Nat Rattanadilok
|
|
« ตอบ #200 เมื่อ: 07 มีนาคม 2553, 20:49:39 » |
|
เซ็ง เสียภาษีเพิ่มอีกแปดพัน
|
+ ยุ่งจริง +
|
|
|
Pae
|
|
« ตอบ #201 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 08:03:32 » |
|
เดี๋ยวลูกคลอดก็เอามาลดหย่อนได้น่า
|
|
|
|
wirat
|
|
« ตอบ #202 เมื่อ: 16 มีนาคม 2553, 14:33:22 » |
|
เป้ ไปหาลูกค้าเยอะมากเลยไมได้โทรหา ว่ะ
|
|
|
|
Pae
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: 17 มีนาคม 2553, 20:19:06 » |
|
อยู่ไทยแล้วตอนนี้
|
|
|
|
Nat Rattanadilok
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: 18 มีนาคม 2553, 21:16:39 » |
|
เปลี่ยนเบอร์เหรอ โทรหาพี่เจษแล้วยัง
|
+ ยุ่งจริง +
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: 18 มีนาคม 2553, 22:28:03 » |
|
ผลงานของการวางแผนภาษี ^_^
|
|
|
|
Pae
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 06:53:37 » |
|
อเมริกา จะพิมพ์แบงค์กงเต็กออกมาอีก หกแสนล้านเหรียญ จะกระทบอะไรกับเราบ้างเนี่ย
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 10:19:39 » |
|
เบื้องต้นเลย ... ค่าเงินในเอเซีย จะแข็งค่าขึ้น ครับ
|
|
|
|
|
Pae
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 11:36:37 » |
|
ที่แน่ๆ ตอนนี้คือ รายได้ผมลดลงครับ
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #210 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 18:44:53 » |
|
แสดงว่า ... เงินได้ รับเป็น US ดอลลาร์ ??
>> ดอลลาร์ อ่อน ก็เล่นกองทุน ทอง ^_^
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 12:00:43 » |
|
บอกแล้ว ราคาทองคำต้องขึ้น หลังจากเม็ดเงินหกแสนล้านเหรีญ เข้าสู่ตลาด ... เมื่อคืนราคาทองในตลาดนิวยอร์ค ทะยานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
วันนี้ วันเดียว ...ราคาทองบ้านเราเด้งขึ้น 2 รอบ .... 250 บาท 1 รอบ และ 50 บาท อีก 1 รอบ ... เพียงวันเดียว ทองเด้งขึ้นรวม 300 บาท
----------------------------------------------
http://www.kaohoon.com/online/index.php?option=com_content&view=article&id=5664:-1394-lbrglbrg&catid=80:breakingnews&Itemid=231
เช้านี้ราคาทองสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 1,394 ดอลลาร์/ออนซ์
วันศุกร์ที่ 05 พฤศจิกายน 2010 เวลา 08:53:06 น.
รอยเตอร์รายงานว่า ราคาทองแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ราว 1,394 ดอลลาร์/ ออนซ์ในเช้าวันนี้ ขณะที่ดอลลาร์ร่วงลงหลังการตัดสินใจของสหรัฐในการซื้อ พันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น โดยนักเก็งกำไรได้เข้าทำกำไรในเวลาต่อมา
ณ เวลา 07.29 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอตมีการซื้อขายที่ระดับ 1,387.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลงจากระดับปิดในตลาดสปอตนิวยอร์คเมื่อวานนี้ หลังพุ่งสูงถึง 1,394.06 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองแท่งได้พุ่งขึ้นมากที่สุดภาย ในวันเดียวนับแต่ต้นปี 2009 เมื่อวานนี้ สัญญาทองล่วงหน้าส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาด COMEX พุ่ง 4.5 ดอลลาร์ ที่ 1,387.6 ดอลลาร์/ออนซ์
เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจราย ใหม่ของโลกในละตินอเมริกาและเอเชียต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการอัดฉีดเม็ดเงินหลายพันแสนล้านดอลลาร์เข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐเพื่อหนุนการขยายตัว
