ป๋าบอล
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 196
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 01:31:09 » |
|
บ้านกรูเรียกพริกน้ำปลา..เพราะแปลมาจากภาษาอังกฤษ ถ้ามาจากภาษาอังกิดจิงๆ พี่จะแดรกไม่ลงนะครับ เพราะพริกเนี่ย มันอยู่ในกางในผู้ชาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 17:24:59 » |
|
ขยายๆหน่อยโว้ย..ไม่เข้าจาย...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 09:06:25 » |
|
สงสัยอีกเรื่อง..ว่า GPRS น่ะ..มันทำงานยังไง..กับพวก wireless ต่างๆน่ะ..ข้อมูลมันมาจากแหล่งส่งมาในอากาศ แล้วแปลงเป็นข้อมูลเยอะแยะในคอมฯ หรือมือถือได้ยังไงน่ะ..ใครรู้เอาสั้นๆก็พอนะ..เอาแค่หลักการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 12:55:52 » |
|
ขอบคุณ โต้ง ที่คอยตั้งคำถามดีๆ ให้เราได้ขบคิดและค้นหา มันทำให้รู้สึกสนุกกับการเรียนรู้มากๆเลย
หน้าที่ 1 - What is Wi-Fi?
การรับส่งข้อมูลไร้สายนั้นมีอยู่หลายแบบ แบบที่เราเริ่มได้ยินชื่อกันมากในระยะหลัง คือ บลูทูธ (Bluetooth) ที่หลายคนใช้กับเครื่องโทรศัพท์มือถือหรือพีดีเอ แต่ Wireless LAN ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เป็นอีกเทคโนโลยีที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ โดยได้พัฒนากันมาพอสมควร แต่ในระยะแรกยังมีราคาค่อนข้างแพง จนเริ่มถูกลงและแพร่หลายมากขึ้นในระยะหลัง เรียกว่า มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 802.11 หรือชื่อที่เรียกกันง่ายๆ เรียกว่า Wi-Fi เป็นการพัฒนาจากสถาบันวิศวกรไฟฟ้า และ อิเลคโทรนิค หรือ Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE)
WHAT IS Wi-Fi? Wi-Fi ย่อมาจากคำว่า Wireless Fidelity เป็นเทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สายซึ่งขณะนี้ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน มหาวิทยาลัย อพาร์ตเมนท์ คอนโดมิเนียม สนามบิน โรงแรม โรงพยาบาล หรือแม้แต่ร้านกาแฟ ร้านอาหารบางแห่งก็นิยมที่จะติดตั้งคอมพิวเตอร์แม่ข่ายพร้อม Wireless Access Point หรือที่เรียกว่า hot spot ไว้ให้บริการแก่ลูกค้า โดยเครื่องลูกก็คือเครื่องของลูกค้านั่นเอง ซึ่งเทคโนโลยีนี้ประหยัดกว่าอินเตอร์เน็ทคาเฟ่ที่ใช้ Lan แบบเดิม เพราะไม่ต้องลงทุนในการซื้อและบำรุงรักษาหรืออัพเกรดเครื่องลูกเป็นจำนวนมาก
Wi-Fi ทำงานในรูปแบบเดียวกับบรอดแบนด์ คือเปิดเครื่องปุ๊บ จะลิงค์เข้าอินเตอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ แต่ทำงานได้เร็วกว่า และไม่ต้องมีสายโยงเข้าโมเด็ม ใช้คลื่นเชื่อมแทน
สร้างเครือข่ายส่วนตัว (Wi-Fi ในบ้าน) สมัยนี้เรื่องการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์กำลังเป็นที่นิยม การติดตั้งคอมพิวเตอร์ในบ้านเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งบางบ้านอาจจะมีคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่อง ดังนั้นการนำคอมพิวเตอร์ในบ้านทั้งหมด มาต่อเชื่อมกันเพื่อแชร์ทรัพยากรร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น Internet หรือ Printer จะได้ช่วยให้เกิดการประหยัด แต่ถ้าหากจะสร้างเครือข่ายในบ้านแบบมีสาย ก็ดูจะไม่ค่อยจะสะดวกนัก ดังนั้นหากใช้ Wi-Fi ก็จะทำให้การสร้างเครือข่ายนั้นง่ายขึ้น คล่องตัวขึ้น เราอาจจะเอา Notebook ไปนั่งเล่น อินเตอร์เน็ต กลางสวนหลังบ้านก็ยังได้ สำหรับงบประมาณการสร้างเครือข่ายไร้สายแบบ Wi-Fi นี้ก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 6,500-9,000 บาท อุปกรณ์ที่จำเป็นก็มี Access Point 1 ตัว + USB wireless lan card อีก 2 ตัว
