Jiab16
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2553, 13:21:40 » |
|
หมอนรองกระดูกกับอาการปวดหลังจากการทำงานผศ.ดร.วรรธนะ ชลายนเดชะจาก : http://www.doctor.or.th/node/1523 การบาดเจ็บจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บแบบเฉียบพลัน และแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นป้องกันได้ ความรู้ และความเข้าใจของคนทำงานมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพื่อป้องกันตัวเองมิให้บาดเจ็บจากการทำงาน
คนทำงานมักพบอาการปวดหลังได้บ่อย คนทั่วไปประมาณ ๑ ใน ๖ เคยมีอาการปวดหลังที่ต้องนอนพักอย่างน้อย ๑ ครั้งในชีวิต อาการปวดหลังส่วนใหญ่เกิดจากการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียนรู้เรื่องของหลัง ( back school ) ทำให้คนทำงานตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อหลัง เข้าใจกลไกการบาดเจ็บ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน เนื่องจากอาการปวดหลังส่วนหนึ่งมาจากหมอนรองกระดูก ครั้งนี้จึงนำเสนอเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกสันหลัง และวิธีป้องกันไม่ให้ปวดหลังจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลัง
การเรียงตัวของกระดูกสันหลัง
กระดูกสันหลังมีทั้งหมด ๒๖ ชิ้น เรียงตัวกันเป็นส่วนโค้ง ๓ ส่วน โดยกระดูกสันหลังส่วนคอจะโค้งไปทางด้านหน้า ส่วนอกจะโค้งไปด้านหลัง ส่วนเอวหรือหลังส่วนล่างจะโค้งไปทางด้านหน้า ( lordotic curve ) ดังรูปที่ ๑ การเรียงตัวของกระดูกสันหลังเป็นส่วนโค้ง แทนที่จะเป็นแท่งตรงเหมือนลำไม้ไผ่ เพื่อที่จะลดแรงกระแทกจากพื้นมาสู่ศีรษะเวลาเดิน คล้ายกับสปริง หรือแหนบกันกระเทือนในรถยนต์ ส่วนโค้งแต่ละช่วงมีความสำคัญ ถ้าแอ่นมากขึ้นหรือมีความโค้งน้อยลงอยู่นานๆ จะส่งผลทำให้เกิดอาการปวดได้ กระดูกสันหลังต่อเรียงกันด้วยหมอนรองกระดูกทางด้านหน้า และข้อสันหลัง ๒ ข้อทางด้านหลัง ข้อดีของการมีหลายข้อต่อเรียงกันเป็นกระดูกสันหลังคือ เราสามารถจะเคลื่อนไหวส่วนของหลังได้หลายทิศทางตั้งแต่ก้ม-เงย หมุนซ้าย-ขวา เอียงซ้าย-ขวา รวมทั้งหลายทิศทางพร้อมกัน เช่น การก้มหลังพร้อมกับการบิดและเอียงตัวในเวลาเดียวกัน แต่ข้อเสียของการเคลื่อนไหวได้หลายทิศทางคือส่วนของหลังจะมีความมั่นคงน้อยลง และจะบาดเจ็บได้ง่าย
หมอนรองกระดูก
หมอนรองกระดูกเป็นโครงสร้างที่ช่วยรับน้ำหนัก และลดแรงกระแทกคล้ายกับระบบกันกระเทือนของรถยนต์ ถ้าจะเปรียบเทียบกับลักษณะของหมอนรองกระดูกจะคล้ายกับขนมเด็กที่เป็นเยลลี่รูปสัตว์ ด้านนอกจะเหนียวขณะที่ด้านในเป็นน้ำ การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ตัวหมอนรองกระดูกเองมีเส้นประสาทมาเลี้ยงน้อยมาก เมื่อแตกหรือปลิ้นจะไม่เจ็บที่ตัวหมอน แต่อาจอักเสบหรือกดทับเอ็น กระดูกและเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ ทำให้มีอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างรวมทั้งมีอาการปวดที่ขาได้ อาการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกไม่จำเป็นต้องมีอาการปวดทันทีเสมอไป ถ้าหมอนรองกระดูกแตก และปลิ้นจะเกิดอาการอักเสบ บวม และจะค่อยๆ มีอาการปวดน้อยๆ จนกระทั่งปวดมากในชั่วโมงที่ ๘ ถึง ๑๒ เพราะอาการอักเสบนั้นไปรบกวนเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง
การแตกและปลิ้นของหมอนรองกระดูก
การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกจะสัมพันธ์กับกรณีต่อไปนี้
๑. การก้มหลังจนสุด
๒. การนั่งเป็นเวลานาน
๓. ช่วงเวลาในแต่ละวัน ตอนเช้าจะมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บมากกว่า
๔. การก้ม บิด เอียง ซ้ำๆ กันหลายครั้ง จนกระทั่งเนื้อเยื่อหมอนล้า และการแตก
๕. คนอายุน้อย พบว่าคนในวัยทำงานจะมีสารน้ำในหมอนรองกระดูกมากกว่าคนสูงอายุ จึงมีแรงดันในหมอนสูง โอกาสที่จะแตกจะง่ายกว่า
การก้มตัว
การก้มตัวทำได้ ๒ แบบ คือ การงอที่สะโพก ( รูปที่ ๒ ) และการงอที่หลังส่วนล่าง ( รูปที่ ๓) จะเห็นว่าการงอที่สะโพกจะยังมีส่วนโค้งของหลังอยู่ ส่วนการงอที่หลังทำให้โค้งกลับไปทางด้านหลัง ( reverse lordotic curve ) การงอหลังแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้หมอนรองกระดูก สันหลังบาดเจ็บได้ง่าย
การนั่ง
การนั่งจะทำให้ส่วนโค้งของหลังน้อยลงหรือกลับทิศ ( reverse lordotic curve ) ดังรูปที่ ๔ การโค้งกลับทิศในลักษณะนี้ร่วมกับแรงกดจากน้ำหนักตัวส่วนบน จะทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นออกทางด้านหลังได้ง่าย การนั่งนานจะทำให้แรงกดที่หมอนรองกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีค่ามาก
ช่วงเวลาในแต่ละวัน
เมื่อนอนลงจะมีการดึงน้ำไปอยู่ในตัวหมอนรองกระดูก การที่มีน้ำเข้าไปอยู่ในหมอนรองกระดูกมาก ทำให้หมอนรองกระดูกบาดเจ็บได้ง่าย ขณะตื่นนอนใหม่จึงมีความเสี่ยงที่จะมีการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกมากกว่าช่วงเย็น
การป้องกันไม่ให้ปวดหลังจากหมอนรองกระดูก
จากความรู้ข้างต้นนำมาสู่คำแนะนำที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกได้ ดังนี้
๑. อย่างอหลัง เมื่อยกวัตถุ ให้พยายามรักษาส่วนโค้งของหลังให้คงอยู่ขณะยกวัตถุให้งอที่สะโพก
๒. อย่านั่งนานเกิน ๒ ชั่วโมง ให้ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
๓. เปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ เช่น นั่งหลังตรง นั่งพิงหลัง นั่งเอามือเท้าโต๊ะ สลับกัน
๔. ถ้าจำเป็นต้องนั่งนาน เช่น นั่งขับรถ ให้แอ่นหลัง พิงพนัก ๕ วินาที เพื่อลดแรงกดที่หมอนรองกระดูก
๕. ผู้ที่นั่งนาน และต้องลุกมายกวัตถุทันที เช่น พนักงานขับรถส่งของต้องพยายามแอ่นหลังบ่อยๆ ขณะขับรถหรือหาหมอนมาหนุนหลังส่วนล่างในขณะขับรถ ถ้ามีเวลาพอ เมื่อลงจากรถให้ยืนแอ่นหลังประมาณ ๕ วินาที จึงเริ่มยกวัตถุ
๖. หลังตื่นนอนหลีกเลี่ยงการก้มหลัง หรือการออกกำลังกายที่ต้องก้มหลัง งอหลัง การยกวัตถุหนัก อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
๗. ไม่ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าท้องแบบมีแรงต้านในท่านั่ง เพราะเป็นการงอหลังซ้ำๆ หลายครั้ง ขณะที่มีแรงดันในหมอนรองกระดูกสูง มีโอกาสบาดเจ็บสูง
๘. ออกแบบสภาพงานให้เหมาะสม เช่น ไม่ให้ยกวัตถุหนักจากที่ต่ำ บิดหรือเอียงตัว ยกวัตถุห่างตัว และยกวัตถุที่หนักเกินกำลัง
อาการปวดหลังนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากหมอนรองกระดูกเสมอไป ยังมีเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่อาจบาดเจ็บได้ เช่น กล้ามเนื้อ หรือเอ็นที่อยู่บริเวณนั้น หรือมาจากสาเหตุอื่น เช่น การอักเสบของอวัยวะภายใน มะเร็งของกระดูก ตัวหมอนรองกระดูกนั้นเสื่อมสภาพตามวัยเหมือนกระดูก คนประมาณร้อยละ ๓๐ ที่ไม่เคยปวดหลัง มีหมอนรองกระดูกปลิ้น บางครั้งชัดเจนมากแต่ไม่มีอาการ
อย่าลืมว่าคนทำงานไม่งอหลังขณะยกวัตถุ ไม่นั่งนาน ไม่ก้มหลังหรือยกวัตถุเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ ไม่ยกวัตถุหนักเกินกำลัง ปรับสภาพงานให้เหมาะสม ทำเช่นนี้ท่านจะห่างไกลอาการปวดหลังจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูก
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #101 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 17:55:38 » |
|
พลังบำบัดจาก " น้ำมะพร้าว "นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา เดี๋ยวนี้มีน้ำผลไม้ให้เราเลือกดื่มมากมาย แต่รู้ไหมว่า น้ำมะพร้าวราคาถูกแสนถูกนี่แหละค่ะ ถือเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษ และชำระล้างร่างกายด้วย ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิว หรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น
มะพร้าวมีลำต้นสูง ทำให้ธาตุอาหารต่างๆ ในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น และผล ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ
สำหรับคนไข้ที่อาเจียน และท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้
น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไต และโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว
หากเปิดลูกมะพร้าว แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง ( แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม ) ควรกินให้หมดทีเดียว
ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง ค่อยๆ ตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่มน้ำ มะพร้าวบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ มีประโยชน์กว่าน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษ หรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย วันนี้คุณดื่มน้ำมะพร้าวหรือยังคะ ?