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #212 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 12:08:38 » |
|
จากนี้ไป ดอลลาร์ จะอ่อนลงมาอีก ...เงินในเอเซีย ซึ่ง รวมเงินบาทด้วยจะต้องแข็งค่าขึ้น
1. ใครทำส่งออก ควรเตรียมทำ F. เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
2. ราคาน้ำมันจะต้องสูงขึ้น ... ดังนั้น กองทุนน้ำมันน่าสนใจ
3. จากราคาน้ำมันที่จะต้องสูงขึ้น ... ผู้บริโภคที่ต้องใช้น้ำมัน หรือ กิจการที่่ต้องใช้น้ำมันเป็นปัจจัยการผลิต เช่นกิจการขนส่ง ฯลฯ ... ปัจจุบัน สามารถป้องกันความเสี่ยงจากการที่น้ำมันจะขึั้นสูงได้ โดยการซื้อบัตร Debit น้ำมัน ของกรุงไทย (เป็น ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ผูกเงินสดไว้กับการขึ้น-ลงของ กองทุนน้ำมัน)
4. ฯลฯ อีกเยอะแยะ ที่จะแปลง วิกฤติ เป็นโอกาส ... แต่ที่สำคัญ แบงค์ชาติ ต้องไม่พยายามแทรกแซงค่าเงินด้วยการทำสงครามค่าเงินเช่นในอดีต ... เพราะมันจะเจ๊ง อีกรอบ ^_^
|
|
|
|
Pae
|
|
« ตอบ #213 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2553, 19:53:37 » |
|
ยังไงก็ยังชอบหุ้นมากกว่าครับ พลาดท่ายังไง ก็ยังพอมีเงินปันผล
|
|
|
|
|
Pae
|
|
« ตอบ #215 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 15:28:58 » |
|
แต่ช่วงนี่ชักใจไม่ถึงแล้วครับ
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 18:55:49 » |
|
ครับน้องเป้ ... ตอนนี้หลายตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว
แต่ พี่ว่ากลุ่มพลังงาน น่าจะยังพอเล่นได้นะครับ ... เพราะน้ำมันต้องขึ้นอีกแน่ๆ
ที่เหลือ ก็คงเป็นหุ้นที่ยังมีฐานต่ำๆ ... เล่นเก็งกำไร พอได้อยู่
...
นึกถึงสมัยก่อนฟองสบู่แตก ... ตอนนั้นลุ้นกันหุ้นทะลุ 1000 จุด แต่ในที่สุดก็ไม่ทะลุ ฟองสบู่แตกโพล๊ะ ... ไหลลงเร็วมาก ... ช่วงนั้นใครกะช้อนซื้อ ก็ช้อนหักกันไปหลายราย ... แต่ยุคนี้ เช็คข่าวสารง่ายกว่าเมื่อก่อน ปลอดภัยขึ้นเยอะ
แต่ถึงอย่างไร ...ระวังไว้ไม่ประมาทเป็นดี ... พี่จะใช้วิธีกระจายความเสี่ยง กระจายการลงทุน ไปใน กองทุน หลายๆกลุ่ม ที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำกำไร สำหรับหุ้น ต้องเข้าเร็วออกเร็ว ใช้ Information และเครื่องมือ IT ให้เป็นประโยชน์ นะครับ
|
|
|
|
newstar
Cmadong พันธุ์แท้
Normal Man
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2532
คณะ: บัญชี'ถิติ
กระทู้: 2,978
|
|
« ตอบ #217 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 20:00:51 » |
|
เอ..เท่าที่ผมอยู่ในวงการบริษัทค้าหลักทรัพย์ตั้งแต่เรียนจบ ผมจำได้ว่าก่อนฟองสบู่แตก SET index มันมากกว่า 1000 จุดนี่ครับ SET index น่าจะอยู่ประมาณ 1500-1600 ไม่ใช่เหรอครับ จากนั้นจึงพังกันหมดเพราะปัญหา NPL นำมาสู่การปิด 56 ไฟแนนซ์ รวมทั้งหายนะจากสงครามการโจมตีค่าเงินบาท
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #218 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 20:10:40 » |
|
ถ้างั้น สงสัยข้อมูลพี่จะผิด ... พี่จำเอาหน่ะครับ หรือเป็นช่วงก่อนสงครามอ่าวเปอร์เซียช่วงซัดดัมบุกซาอุ
เดี๋ยวลองค้นดูก่อนนะ ครับ ...ขอบคุณครับ น้องพร
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #219 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 20:17:41 » |
|
