22 พฤศจิกายน 2567, 14:48:49
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4 5  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ตามป้าLilyไปมะละกา  (อ่าน 67650 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #25 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 01:01:29 »

ขณะรอกินข้าวมันไก่

อิ๊ด ไม่ได้เล่าว่า อาหารเช้ามื้อนี้อร่อยแบบกัวๆๆ  เพราะทันที ที่เราได้รับอนุญาติให้เข้าไปนั่งเป็นโต๊ะสุดท้าย ทางร้านก็ปิดประตูเหล็กใส่กุญแจทันที เรียกว่า ห้ามเข้า ห้ามออกกันเลย  ต้องรอให้อิ่มก่อนจึงจะออกได้  ออกไป 3 ก็เข้ามาใหม่ได้อีก 3 คน จ้า




ข้างหลังน้องสาวอิฉัน จะเห็นประตู และมีคนยืนรออยู่นอกประตูค่ะ  อดทนกันจริงๆ
      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #26 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 01:12:48 »


ต่อไปก็ดูรูปสาวๆสวยๆไปเรื่อยๆนะเจ้าคะ



เบื้องหลังสาวงาม



เบื้องหน้างามกว่าค่ะ



รอขึ้นเรือ แต่ไม่ไปซะที



อิ๊ดกำลังรอซื้อตังเมหลอด



ขณะรอลงเรือล่องแม่น้ำมะละกา

      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #27 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 01:28:17 »

ตั้งใจพาลูกทัวร์ไปชิมเค็กที่อร่อยสุดๆของเมืองมะละกา   แต่พอไปถึงก็มีสภาพคิวยาวล้นร้านเยี่ยงนี้  
ทัวร์หนีน้ำจากแบ๊งคอก เลยเผ่นกระจาย ไม่สู้ฮ่ะ




เลยเอารูปเค็กที่กินคราวที่ไปครั้งแรกมายั่วน้ำลายก่อน



กลางคืน เราไปเดินที่ถนนคนเดิน มีบรรยากาศเหมือนถนนคนเดินที่เชียงใหม่
แวะชิมน้ำมะม่วงคั้น ที่ทุกคนติดใจกันเอามากๆ ดูหน้าก็รู้ !!



      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #28 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 01:38:05 »

เนื่องจากวันที่เราไป เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวมุสลิม พิพิธภัณฑ์จึงปิดหมด  เราเที่ยวได้แต่ Outdoor พวกเราจึงตัดสินใจบุกไปยึดเมืองหลวงของมาเลเซียในวันรุ่งขึ้น  มาเลเซียเขาย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมือง ปุตราจายา ( Putrajaya)  แต่เราแวะเมืองกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าก่อน








      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #29 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 02:10:41 »

ที่เมืองปุตราจายา



หน้าสุเหล่าหลวง สีชมพูงามมาก



หน้าทำเนียบรัฐบาล

รูปเมืองนี้ ดูเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ของอิฉันตามข้างล่างนี้เจ้าค่ะ


https://www.facebook.com/media/set/?set=a.2638463883623.2147853.1316299832&type=3

สำหรับภาพเมืองมะละกา  ถ่ายไว้ตอนครั้งแรก ดูได้ที่นี่ค่ะ

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.2273693564593.2134581.1316299832&type=1

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.2278907534939.2134816.1316299832&type=1

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.2361451638490.2138738.1316299832&type=1


ขอนำเสนอรูปน้องสาว ซึ่งไปแอบเป็นนางแบบขายกระเป๋าที่ KLCC ใน KL ค่ะ



เนื่องจากเป็นทัวร์หนีน้ำ (ท่วม) กุงเกงของอิฉันจึงหดหนีน้ำไปด้วยเหลือแค่นี้
ลูกทัวร์เห็นแล้วอยากกินข้าวขาหมูกันเป็นแถว ฮ่า ฮ่า ...



