่า Car Free Resort รถที่ใช้ภายในเมืองจะเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น ทำให้อากาศบริสุทธิ์ สดชื่น สามารถสูดดมได้เต็มปอด ไฮไลต์ของเมืองนี้ ที่ถือว่าเป็นที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ไปเลยก็คือการขึ้นไปชมยอดเขา Matterhorn การขึ้นไปยัง Matterhorn นั้นสามารถเดินขึ้นไปเรื่อยๆ หรือว่าถ้าต้องการความสะดวกสบายและมีเวลาจำกัดก็สามารถนั่งรถไฟสาย Gonnergrat หรือนั่งรถกระเช้าสาย Schwarzsee paradise ไปก็ได้ ซึ่งระหว่างการเดินทางของเส้นทางแต่ละสายก็จะเห็นมุมมองและวิวทิวทัศน์ที่ สวยงามต่างกันไปยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น ที่สูงถึง 4,478 เมตรและได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่มีรูปทรงสวยที่สุดของเทือกเขาแอล์ป ชื่นชมกับทิวทัศน์ที่สวยงาม ณ จุดสูงที่สุดบริเวณไคลน์แมทเทอร์ฮอร์น นอกจากยอดเขา Matterhorn แล้ว ในบริเวณเทือกเขาแอลป์ที่นี่ก็ยังมีทะเลสาบอีกหลายแห่งซึ่งแต่ละแห่งก็จะมี ภาพสะท้อนของยอดเขา Matterhorn อยู่บนผืนน้ำดูแล้วสวยงามตระการตา พลาดไม่ได้ประการทั้งปวง
9พค. เดินทางไปเที่ยว Interlaken-ทะเลสาบBrienz-ทะเลสาบ Thun-เมืองSpiez
Interlaken ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ 2 ทะเลสาบ คือ ทะเลสาบ Thun และ ทะเลสาบ Brienz ซึ่งการตั้งชื่อเมืองนี้ก็น่าจะมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ โดยคำว่า Interlaken นั้นมีความหมายว่า “ระหว่างทะเลสาบ” เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่สองข้างทางมีแต่ร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และโรมแรมที่พักเต็มไปหมด ถ้าไม่เน้นช้อปปิ้งก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็เดินได้ทั่วทั้งเมือง แล้ว แต่เมืองนี้กลับเป็นเมืองที่เป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก เพราะเมือง Interlaken นี้เป็นจุดเริ่มตั้นของการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขา Jungfraujoch ยอดเขาที่ถือว่าเป็ร Top of Europe ที่เรียกว่าเป็น Top of Europe ก็เนื่องจากสาเหตุที่ว่าที่บริเวณยอดเขา Jungfraujoch ต่อเนี่ยงไปถึงยอดเขา Eiger มีสถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป คือ 3454 เมตรจากระดับน้ำทะเล เมื่อขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้ว ก็จะสามารถชมทิวทัศน์ความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาแอลป์ ธารน้ำแข็ง และยังมีปราสาทน้ำแข็ง (Ice Palace) ที่ภายในมีการตกแต่งด้วยน้ำแข็งแกะสลักเป็นรูปต่างๆ ให้ได้ชมกัน ส่วนในฤดูหนาวมีการให้บริการสุนัขลากเลื่อนด้วย Thun ประตูสู่ Bernese Oberland ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบทูน แม้จะเป็นเมืองใหญ่อันดับสิบของ Switzerland แต่การเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในส่วนของเมืองเก่าก็สมารถทำได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นไปตามถนนสายหลักอย่าง Bälliz ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร,เดินทอดน่องเรียบแม่น้ำ Aare ,ชมสะพานไม้เก่าแก่ทั้งสองแห่ง แต่ถ้าใครอยากชมปราสาททูน (Schloss Thun) ก็ต้องออกแรงปีนบันไดกันนิดนึงปราสาท Thun ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงในห้องโถงใหญ่ของปราสาท 10พค. เดินทางไปเที่ยว Zurich –st.gallen Zurich เมืองใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ศูนย์กลางการค้าทองคำของโลก ตั้งอยู่ทิศเหนือสุดของทะเลสาบ Zurich ศูนย์กลางสำคัญของธุรกิจพาณิชย์ เศรษฐกิจและการเงิน มีโรงละครโอเปร่า คอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ โบสถ์และวิหารเก่าแก่อย่าง Grossmunster และ Fraumunster ที่จะพลาดไม่ได้เป็นอันขาดคือถนน Bahnhofstrasse ที่ขึ้นชื่อลือชาหนักหนาว่าแต่ละร้านล้วนตกแต่งประดับประดากันอย่างอลังการ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ตลอดสองข้างทางของถนนมีห้องเสื้อชั้นนำของยุโรป, รองเท้า, กระเป๋า, เครื่องประดับนานาชนิด และที่ขาดไม่ได้เลยคือร้านขายนาฬิกา Zurich มีรถรางและรถโดยสารบริการควบคู่กันไป การเดินทางไปที่ต่างๆ จึงสะดวกและประหยัด ในส่วนของเมืองเก่า น่าเดินเที่ยวเพราะมีร้านขายของเก่า ร้านภาพเขียนทั้งเก่าและใหม่ และร้านหนังสือดีๆ ตลอดจนถึงสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านอีกด้วย st.gallen ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองและเข้มแข็งทางศาสนามาตั้งแต่สมัยยุคกลาง โบสถ์ St.Gallen จึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักจะมาเยือนด้วยความงดงามของโบสถ์สไตล์บา ร็อค ซึ่งภายในของโบสถ์นั้นต้องยอมรับว่ามีความสวยงามมาก เพดานโค้งมน โดยตัวโบสถ์นี้สามารถเข้าชมได้ทุกวันและไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใดไม่เพียงแต่ St.Gallen จะมีโบสถ์ที่สวยงามเท่านั้น แต่หากยังมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมอยู่อีกหนึ่งอย่างคือ หอสมุด Stiftsbibliothek หรือภาษาอังกฤษว่า Abbey Library เป็นหอสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และของโลก เนื่องจากมีต้นฉบับลายมือหนังสือหายากที่เขียนขึ้นในยุคสมัยกลางที่ประเมิน ค่าในปัจจุบันไม่ได้ จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก (รวมทั้งโบสถ์ St. Gallen และบริเวณโดยรอบ) ราคาค่าเข้าชมคนละ 7 ฟรังซ์ บริเวณภายในหอสมุดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ก่อนจะเข้าไปภายในจะต้องสวมรองเท้าทำจากสักหลาดที่เขาเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องถอดรองเท้าที่เราใส่มา แค่สวมรองเท้าสักหลาดที่ลักษณะเหมือนรองเท้าแตะทับอีกที รองเท้าสักหลาดนี้จะทำให้เดินยกขาไม่ได้สะดวก จึงทำให้ต้องเดินช้าๆ ลากๆพื้น นอกจากหอสมุดจะเป็นที่เก็บรักษาเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งแล้ว สถาปัตยกรรมภายในหอสมุดก็งดงามน่าทึ่งไม่แพ้กัน ทำจากไม้ เพดานโค้งมนเหมือนโดม แกะสลักได้งดงามมาก ระหว่างที่เดินดูภายในหอสมุดนี้ หนังสือเก่าและเอกสารสำคัญจะอยู่ในตู้โชว์ มีหมายเลขบอกให้อ่านคู่กับคู่มือที่เขาแจกให้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเข้าชม แนะนำให้เดินเรียงตามหมายเลขที่บอก จะได้ความรู้มากมาย ผ่าน ถนนสายหนึ่งซึ่งเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวพอสมควรเลย ดูจากภาพจะเห็นเหมือนกับเอาสีมาพ่นทาทับรถยนต์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่รถจริง เขาสร้างสรรค์ถนนแถบนี้ด้วยการใช้ยางสีแดงปูพื้น เป็นศิลปกรรมสมัยใหม่เรียกว่า Stadtlounge หรือ city lounge จากไอเดียที่ต้องการสร้างห้องนั่งเล่นสาธารณะขึ้นในเมือง (public living room) โดยมีทั้งโซฟา โต๊ะ เก้าอี้ หลากแบบ รวมทั้งรถยนต์นี่ด้วย จากนั้นก็มีการประกวดแข่งขันออกแบบกันจนออกมาอย่างที่เห็น ซึ่ง Stadtlounge นี้มีมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2005 ที่ Markt Platzจะมีตลาดนัด ทุกวันพุธและวันเสาร์เหมือนที่เจนีวา
