Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #75 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 11:37:54 » |
|
พี่แอ๊ะ ขา ... เจี๊ยบปลื้มอกปลื้มใจกับพี่แอ๊ะด้วยนะคะ ที่น้องหมอติ๊บ คนสวย เรียนจบแล้ว คุณหมอคนสวยยิ้ม ม ม ม ทีเดียว คนไข้หายป่วย โดยไม่ต้องรักษาเลยค่ะ
ขอเล่าเรื่อสุขภาพต่อนะคะ
วิธีป้องกันโรคสมอง / ความจำเสื่อม
สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา
DEMENTIA - HOW TO AVOID IT
To help ward off dementia, train your brain : The minute you said you are retired, Dementia starts ! !
Timing is everything, comedians say. It's also important when it comes to taking care of your brain. Yet most of us start worrying about dementia after retirement - and that may be too little, too late. Experts say that if you really want to ward off dementia, you need to start taking care of your brain in your 30s and or even earlier.
" More and more research is suggesting that lifestyle is very important to your brain's health, " says Dr. Paul Nussbaum, a neuropsychologist and an adjunct associate professor at the University of Pittsburgh School of Medicine " If you want to live a long, healthy life, then many of us need to start as early as we can. " " So what can you do to beef up your brain and possibly ward off dementia ?
Dr Nussbaum, who recently gave a speech on the topic for the Winter Park ( Fla. ) Health Foundation, offers 20 tips that may help.
1. * Join clubs or organizations that need volunteers *. If you start volunteering now, you won't feel lost and unneeded after you retire.
2. * Develop a hobby or two *. Hobbies help you develop a robust brain because you're trying something new and complex.
3.* Practice writing with your non-dominant hand several minutes every day *. This will exercise the opposite side of your brain and fire up those neurons.
4.* Take dance lessons *. In a study of nearly 500 people, dancing was the only regular physical activity associated with a significant decrease in the incidence of dementia, including Alzheimer's disease. The people who danced three or four times a week showed 76% less incidence of dementia than those who danced only once a week or not at all.
5. Need a hobby ? * Start gardening *. Researchers in New Zealand found that, of 1,000 people, those who gardened regularly were less likely to suffer from dementia. Not only does gardening reduce stress, but gardeners use their brains to plan garden they use visual and spatial reasoning to lay out a garden.
6. * Buy a pedometer and walk 10,000 steps a day *. Walking daily can reduce the risk of dementia because cardio vascular health is important to maintain blood flow to the brain.
7. * Read and write daily *. Reading stimulates a wide variety of brain areas that process and store information. Likewise, writing ( not copying ) stimulates many areas of the brain as well.
8. * Start knitting *. Using both hands works both sides of your brain. And it's a stress reducer...
9. * Learn a new language *. Whether it's a foreign language or sign language, you are working your brain by making it go back and forth between one language and the other. A researcher in England found that being bilingual seemed to delay symptoms of Alzheimer's disease for four years. ( And some research suggests that the earlier a child learns sign language, the higher his IQ - and people with high IQs are less likely to have dementia. So start them early. )
10. * Play board games such as Scrabble and Monopoly *. Not only are you taxing your brain, you're socializing too. ( Playing solo games, such as solitaire or online computer brain games can be helpful, but Dr Nussbaum prefers games that encourage you to socialize too. ) * MAHJONG IS GOOD ! * besides which there is the incentive of $$$.
11. * Take classes throughout your lifetime *. Learning produces structural and chemical changes in the brain, and education appears to help people live longer. Brain researchers have found that people with advanced degrees live longer - and if they do have Alzheimer's, it often becomes apparent only in the very later stages of the disease.
12. * Listen to classical music *. A growing volume of research suggests that music may hardwire the brain, building links between the two hemispheres. Any kind of music may work, but there's some research that shows positive effects for classical music, though researchers don't understand why.
13. * Learn a musical instrument *. It may be harder than it was when you were a kid, but you'll be developing a dormant part of your brain.
14. * Travel. * When you travel ( whether it's to a distant vacation spot or on a different route across town ), you're forcing your brain to navigate a new and complex environment. A study of London taxi drivers found experienced drivers had larger brains because they have to store lots of information about locations and how to navigate there.
15. * Pray *. Daily prayer appears to help your immune system. And people who attend a formal worship service regularly live longer and report happier, healthier lives.
16. * Learn to meditate *. It's important for your brain that you learn to shut out the stresses of everyday life.
17. * Get enough sleep *. Studies have shown a link between interrupted sleep and dementia.
18. * Eat more foods containing omega-3 fatty acids * Salmon, sardines, tuna, ocean trout, mackerel or herring, plus walnuts ( which are higher in omega 3s than salmon ) and flaxseed. Flaxseed oil, cod liver oil and walnut oil are good sources too.
19. * Eat more fruits and vegetables *. Antioxidants in fruits and vegetables mop up some of the damage caused by free radicals, one of the leading killers of brain cells.
20. * Eat at least one meal a day with family and friends *. You'll slow down, socialize, and research shows you'll eat healthier food than if you ate alone or on the go.
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #76 เมื่อ: 31 มกราคม 2553, 15:21:59 » |
|
ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน
โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ16 ... ส่งมา หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก " คุณคิดผิด " หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา " มิตร-ศัตรู " ให้เข้าใจกันชัด ๆ
" Good things come in pair " ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น
ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตาน ซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก " ความไม่รู้ " ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ
แฝดที่ดี
เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ
1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊ง ไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กัน อย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูง เช่น ใบตำลึง ก็จะดีไม่น้อยครับ
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ ตัวช่วย ” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วย ซึ่งอยู่ในแสงแดด และผักเขียวจัดตามลำดับ
4) วิตามินเอ, ซี และอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียว ส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้า และถั่วลิสง สักวันละกำมือ
5) น้ำมันปลา ( ไม่ใช่น้ำมันตับปลา ) ขอให้เลือกชนิดที่มีดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมอง ต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่น ข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ แฝดที่ร้าย
แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ ตัวแม่ ” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ
1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ
2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่า มีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน
3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีด ก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกิน และไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้
4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมีย แล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจ และตับตัวเองครับ ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้ว และก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนา แยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก
ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไว ถ้ารู้สึกว่า " ไม่ใช่ " แล้วก็ให้รีบเร่งบอก อย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ
จาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #77 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 11:23:24 » |
|
คุณประโยชน์ต่างๆ ของผักเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา 1. สะเดา ( Neem tree ) มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ 2. ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage ) ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูง บำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์ 3. ต้นหอม ( Shallot ) มีน้ำมันหอมระเหย บรรเทาอาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง 4. แครอท ( Carrot ) เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับ คลอเลสเตอรอลได้ 5. หอมหัวใหญ่ ( Onion ) มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 6. คะน้า ( Chinese kale ) มีแคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง 7. พริก ( Chilli ) มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ 8. กระเจี๊ยบเขียว ( Okra ) ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบ 9. ผักกระเฉด ( Water mimosa ) ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร 10. ตำลึง ( Ivy gourd ) มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร 11. มะระ ( Chinese bitter cucumber ) มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด 12. ผักบุ้ง ( Water spinach ) บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอบำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด 13. ขึ้นฉ่าย ( Celery ) กลิ่นหอม ช่วยเจริญอาหาร มีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด 14. เห็ด ( Mushroom ) แคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูก และฟัน 15. บัวบก ( Indian pennywort ) มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมอง และความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ 16. สะระแหน่ ( Kitchen mint ) กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น ทำให้ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว 17. ชะพลู ( Cha-plu ) รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะ มีแคลเซียมสูง 18. ชะอม ( Cha-om ) ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับอนุมูลอิสระ 19. หัวปลี ( Banana flower ) รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง 20. กระเทียม ( Garlic ) ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็ก วิตามินซีสูง 21. โหระพา ( Sweet basil ) น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม 22. ขิง ( Ginger ) บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ 23. ข่า ( Galangal ) น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา 24. กระชาย ( Wild ginger ) บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ มีวิตามินเอ และแคลเซียม 25. ถั่วพู ( Winged bean ) ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว 26. ดอกขจร ( Cowslip creeper ) กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน 27. ถั่วฝักยาว ( Long bean ) มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด 28. มะเขือเทศ ( Tomato ) มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง 29. กะหล่ำปลี ( White cabbage ) มีกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง 30. มะเขือพวง ( Plate brush eggplant ) ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส 31. ผักชี ( Chinese paraley ) ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอ และซีสูง 32. กุยช่าย ( Flowering chives ) มีกากใยช่วยระบายของเสีย มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง 33. ผักกาดหัว ( Chinese radish ) แก้ไอ ขับเสมหะ เพิ่มภูมิต้านทางโรค มีสารช่วยให้กระเพาะอาหาร และลำไส้บีบตัวได้ดี 34. กะเพรา ( Holy basil ) แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้ 35. แมงลัก ( Hairy basil ) ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ 36. ดอกแค ( Sesbania ) กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นยาระบายอ่อน ๆ มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา 37. หญ้าอ่อน ( Young grass ) กินเพื่อเพิ่มความคึกคักให้ Old oxes ทำให้กระชุ่มกระช่วย หัวใจสูบฉีดเลือดดี ... ha ha ha !
