26 พฤศจิกายน 2567, 00:44:54
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 3 [4] 5  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: มีพาดหัวข่าวมาให้อ่าน  (อ่าน 69645 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
por-sim
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,123

« ตอบ #75 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2550, 14:15:40 »

ยาวมาก ไม่ได้อ่านอ่ะ
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #76 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2550, 01:26:39 »

:oops: เกาะติดสถานการณ์............
บันทึกการเข้า
por-sim
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,123

« ตอบ #77 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2550, 13:13:52 »

อ่านแล้ว
บันทึกการเข้า
WARM
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,871

« ตอบ #78 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2550, 22:48:52 »

ยาวง่ะ
บันทึกการเข้า
por-sim
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,123

« ตอบ #79 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2550, 21:21:53 »

ก็อ่านวันละย่อหน้า แล้วจดไว้ดิว่าถึงไหน
บันทึกการเข้า
veekung
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,361

« ตอบ #80 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2550, 09:11:03 »

เยอะมากแล้วจะตามมาอ่านนะ  :lol:
บันทึกการเข้า

quot;อยากทำได้ให้ถามหญิงต่ำหูก อยากทำถูกให้ถามเด็กเลี้ยงควาย คนหลายคนกินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียวไม่ซ้ำรอยกัน" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
<img src="[url]http://images.veejang.multiply.com/badge/U2FsdGVkX1.NpQZsTXem61w2P0GWCkA-bbo-041zLltmdDT.VkgnNuJu42GDLoxDzp2qkya
PUI
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 45

« ตอบ #81 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2550, 11:42:53 »

อ่านเล่นเล่น ให้หนุกหนาน

บทความโดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล / ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ในฐานะผู้ชายดีๆ ที่หายากคนหนึ่ง ผมรู้สึกเห็นใจสตรีเพศจริงๆครับ…
ช่วงเวลาในการเลือกคู่ของเธอทั้งหลายช่างสั้นยิ่งนัก
เพราะช่วงอายุขัยของวัยสาวเริ่มผลิบานเมื่อประมาณ 13 ปี
แล้วมาสุดเขตแดนเมื่อวัยสามสิบ…
วันเกิดครบรอบ 30 จึงเป็นตัวเลข แห่งความสะเทือนขวัญ
ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก…

หลายคนไม่อยากพูดถึง คนอื่นก็ไม่ควรเอ่ยปากด้วย…
ถือเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่ง ยกเว้นพวกมีวาจาเป็นอาวุธ
ที่ชอบถามว่า
'ปาอะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด '
เฉลย '! ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว ' …ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย

ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา
คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า
' อย่าริรักในวัยเรียน 'ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีจบแล้วค่อยมีแฟน '
ทั้งๆ ที่ไอ้ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตาก็หาได้สนใจไม่
เป็นคนประเภท
' รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน '
ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษา…เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา
เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน

หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง
เลือกสรร ควานหา ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต
ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภทซูเปอร์เพอร์เฟค
อย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆ
ก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึงจะได้มาตรฐาน… ไอ้ประเภทหุ่นอัฟริกา
หน้าติมอร์
อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็น…ไม่มีทางได้แอ้มหรอก

จากวันเป็นเดือน - จากเดือนเป็นปี
ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลา
ผ่านไป… เพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน -
เจ้านายก็ มีเมียแล้ว… ไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม
สองคนดันเป็นเกย์… อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่า…
คนสุดท้ายเป็นชายแท้แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่
ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สาม…นั่งรถมาทำงานก็สองชั่วโมงครึ่ง
กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลัง
ขอนอนเอาแรงก่อน.........

ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ
สถาบันการศึกษาที่เธอจบมา…
แหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆ
ที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ
แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิทเป็นที่เรียบร้อย…
แหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊ง…ตื่นพอดี เจอโลกแห่งความจริง

ดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆ จากเพื่อนๆ
เริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาล…
พอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า
'เมื่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ'...
'โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว
เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร
เพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆเรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย'
เอ๊ะ…เกี่ยวอะไรกัน!…ในใจก็คิดว่า '
ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไง หนักกระบาลใครรึเปล่า'

เคยตั้งคำถามกันไหม…ว่าทำไมต้องแต่งงาน (กันด้วย!)…
คำตอบจากเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย…
'อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา ' …รายนี้เห็นผู้ชาย
เป็นตัวคลายเหงา
'รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) ' …ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า
'อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ '…เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ
'โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ'…เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ

อันว่า ' ชีวิตคู่ ' อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ?
ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ดังนั้นเมื่อมีชีวิตสมรสแล้วครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไป

ในส่วนที่ขาดจะมีครึ่งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้น
ขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน
มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเอง

จุดมุ่งหมายของ การแต่งงานคือ
การใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียว
ถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน
ก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหน…อยู่คนเดียวมันส์กว่า

ชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามี ภรรยาต้องมีส่วน
อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงาน
ชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดี ในทางโลกก็เจริญในทางธรรม
กำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน
อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม…
ถ้าคู่รักของเราประกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนัน
โกงบ้านกินเมือง ชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตก นรกทั้งเป็น

เพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน
แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตา
ฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯ
เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือ
หนึ่ง - สุขใจยามอยู่ใกล้ชิด
สอง - คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้า
เพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน
หาใช่เป้าหมายเพื่อการเสริม เพิ่มความเสียว
เพราะอยู่คนเดียวก็เสียวได้ ไม่ง้อใครให้เสียเวลา
ไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด
ถือคติประจำใจว่า 'อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีผัวเลว'
บันทึกการเข้า
Tritti_83
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,481

เว็บไซต์
« ตอบ #82 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2550, 11:52:46 »

ปุ้ย...แกจะเตือนใครก็ระบุชื่อมาเด๋วมีสาวๆร้อนตัวหลายคนแกจะเดือดร้อนนะ :roll:
บันทึกการเข้า
ป.ปลา
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,100

เว็บไซต์
« ตอบ #83 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2550, 16:45:51 »

ช่ายๆ แกจะเตือนใครก็บอกชื่อมาตรงๆ
เพื่อนเราร้อนตัวกันหมดแล้ว  :evil:  :evil:
บันทึกการเข้า
WARM
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,871

« ตอบ #84 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2550, 20:17:09 »

แวะมาทัก
บันทึกการเข้า
por-sim
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,123

« ตอบ #85 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2550, 17:06:15 »

มันสะกิดใจนะโว้ย แต่ชั้นเห็นด้วย "หากแม้ไม่มีชายที่พึงเชย อย่ามีเสียเลยจะดีกว่า "
บันทึกการเข้า
Korkai (";)
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #86 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2550, 17:36:39 »

หนับหนุนซิ่มอย่างแรงง่ะ !!!!
นี่เลยเป็นเหตุผลที่ช้านยังโสดไง อิอิ...
บันทึกการเข้า
party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #87 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2550, 18:06:25 »

อ้างจาก: "Korkai ("Wink"
หนับหนุนซิ่มอย่างแรงง่ะ !!!!
นี่เลยเป็นเหตุผลที่ช้านยังโสดไง อิอิ...


คนมันสวยยยยยยยยย นี้นาต้องเลือกเป็นธรรมดา ชิ๊มะ  :lol:  :lol:
บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
เอ๋อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,793

« ตอบ #88 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2550, 15:09:38 »

อ้างจาก: "Korkai ("Wink"
หนับหนุนซิ่มอย่างแรงง่ะ !!!!
นี่เลยเป็นเหตุผลที่ช้านยังโสดไง อิอิ...



ป้าไก่...เคยฟังนิทานเรื่อง "องุ่นเปรี้ยว" รึเปล่าล่ะ  Cool
บันทึกการเข้า

ไม่สวย แต่ Self !

ขวัญใจคนใหม่ น้องจางกึนซอก...

ป.ปลา
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,100

เว็บไซต์
« ตอบ #89 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2550, 20:25:51 »

"ถ้าอยากจะรู้ว่าฝนเย็นฉ่ำแค่ไหน ก็อย่ากลัวจะเปียกฝน"

ชั้นก็เลย เอาวะ เปียกก็เปียก (ฝนนะ)  Cool  Cool
บันทึกการเข้า
WARM
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,871

« ตอบ #90 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2550, 21:28:04 »

อ้างจาก: "ป.ปลา (Miss)"
"ถ้าอยากจะรู้ว่าฝนเย็นฉ่ำแค่ไหน ก็อย่ากลัวจะเปียกฝน"

ชั้นก็เลย เอาวะ เปียกก็เปียก (ฝนนะ)  Cool  Cool



นี่ถ้าไม่วงเล็บไว้นี่คิดไปนู่นเลยนะเนี่ย
บันทึกการเข้า
เอ๋อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,793

« ตอบ #91 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2550, 13:19:20 »

อ้างจาก: "ป.ปลา (Miss)"
"ถ้าอยากจะรู้ว่าฝนเย็นฉ่ำแค่ไหน ก็อย่ากลัวจะเปียกฝน"

ชั้นก็เลย เอาวะ เปียกก็เปียก (ฝนนะ)  Cool  Cool


เออ ดีนะ อย่างน้อยก็ได้เห็นช่วงเวลาที่ฝนตก
แต่ฉันสิ...ฝนตกไม่ทั่วฟ้าชัดๆ  :x

ฝนไม่ลงซักกะเม็ด ก็ได้แต่จ้วงตุ่มราดตัวเองไปพลางๆ ก่อน :?
บันทึกการเข้า

ไม่สวย แต่ Self !