11 พค. เที่ยว Basel-Colmar – Rinquewihr เมืองในฝรั่งเศส บาเซิล (Basel) เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองบาเซิล ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศริมฝั่งแม่น้ำไรน์ และยังเป็นเมืองเก่าที่มีอายุกว่า 2000 ปี ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้รูปแบบของสถาปัตยกรรมสามารถสะท้อนให้เห็นความเก่าแก่ และวัฒนธรรมเฉพาะของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรม เคมีและเภสัชกรรม มีเขตแดนติดต่อกับประเทศเยอรมันและฝรั่งเศส ดังนั้นจึงทำให้บาเซิลมีวัฒนธรรมที่คล้ายกับของฝั่งเศสและเยอรมัน ทั้งด้านภาษาที่เมืองบาเซิลพูดภาษาเยอรมันเป็นภาษาท้องถิ่นจึงเรียกว่าภาษา บาเซิลเยอรมัน มหาวิหาร Münster ตั้งอยู่ใกล้ๆชายฝั่งแม่น้ำไรน์ ความน่าสนใจอยู่ที่การคงสภาพเดิมไว้อย่างครบถ้วนของงานสถาปัตยกรรมที่เป็น การผสมผสานของงานแบบโรมาเนสก์และโกธิค ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1019 บนฐานของเมืองโบราณยุคเซลติคและโรมัน ความโดดเด่นของมหาวิหารแห่งนี้อยู่ที่ตัวผนังของอาคารถูกสร้างจากหินทรายสี แดง และมันยังคงสภาพและความงดงามดังเดิม ประวัติเมืองบาเซิลเคย เป็นเมืองที่อยู่ในเขตการปกครองของอาณาจักรโรมัน และเคยถูกเรียกว่า "บาซิเลีย" ในละติน ในปี 1225-1226 มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำไรน์โดยบิชอป เฮนริค วอน ทูน ซึ่งถือว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ในสมัยนั้น
Colmar ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่าง กันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง Colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศ ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมือง Colmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน Colmar เป็นเมืองเล็กๆในเขตHaut-Rhin ในแคว้นอัลซาส(Alsace) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ติดกับเมืองStrasbourgในอดีตกอลม่าร์เคยตกเป็นของเยอรมันถึงสองครั้ง ดังนั้นจึงรับเอาวัฒนธรรมของเยอรมันไว้มาก ชาวเมืองที่นี่จะพูดทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาอัลซาสซึ่งเป็นภาษาเก่าแก่ประจำ ถิ่น ซึ่งคนส่วนมากจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นภาษาเยอรมัน เมืองนี้ที่โดดเด่นคือ มีบ้านเรือนที่สวยงามและได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดีบ้านเรือนแบบนี้เรียกว่าColombage(ฝรั่งเศส )หรือFachwerkhaus (เยอรมัน)เป็นบ้านครึ่งไม้ซุงซึ่งเป็นแบบบ้านที่เป็นเอกลักษณ์และเห็นได้ ทั่วไปในแคว้นอัลซาส ลักษณะพิเศษของบ้านจะขึ้นโครงบ้านด้วยไม้ทั้งหลังรวมทั้งหลังคาก่อน จากนั้นก็จะโบกปูนระหว่างช่องไม้แล้วทาสีสวยงามตามใจเจ้าของบ้าน ถ้าเป็นบ้านแบบดั้งเดิมชั้นบนจะยื่นออกมามากกว่าชั้นล่าง เมืองนี้มีคลองน้ำไหลผ่านและมีเรือพาชมเมืองด้วย บริเวณนี้ถูกเรียกว่าว่า Little Venice เป็นมุมบังคับที่นักท่องเที่ยวส่วนมากต้องมาเก็บภาพเป็นที่ระลึก นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเที่ยวที่สำคัญอื่นๆอีกด้วย La Maison des Têtes (The House of Heads) บ้านเก่าแก่ที่ถือว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของกอลม่าร์ รวมทั้งเป็นตัวแทนความงามของอาคารอื่นๆด้วย สร้างในปี 1609 มีหน้าคนตามอาคารถึง 105 หน้า Koifhus เป็นศูนย์กลางการค้าที่เก่าแก่ของกอลม่าร์ สร้างแล้วเสร็จในปี 1480 เป็นอาคารสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ชั้นล่างเคยใช้เป็นคลังสินค้าและเป็นศุลกากรเก่า