เพิ่มเติมจาก : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=5567.0;prev_next=prev
งานวิจัยชั้นเยี่ยม จากดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยชะลอเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ข้อสรุปนี้ได้จากการทดลองกับหนูขาวเพศเมีย 2 กลุ่ม ที่ตัดรังไข่ออกเพื่อเป็นตัวแทนสตรีวัยทอง เพราะเชื่อกันว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน และปัจจัยด้านอายุที่ผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย ( จึงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่า )
ผลการวิจัย พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับน้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์ มีอาการของโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งผู้วิจัยจะพัฒนาน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นอาหารเสริม และยา เพื่อชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ต่อไป นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น และไม่มีแผลเป็นด้วย ซึ่งอาจมีการสกัดน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาสมานแผลและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต
เพิ่มเติมจาก : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:DhNG_pOBghYJ:ku30.songchai.net/%3Fp%3D1626+%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th
มากินน้ำมะพร้าวอ่อนกันเถอะ
โดย สมหมาย คณานิตย์ และภรรยา บ้านสุขภาพดี คลินิกแพทย์แผนไทย นนทบุรี
เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง ประกอบด้วยโพแทสเซียม รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย เนื่องจากอาการท้องเสีย หรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็น “ สปอร์ต ดริ๊งค์ ” สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย และยังมีคุณสมบัติ ปลอดเชื้อโรค เป็นสารละลาย ไอโซโทนิก ( สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ) สามารถลดอาการขาดน้ำได้ดี ลดอาการเมาหลังดื่มแอลกอฮอล์
- การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำยัง ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี - มีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง - ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายจึงช่วย ให้ผิวพรรณ ผ่องใส
- สำหรับสตรีวัยทอง หรือกำลังเข้าสู่วัยทอง ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน สัปดาห์ละ 2-3 ลูก จะช่วยทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายสมดุล ทำให้แก่ช้าลง และไม่ต้องทานฮอร์โมนเสริม
ไฟโตเอสโตรเจน ( Phyto-estrogen ) เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเอสโตรเจนในคนแต่ฤทธิ์อ่อนกว่า มีหน้าที่ เข้าไปจับกับตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์ และหยุดยั้งปฏิกริยาของเซลล์ที่มีต่อฮอร์โมนที่รุนแรงกว่าตัวมัน เป็นผลให้ทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งเอสโตรเจน เพื่อไม่ให้ร่างกายผลิตมากเกินไปได้ และการทำงานของไฟโตเอสโตรเจนนี้ก็จะปรับไปตามระดับเอสโตรเจน ที่คนเรามีอยู่ในร่างกาย ซึ่งหากอยู่ในช่วงที่ประจำเดือนมาปกติ ร่างกายก็จะขับออกไปได้เองกับปัสสาวะ แต่ถ้าเป็นช่วงวัยหมดประจำเดือน ร่างกายผลิตเอสโตรเจนเองได้น้อย ไฟโตเอสโตรเจนก็จะเข้าไปทำหน้าที่แทน ดังนั้น…สตรีที่เข้าสู่วัยทองหรือกำลังจะเข้าสู่วัยทองสามารถรับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเรื่องเอสโตรเจนเกิน จะเป็นผลให้เกิดมะเร็งเต้านมอีกต่อไป ข้อดีของน้ำมะพร้าวอ่อน…
*ช่วยลดอาการก่อนมีรอบเดือน ของสตรีวัยเจริญพันธุ์เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องน้อย *ถ้าทานน้ำมะพร้าว พร้อมกับเนื้อ ร่างกายจะได้ทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้สิวลดลง ผิวพรรณเรียบเนียน แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่เป็นสิว *ช่วยตับทำลาย “ เอสโทรน ” ( estrone ) ซึ่งเป็นสารที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ให้กลายเป็นสาร “ เอสไทรออล ” ( estriol ) ซึ่งถือว่าเป็นรูปเอสโตรเจนที่ปลอดภัยที่สุด คนที่รับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนสามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้ เพราะทานน้ำมะพร้าวอ่อนจะช่วยรักษาสมดุลเอสโตรเจนได้
*ลดอาการ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน ในสตรีวัยหมดประจำเดือน
*นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังเอาไว้ล้างหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งได้ เนื่องจากน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยเกลือแร่ และยังเป็นกรดอ่อนๆ ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสอยู่เสมอ
*สำหรับสาวๆ ที่ชอบสปา อาบน้ำแร่ หันมาอาบน้ำมะพร้าวก็ได้นะ เพราะน้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมน แถมยังซึมเข้าสู่ผิวได้ดีอีกด้วย อาบบ่อยๆ ผิวพรรณจะเต่งตึง สวยเหมือนสาวยุค 2010
ข้อควรระวัง …
สำหรับวัยรุ่น ถ้าจะทานน้ำมะพร้าวอ่อน ไม่ควรรับประทานขณะมีประจำเดือน เพราะอาจทำให้มีไข้ เนื่องจากน้ำมะพร้าวเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง และจะทำให้ประจำเดือนมานานวันเพิ่มขึ้น ควรงดก่อนมีประจำเดือนสัก 5 วัน
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #103 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 23:24:46 » |
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #104 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 03:26:21 » |
|
ประโยชน์ของเบียร์ ... วันนี้ ขอสักแก้วเถอะน่ะเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาดื่มเบียร์แทนไวน์ สักวันละแก้ว ( กระป๋อง ) ประหยัดกว่าเยอะ แถมอาจมีประโยชน์ มากกว่าด้วย ประโยชน์ของการดื่ม " เบียร์ "
เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามิน และเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
สำหรับ ' คอเบียร์ ' คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น
ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน
ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน จึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์ และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิ ให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น
ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนักพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ
ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนม และน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่เชื้อจนท้องเสีย
ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราว มีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี และในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลด ความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40% ป้องกันโรคนอนม่หลับ สารจากดอก Hops ในเบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้นการดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ
ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดีคือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม
ดีขนาดนี้จะช้าอยู่ทำไม ไปหาเบียร์กินกันเถอะ
|
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 10:36:31 » |
|
...เพิ่งจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้เรื่องเบียร์นี่หล่ะค่ะ... ...ถ้าประโยชน์ของมันมากอย่างนี้...ก็จำเป็นต้องหาเบียร์มาทานบ้างแล้วหล่ะ... ...แต่เสียอย่างเดียวค่ะ...คือพี่ตู่แพ้แอลกอฮอล์...ถ้าทานสักจิบสองจิบคงไม่เป็นไรมั้งคะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 12:06:58 » |
|
...น้องเจี๊ยบคะ... ...ต้อย-ทัศนีย์ หายไปเลยเนอะ...สงสัยกำลังซ้อมส่งรูปอยู่นะคะ... ...ต้อยเค้าไปเที่ยวฝรั่งเศสมา...แล้วซื้อไวน์มาฝากพี่ตู่ 2 ขวด... ...ตอนนี้มันก็ยังแช่อยู่ในตู้เย็นเลยค่ะ... ...พอดีวันนั้นมัวแต่คุยกันเรื่องอื่น...เลยลืมถามต้อยไปว่าจะกินยังไงดีค่ะ... ...แบบว่าแพ้แอลกอฮอล์อยู่ด้วย...จะทานได้หรือเปล่า... ...แช่ไว้นานๆมันคงไม่เสียนะคะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #107 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 12:50:22 » |
|
พี่ตู่ ขา ... แช่แบบนอนขวดลง ไว้ชั้นล่างๆ ของตู้เย็น ไวน์ยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งดีค่ะ ... พี่ตู่ก็แค่แตะๆ ลิ้นพอรู้รสว่าอร่อยประมาณนี้ แล้วก็ยกให้ " คนที่ไม่แพ้ alcohol " ไปดื่มแทน กลายเป็นส้มหล่นใส่เค้า สบายไปเลย อิ อิ !