ขวัญใจคนใหม่ น้องจางกึนซอก...

PUI
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 45

« ตอบ #92 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2550, 17:51:19 »

ว้า...กลายเป็น Topic หดหู่ของคนไม่มีคู่ ไปซะละ
เปลี่ยน feel มาเรื่องใกล้ๆ ตัว ย้อนอดีตอันแสนหวาน
ที่เป็นได้แค่วันวานดีกว่า ---> ขอบิ๊วท์


Chula Tips

ได้มาจากเมล์ที่เวิร์ดมาอีกที อ่านแล้วน่ารักดี เลยเอามาแบ่งปันกันจ้า
............ ......... .....

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

-สีประจำมหาวิทยาลัยคือ สีชมพู
-ตราประจำมหาวิทยาลัยคือ ตราพระเกี้ยว (ที่มา : www.chula.ac. th)

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
-สนามกีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกกันว่า �สนามจุ๊บ� โดยเรียกให้คล้องจองกับ �สนามศุภ�
-สามารถนำรถเข้าไปจอดในคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ แม้ไม่ต้องมีสติกเกอร์ ถ้าคนขับหน้าตาดี(ผู้หญิงเท่านั้น)เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะทำการเลื่อนที่กั้นให้อย่างสุภาพเรียบร้อย
-คณะอักษรฯ มีภาควิชาการละครด้วยนะ แต่เป็นละครเวที เทอมนึงมีหลายเรื่องเหมือนกัน แต่แต่ละเรื่องก็แนวมั่กๆ น้องปีหนึ่งเข้ามาใหม่ๆ ต้องเริ่มด้วยการดูละครและวิจารณ์ละครเวที(ที่ดูยากมั่กๆ)
-เชื่อหรือไม่ คณะอักษรฯมีแสงเสียงเป็นของตัวเองด้วย
-โต๊ะหน้าตึกสี่ เรียกว่า โต๊ะไผ่ เป็นแหล่งรวม Arts Men
-เวลาแข่งกีฬาเฟรชชี่ หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้มีตัวเล่นเป็นผู้ชาย เช่น ฟุตบอล คณะอักษรฯต้องระดมพล Arts Men ทั้งสี่ชั้นปีเลยทีเดียว
-คนนอกจะมองคณะอักษรฯ ว่าเป็นคณะหรูหราไฮโซ แต่เชื่อหรือไม่ ชาวอักษรไม่เคยจัดงานใดๆ ที่โรงแรมเลย ไม่มีการสิ้นเปลืองด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฟรชชี่ไนท์ บายเนียร์ ฯลฯ สถานที่ประจำคือห้อง 103 ตึกสี่ กับส้วมหมา (สนามหญ้าเล็กๆหน้าตึกบรมฯ)
-เนกไทวิศวะกับครุจะไม่เหมือนชาวบ้าน
-คณะวิทยาฯมีการประกวดดนตรีอะคูสติก ชื่อว่า Under Tab (ส่วนใหญ่อ่านกันว่า �อันเดอร์แท๊บ�) จริงๆแล้วมาจากคำว่า �Under Tab� (อันเดอร์(ตึก)แถบ) เพราะสมัยก่อนจัดงานใต้ตึกแถบ ตึกแถบเป็นชื่อตึกหนึ่งของคณะวิทยาศาสตร์
-คณะแพทย์มี sing'n contest ด้วย แรกๆมีแบคเป็น GMM ด้วยนะ
-Human Relation คือวิชายอดฮิต ลงกันล้นจนต้องเปิดเซคเพิ่มทุกเทอม
-สนามวอลเลย์บอลคณะรัฐศาสตร์ ปัจจุบันเป็นที่จอดรถ
-คณะรัฐศาสตร์จุฬามีสนามฟุตบอลเป็นของตัวเอง และ หวงมากด้วย
-โรงอาหารอักษรมีข้าวเหนียวไก่เป็นอาหารชูโรง และลูกค้าหลักคือเด็กเตรียม
-คณะที่ใกล้ห้างที่สุดคือสหเวชศาสตร์ ใกล้สยามที่สุดคือทันตแพทยศาสตร์
-รองเท้าขาวสำหรับนิสิตหญิงปี1 ฮิตใส่ยี่ห้อ peppermint
-ข้างหอประชุมจุฬามักเป็นที่ซ้อมละครของเด็กอักษร