เจอนี่อ่านแล้วดี เอามาฝากก่อน ... ค้นต่อ ^_^ ------------------------------- http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=newtoday&month=08-11-2010&group=15&gblog=2เล่นกับฟองสบู่ โดย ดร.นิเวศน์ความคึกคักของตลาดหุ้น ในช่วงนี้ ซึ่งเห็นได้จากดัชนีราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง บวกกับปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้คนเริ่มถามกัน มากว่าตลาดหุ้นตอนนี้เป็น Bubble หรือ “ฟองสบู่” หรือยัง ผมคงไม่ฟัน ธงว่าตลาดหุ้นในขณะนี้เป็นฟองสบู่หรือไม่ ข้อพิสูจน์นั้นจะมาในภายหลัง ถ้าเวลาผ่านไป 2-3 ปี ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงกว่าปัจจุบันมาก เราก็บอกว่าตลาดในช่วงปี 2553 เป็น “ฟองสบู่” แต่ถ้าดัชนียังสูงกว่าปัจจุบัน นั่นก็หมายความว่าตลาดหุ้นในปี 2553 เป็นช่วงตลาดกระทิงที่มีเหตุผลมีพื้นฐานรองรับ การคาดการณ์ว่าตลาดในขณะนี้เป็นฟองสบู่หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ ประสบการณ์ในอดีต ทั้งของต่างประเทศและของไทยเองก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เซียนหรือนักวิชาการ ระดับโลกก็อาจจะทำนายผิดได้ ดังนั้น ผมไม่คาดการณ์ แต่จะอธิบายจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของการเกิดฟองสบู่แต่ละ ครั้งว่าฟองสบู่หุ้นนั้น มักจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร ข้อแรกก็คือ ฟองสบู่นั้น มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญระดับ “ปฏิวัติ” ของเท็คโนโลยีของโลก เช่น การเกิดและเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจไฮเท็คและ “ดอทคอม” ในสหรัฐอเมริกา หรือการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ “โครงสร้างการทำงานหรือธุรกรรมทางการเงิน” เช่นเรื่องของการบูมของการแปลงหนี้ผ่อนบ้านให้เป็นตราสารซับไพร์มในอเมริกา หรือถ้าจะพูดให้ใกล้ตัวและเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ การ “เปิดเสรีทางการเงิน” ของประเทศไทยในปี 2533 หรือเมื่อ 20 ปีก่อนที่ทำให้เงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและก่อให้เกิดฟองสบู่ ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงปลายปี 2536 ข้อสอง ฟองสบู่จะเกิดไม่ได้ถ้าตลาดเงิน “ตึงตัว” นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดสูงและเงินหายาก ฟองสบู่นั้นมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเงินมีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยใน ตลาดต่ำมาก การกู้เงินมักทำได้ง่าย มีการปล่อยกู้ให้กับลูกค้าโดยไม่เข้มงวดในด้านของความสามารถในการใช้หนี้คืน และหลักประกันมากนัก สถาบันการเงินมักจะแข่งขันกันปล่อยเงินกู้ ทำให้ยอดการปล่อยกู้เติบโตสูงกว่าปกติ การที่เงินหาง่ายนั้นทำให้นักเล่นหุ้นสามารถเพิ่มการซื้อหุ้นได้อย่าง “ไม่จำกัด” โดยการใช้หลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นหลักประกันในการขอกู้เพิ่มซึ่งก็กลับไปซื้อหุ้นต่อไปเรื่อย ๆ ข้อ สาม ฟองสบู่มักจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฟองสบู่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 15-20 ปีมาแล้วซึ่งเท่ากับ “หนึ่งชั่วอายุคน” เหตุผลก็คือ เมื่อฟองสบู่ครั้งล่าสุด “แตก” คนในรุ่นนั้นก็ขาดทุนกันหนักมากแทบจะล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว จำนวนมากออกจากตลาดหุ้นและสั่งสอนลูกหลานว่าตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ “เลวร้าย” และไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นเลย นักลงทุนที่ยังเหลืออยู่ก็จะระมัดระวังมากในการลงทุนและคิดว่าหุ้นมีความ เสี่ยงเสมอโดยเฉพาะเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปมาก ฟองสบู่ลูกใหม่ที่จะมามักจะเกิดขึ้นจากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยประสบกับ เหตุการณ์ฟองสบู่แตกมาก่อน พวกเขาไม่เคยประสบกับ “หายนะ” ของการลงทุน ดังนั้น เมื่อตลาดหุ้นบูมมายาวนานและการ “ปรับตัวลง” ของดัชนีหุ้นเป็นครั้งคราวในระยะเวลาสั้น ๆ มักจะตามมาด้วยการ “ปรับตัวขึ้น” อย่างรุนแรงและสูงกว่าเดิมอีก ทำให้นักลงทุน “รุ่นใหม่” เหล่านี้ “ฮึกเหิม” จนนำไปสู่การเป็นฟองสบู่ในที่สุด ข้อสุดท้าย ฟองสบู่มักเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนละทิ้งวิธีการลงทุนที่คำนึงถึง “มูลค่าที่แท้จริง” ของกิจการ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ตลาดถูก “ยึดครอง” โดยนักลงทุนที่ขาดความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน พวกเขาจำนวนมากเป็นคนที่อาจจะเรียกว่า “หาเช้ากินค่ำ” แต่เข้ามาเล่นหุ้นโดยที่เห็นและคิดว่าการลงทุนซื้อขายหุ้นเป็นสิ่งที่ง่าย และสามารถทำเงินได้รวดเร็วกว่าการทำงานปกติของตนเอง ไม่ว่าแหล่งหรือ สาเหตุของการเกิดฟองสบู่จะมาจากไหน แต่ฟองสบู่ทุกครั้งจะเกิดขึ้นจากนักลงทุนที่ซื้อหุ้นเพียงเพราะหุ้นมัน “กำลังจะขึ้น” กระบวนการนั้นทำให้คนโหมเข้าไปซื้อหุ้นอีกซึ่งทำให้หุ้นขึ้นไปอีก กลายเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ จนกระทั่ง “เชื้อเพลิง” ซึ่งก็คือเม็ดเงินสดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกู้ยืมหรือมาร์จินในการซื้อขาย หุ้นหมด ซึ่งก็คือจุดที่ฟองสบู่แตก และทั้งหมดนั้นก็คือ “วงจร”ของฟองสบู่ที่มักกินเวลาหลายปี วิเคราะห์จากสถานการณ์ของตลาด หุ้นไทยในเวลานี้ ปัจจัยในการเกิดฟองสบู่ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผมเห็นว่ายังไม่ชัดเจนนัก ไล่มาตั้งแต่ข้อหนึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างทาง เท็คโนโลยีหรือการเงินอะไรมากนัก ข้อสอง ในด้านของสภาพคล่องทางการเงินนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยในขณะนี้มีสภาพคล่องที่สูงมากและถือได้ว่าอาจจะเป็นปัจจัย ในการก่อให้เกิดฟองสบู่ได้แม้ว่าในขณะนี้การใช้เงินกู้ยังไม่สูงมาก อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินสดที่อยู่ในกระเป๋าของนักลงทุนเองก็มีเหลือล้นและและพยายามหาการลง ทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยต่ำมาก ในข้อสามนั้น ผมคิดว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาดหุ้นวันนี้เป็นคนที่ไม่ได้สัมผัสกับ สภาวะฟองสบู่แตกในช่วงวิกฤติปี 2540 ดังนั้นมีโอกาสที่พวกเขาจะมองโลกในแง่ดีและก่อให้เกิดฟองสบู่ได้ สุดท้ายก็คือเรื่องของการมองในด้านของมูลค่าหุ้น ในข้อนี้ผมคิดว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่ถึงจุดที่คนไม่สนใจมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเห็นได้จากการที่ ค่า PE ของตลาดก็ยังไม่สูงเกินไปที่ 14-15 เท่า นอกจากนั้น หุ้นที่ผลการดำเนินไม่ดีราคาหุ้นก็ยังไม่ปรับตัวขึ้นเท่าไรนัก นอกจากนั้น คนที่เข้าตลาดหุ้นเร็ว ๆ นี้ ก็ยังไม่ใช่กลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ แต่เป็นคนที่มีเงินพอสมควร ข้อสรุปของผมก็คือ มีปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดฟองสบู่อยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ดังนั้น มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นต่อไปเป็น “กระทิงที่ยาวนาน” ทำให้คนที่ไม่อยู่ในตลาดหุ้นหรือรีบออกจากตลาดเสียโอกาสไปมาก เช่นเดียวกัน มีโอกาสที่มันจะกลายเป็นฟองสบู่ที่ทำให้คนที่มีหุ้นอยู่เสียหายหนักเมื่อพบ ว่า “ฟองสบู่แตก” และตนเองหนีไม่ทัน คำแนะนำของผมก็คือ ในภาวะแบบนี้ ควรถือหุ้นที่มีธุรกิจที่มั่นคงปลอดภัยมีกำไรดีเสมอแม้ว่าฟองสบู่จะแตก หุ้นเหล่านี้แม้ว่าในช่วงที่ตลาดขึ้นแรงต่อไปจะไม่ให้ผลตอบแทนที่ดีสุดยอด แต่ถ้าเกิดฟองสบู่แตก มันจะฝ่าอุปสรรคไปได้ ความเสียหายจะไม่ถึงกับเป็นหายนะ แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 20:22:22 » |