|
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 14:05:27 » |
|
...ขอบคุณค่ะ...น้องเจี๊ยบ... ...ต้อยเค้าหุ้มโฟมกันกระแทกมาอย่างดีเลย...ตั้งอยู่ในตู้เย็น... ...พี่จะไปจับมันนอนลงล่ะนะ... ...ว่างๆจะเปิดเอามาชิมแบบที่เจี๊ยบบอกค่ะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 11:35:02 » |
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 12:22:50 » |
|
เนื้อสัตว์มีโทษ เสียแล้ว ! จาก : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:moV5d89cAZoJ:board.palungjit.com/f9/%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-213276.html+%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1+%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%8B&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=thปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Mr. ชารส์ ค้นพบว่าภายในเนื้อของสัตว์ มีสารพิษอยู่ชนิดหนึ่ง ตอนที่สัตว์ได้รับความเจ็บปวดทรมาน ก็จะเพิ่มสารพิษมากขึ้นเป็นลำดับ แล้วก็จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าหากเรากินเนื้อชนิดนี้แล้ว ก็ได้รับอันตรายอย่างมาก
มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ชื่อว่า ไอด์ มาไคร้ กล่าวว่าตอนที่ร่างกายคนเรามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขนาดหนักอยู่นั้น ก็จะมีสารหลายชนิดระบายออกจากร่างกาย เช่น ตอนที่มีโทสะโกรธอยู่นั้น เหงื่อที่ไหลออกมา ก็จะมีสีแตกต่างจากเหงื่อที่ไหลตอนที่ร่างกายกำลังโศกเศร้า แม้แต่ลมหายใจที่เป่าออกจากร่างกายก็จะมีสารต่างๆ ออกมาด้วย
เขาเองได้ทดลองเป่าลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่แช่เย็น แล้วสังเกตดูพบว่า ตอนที่เขามีร่างกายปกติก็จะมีหยดน้ำที่ปราศจากสี แต่ตอนที่กำลังโกรธจัดๆ หยดน้ำที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน หลังจากเป่าลมเข้าไปในหลอดแก้วได้ 5 นาที หยดน้ำที่ได้จะมีสีและสารขุ่นๆ นั่นก็แสดงว่า ตอนที่ร่างกายมีอารมณ์โกรธ ก็จะมีสารบางชนิดเกิดขึ้น เขาก็เลยใช้วิธีดังกล่าวทดลองสภาพของจิตต่างๆ ก็พบว่า ตอนที่จิตใจโกรธก็จะมีสารสีฝ้ามัว ในขณะเศร้าเสียใจร่างกายจะขับสารสีเทาขาว และขณะเจ็บแค้น ร่างกายจะขับสีเขียวไผ่ออกมา
ต่อมาเขาก็ได้ทดลองต่อไปพบว่า ถ้าเอาสารฝ้ามัวที่อารมณ์โกรธของ นาย ก. ฉีดเข้าไปให้ นาย ข.หรือสัตว์ทดลอง นาย ข.จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา สัตว์ก็จะแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีเช่นกัน เขาเอาสารที่เป่าออกจากคนที่มีอารมณ์เศร้าเสียใจฉีดเข้าไปให้หนูและหมู ภายในไม่กี่นาทีสัตว์ทดลองก็ตายลง
จากการทดลองต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้ ถ้าร่างกายมีอารมณ์เคียดแค้น จะสูญเสียพลังงานไปมากที่เดียว ถ้าสารพิษที่ปะปนกันยิ่งมีหลายชนิด พิษร้ายก็ยิ่งมีมาก ในขณะที่ทารกกำลังดูดนมมารดา ประเหมาะมารดาเกิดมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังดูดนม ทารกน้อยจะเกิดอาการไม่สบาย เจ็บป่วยลง อันนี้ก็สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ร่างกายก็จะปล่อยพิษร้ายออกมาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุฉะนี้ เนื้อสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปในท้องทุกๆวัน ซึ่งมีพิษร้ายอย่างแน่นอน สัตว์ย่อมเกิดความเคียดแค้น และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ย่อมมีสารพิษขึ้น และเจือปนอยู่ในเนื้ออย่างแน่นอน กินเข้าไปแล้วจะมีโทษมากกว่าคุณ
ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ค้นพบว่าภายใต้กล้องจุลทรรศน์ที่ส่องลงบนเนื้อสัตว์ จะพบจุลชีพชนิดต่างๆ จุลชีพร้ายเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลไม่น้อยต่อร่างกายอย่างเบา ๆ ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยอย่างหนัก ๆ ก็ถึงแก่ชีวิต ในเนื้อหมูและเนื้อวัว มีเชื้อหนอนเป็นเส้นๆ อยู่ไม่น้อย
ดังนั้นจากการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา เชื้อหนอนเส้นของคนที่เป็น ได้ติดมาจากเนื้อหมูและเนื้อวัว 90% และยังตรวจพบว่าวัวควายที่เป็นโรคปอดมีกว่าครึ่ง และสาเหตุคนเป็นโรคปอดก็ติดมาจากเนื้อวัวเป็นส่วนใหญ่ในโรคท้องเสีย ( อหิวาต์ ) เชื้อนี้ได้รับจากเนื้อหมู ในประเทศอังกฤษมีโรคลม อาการปวดมาก สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มาก และยังพบอีกว่า พวกบริโภคเนื้อมักเป็นโรคเบาหวาน การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผลทำให้สมองผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านโรคมะเร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมากบริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด
การกินเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะนั้น จะทำให้เราได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างมากมาย แต่ถ้ากินอาหารจำพวกนี้มากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน โดยที่เราทราบกันดี ก็คือถ้ากินอาหารจำพวกนี้เป็นปริมาณมาก ก็อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งในตับ มะเร็งในทางเดินอาหาร และลำไส้ได้
ล่าสุดพบว่าอันตรายจากอาหารพวกนี้อาจมีมากกว่านั้น โดยจากงานวิจัยของ Harvard Medical School พบว่า การกินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง โดยเฉพาะพวกที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หรือแฮม ในปริมาณมากเป็นประจำนั้น สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในสตรีวัยกลางคน และวัยสูงอายุได้ โดยในงานวิจัยนี้ได้เก็บข้อมูลในสตรีที่มีอายุมากกว่า 45 ปี กว่า 30,000 คน ที่ไม่มีประวัติของโรคหัวใจ มะเร็ง หรือเบาหวานชนิดที่ 2 มาก่อน เป็นเวลากว่า 8 ปี พบว่าสตรีที่กินเนื้อแดงมากกว่าสัปดาห์ละ 5 มื้อ มีโอกาสเกิดโรคเบาหวานถึง 29% เมื่อเทียบกับสตรีที่กินเนื้อแดงน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 มื้อ ขณะที่สตรีที่กินผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์พวกไส้กรอก เบคอน หรือแฮม มากกว่าสัปดาห์ละ 5 มื้อ มีโอกาสเกิดโรคเบาหวานถึง 43% เมื่อเทียบกับสตรีที่กินผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 มื้อ
นักวิจัยเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ทั้งเนื้อแดง และผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการแปรรูป อย่างพวกไส้กรอก เบคอน หรือแฮม เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานนั้น อาจเนื่องมาจากอาหารพวกนี้อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งถ้ากินเนื้อแดงจำนวนมากเป็นประจำ อาจทำให้ธาตุเหล็กถูกสะสมในร่างกายมากเกิน จนอาจมีผลลดการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน และยังลดการตอบสนองของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการในการนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ หรือสะสมในเซลล์ผิดปกติไป จึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือโรคเบาหวาน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่พบว่า การสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายจากการกินเนื้อแดงเป็นประจำนั้น สามารถเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังพบว่ากินเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการแปรรูปไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เบคอน หรือแฮมนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าการกินเนื้อแดงทั่วไป ซึ่งอาจเป็นผลจากสารไนไตรต์และไนเตรต หรือดินประสิว ที่เป็นสารกันบูดใช้ในการถนอมอาหารแปรรูปพวกนี้ให้เก็บได้นานขึ้น และยังช่วยให้มีสีแดงชมพูดูน่ากิน ถูกสะสมในร่างกายมากเกินไป จนก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยสารไนเตรตในอาหารพวกนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นสารไนไตรต์ ซึ่งไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนชนิดหนึ่งในเนื้อสัตว์ แล้วก่อให้เกิดสารไนไตรซามีน ที่เคยพิสูจน์แล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็งในตับ หลอดอาหาร และลำไส้ รวมทั้งอาจไปทำลายเซลล์ตับอ่อนที่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้สมดุลในการควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายบกพร่องไป จนก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้
อย่างไรก็ตาม การลดกินเนื้อแดงให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วหันไปกินเนื้อสัตว์เล็ก จำพวกเนื้อไก่ หรือเนื้อปลาแทนนั้น ก็สามารถให้ประโยชน์กับร่างกายได้ไม่น้อยเช่นกัน แถมยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากเนื้อแดงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง 1. Diabetes Care 2004; 27(9); 2108-15 2. Am J Clin Nutr 2004; 79: 70-5 3. DoctorNDTV ....for the better health of Indians
แหล่งอ้างอิง วชิราวดี มาลากุล เรื่อง " เนื้อแดงกับเบาหวาน " HealthToday THAILAND ปีที่ 5 ฉบับที่ 49 เดือนเมษายน 2548 หน้า 16 (www.healthtodaythailand.com)
************************************************************
อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500,000 คนท่วโลก ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ คาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า กว่า 12,000 คน เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ และมหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ พบว่าเนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของมะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งรังไข่ รวมถึงโรคเบาหวานยอดฮิต เนื้องอก เลือดเป็นพิษ
ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก
มหาลัยเทกซัส สหรัฐ มหาลัยชิคาโก สหรัฐ มหาลัยฮาวาย สหรัฐ มหาลัยฮาววาด สหรัฐ มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ National Cancer Research Institue - USA สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO The World Cancer Research Fund ( WCRF ) และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึงเอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดัง
ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ ( พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์ ) มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย และจากพระ อาจารย์ พระฝรั่งชาวอังกฤษ ได้ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ประเทศอังกฤษ ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ และหวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้ายจากเนื้อสัตว์ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมากๆ ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์ ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปนี้ http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080
เนื้อสัตว์ เลือดสัตว์ ต้นเหตุของโรคมะเร็งกว่า 10 ชนิด
โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งกะเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม จากงานศึกษาวิจัยโดยทีมคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งชื่อก้องโลก โรคมะเร็งคร่าชีวิตชาวโลกปีละเกือบร้อยล้านคน และตัวเลขกำลังทีวีพรุ่งสุงในทวีปเอเซีย
ข้อมูลจาก ศูนย์โรคมะเร็งแห่งสหรัฐ The Vancouver Sun, Canada
Red, processed meats linked to prostate cancer ... Reuters November 6, 2009
Men who eat a lot of red meat and processed meats have a higher risk of developing prostate cancer than those who limit such foods, a large study of U.S. men suggests.