อิฉันมีโครงการนำเรื่องอาหาร บาบ๋า นอนย่า มาให้ชมในบล็อก
 ซึ่งจะแจ้งให้ทราบวันหลัง ช่วงนี้ขอพักก่อน โปรดติดตามนะค่ะ

      บันทึกการเข้า

Cinderlily
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #30 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 08:14:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ Cinderlily เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2554, 01:12:48

ต่อไปก็ดูรูปสาวๆสวยๆไปเรื่อยๆนะเจ้าคะ



เบื้องหลังสาวงาม



เบื้องหน้างามกว่าค่ะ



รอขึ้นเรือ แต่ไม่ไปซะที



อิ๊ดกำลังรอซื้อตังเมหลอด



ขณะรอลงเรือล่องแม่น้ำมะละกา



เห็นด้วยครับ  ...  ปิ๊งๆ



เบื้องหน้างามกว่าค่ะ


      บันทึกการเข้า
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #31 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 09:32:17 »

Leamจ๋า  พี่ขอตอบแทนอิ๊ดนะ  เพราะพี่เป็นคนติดต่อบริษัทรถ

จากสนามบิน KLIA  ระยะทาง 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปมะละกา ประมาณ 2 ชั่วโมง คล้ายๆกับกรุงเทพ - หัวหิน
- ค่ารถ ครั้งแรกเราใช้รถคันเล็ก 8 ที่นั่ง ( ซึ่งก๋นั่งได้ 10คนนั่นแหละ  แต่เขากลัวไม่มีที่วางกระเป๋า) คันเล็กเขาคิด  เที่ยวละ 500 RM.X2 = 1000 RM.
- เที่ยวนี้คนมากขึ้น เลยขอใช้รถแบบ 10 ที่นั่ง เที่ยวละ 580 RM.X2 = 1160 RM.

เที่ยวครั้งนี้ ค่ารถตู้แพงที่สุด  ค่าเครื่องบิน และค่าโรงแรมถูกกว่า
-ค่าเครื่องบิน ไปกลับคนละ 3,995.00 บาท
-ค่าโรงแรม 2 คืนคนละ 2,320.00 บาท
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆคือค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ แห่งละ 10 RM.
- ส่วนค่าอาหาร เราใช้ระบบลงขันกัน  กินแบบ ทั้งหรู อร่อย และ บางแห่งอาจจะไม่หรู แต่อร่อย ไม่เกินคนละ 150 RM.

ลองไปเที่ยวดูนะ  พี่ชอบเมืองนี้มาก แม้อากาศจะร้อนเพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แต่ช่วงกลางคืนลมทะเลพัดมาเย็นสบายมาก อยากย้ายไปอยู่จัง

      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #32 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 10:20:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Cinderlily เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2554, 09:32:17
Leamจ๋า  พี่ขอตอบแทนอิ๊ดนะ  เพราะพี่เป็นคนติดต่อบริษัทรถ

จากสนามบิน KLIA  ระยะทาง 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปมะละกา ประมาณ 2 ชั่วโมง คล้ายๆกับกรุงเทพ - หัวหิน
- ค่ารถ ครั้งแรกเราใช้รถคันเล็ก 8 ที่นั่ง ( ซึ่งก๋นั่งได้ 10คนนั่นแหละ  แต่เขากลัวไม่มีที่วางกระเป๋า) คันเล็กเขาคิด  เที่ยวละ 500 RM.X2 = 1000 RM.
- เที่ยวนี้คนมากขึ้น เลยขอใช้รถแบบ 10 ที่นั่ง เที่ยวละ 580 RM.X2 = 1160 RM.

เที่ยวครั้งนี้ ค่ารถตู้แพงที่สุด  ค่าเครื่องบิน และค่าโรงแรมถูกกว่า
-ค่าเครื่องบิน ไปกลับคนละ 3,995.00 บาท
-ค่าโรงแรม 2 คืนคนละ 2,320.00 บาท
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆคือค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ แห่งละ 10 RM.
- ส่วนค่าอาหาร เราใช้ระบบลงขันกัน  กินแบบ ทั้งหรู อร่อย และ บางแห่งอาจจะไม่หรู แต่อร่อย ไม่เกินคนละ 150 RM.