Hot spot คืออะไร? (Wi-Fi นอกบ้าน) ในระยะนี้เรามักจะได้ยินคำว่า Hot spot มากขึ้น ในยุคสมัยนี้การที่เราจะเล่นอินเตอร์เน็ตขณะอยู่นอกบ้านนั้นเราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบอาทิเช่น
1. Internet Cafe เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด ค่าใช้จ่ายตกประมาณชั่วโมงละ 30-50 บาทโดยเฉลี่ย แต่มีข้อดีที่ว่าสะดวกง่ายดาย อยากใช้เมื่อไรวิ่งหาร้านจ่ายเงินใช้งานได้เลย แต่ข้อเสียก็มี คือเราไม่สามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เราทำงานบนเครื่อง PC ที่บ้านได้ ส่วนมากจะใช้หาข้อมูลจาก www , เช็ค email หรือ chat เสียมากกว่า และเรื่องของความปลอดภัยในข้อมูลที่เรากรอกไว้ที่เครื่อง PC ในร้านก็ค่อนข้างเสี่ยง และความเร็วของ อินเตอร์เน็ตในแต่ละร้านก็ค่อนข้างจะไม่แน่นอน
2. ใช้ GPRS โดยนำ Notebook หรือ PDA ต่อ อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ GPRS โดยสามารถใช้งานได้ทุกที่ที่มีคลื่นโทรศัพท์ เรื่องของค่าใช้จ่ายจะคิดตามปริมาณข้อมูลรับส่ง และแบบไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน แต่เรื่องความเร็วยังมี speed ที่ประมาณ 40 Kbps
3. Hotspot เป็นบริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะไร้สายความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless Lan หรือที่เรียกกันติดปากว่า Wi-Fi ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยตามแหล่งชุมชน ต่างๆ การใช้บริการ Hotspot นี้ อาจจะต้องลงทุนสูงสักนิด เพราะสองสิ่งหลักที่เราต้องมีก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook หรือ PDA และ Wireless Lan card ( ราคาประมาณ 1,500-2,000 บาท ) แต่หาก Notebook หรือ PDA บางรุ่นมี Wi-Fi ในตัวก็ไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ข้อดีของการใช้ Wi-Fi ก็คือ สถานที่ที่บริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะที่เรียกกันว่า Hot Spot มักจะบริการด้วย อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ค่อนข้างทันใจ และเราสามารถนั่งทำงานตามร้านกาแฟได้สบายๆ เพราะ ข้อมูลต่างๆ ก็เก็บไว้ใน Notebook ของเราอยู่แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #79 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:25:40 » |
|
มีใครรู้ว่า Gen Y คือ อะไร ? :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:31:50 » |
|
มีใครรู้ว่า Gen Y คือ อะไร ? :? ทันสมัยนะเนี่ย...งั้นเอาคำตอบไปเลยค่ะ...ให้อ่านเองเลย จะได้ไม่ต้องอธิบายมากไป...อิอิhttp://www.knowledgestorm.co.th/Gen-Y1-_Nation.jpgเป็นศัพท์ที่ใช้ในการ management พนักงานในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย...