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #78 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553, 20:34:12 » |
|
อาหารสมอง ... สำหรับผู้ที่ขี้หลงขี้ลืม
สุชาดา - เศรษฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา
คุณมีอาการเช่นนี้บ่อยแค่ไหน จำไม่ได้ว่าวันนี้จอดรถชั้นไหนนะ เอ..ผู้ชายที่ส่งยิ้มให้เมื่อกี๊หน้าตาคุ้นๆ ชื่ออะไรนะ ว่าแต่ว่าเมื่อเช้ากินยาก่อนอาหารแล้วหรือยัง จำได้ว่าจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมทั้งชั้นจอดรถ และเวลากินยา แต่เอาสมุดเล่มที่ว่าไปวางไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย
ความจำหายไปไหน ?
อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช Nutrition Consultant จาก Vital Life ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า โดยธรรมชาติแล้วเซลล์สมองเฉพาะส่วนจะตายไปตามวัย ทำให้คนเรามีปัญหาในเรื่องของความจำ หรือความสามารถในการจำลดลง และหลงลืมบ่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น
' โดยปกติแล้วความจำช่วงที่ดีที่สุด จะอยู่ในตอนที่คนเราอายุ 20 ปี หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ จนเห็นชัดเจนตอนอายุ 50 ปี '
คนทำงานในวัยสามสิบขึ้นไป แม้วัยยังห่างไกลห้าสิบ อาจสงสัยว่าทำมั้ยตนจึงมีอาการความจำตกๆ หล่นๆ สมาธิน้อยลง หลงลืมเป็นประจำ แถมบางครั้งยังรู้สึกเครียด หดหู่อยู่บ่อยๆ สาเหตุอาจไม่ใช่เพราะ ' ความแก่ ' มาเยือน อาจารย์ศัลยาวิเคราะห์ว่าเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตของแต่ละคน รวมไปถึงระดับ ' น้ำตาล ' ในเลือดด้วย เนื่องจากน้ำตาลเป็นหนึ่งในสารจำเป็นซึ่งส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์สมอง ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป การทำหน้าที่ของเซลล์สมองก็จะผิดปกติได้ ดังนั้นการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สม่ำเสมอ จึงมีผลดีต่อสมอง
อาหารเรียกความจำ
คุณกินอะไร ก็จะเป็นอย่างนั้น ประโยคสั้นๆ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน นักวิจัยอธิบายต่อว่าอาหารที่เรารับประทานในแต่ละคำ ยังส่งผลถึงสมาธิ ความจำ รวมไปถึงความเฉลียวฉลาดด้วย สิ่งที่เราไม่รู้ และควรรู้ก็คือ เซลล์สมองของคนเรามีจำนวนมากถึงร้อยพันล้านเซลล์ แต่ละเซลล์ก็มีความต้องการอาหารที่มีสารอาหารในการเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ประสาท การขาดสารอาหารเพียงบางชนิดแม้ในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ความจำลดลงได้ก่อนที่ร่างกายจะแสดงอาการออกมา
ในการทำงานของเซลล์สมองทุกๆ ตัว จะมีสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อสมอง ซึ่งช่วยสื่อสารจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งต่อๆ กันไป ระบบการไหลเวียนของเลือดจะนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ซึ่งการทำงานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีสารอาหารไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ พอที่จะทำให้สมองทำงานได้ดีตลอดชีวิตหรือไม่
อาหารดีมีประโยชน์สำหรับสมอง ช่วยให้เราคิดดี ทำดี มีความจำดี มีอะไรบ้าง แล้วเราต้องปฏิบัติตนอย่างไร
สารบำรุงสมอง
สมองต้องการอะไรบ้าง เริ่มต้นกันที่ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิค และกรดโฟลิค ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน อาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นมพร่องหรือขาดไขมัน กล้วย อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้
ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล
โคลีน ชื่อนี้ควรจำไว้ให้ดีเพราะเป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมอง และสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา
สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่งทำให้เซลล์สมองเสื่อม ส่งผลให้ความจำเสื่อม มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่าผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด พืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องการสมองเสื่อม ได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว
น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
กินดี สมองดี
หลักง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้ครบสูตรในแต่ละมื้อ โดยไม่ต้องมานั่งนับแคลอรีให้ปวดหัว อาจารย์ศัลยาแนะให้แบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ ข้าวธัญพืช และโปรตีน
อาหารเช้า ' สำคัญที่สุดคือ ต้องกินอาหารเช้า เนื่องจากสมองคนเราต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงาน ถ้าเราไม่รับประทานอาหารก็จะทำให้สมองขาดเชื้อเพลิงในการทำงาน '
อาจารย์ศัลยา กล่าวถึงผลวิจัยที่พบว่า คนที่รับประทานอาหารเช้า จะขาดโรงเรียนหรือขาดงานน้อยกว่า รวมไปถึงการทดสอบทางคณิตศาสตร์ สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ ความรวดเร็วในการแก้ปัญหา การรำลึกความจำ ความแม่นยำในการทำงานดีขึ้น แถมยังมีอารมณ์ดีกว่าคนไม่กินข้าวเช้าอีกด้วย
คราวนี้เรามาดูกันสิว่า อาหารเช้าแบบไหนที่เป็นของ ' ต้องการ ' หรือ ' ต้องห้าม '
อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ได้แก่ ซีเรียลผสมนมพร่องมันเนย หรือนมถั่วเหลือง ผลไม้ 1 ชนิด และน้ำผลไม้ ( ไม่ผสมน้ำเชื่อม) 1 แก้วเล็ก
ถ้าอยากรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ขอแนะนำเป็น ไข่ดาว ขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว งดไส้กรอก แฮม เพราะมีไขมันสูง กาแฟ 1 ถ้วย อนุญาตให้เติมน้ำตาล 1 ช้อนชาพอ
อาหารเช้าแบบไทยๆ แนะนำให้รับประทานข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มปลา เสริมผัดผัก 1 จาน หรือข้าวโพด 1 ฝัก นมถั่วเหลือง 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วเล็ก มะละกอ 1 เสี้ยว นี่คือตัวอย่างของอาหารเช้า คุณภาพดี
อาหารกลางวัน อาหารไขมันสูง หรือน้ำตาลสูง นอกจากจะทำให้ง่วงนอนแล้ว สมองก็ไม่แล่นอีกด้วย ฉะนั้นมื้อเที่ยงจึงไม่ควรเป็นมื้อหนัก มีโปรตีนเล็กน้อย ธัญพืชไม่ขัดสีมากหน่อย จะช่วยให้สมองตื่นตัวตลอดเวลา อาหารแนะนำ ได้แก่ แซนด์วิชทูน่าขนมปังโฮลวีท สลัด ( น้ำสลัดไขมันต่ำ ) 1 จาน น้ำผลไม้ และผลไม้สด หรือก๋วยเตี๋ยวน่องไก่ใส่เส้นน้อยๆ ผักเยอะๆ ไม่ใส่กระเทียมเจียว ไม่รับประทานหนังไก่ หรือถ้าอยากรับประทานสปาเกตตีสักจานก็ขอให้เพิ่มสลัดอีก 1 จาน
ไม่แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพราะมีไขมันมาก เปลี่ยนเป็นราดหน้าจะดีกว่า โดยเปลี่ยนจากเส้นใหญ่ เป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้
ชวนสมองออกกำลังกาย
การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่สมองต้องการ เป็นสิ่งที่จำเป็น วิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และโยคะ เป็นวิธีที่อาจารย์ศัลยาแนะนำ รวมไปถึงการออกกำลังกายสมองด้วยการท้าทายในการทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ใช้ความคิด ลองหัดวาดรูป หรือเรียนดนตรี อย่าลืมว่าไม่มี อะไรแก่เกินเรียน
เมื่อสมองได้รับการท้าทายแล้ว ก็จะไม่เครียด สมอง ความคิดก็จะปลอดโปร่ง หากปฏิบัติตามคำแนะนำ ทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว คราวนี้ คุณคงจะไม่ต้องไปยืนทำสมาธิอยู่หน้าลิฟต์อาคารจอดรถเพื่อนึกว่า จอดรถไว้ที่ชั้นไหน ยามหนุ่มยิ้มให้ก็ไม่ต้องงงว่า เขาเป็นใคร อีกต่อไป
สมูทตี้สูตรสดชื่น
ส่วนผสม : แครอท 4 หัว แอปเปิล 1 ผล ขิงเล็กน้อย พริกหวานสีแดง 1/2 เม็ด ผิวมะนาวเล็กน้อย ซอสโทบาสโก้นิดหน่อย
วิธีทำ - นำมาปั่นรวมกัน รินใส่แก้วรับประทานทันที ไม่ควรทิ้งไว้
เมนูบำรุงสมอง : ซุปถั่ว ซุปมันฝรั่ง ซุปฟักทอง แกงกะหรี่ผักอินเดีย ต้มยำปลา ต้มยำกุ้ง เต้าหู้ผัดผัก หลายๆ สี ผัดเปรี้ยวหวานไก่
เคล็ดลับเพิ่มความจำระยะสั้น ท่องหนังสือ ก่อนเข้าประชุม กินน้ำตาลปริมาณ 1 ช้อนชา จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น ในขณะเดียวกัน หากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า ขาดความกระตือรือร้น / กาแฟ วันละ 1 ถ้วย น้ำตาล 1 ช้อนชา เท่านั้นพอ
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #79 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2553, 23:27:22 » |
|
สารต้านมะเร็ง TNF ในกล้วยพี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมาBANANAS with dark patches on yellow skin. ... กล้วยที่มีจุดดำๆ บนผิว
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l2obrf-defcc0.jpg)
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l2obry-c9bd41.jpg)
The fully ripe banana produces a substance called TNF ( Tumor Necrosis Factor ) which has the ability to combat abnormal cells. กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF ( Tumor Necrosis Factor ) ซึ่งสามารถต่อต้านเซลล์ที่ผิดปกติได้
As the banana ripens, it develops dark spots or patches on the skin. ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น The more dark patches it has, the higher will be its' immunity enhancement quality. ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้น ก็จะยิ่งมีคุณสมบัติในการสร้างภูมิต้านทานได้มากขึ้น
According to a Japanese scientific research, banana contains TNF which has anti-cancer properties. The degree of anti-cancer effect corresponds to the degree of ripeness of the fruit, i.e. the riper the banana, the better the anti-cancer quality.. จากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น กล้วยจะมี TNF ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง ยิ่งกล้วยสุกมาก ก็จะยิ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งได้มาก
In an animal experiment carried out by a professor in Tokyo University comparing the various health benefits of different fruits, using banana, grape, apple, water melon, pineapple, pear and persimmon, it was found that banana gave the best results. It increased the number of white blood cells, enhanced the immunity of the body and produced anti-cancer substance TNF. ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่ง แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวได้ทำการทดลองในสัตว์ เพื่อเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ โดยใช้กล้วย องุ่น แอปเปิล แตงโม สับปะรด แพร์ พลับ พบว่ากล้วยทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด จึงเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNFได้มากที่สุด
The recommendation is to eat 1 to 2 banana a day to increase your body immunity to diseases like cold, flu and others. คำแนะนำคือให้กินกล้วยวันละ 1-2 ผล เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรคต่างๆ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ
According to the Japanese professor, yellow skin bananas with dark spots on it are 8 times more effective in enhancing the property of white blood cells than the green skin version ศาสตราจารย์ญี่ปุ่นพบว่า กล้วยทีมีเปลือกสีเหลือง และมีจุดดำๆ หลายๆ แห่งจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มเม็ดเลือดขาวได้มากกว่ากล้วยที่มีเปลือกสีเขียวถึง 8 เท่า
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l2obtm-055766.jpg)
บทความนี้เป็นความจริงครับ ... Necrosis แปลว่า การเปื่อยเน่าเปื่อยของเซลล์ ดังนั้น TNF ( Tumor Necrosis Factor ) ก็คือสารที่จะไปทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
กลไกการทำงานของ TNF คือ
1. เมื่อสาร TNF ไปจับตัวกับเซลมะเร็งจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้เซลมะเร็งไม่สามารถสร้างเอ็นไซม์ Superoxide Dismutase ได้ ( ซึ่งในเซลล์ปกติจะมีเอ็นไซม์ Superoxide Dismutase ต่อต้านฤทธิ์อนุมูลอิสระได้ ) นอกจากนี้ยังไปทำลายโครงสร้างโปรตีนของเซลล์มะเร็ง 2. TNF จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน ก้อนมะเร็งจึงขาดเลือดไปเลี้ยง
อย่างไรก็ตาม TNF ก็ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับทุกคน เพราะTNF ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ก็ย่อมจะทำให้เซลเกิดอาการอักเสบได้เช่นกัน เช่นในผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ-รูมาตอยด์ ถ้าได้รับสาร TNF มาก ก็จะยิ่งทำให้ข้ออักเสบมากขึ้น ต้องใช้ยาที่มาต้าน TNF เพื่อลดอาการอักเสบอีกต่อ
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #80 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553, 00:16:55 » |
|
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #81 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2553, 20:34:34 » |
|
เทคนิคการวิ่ง ไม่ให้ปวดเข่าจาก : เดลินิวส์ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 22 พฤษภาคม 2553 เวลา 0:00 น. http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=67055 การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย แต่บางครั้งอาจเกิดอาการปวดเข่า นั่นเป็นเพราะออกกำลังกายไม่ถูกวิธี วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเทคนิคการวิ่งไม่ให้ปวดเข่ามาบอก ...