ลองไปเที่ยวดูนะ  พี่ชอบเมืองนี้มาก แม้อากาศจะร้อนเพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แต่ช่วงกลางคืนลมทะเลพัดมาเย็นสบายมาก อยากย้ายไปอยู่จัง



ขอบคุณครับ... พี่เน็ก

ได้รายละเอียดมากกว่าที่ขออีก...
ราคาที่พี่บอกก็สมเหตุสมผลนะครับ...
ผมไปมาเลเซียก็หลายครั้ง หลายเมือง แต่มะละกายังไม่เคยไปเลย
ถ้ามีโอกาสว่าจะไปเหมือนกันครับ...
      บันทึกการเข้า
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #33 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 11:04:18 »

มีคนอยากรู้เรื่องราวของเมืองนี้บ้าง เพราะน้อยคนนักที่จะเคยได้ยินชื่อ  อิฉันจึงขอนำรายละเอียดที่ทำไว้ให้ลูกทัวร์อ่านก่อนเดินทางมาแปะไว้ให้ทุกท่านได้ทราบดังนี้

มะละกา – เมืองมรดกโลก

        เมืองมะละกาถูกค้นพบในปีค.ศ.1400 โดยเจ้าชายปรเมศวร  ผู้ครองนครเทมาเส็ก หรือ สิงคโปร์ ที่หนีจากการโจมตีของกองทัพสุมาตรามา  โดยได้มาขึ้นฝั่งที่นี่ และพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  ด้วยความเหนื่อยจึงนอนหลับ และนิมิตถึงลูกกระจงขาว ที่ถูกฝูงหมาป่าไล่กัดมาจนมุมที่ริมบึง แล้วลูกกระจงขาวก็หันกลับมาสู้ยิบตา จนฝูงหมาป่าแตกหนีไป
พระองค์จึงรู้สึกมีกำลังใจในการต่อสู้ อีกครั้งเหมือนเจ้ากระจงน้อย   จึงได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นมาชื่อเมือง “มะละกา” ตามชื่อต้นไม้ที่พักนั่นเอง ( มะละกาคือ ต้นมะขามป้อม ซึ่งมีปลูกมากในเมืองนี้) คนไทยเราเรียก มะละกา แต่ว่าคนมาเลเซียเรียก Melaka ฝรั่งเรียก Malacca
        ก่อนที่จะมาเป็นประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน ดินแดนแถบแหลมมะลายูนี้เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรฮินดูมาก่อน ป่าไม้ แร่ทองคำ สมุนไพร และเครื่องเทศ เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ถูกรุกราน
และจากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี สันนิษฐานว่า อาณาจักรฮินดูเข้ามาแผ่อิทธิพลอยู่นานถึง 1500 ปี (พ.ศ 100 - ค.ศ 1400 ) โดยเข้ามาตั้งรกรากอยู่แถบบริเวณรัฐเคดาร์ ( Keda) ใน
ปัจจุบัน จากนั้นก็ย้ายไปสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ไปกัมพูชาและอินโดนีเซีย มีชื่อว่าอาณาจักรศรีวิชัย      
       เมื่อฮินดูย้ายถิ่นฐานออกไปจากมลายู ก็เป็นช่วงเวลาที่มีการติดต่อค้าขายกับชาติอาหรับโดยทางเรือสำเภา โดยมีเมืองท่าอยู่ที่มะละกา ( Malacca)และเป็นครั้งแรกที่ชาติอาหรับนำระบอบการปกครองที่มีสุลต่านเป็นเจ้าเมืองมาใช้ ซึ่งก็เข้ามามีอิทธิพลนานถึง111 ปี (คศ.1400 - 1511)
จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ชาติยุโรปเข้ามาแผ่อิทธิพล โดยมีโปรตุเกสเป็นชาติแรก และครอบครองถึง 674 ปี (ค.ศ1511-1785) ส่วนอังกฤษเข้ามาเป็นชาติสุดท้าย  จนถึง ค.ศ 1957 (พ.ศ 2500) ก็ได้มอบเอกราชให้กับมาเลเซีย จะเห็นว่ามาเลเซียเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลต่างชาติมาโดยตลอด และพึ่งเป็นอิสระเมื่อ 54 ปีมานี้เอง
       มะละกาเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเมืองท่าสำคัญที่มีการติดต่อค้าขายหรือเป็นเมืองเศรษฐกิจจนได้รับฉายาว่า Golden Age หรือขวานทอง เป็นต้นเหตุต่อการเปลี่ยนแปลง
ประวัติศาสตร์ของมาเลเซียอยู่หลายครั้งหลายหน มีมรดกตกทอดทางสถาปัตยกรรมของชาติยุโรปอยู่หลายแห่ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของมาเลเซีย
     มะละกาเป็นเมืองเก่าอายุกว่า 600 ปี  เป็นเมืองของพวก “บ้าบ๋า-นอนย่า” หรือพวกชาวจีนฮกเกี้ยนที่แต่งงานกับชาวพื้นเมืองมาเลย์  และมีอาหารที่มีชื่อคือ อาหารนอนย่า


สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ สำหรับนักท่องเที่ยวมีไม่มาก ซึ่งหากจะถามว่าฉันติดใจที่ใดเป็นพิเศษ คงตอบไม่ได้  เพราะที่ชอบเมืองนี้ก็ตรงที่มีทุกอย่างรวมๆกันนี่ล่ะ




สถานที่ที่ทุกคนต้องมาสัมผัส คือ

ดัทซ์สแคว์ (Dutch Square) จัตุรัสเล็กๆ ที่ตึกรอบๆทาสีแดงทั้งหมด รวมถึงย่านตึกแดงที่อยู่ถัดกันด้วย มีน้ำพุ หอนาฬิกา โบสถ์คริสต์มะละกา จตุรัสดัตช์  ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปเที่ยวมะละกาจะต้องไปเที่ยวเดินเก็บภาพกลุ่มอาคารสีแดงที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญเพียงแห่งเดียวที่ชาวฮอลันดาได้สร้างทิ้งไว้ให้ชาวมะละกา  เหตุผลที่อาคารเหล่านี้เป็นสีแดงเพราะ อิฐที่นำมาสร้าง เป็นอิฐที่เผาและนำมาจากดัทซ์ ที่เป็นดินสีแดง  ต่อมาเมื่ออาคารมีอายุมากขึ้น ความเก่าก็ครอบคลุมจนสีซีดจาง หมองคล้ำไป ชาวเมืองจึงใช้สีแดงทาทับไปเสียเลย

สถานที่สำคัญในบริเวณนี้ได้แก่ Christ Church Melaka, อาคารสแตดท์ฮุยส์, อาคารพิพิธภัณฑ์เยาวชน, หอนาฬิกา, กังหันลมฮอลันดา, ป้อมปืนมะละกา และที่พลาดชมไม่ได้ก็คือเจ้ารูปปั้นกระจง ที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณวงเวียนหน้าจตุรัสดัตช์ ( เจ้ากระจงตัวนี้คือสัญลักษณ์สำคัญตามประวัติของเมืองนี้ )

โบสถ์เซ็นปอล (St. Paul's Church)

โบสถ์เก่าแก่ไร้หลังคาแห่งนี้ถูกสร้างอยู่บนเนินเขาเซ็นต์ปอล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2064 ในช่วงที่โปรตุเกสปกครองมะละกา โดยคณะบาทหลวงนิกายเยซูอิตจากโปรตุเกส