Researchers at the National Cancer Institute found that among more than 575,000 men they followed for nine years, those who ate the most red and processed meats had heightened risks of developing any stage of prostate cancer, or advanced cancer in particular.
The findings, reported in the American Journal of Epidemiology, add to a conflicting body of research on meat intake and prostate cancer risk. Because studies over the years have come to different conclusions, experts generally consider the evidence linking red and processed meats to the disease to be limited and inconclusive.
These latest findings do not settle the question. But they do suggest that processed red meats and high-heat cooking methods -- namely, grilling and barbecuing -- may be particularly connected to prostate cancer risk, according to Dr. Rashmi Sinha and her colleagues at the NCI.
For the study, the researchers followed 575,343 U.S. men between the ages of 50 and 71 who were surveyed about their diets -- including how much and what type of meat they typically ate, as well as the cooking methods they used.
The researchers used that information to estimate the levels of certain potentially cancer-promoting chemicals in the men's diets. Over the next nine years, 150,313 study participants developed prostate cancer and 40,419 died from the disease.
Overall, the researchers found, the 30 percent of men with the highest intakes of red meat, which in this study included beef and pork, were 22 percent more likely than those who consumed the least to develop prostate cancer. That's after a range of other factors, like smoking, exercise habits and education, were taken into account.
There was a stronger connection to advanced prostate cancer -- with that risk being almost one-third higher among those who ate the most red meat versus those who ate the least. Similar findings were seen with processed meat. But when the researchers broke the men's diet information down further, they found that red processed meats -- like bacon and red-meat sausage and hot dogs -- were related to higher prostate cancer risk, while white processed meats, like poultry cold cuts, were not.
When it came to cooking methods, the only one that was linked to prostate cancer was grilling/barbecuing, Sinha's team found. The finding is in line with the theory that meats cooked at high temperatures may be particularly linked to cancer because the cooking process produces certain chemicals -- including polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) and heterocyclic amines -- that are known to cause cancer in animals.
Giving further support to that idea, the researchers found that higher dietary levels of a PAH called benzo-alpha-pyrene were related to a higher risk of prostate cancer. A similar pattern emerged when the investigators looked at men's intake of nitrites and nitrates -- chemicals used to preserve and flavor processed and cured meats like ham, bacon and sausage.
In the body, nitrites and nitrates can promote the production of potentially cancer-promoting chemicals called nitrosamines. Taken together, Sinha's team writes, the findings point to potential mechanisms by which certain meats could promote prostate cancer. They also highlight the importance of studying the relationship between specific types of meat and prostate cancer risk, the researchers say.
Further studies, they conclude, are still needed to establish whether certain meats, and chemicals in those foods, are in fact risk factors for prostate cancer.
SOURCE: American Journal of Epidemiology, November 1, 2009. © Copyright (c) Reuters
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 13 กันยายน 2553, 23:32:08 » |
|
สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ...เข้ามาตามอ่านค่ะ...
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 22:44:33 » |
|
การดูแลหลัง และกระดูกสันหลัง ... ทำไม ? ไอ-จาม ห้ามก้มหลัง ! !
พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา
มนุษย์ทำงานที่่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิเตอร์ทั้งวัน และผู้ที่ชอบการออกกำลังกาย ทุกท่าน ... ต่อไปนี้จะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ส่วนใหญ่คนเรามักละเลย หรือไม่เคยรู้มาก่อน โดยเป็นการบรรยายของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย เรื่อง การดูแลสุขภาพ : ห่างไกลโรคข้อ - ปวดคอ ปวดหลัง และการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน ในสภาวะปกติ กระดูกคนเราจะมีทั้งการสร้าง และการทำลายเนื้อกระดูกพร้อมๆ กันไปตลอดเวลา โดยที่อัตราการสร้าง และการทำลายนี้จะมีพอ ๆ กัน จึงอยู่ในสมดุล และในสภาวะบางอย่างจะมีการกระตุ้นให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้น โดยที่การสร้างจะน้อยลง ก็จะเป็นปัจจัยให้กระดูกบาง โดยเฉพาะในคนสูงอายุ จนสุดท้ายกระดูกนั้นจะหักง่าย ๆ ทรุดง่าย ๆ จุดที่พบได้บ่อยคือ ที่ข้อมือ สะโพก และกระดูกสันหลัง
@ กระดูกสันหลัง ประกอบด้วย กระดูกคอ ทรวงอก เอว และก้นกบ เรียงต่อกันจากคอ ลงมาถึงก้นมีลักษณะแอ่น ( คอ ) โค้ง ( ทรวงอก ) แอ่น ( เอว ) โค้ง ( ก้นกบ ) ตามลำดับ หักลบกันแล้วจะเป็นเส้นตรง 1. กระดูกคอ เคลื่อนไหวได้ทุกทิศ คือ ก้ม เงย ตะแคงซ้าย ขวา หมุนซ้าย ขวา จึงทำให้สึกหรอ และปวดได้ง่ายกว่าที่อื่น สาเหตุที่ทำให้คอสึก คือ การนั่ง นอน ทำงาน ในท่าที่ไม่ถูกต้อง 2. กระดูกทรวงอก เคลื่อนไหวก้มไม่ได้ ได้แต่เอนกับหมุนบิดซ้ายขวา จึงไม่ค่อยเสื่อม 3. กระดูกเอว เคลื่อนไหวได้มาก คือ ก้ม และ เงย
@ หมอนรองกระดูก มีลักษณะประกบกันเฉยๆ โดยมีตัวยึด 4 จุด ตัวที่ยึดนี้เรียกว่า ข้อ ตรงกลางหมอนรองกระดูกเป็นศูนย์รวมประสาท เส้นประสาทจะโผล่ออกมาตามข้อเพื่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หมอนรองกระดูกจะสึกไปเรื่อยๆ ตามอายุ ถ้าตลอดชีวิตสึก 4 ซม. ถือว่าปกติ เช่นสูง 170 พอแก่อายุ 70-80 ปี ความสูงลดลงเหลือ 166 ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าเตี้ยลงปีละ 1 ซม. ถือว่าเป็นโรคกระดูกผุ หญิงวัย 55 ปีขึ้นไป กระดูกจะทรุดลงตามธรรมชาติ ตัวก็จะเตี้ยลง และพุงยื่น
@ เส้นประสาทคอ มี 8 คู่ ถ้าเกิดกระดูกคอเสื่อม จะเป็นต้นเหตุของอาการปวดตามที่ต่างๆ โดยคู่ที่ 1 จะไปที่หัว คู่ที่ 2 หลังหู กระบอกตา ขมับ คู่ที่ 3 ต้นคอ คู่ที่ 4 สะบัก คู่ที่ 5 บ่าและไหล่ คู่ที่ 6 ต้นแขน คู่ที่ 7 ปลายแขน และคู่ที่ 8 มือ
@ เส้นประสาทเอว มี 5 คู่ คือ คู่ที่ 1 เอว คู่ที่ 2 โคนขา คูที่ 3 หัวเข่า คู่ที่ 4 น่อง และคู่ที่ 5 เท้า การปรับปรุงท่าทางในกิจวัตรประจำวัน
ท่านอน ต้องเหมือนกับคนยืนตรง เวลานอนให้ใช้หมอนหนุนคอ จงจำไว้หมอนมีไว้หนุนคอไม่ใช่หนุนหัว หมอนที่ดีมีลักษณะตรงกลางบางกว่าซ้ายและขวา หากไม่มีหมอนจะใช้ผ้าขนหนูม้วนเป็นแท่ง แล้วรองหนุนคอให้พอดีก็ได้
นอนหงาย การนอนหงายจะทำให้หลังแอ่น วิธีแก้ต้องงอสะโพกและเข่า โดยมีหมอนรองใต้โคนขา หลังจะแบนเรียบติดที่นอน
นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดีที่สุด หลังจะตรง นอนตะแคงข้างใดก็ได้โดยกอดหมอนข้างใบใหญ่ ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอก่ายบนหมอนข้าง นอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ไม่ดี ห้ามนอนท่านี้เด็ดขาด เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่น ทำให้ปวดหลังระดับเอวมากขึ้น กระดูกเอว และคอเสื่อม สำหรับเด็กถ้าต้องการให้หัวทุย ให้เด็กนอนคว่ำได้ 3 เดือน หลังจากนั้นค่อยหัดให้เด็กนอนหงาย หัวก็ยังทุยอยู่
การลุกจากที่นอน และการเอนตัวลงนอน ห้ามสปริงตัวลุกขึ้นมาตรงๆ เพราะหลังจะสึกมาก ควรปฏิบัติดังนี้ " ถ้านอนหงายอยู่ให้งอเข่าขึ้นมาก่อน " ตะแคงตัวในขณะเข่ายังงออยู่ " ใช้ข้อศอกและมือยันตัวขึ้นในขณะที่ห้อยเท้าทั้ง 2 ข้าง ลงจากเตียง " ดันตัวขึ้นมาในท่านั่งตรงได้ โดยให้เท้าวางราบบนพื้น " ในท่าลงนอนให้ทำสวนกับข้างบนนี้
การดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ ห้ามนอนดู TV หรือนอนอ่านหนังสือ เพราะจะทำให้หมอนรองกระดูกคอสึก นั่งจะดีกว่า
การนั่ง " ควรนั่งเข้าให้สุดที่รองก้น " หลังพิงสนิทกับพนักพิง หลังจะตรง " เท้าวางบนพื้นได้เต็มเท้า " ส่วนสำคัญของเก้าอี้ - สูงพอดีเท้าวางราบบนพื้นได้ - ที่นั่ง รองรับจากก้นถึงใต้เข่า - พนักพิง เริ่มจากที่นั่งสูงถึงระดับสะบัก โดยทำมุม 110 องศากับที่นั่งรองก้น โต๊ะทำงาน ควรจะลาดเอียงเทเข้าหาตัวแบบโต๊ะสถาปนิก คอจะได้ไม่ต้องก้มอ่านหนังสือ ท่านั่งคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ดีด จอคอมพิวเตอร์ควรตั้งอยู่ตรงระดับหน้าเหมือนที่ตั้งโน้ตดนตรี และอยู่สูงพอดี ระดับตา จะได้มองตรงๆ ได้ ห่างประมาณ 2-3 ฟุต มีแผ่นกรองแสง คีย์บอร์ดควรอยู่ระดับเอว หรืออยู่เหนือตักเล็กน้อย ไม่ควรวางคีย์บอร์ดบนโต๊ะเพราะต้องยกไหล่ ทำให้ปวดไหล่ ท่านั่งของผู้บริหาร เก้าอี้ส่วนใหญ่ของผู้บริหารจะเอนไปข้างหลังได้ จึงจำเป็นต้องก้มคออยู่เสมอ ทำให้เหมือนกับนอนหมอนสูง วิธีแก้ ควรให้พนักพิงสูงขึ้นไปจนรองรับศรีษะได้ และควรจะให้บริเวณต้นคอนูนกว่าส่วนอื่น เพื่อรองรับกระดูกต้นคอด้วย หรือมิฉะนั้นให้นั่งเก้าอี้ที่เอนไม่ได้จะดีกว่า ลุกจากที่นั่ง ให้เขยิบก้นออกมาครึ่งหนึ่ง ก้าวเท้าออกไป มือยันที่ท้าวแขน แล้วลุกขึ้น
นั่งขับรถยนต์ " เลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยียบครัชเต็มที่ เข่าควรสูงกว่าสะโพก " หลังควรมีหมอนรองถ้าที่นั่งลึกเกินไปและพนักพิงไม่ควรเอนเกิน 100 องศา " ถ้าที่นั่งนุ่ม และนั่งแล้วก้นจมลงในเบาะ ต้องมีเบาะเสริมก้นด้วย
" การเข้านั่งรถยนต์ ให้เปิดประตู หันหลังให้เบาะนั่ง ลงนั่งตรงๆ แล้วจึงค่อยๆ หมุนตัวไปข้างหน้า พร้อมยกเท้าเข้ามาในรถทีละข้าง " การลงจากรถยนต์ ให้ทำย้อนทาง
การดันหรือผลักรถ หันหลัง ใช้ก้นดัน
การฉุดลาก หันหลังให้วัตถุที่จะฉุดลาก
ไอ-จาม ห้ามก้มหลังขณะไอจามเด็ดขาด เพราะเวลาไอจามจะมีแรงกระแทกมาก ให้ยืดหลังให้ตรง ใช้มือหนึ่งกดหลังไว้ อีกมือหนึ่งปิดปาก แล้วค่อยไอ หรือจาม แปรงฟัน ให้นั่งแปรง ห้ามก้มหลังแปรงฟัน
อาบน้ำ ให้นั่งอาบ เวลาจะถูขา ให้ยกขาขึ้นมาถู โดยไม่ต้องก้ม การยืนนานๆ ควรมีตั่งรองเท้า สูงประมาณครึ่งน่อง เพื่อยกเท้าขึ้นพักสลับข้างกัน ทั้งนี้เพราะเวลางอสะโพกและเข่า กระดูกสันหลังจะตั้งตรงไม่แอ่น หรืองอ ทำให้ยืนได้นานโดยไม่ปวดหลัง และช่วยพักขาเวลาเมื่อยขา เปลี่ยนสลับขาบนตั่งได้ ท่าบริหาร เป็นการป้องกันไม่ให้กระดูก เสื่อมเร็ว โดยมีหลักการคือทำอย่างไรให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงเท่าๆ กัน และออกแรงอย่างไรให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำท่าละ 10 รอบ ถ้าเกินจะทำให้กล้ามเนื้อเปลี้ย มี 6 ท่า ดังนี้ 1. กล้ามเนื้อหน้าท้อง 1.1 นอนหงาย งอเข่า 2 ข้าง มือสอดใต้คอ ยกหัวนิดนึงพร้อมเหยียดขาตรง นับ 1-5 1.2 นอนหงายขาซ้ายไขว่ห้าง มือสอดใต้คอ ยกข้อศอกและลำตัวขวาเข้าหาขาซ้ายที่ ไขว่ห้างอยู่ นับ 1-5 ทำทั้งซ้ายและขวา -3- 1.3 ยกขาลอยเหยียดตรง 1 ข้าง บิดสะโพก (ยักสะโพก) นับ 1-5 ทำทั้ง 2 ข้าง 1.4 ขมิบก้น นอนหงายกอดอก ขมิบก้นให้ก้นสูงขึ้นเล็กน้อย หลังแนบพื้น นับ 1-5 2. กล้ามเนื้อหลัง นอนหงายงอเข่า 2 ข้าง มือสอดใต้เข่า ดึงเข่าชิดหน้าอก นับ 1-5 3. กล้ามเนื้องอสะโพก ทำแบบท่ากล้ามเนื้อหลัง แต่งอเข่าข้างเดียว นับ 1-5 ทำทั้ง 2 ข้าง 4. กล้ามเนื้อเหยียดสะโพก นอนหงาย งอเข่าข้างหนึ่งไว้แล้วใช้ส้นเท้าอีกข้างหนึ่งกดเข่าที่งออยู่แล้วดันเอนมา จนชิดพื้น นับ 1-5 ทำสลับกัน
5. กล้ามเนื้อโคนขา นั่งกับพื้นงอเข่าข้างหนึ่ง ขาอีกข้างเหยียดตรง เอามือแตะปลายเท้าที่เหยียดตรง นับ 1-5 ทำทั้ง 2 ข้าง 6. กล้ามเนื้อน่อง ยืนหันหน้าเข้าหาโต๊ะ เอามือยันโต๊ะ งอเข่าหน้าไปข้างหน้า ขาหลังเหยียดตรง แอ่นตัวไปข้างหน้า นับ 1-5 ทำสลับข้าง
สรุปประเด็นสำคัญช่วงคำถาม-คำตอบ ที่นอน ควรนุ่มพอควร เวลานอนไม่จมมาก จมแค่ 1-2 ซ.ม. ควรเป็นที่นอนที่ใช้ใยกากมะพร้าวจะดีที่สุด เพราะโปร่ง อากาศผ่านได้ ราคาแพงประมาณ 8,000-10,000 บาท ยี่ห้อที่ดเช่น สายรุ้ง ของศรีมหาราชา ปัจจุบัน ปิดกิจการแล้ว เก้าอี้เหล็กไฟฟ้า ตัวละแสน เป็นกระแสแม่เหล็ก มีรังสีแม่เหล็ก เบต้า หรือแกรมม่า ทำให้เกิดมะเร็ง ใช้นวดกล้ามเนื้อไม่ได้ผล เป็นการหลอกลวง สายไฟฟ้าแรงสูง คนที่อยู่ใต้ไฟฟ้าแรงสูงในรัศมี 60 เมตร มีสถิติเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดสูง ต้องเกิน 100 เมตร ขึ้นไปจึงจะปลอดภัย การเล่นกอล์ฟ การบาดเจ็บจะเกิดจากการไดร์ฟ 99% อีก 1% บาดเจ็บจากสนาม การไดร์ฟกอล์ฟปกติไม่มีปัญหากับ กระดูกสันหลัง แต่ถ้าไดร์ฟ ติดต่อกันโดยไม่หยุด เชน มีเครื่องตั้งกอล์ฟ หรือบางรายตีโดนอิฐ ดิน ไหปลาร้าหักได้ คนที่ผ่าตัดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทสามารถเล่นกอล์ฟได้โดยใส่เสื้อพิเศษ ป้องกัน คนที่ผ่าตัดหมอนรองกระดูกที่ต้นคอโดยเอากระดูกเชิงกรานมาต่อ ข้อกระดูกคอจะหายไป 1 ข้อ และเชื่อมกระดูกแล้ว สามารถออกกำลังกายได้
การเสื่อมของกระดูก จะเกิดขึ้นมากในขณะที่เราอยู่เฉย ๆ เช่น นอน นั่ง เพราะกินเวลานาน แต่ถ้าเคลื่อนไหวการเสื่อมจะน้อย กว่าเพราะกินเวลาน้อย โยคะ การฝึกโยคะมีผลดีต่อการฝึกลมหายใจ และได้สมาธิ แต่ไม่ถือเป็นการออกกำลังกาย และบางท่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่่เสี่ยงอันตรายต่อกระดูก เพราะเกินกว่าธรรมชาติ เช่น การทรงตัวบนพื้นด้วยศรีษะ การแอ่นหลัง ทำให้กระดูกหลังเสื่อมมาก
ไท้เก๊ก เป็นการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ อาจารย์เคยทำวิจัยเกี่ยวกับ ชี่กง คือการออกกำลังกายตามมโนภาพ เช่น วาดมโนภาพว่ายกของหนัก น้ำหนักเท่าไรก็ได้แล้วแต่จะนึก ) โดยใช้คน 30 คน เป็นเวลา 3 เดือน ได้ผลคือเหงื่อออก และกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมาก นอกจากนี้อาจารย์มีโครงการจะทำวิจัยกับคนกลุ่มใหญ่ขึ้น โดยเน้นผลใน เรื่องหัวใจ ความดันโลหิต และชีพจร เก้าอี้ไฟฟ้านวดทั้งตัว ไม่มีประโยชน์เสียเงินเปล่า เพราะนวดทั้งตัว แต่เราต้องการเฉพาะจุด และไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ แต่รักษาที่ปลายเหตุ เช่นเดียวกับบริการของหมอนวด นวดวันนี้สบาย พรุ่งนี้ปวดอีกแล้ว ควรรักษาที่ต้นเหตุด้วยวิธีการที่ถูกต้อง การดึงคอ คือการดึงเอ็นที่ยึดอยู่ให้ห่างออก คนที่ข้อต่อกระดูกหลังยุบ รักษาโดยการดึงคอได้ การดึงคอ มีข้อห้าม 3 กรณีคือ กระดูกหัก กระดูกเชื่อมต่อกันหมด หรือเป็นโรครูมาตอยด์ ทั้งนี้ต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญวินิจฉัยก่อนว่าไม่ได้เป็น 3 โรคที่กล่าว และควรกระทำโดยผู้ชำนาญการจึงจะปลอดภัย
จ็อกกิ้ง และเต้นแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่หนัก และมีผลต่อกระดูกมาก ทำให้ข้อเสื่อมได้ง่ายกว่าการเดิน ยกตัวอย่าง การเดิน น้ำหนักขาที่เราวางบนพื้นเท่ากับน้ำหนักขา เช่น ขาหนัก 10 ก.ก. เวลาเดินจะเกิดแรงกระแทกเท่ากับ 10 ก.ก. แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักตัว 60 ก.ก. วิ่ง 3 ก.ม./ช.ม. ขณะวิ่งไปข้างหน้า 2 ขาจะลอยจากพื้นแรงกระแทกจะคูณ 3 เท่ากับ 180 ก.ก.