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l2tpn2-560d57.jpg)
- ควรอบอุ่นร่างกาย และยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ โดยเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ก่อนที่จะวิ่งเต็มที่ รวมทั้งควรยืดกล้ามเนื้อรอบเข่า และข้อเท้าทุกครั้ง เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย โดยการเหยียดเข่าตรง และเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาค้างไว้ 5 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 10-20 ครั้งต่อวัน
- เลือกซื้อรองเท้าวิ่งให้เหมาะสม รองเท้าที่ใช้ควรมีพื้นกันแรงกระแทกที่เพียงพอ และมีความกระชับพอดีกับเท้า
- ควรตรวจดูลักษณะเท้าว่าผิดปกติหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่พบคือ ภาวะเท้าแบน เวลาวิ่งนานๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดเข่า และข้อเท้าได้
- ไม่ควรวิ่งก้าวเท้ายาวเกินไป หรือยกเข่าสูงเกินไป เพราะทำให้ข้อเข่าต้องงอมากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่ายขึ้น
- ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า ปวดกล้ามเนื้อน่อง และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านต่อข้อเข่า ทำให้ต้องงอเข่ามากขึ้นขณะวิ่ง และอาจทำให้เกิดการปวดเข่าด้านหน้าได้
เพียงเท่านี้ก็สามารถออกกำลังกายโดยการวิ่งได้อย่างไม่ปวดเข่าแล้วค่ะ
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #82 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 21:16:47 » |
|
Salt Cave Bangkok แห่งแรกในเอเซียเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาภูมิแพ้ หมดห่วง ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพช่วยได้ ! ... เปิดแล้ว ใจกลางกรุงเทพ ที่แรกในเอเชีย
จากสถิติของคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ด้วยเพราะสภาวะอากาศ และมลพิษที่เกิดขึ้นมากมาย การรักษาทางการแพทย์ที่คนส่วนใหญ่มีอาการดังกล่าวนั้น ต้องใช้ยาเพื่อการบำบัดรักษา รวมทั้งการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ และบางคนเป็นขั้นรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
Salt Cave Bangkok at The Manor 39 หรือถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพแห่งแรกในประเทศไทย ในซอยสุขุมวิท 39 และแห่งแรกในเอเชีย อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อาทิเช่น หอบหืด , หลอดเลือดอักเสบเรื้อรัง , หลอดลมตีบ , ถุงลมโป่งพอง , อาการไอที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ทั้งสูบโดยตรงและได้รับควันจากผู้อื่น , คออักเสบ , ไซนัสอักเสบ , อาการแพ้ฝุ่นและละอองเกสร , อาการเครียดและอ่อนเพลียเรื้อรัง , หายใจขาดลม แน่นหน้าอก ฯลฯ
จากแนวความคิดของผู้บริหาร The Manor 39 ที่เล็งเห็นถึงคุณสมบัติของเกลือ “ Pharma Salt “ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา ในเรื่องของการฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และส่งผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาทางด้านระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งข้อมูลจากการวิจัยของต่างประเทศผ่านทาง CNN และ BBC ในเรื่องของถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพที่เกิดขึ้นแล้วในรัสเซีย , โปแลนด์ , อังกฤษ ประกอบกับแหล่งกำเนิดเหมืองเกลือ ในประเทศโปแลนด์ ที่วิจัยมาแล้วว่าผู้ที่ทำงานในเหมืองเกลือ และได้รับอณูเกลือนั้นไม่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพ “ Salt Cave ” จึงเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สามารถเข้าไปใช้บริการในถ้ำเกลือ แล้วสูดไอเกลือ “ Pharma Salt ” ที่มีอณูเกลืออยู่ภายในถ้ำ เพียงแค่ 45 นาที เสมือนเราไปนั่งอยู่ริมทะเล 3 วัน และภายในถ้ำเกลือนอกจากอณูเกลือที่ลอยอยู่ในบรรยากาศแล้ว ส่วนผนัง และพื้น ก็เต็มไปด้วยเกลือสินเธาว์บริสุทธิ์ ส่งผลให้มีประจุลบช่วยในเรื่องการดูดซึมแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคที่มีอยู่ในระบบทางเดินหายใจ และประจุลบยังส่งผลช่วยทำให้ผ่อนคลายอีกด้วย
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l2vm3v-23c4d8.jpg)
“ Pharma Salt “ เป็นเกลือแห้งที่มีความบริสุทธิ์ 100 % ไม่มีส่วนผสมของไอโอดีน และแป้งมัน ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา ผู้ที่ใช้บริการจะรู้สึกดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรก และจะรู้สึกว่าอาการของโรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจทุเลาต้องใช้บริการอย่างน้อย 5 ครั้งขึ้นไป สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 02-662-5519 ทุกวัน หรือ www.saltcavebangkok.com
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l2vm4y-620245.jpg)
สอบถามมาแล้วครั้งละ 600 บาท ... แหล่งที่มา : Media Thai Post 2009-11-04 18:03:59
|
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
![*](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/star.gif) ![*](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/star.gif) ![*](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/star.gif)
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #84 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553, 15:43:41 » |
|
Note the #s on the Fruit Label รู้ไว้ใช่ว่า : ฉลากบนผลไม้
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l32li1-425b0f.jpg)
Conventional Fruit Labels - Four digits starting with 4 ฉลากผลไม้ทั่วไป - มีตัวเลขสี่หลัก ขึ้นต้นด้วย 4 เช่น 4 xxx
Organic Fruit Labels - Five digits and starts with number 9
ฉลากผลไม้ Organic ( ผลไม้ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี) - มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 9 เช่น 9 xxxx
Genetically Modified Fruits (GMO) -Start with the digit 8
ฉลากผลไม้ GMO ( ผลไม้ที่ปลูกโดยใช้พันธ์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม)
- มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 8 เช่น 8xxxx
So next time you go shopping, remember these critical numbers and know how to avoid purchasing inorganic and GMO fruits. Shop
Safe : This is good to know because stores aren't obligated to tell you if a fruit has been genetically modified .
ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณจะเลือกซื้อผลไม้ จำไว้ว่าตัวเลขสำคัญที่คุณควรรู้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการซื้อผลไม้ที่มีสารเคมีและผลไม้ GMO
So if you come across an apple in the store and it's label is 4922, it's a conventional apple grown with herbicides and harmful fertilizers.
ดังนั้น ถ้าคุณเห็นแอปเปิ้ล ที่มีรหัส 4922 แปลว่า แอปเปิ้ลนี้เป็นแอปเปิ้ลทั่วๆไป ที่ปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยปกติ
If it has a sticker 99222, it's organic and safe to eat.
ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 99222 แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ปลูกโดยวิธีปลอดสารเคมี และปลอดภัย
If it says 89222, then do not buy!!!! It has been genetically modified (GMO).
ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 89222 อย่าซื้อ!!!
แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม( GMO)
![ปิ๊งๆ](http://www.cmadong.com/board/Smileys/default/emo04.gif)
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|
Kittiwit Pk
Full Member
![*](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/star.gif)
ออฟไลน์
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 281
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #86 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2553, 16:38:10 » |
|
I like saltcave.
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #87 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 02:34:39 » |
|
คุณน้อง kitty-wit เป็นโรคภูมิแพ้ อยู่รึเปล่าคร้าบ บ บ บ บ น่าลองไปใช้บริการ แล้วนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ
คนเป็นไมเกรน ไม่ควรกินตับไก่
พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l3k3ln-076cb3.jpg)
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #88 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553, 15:55:09 » |
|
Can we eat to starve cancer ? - Must Watch ! !มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมาEvery one must watch this video ! ! http://www.ted.com/talks/william_li.html
ถึงคุณ William Li จะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็เราสามารถคลิกเลือก Subtitle เป็น English เสริมได้อีกนะคะ ... ฟังแล้วจะรักผัก-ผลไม้มากขึ้นอีกจมหูเลยล่ะ
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #89 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2553, 09:52:55 » |
|
8 นาที กับโยคะบนที่นอนมนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมาการออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแล้ว ยังทำให้เรามีสุขภาพดีอีกด้วย วันนี้เรามี เทคนิค วิธีการ ออกกำลังกาย เพื่อ สุขภาพ 8 นาที กับ โยคะ บนที่นอน มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ปกติแล้วการออกกำลังกายก่อนนอนจะทำให้ร่างกายตื่นตัว และนอนไม่หลับ แต่ Exercise Issue ฉบับนี้ ขอประเดิมการกลับมาอีกครั้งด้วยโยคะ 5 ท่า เพื่อการนอนหลับสนิทแสนสบาย ทำง่ายในเวลาเพียง 8 นาที ที่สำคัญคือทำบนเตียงนอนก็ได้ ทำเสร็จก็หลับปุ๋ยไปได้เลยค่ะ
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l48qgo-1ef8a1.jpg)
นาทีที่ 1-2 ด้วยการนอนยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น ขยับตัวให้ขาและสะโพกแนบชิดกับผนัง หงายฝ่ามือขึ้น อยู่ในท่านี้จนรู้สึกว่าขาและแผ่นหลังเริ่มตึง
นาทีที่ 3 ด้วยการนั่งขัดสมาธิบนที่นอน วางมือขวาไว้บนหัวเข่าซ้าย หันหน้าและบิดลำตัวไปพร้อมๆ กับวาดมือซ้ายไปท้าวไว้ด้านหลังสะโพก แขนเหยียดตรง ทอดสายตามองข้ามหัวไหล่ หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ทำสลับอีกข้าง นาทีที่ 4 - 5 เริ่มต้นจากท่าศพ คือ นอนหงาย กางขาออกช่วงห่างประมาณความกว้างของไหล่ กางแขนออกจากลำตัวเล็กน้อย หงายฝ่ามือขึ้น ปล่อยตัวตามสบาย จากนั้นงอเข่าเข้ามาเล็กน้อยจนฝ่าเท้าประกบกันได้ หากรู้สึกเมื่อยขาให้นำหมอนมารองใต้เข่าทั้งสองข้าง นาทีที่ 6 - 7 นั่งบนฝ่าเท้า ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ค่อยๆ โน้มตัวลงจนหน้าผากจรดที่นอน ให้หน้าอกชิดกับหัวเข่ามากที่สุด แขนทั้งสองเหยียดตรง หายใจเข้าและออกช้าๆ นาทีที่ 8 นอนหงาย ปลายเท้าชิด งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นให้ปลายเท้าไขว้เข้าหากัน เอามือกอดเข่าดึงให้เข้ามาชิดหน้าอกมากที่สุด พยายามเกร็งตัวขึ้น แล้วโยกตัวไปมาเพื่อนวดกระดูกสันหลัง ทำต่อเนื่องจนครบนาที จากนั้นนอนลงแล้วค่อยๆ กางแขนขาออกอยู่ในท่าศพ ผ่อนลมหายใจจนกระทั่งหลับไป
โยคะ 8 นาทีนี้ นอกจากจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายแล้ว การหายใจเข้าและออกเป็นจังหวะช้าๆ ยังช่วยขจัดความคิดฟุ้งซ่านและปรับสภาพจิตใจให้เกิดสมดุล คุณจึงนอนหลับสนิทได้ทั้งตลอดคืนค่ะ
|
|
|
|
|
Kaimook
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #91 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 23:20:09 » |
|
สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ เข้ามาอ่านเรื่องดีๆ ค่ะ ยังไม่ครบทีค่ะ พรุ่งนี้อ่านใหม่ค่ะ คืนนี้หลับฝันดีนะคะ ![sleep](http://www.cmadong.com/board/Smileys/default/emo40.gif)
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #92 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 23:31:37 » |
|
ราตรีสวัสดิ์ จ้า น้องอ้อย ...