ปล.คุณเสาวคนธ์เขียนการบริหารการจัดการได้ดีค่ะ ติดตามผลงานได้ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ, BIZWEEK หรือที่นี่เลย
http://www.knowledgestorm.co.th/ :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:45:09 » |
|
หน้าที่ 3 - What is GPRS? ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ว่าอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้เราเปิดโลกทัศน์ได้อย่างกว้างไกลไร้ขีดจำกัด แต่ด้วยความจริงที่ว่ามนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่งทำให้เกิดความคิดที่ว่า ทำอย่างไรจะให้สามารถเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตได้ในทุกที่ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงก็คือเราจะใช้อุปกรณ์ใดมาเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตได้ โดยไม่ต้องยกเครื่องคอมพิวเตอร์ตามเราไปทุกที่ และอุปกรณ์ที่ถูกเลือกมาใช้ก็คือโทรศัพท์เคลื่อนที่ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างมากมาย จึงได้มีการผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีคุณสมบัติในการเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตได้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดในเทคโนโลยีในการส่งข้อมูลทำให้เกิดปัญหาความล้าช้าไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการเวบไซต์ การตรวจเช็คอีเมล์ ผู้ให้บริการเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจก็ได้สร้างบริการต่างๆเพื่อรองรับความสามารถที่โทรศัพท์ในยุคใหม่ที่มีอยู่ จึงเกิดเทคโนโลยี GPRS ขึ้น WHAT IS GPRS? GPRS ย่อมาจากคำว่า General Packet Radio Service เป็นวิวัฒนาการของการสื่อสารข้อมูลไร้สายแบบ Packet Switching คือ การแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนเล็กๆ ที่เรียกว่า Packet ซึ่งมีความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลโครงข่ายได้ดีกว่าแบบเดิม ทำให้สามารถตรวจสอบความผิดพลาดในการส่ง และยังช่วยเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลสูงขึ้นอีกด้วย เทคโนโลยี GPRS นี้ สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ง่ายและสะดวกขึ้น จุดเด่นของระบบนี้คือ มีการเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา (Always On) โดยไม่เสียค่าบริการและยังสามารถโทรออกและรับสายเข้าได้ในขณะที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ การเสียค่าบริการจะคิดต่อเมื่อมีการรับหรือส่งข้อมูล (Download หรือ Upload) เท่านั้น โดยคิดตามขนาดข้อมูลไม่ได้คิดตามเวลาการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต (Airtime) เหมือนเมื่อก่อน จึงทำให้ประหยัดค่าบริการได้มาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือที่มีระบบ GPRS เชื่อมต่อกับกับ PDA หรือ Computer Notebook ก็จะสามารถเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถรับข้อมูลข่าวสารในรูปแบบของ Video ไม่ว่าจะเป็นรายการข่าว ละคร กีฬา ข้อมูลการจราจร ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันอยู่เสมอ กล่าวโดยสรุปแบบง่ายๆ GPRS เป็นระบบที่ช่วยให้เราใช้อินเตอร์เน็ตแบบออนไลน์บนมือถือได้ตลอดเวลา GPSR คืออะไร? - เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นบนเครือข่ายเดิมเพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสะดวกยิ่งขึ้น - เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบรวดเร็ว ซึ่งใช้ได้กับเครือข่ายระบบ GSM ช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้กับการติดตั้ง และทำให้ระยะเวลาในการส่งข้อมูลรววดเร็วยิ่งขึ้น - เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้ Mobile Internet