-นิเทศ ที่ดูต้องใช้เครื่องมือเยอะๆนั้น มีตึกเรียนเพียงสองตึก คือ ตึกหนึ่งและตึกสอง (มันไม่มีสามสี่ห้าแน่ๆ) ตึกหนึ่งมีห้าชั้น ใช้การได้สี่ชั้น และตึกสอง มีหกชั้น ใช้งานได้จริงๆ สามชั้น...(สงสัยตัวเองเหมือนกันว่ายัดตัวเองอยู่ที่ไหนของคณะ)เป็นตึกจิ๋วๆที่อยู่ระหว่างครุกับนิติ นี่แหละ ปล.ก็อยู่กันใต้ถุนคณะนั้นแหละ คาดว่าเป็นคณะเดียวที่สามารถเปิดเพลงฟังได้ที่ใต้ถุนคณะ โดยไม่โดนอาจารย์ด่า หิหิ
-รถโดยสารภายใน 'จุฬาฯ' เรียกกันติดปากว่า 'รถป็อป' ซึ่งมีที่มาจาก 'รถ ปอ.พ.'
30% ของนิสิตจุฬา มารู้เอาตอนปี 3 ว่า 'รถป๊อป' มาจากคำว่า 'รถ ปอ.พ.'
-ครุอาร์ท เป็นครุศาสตร์ที่ตึกเรียนอยู่ตรงข้ามกับคณะครุศาสตร์(งงม้าย คือเค้าว่า เค้าเป็นครุอาร์ท.. ไม่ใช่ครุศาสตร์ นะ)
-เด็กฝั่งมาบุญครองเรียกฝั่งตรงข้ามว่า 'ฝั่งในเมือง'(แปลว่าฝั่งนี้เป็นบ้านนอกหรือ ไม่น้า<= ฝั่งMBK เรียกว่าฝั่งบ้านนอก
-เด็กฝั่งสยาม(เภสัช,ทันตะ,สัตวะ)จะเรียกจะเรียกบริเวณอื่นๆว่าจุฬาใหญ่และถูกเรียกว่าบ้านนอก (ถึงบ้านนอกก็มีห้างเป็นของตัวเองจ้า)
-โรงอาหารนิติ เป็นโรงอาหารที่มีเด็กสาธิตและเด็กนิเทศนั่งกินมากที่สุด (เปล่านะ เราใช้รวมกันหรอก)
-ลุงฟร๊ตตี้ขี่เวสป้ามาขายผลไม้ในจุฬาทุกวันตอนเย็น (จริงๆ ลุงเค้าชื่อประมวล แซ่ลิ้ม (หนังสือเปิดรั้วจามจุรี ปี 49))
-อักษรชอบถาปัด แต่ถาปัดชอบกันเอง
-การเดินสยามถือเป็นการเดินช่วยย่อยได้ดี ไม่ต้องซื้อไรหรอก..เพราะมันแพง
-แต่ก่อนเข็มพระเกี้ยวรัศมีจะเป็นทรงแหลม เดี๋ยวนี้รัศมีอ้วนๆ
-หอยทากมักเดินเล่นบนถนนในหน้าฝน และมันจะไม่หยุดให้เราเดินไปก่อน...
-นอกจากหอยทากแล้วเรายังสามารถพบหนูได้ทั่วไปในอาณาเขตจุฬาฯ เวลากลางคืน
-ตอนประธานาธิบดีคลินตันมาที่มหาลัยหลายปีก่อนมีหน่วนswat องค์รักษ์ติดมาด้วย1คันรถ ทุกคนถืออาวุธครบมืออยู่ในท่าเตรียมพร้อมตลอดเวลา ไม่รู้จะไปรบกะใคร
-ถนนอังรีมีอาชญากรรมบ่อยๆ
-ก่อนมีรถป๊อป ไม่เคยมีการใช้มอไซค์หรือจักรยาน เดินจุฬาเท่านั้นพี่น้อง น่องโป่งเรย.......
นิสิตบางคนทึกทักเอาเองว่า DotA คือกีฬาประจำมหาลัย (จะสู้พวกเกษตรฯได้เร้อออ)
-คณะรัฐศาสตร์ และ เศรษฐศาสตร์ ตั้งอยู่บนถนนเดียวกัน ทำให้ ถนนนั้นชื่อว่า ถนนไฮโซสตรีท เพราะรวมไว้ซึ่งคณะ ไฮโซ ดังๆ ทั้งน้าน
-คณะที่ทุกคนใฝ่ฝันเมื่อเห็นการแสดงเชียร์โต้ คือ ศิลปกรรมศาสตร์ และเพลงยอดฮิตติดหู คือ เพลงน้องนางลูบไข่ และเพลงโอ้ทะเล (บัลเล่ย์)
-คณะที่มีตึกสูงที่สุด คือ ตึกมหามกุฏ คณะวิทยาศาสตร์
-ถ้ามองจากมุมสูง จะเห็นศาลาพระเกี้ยว เป็นรูปพระเกี้ยวจริงๆ และ ตึกจุลฯจะเป็นฐานพระเกี้ยว ไฮโซเวอร์
-สายรถป๊อบที่ฮิตที่สุด คือ สาย 1 ศาลาพระเกี้ยว-สยาม และสาย 2 สำนักวิทย์กีฬา-ศาลาพระเกี้ยว
-ห้องสมุดอักษรเป็นห้องสมุดที่เงียบมาก เพราะเด็กอักษรไม่นิยมอ่านกันที่นี่
-หอใน จุฬาฯ ชื่อว่า ซีมะโด่ง และมีงานรับน้องเป็นของตัวเอง ว่ากันว่า ช่วงเดือนมิถุนาทั้งเดือน แถวๆมาบุญครอง จะได้ยินเสียงโวยวาย เสียงเพลง ตอนดึกๆ
-หอกลาง เคยมีคดี ชกกัน เนื่องจากแย่งที่นั่งอ่านหนังสือกัน
-นิสิตจุฬาฯ กว่าครึ่ง สามารถ บูม บาก้า ได้ก่อน เอนท์ ติดจุฬาฯ