ที่หน้าโบสถ์ มีรูปปั้นหินอ่อนของนักบวชเซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์(St. Francis Xavier) ตั้งอยู่ มีเรื่องราวเล่าขานว่า สมัยที่มิชชันนารีออกเผยแผ่คริสต์ศาสนา   ท่านจากบ้านเกิดฝรั่งเศส เดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเดินทางต่อไปยังจีน และเสียชีวิตที่นั่น ก่อนตายได้ปรารภว่าอยากให้ฝังร่างของท่านไว้ที่เมืองกัว (เมืองท่าทางตอนใต้ของอินเดีย) ระหว่างนำร่างล่องเรือสู่อินเดีย เกิดปาฏิหาริย์ มีพายุกระหน่ำ ทำให้เรือเปลี่ยนทิศทางมาขึ้นฝั่งที่มะละกา ชาวมะละกาจึงสร้างโบสถ์เซนต์ปอล ขึ้นถวาย



หลังจากที่ท่านได้มรณะภาพไปแล้วนั้น มีนักบุญรุ่นหลังๆ พยายามที่จะเสนอผลงานการเผยแพร่ศาสนาของท่านไปยังสำนักวาติกัน เพื่อทำการพิจารณาแต่งตั้งให้ท่านเป็น "เซ็นต์" หรือ นักบุญ และ เมื่อพระสันตะปาปา ได้พิจารณาแต่งตั้งท่านให้เป็น "เซ็นต์" ตามการเสนอของเหล่านักบุญรุ่นหลังๆ แล้ว พระสันตะปาปา จึงมีทรงมีรับสั่งให้ตัดมือขวาของศพที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านจากเมืองกัว ประเทศอินเดีย ไปเก็บไว้ยังสำนักวาติกัน กรุงโรม ซึ่งนับจากวันที่ท่านมรณะภาพไปก็เป็นเวลากว่า 70 ปี ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "เซ็นต์"
 
วันที่ขุดร่างของท่านเพื่อไปฝังยังเมืองกัวนั้น มีการตัดมือข้างหนึ่งส่งไปยังฝรั่งเศส ก็มีเลือดพุ่งออกมาจากร่างที่ไม่เน่าเปื่อยนั้น ปาฏิหาริย์ยังไม่ใช่แค่นี้ เมื่อมะละกา จัดทำรูปปั้นหินอ่อนไว้เป็นที่ระลึก ปรากฏว่าเกิดฟ้าผ่าตรงกลางมือข้างเดียวกับที่ตัดไป (บางตำราว่าต้นไม้ล้มใส่)

ด้านในของโบสถ์ ตรงที่เคยเป็นหลุมฝังศพท่านถูกล้อมไว้ด้วยลูกกรงแน่นหนา เพราะในหลุมมีเหรียญมากมาย ที่นักท่องเที่ยวจะหยอดเหรียญลงไป เขามีเคล็ดลับอยู่ที่การทำเหรียญไม่ให้กระทบซี่ของตาข่ายเหล็ก และให้เสียงกระทบพื้นเบาที่สุด ถึงจะได้กลับมามะละกาอีกครั้ง

ประตูซานติเอโก (Porto De Santiago)

ประตูซานติเอโก (Porto De Santiago) และ ป้อมปราการ เอ ฟาโมซา (A Famosa หรือ The Famous) เป็นซากโบราณสถานเพียงแห่งเดียว ที่เหลือทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยโปรตุเกสยึดครองเมืองมะละกา



ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับซากประตูซานติเอโก แห่งป้อมปราการ เอ ฟาโมซา  เรื่องราวเกี่ยวกับ ซากประตูที่อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายไร้กำแพง เกิดขึ้น เมื่อสมัยที่โปรตุเกสยังยึดครองเมืองมะละกา ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้งานเป็นเสมือนด่านป้องกันเมืองมะละกา จากการบุกรุกของศัตรู โดยปกติป้อมนี้จะมีกำแพงยาวล้อมรอบเนินเขาเล็กๆ ชื่อว่าเนินเขามะละกา ซึ่งป้อมปราการแห่งนี้มันได้ทำหน้าที่ของมันเป็นอย่างดีมาเป็นเวลานานกว่า 150 ปี จนกระทั่ง ฮอลันดา ได้ยกทัพมาบุกรุก และสามารถยึดครองเมืองมะละกา ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2184  