ด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้สามารถทำธุรกรรมต่างๆได้อย่างสะดวกและง่ายดายผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ - นวัตกรรมใหม่ที่ทำให้การส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพด้วยความเร็วจากเดิมเพียงแค่ 9.6 Kbps เป็น 40 Kbps ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตได้ภายในเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ - การส่งข้อมูลแบบใหม่ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ซึ่งจะประกอบไปด้วยรูปภาพที่เป็นกราฟฟิค เสียงและวีดีโอ เช่น การใช้ Video Conference อย่างไรก็ดี GPRS ไม่ได้เป็นลักษณะที่จะสามารถให้บริการได้ด้วยตัวของระบบเอง แต่ตัวมันเองเป็นเพียงแค่ Bearer ให้กับ Application ต่างๆ ที่ต้องการใช้ความเร็วที่เพิ่มมากกว่าปกติในระบบ GSM ที่เคยรองรับอยู่เดิมมาก่อน และระบบ GPRS จะต้องต่อไปยัง Packet Data Network ที่เป็น IP Network อีกต่อหนึ่งดั้งนั้นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่จะเปิดให้ใช้ในระบบ GPRS ได้นั้นจะต้องทำการติดตั้งระบบเครือข่าย ที่ประกอบด้วยหน่วยหลักๆ 2 หน่วยด้วยกันคือ 1. SGSN (Serving GPRS Supports Node) 2. GGSN (Gateway GPRS Support Node) โดยทั้งสองหน่วยหลักขององค์ประกอบนี้จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยมีอุปกรณ์อื่นๆ เป็นตัวช่วยเพื่อไปร่วมใช้ Radio Interface จาก Base Station โดยผ่านตัวควบคุมที่เรียกว่า PCU (Packet Control Unit ) ที่ติดตั้งไว้ที่ BSC (Base Station Controller) ทั้งนี้อาจมองได้ว่า GPRS Network เป็นอีก Network หนึ่งซึ่งเข้าถึง Mobile Phone ผ่านทาง Radio Interface ของระบบ GSM Network เดิม โดยเป็นบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการรับส่งข้อมูลเป็น Packet โดยตรง . . . . http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=32749&page=3หาอ่านได้ตามlink นี้ครับ . .......
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:50:04 » |
|
ย่อๆง่าย
GPRS ทำงานบนช่องคลื่นสัญญาน ของโทรศัพท์มือถือ
Wi Fi ทำงานบนสัญญาน ที่ส่งออกมาเอง
เป็นเรื่องของช่วงคลื่นสัญญานน่ะ
:wink:
อยากตอบ แต่ไม่อยากถาม
กู รัก เพื่อน มึงว่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:58:03 » |
|
ยาวหน่อย แต่ละเอียดดี เข้าใจไม่ยาก...
ผลพวงของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในโลกปัจจุบันทำให้เกิดมิติใหม่ทางการตลาด ซึ่งเป็นข้อกังขาของนักการตลาด นิตยสาร BrandAge และบริษัทชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน จึงได้ทำโครงการวิจัยร่วมกันในปลายปี 2547 เพื่อศึกษาค้นคว้าผู้บริโภคที่มีบทบาทโลดแล่นอยู่ในตลาดทุกวันนี้
เป้าหมาย ก็คือ การศึกษาและทำความเข้าใจผู้บริโภคที่เป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้า และมีบทบาทสำคัญในการซื้อสินค้าอายุตั้งแต่ 18-63 ปี เพื่อทำความเข้าใจและหาคำอธิบายถึงผู้บริโภคเหล่านั้นในเชิงจิตวิทยาให้ลึกซึ้งและชัดเจน ว่า ตัวตน (The Self) ของคนเหล่านั้นเป็นใคร ?!?
จากแนวคิดแบบสากลที่แบ่งกลุ่มผู้บริโภคออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1 กลุ่ม Gen-B หรือ Boomer Generation ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 40-63 ปี
2 กลุ่ม Gen-X ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 34-39 ปี
3 กลุ่ม Gen-Y ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 25-33 ปี
4 กลุ่ม Gen-M หรือ Millennial Generation ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 18-24 ปี
ซึ่งกำลังจะเติบโตเป็นผู้บริโภคคลื่นลูกใหม่ที่จะทำหน้าที่กำหนดเทรนด์การบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ ให้แก่สังคม