เชื่อหรือไม่?
-ห้องสังสรรค์ เอ้ย!!ห้องสมุด คณะเศรษฐศาสตร์ มีบรรณารักษ์ที่ดุที่สุดในโลก
-กีฬาเฟรชชี่ครั้งล่าสุด มวยหญิงตัวแทนบัญชีต่อยตัวเองจนเข้าโรงพยาบาล
-รุ่นพี่หลายคนชอบหลอกน้องให้ลงวิชาเลือกยากๆ เพราะแค้นที่ตัวเองโดนหลอกมาก่อน (เช่นผม เจอ C+ มาหมาดๆเทอมที่แล้ว - -*)
-ปัจจุบันรถป๊อปกลายสภาพเป็นรถไฟฟ้าแล้วนะ สีชมพูแหววเหมือนเดิม รถกระชากแรงมาก ควรจับราวให้ดี อาจารย์ท่านหนึ่งของวิชา REC CAMP เคยบอกไว้ว่าเวลาขับรถต้องระวังข้างหลังดีๆเพราะรถไฟฟ้าขับมาเงียบมาก เกือบชน
-ห้องสมุดรัฐศาสตร์สามารถคุยได้ แต่ถ้าเสียงดังเข้าขั้นตลาดสดเมื่อไหร่จะมีกริ่งเตือน นิสิตจะเงียบไปประมาณสองนาที แล้วก็คุยกันเหมือนเดิม
-บะหมี่อดทนรัฐศาสตร์ อดทนจริงๆ (เพราะป้าทำช้ามั่ก) และแพงจริงๆ (ใครกินฟูลออพชั่น เหยียบ 40)
-ปูนปั้นรูปตุ๊กแกที่แปะอยู่หน้าตึกศิลกัมหายไป...ไปไหน....ลึกลับจริงๆ
จริงๆแล้วต๊กแกตรงมุมตึงศิลปกรรม ไม่ใช่ปูนปั้น แต่มันเป็นโฟม แปะด้วยกาวสองหน้า อยู่ทนทานมานานจนผุกร่อน เลยดูคล้ายปูนปั้น
และที่หายไปก็ไม่ลึกลับหลอก จารย์บั๊ค(คณบดี)สั่งให้ทาสีตึกใหม่ แล้วคงเห็นว่าไร้สาระมั๊ง เลยแกะออก
แต่ว่าล่าสุด ตุ๊กแก กลับมาแล้ว เป็นไฟเบอร์ทำสีอย่างดี อยู่ในตำแหน่งเดิมเป๊ะ (พวกเราไร้สาระ แต่ทำจริงวะ 555)
-นกพิราบชอบบินใส่กระจกรถที่วิ่งมา...ตายประจำ ไม่รู้ทำไม
-หมาของศิล'กัมถ้าเป็นสีขาวจะโดนbody paint
-นิสิตหญิงที่ใส่เสื้อฟิดติ้วตีเกล็ดจะถูกประนามหยามเหยียด
-จุฬามีหมูปิ้งเดลิเวอรี่ด้วยนะ โทรสั่งได้ไว้จะเอามาแปะไว้
-พนักงานหน้าห้องคอมที่วิศวะจุฬาเป็นเกย์ ชอบแอบจับมือผู้ชายตอนขอดูบัตรนิสิต
และถ้าหน้าตาถูกตาถูกใจพนักงานหน้าห้องคอมที่วิศวะจุฬาละก้ออาจได้ยินประโยคต่อท้ายว่า 'ช่วยหันหลังให้ดูด้วยคับ'
รวมทั้งถ้าไม่ยอมมองสบตาตรงๆก้ออาจโดนว่าด้วยว่า 'ช่วยมองหน้าตรงๆด้วยคับ'
แล้วถ้าเขาชอบใครเป็นพิเศษ จะถูกกล่าวหาว่าแต่งกายผิดะเบียบ เพืื่อตรวจสอบต่อไป
-หมาที่วิศวะ นาม'หมาอ้วน' เข้าเรียนมากกว่านิสิตหลายๆคนในคณะด้วยซ้ำ เช่น แคล เคมี แมททีเรียล ดรออิ้ง
-งานรับน้องก้าวใหม่ เคยมีบ้านที่มีชื่อเป็นคำผวน เช่น บ้านเพชรกันยา แต่ต่อมาอาจารย์เริ่มผวนคำเป็น เลยไม่มีชื่อบ้านแบบนี้ให้เห็กอีก