การวิ่งทำให้กระดูกเสื่อมมากกว่าการเดิน ถ้าอยากถนอมกระดูกและข้อให้เดินดีกว่า การวิ่งมีข้อดีทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง แต่มีข้อเสียคือขาพังเข่าพัง ขณะวิ่งห้ามหยุดทันที เพราะเลือดจะตกไปที่ขาทำให้หัวใจวายได้ แม้แต่บิดาแห่งจ็อคกิ้งก็ยังหัวใจวายคาที่ ดังนั้นในการออกกำลังกายต้องเลือกท่าบริหาร พื้นลู่วิ่งและรองเท้าที่เหมาะสม การออกกำลังกาย ต้องคำนึงถึงวัย และความเหมาะสมกับตัวเรา ในวัยหนุ่มสาวออกกำลังกายโดยการวิ่งได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นๆ ต้องเปลี่ยนให้เบาลง เป็นว่ายน้ำ เดิน พออายุ 80-90 ปี แค่ยืนแกว่งแขน หรือรำมวยจีนก็พอ ขอให้คำนึงถึงสายกลางเพื่อสุขภาพ นั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิ นั่งอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เกิดสมาธิดีที่สุด ควรนั่งเก้าอี้ดีที่สุด การรักษาโดยหมอแผนโบราณ ที่ดึงกระดูกปุ๊บแล้วเข้าที่ มีความเสี่ยงสูง และไม่มีใครรับรองผล ที่ดึงแล้วหายก็มี แต่ที่ดึงแล้วเป็นอัมพาต หรือกระดูกหักก็มี ท่าออกกำลังกายโดยการก้มเอามือแตะเท้า เป็นท่าที่อันตราย ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อม นิ้ว ห้ามหักหรืองอ ให้ดึงได้อย่างเดียวคือดึงตรงๆ จะเกิดเสียงดังเป๊าะ ในข้อนิ้ว จะลดแรงกดดันทำให้สบายขึ้น
การนั่งซักผ้านานๆ จะทำให้ปวดหลัง ควรนั่งเก้าอี้ และวางกาละมังผ้าบนโต๊ะ หรือยืนซัก จะทำให้ไม่ปวดหลัง การหยิบของที่พื้น ห้ามก้มเด็ดขาด ให้ย่อเข่าลงแล้วหยิบ ถ้าของหนัก ให้ย่อเข่าแล้วหยิบของมาอุ้มไว้กับอก แล้วลุกขึ้น
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 22:46:59 » |
|
8 วิธี เพิ่มอายุยืนยาวขึ้น 8 ปี
( จาก นิตยสารสุขภาพดี ) เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
คนเราอยากมีอายุยืนยาวด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็อยากอยู่กับครอบครัว และคนที่ผมรักไปนานๆ แล้วทำยังไงถึงจะมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพที่ดี ผมมีวิธีมาบอกครับ
1. อายุยืนยาวขึ้น 1 ปี ด้วยการกินดาร์กช็อกโกแลต
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกาบอกว่าถ้าเรากินดาร์กช็อกโกแลตบ่อยๆ หรืออย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง อาจจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีก 1 ปีเลย เพราะว่าในดาร์กช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำให้เลือดไม่ข้นหนืดจนเกินไป เลือดเลยไหลได้สะดวก ไม่ไปติดหรือกระแทกหลอดเลือดมาก จึงไม่เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เส้นเลือดก็ไม่อุดตัน
2. อายุยืนยาวขึ้น 2 ปี ด้วยเพศสัมพันธ์ที่ดี
มีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แล้วดีครับ ช่วยเพิ่มอายุได้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่าเป็นเพราะมันจะมีสารที่หลั่งออกมาหลังจากที่เราถึงจุดสุดยอด ที่ทำให้คลายเครียดได้ดีมาก และจะทำให้เรารู้สึกสบายตัวร่างกาย และหัวใจเราก็ดีขึ้น ฮอร์โมนคอร์ติโซนก็จะหลั่งออกมาน้อย ผมเคยอ่านงานวิจัยอีกอันที่เขาศึกษากับคนออสเตรเลีย 2,338 คน พบว่าการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ หรือช่วยตัวเองสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์
3. อายุยืนยาวขึ้น 3 ปี ด้วยการกินถั่ว
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน มหาวิทยาลัยโลม่าลินดาที่แคลิฟอร์เนีย วิจัยพบว่าในถั่วจะมีไขมันโอเมก้า3 สารต้านอนุมูลอิสระ ใยอาหารเยอะไขมันอิ่มตัวน้อย แคลอรีน้อย ทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกับหัวใจ แต่ต้องเลือกแบบไม่มีเกลือนะครับ
4. อายุยืนยาวขึ้น 4 ปี ด้วยการดื่มไวน์
นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชช์ ให้ดื่มไวน์วันละครึ่งแก้ว จะทำให้ชีวิตเรายืนยาวได้ถึง 4 ปี เพราะในไวน์จะมีสารโพลิฟิโนลิคคอมพาวน์ส ( polyphenolic compounds ) ซึ่งสารนี้จะทำให้เลือดเราไม่มีการเติบโตของไขมัน พอเยื่อไขมันไม่สามารถเติบโตได้ เส้นเลือดเราจะสะอาดใสอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตะกอนตกค้าง หรือมีไขมันมาเกาะผนังหลอดเลือด
5. อายุยืนยาวขึ้น 5 ปี ด้วยการเล่นกอล์ฟ
อาจจะมีหลายคนที่เล่นกอล์ฟกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าทำไมเล่นกอล์ฟแล้วทำให้อายุเรายืนยาวขึ้นได้ นั่นเพราะการเล่นกอล์ฟทำให้เราเดินครับ เล่นกอล์ฟ 18 หลุม จะทำให้เราต้องเดินถึง 6-10 กม. เลยครับ แล้วการเดินทำให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้ดี เป็นการออกกำลังกายแบบ Low intensity คือการออกกำลังกายแบบไม่หนัก แต่หัวใจเต้นเร็ว และใช้ออกซิเจนเยอะมาก ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วการตีกอล์ฟทำให้เราไม่เบื่อที่จะออกกำลังกายด้วย
6. อายุยืนยาวขึ้น 6 ปี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
กินทุกๆ มื้อเลยนะครับ ให้เรื่องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ใช่วันนี้พิเศษ ฉันจะไปกินอาหารเพื่อสุขภาพ นานๆ กินทีแบบนั้นไม่ดีแน่ๆ แล้วมีการวิจัยจากฮอลแลนด์บอกว่าการกินปลา เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันมะกอก กระเทียม คาร์โบไฮเดรตที่ดีอย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เป็นประจำจะทำให้ไขมันในเลือดน้อยลง สุขภาพร่างกายดีขึ้น โรคมะเร็งกับเบาหวานก็จะเกิดได้ยากขึ้น แล้วถ้าไม่รู้ว่ามีอาหารอะไรอีกที่ดีต่อสุขภาพ ก็ดูจากสุขภาพดีนี้ก็ได้หาง่าย ไม่แพงด้วย
7. อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี ด้วยการควบคุมน้ำหนัก
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ศึกษาพบว่าถ้าคุณสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานได้โดยตลอด คุณอาจจะเพิ่มชีวิตได้ถึง 7 ปีเลย หรือหากตอนนี้ใครกำลังน้ำหนักตัวเกินอยู่ก็รีบลดเลยครับ เพราะปล่อยให้น้ำหนักมากๆ ไม่ดี กระดูก และไขข้อต้องรับน้ำหนักเยอะมากก็จะมีปัญหาได้ แล้วก็เสี่ยงกับการเกิดโรคหลายโรคด้วย แต่ที่ต้องระวังด้วยคืออย่าดูแค่ตัวเลขของน้ำหนักเท่านั้น ให้ดูไขมันด้วย เพราะคนผอมหลายคนเหมือนกันที่น้ำหนักน้อยแต่ไขมันเยอะ นั่นก็สุขภาพไม่ดีได้ง่ายเหมือนกัน
8. อายุยืนยาวขึ้น 8 ปี ด้วยการหัวเราะบ่อยๆ
การที่เราหัวเราะ ฮอร์โมนคอร์ติโซน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจะหลั่งน้อยลง ทำให้เรามีความสุข ผ่อนคลายไม่เครียด เพราะสารเคมีที่ไม่ดีในร่างกายจะไม่หลั่งออกมาเลย แล้วจะมีสารเคมีดี เช่น เอ็นโดรฟิน อะดรีนาลีน หลั่งออกมาแทน ก็พยายามดูหนังตลก อยู่กับเพื่อนให้เยอะๆ นะครับ จะได้หัวเราะ แค่คุณหัวเราะวันละ 15 นาที อาจจะทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นอีก 8 ปีเลยนะครับ
รู้วิธีแล้วก็ลองเอาไปทำกันดูนะครับ ผมเองก็เริ่มทำแล้วเหมือนกัน
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2553, 23:29:42 » |
|
ตามมาอ่านเรื่องดีๆ มีประโยชน์ค่ะ พี่เจี๊ยบ ...