งานวิจัยชิ้นนี้จึงได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อทำการศึกษาตัวตนของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม ว่าลึก ๆ แล้ว เขาคิดอย่างไร นักการตลาดควรจะวางแผนกลยุทธ์อย่างไร จึงสามารถตอบสนองความต้องการของเขาเหล่านั้น
Definition of The Gens
Gen-B หมายถึงกลุ่ม Generation Boomer หรือ Baby Boomer Generation ซึ่งมีอายุปัจจุบันในช่วง 40-63 ปี เป็นผู้บริโภคที่เกิดภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือมีชีวิตในวัยเด็กเล็กขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเมินกันว่าในอเมริกามีจำนวนเด็กที่เกิดในช่วงระยะเวลาดังกล่าวสูงถึง 78 ล้านคน
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้ชื่อว่าเป็น Boomer เพราะถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กันในปริมาณมากภายหลังสงครามสงบแล้ว ปัจจุบัน นักการตลาดในหลายๆ ประเทศพุ่งเป้าเน้นทำการตลาดกับกลุ่ม Gen-B เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่, มีกำลังซื้อ มีศักยภาพในการบริโภคสินค้า
อีกทั้งเป็นผู้บริโภคที่มีทัศนคติที่ดีต่อการซื้อจับจ่ายใช้สอยสินค้าเพื่อตัวเอง และบุคคลใกล้ชิด ผู้บริโภคกลุ่มนี้หากกำลังทำงานอยู่ก็กำลังสะสมเงินเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามใจปรารถนา หากเลิกทำงานแล้ว ก็เป็นผู้บริโภคที่พร้อมจะซื้อสินค้าตามความต้องการของตน
อย่างไรก็ตาม คนรุ่นนี้จึงเป็นคนที่รู้คุณค่าของเงิน บ้างาน มุมานะเพื่อสร้างฐานะให้กับครอบครัว แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยมีลูกเร็ว มักนิยมรับราชการ เพราะเชื่อว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี
แบรนด์ที่คนกลุ่มนี้คุ้นเคย ก็จะเป็นแบรนด์ดั้งเดิมอย่างธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย, ตู้เย็นยีอี, จักรซิงเกอร์, รถโฟล์กเต่า, นมตราหมี, เบียร์สิงห์ หรือผงซักฟอกแฟ๊บ เป็นต้น
Gen-X หมายถึง Generation X หรือ X Generation ซึ่งมีอายุปัจจุบันในช่วง 34-39 ปี บางตำราอาจจะกำหนดช่วงอายุของ Gen-X ไว้ต่ำถึงผู้ที่มีอายุ 26 ปี ในประเทศไทยเองก็เคยแบ่งกลุ่ม Generation X ออกมาเป็นกลุ่มย่อย แล้วเรียกว่า Yuppies
Yuppies เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวสมัยนั้นที่มีรายได้สูง มีกำลังซื้อสินค้าแบรนด์เนมดัง ๆ เป็นห่วงเป็นใยในเรื่องของภาพลักษณ์ กล้าที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หลายคนนิยมใช้บัตรเครดิต ใช้นาฬิกาโรเล็กซ์ แว่นเรย์แบน รถบีเอ็มดับบิว เครื่องใช้ไฟฟ้าโซนี่ หรือกระทั่งดื่ม Johnnie Walker Black Label
อย่างไรก็ดี Gen-X เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่อาจจะเป็นลูกหรือหลานของ Gen-B เป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมๆ กับความสับสนในชีวิต หลายๆ คนที่เป็น Gen-X เคยผ่านชีวิตวัยบุปผาชน เคยมีอิสระในการดำรงชีวิต แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็เริ่มทำงานอย่างจริงจัง แต่มีอิสระ เนื่องจากสภาพโดยรวมของเศรษฐกิจดีกว่าสมัยที่ Gen-B อยู่ในวัยทำงาน จึงทำให้ Gen-X สามารถเลือกงานได้มากกว่า สามารถตั้งเงื่อนไขให้แก่ที่ทำงานได้ว่าตนเองต้องการทำงานแบบไหน เมื่อไร และอย่างไร
สภาพความเป็นอยู่ของ Gen-X เมื่อเปรียบกับ Gen-B ในขณะที่มีอายุเท่ากันจึงต่างกันมาก Gen-B ทำงานในลักษณะดิ้นรน ใช้แรงงาน รายได้น้อย และมักจะทำงานคนเดียว ในขณะที่ Gen-X ทำงานในลักษณะใช้ความคิด สมาชิกหลักในครอบครัวทำงานทั้งสองคน รายได้ดีทั้งคู่ ใช้ชีวิตแบบคนทันสมัย และหลายๆ คนเป็นหัวหน้างานของ Gen-B ที่อายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่า แต่การศึกษาต่ำกว่า
