26 พฤศจิกายน 2567, 17:55:25
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 111 112 [113] 114 115 ... 131   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ตามครูไปเที่ยว  (อ่าน 926083 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2800 เมื่อ: 16 เมษายน 2557, 19:11:13 »

สงกรานต์ที่พม่า



สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า เทศกาลสงกรานต์ในพม่า หรือที่ในภาษาพม่าเรียกว่า "ติงยาน" เริ่มต้นขึ้นแล้วในวันที่ 13 เม.ย. โดยบรรยากาศการเล่นสงกรานต์ในแดนอิระวดีเป็นไปด้วยความคึกคัก รายงานระบุว่า พิธีเปิดเทศกาลสงกรานต์มีขึ้นในช่วงเช้าในกรุงย่างกุ้ง
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2801 เมื่อ: 16 เมษายน 2557, 20:05:11 »

น้องเริง


ลูกน้องชาวพม่าขอลากลับไปบวชพระในช่วงปลายเดือนมีนาคม และขออยู่ต่อเพื่อฉลองสงกรานต์
บอกว่าจะกลับมา หลังสงกรานต์ที่พม่าเลิกแล้ว.....แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ??
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2802 เมื่อ: 16 เมษายน 2557, 20:48:45 »

สิ้นเดือนเมษายน..กลับแน่นอน ๕๕๕




      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2803 เมื่อ: 16 เมษายน 2557, 21:05:30 »

งานมหาสงกรานต์ อ.เชียงแสน เริ่มแล้ว มี 4 ชาติเข้าร่วม



"เชียงแสน" เปิดงานมหาสงกรานต์ 4 ชาติ "ไทย-ลาว-พม่า-จีน" ร่วมงานท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าว เผยไฮไลต์เป็นขบวนแห่รถบุปผชาติที่สวยงาม อลังการ...

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 16 เม.ย. 57 ที่อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย มีพิธีเปิดงานมหาสงกรานต์ 4 ชาติ คือ ไทย ลาว พม่า และจีน โดยมีตัวแทนจากประเทศจีน ลาว และพม่า เข้าร่วมเปิดงานท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว อุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซลเซียส แต่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย พม่า และลาว ก็ไม่หวั่น พากันเดินทางเข้ามาเที่ยวงานสงกรานต์เชียงแสน เพื่อชมขบวนแห่นางสงกรานต์ โดยเริ่มจากขบวนแห่กลองหลวง 12 ราศี ของแต่ละหัววัด ตีเสียงดังสนั่น ซึ่งเป็นไฮไลต์ของขบวน ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาก...ข่าวไทยรัฐ

      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2804 เมื่อ: 17 เมษายน 2557, 10:33:04 »

สงกรานต์ที่นี่จัดหลังกว่าที่อื่น

ประเพณีก่อพระทรายวันไหลบางแสน ประจำปี 2557 

ด้วย เทศบาลเมืองแสนสุข ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรีและจังหวัดชลบุรี ได้กำหนดจัดงานประเพณีก่อพระทรายวันไหลบางแสน ประจำปี 2557 ขึ้น ระหว่างวันที่ 16 – 17 เมษายน 2557 ณ บริเวณชายหาดบางแสน เพื่อเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่และเป็นที่รู้จัก แพร่หลายสืบต่อไป

ในการจัดงานครั้งนี้ มีกิจกรรมต่างๆประกอบด้วย การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป การประกวดก่อพระทรายวันไหลบางแสน การแข่งขันการละเล่น สะบ้า ช่วงรำ วิ่งเปี้ยว ชักกะเย่อ มวยทะเล แข่งขันแกะหอยนางรม กีฬาสาธิตมอญซ่อนผ้า การจำหน่ายอาหารและสินค้าพื้นเมืองการแสดงดนตรีของเหล่าศิลปิน นักร้องนักแสดงทั้งสตริงและลูกทุ่งชื่อดัง ฯลฯ




      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2805 เมื่อ: 17 เมษายน 2557, 20:01:10 »

ภาพวันนี้..บรื้อๆ

คนทะลักวันไหลบางแสน รถติดหนึบทั้งสองฝั่ง



     

          
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2806 เมื่อ: 17 เมษายน 2557, 20:11:33 »

ต้นไม้น่าปลูก...