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #93 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2553, 20:37:52 » |
|
การบริหารกาย-แกว่งแขนนุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมาคุยเฟื่อง เรื่องแกว่งแขน ... โดย เสริมพงษ์ คุณาวงศ์
![](http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l4vs6f-9d26f6.jpg)
ทุกวันนี้คนเรามีความสนใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะวิถีชีวิตการกินการอยู่ และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้เราต้องสนใจที่จะปรับตัว เพื่อมีชีวิตที่มีคุณภาพ เป็นความจริงที่ว่า “ แม้รวยล้นฟ้า ถ้าร่างกายไม่ดีก็หาความสุขได้ยาก ” ยิ่งโลกเราในวันนี้มีโรคภัยใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง การสร้างความแข็งแรง และภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ยิ่งจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับพ่อค้าแม่ขาย คนทำงานกินเงินเดือน อาจไม่สะดวกที่จะไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะยามเช้า ซึ่งถ้าทำได้ประจำจะดีมาก โอกาสนี้จะขอเสนอการบริหารกายที่ฝึกง่าย ได้ผลแน่นอน ไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์ใดๆ และสามารถบำบัดรักษาป้องกันโรคได้มากมายหลายโรค การบริหารนี้คือ การแกว่งแขน
การแกว่งแขน เป็นการบริหารกายที่เผยแพร่ครั้งแรกที่ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นศาสตร์ที่พัฒนามาจากคัมภีร์ปรับเปลี่ยนเส้นเอ็น ( ตั๊กม้ออี้จินเก็ง ) ของพระโพธิธรรม ( ตั๊กม้อโจวซือ ) แห่งวัดเส้าหลิน ( เสียวลิ้มยี่ ) มีคนศรัทธาปฏิบัติจนเห็นผลเป็นจำนวนมาก จนแพร่หลายมาหลายสิบปี ผมสนใจการแกว่งแขน เพราะสนใจฝึกรำมวยไทเก็กมาสิบกว่าปีแล้ว ทราบว่ามวยไทเก็ก ท่านปราจารย์จางซันเฟิง ( เตียซำฮง ) คิดค้นมวยไท่จี๋ฉวน หรือมวยไทเก็ก จากคัมภีร์วัดเส้าหลิน กับคัมภีร์โบราณอี้จิน และปรัชญาลัทธิเต๋า ประกอบกับการสอบถามผู้รู้ยืนยันว่า การแกว่งแขนมีผลดีต่อการหมุนเวียนของเลือดลมจริง และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี ฟื้นฟูร่างกายที่เพิ่งหายป่วยได้ ตลอดจนเสริมการบำบัดรักษาโรคได้เป็นอย่างดี
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การบริหารกายเกิดผลดีก็คือ ต้องเชื่อมั่นฝึกฝนต่อเนื่อง หมั่นสังเกตพิจารณา ปรับปรุงการฝึกให้ถูกต้อง และสำรวจผลที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ หัวใจสำคัญคือการผ่อนคลายร่างกาย เลือดลมจะหมุนเวียนได้สะดวก ถ้าใจรับรู้การเกร็งได้ก็ให้คลายลง รู้อาการตึงหย่อนขณะแกว่งได้ยิ่งดี
การเตรียมตัว ก่อนการฝึกให้ขับถ่ายหนักเบาให้เรียบร้อยก่อน ไม่ควรหิว หรืออิ่มเกินไป ถ้ารับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ให้เว้นเวลาอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง ถ้าเหนื่อย หรือเพลียควรพัก และอาบน้ำหรือเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สบายก่อนฝึกจะได้ผลดีกว่า การฝึก ถ้าเปลือยเท้าเปล่าได้ดีมาก ข้อควรระวังถ้ายืนฝึกบนพื้นปูนต้องมีผ้าหรือพรมรอง เพราะพื้นปูนจะถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายอาจทำให้ป่วยได้ และควรทดสอบให้แน่ใจว่าไม่ลื่นด้วย สถานที่ฝึก ต้องมีอากาศถ่ายเท ไม่มีฝุ่นควันกลิ่นเหม็นอับ ถ้าเปลือยเท้ายืนบนพื้นหญ้า ยามเช้าในสวนสาธารณะ หรืออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ได้จะดีที่สุด
วิธีการแกว่งแขน มีหลักการสำคัญดังนี้
๑. ยืนตรง กางขากว้างเท่าช่วงไหล่ หย่อนก้นเล็กน้อยเข่าไม่ตึง การวางเท้า ปกติจะวางปลายเท้าออกข้าง ถ้าไม่มีปัญหาการทรงตัวอยากเสนอให้ยืนให้ส้นเท้า และปลายเท้าทั้งสองข้างขนานกัน หรือบิดปลายเท้าทั้งสองให้เข้าหากันเล็กน้อย จะส่งผลดีมากขึ้น ลำตัวให้ตั้งตรงศีรษะเหมือนถูกแขวนลอย รู้สึกเหมือนลำคอยืดขึ้นเล็กน้อย เก็บคางเล็กน้อย หน้าไม่ก้ม ลำตัว ลำคอ ศีรษะ ผ่อนคลายไม่เกร็ง
๒. ผ่อนจม ผ่อนน้ำหนักตัวจมผ่านเท้าทั้งสอง ให้ความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะ บ่า อก ลำตัว ถึงเอว เบาสบาย ให้ความรู้สึกตั้งแต่สะโพก ท่อนขา ถึงเท้า หนักแน่นมั่นคง ๓. นิ้วเท้าจิกแน่น นิ้วเท้างอจิกลงพื้น ส้นเท้ากดแน่น แต่ไม่เกร็ง น้ำหนักตัวส่งผ่านเท้าจมสู่พื้นดิน
๔. แขนปล่อยข้างตัวสบายๆ ไหล่ลู่ลง หัวไหล่เบาสบาย ฝ่ามือหันไปด้านหลัง นิ้วมือปล่อยสบายๆเป็นธรรมชาติ ขณะแกว่งแขนไหล่ผ่อนเบาไม่ฝืดฝืน ศอกหนักถ่วง ข้อมือนิ้วมือทุกข้อเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
๕. ปล่อยวางว่างเบา ก่อนเริ่มแกว่งแขน ปล่อยวางความคิดคำนึงมาอยู่กับการรู้เนื้อรู้ตัว สายตาหลบต่ำ หรือมองที่จุดใดจุดหนึ่งเพื่อสำรวมใจไม่ให้วอกแวก
๖. เหวี่ยงหลังปล่อยหน้า เหวี่ยงแขนไปด้านหลังตรงๆ สบายๆ เน้นเหวี่ยงไกลมากกว่าเหวี่ยงแรง ให้เป็นไปตามธรรมชาติตามกำลัง ห้ามฝืน และควรเริ่มอย่างเบาๆ ก่อน เมื่อเหวี่ยงไปหลัง แล้วปล่อยให้แขนแกว่งออกหน้าด้วยแรงเฉื่อย หากแกว่งแขนชำนาญแล้วสุดจังหวะเหวี่ยงออกหน้า ให้สปริงนิ้วเหยียดออก จังหวะเหวี่ยงหลังเพิ่มแรงเหวี่ยงไกล ศอกถ่วง ข้อมือปล่อยอิสระ หัวไหล่เป็นเพียงจุดหมุน
๗. หย่อนก้นขมิบฝีเย็บ จังหวะเหวี่ยงแขนไปหลัง ให้เก็บก้น หรือหย่อนก้นเหมือนจะเริ่มนั่ง ( ไม่ต้องหย่อนมาก ) การปฏิบัติมักจะผิด เพราะงอเข่าก่อน ให้หย่อนก้นหงาย เชิงกรานเข่าจะงอไปข้างหน้าเอง ไม่จำเป็นย่อต่ำ เมื่อทำถูกจะรู้สึกกดแน่นที่ฝ่าเท้าให้หาตำแหน่งกายที่นำหนักตัวตกผ่านกลางฝ่าเท้า เมื่อยืนได้เข้าที่แล้ว กล้ามเนื้อขาไม่ควรเกร็ง ในจังหวะแกว่งแขนไปด้านหลัง ให้หดท้องน้อยพร้อมๆกับขมิบฝีเย็บ ( ส่วนที่อยู่ระหว่างทวารหนักกับอวัยวะเพศ ) สะโพกหมุนช้อนไปข้างหน้า ทั้งหมดนี้อาจต้องใช้เวลาฝึกสักหน่อยก็จะทำได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเหมือนกับตอนที่วาดพายขณะพายเรือ สะโพกจะไปข้างหน้าในจังหวะที่พายไปข้างหลัง
๘. แกว่งในจำนวนครั้งที่ให้ผลอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าการทำให้ถูกวิธีจะสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับเป็นการแกว่งแขนที่มากพอ และทำโดยสม่ำเสมอ ควรเริ่มที่ ๒๐๐ – ๓๐๐ ครั้ง สังเกตตัวเองว่ารู้สึกสบายดี ไม่เหนื่อยไป แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งที่ให้ผลดีสำหรับคนทั่วไปจะอยู่ที่ ๑,๕๐๐ – ๒,๐๐๐ ครั้งต่อรอบ เราอาจทำ ๒ -๓ รอบต่อวันตามกำลัง อย่าลืมนะครับ อย่าฝืน อย่ารีบเพิ่ม ให้ค่อยๆ ทำอย่างสบายๆ จะได้ผลที่ดีจริงนะครับ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาจต้องการให้ได้ผลเร็วจนอาจฝืนตัวเอง ควรมีคนคอยช่วยสังเกตว่า ควรทำมากเท่าไรจะช่วยให้ปลอดภัย และได้ผลดีขึ้น