|
เจอแล้ว ... ข้อมูลน้องพร ถูกต้อง ครับ ^_^ --------------------- http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2003q3/article2003sep16p2.htmการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ … บทเรียนภาวะฟองสบู่ช่วงปี 2532-2538 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ผู้จัดการออนไลน์ วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2546 ช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2532-2538 เศรษฐกิจไทยขยายตัว GDP ณ ราคาคงที่ เฉลี่ยประมาณ 9.5% ต่อเนื่องจากการขยายตัวเฉลี่ย 11.4% ช่วงปี 2530-2531 ราคาสินทรัพย์ระบบเศรษฐกิจยังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน การปรับเพิ่มราคาสินทรัพย์ช่วงดังกล่าว มักจะอยู่ในอัตราสูงกว่าการขยายตัวเศรษฐกิจหรือ GDP แม้จะไม่มีดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ ที่จะคำนวณการปรับขึ้นราคาที่ดินช่วงดังกล่าวได้ชัดเจน แต่ภาวะฟองสบู่ภาคธุรกิจดังกล่าว อาจพิจารณาได้จากการปรับเพิ่มมูลค่าทำธุรกรรมซื้อขายที่ดิน โดยระหว่างปี 2532-2533 มูลค่าซื้อขายที่ดินในประเทศเพิ่มถึง 44.5% และ 54.1% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน สินเชื่อของระบบที่ปล่อยให้ทั้งผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผู้ซื้อ สูงถึง 96.5% ปี 2533 นอกจากกิจกรรมภาคอสังหาริมทรัพย์ ดัชนีราคาหลักทรัพย์สามารถชี้ภาวะฟองสบู่ได้เช่นกัน ระหว่างปี 2534-2536 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ ปลายปี 2536 ดัชนีหุ้นไทยขึ้นถึง 1,682.85 จุด เพิ่มถึงประมาณ 186% จากปลายปี 2533
|
|
|
|
newstar
Cmadong พันธุ์แท้
Normal Man
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2532
คณะ: บัญชี'ถิติ
กระทู้: 2,978
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 09:56:58 » |
|
ขอบคุณที่เอาข้อมูลมาให้ดูเพิ่มเติมครับพี่
|
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 17:42:50 » |
|
SMS แจ้งข่าวมาแล้ว บี๊ปๆ เอามาแชร์ต่อ : 1. ก่อนกลับบ้านอย่าลืม เติมน้ำมันกันนะครับ ... พรุ่งนี้ขึ้นอีกลิตรละ 60 สตางค์ ... - บัตรเงินสด กรุงไทย Oil Card ยังน่าสนใจอยู่ เพราะน้ำมันยังน่าจะขึ้นต่ออีก ... พรุ่งนี้ถ้าใครว่างๆ ซื้อเก็บไว้สัก 10,000 ลิตร ภายในเดือน หรือ สองเดือนนี้ก็จะได้กำไร สักประมาณ 1-2 หมื่นบาท ^_^ 2. วันนี้ทองขึ้นอีก 2 รอบ รวม วันนี้ขึ้นอีก บาทละ 300 - ทองรูปพรรณจบที่ บาทละ 20,000 บาท แล้ว - ทองแท่งจบที่ 19,750 บาท ** เมื่อต้นปี แบงค์กรุงเทพฯ BBL ออก IPO ของ กองทุนทองฯ มา 10 บาท (BGOLDRMF) ... ตอนนี้ถ้าจะซื้อ RMF >> ฺBGOLDRMF ยังน่าสนใจอยู่ (10 บาทเศษๆ) ^_^
แต่ KGDRMF กองทุนทอง ของ KBANK ที่ออก IPO เมื่อปีที่แล้ว วันนี้ขึ้นไปพอสมควรใกล้ๆ 12 บาท ... ถ้าท่านใดจะซื้อก็ลองพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลัง ... พอจะใช้ได้ซื้อไว้ไม่เสียหลาย ดูฝีมือ KBANK แล้วเสถียรกว่า BBL ^_^
|
|
|
|
ดร.มนตรี
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 19:38:14 » |
|
|
|
|
|
|