ต้นนางกวัก ไม้มงคลนาม ปลูกไว้กวักเงินกวักทอง




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก บ้านสวนพอเพียง

         ต้นนางกวัก ไม้มงคลที่โบราณเชื่อว่าจะช่วยนำเงินทองมาให้เจ้าของบ้าน และผู้อยู่อาศัยให้ร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะแค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าจะช่วยกวักเงิน กวักทอง และกวักโชคลาภให้เข้ามาในบ้าน ส่วนใหญ่หลายบ้านก็นิยมปลูกต้นนางกวักเป็นต้นไม้ติดสวน เพราะนอกจากจะทำให้มีโชคมีลาภตามความเชื่อแล้ว ยังช่วยเสริมให้บ้านดูสวยงามขึ้นอีกด้วย แต่สำหรับบ้านไหนที่กำลังมองหาต้นนางกวักมาปลูก หรือกำลังตัดสินใจเลือกต้นไม้ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับต้นนางกวักมาแบ่งปันให้ได้รู้จักกัน

 ลักษณะของต้นนางกวัก

          เป็นต้นที่มีก้านตั้งตรงจากลำต้นหนา 3-6เซนติเมตร ก้านใบยาวตั้งแต่ 20-85 เซนติเมตร ลักษณะใบคล้ายใบโพธิ์ มีก้านใบเชื่อมถึงกัน ใบมีสีเขียวแกมน้ำเงิน ใบด้านบนเป็นมัน เห็นเส้นใบโค้งตามรูปใบชัดเจน ต้นที่สมบูรณ์จะมีใบใหญ่เป็นมัน และมีก้านยาว เมื่อใบเก่าแห้งแล้วลองลอกทิ้งจะเห็นเป็นลักษณะคล้ายลำต้น ต้นนางกวักสามารถแตกหน่ออกเป็นต้นใหม่ไปเรื่อย ๆ แม้ปลูกเพียงต้นเดียวก็สามารถมีหน่อจนเต็มกระถาง

 ประโยชน์ของต้นนางกวัก

         ใช้ประดับตกแต่งให้อาคารบ้านเรือนสวยงาม และยังเป็นไม้มงคลที่จะช่วยทำให้เจ้าของบ้าน และผู้ที่อยู่อาศัยร่ำรวยขึ้นตามความเชื่อโบราณ อีกทั้งยังสามารถเป็นสมุนไพรแก้โรคได้หลายชนิด เช่น แก้พิษแมลงต่าง ๆ แก้พิษงู แก้ไข้ แก้เจ็บคอ และแก้โรคปวดหัว เป็นต้น

 การดูแลรักษาต้นนางกวัก

          แสง แสงรำไร หรือร่มไม้ที่ชอบแสงแดดจัด

          ดิน อินทรียวัตถุ ผสมกาบมะพร้าวสับ หรือดินที่ค่อนข้างร่วยซุย และโปร่ง มีการระบายน้ำได้ดี

          น้ำ ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย แม้ต้นนางกวักจะชอบที่ชื้นแฉะ และควรตั้งไว้ในที่ร่มรำไร จะทำให้ใบสวยงาม

          ปุ๋ย ให้ปุ๋ยยูเรียทุก ๆ 3-4 เดือน สลับกับปุ๋ยอินทรีย์
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2807 เมื่อ: 19 เมษายน 2557, 10:36:25 »

ดอกมะลิที่บ้าน ก่อนที่จะเก็บไปลอยน้ำให้หอมในวันสงกรานต์ที่ผ่านมา



ส่วนนี่เพิ่งเก็บมาเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา..หอมๆครับ

      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2808 เมื่อ: 19 เมษายน 2557, 11:05:48 »

หนังสือดี อ่านสนุก สองเล่มรวมเป็นเล่มเดียวแล้ว





        ทั้งลึกและลับ

ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ฉบับรวมเล่มนี้ นำมาจาก สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น 2 เล่ม ที่สำนักพิมพ์มติชน เคยพิมพ์ไปแล้ว ครั้งนี้พิเศษนำ 2 เล่ม นั้นมารวมเป็นเล่มเดียวกัน ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพราะเป็นบันทึกของเจ้านายพระองค์หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งหาอ่านไม่ได้ในเอกสารประวัติศาสตร์เล่มอื่นๆ

                              

เพราะทำให้เห็นภาพทางฟากฝั่งเจ้านายว่าจะต้องเผชิญอะไรบ้างในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง เห็นภาพไม่วางไว้ใจกันระหว่างคณะราษฎรกับกลุ่มเจ้า
                         
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2809 เมื่อ: 19 เมษายน 2557, 18:40:26 »

เนื้อหาบางส่วนของหนังสือได้ถูกนำมาอ้างอิงในเอกสารประวัติศาสตร์ต่อๆมา

เช่น  เมื่อพระประศาสน์ฯ ตัดสินใจกลับไปพระที่นั่งอนันตสมาคม ขบวนรถของท่านผ่านสนามหลวง ท่านได้เห็นกองทหารราบกองพันหนึ่งกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ก็เกรงว่าถ้าทิ้งเอาไว้ ฝ่ายต่อต้านมาเอาไปก็จะมีกำลังต้านจึงหยุดรถทักทาย พบผู้บังคับกองพันทหารราบรักษาพระองค์ พ.ต.หลวงวีระโยธา จึงบอกว่า

“เวลานี้เกิดกบฏขึ้นแล้วให้คุณหลวงนำทหารเหล่านี้ไปพระที่นั่งอนันต์เดี๋ยวนี้”