Riquewihr เป็นหมู่บ้านเล็กๆในชนบทซึ่งอยู่ห่างจากกอลม่าร์เพียง 12 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเส้นทางไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นอัลซาสและเป็นหมู่บ้านที่ สวยที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส (Les plus beaux villages de France)ลักษณะบ้านเรือนดูคล้ายๆกับกอลม่าร์แต่ บรรยากาศภายในหมู่บ้านจะแตกต่างกันมาก ความรู้สึกแรกที่เดินเข้าไปเหมือนหลงไปอยู่ในเมืองแห่งเทพนิยายยังไงก็ไม่ รู้ บ้านเกือบทุกหลังจะตกแต่งและประดับประดา ด้วยดอกไม้ ตุ๊กตาหรือของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่น่ารักๆเต็มไปหมด
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2555, 13:39:43 » |
|
12 พค เดินทางไปเที่ยวเมือง Stein am Rhein
เ ดินทางสู่ มือง Stein am Rhein ตลอด เส้นทางเต็มไปด้วยเมืองและหมู่บ้านเล็กๆที่จะให้ความรู้สึกว่าคุณได้หลงเข้า ไปในประวัติศาสตร์ ที่ซึ่งกลิ่น อายของอดีตปรากฏอยู่ในรูปบ้านไม้สักและป้อมปราการในสมัยกลาง เมืองชไตน์อัมไรน์นี้ ตั้งอยู่ในส่วนที่ ดีที่สุดของแม่น้ำไรน์ ทัศนียภาพของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย และสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยคลายเสน่ห์ดึงดูดใจผู้พบเห็น น้ำตก Rheinfall ซึ่งอยู่ในเมือง Schaffhausen และเป็นเขตแดนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดของยุโรป น้ำสีเขียวมรกตใสไหลอย่างเชี่ยวกราด ทำให้เกิดฟองขาวแตกกระเซ็น ยามกระทบกับแก่งหิน ทำให้เกิดภาพที่งดงามจับใจ น้ำตก Rheinfall น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตัวน้ำตกกว้าง 150 เมตร สูง 23 เมตร มีอายุกว่าห้าหมื่นปี กำเนิดมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งราวๆ 14,000 - 18,000 ปีมาแล้ว น้ำตกไรน์อยู่ระหว่างเมืองเล็กๆชื่อ Neuhausen am Rheinfall กับ เมือง Laufen-Uhwiesenใกล้ๆเมือง Schaffhausen ทางตอนเหนือของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ติดเขตแดนของ เยอรมัน
13พค เที่ยว เกาะMainau และเกาะ landau ทะเลสาบ Bodensee หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษว่า ทะเลสาบ Constance เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นทะเลสาบที่เกิดจากแม่น้ำไรน์ (Rhine) ทะเลสาบ Bodensee หรือ Constance นี้ ส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เยอรมัน และฝรั่งเศส เกาะดอกไม้Mainau เป็นหนึ่งในจุดหมายการท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่ สุดในประเทศเยอรมันเพราะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนนับล้านคน ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน่อดอกไม้จำนวนมหาศาลก็จะเริ่มผลิบานในภูมิอากาศสบาย ๆของโบเดนเซ ในฤดูร้อนนักท่องเที่ยวจะนั่งใต้ต้นปาล์ม และต้นสนยักษ์ ไปจนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิก็จะมีดอกกุหลาบ และดอกรักเร่ผลิบานอย่างเย้ายวนใจ สิ่งนี้เกิดมาจากการสร้างสรรค์ของขุนนางชาวสวีเดนนามเลนนาร์ท แบร์นาดอทเทอผู้ซึ่งมาถึงเกาะแห่งนี้เมื่อปีค.ศ. 1932 และเสียชีวิตลงเมื่อปีค.