เมื่อแกว่งแขนเสร็จไม่ควรนั่งทันที ควรยืนหรือเดินสักครู่ ให้ร่างกายได้ปรับการหมุนเวียนเลือดลมก่อน แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อยยืนไม่ไหว ให้นอนราบจนหายเหนื่อย การนอนบนพื้นปูน พื้นหินที่เย็นต้องมีผ้า หรือที่นอนแข็งรอง เพื่อไม่ให้ร่างกายที่ร้อนจากการบริหารกายกระทบความเย็นกระทันหัน อาจทำให้ป่วยได้
อยากเชิญชวนอากง อาม่า อาเจ็ก อาแปะ อาเฮีย อาแจ้ อาซ่อ และเพื่อนพ้องน้องพี่ ทุกชาติทุกภาษา ทุกๆ ท่านมาออกกำลังกายเพื่อความสุขสบายของเราเอง จะชอบอย่างไหนก็ดีทั้งนั้น ขอให้ทำให้สม่ำเสมอเถอะครับ สวัสดีครับ
ปรับปรุงล่าสุด ๒๘ มิ.ย. ๒๕๕๓
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
๑. กายบริหารบำบัด ด้วยวิธีแกว่งแขน ศักดิ์ อนุสรณ์ สนพ. สุขภาพใจ
๒. กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม ( ต๋าโม๋อี้จินจิง ) รัศมีธรรม เรียบเรียง
๓ ชี่กง พลังสร้างสุข นพ.เทอดศักดิ์ เดชคง บ. อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง
|
|
|
|
Kaimook
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #94 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2553, 23:18:20 » |
|
ขอบคุณพี่เจี๊ยบค่ะ การแกว่งแขนดีจังค่ะ น้ำอ้อยก็แกว่งค่ะ ...
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #95 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 09:04:28 » |
|
จ้า ... น้องอ้อยออกกำลังกายด้วยวิธีไหนบ้าง ? เล่าสู่กันฟังมั่งซี่ !มะเร็ง คีโม และการดำรงชีวิตเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา หลังจากหลายปี ที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำทางเลือกอื่นๆ อีก ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์ ...
1. ทุกๆ คนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้ เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นได้ 6 ครั้ง ถึงมากกว่า 10 ครั้ง ในช่วงอายุของคนๆ หนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเรงจะถูกทำลาย และป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัว และกลายเป็นเนื้องอก
4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆ นั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและ ปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การทำคีโม คือ การให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันมันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
7. การฉายรังสี แม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสี มักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆ พบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้ หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆ นั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิด และทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
10. การทำคีโม และการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
อะไร คืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง ?
a. น้ำตาล คืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาล คือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือ น้ำผึ้งมานูคา ( จากนิวซีแลนด์ ) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หร อเกลือทะเลแทน
b. นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะไ้ด้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่าย และซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกาย และส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่ รวมทั้งถั่วที่มีหน่อ หรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C ) e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดี และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่า และมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงด หรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [ inositol hexaphosphate หรือ phytic acid ], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเ ช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุก และการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง .... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียด และมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรัก และจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย และมีความสุขกับชีวิต
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้น ลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ท
|
|
|
|
Kaimook
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #96 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2553, 22:50:19 » |
|
สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ ...
พี่เจี๊ยบขราาาา น้ำอ้อยออกกำลังกายคือ เดินค่ะประมาณ 4 กิโลค่ะ โยคะ ( ทำบางวันค่ะ ) ว่ายน้ำ แกว่งแขน 500 ครั้งค่ะ ... ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำค่ะ เพราะเจ็บขาค่ะ ก่อนหน้านี้ตกบันไดค่ะ เลยหยุดการออกกำลังกายสักพักค่ะ ...
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #97 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2553, 10:25:38 » |
|
น้องอ้อยเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย และได้ปฏิบัติจริงๆ ด้วย ดีจังค่ะ
|
|
|
|
Kaimook
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #98 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2553, 21:44:36 » |
|
พี่เจีียบไม่อยู่หลายวันแล้วนะคะ... ![ปิ๊งๆ](http://www.cmadong.com/board/Smileys/default/emo04.gif)
|
|
|
|
Jiab16
|
![](http://www.cmadong.com/board/Themes/default/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #99 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2553, 12:43:32 » |
|
มาแล้วจ้า ... มีเรื่องกายบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง สำหรับคนเป็นโรคปวดหลัง มาฝากด้วยนะคะ ...