หลังจากที่ได้ทำการล้อมเมืองนี้อยู่นานถึง 5 เดือน และหลังจากที่ได้ทำการยึดเมืองมะละกามาจากชาวโปรตุเกสได้เรียบร้อยแล้ว พวกฮอลันดาก็ได้ทำการซ่อมแซมกำแพง และ ป้อมปราการแห่งนี้ให้กลับอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ จนกระทั่งในภายหลังเมืองมะละกาได้ถูกครอบครองโดยอังกฤษ ผู้ปกครองเกาะปีนังได้ส่งกัปตันวิลเลียม ฟาร์คูฮาร์ มาทำลายป้อมปราการแห่งนี้ เพื่อป้องกันการอ้างสิทธิ์ครอบครองดินแดนของฮอลันดา
แต่ด้วยความโชคดีของชนรุ่นหลังที่ป้อมปราการแห่งนี้ไม่ได้ถูกทำลายไปทั้งหมด ทำให้เรายังมีโอกาสได้เห็นซากแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองมะละกา   เนื่องจาก เมื่อท่านเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ เดินทางมาจากสิงคโปร์ และ ได้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่กำลังมีการทำลายกำแพงและป้อมปราการอยู่พอดี จึงได้ขอยับยั้งการทุบซากของประตูแห่งนี้ไว้ เพราะว่าท่านได้มองเห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของประตูแห่งนี้ และ ก็เป็นไปอย่างที่ท่านเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ได้คาดการณ์ไว้จริงๆ เพราะว่าซากประตูแห่งประวัตินี้ ได้ดึงดูดผู้คนกว่าล้านคนทั่วโลก ให้มาเยือนเมืองมะละกาและสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับเมืองนี้ ตราบจนทุกวันนี้

และด้วยความที่ซากประตูแห่งนี้ไม่มีกำแพงอยู่ด้านข้างเลยเพราะว่าโดนทุบทิ้งไปจนหมดแล้ว ผู้คนจึงได้ขนานนามประตูแห่งนี้ว่า "ประตูไร้กำแพง"   ประตูแห่งนี้มีขนาดความสูง 7 แมตร หนา 2.5 เมตร สร้างจากหินศิลาแลงฉาบปูน และ บริเวณด้านหน้ามีปืนใหญ่ตั้งอยู่รายรอบ ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปเก็บภาพเมื่อได้ มีโอกาสไปเยือนเมืองมะละกา  


ย่าน Jonker





เป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเก่าแบบบาบ๋า และ นอนยา ที่ฉันชื่นชอบมาก  และหากจะเดิน ฉันเลือกที่จะเดินช่วงกลางวันมากกว่า เพราะ ย่านนี้มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของเก่าในเวลากลางวัน  ส่วน ช่วงค่ำ ถนนเส้นนี้เปลี่ยน จากถนนที่เงียบเหงาเป็นถนนคนเดินยามที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน

คำว่า Jonker เป็นภาษาดัช แปลว่า Second Class Gentleman หรือคนชั้นสอง ซึ่งหมายถึงคนจีนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่บนถนนนี้  คนจีนเหล่านี้มักจะรับจ้างเป็นคนใช้ตามบ้านเศรษฐีชาวต่างชาติ หรือชาวจีนด้วยกันที่มีฐานะดีกว่า  คนที่มีฐานะดีจะอยู่ถนนใกล้ๆกันคือถนน Jalan Tun Tan Cheng Lock   ซึ่งปัจจุบันบ้านหลังหนึ่งของคนมีฐานะได้เปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์บาบ๋า  ที่งดงามน่าชมมาก




