Jiab16
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2551, 01:58:49 » |
|
แป้งโรยตัว
พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา
หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัว เพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้น และจุดซ่อนเร้น ซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่าช่วยให้แห้งสบายจากความชื้น โดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้
แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม ? ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร ? คำว่า “ แป้งฝุ่น “ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ hydrate magnesium silicate แต่มันอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรต์ ( chlorite ) ร่วมด้วย เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสาน และดูดซึมซับความชื้น ทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียน ลื่น ไม่ดูดติดกัน เป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยา และเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ
เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้ว จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่ ? อันตรายต่อสุขภาพปอด เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบ และตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้ แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส ( Asbestos Fibers ) ผสมอยู่ด้วย แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น ไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นอันตรายต่อสุขภาพรังไข่ เพราะการใช้แป้งที่ก้น กับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง
ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970 มีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่ ? ก็มีคนทำการค้นคว้า และย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า
หลังจากปี ค.ศ. 1973 ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัว และเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส ( เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด และมะเร็งที่เยื่อบุในช่อง ปอด และช่องท้อง ) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น
สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศ และทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว ( epithelial cancer ) โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกาย ผ่านช่องคลอด มดลูก และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค ( สารอนินทรีย์ ) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัว และเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด ( corn starch ) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค ( สารอินทรีย์ ) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่
แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่ ? แป้งโรยตัว และเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ ตามรายงานทางการแพทย์
ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์ และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้ง หรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชิน ทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็น และไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อน แล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม และผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้น หรืออวัยวะเพศ ให้สังเกต และดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรด หรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้
เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่าควรใช้แต่น้อยๆ ถ้ารู้สึกไม่สบาย และอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้น ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อน เพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย
สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบเทแป้งใส่อุ้งมือ และทาไปยังบริเวณก้น และอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ
ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่ และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอด และปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ
ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก
โดย ... พญ.นิศานาถ ธนะภูมิ - สูตินรีแพทย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 13 กันยายน 2551, 10:22:12 » |
|
อันตราย ! ฝาครอบแก้วชาไข่มุก ... หยุดลมหายใจ
พิเชษฐ์ - เภสัช 16 ... ส่งมา
โปรดอ่าน สำคัญมาก โดยเฉพาะผู้นิยมทานน้ำปั่นใส่ถ้วยพลาสติด ที่มีฝาครอบพลาสติดและใช้หลอดดูด เตือนลูก-หลานถึงอันตรายด้วย
... ปุ๊ ! เสียงหลอดกาแฟอันโตกระแทกเจาะฝาครอบแก้วชาไข่มุก เศษฝาพลาสติกแผ่นกลมขนาดเท่าปลายหลอดตกลงสู่ก้นแก้ว ฉันดูดเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างหิวกระหาย และกระดกแก้วกินน้ำแข็งจนเกลี้ยงตามความเคยชิน เมื่อจะทิ้งแก้วลงถังขยะ ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเศษฝาพลาสติกอยู่ในแก้วเหมือนทุกคราว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก สักพัก รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ติดอยู่ในคอ แม้จะพยายามล้วง และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้อาเจียน แต่สิ่งนั้นก็ไม่ยอมหลุดออกมา ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เริ่มติดขัด อาจารย์และเพื่อน ๆ จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หลังจากรอหมออย ู่เกือบสองชั่วโมง หมอก็ให้ลองกลืนน้ำดู ปรากฎว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่จริง ตามด้วยการเอกซเรย์ ซึ่งสูญเปล่า เพราะไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมนั้นเลย จึงตัดสินใจให้วางยาสลบเพื่อส่องกล้องตรวจหาต้นเหตุ ระหว่างนั้นฉันยังรู้สึกตัวดีอยู่ทุกอย่าง จนกระทั่งหลังวางยาสลบ ท่อส่องทางเดินอาหารขนาดใหญ่ประมาณท่อประปาขนาดเล็ก สอดจากปากผ่านลงไปตามทางเดินอาหาร แต่ไม่รู้ด้วยโชคร้ายของฉัน หรือด้วยความประมาทเลินเล่อของใคร แทนที่เจ้าท่อนี้จะเป็นอุปกรณ์ในการตรวจเพื่อช่วยชีวิตฉัน หลังการตรวจมันกลับทำให้ฉันรู้สึกปวดแน่นหน้าอก และหลังอย่างสุดจะบรรยาย เมื่อฟื้นจากยาสลบ แม่บอกว่าฉันปากซีด ตัวเขียว และไข้ขึ้น ผิดกับเมื่อตอนก่อนส่องกล้องราวกับคนละคน จนแม่ใจหาย รีบตามหมอกลางดึก
การกลืนแป้งเพื่อเอกซเรย์เริ่มขึ้น ผลปรากฎว่าหลอดอาหารทะลุ ต้องผ่าตัดด่วน แต่แม่ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่ค่าผ่าตัดที่สูงลิบลิ่วของโรงพยาบาลเอกชนเลย แม้แต่ค่าตรวจทั้งหลายก่อนหน้านี้ ที่เกินวงเงินการประกันอุบัติเหตุของนักศึกษา เพียงไม่กี่พันบาท แม่ก็ไม่มี ทางโรงพยาบาลจึงขอยึดบัตรประชาชนของแม่ไว้ เพื่อเป็นหลักประกันให้แม่หาเงินส่วนเกินมาชำระในภายหลัง หมอที่ส่องกล้องแนะนำให้ย้ายฉันไปโรงพยาบาลรัฐบาลที่เขาประจำอยู่ แต่แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็ต้องคุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นกัน แม่จึงวิ่งวุ่นติดต่อเรื่องใช้สวัสดิการบัตรประกันสุขภาพ 30 บาท กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง นั่นแหละฉันจึงได้รับการผ่าตัด
การผ่าตัดใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง เพราะรอยทะลุที่หลอดอาหารอยู่ใกล้ปอด น้ำย่อยจะไหลเข้าไปในปอดซึ่งอันตรายมาก หมอต้องผ่าตัดเปิดซี่โครงจากราวนมด้านซ้ายไปจนถึงสันหลังอีกข้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถซ่อมแผลได้หมด เพราะแผลในทางเดินอาหารเป็นทางยาว จากต้นคอถึงกระเพาะ ยาวถึง 30 เซนติเมตร
สามวันหลังผ่าตัด ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมสายระโยงระยางเต็มตัว สายจากจมูกทั้งสองข้างเพื่อเอาน้ำย่อยในกระเพาะออกมา สายที่ไว้ดูด น้ำมูก น้ำลาย สายที่ต่อจากบริเวณซี่โครงที่ผ่าตัดเพื่อเอาเลือดจากแผลออกมา สายให้เลือด สายน้ำเกลือ สิบเอ็ดวันที่อยู่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กินอาหารไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์ ยิ่งเวลานอนจะรู้สึกทรมาน เพราะเจ็บที่บริเวณแผลผ่าตัดเป็นที่สุด หมอที่ส่องกล้อง ซึ่งช่วยหาหมอผ่าตัดให้ มาสารภาพในภายหลังว่า ... แผลในทางเดินอาหารที่ยาวเหยียด เกิดจากการส่องกล้องไปดันเอาเศษแผ่นพลาสติก ซึ่งติดอยู่ที่ระหว่างหลอดลม และหลอดอาหารให้ครูดบาดไปตลอดทางเดินอาหาร แต่อย่างไรเขาก็ติดต่อหาหมอผ่าตัดที่เชี่ยวชาญให้ และเป็นความผิดพลาดที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมองไม่เห็นแผ่นพลาสติกแก้วที่ติดอยู่ที่หลอดลม / หลอดอาหาร
กรุณาช่วยส่งต่อเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เพื่อเตือนภัยคนที่เรารัก และเป็นห่วงนะคะ กินชาไข่มุกแก้วต่อไป ระวังนะคะ แผ่นพลาสติกที่เจาะทะลุจากตัวแก้ว ... อันตรายถึงชีวิตได้ บอกลูกหลานด้วย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบซื้อเครื่องดื่มทานเองค่ะ ฝาครอบแก้วที่ต้องเจาะรู ... ผู้ปกครองควรช่วยดูแล
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2551 / 09:08
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 18:18:38 » |
|
พี่เจี๊ยบขา, อ่านเรื่องล้างมือ 7ขั้นตอนแล้วแปลกใจ! ทำไมไม่มีขั้นที่ 8 ที่สำคัญพอๆกัน?? ทา hand creamคะ! ล้างวันละกี่ครั้งไม่รู้...มือแห้งแย่- nn.(soft hand)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #61 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 19:45:41 » |
|
พี่เจี๊ยบ, หนิงหาเรื่องโจรขโมยรถไม่เจอคะ! ที่พี่postภาพกุญแจรถค่ะ...อยู่ไหนคะ? nn.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #62 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2551, 05:24:21 » |
|
NN ... อยู่ที่กระทู้ " ภัยรายวัน " จ้า พี่ตามไปดูรูปกุญแจรถคันใหม่ของหนิงมาแล้วด้วย
5 โรคฮิต รุมเร้าหนุ่มสาวออฟฟิศ
พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา 5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมือง ได้แก่
1. ไมเกรน โรคปวดศีรษะเรื้อรัง
เวลานั่งทำงานเครียดๆ เราจะรู้สึกปวดหัวตึบ..ตึบ..บริเวณขมับ ด้านหน้าศีรษะ หรือหลังต้นคอ นั่นคือสัญญาณเตือนสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไมเกรน
สาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุดกดเจ็บ (Trigger Point)
จุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เส้นเลือดหลังจุด Trigger Point เกิดการขยายตัวผิดปกติ ส่งผลให้เลือด และออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ จึงทำให้เกิดอาการปวด ศีรษะขึ้น นอกจากนี้แสงแดด ความร้อน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้เช่นกัน
ไมเกรน มักจะพบในช่วงอายุ 10-50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง ร้อยละ 18 เพศชาย ร้อยละ 6
วิธีการดูแลให้ห่างไกลจากไมเกรน ทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการ เกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์อายุรเวท ( แผนไทยประยุกต์ ) เพื่อทำการกดจุดสลาย Trigger Point บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2. สภาวะเสียสมดุล
ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม พร้อมขจัด และปรับระบบให้ทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีสมองเป็นจุดศูนย์รวมการทำงานของร่างกาย
สมองทำหน้าที่ออกคำสั่ง และส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ ระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ ( เช่น ค่อม งอ คด แอ่น ) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายจะฟ้องออกมาในรูปแบบความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชา หรือแขนขาไม่มีแรง ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย
การดูแลและป้องกัน มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย เช่น การยืดหยุ่นร่างกาย ไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อปรับโครงสร้างร่างกาย พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน
3. กระดูกสันหลังคดงอ อาการปวดหลังเรื้อรัง
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสมัยใหม่ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลีย และเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน และรู้หรือเปล่าว่านั่นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง โดยค่าเฉลี่ยร้อยละ 80 มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่าร้อยละ 20 พบว่ามีอาการปวดหลังเรื้อรังมาจาก " กระดูกสันหลังคดงอ "
วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ การรักษาด้วยการให้ยา และกายภาพบำบัดแบบ Passive ช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียงที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากในอนาคตได้ ส่วนวิธีการรักษาแบบ Active Rehabilitation เป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้ถาวร ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดจะได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียวอย่างชัดเจน
4. ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ
อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้นปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ หรือ Carpal Tunnel Syndrome ( CTS ) ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
สาเหตุหลักเกิดจากการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเมาส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาท และเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังบริเวณข้อมือ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบซึ่งมาจากสาเหตุเดียวกัน
อยากห่างไกลความเสี่ยง เลือกวิธีปฏิบัติง่ายๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือ และข้อมือทุก 15-20 นาที หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการรักษาแบบ Manual Therapy หรือการบำบัดด้วยวิธีการใช้มือเป็นหลัก ผสานเข้ากับการใช้เครื่องมือบำบัดเฉพาะทาง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการบาดเจ็บที่รุนแรง และลดอัตราการผ่าตัดลง
5. หูดับ โรคประสาทหูเสื่อม
อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา " หูดับ " หรือโรคประสาทหูเสื่อม ส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 30-50 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิคโฟนผ่านทางมือถือ และเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าประสาทหูเสื่อมสภาพ ในขั้นต้นหากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนาต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือปรึกษาศูนย์บริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับการได้ยินพร้อมรับคำปรึกษาและแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ
นี่เป็นเพียง 5 อันดับโรคยอดฮิตเรียกน้ำย่อยสำหรับคนเมืองยุคนี้ แต่ความเป็นจริงยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา ถ้าเรายังเลือกทำแต่งาน แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง ... ใส่ใจตัวเองสักนิด หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วจะรู้ว่าชีวีตที่มีสุขเป็นอย่างไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #63 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2551, 18:40:46 » |
|
อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย และผู้หญิงวณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก USA 10 อาหารเสริมน่ารู้ สำหรับผู้ชาย เกร็ดความรู้ สาระน่ารู้ เพื่อ สุขภาพ การจะเลือกซื้อ อาหารเสริม ให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหา วิตามิน นับร้อยมากิน โดยเชื่อว่าวิตามินหรืออาหารเสริม จะช่วยป้องกันโรคและทำให้ สุขภาพ แข็งแรง แต่นั่นอาจเป็นความเชื่อที่ผิดได้ วันนี้เราจึงมี เกร็ดความรู้ เรื่อง 10 อาหารเสริมน่ารู้สำหรับคุณผู้ชายมาแนะนำกันค่ะ หากคุณเป็นคนรักสุขภาพ ก็ไม่ควรพลาดกับ เกร็ดความรู้ เรื่องนี้
การจะเลือกซื้ออาหารเสริมให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหาวิตามินนับร้อยมากินคู่กับอาหารมื้อหลัd เพื่อชดเชยสภาวะขาดแคลนปริมาณสารอาหาร คนหนุ่มอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าวิตามิน หรืออาหารเสริมจะช่วยป้องกันโรคบางอย่า' ไม่ต่างกับการสร้างภูมิต้านทาน
ถ้าการมุ่งหน้าไปร้านขายยาเพื่อซื้ออาหารเสริมเพียงแค่ 1-2 ชนิด ทำให้คุณต้องวุ่นวายกับข้อมูลจำนวนมากจนไม่สามารถจัดการกับข้อมูล หรืออาหารเสริมที่ต้องการได้ การสอบถามจากคนรอบตัว และการหาข้อมูลเพิ่มเติมจะช่วยคุณได้มากในขั้นตอนของการตัดสินใจว่าอะไรคืออาหารเสริมที่คุณต้องการจริงๆ
1. กรดโฟลิก ( Folic Acid ) : มีคุณสมบัติช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และอาการเส้นเลือดในสมองแตกในผู้ชาย คุณจึงควรหันมาให้ความสนใจกินอาหารที่มีกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียวทุกชนิด หรือหากต้องการบริโภคอาหารเสริมประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ตามคำแนะนำของแพทย์จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
2. กระเทียม ( Garlic ) : ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภคกระเทียมเป็นประจำจะให้ผลต้านไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวาย และหากกินกระเทียมชนิดสดหรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหารเป็นประจำได้ จะเป็นการดีกว่า อาหารเสริมประเภทกระเทียมควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ
3. สังกะสี ( Zinc ) : คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสียปริมาณสังกะสีในร่างกายได้ง่าย เพราะทุกครั้งที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัมซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะถูกขับออกจากร่างกาย ดังนั้นผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกายขาดสังกะสีก็คือ ความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่น และรับรส แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์ ส่วนข้อควรระวังสำหรับการกินแร่ธาตุประเภทสังกะสีก็คือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25มิลลิกรัม เป็นประจำอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องผูกตามมา
4. โสม ( Ginseng ) : มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ระดับกลูโคสอยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น จากการวิจัยโสมยังช่วยยืดอายุเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี 5. น้ำมันปลา ( Omega 3 ) : จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันเลือดสูง มีผลในการรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป น้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
6. กลูโคซามีน ซัลเฟต ( Glucosamine Sulfate ) : มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ กระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา 7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ตโต ( Saw Palmetto ) : สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดไม่รุนแรง และช่วยกระตุ้นการหดตัวของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดชนิดนี้คือ ผลข้างเคียงที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น นอกจากนี้หากยังไม่แน่ใจในวิธีการเลือกรับประทาน คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะซื้อหามาบริโภคด้วยตนเอง
8. แคตส์ คลอว์ ( Cats Claw ) : เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วเพิ่ม ภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และกำจัดเซลล์ผิดปกติ แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็งและช่วยให้การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวดีขึ้น
9. มิลค์ ทิสเซิล ( Milk Thistle ) : เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษจากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมทั้งช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยไวรัสหรือตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิล มันน่าจะเหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ
10. อาหารเสริมกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ( Antioxidants ) : อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้านหรือลดการทำงานของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาผลาญหรือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม
นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลีเนียมวันละ 200 มิลลิกรัมเป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่นๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินซีลีเนียมเป็นประจำกว่าร้อยละ 50 สุขภาพสำหรับผู้หญิง วัย 40 ปีขึ้นไป
วิตามิน และสารอาหารสำหรับดูแลสุขภาพผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป ... ถ้าผู้หญิงเรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความแข็งแกร่ง ในการทำหน้าที่ตามบทบาทต่าง ๆ ที่มีในชีวิตประจำวัน และในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความสุขกับผู้คนรอบตัว โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทำงาน มีภาระความรับผิดชอบด้านการงานและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดความเครียดการพักผ่อนน้อยและไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
ผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีภาวะขาดฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลกระทบต่อสมอง จิตใจ อารมณ์ มีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต อาการต่าง ๆ ที่จะสังเกตทราบได้มี
1. ประจำเดือนไม่แน่นอน บางทีมาถี่ ๆ บางทีก็ทิ้งช่วงหลายเดือนสลับกับการมาสม่ำเสมออยู่ระยะหนึ่ง บางคนจะมีเลือดประจำเดือนออกแบบแปลก ๆ เช่น เลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ หรือมาทุก 2-3 สัปดาห์
2. อาการร้อนวูบวาบ ราว ๆ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีอาการดังนี้ อาการร้อนวูบวาบจะรำคาญมากที่สุดใน 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยมีความรุนแรงและความถี่ หรือระยะเวลาเป็นสั้นยาว ต่าง ๆ กันไป ในผู้หญิงแต่ละคน แต่โดยมากจะบรรเทาเบาบาลงใน 1-2 ปี
3. อาการนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะเป็นความลำบากในการหลับหรือตื่นบ่อย ๆ กลางดึก หรือตื่นเช้ากว่าปกติ
4. อารมณ์แปรปรวน เกิดอาการซึมเศร้า หรือหงุดหงิด
5. ปัญหาของช่องคลอด ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของผนังช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่น และความหล่อลื่นลดลง ทำให้การร่วมเพศไม่สะดวกราบรื่น
6. การเจริญพันธุ์น้อยลง เนื่องจากการตกไข่ไม่แน่นอนทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง แต่ก็อาจตั้งท้องได้ทุกเมื่อ จนกว่าประจำเดือนหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
7. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ความเต่งตึงและความชุ่มชื้นของผิวหนัง มีผลจากการที่ร่างกาย สร้างสารคอลลาเจน เมื่อฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนลดลง การผลิตสารคอลลาเจนก็จะลดลงด้วย ผิวหนังของหญิงวัยหมดประจำเดือน จะเริ่มบางลง มีความยืดหยุ่นลดลง แห้ง และเหยี่ยวย่นง่ายขึ้น