ธรรมเนียมประเพณี

-นิสิตใหม่ตอนเข้ามาต้องถวายบังคมพระรูปสองรัชกาล ตอนเรียนจบรับปริญญาก็ต้องถวายบังคมลา เช่นเดียวกัน
-คืนวันคริสมาสและวันวาเลนไทน์ ที่หอในจะมีการตะโกนบอกรักกันข้ามหอ อิอิ (จริงๆมันเป็นช่วงสอบแหละ เครียดๆกันเลยหาเรื่องตะโกน)
-�รับน้องก้าวใหม่� คือการรับน้องรวมของมหาลัย เป็นการรับน้องขำๆ ไม่มีว้าก ไม่มีโหด พี่ๆเอาใจน้องๆราวกับพระเจ้า มีพี่บ้าน มีน้องบ้าน ส่วนใหญ่แต่ละบ้านสังกัดชมรม เช่น บ้านโซ้ยตี๋หลีหมวย คือชมรมสลัม บ้านโรงเรียนก็มี เช่น บ้านยิ้ม บ้านแรง

ความเชื่อ
-เวลาต้องการพึ่งบารมีของเสด็จพ่อร.๕ ให้ขอ ไม่ให้บน (มีรุ่นพี่บอกมาอีกที)คอนเฟิร์มว่าขลังจริง อิฉันเคยขอเรื่องเรียนมาแล้ว (แต่ไม่ได้แก้ด้วยการวิ่งนะ แก้ด้วยการถวายดอกไม้แทน)แต่ห้ามขอหวยนะ(นิสิตคนไหนจะเล่นหวยฟะน่ะ)
เคยมีเคยขอเสด็จพ่อว่า หากได้เกรดเกิน 2.5 จะวิ่งรอบสนามหน้าพระรูปสิบรอบ สรุปปลายภาคมา ได้เกรด 2.51
-คณะวิศวะฯ มีลานเรียกว่าลานเกียร์ หากใครสะดุดลานเกียร์จะมีแฟนเป็นเด็กวิศวะฯ (สาวบัญชีบางกลุ่มชอบไปเดินสะดุด)ส่วนอักษรมีความเชื่อว่า หากสาวคนไหนสะดุดพรมแดง (ตึกเทวาลัย) จะได้แฟนเป็น artsmen
-นิสิตป.ตรีที่กำลังศึกษาอยู่ห้ามถ่ายรูปเดี่ียวคู่กับพญานาค ที่หัวบันได ตึกมหาจุฬาฯ(ตึกที่สวยๆ ตรงข้ามหอประชุมจุฬาฯ) ไม่งั้นจะโดนรีไทร์ (แต่ถ้ารูปหมู่ก็ไม่เป็นไรนะ)
-รัฐศาสตร์จุฬา ถ้าเข้าตึกหนึ่งหน้าคณะ ห้ามเดินเข้าประตูกลาง ไม่งั้นจะเรียนไม่จบ
-ห้ามลงบันไดกลางคณะครุศาสตร์(ฝั่งที่ตรงข้ามกับสาธิตและนิเทศ)ไม่งั้นไม่จบ
-มีความเชื่อว่า หากได้ลอยกระทงกับคนที่ชอบที่สระน้ำ 'จุฬาฯ' หน้าหอประชุม จะได้เป็นแฟนกัน แต่ถ้าเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ดันมาลอย... ก็จะเลิกกัน
-ห้ามมองเต่าตรงบ่อน้ำที่อยู่แถวๆ โรงอาหารตึกจุล ไม่งั้นเอนท์ไม่ติด (เจอทุกวันที่ข้ามไปฝั่งนู้นเลยแหะ)
-ถ้าเห็นเต่าที่บ่อน้ำตรงหน้าตึก physics จะไม่ตกmean วิชา physics.. แต่ถ้าตะพาบก็...
ห้ามเหยียบคำว่า สถ. ที่ประตูกลางถาปัด ไม่งั้นเรียนไม่จบ (แล้วไปไว้ที่พื้นทำไมหล่ะพ่อคุณ)