|
|
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 12:02:18 » |
|
พี่เจี๊ยบ ขราาาา ... หม่ำเสร็จ รอข้าวย่อย จะรีบไปออกกำลังกายล่ะค่ะ กลัวจะชราค่ะ ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2553, 21:35:10 » |
|
สนับสนุนน้องอ้อยค่ะ
หมูยอ ใส่สารกันบูดแทบทุกยี่ห้อ
นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา
ตะลึง ! ! พบ" หมูยอ " แทบทุกยี่ห้อใส่ " สารกันบูด " เกินมาตรฐาน ที่อ้างว่าขายหมดทุกวัน ยิ่งต้องระวัง
ตรวจสอบพบ " หมูยอ " แทบทุกยี่ห้อใส่ " สารกันบูด " เกินมาตรฐาน โดยเฉพาะที่อ้างขายหมดทุกวัน ยิ่งต้องระวังให้หนัก แนะนำให้ลวกก่อนทานทุกครั้ง เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้
" หมูยอ " นับเป็นอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่าย เพราะถูกพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถส่งขายไปทั่วประเทศ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องฝากฝังให้เพื่อนที่ไปเที่ยวภาคเหนือ หรืออีสานซื้อมาฝาก ด้วยเหตุนี้ หมูยอจึงจำเป็นต้องผสม " สารกันบูด " เพราะมีส่วนผสมหลักเป็น " เนื้อหมู " ที่นำมาปั่นให้ละเอียด และนำไปผสมเครื่องปรุงตามสูตรใครสูตรมัน ก่อนที่จะนำมาตีให้เหนียวจนสามารถปั้นเป็นแท่ง จากนั้นจึงทำให้สุก
แม้จะสุกอยู่แล้ว แต่อากาศบ้านเราที่มีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องผสมสารกันบูดลงไปอยู่ดี โดยส่วนใหญ่นิยมใช้ " กรดเบนโซอิค " และ " กรดซอร์บิก " เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค
การผสมสารกันบูด 2 ชนิดข้างต้นไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เพราะกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้ แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค เราจึงไปเดินตลาด และซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อซื้อหมูยอที่วางขายอยู่ทั่วไป 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ยี่ห้อ เจ๊หงษ์ หมูยอ, เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง, เวียงเหนือ หมูยอ, บ้านไผ่ หมูยอ และส.ขอนแก่น หมูยอ นอกจากนี้ยังซื้อหมูยอจากตลาดดังเมืองเชียงใหม่มาอีก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ, วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ และสมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร ซึ่งทั้ง 3 ยี่ห้อดังกล่าว ไม่ได้ระบุวันหมดอายุ เพราะแม่ค้าอ้างว่า " ขายหมดวันต่อวัน "
ผลการทดสอบปริมาณสารกันบูด
- พบสารกันบูดในหมูยอทุกยี่ห้อ
- หมูยอยี่ห้อ เจ๊หงษ์ หมูยอ, เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง, ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ, วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ และสมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร มีปริมาณสารกันบูดมากเกินมาตรฐาน ตามรายละเอียด ดังนี้
1. วิมลรัตน์ หมูยอพริกไทยดำ พบกรดเบนโซอิค 3931.83 มก./ กก. 2. สมพัตร หมูยอ ตำรับอุดร พบกรดเบนโซอิค 2969.75 มก./กก. 3. เจ้าสัว เตียหงี่เฮียง พบกรดเบนโซอิค 2486.80 มก./กก. 4. เจ๊หงษ์ หมูยอ พบกรดเบนโซอิค 2511.17 มก./กก. 5. ป้าย่น หมูยอตำรับจีนไหหลำ พบกรดซอร์บิก 1000.84 มก./กก
- หมูยอยี่ห้อ เวียงเหนือ หมูยอ, บ้านไผ่ หมูยอ และส.ขอนแก่น หมูยอ พบสารกันบูดไม่เกินมาตรฐาน แต่ยี่ห้อเวียงเหนือ หมูยอ มีปริมาณฉิวเฉียด คือ 915.89 มก./กก.
กินหมูยออย่างไรให้ปลอดภัย
ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นครราชสีมา เคยศึกษาหาวิธีเหมาะสมในการลดปริมาณกรดเบนโซอิคในหมูยอ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยทดลองลวกหมูยอ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหมูยอที่ยังไม่ได้ลวก พบว่าหมูยอที่ถูกลวกในน้ำเดือดจะมีปริมาณกรดเบนโซอิคลดลง ส่วนจะลดมาก หรือน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของน้ำที่ใช้ลวก กับหมูยอ
ดังนั้น การที่เราแกะหมูยอทานทันที โดยไม่ลวกเสียก่อน จึงไม่ควรกระทำอีกต่อไป แต่ควรเจียดเวลาสักนิด ลวกหมูยอก่อนรับประทานทุกครั้ง
********************************** ที่มา นิตยสาร " ฉลาดซื้อ " ฉบับที่ 95 เขียนโดย กองบรรณาธิการฉลาดซื้อ
|
|
|
|
nobizero
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553, 00:17:45 » |
|
ขอบคุณมากๆครับ ที่นำบทความมีประโยชน์มาให้ทราบกัน
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:28:27 » |
|
ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำชมเชย และความสนใจที่ได้แวะเวียนมาอ่าน ...
นมแคลเซียมสูง
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
' นมแคลเซียมสูง ' กำลังเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุ และมีราคาแพงกว่า ' นมแบบปกติ ' จึงเป็นที่มาของคำถามว่า เราจำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อซื้อ ' นมแคลเซียมสูง ' จริงหรือ ? พบ ' ความจริง ' ของการตลาด ' นมแคลเซียมสูง' ได้ที่นี่ นมวัว เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ เพราะในนมสด 1 แก้ว ( 200 มิลลิลิตร ) จะมีแคลเซียม 240 มิลลิกรัม ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูง จึงมีคำถามที่ควรหาคำตอบว่า ... เหตุใดยังต้องมีนมแคลเซียมสูงออกมาวางขายอีก ? ! ? ในปัจจุบันจะสังเกตได้ว่า บรรจุภัณฑ์ของนมแคลเซียมสูงมีลักษณะดึงดูดผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารประชาสัมพันธ์ได้ผลดี แม้แต่นมถั่วเหลือง ที่ถูกโจมตีว่าแคลเซียมต่ำ ก็หันมาเติมแคลเซียมเพื่อลดจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันในตลาด ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าเอะอะอะไร ก็ต้อง ' แคลเซียมสูง ' ไว้ก่อน แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจจริงๆ ว่า การที่นมมีแคลเซียมสูงนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการที่ ' ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ ' จากการสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง เราได้เลือกหยิบนมพร้อมดื่ม และนมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม แบ่งเป็นนมโค 3 ยี่ห้อ ได้แก่ แอนลีน นูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย และโฟรโมสต์ แคลซีแม็กซ์, นมถั่ว เหลือง 4 ยี่ห้อ ได้แก่ แลคตาซอย ดีน่า ไวตามิลค์ และวีซอย ซึ่งล้วน อ้างว่ามี ' แคลเซียมสูง' มาทดสอบหาปริมาณแคลเซียม
จากการทดสอบ พบว่า ...