Gen-Y หมายถึง Y-Generation หรือ Why Generation เป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับความสงสัยในความต่างทางความคิดของ Gen-B ที่อาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว และ Gen-X ซึ่งอาจจะเป็นผู้ให้กำเนิด ในขณะที่สมาชิก Gen-B ในบ้านอาจจะเรียกร้องให้ Gen-Y ทำตัวอยู่ในกรอบ แต่สมาชิกที่เป็น Gen-X กลับกระตุ้นให้ Gen-Y เป็นตัวของตัวเอง และท้าทายสิ่งที่เป็นอยู่เดิม Gen-Y จึงมักจะสับสน แต่ก็มีความต้องการที่จะสำเร็จในทุกอย่างที่สนใจอย่างรวดเร็วกว่า Gen-B และ Gen-X
โดยทั่วไปแล้ว Gen-Y เป็นผู้บริโภคที่ใจร้อน ต้องการเห็นผลสำเร็จทุกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเชื่อในศักยภาพของตนเอง และเชื่อว่ามีความพร้อมด้านฐานะทางการเงินที่มักจะได้รับการสนับสนุนจาก Gen-X ซึ่งมีรายได้ดี
คน Gen-Y เชื่อว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตจะเกิดขึ้นต้องทำงานหนัก ทำให้มีการแต่งงานช้าลง ไม่ถึง 30 ไม่แต่ง ถ้ามีแฟนแล้วแฟนมีอุปสรรคกับงาน ก็เลิกกับแฟน เลือกงาน คนกลุ่มนี้มักเปลี่ยนงานบ่อย มีการบริหารเงินจากเครื่องมือต่าง ๆ คนกลุ่มนี้จึงมีเครดิตการ์ดมากกว่า 1 ใบ มีการใช้บริการประเภท Personal Credit มากขึ้น
Gen-M หรือ Millennial Generation หมายถึงกลุ่มผู้บริโภครุ่นเยาว์ ซึ่งมีอายุปัจจุบันในช่วง 18-24 ปี บางตำราอาจจะครอบคลุมอายุต่ำกว่า 18 ปี บ้างก็เรียกคนกลุ่มนี้ว่า”เด็กแนว”
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นผู้บริโภคที่เกิดมาและได้รับการดูแลเสมือนเป็น ไข่ในหิน (The Precious) ผู้ปกครองทุกคนในครอบครัวซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มอื่นๆ ได้แต่พร่ำสอนและดูแลเพื่อไม่ให้สมาชิกในกลุ่มนี้ต้องตกอยู่อำนาจของสิ่งยั่วยุ และยั่วยวนซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอดีต อาทิ ยาเสพติด รายการทีวีมอมเมา บุหรี่ สุรา รายการบันเทิงยั่วยุอารมณ์ พฤติกรรมก้าวร้าว การติดเชื้อเอดส์ การตั้งครรภํในวัยไม่สมควร เป็นต้น
Gen-M จัดได้ว่าเป็นผู้บริโภคแห่งความหวัง (Generation of Hope) ที่ผู้ใหญ่ในหวังว่าจะมีชีวิตอยู่และแก้ไขความผิดพลาดที่ตนเคยทำในอดีต คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษ ไม่ชอบเป็นลูกจ้าง มีความต้องการเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก มีความอิสระในตัวเองค่อนข้างสูง มีแนวทางเป็นของตัวเองชัดเจน ไม่เหมือนใคร และไม่อยากให้ใครเหมือน ชอบดู Channel V, MTV
ความไม่รู้ ทำให้ คนฉลาดขึ้น ถ้าอยากที่จะรู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 14:15:10 » |
|
หุ หุ
งั้น คิดว่า เราอยู่ในกลุ่ม Gen อะไร ? :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 16:11:19 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 18:29:44 » |
|
ใครรู้ บอกที
ผมต้องการทราบ DNS(Domain Name Server) address ของเครื่องตัวเอง จะไปหาได้ตรงไหนครับ เค้าบอกว่ามันอยู่ที่ TCP/IP property
ก็ลองดูแล้วหาไม่เจอ มันคืออะไร สำคัญอย่างไร ใครรู้บอกที
ถามบ้าง :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Surachai Chantosakun
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 114
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 18:50:04 » |
|
ไอ้ไข่
ตั้งแต่ย้ายงานใหม่ดูว่างจังเลยนะ
ตอบยาวๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 20:13:08 » |
|
:oops: จากแนวคิดแบบสากลที่แบ่งกลุ่มผู้บริโภคออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1 กลุ่ม Gen-B หรือ Boomer Generation ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 40-63 ปี
2 กลุ่ม Gen-X ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 34-39 ปี
3 กลุ่ม Gen-Y ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 25-33 ปี
4 กลุ่ม Gen-M หรือ Millennial Generation ซึ่งหมายถึงผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 18-24 ปี
..........ขอเสริมนะครับ........