หลวงวีระโยธาเชื่อจึงนำทหารของท่านไปที่พระที่นั่งอนันต์ ด้วย

 เมื่อพระประศาสน์ฯ ไม่ได้ไปบ้านพระยาเสนาสงครามที่ถนนนครไชยศรี ก็มีผู้ก่อการที่เป็นนายทหารระดับรอง คือ ร.ท.ขุนศรีศรากร กับคณะไป และในรายที่ไปคุมตัวพระยาเสนาสงครามนี้ได้เกิดการยิงกันขึ้นถึงเลือดตกยางออก พระยาเสนาสงครามถูกยิงบาดเจ็บ แต่ไม่สาหัสต้องส่งตัวไปที่โรงพยาบาล

 ในพระนิพนธ์ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ประวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล มีข้อความที่กล่าวถึงกรณีพระยาเสนาสงครามในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไว้เพียงสั้น ๆ ว่า

“เข้าใจว่าเพราะเหตุนี้เอง พระยาเสนาฯ จึงถูกเรียกตัวทางโทรศัพท์ลงมายิงเสียอย่างเลือดเย็นในตอนเช้ามืดวันที่ 24 มิถุนายนนั้น”

เมื่อได้สมเด็จกรมพระนครสวรรค์ พระยาสีหราชเดโชชัย มาคุมตัวไว้ และพระยาเสนาสงคราม บาดเจ็บถูกคุมตัวไว้ที่โรงพยาบาล นอกจากนั้นยังเชิญตัวพระบรมวงศานุวงศ์ และนายทหารสำคัญที่คุมกำลังในพระนครมาคุมตัวไว้ได้แล้ว ก็นับว่าคณะผู้ก่อการฯ ดำเนินการได้ลุล่วงทั้ง 2 แผน จะมีก็แต่กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงคมนาคมที่หลบรอดจากการถูกคุมตัว ไปสั่งรถจักรพาหนีไปถึงหัวหินได้ในตอนบ่ายของวันที่ 24 มิถุนายน

 สำหรับทหารในกรุงเทพฯ ที่คิดจะต่อต้านการยึดอำนาจในวันนั้นที่จริงก็คงยังมีอยู่ เพราะขณะที่ชุมนุมทหารและประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ เวลา 06.05 น. ของวันที่ 24 มิถุนายนนั้น ได้มีทหารคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยได้กล้าหลบหนีออกมาจากที่ชุมนุม ดังปรากฏอยู่ในพระนิพนธ์ของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ว่า

“มีนายร้อยตรีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์คนหนึ่งชื่อ พุฒพยายามถอยหลังเข้าไปในสนามเสือป่า ในเวลาที่กำลังยุ่งตรวจและขนของกันอยู่ แล้วค่อยคลานไปลงสระว่ายน้ำข้ามไปขึ้นอีกทางหนึ่ง จึงออกถนนได้แล้วรีบไปยังกรมทหารของตน และรายงานเหตุการณ์นั้นแก่ผู้บังคับการคือ พระยาสุรเดชฯ (ชิต ยุวเตมีย์) นักเรียนเยอรมันเพื่อนพระยาพหลฯ เผอิญเวลาที่ร้อยตรีพุฒเดินไปถึงกรมเป็นเวลาที่เขาจับทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ไปเสียแล้ว พระยาสุรเดชฯ จึงไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากรวมกำลังคุมเชิงอยู่....”

ทั้งนี้ทางฝ่ายผู้ก่อการฯ เองนั้นตามคำให้การของพลโทประยูร ภมรมนตรี ที่เขียนเล่าได้ระบุถึงการสั่งเก็บอาวุธจากหน่วยทหารต่าง ๆ และมีบางหน่วยคิดต่อสู้ ดังนี้

“การปฏิบัติขั้นต่อไปของฝ่ายทหารคือ การสั่งเก็บอาวุธ กระสุน ตามหน่วยกรม กองต่าง ๆ และเข้าควบคุมคลังแสงฯ เกือบจะมีการสู้รบกันโดย พ.ต.หลวงไกรชิงฤทธิ์ (พุด วินิจฉัยกุล) ผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็ก ที่สะพานมัฆวาน ได้จัดทหารหนึ่งกองร้อยขยายแถวเตรียมทำการยิงสู้ เคราะห์ดีที่การเก็บอาวุธได้จัดทำจากหน่วยชั้นนอกเข้ามาก่อน กว่าจะมาถึงกองพันของตนก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เห็นหมดหนทางที่จะต่อสู้ต้านทานได้ก็ถอยกำลังกลับเข้ากองพันไป”

ถึงตอนนี้คณะราษฎรก็ได้ทั้งคณะผู้มีอำนาจปกครองประเทศของฝ่ายตนขึ้นเรียกว่า “ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร” มี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้า มีนายทหารอีก 2 ท่านร่วมคณะคือ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช และ พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ คณะนี้เป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองประเทศ

 ต่อจากนั้นคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารก็ได้มอบหมายให้ น.ต.หลวงศุภชลาศัย นำเรือรบหลวงสุโขทัยไปหัวหิน ไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขอให้เสด็จกลับพระนคร

 ตอนบ่ายวันที่ 24 มิถุนายนนั่นเองก็มี คำประกาศของผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร สมเด็จกรมพระนครสวรรค์วรพินิต รับรองการยึดอำนาจของคณะราษฎรความว่า

“ด้วยตามที่คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ได้ โดยมีความประสงค์ข้อใหญ่ที่จะให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน

 ข้าพเจ้าขอให้ทหาร ข้าราชการ และราษฎรทั้งหลาย จงช่วยกันรักษาความสงบ อย่าให้เสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกันโดยไม่จำเป็น”

คำประกาศนี้คณะราษฎรได้เร่งจัดทำเผยแพร่ออกไปโดยเร็ว มีการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ในวันต่อมา หลังคำประกาศของผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครแล้ว ทางคณะราษฎรก็ได้ออกคำประกาศสั่งข้าราชการตามออกมาเรียกว่า “คำประกาศแก่บรรดาข้าราชการ” ของคณะราษฎร ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ความว่า

“ตามที่คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ โดยมีความประสงค์ข้อใหญ่ที่จะให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน และบัดนี้สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ได้ลงพระนามรับรองคณะราษฎรแล้ว ผู้รักษาพระนครจึงสั่งข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้มาปฏิบัติราชการตามเคย ผู้ใดละทิ้งหน้าที่จะต้องมีความผิด”

ตกเย็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง คณะผู้รักษาพระนครฯ ก็ได้เชิญเสนาบดี และปลัดทูลฉลองของทุกกระทรวงมาประชุมที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อรับฟังคำชี้แจงและคำสั่งของคณะราษฎร มีเสนาบดีและปลัดทูลฉลองจำนวน 12 ท่าน จาก 8 กระทรวงมาประชุม โดยพระยาพหลฯ หัวหน้าคณะผู้รักษาพระนครฯ เป็นผู้เปิดประชุม และหลวงประดิษฐมนูธรรมเป็นผู้ชี้แจงเรื่องราวต่าง ๆ โดยสั่งให้ไปชี้แจงกับข้าราชการต่อไป ทั้งนี้เน้นให้เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกับทูตและต่างประเทศ กับให้ปลัดฯ กระทรวงมหาดไทยสั่งการไปหัวเมือง

 ดังนั้นก่อนตะวันตกดินในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรก็ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ยังมีภารกิจของการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินอีกหลายภารกิจที่ต้องทำ และล้วนแต่ยากกว่าการยึดอำนาจที่เพิ่งจะทำสำเร็จมา
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2810 เมื่อ: 19 เมษายน 2557, 20:10:28 »

มจ.พูนพิสมัย ทรงชอบบันทึก  มีบทพระนิพนธ์มากมายของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ทรงบันทึกเรื่องราวที่น่าสนใจหลายเรื่องทั้งบุคคล และเหตุการณ์ร่วมสมัย ดังเช่นเรื่องของหม่อมเจ้าพัฒนายุ ดิศกุล ซึ่งเป็นธิดาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และหม่อมลำดวน

 หม่อมเจ้าพัฒนายุ ดิศกุล เป็นอีกองค์หนึ่งที่มีชีวิตยืนยาวถึง 5 แผ่นดิน เริ่มแต่รัชกาลที่ 5 เป็นฝาแฝด หญิงซึ่งแฝดผู้เป็นพี่ได้เสียชีวิตเมื่ออยู่ได้เพียง 3 เดือน หม่อมเจ้าพัฒนายุ จึงได้ชื่อเรียกกันว่า "เหลือ"

ผู้ที่ทำให้ "เหลือ" เหลืออยู่ได้เป็นนายแพทย์ชาวเบลเยียมชื่อ หมอไรท์เตอร์ หรือพระยาประเสริฐ ฯ นำมาเลี้ยงในหีบแก้ว โดยมีแม่เต๋อซึ่งเล่าเรียนวิชาพยาบาลมาจากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เลี้ยง หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ทรงถือว่าหม่อมเหลือเป็นคนไทยคนแรกที่รอดชีวิตได้เพราะวิธีทางตะวันตก

 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานนามเธอว่า "พัฒนายุ" ด้วยมีพระราชดำรัสแก่เสด็จพ่อ ฯ (กรมพระยาดำรง ฯ) ว่า

"ฉันจะให้มันอยู่และอายุยืน"