เรื่องลึกลับ
-ตึกอักษรเก่าจัดเลยเรื่องผีเยอะ ส่งผลให้ต้องทุบทิ้งไปแล้ว
-สมัยยังใช้การตึก 2 นิเทศได้เต็มที่นั้น มีเรื่องเล่าว่า หลังสามทุ่มไปถ้าเดินลงบันไดเวียนจะลงมาเจอชั้นสามประมาณสี่ครั้ง (บรื๋อออ) แล้วตึกนิเทศก็โดนทุบอีกเช่นกัน


ของกิน
-ที่จุฬาฯก็มี KFC เหมือนกันนะ ย่อมาจาก Karusart Food Center ของคณะครุศาสตร์ มีอาหารให้เลือกมากมาย แต่จุดเด่นไม่ได้อยู่ที่โรงอาหารแต่เป็นซุ้มโค้กแถวนั้นมากกว่า มีน้ำปั่นเลื่องชื่อ อิอิ
-โรงอาหารวิดวะมีก๊วยเตี๊ยวอร่อยทั้งสองร้าน
-โรงอาหารอักษรย้ายมาติดกับโรงอาหารวิดวะแล้ว ส่งผลให้โรงอาหารวิดวะโล่งขึ้นทันตาเห็น
-อาหารตามสั่งร้านเจ๊กุ้งที่โรงอาหารวิศวะอร่อยมาก (อะไรก็ได้แต่ขอให้ใส่ปลาทอด)
โรงอาหารคณะทันตะหรูมาก คุณภาพสยามแต่ราคาเป็นกันเอง
โรงอาหารคณะวิศวะเป็นโรงอาหารที่เล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดคณะและจำนวนคน จะทำให้นิสิตต้องไปกินโรงอาหารข้างเคียง เช่น อักษร หรือไม่ก็ รัฐศาสตร์ แต่บางทีก็ไปด้วยสาเหตุอื่น เช่น ส่องสาว(See-food)
โรงอาหารวิศวะสมัยก่อนเปิดโล่ง ปัจจุบันมีกรงล้อม เนื่องจากเหตุการณ์นกพิราบบุกกินอาหารที่คนวางไว้บนโต้ะ(ในช่วงไปซื้อน้ำ)และที่เก็บจาน คาดว่าเหตุการณ์เกิดจากนักศึกษาวางจัดไม่มีอะไรทำซื้อถั่วเลี้ยงนก เลี้ยงจนบินมากินถั่วในมือได้ จนมันไม่กลัวคนเริ่มบุกโรงอาหารในกาลต่อมา
-อาหารที่อร่อยที่สุดของโรงอาหาร ตึกจุลฯ คือ 'น้ำเปล่า'--> แล้วอาหารโรงอื่นมันอร่อยนักหรือไง
-หาก'ตัน'เรื่องของกินจริงๆ นิสิตจุฬาสามารถ ใช้บริการร้าน'จีฉ่อย'ได้ เพราะจีฉ่อยมีทุกอย่างจริงๆ งะ
-จีฉ่อยกะร้านโจ๊กสามย่านไม่ถูกกัน ฉะนั้น อย่าเอ่ยชื่อจีฉ่อย ให้เจ๊ร้านโจ๊กได้ยิน ไม่เชื่อลองดูดิ่
ร้านโจ๊กจะปิดร้านตอน 7.30 ตอนเช้า เปิด5โมงเย็น อร่อยด้วย...