อะไรจะเกิดขึ้นหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ?
นอกจากอาการต่าง ๆ ที่กล่าวถึงแล้ว ผลระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนหยุดมาอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนมีผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ เช่น
ภาวะกระดูกพรุน ( Osteoporosis )
ซึ่งเป็นโรคของกระดูกที่เกิดจากกระดูกบอบบางลง มีรูพรุนมากขึ้น เพราะฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนทดแทนกระดูกเก่าที่สลายไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะถึงจุดสูงสุดเมื่อผู้หญิงมีอายุ 25-30 ปี เมื่อระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง ร่างกายสูญเสียกระดูกเร็วขึ้นกว่าการสร้างชดเชย อันตรายที่ตามมาคือเวลาหกล้มจะพบว่ากระดูกหักง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก
โรคหัวใจขาดเลือด วงการแพทย์พบว่า เอสโตรเจนช่วยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ผู้หญิงเป็นโรคหัวใจ โดยช่วยเพิ่มระดับของไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) และช่วยลดไขมันชนิดเลว ( LDL ) นอกจากนี้ยังทำให้เส้นเลือดแดงมีความยืดหยุ่น ทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกลุ่มกัน เสริมความแข็งแรงของหัวใจ เมื่อให้เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเสริมแก่หญิงวัยหมดประจำเดือนทุกราย กลับปรากฏว่าผู้หญิงบางคน เมื่อได้เอสโตรเจนแล้ว เลือดในเส้นเลือดดำคั่งแข็งตัวง่ายขึ้น ดังนั้นการตัดสินใจจะใช้ฮอร์โมนเสริมหรือไม่ อย่างไรจึงต้องให้แพทย์พิจารณาตัดสินใจร่วมกับท่าน
ปัญหาทางเดินปัสสาวะ
ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือทางเดินปัสสาวะติดเชื้อได้ง่าย
น้ำหนักขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายหญิงวัยหมดประจำเดือนจะลดลง ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว ( อ้วนแบบลงพุง )
ผลกระทบในระยะยาวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในผู้หญิงสูงวัย 40 ปีขึ้นไป ข้อมูลของโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่พบบ่อยในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปจำนวน 10 อันดับแรก ได้แก่ ไขมันในเส้นเลือดสูง ( ร้อยละ 79 ) กลุ่มอาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน ( ร้อยละ 54 ) กระดูกบาง ( ร้อยละ 29 ) ความดันโลหิตสูง ( ร้อยละ 35 ) โรคเต้านม ที่ไม่ใช่มะเร็งเต้านม ( ร้อยละ 30 ) กรดยูริคในเลือดสูง ( ร้อยละ 29 ) โรคอ้วน ( ร้อยละ29 ) โรคกระดูกพรุน ( ร้อยละ 29 ) ข้ออักเสบ ( ร้อยละ 20 ) เบาหวาน ( ร้อยละ 6 ) ปัญหาทุพโภชนาการ ( ขาดสารอาหาร ) เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งปัญหาดงกล่าวเป็นผลมาจากความเสื่อมทางด้านสรีระ โดยเฉพาะระบบการย่อย และดูดซึมสารอาหาร ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการดำรงชีวิต เช่น สภาพทางเศรษฐกิจ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่ง ปัญหาการเบื่ออาหาร การรับประทานอาหารโดยไม่คำนึงถึงประเภทที่หลากหลาย และครบถ้วนของสารอาหาร ทำให้มีโอกาสขาดวิตามิน และแร่ธาตุสูง ดังนั้นการดูแลสารอาหารที่ควรได้รับจึงมีความสำคัญ และต้องมีความครบถ้วนอย่างพอดี ต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น
สารอาหารที่จำเป็นต่อผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป
สารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลระบบฮอร์โมน เช่น ไฟโตเอสโตรเจน จากาถั่วเหลือง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้หญิงวัยนี้โดยไฟโตเอสโตรเจนจะมีบทบาทเป็นฮอร์โมนทดแทน แบบธรรมชาติ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ลดระดับไขมันในเลือดซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม และป้องกันกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน การรับประทานสารอาหารที่ให้ไฟโตเอสโตรเจน จะมีความปลอดภัยกว่าการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเนื่องจากการรับประทานฮอร์โมนทดแทน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม โรคหัวใจและหลอดเลือด
สารอาหารบำรุงกระดูก แคลเซี่ยม ช่วยเพิ่มมวลกระดูกสูงไม่เพียงพอ ทำให้กระดูกแตกหักได้ง่าย แม้จะได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย ในผู้หญิงวัยนี้การเสริมแคลเซี่ยมจึงมีความจำเป็นอย่างมาก วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดีขึ้น เพื่อความมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับแคลเซี่ยมได้อย่างเต็มที่
สารอาหารบำรุงสมอง สารสกัดจากใบแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้ผนังหลอดเลือด มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงอีกทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคความจำเสื่อม และยังมีคุณสมบัติช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะอุดตันในหลอดเลือดสมอง
สารอาหารบำรุงสายตา วิตามิน เอ มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นโดยเฉพาะในการที่มีแสงสว่างน้อย ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน (Night bllndness) ลูติน สารประกอบกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากที่สุดบริเวณจุดศูนย์กลางของเรตินา ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินก่อนจะมีผลเสียต่อดวงตา มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเรตินา และเลนส์ตา
สารอาหารบำรุงระบบประสาท ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร และบำรุงโลหิต
เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของระบบประสาทจะต้องด้อยลง การดูดซึมสารอาหาร และประสิทธิภาพในการเผลผลาญอาหารก็ลดลงด้วย ส่งผลให้ผู้หญิงวัยนี้มีโอกาสขาดวิตามินได้แทบทุกตัว กลุ่มวิตามินที่บทบาทสำคัญในการบำรุงระบบประสาท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญสารอาหารได้ดีคือ กลุ่มวิตามินบี ซึ่งยังมีความสำคัญต่อขบวนการสร้างเม็ดเลือด เพื่อให้สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ได้อย่างทั่วถึง ทำให้ร่างกายพร้อมเผชิญกับภารกิจได้ตลอดวัน
สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชรา
อนุมูลอิสระ เป็นสารพิษที่เกิดขึ้นตลอดเวลาภายในร่างกาย ปกติร่างกายเราสามารถกำจัดได้เองระดับหนึ่ง แต่เมื่อคนเราสูงวัยขึ้น ประสิทธิภาพการกำจัดจะลดลง ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกาย ผลของความเสื่อมที่เราเห็นคือ ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย ขณะเดียวกันก็เกิดความเสื่อมของอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ความจำเสื่อม มะเร็ง ฯลฯ ดังนั้น จึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่มีปริมาณมากพอ และมีความหลากหลายที่จะช่วยเสริมฤทธิ์กัน เพื่อชะลอความเสื่อมและการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี โคแอนไซม์ คิวเทน กรดอัลฟา ไลโปอิก รูติน และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น สังกะสี ซิลิเนียม
กลุ่มแร่ธาตุที่จำเป็น
แร่ธาตุที่มีความจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญ เพื่อให้ได้พลังงานของร่างกายในการใช้ชีวิตประจำวัน ช่วยเรื่องต้านความเครียด และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสริมสร้างสุขภาพที่ดี ได้แค่ ธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนิเชี่ยม โครเมียม
คำแนะนำในการเลือกซื้อ
ในปัจจุบัน มีสูตรวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นผ่านการคัดสรรทั้งชนิด และปริมาณที่เพียงพอ บรรจุในแคปซูลนิ่ม เพื่อความสะดวกในการดูแลสุขภาพผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะ ดังนี้
ประโยขน์ต่อสุขภาพ : วิตามิน/สารอาหาร
ปรับสมดุลระบบฮอร์โมน : สารสกัดจากจมูกถั่วเหลือง บำรุงกระดูก : แคลเซี่ยม วิตามินดี 3 บำรุงสมอง : สารสกัดจากไบแป๊ะก๊วย บำรุงสายตา : วิตามิน เอ, ลูติน บำรุงระบบประสาท / ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร บำรุงโลหิต : กลุ่มวิตามินบี ได้แก่ บี1 , บี2 , นิโคตินาไมด์ แคลเซี่ยม แพนโทธีเนต , บี6 , บี12 , กรดโฟลิก , ไบโอติน , ไอโนซิทอล ต้านอนุมูลอิสระ และชลอความชรา : วิตามิน อี , วิตามิน ซี , ซิลีเนี่ยม , โครเอ็นไซม์คิวเทน, กรดอัลฟา ไลโปอีก, รูติน , ไบโอฟลาโวนอยด์ แร่ธาตุที่จ่ำเป็นต่อสุขภาพ : ธาตุเหล็ก , ธาตุสังกะสี , แมกนิเซี่ยม , โครเมียม 7 สุดยอดอาหารสำหรับผู้หญิง
กีวี เป็นผลไม้ที่ มีระดับของ วิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของ วิตามินซี ที่จะได้จากส้ม 1 ผล เลยทีเดียว วิตามินซีเป็นตัวช่วยให้ ร่างกายดูดซับ ธาตุเหล็ก และโฟเลตอันเป็นสารอาหาร ที่ผู้หญิงต้องการ มากที่สุดได้ดีขึ้น โดยปริมาณของกีวีที่ผู้หญิงต้องการ ในแต่ละวันนั้นก็เพียง ครึ่งผลเท่านั้น จะให้พลังงานเพียง 46 แคลอรี่
เต้าหู้ถั่วเหลือง เต้าหู้ถั่วเหลือง 1 ชิ้นจะให้ปริมาณโปรตีนสูง ยิ่งกว่านั้นในเต้าหู้ถั่ว เหลือง ยังมีสารที่เรียกว่า ฟีโตฮอร์โมน เป็นสารที่จะช่วย ให้การทำงาน ของฮอร์โมนเอสโตรเจน และพวกต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการมีประจำเดือน ของผู้หญิงทำงานอย่างเป็นปกติ ต่อไปนี้ คุณคงจะต้องเพิ่มเต้าหู้ถั่วเหลือง ในมื้อใด มื้อหนึ่งของวันซะแล้วล่ะคะ
ถั่วลิสง เป็นอาหารอีกชนิดที่อุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งนอกจากประกอบไปด้วย ใยอาหารจำนวนมาก ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร ของคุณทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การรับประทานถั่วลิสง ยังให้ประโยชน์สูงสุด ในหนึ่งมื้อ ควรจะรับประทานถั่วลิสงให้มากกว่า 7-8 กรัมขึ้นไป เพราะร่างกาย นั้นต้องการ ไฟเบอร์ถึง 25-30 กรัม ต่อหนึ่งวัน
ข้าวกล้อง ข้าวกล้องให้ สารอาหารอันเป็น ประโยชน์แก่ร่างกาย มากกว่าข้าวขาวถึงเท่าตัว โดยเฉพาะ วิตามิน บี อี รวมไปถึงโฟเลต ที่เป็นสารอาหารสำคัญ ที่จะปกป้องคุณ จากการเป็น โรคหัวใจ ที่สำคัญ วิตามิน อี ในข้าวกล้อง ยังมีประโยชน์ ต่อการทำงาน ของร่างกาย หลายๆ ส่วน รวมไปถึงเรื่อง สมรรถภาพทางเพศอีกด้วย กะหล่ำ หรือที่รู้จักกันว่าเป็นผักต้านมะเร็ง ซึ่งนอกจากต้านมะเร็งแล้ว สารอาหาร ในกะหล่ำ ยังมีคุณสมบัติ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ ภายในร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญผักกะหล่ำ สามารถให้ผู้หญิง นำไปทำได้หลายเมนูไม่มีเบื่อ มันฝรั่ง แค่มันฝรั่งผลขนาดพอเหมาะ ก็สามารถให้วิตามินเอ คุณได้อย่างเพียงพอ วิตามินเอที่มากับ มันฝรั่งนี้เอง จะช่วยคุณ ในเรื่องของ สุขภาพตา สุขภาพของ เส้นผม รวมไปถึงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
แซลมอน นอกจากจะเป็นอาหารที่มีไขมัน และแคลอรี่ต่ำแล้ว แซลมอนยัง มีสารอาหารสำคัญอย่าง โอเมก้า 3 อีกด้วย นอกจากนี้ก้างปลาอ่อนๆ ของแซลมอนยังเป็น แหล่งแคลเซียม ที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เพื่อป้องกันการเป็น โรคกระดูกพรุน ที่อาจจะเกิดขึ้น ในอนาคต อาหารทั้ง 7 อย่างเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของอาหารอีกหลากชนิดที่มีให้เราเลือกทาน แต่ก็นับว่าเป็นอาหารสำคัญ สำหรับผู้หญิงในการดูแลสุขภาพตัวเอง ดังนั้นการบริโภคของที่มีประโยชน์บ้างก็จะดีมาก แล้วก็ตามใจปากตัวเอง ให้น้อยลงสักหน่อย เท่านี้คำว่า สวยสุขภาพดี จะไปไหนเสีย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2552, 11:22:18 » |
|
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา
จากการอบรม เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Clean food มีเกร็ดต่างๆมาเล่าให้ฟัง เลยสรุปมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป จริงๆ มีมากกว่านี้
1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาล และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย
2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง ( ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต ) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน ( แผ่นใส ๆ ) ยอดมะพร้าวขาว ๆ
3. ซูชิ ในตลาดนัดที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น
4. เอแคลร์ กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จัก หรือมีชื่อเสียงเท่านั้น
5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขาย ไม่ดี ไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้
6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล และสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง
7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมา wave ที่บ้าน wave ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ควรล้าง Package มาใส่อาหารแล้ว wave ซ้ำ เพราะสารพิษจะออกมา
8. โยเกริ์ตต่างๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ ( ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ ถ้ามีแป้งผสมอยู่ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน )
9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน
10. ระวังเชื้อราตามคอขวดน้ำจิ้มต่างๆ ที่เปิดใช้แล้ว
11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น ( มีสารพิษจากหมึก )
12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมด ควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่น แช่ตู้เย็น
13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ ( เป็นน้ำๆ ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะเติบโต ควรเททิ้งไป
14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผักกาดดองตามท้องตลาด ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด ( ใช้คนลงไปในอ่างดอง เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคหรือไม่ ) ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้
15. เบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้วออก เราจะกินศพยีสต์เข้าไปด้วย ( เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว ) แต่กินได้ ไม่เป็นไร
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #69 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2552, 07:36:04 » |
|
19 ways to refresh your eyesนุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้
2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว
3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด
4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ
5. อย่าขี้เกียจเดิน เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้ง จะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ
6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา
7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย
8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา
9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที
10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียว อาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด
11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ
12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอิน และซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย ( คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยนะ )
13. ผักบีตสดๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส
14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด
15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่
16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว ว้าว ! ! ง่ายจัง
17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร
18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท
19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #70 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2552, 19:24:32 » |
|
ลมชัก เรื่องใกล้ตัวโดย : บุษกร ภู่แส น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ ที่ 26 ธันวาคม 2552
นพ.ช่อเพียว เตโชฬาร ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
คนทั่วไปมักคิดว่าอาการชักกระตุกเกร็งและหมดสติเท่านั้นถึงจะเป็นโรคลมชัก แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบอาการคล้ายคนไข้จิตเวช 5-6 ปีก่อน ป้าใจ เจ้าของร้านของของชำถูกคนมองว่า เธอเป็นโรคจิต ขณะที่ลูกค้ากำลังซื้อของในร้าน ป้าใจหันหลังกลับเดินขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้น
อาการเบลอ เหมือนลืมตัวใจลอยไปชั่วครู่ของป้าใจ ใครต่อใครต่างลงความเห็นว่า เธอเข้าข่ายจิตเวช แต่หลังจากพบแพทย์ถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วอาการดังกล่าวเป็นอาการของโรค
"ลมชัก"
ผศ.นพ.ช่อเพียว เตโชฬาร ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความกระจ่างว่า คนทั่วไปมักคิดว่าอาการชักกระตุกเกร็งและหมดสติเท่านั้นถึงจะเป็นโรคลมชัก แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ อาการชักบางรูปแบบอาการคล้ายคนไข้จิตเวช เช่น อยู่ๆ หัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
แพทย์ที่ศึกษาเรื่องลมชักสามารถบอกได้เลยว่า อาการหัวเราะแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นลมชักแบบพิเศษชนิดที่เรียกว่า " Gelastic epilepsy " สามารถผ่าตัดรักษาได้ นอกจากนี้คนไข้บางคนยังมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ขโมยของโดยไม่รู้สึกตัว บางรายมีอาการงง เบลอ นิ่งเหม่อบ่อย ไม่ค่อยรู้ตัว
คุณหมอเล่ากรณีตัวอย่างให้ฟังว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนหนังสือหน้าชั้นเรียนอยู่ดีๆ แล้วเกิดอาการยื่นนิ่งไปเฉยๆ เหมือนเรากดปุ่ม pause ของเครื่องวีดิโอ สักพักก็สอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังสังเกตดูอาการก็พบว่าเป็นอาการของโรคลมชัก
การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรคลมชักทั้งหลายอาศัยการวินิจฉัยจากประวัติ และอาการที่ผู้ป่วยหรือญาติเล่าให้ฟัง เพราะขณะมาพบแพทย์ผู้ป่วยส่วนใหญ่หยุดชักแล้ว ผู้ป่วยลมชักอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ต้องแยกให้ได้ว่านี่เป็นอาการทางจิตเวช หรือมีโรคของสมองกันแน่
" ผมเคยพบคนไข้ที่รักษาอาการทางจิตเวช จนกระทั่งวันหนึ่งปวดหัวอาเจียนหมดสติ พอตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่ในสมอง " อาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
ผศ.นพ.ช่อเพียว เสริมว่า อาการชักอาจเป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของโรคบางอย่าง ( Epileptic seizure ) หรืออาจจะเป็นโรคลมชักที่มีการชักเป็นอาการหลัก ( Epilepsy ) สามารถแบ่งอาการชักดังนี้
ชักแบบมี "จุดกำเนิด " ที่บอกได้ชัดเจนว่าเริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งในสมองจะมีอาการชักกระตุกหรือเกร็งเฉพาะที่ ผู้ป่วยลักษณะนี้จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุอย่างจริงจัง เมื่อตรวจภาพของสมองด้วยคอมพิวเตอร์แล้ว มีโอกาสสูงที่จะพบเนื้องอกในสมอง กลุ่มหลอดเลือดผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดในสมอง หรือตัวอ่อนพยาธิขึ้นสมองและอื่นๆ หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคที่เป็นเหตุให้ชัก อาจรุกลามทำให้สมองเสียหาย
ต่อมาชักแบบ " ไม่มี " ความชัดเจนว่าจุดที่ปล่อยไฟฟ้าออกมารบกวนนั้นเริ่มที่จุดใด อาจมีหลายจุดเกิดขึ้นพร้อมกันทำให้รบกวนสมองทั่วไปในวงกว้าง หรือมักมีต้นกำเนิดอยู่ลึกบริเวณแกนกลางสมอง จึงมักเป็นอาการหมดสติ เกร็งแล้วจึงแขนขาและหน้ากระตุกที่บางคนเรียกว่า " ลมบ้าหมู " การรักษาก็มักเป็นการใช้ยากิน หรือฉีดเพื่อควบคุม และป้องกันตลอดชีวิต
และสุดท้ายการชักแบบที่มีอาการหลายๆ อย่าง ( complex partial seizure ) อาจจะออกมาในรูปของการกระทำเป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างซับซ้อน เหมือนคนกำลังทำกิจกรรมหรือแสดงพฤติกรรมบางอย่าง ไม่ใช่เป็นการกระตุกของกล้ามเนื้อ
" ความจริงการชักพวกนี้เป็นการชักที่เจอบ่อย แต่คนมักไม่คิดว่าเป็นอาการชัก ทำให้คนไข้ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ทั้งที่ความจริงการชักมียารักษาควบคุม ยกเว้นถ้ายาช่วยไม่ได้ สามารถรักษาด้วยการผ่าตัด "
ผู้เชี่ยวชาญประสาทศัลยแพทย์บอกว่า อันตรายจากอาการชัก ก็คือผู้ป่วยจะควบคุมตนเองไม่ได้ นอกจากการชักเกร็งหมดสติแล้ว ยังอันตรายหากอยู่ในระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ ขับรถ ว่ายน้ำ อยู่หน้ากองไฟ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคลมชัก มีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้
ขณะเดียวกัน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสมองโดยรวม หรือเฉพาะจุดมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากเสียหน้าที่ชั่วคราวแต่ระยะยาวจะเสียหายอย่างถาวร ทำให้สมองเสื่อม ความสามารถในการทำงานลดลงในอัตราที่เร็วกว่าคนทั่วไป จนบางครั้งถึงกับช่วยตัวเองไม่ได้
สำหรับวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยลมชัก ปกติผู้ป่วยที่ชักมักจะหยุดชักได้เองในที่สุด แต่หากระหว่างการชักได้รับการดูแลไม่ถูกต้อง อาจมีผลให้สมองขาดออกซิเจน สำลัก กระดูกหักได้ อย่าเอาสิ่งของใดๆ ไปงัดปากหรือใส่ปาก ให้จับผู้ป่วยนอนตะแคงหน้าข้างให้น้ำลายไหลออก ให้อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเท
หากผู้ป่วยชักเกิน 2 ครั้งใน 5 นาที หรือ ชักนานเกิน 15นาที ให้รีบพาผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลใกล้เคียง เพื่อฉีดยาให้หยุดชักโดยทันที และดูแลในระยะแรกจนพ้นอันตรายแล้ว จึงส่งมาตรวจหาสาเหตุเบื้องลึกต่อไป
“ จริงๆ แล้ว การรักษาโรคลมชัก สำคัญที่สุดอยู่ที่ต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อน หากแพทย์ที่รักษาคนไข้สามารถวินิจฉัย และส่งต่อได้เร็ว นั่นหมายถึงโอกาสการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น คนใกล้ชิดผู้ป่วยเองก็ต้องช่วยสังเกตอาการเพื่อนำส่งแพทย์เพื่อรักษาตรงกับสาเหตุ การให้ความรู้ในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่อยากรณรงค์ให้คนทั่วไปได้ทราบ เพื่อการสังเกต และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนใกล้ชิด ”
นำมาเพื่อให้พวกเราได้ทราบ จาก
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091226/92708/%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7.html
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|
|
prapasri AH
|
|
« ตอบ #73 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 10:08:05 » |
|
น้องหมอ สำเริงคะ โอโฮ หมอช่อเพียว ดูต่างกับตอน 30ปีที่แล้วชนิดที่จำไม่ได้เลยค่ะ คุณหมอเป็นน้องที่พี่หาญรักมาก พี่แอ๊ะ ก็เป็นโรคลมชักในสมองค่ะ มีอาการวูบ แบบฝันไป ชั่วขณะ ในเวลาไม่หลับนะคะ แต่พอรู้สึกตัว ก็ไม่ทราบว่า ฝันเรื่องอะไร พี่แอ๊ะรีบไปทำ ecg เข้าเครื่อง ดู สมองตลอด24 ชั่วโมง ตอนเเรกเข้าเครื่อง ชั่วโมงเดียว หาไม่เจอค่ะ เลย admit เข้าเครื่อง 24 ชั่วโมง จึงพบลมชักในสมอง และทำ mri ต่อ ตอนนี้ต้องทานยา 3-5 ปี ค่ะ อยู่ในความดูแลของคุณหมอ ......โรคลมชัก ร.พ กรุงเทพ ค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ สงสัยเป็นอัลไซเมอร์แล้วเราอิๆๆๆๆ น้องติ๊บเรียนจบรับปริญญาแล้วค่ะ
ขอบคุณน้องสำเริงมากที่ช่วยดูแล ตอนไปฝึกงานที่ พนมสารคาม นะคะส่งรูปมาให้ดูผลิตผลของร.พ พนมสารคามนะคะ ขอบคุณ ขอบคุณ
|
ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #74 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 12:20:13 » |
|
สวัสดีครับพี่แอ๊ะ
ขอร่วมแสดงความยินดี กับ หมอกระติ๊บด้วย และ ได้นำไปโพสต์บอกชาวร.พ.พนมฯ
ทางเวบบอร์ด ร.พ.แล้วที่
http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=thecrow&id=1741
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|