เมื่อหญิงเหลืออายุได้ 6 ขวบก็ตามหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ไปอยู่ด้วยในพระบรมมหาราชวัง อยู่กับพระธิดาของพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ผู้ทรงเลี้ยงหม่อมเจ้าพูนพิศมัย หญิงเหลืออยู่กับสมเด็จหญิงพระองค์กลางคือ เจ้าฟ้าหญิงมาลินีนพดารา ส่วนหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยอยู่กับสมเด็จหญิงพระองค์น้อย เจ้าฟ้าหญิงนิภานพดล

"ทรงให้เราแต่งคู่กันอย่างเดียวกับพระองค์ท่าน เสด็จไหนเราก็ตามเสด็จด้วย โดยเฉพาะเสด็จขึ้นเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในเวลาเสวยบ่ายทุกวัน เมื่อเสด็จออกข้างหน้าแล้ว สมเด็จหญิงก็เสด็จกลับไปตำหนัก บางวันก็ทรงเล่นเกมต่างๆ"

ในเกมต่างๆ นั้นมี โกเกเล็กบนพรม/ชิงนางบนกระดาษ/ไพ่ยายแก่งไพ่ยายแก่ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ทรงเล่าถึงหญิงเหลือ ต่อไปอีกว่า

"ในเวลาอยู่ในพระที่นั่งวิมานเมฆ และอัมพรสถานเป็นเวลาที่เราสนุกเป็นที่สุด เพราะข้าพเจ้าอายุ 12 ปีแก่กว่าหญิงเหลือ 1 ปี 9 เดือน กำลังรู้ความ แต่ไม่ต้องถูกระวังตัวว่าเป็นสาว เข้าออกได้ทั้งข้างหน้า ข้างใน ได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แทบทุกวัน เวลาเสด็จประพาสทอดพระเนตร ถนนหนทางที่ตัดใหม่เวลาเย็นๆ ถ้ามีสมเด็จหญิงตามเสด็จด้วย ข้าพเจ้า และหญิงเหลือก็ได้ถือพระสุพรรณศรี (กระโถน) ยืนเกาะหลังเก้าอี้คนขับไปด้วย

"สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงตบหัวว่า ไปบอกพ่อเจ้าซิ ว่าได้ขึ้นรถพระที่นั่ง"

ความสนุกสนานอยู่มาจนถึงปี 2453 พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พวกเจ้านายข้างในก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังทั้งหมด จนถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว จึงกลับไปอยู่สวนดุสิตใหม่

 ขึ้นรัชกาลที่ 6 วันหนึ่งกรมพระยาดำรง ฯ เสด็จกลับจากเฝ้าวันธรรมดาที่สวนดุสิต ได้ตรัสกับหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ว่า

"ลูกพูน วันนี้พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับพ่อว่า-เมื่อกรมพระดำรง ฯ เสด็จไม่อยู่ (เสด็จตรวจราชการภูเก็ต) หญิงพูน เจ็บมาก เขารายงานว่าต้องเรียกหมอเข้าวังกลางคืน แกก็โตแล้วจะทรงทิ้งไว้ในวังทำไม เอา ออกมาหัดเองไม่ดีหรือ หม่อมฉันทูลเด็จแม่แล้ว ท่านก็ทรงเห็นด้วย"

หม่อมเจ้าพูนพิศมัย จึงขอประทานหญิงเหลือจากสมเด็จหญิง ให้ออกมาอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยแยกจากกันอีก อยู่รับใช้สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ ตลอดพระชนมชีพ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ก็ทรงพระเมตตาหญิงเหลือไม่น้อย

 หญิงเหลือได้รับพระราชทานเสมาเพชรชั้น 1 และนาฬิกาข้อมือเพชรรอบในงานฤดูหนาวปี 2456 งาน เฉลิมพระชนมพรรษาก็ได้รับเชิญแต่งแฟนซีทุกปี

 ครั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จเดินป่าไปดอนพระเจดีย์ มีผู้หญิงไปในกระบวนเสด็จเพียง 4 คนคือ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย/หญิงเหลือ/นมแจ๋ว และเด็กเงิน (ชื่อตามที่หม่อมเจ้าพูนพิศมัยทรงเรียก) เวลามีโขนละครก็นั่งดูอยู่ข้างพระเก้าอี้แทบจะทุกครั้ง ได้มีโอกาสรับฟังพระราชดำริอยู่เสมอๆ

 ทรงคุ้นเคยกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ทรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เคยเรียกทูล กระหม่อมจนติดปาก เมื่อเสด็จสวรรคตจึงร้องไห้กันมาก

 ถึงรัชกาลที่ 7 ทั้งหม่อมเจ้าพูนพิศมัย และหญิงเหลือต่างก็คุ้นเคยกับพระองค์ท่านมาแต่ยังมีหัวจุก สมัยอยู่ในพระที่นั่งอัมพรสถาน แต่เมื่อโตแล้วก็ไม่มีโอกาสเฝ้าใกล้ชิด