- นมโค ยี่ห้อ แอ นลีนและโฟรโมสต์ แคลซีแม็กซ์ มีปริมาณ แคลเซียมสูงกว่านมธรรมดาจริง ขณะที่ยี่ห้อ นูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่านมโคธรรมดา
- ส่วนนมถั่ว เหลืองนั้น มีทั้งแบบที่มีแคลเซียม ' ต่ำกว่า ' ' สูงกว่า ' และ ' ใกล้เคียง ' กับนมโคธรรมดา ทั้งนี้ยี่ห้อ วีซอย สูตรน้ำตาลน้อย มี แคลเซียมมากที่สุด ที่ 173 มก./ 100 มล. ส่วน แลคตาซอย มี แคลเซียมน้อยที่สุด ที่ 66 มก./ 100 มล. - ปริมาณแคลเซียมส่วนใหญ่มีความใกล้เคียงกับฉลากโภชนาการที่ระบุไว้ข้างกล่อง ยกเว้น ยี่ห้อนูต้าแม็กซ์ ฟาร์มโชคชัย ทั้ง 2 สูตร ที่มีปริมาณ แคลเซียมที่แท้จริงน้อยกว่าปริมาณที่ระบุในฉลากค่อนข้างมาก ส่วนนมถั่วเหลืองที่มีแคลเซียมน้อยกว่าที่ฉลากระบุ คือ ดีน่า สูตรผสมน้ำแครอท และวีซอย สูตรไม่มีน้ำตาล แคลเซียมสูง ...ไม่สำคัญ เท่าการดูดซึม จากการสอบถาม ผศ.ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทราบว่า การดื่มนม หรือนมถั่วเหลืองแคลเซียมสูง ไม่มีดีไปกว่าการดื่มนมธรรมดา เพราะแม้นมจะมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าจริง แต่ร่างกายของเราจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้ทั้งหมด สืบเนื่องจากกระบวนการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย ซึ่งหากบริโภคแคลเซียมปริมาณมากในครั้งเดียว ร่างกายจะดูดซึมน้อย แต่หากทยอยบริโภคทีละนิด ร่างกายจะดูดซึมได้มากขึ้น นอกจากนี้ กระบวนการดูดซึมแคลเซียมยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การดื่มนมขณะท้องว่าง ซึ่งร่างกายจะดูดนำไปใช้ได้น้อยกว่าตอนที่ท้องไม่ว่าง รวมทั้งแคลเซียมไม่ได้มีแค่ในนมเท่านั้น อาหารประเภทอื่นๆ ก็มีแคลเซียมเช่นกัน เช่น เต้าหู้แข็ง ถั่ว งา ปลาเล็กปลาน้อย ปลากรอบ ปลาป่น กะปิด กุ้งแห้ง ผักคะน้า และผักกวางตุ้ง ความจริงเกี่ยวกับ ' แคลเซียม ' และความคลุมเครือในโฆษณา - การระบุ แคลเซียม- 10 ที่มีขนาดเล็กกว่าแคลเซียมธรรมดา 10 เท่า ซึ่งเรามัก เข้าใจว่าจะสามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ดีกว่านั้น ความจริงแล้วการดูดซึมของร่างกายจะเป็นไปตามกระบวนการที่ระบุไว้ข้างต้น นอกจากนี้ ความจริงแล้วขนาด ของแคลเซียมมีเพียงขนาดเดียวเท่านั้น ! ! - การที่ ระบุว่า การบริโภคนมแคลเซียมสูงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่ ต้องบริโภค ' วิตามิน เค ' ให้สูงตามไปด้วย โดยอ้างว่าวิตามิน เค อาจมีส่วนช่วยในการป้องกันการสลายตัวของแคลเซียมนั้น ความจริงแล้วร่างกายเราสามารถผลิตวิตามิน เค ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องบริโภคจากภายนอก
- การที่ ระบุว่า นมแคลเซียม 1 กล่องมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าปกติ 4 เท่านั้น เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็ญสำคัญคือเรื่องการดูดซึมเข้าร่างกาย - การที่ ระบุว่า มีการผสม ' โอลิโก ฟรุกโตส ' ในนมแคลเซียมสูง โดยอ้างว่า ' โอลิโก ฟรุกโตส ' อาจช่วยเรื่องการดูดซึมแคลเซียมนั้น ความจริงจากการวิจัยพบ ว่าเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน และจำเป็นต้องได้รับการวิจัยต่อไปอีกมาก
------------------------------------------- ที่มา นิตยสาร ′ ฉลาดซื้อ ′ ฉบับที่ 90 โดย กองบรรณาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
|
|
|
|
|
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
ออฟไลน์
รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553, 16:14:28 » |
|
เพื่อนนักเรียนเก่ารุ่นเดียวกับผมได้แฟ๊กส่งเรื่องเกี่ยวกับการปฎิบัติตัวเมื่อเกษียณงาน ซึ่งเขียนโดย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เคยเขียนไว้ในนิตยสาร ( จำชื่อไม่ได้ ) ฉบับหนึ่ง เวียนส่งให้เพื่อนๆ รุ่นเดียว
ได้อ่านเล่น ผมเห็นว่าอาจจะมีประโยชน์กับชาว cmadong ( ชาย) ที่ตอนนี้เริ่มทยอยเกษียณงานกันแล้ว
จึงนำมาแบ่งกันอ่านเล่นบ้าง
" เผลอเดี๋ยวเดียว คนรุ่นผมก็จะอายุ 65 ปีแล้ว ตอนผมเด็กๆ ความแก่นั้นวัดกันที่อายุ 60 จะมีงานแซยิด
ใครมีหลานๆ ก็จะมาร่วมอวยพร แล้วมีการเชิญคนมามีการรดนํ้า ซึ่งผมผ่านแซยิดมาแล้วโดยเพื่อนๆ และลูก
ศิษย์จัดงานเลี้ยงให้
พอเราแก่ลง อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีสุขภาพดีทั้งกาย และใจ คือร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้
เจ็บและอารมณ์ดี คนสูงอายุหลายคนต้องการอยู่ถึง 100 ปี มีเรื่องตลกว่าคนคนหนึ่งร่างกายแข็งแรงมาก
แต่พอแก่ตัวเข้าก็หลงลืมเป็นอัลไซเมอร์ สิ่งที่ " แข็ง " ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะลืมไปว่ามีไว้เพื่อประโยชน์อันใด
ผมมีอาจารย์ฝรั่งท่านหนึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านสอนผมว่าอย่าดื่มวิสกี้ห่วยๆ, กินเศษเนื้อ ( ที่ใส่ในแฮม
เบอร์เกอร์ ) และต้องสวมรองเท้าดีๆ อย่าทำงานมาก แต่ควรมีงานต้องออกนอกบ้านสัปดาห์ละครั้งก็พอ
และควรเป็นงานที่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ซึ่งไม่ค่อยมีคนมาปรึกษา
อาจารย์ผมอยู่บ้านหลังเบ้อเริ่ม และอยู่คนเดียว แต่มีคนแวะซื้อของส่งมาให้อาทิตย์ละครั้ง เวลาออกไป
นอกบ้านตอนกลางคืน ก็จะมีไฟอัตโนมัติเปิดไว้ให้ขโมยนึกว่ามีคนอยู่บ้าน อาจารย์ผมยังทำอาหารเองวันศุกร์
ก็จะปิ้งปลา เวลาทำอาหารก็จะดื่มมอลส์วิสกี้ 2 เป๊ก มีเนยชั้นดีแกล้ม ท่านจะออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน
ทุกวัน แล้วนั่งดูโอเปร่า และอ่านหนังสือ " ขนาดแก่ๆ อายุ 92 แล้วก็ยังจีบสาวอายุ 60 ได้ "
พอผมแก่ลงสิ่งแรกที่ทำคือ ลดกิจกรรมทุกอย่างลง แม้การอ่านหนังสือก็อ่านน้อยลงดูทีวีมากขึ้น งานที่ทำ
ก็เลือกที่ไม่ซีเรียสมาก ผมมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน แต่ก็มีช๊อคโกแล๊ต และขนมนานาชนิดสำหรับคนเบา
หวานกิน ผมกินผลไม้ทุกวัน การแก่อย่างมีความสุขคือ แก่โดยไม่เป็นภาระกับคนอื่น และรู้จักหาความสุขมา
ใส่ตัว ผมลองคิดดูว่า " แก่อย่างมีความสุข " นั้นทำอย่างไร
1 ) ออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอ และเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย เช่น เดิน และว่ายนํ้า เป็นต้น
นอกนั้นถ้าเล่นกอล์ฟได้อาทิตย์ละครั้งก็ดี ผมเล่นกอล์ฟอาทิตย์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หากมีวันหยุดยาว
5-6 วันก็เล่นทุกวัน เล่นคนเดียวก็ได้
2 ) เลือกกินอาหารที่มีคุณภาพ แม้จะแพงหน่อย เช่น ผักสดๆ เนื้อดีๆ
3 ) รู้จักนั่ง นอน เฉยๆ บ้าง อย่างน้อยวันละ 2-3 ช.ม. ( ไม่นับเวลานอนหลับ )
4 ) อยู่บ้านให้มากๆ ทำบ้านให้น่าอยู่ อย่างผมลงทุนทำโรงหนังขนาดเล็กไว้ห้องใต้ดิน ฟังเพลงก็ได้
ดูหนังก็ได้ การอยู่บ้านทำให้เราแต่งกายตามสบายได้
5 ) เป็นคนลืมง่าย โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดี เก็บไว้แต่เรื่องดีๆ
6 ) รักษาอารมณ์อย่าโกรธง่าย ปล่อยเลยตามเลยเสียบ้าง ใครจะด่าว่าอย่างไรก็ไม่ถือสา
7 ) คบคนให้น้อยลง พบคนที่เรารักชอบจริงๆ เท่านั้น เพราะเราเหลือเวลาน้อยแล้ว
8 ) หลีกเลี่ยงการรับตำแหน่ง หรืองานที่มีคนเชิญไป ต้องใจแข็ง
9 ) ให้มากกว่ารับ เราแก่แล้ว ควรเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ
10 ) หาเวลาว่างไปที่ที่เราชอบ อาจเป็นต่างจังหวัด หรือต่างประเทศก็ได้
11 ) หาเวลาพบ กินอาหาร หรือเล่นกีฬากับเพื่อน และลูกบ้าง
12 ) หากยังอยากให้ชีวิตมีการท้าทายอยู่ ก็ทำอะไรที่เป็นการแข่งขันกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น
เช่น ลดแต้มต่อกอล์ฟลง ( จะส่งผลให้กินเงินเพื่อนได้ 20-30 บาท )
การเป็นคนแก่ที่ไม่แก่ได้นั้น จะต้องรู้จักคบหาสมาคมกับคนกับคนอายุน้อยๆ บ้าง ถ้ามีหลานก็
คุยกับหลานบ่อยๆ จะได้ไม่เป็นคนขวางโลก
ผมไม่ขออยู่ถึงร้อยปี แค่ 80 ปีก็พอแล้ว แต่ถ้าอายุ 80 ยังตีกอล์ฟได้ และฟันฟางยังดีอยู่ก็พอ
ใจแล้ว ... # อ่านแล้ว ทำได้มากน้อย เพียงใด ก็ขอให้ทำบ้าง #
|
|
|
|
|