บทความที่เกี่ยวข้อง
ตอนนี้จีฉ่อยลงหนังสือพิมพ์ไทยโพสแทบลอยด์แล้ว ดังใหญ่ละ (X-cite ไทยโพสต์ฉบับ22-23กันยายน หิหิ)
แต่คุณยังสามารถหาซื้อทุกอย่างจริงๆ ย้ำว่าทุกอย่าง อยากได้ตั๋วเครื่องบิน จีฉ่อยก็ขายให้ได้ เปียโนยังมีขายเลย (ไม่รู้แกไปเอามาจากไหนงะ!)รถยนต์แกเอามาขายให้ได้ ถ้าเราสั่ง --' ฮาร์ดดิสยังขายเลย ฮ่วย!
เคยอ่านเจอในนิตยสารสายใย ของนิเทศฯ บอกว่าเคยมีคนอุตริไปสั่งซื้อกิโมโน วันรุ่งขึ้นแกเอามาขายให้ได้!
จีฉ่อยขายทุกอย่างจริงๆ
บันทึกการเข้า
ป.ปลา
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,100

เว็บไซต์
« ตอบ #93 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2550, 22:13:59 »

เฮ้ยยยยย อ่านแล้วขำว่ะ
ขำเรื่องตุ๊กแกของตึกศิล'กรรม

แล้วก็อีกหลายเรื่อง  :lol:  :lol:  :lol:
บันทึกการเข้า
เอ๋อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,793

« ตอบ #94 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2550, 22:26:37 »

ยิ่งอ่านก็ยิ่งหดหู่ (ล้อเล่น  :lol: )

คิดถึงวัยหวานวันวาน
อยากจะมีชีวิตสดใสซาบซ่าแบบนั้นอีกจังเลย  Cool
บันทึกการเข้า

ไม่สวย แต่ Self !

ขวัญใจคนใหม่ น้องจางกึนซอก...

por-sim
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,123

« ตอบ #95 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2550, 00:47:18 »

ชอบ ๆ
บันทึกการเข้า
veekung
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,361

« ตอบ #96 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2550, 16:11:11 »

ชอบอะไร sim
บันทึกการเข้า

quot;อยากทำได้ให้ถามหญิงต่ำหูก อยากทำถูกให้ถามเด็กเลี้ยงควาย คนหลายคนกินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียวไม่ซ้ำรอยกัน" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
<img src="[url]http://images.veejang.multiply.com/badge/U2FsdGVkX1.NpQZsTXem61w2P0GWCkA-bbo-041zLltmdDT.VkgnNuJu42GDLoxDzp2qkya
WARM
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,871

« ตอบ #97 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2550, 00:08:34 »

ยาว
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #98 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2550, 04:11:47 »

Used to read from ..Nong Go Golf Go..room..somewhere...longer version,Nong Warm...too much space!!
p.nn
บันทึกการเข้า


PUI
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 45

« ตอบ #99 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2550, 12:41:53 »

80 เรื่องของในหลวงที่คุณอาจยังไม่รู้

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม”ภูมิพล”ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H Bhummibol Mahidol”หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า”แม่”
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า”บ๊อบบี้”
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ ส วิตเซอร์แลนด์ โดยนะหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษษฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก”การให้”โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า”กระป๋องคนจน”หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก”เก็บภาษี”หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า”ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

พระอัจฉริยภาพ


19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก”การเล่น”สมัยพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
21.ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ บเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษ า ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ”แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง”เราสู้”
26.รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. - - - -
28.นกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
29.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง”นายอินทร์”และ”ติโต” ทรงเขียนด้วยบายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
30.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น”กีฬาซีเกมส์”)ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
31.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536
33.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว
34.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

เรื่องส่วนพระองค์

35.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36.ร ักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
38.หลังอภิเษกสมรส ทรง”ฮันนีมูน”ที่หัวหิน
39.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
40.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
44.พลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
45.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง

46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงม ีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
52.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
54.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด

55.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
61.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่ ?

66.ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
67.ทรงวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
68.อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”
69.ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
70.ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”
71.ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
72.หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
73.รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
74.ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
75.ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.24 93 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
76.ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
77.สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
78.นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
79 - - - -
80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 3 [4] 5  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><