ศ. 2004 ด้วยอายุ 95 ปี เกาะMainau ที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบ constant ประเทศ เยอรมัน มีพื้นที่ 45 Hectares หรือ 281.25 ไร่ หรือ เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรถ้าเดินรอบเกาะเกาะนี้มีความกว้างสูงสุด 610 เมตรความยาวของเกาะ 1,100 เมตรเกาะนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 395-425 เมตร (เปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลแค่ 2 เมตร) เกาะ Mainau เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในทะเลสาบโบเด้นเซ (Lake of Constance)ขึ้นอยู่กับเมืองคอนชตั๊นซ์ (Konstanz)อยู่ทางตอนใต้ของเยอรมนี มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 185 คน เกาะ (Mainau) มีลักษณะพิเศษตรงที่สภาพภูมิอากาศแตกต่างจากที่อื่ืนๆในเยอรมนีสามารถปลูกพืชในเขตร้อนได้ เช่น ต้นปาล์ม ต้นกล้วย ทับทิม กล้วยไม้และต้นไม้ดอกไม้เมืองร้อนอื่นๆ เกาะ Mainau ปัจจุบันเป็นของมูลนิธิ Lennart Bernadotte Foundation
บนเกาะนี้ นอกจากจะมีดอกไม้นานาชนิด ผีเสื้อนับพันๆตัว กล้วยไม้ ต้นปาล์ม ต้นกล้วย และ พืชอื่นๆจากเมืองร้อนในสวนของพระราชวังแล้ว ยังมีต้น Giant Redwood ที่มีอายุมากที่สุดในเยอรมนี ปลูกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1864นอกจากนี้ยังมี สวนกุหลาบสไตล์อิตาเลี่ยน มีดอกกุหลาบกว่า 30,000 ต้นจากระเบียงของสวน สามารถมองเห็นภาพทะเลสาบและเทือกเขาแอลป์แบบ Panorama สวยงามมากๆ มีสวนสัตว์ให้เด็กๆเข้าไปเล่นกับม้าและแพะได้ มีสนามเด็กเล่น สวนน้ำ มีท่่าเรือ ภัตตาคาร และทิวทัศน์สวยงามรอบๆทะเลสาบ เกาะสวรรค์แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คู่บ่าวสาวนิยมจัดงานแต่งงานแต่ละปี มีคู่บ่าวสาวมาจัดงานแต่งงานที่นี่ประมาณ 100 คู่ณ โบสถ์ Schlosskirche St. Marien
เกาะ Lindau(Bodensee)เป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบคล้ายๆเกาะเกร็ด มีสะพานรถวิ่งข้ามสะพานสั้นๆสบายๆเกาะไม่ใหญ่มากเกาะ Lindau บ้านเรือนเก่าแก่สไตน์บาวาเรียไป ชมที่ว่าการอำเภอที่เก่าแก่ของเมืองนี้ เมืองนี้เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องการพักผ่อนของคนยุโรปที่ขึ้นชื่ออีก เมืองหนึ่ง สถานที่สงบสวยงามอากาศดี และปลอดภัยเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ช้อปปิ้งร้านค้าพื้นเมือง(ออสเตรีย-เยอรมัน-สวิส)
.14 พค เที่ยว Appenzell
เขต Appenzell เป็นเขตที่มักจะถูกลืมไป นักท่องเที่ยวชาวไทย มักจะเดินทางไปเฉพาะแต่เมืองใหญ่ๆ อย่างซูริค เบริ์น ลูกเซิน หรือเมืองที่มีชื่อเสียงอย่าง Interlaken และ Zermatt จนลืมไปว่า ทางด้านตะวันออกยังมีเมืองเล็กๆ อย่าง Appenzell ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นที่เล็กที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี วิถ่ชีวิตขอคนในเขตนี้คือการเลี้ยงสัตว์ เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองที่โดดเด่นในด้านการท่องเที่ยว แต่ที่นี่เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวสวิส อย่างแท้จริง Appenzell เป็น หมู่บ้านเล็กๆ ที่ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณอยู่ บ้านเรือนก็ยังคงสไตล์ดั้งเดิม มีเอกลักษณ์ตกแต่งลวดลายด้วยสีสัน ส่วนมากจะเป็นลายดอกไม้บ้าง ลายเรขาคณิตบ้าง ลายการ์ตูนบ้าง และที่เหมือนกับเมือง Stein am Rhein ก็คือมีป้ายเหล็กดัดสวยๆ ของร้านค้าต่างๆ เช่นเดียวกัน ที่ลานออกเสียงกลางแจ้งของชาว Appenzell เดิมทีการออกสิทธิ์ออกเสียงต่างๆ จะทำได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในการโหวตเรื่องต่างๆ ...จนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วผู้หญิงจึงเริ่มมีสิทธิออกเสียงได้เนื่องจาก คำสั่งจากศาลกลางของรัฐที่ออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิสตรีมา ไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันชาวเมือง Appenzell ยังออกเสียงกันกลางแจ้งอยู่อีกหรือไม่ เพราะจากข้อมูลในวิกิพีเดียกล่าวถึงจนถึงปี 2005 เท่านั้นที่นี่น่าจะเป็นเมืองที่น่ามาพักแรมอย่างยิ่ง เพราะมีกลิ่นอายความเป็นชนบทมากๆ โดยเฉพาะกลิ่นขี้วัว ซึ่งเมือง Appenzell ยังคงมีการอนุรักษ์เทศกาลต้อนวัวอยู่ ของที่ระลึกที่ขึ้นชื่อของที่นี่จึงเป็นกระดิ่งคอวัวให้นักท่องเที่ยวซื้อติดกลับไป อ้อ! เมืองนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องชีสและเบียร์ที่รสชาติเยี่ยมยี่ห้อเดียวกับชื่อเมืองด้วย st.gallen ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองและเข้มแข็งทางศาสนามาตั้งแต่สมัยยุคกลาง โบสถ์ St.Gallen จึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักจะมาเยือนด้วยความงดงามของโบสถ์สไตล์บา ร็อค ซึ่งภายในของโบสถ์นั้นต้องยอมรับว่ามีความสวยงามมาก เพดานโค้งมน โดยตัวโบสถ์นี้สามารถเข้าชมได้ทุกวันและไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใดไม่เพียงแต่ St.Gallen จะมีโบสถ์ที่สวยงามเท่านั้น แต่หากยังมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมอยู่อีกหนึ่งอย่างคือ หอสมุด Stiftsbibliothek หรือภาษาอังกฤษว่า Abbey Library เป็นหอสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และของโลก เนื่องจากมีต้นฉบับลายมือหนังสือหายากที่เขียนขึ้นในยุคสมัยกลางที่ประเมิน ค่าในปัจจุบันไม่ได้ จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก (รวมทั้งโบสถ์ St. Gallen และบริเวณโดยรอบ) ราคาค่าเข้าชมคนละ 7 ฟรังซ์ บริเวณภายในหอสมุดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ก่อนจะเข้าไปภายในจะต้องสวมรองเท้าทำจากสักหลาดที่เขาเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องถอดรองเท้าที่เราใส่มา แค่สวมรองเท้าสักหลาดที่ลักษณะเหมือนรองเท้าแตะทับอีกที รองเท้าสักหลาดนี้จะทำให้เดินยกขาไม่ได้สะดวก จึงทำให้ต้องเดินช้าๆ ลากๆพื้น นอกจากหอสมุดจะเป็นที่เก็บรักษาเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งแล้ว สถาปัตยกรรมภายในหอสมุดก็งดงามน่าทึ่งไม่แพ้กัน ทำจากไม้ เพดานโค้งมนเหมือนโดม แกะสลักได้งดงามมาก ระหว่างที่เดินดูภายในหอสมุดนี้ หนังสือเก่าและเอกสารสำคัญจะอยู่ในตู้โชว์ มีหมายเลขบอกให้อ่านคู่กับคู่มือที่เขาแจกให้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเข้าชม แนะนำให้เดินเรียงตามหมายเลขที่บอก จะได้ความรู้มากมาย ผ่าน ถนนสายหนึ่งซึ่งเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวพอสมควรเลย ดูจากภาพจะเห็นเหมือนกับเอาสีมาพ่นทาทับรถยนต์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่รถจริง เขาสร้างสรรค์ถนนแถบนี้ด้วยการใช้ยางสีแดงปูพื้น เป็นศิลปกรรมสมัยใหม่เรียกว่า Stadtlounge หรือ city lounge จากไอเดียที่ต้องการสร้างห้องนั่งเล่นสาธารณะขึ้นในเมือง (public living room) โดยมีทั้งโซฟา โต๊ะ เก้าอี้ หลากแบบ รวมทั้งรถยนต์นี่ด้วย จากนั้นก็มีการประกวดแข่งขันออกแบบกันจนออกมาอย่างที่เห็น ซึ่ง Stadtlounge นี้มีมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2005 ที่ Markt Platzจะมีตลาดนัด ทุกวันพุธและวันเสาร์เหมือนที่เจนีวา
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2555, 14:41:08 » |
|
สวัสดียามบ่ายวันเสาร์ครับ... พี่ตะวัน..พี่ประทาน..พี่อร..น้องหยี และพี่น้องทุกท่าน
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2555, 14:45:59 » |
|
เห็นด้วย 100% ครับ... สวยจริง
|
|
|
|
|