 บันทึกตอนหนึ่งของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย มีดังนี้

"พศ. 2474 พระบาทสมเด็จ ฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทานน้ำสรงสงกรานต์แก่เสด็จพ่อ แล้วเสวยพระสุธารสที่วังวรดิศ ได้ทรงทราบว่าหญิงเหลือกำลังพิมพ์บทเพลงแผ่นเสียงอยู่ มีพระราชดำรัสแก่เธอว่า"

 "เสร็จแล้วขอเล่มหนึ่งนะ"

 "เธอก็หมอบกราบทูลรับ ครั้นพอหนังสือเสร็จมาแล้วก็เผอิญเป็นเวลาเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ"

 (24 มิถุนายน พศ. 2475 เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม)

 "เสด็จพ่อ (กรมพระยาดำรง ฯ) "บันทึกของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย " จึงตรัสว่า "ทูลรับไว้แล้วต้องไปถวาย ลูกพูนไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยก็แล้วกัน"

 "พอถึงพระที่นั่งจิตรลดาฯ เรา (หม่อมเจ้าพูนพิศมัย และหม่อมเจ้าพัฒนายุ-หญิงเหลือ) ก็เข้าไปนั่งคอย เสด็จลงขึ้นรถอยู่ตามทางเสด็จ ในใจนึกว่าครู่เดียวคงไม่เป็นไร ทันใดมหาดเล็กคนหนึ่งลงอัฒจันทร์มา บอกว่า"

 "รับสั่งให้เชิญเสด็จขึ้นไปข้างบน"

 "ใจเราก็หายวาบเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องแล้วยังไม่ได้เฝ้าเลย ทั้งต้องขึ้นไปในที่เคยเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 อยู่เสมอๆ ด้วย พอเข้าไปในเฉลียงก็เห็นทรงยืนทอดพระเนตรรูปที่ฝาผนังอยู่พระองค์เดียว"

 "พอทอดพระเนตรเห็นเรา ก็เสด็จมาประทับพระเก้าอี้ ข้าพเจ้าก็หมอบกราบทูลว่า"

 "หญิงเหลือจะนำหนังสือบทเพลงแผ่นเสียงมาทูลเกล้า ฯ ถวายตามที่ได้กราบทูลไว้"

 "ท่านทรงรับไปทอดพระเนตร แล้วมีพระราชดำรัสว่า "เมื่อวันที่ 24 ฉันกำลังตีกอล์ฟอยู่หลุม 8 ทีเดียว ไปอยู่ข้างหลุมซึ่งไม่เคยทำ กำลังเดินก็พบหลวงประเสริฐฯ (ราชองครักษ์) เข้ามาบอกว่า-กรุงเทพ ฯ เกิดขบถ เชิญเสด็จกลับเดี๋ยวนี้- ฉันกำลังมุ่งอยู่ที่ลูกกอล์ฟ ตอบแกว่า "เดี๋ยว ขอเอาลูกลงหลุมก่อน" แก กลับเอ็ดเอาว่า-ไม่ได้ ต้องเสด็จกลับเดี๋ยวนี้-ฉันก็เลยต้องทิ้งไม้กลับ"

 "เท่านั้น หญิงเหลือและข้าพเจ้าก็ปล่อยโฮออกไปพร้อมกัน และหยุดไม่ได้อยู่นาน"

และทรงบันทึกว่าครั้งหลังสุดที่ได้เฝ้าคือ ไปส่งเสด็จยุโรปที่เกาะสุมาตรา พระราชทานพระหัตถ์ให้จับ ทูลลาเป็นที่สุดแห่งรัชกาลที่ 7

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เสด็จขึ้นเสวยราชย์แล้ว เสด็จกลับเมืองไทยเป็นครั้งแรกจาก สวิทเซอร์แลนด์ ทางเรือพระที่นั่ง แวะที่เกาะปีนัง ได้มีพิธีถวายตัวที่นี่

 ขึ้นรัชกาลปัจจุบัน ทรงบันทึกว่า "พวกเรา (ทั้งหม่อมเจ้าพูนพิศมัยและหม่อมเจ้าพัฒนายุ) ตกอยู่ในวัยชรา ซ้ำตัวหญิงเหลือเองก็ทุพพลภาพภายหลังการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี แล้วเธอก็ไม่แข็งแรงมาแต่นั้น ทรงบันทึกเรื่องราวตอนนี้ว่า

"ตามที่เล่ามานี้ จะเห็นได้ว่าหญิงพัฒนายุ (เหลือ) เป็นผู้มีบุญ ได้เฝ้าใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินมาถึง 5 รัชกาล และได้รับพระมหากรุณาคุณพระเมตตาคุณมาทุกพระองค์ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาในพระราชวงศ์ แม้จะเป็นชั้นผู้น้อย"