วันละ 150 วินาที เพื่อห่างไกลโรคปวดหลัง
นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา
ผู้เขียนมีโรคประจำตัวคือ โรคปวดหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท และเป็นต่อเนื่องมานานร่วมยี่สิบปี ผ่าตัดมาแล้วสองครั้ง นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่สามมาแล้วสามวันที่โรงพยาบาลเลิดสิน ก่อนคณะแพทย์มีความเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะอาการไม่รุนแรงถึงขั้นดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี ได้รับการรักษา และคำแนะนำจากแพทย์หลายท่านที่มากไปด้วยประสพการณ์ รวมทั้งที่ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ จนวันนี้มีอาการดีขึ้นจึงอยากสรุปความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วม ชะตากรรมคนอื่นๆ อาการเริ่มต้นครั้งแรก เกิดจากก้มตัวลงยกของอย่างไม่ถูกท่าทาง มีอาการแปล๊บขึ้นที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ขณะนั้นขยับขาทั้งสองข้างต่อไม่ได้ รอไม่ถึงห้านาทีเริ่มทุเลา จึงค่อยๆ ขึ้นรถขับไปหาหมอด้วยตนเอง แต่ยังคงเดินแบบลากขาอย่างช้าๆ หมอที่คลินิคให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อคงอักเสบ จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบให้ กลับไปบ้านต้องหยุดงาน เพราะเดินไม่สะดวกไปสามวัน
หลังจากนั้นอาการแปล๊บๆ ข้างต้นก็จะเกิดกับตนเองปีละสองสามครั้งอยู่หลายปี ทุกครั้งต้องหยุดพักผ่อนอย่างน้อยสามถึงสี่วัน เพราะลุกเดินไม่ไหว จนไปพบแพทย์ออร์โธปีดิคเฉพาะทางซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด รักษากันอยู่นานเป็นปี โดยเริ่มจากยากิน ยาฉีด และเอ็กซเรย์แบบคอมพิวเตอร์ ติดตามดูอาการ จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่ รพ.บำรุงราษฎร์ กทม. ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ภาพจากฟิล์มฟ้องว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวาง และดันไขสันหลัง และเส้นประสาทจนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า หมอตัดสินใจผ่าตัด เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกรานมาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป เวลาผ่านไประยะนึงมันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน งานนี้ต้องหยุดพักรักษาแผลไปร่วมเดือน
หลังผ่าตัดก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นระยะๆ จากสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี แต่อาการดูเหมือนมันยังไม่หายขาด แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบน และล่างด้วยโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสี หรือกดทับเส้นประสาทอีก งานนี้ต้องพักรักษาแผลไปเกือบสามอาทิตย์ แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้าไม่ได้หายขาดไป เลยรู้สึกปลงๆ และไม่สนใจอะไรมากมายอีก นานๆ เป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆ สักครั้งนึง เลยถือโอกาสยอมรับว่ามันคงเป็นอย่างนี้แหละจนเวลาล่วงเลยไปไปอีกหลายปี
ประมาณปี 2544 ก็เริ่มเกิดอาการปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น ไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำรพ.เลิดสิน เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เอ็กซเรย์ไปหลายครั้งทั้งธรรมดา และแบบสแกนคอมพิวเตอร์ แต่ก็เห็นไม่ชัด เลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมากจนดูไม่รู้เรื่อง เพราะมีโลหะอยู่ข้างใน สุดท้ายคุณหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ ครั้งนี้พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มอีกสองตำแหน่ง คือ ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน ซึ่งคุณหมอบอกว่าเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบน และล่างมากกว่าปกติ ... เฮ้อ ! ... เวรกรรม ไม่รู้เพราะตอนเด็กไปตีงูหลังหักไปหลายตัวจนตาย กรรมเลยตามสนองในชาตินี้เลยหรือปล่าว ...
สุดท้ายหมอนัดให้ไปนอนรอที่ รพ.เลิดสิน เพื่อผ่าตัด นอนรออยู่สามวันคณะแพทย์ของรพ.เลิดสิน มาแจ้งผลว่ายกเลิกนัดที่จะผ่าตัด เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำซากหลายๆ ครั้ง เลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายครั้งต่อไป จนกระทั่งปี 2546 ต้องโยกย้ายไปช่วยงานที่เมืองจีนสามปี ระหว่างอยู่ที่นั่นก็นับว่าโชคดีที่เกิดการปวดรุนแรงไม่บ่อยมาก ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะรีบกินยากันไว้ และระวังท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ให้เสี่ยงเจ็บเป็นกรณีพิเศษ ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย ต้องแวะหาหมอเพื่อตรวจอาการ และขอยาไปสำรองไว้ครั้งละร่วมหมื่น มีอยู่หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านได้รับคำแนะนำให้ไปหาหมอคนนั้น คนนี้ ซึ่งแต่ละท่านมีชื่อเสียงระดับประเทศ ก็ลองไปขอคำปรึกษามาแล้วทั้งนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าช่วงทำงานในจีนจะไม่เกิดปัญหาบาดเจ็บรุนแรงจนเสียการเสียงาน
มีคุณหมอท่านหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาฯ สรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า โรคนี้น่ะมันรักษาไม่หายขาดหรอก หากเจ็บบ่อย หรือชาลงขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว และถ้าเจ็บจุดอื่นต่อไปก็ต้องผ่าตัดไปเรื่อยๆ แต่มีทางช่วยป้องกัน และลดโอกาสการเจ็บปวดได้ โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง เพื่อยึดโยงกระดูกสันหลังให้มั่นคง ซึ่งฟังดูแล้วก็เห็นคล้อยตามที่หมอบอกเลยว่าจริง แต่หมอสอนท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมาให้หลายท่า ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมง และไม่เหมาะกับคนขี้เกียจบริหารตัวเอง และคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบริหารอย่างไร เพราะผมเองทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้ เอาเป็นว่าตอนนี้เริ่มเก็ทแล้วว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่กล้ามเนื้อหลัง
หลังจากย้ายกลับจากจีน เพราะสุขภาพโดยรวมไม่เอื้ออำนวยให้ลุยงานที่ต้องสมบุกสมบันที่นั่น เมื่อเกิดอาการปวดอีกก็เลยไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่มักจะหาอยู่เป็นประจำที่ รพ.กรุงเทพฯ คุณหมอเองก็พยายามจะบอกว่า ฟังประวัติการรักษาที่ผ่านมา ถ้าท่านเป็นผู้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกๆ ท่านจะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง หลังแผลหายดีแล้ว ซึ่งหากทำมาตั้งแต่แรกก็คงจะช่วยทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนในตอนนี้ เพราะกายภาพบำบัดโดยบริหารกล้ามเนื้อหลังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีกต่อไป เพียงแต่เราต้องไม่หลีกเลี่ยงบริหารเป็นประจำทุกวัน ซึ่งหลังจากคุณหมอได้อธิบายวิธีการบริหารแล้ว รู้สึกได้เลยว่าหมูมาก และใช้เวลาน้อยมากๆ ต่อวัน จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้สองสามเดือนแล้ว รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น พร้อมกับหน้าท้องก็เฟิร์มขึ้น ที่สำคัญอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่เป็นบ่อย แต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหน้าหายขาดไปเลย ทั้งที่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาชักเริ่มมีปัญหาถี่มาก จนคุณหมอเองยังออกปากว่าถ้าลองบริหารแล้วไม่ดีขึ้น ก็คงต้องผ่าตัดแน่นอน ด้วยก่อนหน้านี้อัดไปทั้งยาฉีด, ยารักษา, ยาบำรุงเต็มพิกัดแล้ว เมื่อผลออกมาว่าอาการปวดหายเหมือนปลิดทิ้งอย่างนี้ เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าทำยังไง ?
เอ้าฟังนะ ... ตื่นเช้าทุก วันให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้
* นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิด กัน
* ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้น ประมาณหนึ่งฟุต ( ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้ )
* ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบ วินาที
* ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพัก ห้าวินาที ... ดังนี้คือหนึ่งเซ็ท
* ทำติดต่อกันรวมสิบเซ็ท นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวม 150 วินาทีต่อวันเท่านั้น
เห็น แล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ
@ แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่ม น้ำหนัก 500 กรัมถ่วงไว้ ( อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป )
@ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะ ค่อยๆ สร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลังเพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ
@ น้ำหนักถ่วงที่เพิ่มขึ้น จะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว ... แต่น้ำหนักขั้นต่ำที่แต่ละคนต้องยกให้ได้ มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ
น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว – น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10
โดยปรกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณ 10 กิโลกรัม ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติ ก็ปรับเพิ่ม หรือลดเอาตามความเหมาะสม ( อย่าบอกว่าขาสองข้างหนัก 50 โลนะ ) หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละ 150 วินาที จะช่วยให้ผู้เป็นโรคปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์ จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย ส่งต่อมากๆก็ได้บุญอีกมากๆ นะครับ
วิวัฒน์ อัครวิเนค
|
|
|
|
|