...ข้อมูลนี้เป็นของต่างประเทศ(ทางโซนอเมริกา)ซึ่งลักษณะของการจำแนกตาม generation
นั้นไม่แน่ว่าจะนำมาใช้ได้ในทุกประเทศนะครับ ซึ่งมันติดตรงที่ประเพณีและวัฒนธรรมของ
ประเทศนั้นๆ และเกี่ยวโยงกับองค์การการทำงานของแต่ละองค์การจะมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
ซึ่งลักษณะการทำงาน นิสัยการทำงาน รวมถึงการบริโภคของคน ในแต่ล่ะ generation ของแต่
ละประเทศย่อมมีความแตกต่างกัน แต่ ณ ที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสิ่งเหมือนกันนะครับ
บางอย่างก็มีความเหมือนกัน คนไทยเราไปเอาของฝรั่งมาใช้โดยไม่ได้วิจัยก่อนว่าใช้ในไทยได้จริง
หรือเปล่านะครับ
....เผอิญกำลังทำ Thesis เรื่องนี้อยู่พอดีอะครับ.....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ป๋าบอล
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 196
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 20:18:28 » |
|
ขยายๆหน่อยโว้ย..ไม่เข้าจาย... prick อ่านว่า พริค แปลว่า กระเจี๊ยว ตรงๆเลยครับพี่โต้ง ใครรู้ บอกที
ผมต้องการทราบ DNS(Domain Name Server) address ของเครื่องตัวเอง จะไปหาได้ตรงไหนครับ เค้าบอกว่ามันอยู่ที่ TCP/IP property
ก็ลองดูแล้วหาไม่เจอ มันคืออะไร สำคัญอย่างไร ใครรู้บอกที
ถามบ้าง :? อยุ่ใน properties ของ Internet Protocol (TCP/IP) ไปที่ใน My Network Places คลิ๊กขวาที่ Local Area Connection เลือก Properties เลือกที่ Internet Protocol (TCP/IP) ใน list แล้วกดปุ่ม Properties ก็จะเห็นช่องสำหรับ set DNS ข้างล่าง DNS เป็นเครื่องที่ใช้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับ domain name ง่ะ สมมติจะทำ intranet บนเครื่อง ip = 123.456.789.001 แล้วกลัวคนอื่นในบริษัทจำไม่ได้ เราก็ไปตั้งชื่อ Domain ไว้ที่ DNS ของของบริษัท ว่า 123.456.789.001 = www.test.comคราวนี้พอคนเข้าเน็ตบอกว่าจะไปที่ www.test.com มันก็จะไปดูที่ DNS แล้วก็เจอว่า www.test.com ก็คือ 123.456.789.001 แล้วมันก็แปลงเป็นค่า ip ให้เราอัตโนมัติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #90 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 08:05:50 » |
|
แล้วทำไมเครื่องคุณไข่ ต้องทำเป็น DNS Server ด้วยฟะ มะเข้าใจ คุณจะเปิด server เองเหรอ :lol:
ท่าทางเรื่องใบตองของผมจะยากเกิน งั้นถามเรื่อง(ท่าทาง)ไม่ยากข้ออื่นกันบ้าง
ทำไมคนคิดจักรยาน ต้องทำให้จักรยานมี 2 ล้อ เนื่องจากด้วยความคิดของตัวผมเอง ถ้าครั้งแรกเนี่ย ประดิษฐ์ออกมา 4 ล้อ หรือ 3 ล้อ มันไม่ขี่ง่ายกว่าเหรอ ดันทำมา 2 ล้อ ไม่กลัวคนที่เพิ่งเคยเห็นจักรยานครั้งแรก ก้อไม่กล้าขี่ เพราะต้องหัดก่อนหรือเปล่า สู้ทำ 3 หรือ 4 ล้อ ให้คนขึ้นปุ๊บ ก้อสามารถขี่ได้เลยทันทีไม่ดีกว่าเหรอ??