30 ธันวาคม 2516 วันอวสานชีวิตแห่งหม่อมเจ้าพัฒนายุ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ทรงบันทึกว่า

"เริ่มเจ็บอกเวลา 12.30 น. หมอบอกหมดลมเวลา 13.20 น. เป็นเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง หมอเขียนใบมรณบัตรว่า "สิ้นชีพตักษัยโดยโรคเส้นโลหิตตัน" ผู้ตายเป็นสุข สมประสงค์ของเธอ"
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2811 เมื่อ: 20 เมษายน 2557, 19:21:10 »

เหตุการณ์การเชิญพระบรมศพรัชกาลที่ ๕ จากพระราชวังดุสิตไปยังพระบรมมหาราชวัง

บันทึกของมจ.พูนพิสมัย ดิศกุล

"...ข้าพเจ้าก็ไปคอยเฝ้าพระบรมศพที่ริมถนนราชดำเนินแถวโรงเรียนนายร้อนทหารบก พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่จะยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่งดำน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่รู้รส อาการมืดครึ้มมีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดือนทั่วไปผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละคือ "หมอกธุมเกตุ" ที่ในตำราเขากล่าวถึง ว่ามักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้น

ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวนเสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกลๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามาในความมืดเงียบสงัด ที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้กระบวนผ่านไปได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงปี่เสียงกลองมาแล้ว เคยได้เห็นแห่พระศพเจ้านายมาแล้วหลายองค์ แต่คราวนี้ตกใจสะดุ้งทั้งตัว เมื่อเห็นพระมหาเศวตฉัตรกั้นมาบนพระบรมโกศสีขาวกับสีทองเป็นสง่า ทำให้รู้ทันทีว่า พระบรมศพ แล้วร้องไห้ออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว เหลียวไปดูทางอื่น เห็นแต่แสงไฟจากเทียนที่จุดถวายสักการะอยู่ข้างถนนแวมๆไปตลอด ในแสงเทียนนั้นมีแต่หน้าเศร้าๆ หรือบิดหน้าอยู่ เราหมอบลงกราบกับพื้นปฐพี

พอเงยหน้าก็เห็นทหารยืนถือปืนเอาปลายลงดิน ก้มหน้าลงบนปืนอยู่ข้างหน้าเราเป็นระยะไปตลอด ๒ ข้างถนนนั้น น้ำตาของเขากำลังหยดลงแปะๆ อยู่บนหลังมือของเขาเอง ........

กระบวนเกียรติยศอัญเชิญพระบรมโกศพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากพระที่นั่งอัมพรสถาน อัญเชิญเสด็จกลับสู่ พระบรมมหาราชวัง โดยผ่านถนนราชดำเนินไปอย่างช้าช้านั้น แตรวงทำเพลงพญาโศกนำขบวนพระบรมศพ ราษฎรทั้งสองข้างถนนที่มารอเฝ้ากราบพระบรมศพอยู่แน่นขนัด แสงเทียนในมือส่องสว่างเป็นแถวยาวเหยียด เมื่อพระโกศทรงพระบรมศพผ่านมาถึงตอนใด เสียงร้องไห้กระซิกสะอื้นไห้อยู่นั้น ก็พลันเปลี่ยนเป็นเสียงโฮอย่างสุดเสียง เป็นเช่นนี้ไปตลอดทาง แม้แต่ทหารที่ยืนนิ่งระวังเหตุอยู่สองข้างถนนก็อดไม่ได้ที่ร้องไห้ และเมื่อขบวนพระบรมศพผ่านมา เหล่าทหารได้ถวายความเคารพ น้ำตาก็หลั่งไหลอาบแก้ม ทั้งๆ ที่พยายามอดกลั้นมิให้เสียงสะอื้นออกมาจากปาก

เมื่อพระโกศพระบรมศพ อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบน พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทันทีนั้นได้เกิดพายุอื้ออึง ฝนตกอย่างหนัก สายฟ้าฟาดเปรี้ยงๆ แปลบปลาบอย่างน่ากลัว...."
      บันทึกการเข้า
Virtusone
Newbie
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2

« ตอบ #2812 เมื่อ: 21 เมษายน 2557, 14:04:55 »

น่าไปมากเลยค่ะบรรยากาศท่าจะดีมากเลยอ่ะ
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2813 เมื่อ: 21 เมษายน 2557, 14:23:41 »

ไปไหนครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2814 เมื่อ: 21 เมษายน 2557, 17:53:13 »

เห็นว่า หนังสือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น จะรวมเป็นเล่มเดียว

รอดูจังหวัดก่อน เผื่อจะซื้อหาฉบับรวมเล่มไปอ่าน
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2815 เมื่อ: 22 เมษายน 2557, 17:49:01 »

ปกเป็นแบบนี้ครับ

                                           
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2816 เมื่อ: 22 เมษายน 2557, 18:43:12 »