บ้านเก่าหลังนี้ ลักษณะบ้านข้างหน้าแคบข้างในกว้าง  เนื่องจากสมัยก่อนอังกฤษเก็บภาษีตามความกว้างของหน้าบ้าน บ้านใครประตูใหญ่ก็เก็บแพง       ชาวบาบ๋า-นอนย่า มีวัฒนธรรมจีน-มาเลย์ และอังกฤษผสมผสานกัน ฝ่ายหญิงแต่งกายแบบจีนผสมมาเลย์-ผู้ชายแต่งสูทแบบฝรั่ง ส่วนเครื่องใช้ในบ้านเป็นของอังกฤษ เฟอร์นิเจอร์พวกประตูหน้าต่างเป็นลวดลายจีน โต๊ะเก้าอี้เป็นแบบจีน สิงคโปร์เคยทำหนังชีวิตของพวกบาบ๋า-นอนย่าชื่อ The Little Nyonya
      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Mai25
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525

« ตอบ #34 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 12:54:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ supanee เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2554, 10:26:40
เกริ่นหัวข้อไว้ก่อน เรื่องและรูปจะตามมาวันหลังค่ะ





ตามมาชมค่ะ..พี่อี๊ด

      บันทึกการเข้า
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #35 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 15:20:52 »


ดาราคนโปรดของดิฉันค่ะ Pierre Png ชาวสิงคโปร เล่นเรื่อง Little Nyonya





ขอร้องนะคะ อย่ากร๊ดดดด ค่ะ
      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #36 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 17:34:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ Cinderlily เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2554, 15:20:52

ดาราคนโปรดของดิฉันค่ะ Pierre Png ชาวสิงคโปร เล่นเรื่อง Little Nyonya





ขอร้องนะคะ อย่ากร๊ดดดด ค่ะ

Pierre Png เป็นชาวสิงคโปร์เชื้อสาย Peranakan ตรงๆเลยครับ... พี่เน็ก

ในสิงคโปร์ มีร้านอาหารปรารานากันหลายร้าน...
ที่มะละกาก็มี.....ไม่ทราบว่าพี่เคยลองทานหรือยัง?
      บันทึกการเข้า
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #37 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 22:16:43 »


ก่อนไปมีคนเตือนว่า อาหารปารานกัน หรือ นอนย่า  คืออาหารไทยที่ไม่อร่อย แต่พวกเราก็ไม่สนใจ กินหมดทุกอย่าง
ไม่เชื่อ ตามไปดูที่นี่เลยจ๊ะ


      บันทึกการเข้า

Cinderlily
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #38 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 01:28:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ Cinderlily เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2554, 22:16:43

ก่อนไปมีคนเตือนว่า อาหารปารานกัน หรือ นอนย่า  คืออาหารไทยที่ไม่อร่อย แต่พวกเราก็ไม่สนใจ กินหมดทุกอย่าง
ไม่เชื่อ ตามไปดูที่นี่เลยจ๊ะ




ไปชมมาแล้ว...

ท้องร้องกลางดึกเลยครับพี่.

เคยทานอาหารปรารานากันที่สิงคโปร์ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่แถวๆโตปาร์โย่...
ต้องจองล่วงหน้าครับ.... โต๊ะเต็มตลอด
      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #39 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 10:40:41 »

     หลังจากที่คอยคิวยาวเหยียด เราก็ได้ล่องเรือชมวิวสองฝั่งแม่น้ำมะละกา ( ล่องไป-กลับ )



     บ้านเรือนสองฝั่งถูกเขียนรูป ไม่ว่าเป็นอาคารขนาดไหน




      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #40 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 10:48:42 »







      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #41 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 11:10:46 »

     มีสะพานเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเป็นระยะๆ



     เห็นรางรถไฟ Monorail ด้วย


     Monorail จอดอยู่เฉยๆ


     ทางเดินริมน้ำแบบบนี้มีอยู่ตลอด


      บันทึกการเข้า
Cinderlily
Full Member
**


Graceless lady you know who I am.
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679