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #91 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 08:26:40 » |
|
ซาบซึ้ง โอ เค เลย เพื่อนบอล
ไม่เสียแรงที่จบ คอมพ์ ไม่เหมือน บางคน ที่ ไปขายแก๊ส
555
เพื่อนต้น ตอนนี้ว่างครับ อยู่ในสถานะว่างงาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #92 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 13:05:36 » |
|
กรูว่าจักรยานแรกๆก็คงมี 4 ล้อ หรือ 3 ล้อนะ..เห็นจักรยานโบราณๆก็เคยเห็น 3 ล้อ แต่มันคงเกะกะ และอีกอย่าง ค่าแรงเสียดทานระหว่างยางกับถนนคงจะเยอะ..(เพราะซัดตั้ง 4 ล้อ) การเหลือ 2 ล้อจะทำให้ผ่อนแรงได้มากกว่ามั้ง..
ส่วนเรื่อง GPRS ยาวมั่ก.ไว้ค่อยอ่าน..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #93 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 17:02:59 » |
|
ป๋าบอลชั่งปราดเปรื่อง...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2550, 13:36:47 » |
|
สงสัยอีกเรื่องครับ..
ทำไมในละคร..หัวกระแทกอะไรที่ไร..ความจำเสื่อมทุกที..แต่ไหงมันยังพูดภาษานั้นๆได้..
สมองมันน่าจะเหมือนคอมพ์นะ..เวลาความจำเสื่อม..มันน่าจะเสื่อมหมดเลย..แบบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้..ทำไมมันลืมเฉพาะชื่อคนกับเหตุการณ์เฉยๆน่ะ..
อีกอย่าง..ทำไมหัวกระแทกอีกทีทีไร...แมร่งงงงง..หายทุกทีเลย..จำได้เฉยเลย..
ถ้ามันมีความเป็นไปได้ทางการแพทย์..จะได้ระวังไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2550, 00:14:30 » |
|
Amnesia?? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 12:35:01 » |
|
มีคำถามมาถามครับ
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าในโรงงานของเรา มีprocessและmachine อะไรบ้าง แต่เราต้องการรู้ว่าจำเป็นจะต้องใช้ facility เท่าไหร่(specification) เช่น hot oil, cooling water และ air pump แบบนี้เราควรจะอ่านหนังสือเล่มไหนครับ
unit operation? แนะนำหน่อย intania ทั้งหลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 16:56:10 » |
|
อันนี้เราถามเพื่อนเรามาให้อ่ะ
แต่เราว่าน่าจะเป็นพวก IE น่ะไข่ ที่พอจะช่วยได้อ่ะ
"โอ้ ไม่แน่ใจนะว่าหนังสืออะไร ตอนเรียนเคยเรียนเรื่อง Air นะ แต่ตัวอื่นไม่เคย โดยเราดูที่เครื่องจักรเราที่ต้องการใช้ Facility เท่าไหร เสร็จแล้วต้องหัก loss ที่เกิดจากพวกท่อ หรือข้อต่อ
ส่วนใหญ่ในโรงงานมันจะเอาให้ Over จากที่ใช้งาน เวลาเพิ่มอุปกรณ์ หรือ เกิดการใช้ Facility พร้อมกันจะได้ไม่มีปัญหา แล้วก็ไม่ค่อยคำนวณกันหรอก มักให้ Supplier แนะนำว่าต้องเท่าไหร"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 18:40:52 » |
|
Thank Max
But the big problem ıs the machıne that bought from Chına. They saıd ıf we need more ınformatıon must be addıtıonal paıd.
OK I'll try
:lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|