เล่มที่สอง

เนื้อหาบางตอนกล่าวถึงครอบครัวกรมพระยาดำรงฯประทับที่ปีนัง ๑๐ ปี เงินขาดมือต้องขายมรดกเพื่อดำรงพระชนม์ชีพ ของเก่าทั้งนั้น

พระญาติส่งปลาทูไปทางรถไฟ ดำรงพระชนม์ชีพอย่างสมถะ  เสด็จกลับกรุงเทพฯ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ำท่วมกรุงเทพฯในปีนั้น

และเมื่อสิ้นพระชมน์ลูกชายต้องจำนองบ้านเพื่อนำเงินมาจัดการศพให้สมพระเกียรติ เมื่องานเสร็จต้องขายรถเพื่อนำเงินไปไถ่ถอนตึกนั้น

นอกจากนั้นมีบันทึกอื่นๆของมจ.พูนพิสมัย ที่น่าสนใจยิ่ง
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #2817 เมื่อ: 22 เมษายน 2557, 19:15:50 »

สวัสดีครับพี่เริง พี่เหยงและพี่น้องทุกท่าน
ตามอ่าน ตามชมครับ

ขอบคุณครับ



 รักนะ บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2818 เมื่อ: 23 เมษายน 2557, 12:20:49 »

หนุน


ภาพ เอกสารและบทความที่ลงในห้องนี้ มีคุณค่าทั้งนั้น
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2819 เมื่อ: 24 เมษายน 2557, 16:02:42 »

ครับผม..พี่เหยง
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2820 เมื่อ: 24 เมษายน 2557, 16:22:47 »

เล่ม ๑ กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย

คู่หมั้นคนแรกของร. ๗    มีรายละเอียดจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ด้วยเหมือนกัน

"หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล (8 สิงหาคม พ.ศ. 2440 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2528)[1] เป็นพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมเฉื่อย พระบิดานำเข้าถวายตัวในสำนักสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ตั้งแต่ 4 ชันษา เข้าศึกษาตามแบบสมัยใหม่ที่โรงเรียนราชินี ได้รับใช้ใกล้ชิดติดพระองค์ โดยมีหน้าที่เชิญหีบพระศรี พระกลด ตลอดจนเครื่องใช้ส่วนพระองค์ จนพระชันษาได้ 14 ปี สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ (รัชกาลที่ 7) ที่พระชนมายุ 16 พรรษา ทรงพอพระทัยในหม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขา จึงทูลขอพระชนนีให้ทรงหมั้นหมายก่อนที่จะเสด็จกลับศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ โดยพระชนนีหมั้นหมายหม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขาด้วยเครื่องเพชร และโปรดพระราชทานอนุญาตให้ทั้งคู่แลกของและติดต่อกันทางจดหมาย

แต่หลังจากนั้น 4 ปี หลังเสด็จกลับศึกษาต่อ หม่อมเจ้าพิไลยเลขาซึ่งมีพระชันษา 18 ปี ก็มิใช่เด็กหญิงที่สามารถคลุกคลีผู้ใดได้แต่เดิม ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกทรงมีโอกาสพบปะเล่นหัวพูดคุยกับหญิงอื่น และต้องชะตากับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ ทำให้พระทัยหวั่นไหว อันเปิดเหตุจากความเหินห่างพระคู่หมั้นจนอภิเษกสมรสกัน"

<โดยหนังสือเล่ม ๑ บอกสาเหตุทึ่ตัองมีการหมั้นไว้ก่อนด้วย<



กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับพระธิดา คือหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย หม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขา(ยืน) และหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ

ค้นคว้าข้อมูลคำบรรยายประกอบภาพข้างบนจากภาพล่างนี้ก่อน ด้วยไม่ทราบแน่ชัดว่าท่านใดเป็นมจ.พิไลยเลขา แต่เมื่อเห็นภาพข้างล่างจึงทราบชัดเจน ดังนั้นอีกท่านหนึ่งด้านขวาของภาพคือ มจ.พัฒนายุ ที่เคยมีพี่สาวแฝด



ชื่อภาพ : ภาพที่ 63 หมวดรูป :  ร. 35  รูปที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงฉาย เล่ม 4  
คำบรรยายภาพ : หม่อมเจ้าพูนพิศมัยและหม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล
      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2821 เมื่อ: 25 เมษายน 2557, 17:34:33 »

ไปโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ประชุมผู้ปกครองนักเรียนม. ๑




      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2822 เมื่อ: 26 เมษายน 2557, 19:15:53 »

ไปชะอำเมื่อสองวันก่อน






      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2823 เมื่อ: 26 เมษายน 2557, 19:29:32 »





      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #2824 เมื่อ: 28 เมษายน 2557, 19:36:28 »

ฝนลงมาบ้าง พอหายร้อนเนาะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 111 112 [113] 114 115 ... 131   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><