« ตอบ #42 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 19:57:48 »


นางเอกหนัง Little Nyonya  Tu 14







      บันทึกการเข้า

Cinderlily
ดวงทิพย์ สิงห์ดำ24
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 383

« ตอบ #43 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 20:28:02 »

ตามมาดู..ได้ความรู้....ภาพสวย
แปลกดีด้วยค่ะ
      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #44 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 09:28:00 »

    เคยสังเกตุไหมว่าย่านตึกเก่า ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ตหรือมะละกา ฯ มักมีพื้นที่ในร่มอยู่หน้าบ้านให้คนเดินผ่านไปมา
โดยไม่ต้องฝ่าแดดฝน  พื้นที่ส่วนนี้เริ่มปรากฎขึ้นในปีคศ.1822 เมื่อเซอร์โทมัส สแตมฟอร์ด รัฟเฟิลส์ ( Sir Thomas
Stamford Raffles ) ผู้บริหารอาณานิคมช่องแคบของอังกฤษ ออกกฎว่าตึกแถวทุกหลังต้องทิ้งพื้นที่ชั้นล่างเป็น
ทางเดิน กว้างอย่างน้อย 5 ฟุต ให้ผู้คนเดินผ่านได้  กฎของรัฟเฟิลส์ส่งผลให้ตึกแถวในภูมิภาคนี้มีเอกลักษณ์
เป็นการปรับรูปแบบอาคารที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัดและมีฝนชุกอย่างที่สุด





      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #45 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 10:01:30 »

    หลังจากชมเมืองมะละกาแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 1 กลางวัน ก่อนขึ้นเครื่อง
หัวหน้าฯจึงโทรฯหาคนขับรถ ให้มารับเราตั้งแต่เช้า พาไปเที่ยว KL
คนขับยินดีมาก ขอเงินเพิ่ม 500 ริงกิตพร้อมกับจะพาเที่ยว 3-4 แห่ง พาไปกินข้าวเที่ยง
และพาไปซื้อชอคโกแลตที่โรงงาน ( เขาอวดว่า มาเลย์เป็นแหล่งปลูกและส่งออกโกโก้ให้สวิตฯนะ )
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #46 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 12:17:07 »


สวัสดียามเที่ยงครับ... พี่อี๊ด..พี่เน็ก..พี่ตู่..พี่เนื่อง..น้องใหม่ และพี่น้องทุกท่าน
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #47 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 12:19:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ supanee เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2554, 10:01:30
    หลังจากชมเมืองมะละกาแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 1 กลางวัน ก่อนขึ้นเครื่อง
หัวหน้าฯจึงโทรฯหาคนขับรถ ให้มารับเราตั้งแต่เช้า พาไปเที่ยว KL
คนขับยินดีมาก ขอเงินเพิ่ม 500 ริงกิตพร้อมกับจะพาเที่ยว 3-4 แห่ง พาไปกินข้าวเที่ยง
และพาไปซื้อชอคโกแลตที่โรงงาน ( เขาอวดว่า มาเลย์เป็นแหล่งปลูกและส่งออกโกโก้ให้สวิตฯนะ )


ช๊อคโกแลตของมาเลเซีย... คุณภาพใช้ได้ และราคาถูกกว่าบ้านเราพอควรเลยครับพี่
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #48 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 12:22:14 »

อ้างถึง
ข้อความของ Cinderlily เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2554, 19:57:48

นางเอกหนัง Little Nyonya  Tu 14








ถ้าเกิดร่วมสมัยกัน..... นางเอก Little Nyonya สู้พี่ตุ๊ไม่ได้หรอกครับ
      บันทึกการเข้า
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #49 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 12:26:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ supanee เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2554, 10:48:42








สีสันสวยงาม ได้บรรยากาศดี...

ขอบคุณที่นำมาให้ชมครับ พี่อี๊ด
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3 4 5  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><