Kittiwit Pk
Full Member
ออฟไลน์
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 281
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553, 21:32:19 » |
|
Ummh Good topic and I want to stay young.
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #127 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553, 23:40:19 » |
|
คนขายสุนัข และลูกสุนัข 7 ตัวสุภัทรา - เภสัช 16 ... ส่งมาร้านค้าแห่งหนึ่งติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง
วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่
" เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ ? " เด็กบอกอย่างสุภาพ
" อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ " เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา
เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งต้วมเตี้ยมออกมาทีละตัว เขานับ ... แต่ก็มีแค่ 6 ตัวเท่านั้น " ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ ? " เด็กชายถาม เจ้าของร้านตอบว่า " อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้ "
สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า
" หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ ? "
" ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ " เจ้าของร้านตอบ เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียง 450 บาทเท่านั้น
" ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ " เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า " โอ๊ะ ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย " เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า
" ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้ ? "
" ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม ? " เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า
" คุณอาดูอะไรนี่สิครับ " ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่าขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้
" คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ ? " เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า " ผมจะซื้อหมาตัวนี้ในราคา 2,000 บาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอาขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละ 100 บาท ทุกเดือน จนครบ 2,000 บาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ ? "
เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชาย และกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก
..................... นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก
ที่มา : นิทานสีขาว เล่าโดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #128 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2553, 16:14:49 » |
|
ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง จาก คุณบุญพา JobBkk คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุข และสบายขึ้น
แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน
บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที
ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ? แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน
ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องความสุข และความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้
เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต
ตอบคำถาม ต่อไปนี้ 1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก 2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด 3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด 4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์
นึกไม่ออกใช่ไหม ? ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา รางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า
ตอบคำถาม ต่อไปนี้ 1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่าน ที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน 2. บอกชื่อเพื่อน 3 คน ที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ 3. นึกถึงคน 3 คน ที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ 4. บอกชื่อคน 3 คน ที่คุณอยากใช้เวลาด้วย
นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม ? นั่นเป็นเพราะว่า คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคนที่ห่วงใยคุณ คอยให้การดูแลคุณ และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ
... ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้ ..ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน
************************
ปรัชญาแง่คิดดีๆ อีกแล้ว ความสุขนั้นเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของเส้นทางของแห่งชีวิต คนส่วนมากจะตั้งเป้าเมื่อแก่แล้ว หรือเป้าหมายใดๆ เป้าหมายหนึ่ง ซึ่งจะต้องรอคอย และใช้เวลา ที่จริงแล้วความสุข อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ความสุขที่ต้องการนั้นสอดแทรกอยู่ในปัจจุบันที่มีเสมอ ทุกข์-สุขอยู่ที่ใจ สุขได้ถ้าใจไม่ยึด
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 17:06:45 » |
|
บอยเจ้าพ่อเพลงรัก ... ในวันที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรค " เส้นเลือดในสมองตีบ " นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมาผมได้อ่านนิตยสาร Secret เล่มล่าสุด เมื่อวานนี้ เหตุผลที่ซื้อก็เพราะหน้าปกเป็นรูปคุณบอย โกสิยพงษ์ นักร้องนักแต่งเพลงที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ
มีเพลงรัก และเพลงชีวิต หลาย ๆ เพลง ที่เขาแต่งได้โดนใจมาก ๆ เช่น เพลง Seasons Change ฤดูที่แตกต่าง , แพ้บ้างก็ได้ , รักผมแค่นี้เองเหรอ , ฟังลูกเดียว , RSVP และเพลงที่ได้ยินเมื่อไหร่ ก็ได้กำลังใจ ให้สู้ชีวิตต่อไปทุกที อย่าง " Live & Learn "
ผมชอบเนื้อหาของเพลง Live & Learn มาก ๆ ทุกคนคงพอจะจำเพลงนี้ได้นะครับ บทเพลงนี้บอกเราเตือนสติเราว่า ... คนเราต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่มีอยู่ กับความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และจงทำวันนั้น วันที่มีอยู่ ... ให้ดีที่สุด
เมื่อวานนี้ ตอนที่เห็นข้อความบนหน้าปกนิตยสาร พิมพ์ว่า " โลกที่หมุนด้วยความรัก ของ บอย โกสิยพงษ์ " ก็นึกว่าคงเป็นบทสัมภาษณ์ที่พูดถึงเรื่องราวชีวิตแบบสบาย ๆ สไตล์บอย โกสิยพงษ์
แต่พอเปิดเข้าไปอ่านด้านใน ผิดคลาดเลย ผมก็เพิ่งรู้จากนิตยสารเล่มนี้แหละครับว่า บอย โกสิยพงษ์ นักแต่งเพลง นักร้อง ที่เคยทำงานหนักมาตลอด ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิต ลดเวลาการทำงานลงเหลือเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ ทำงานเฉพาะวันจันทร์ พุธ และพฤหัสฯ เท่านั้น
เขา ให้สัมภาษณ์ไว้ ตอนหนึ่งว่า ...
“ ... เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี่เอง ผมพบว่าตัวเองเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ เวลาพูดจะติด ๆ ขัด ๆ ตลอดเวลา รู้สึกว่าโลกโคลงเคลงไปหมด ไม่รู้เราเป็นอะไร ผมเลยไปหาหมอ หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ว่าเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น
... นี่แสดงว่าพระเจ้าเตือนแล้วว่า ให้เราใช้ชีวิตที่เหลือนี้ให้ดี จากที่สมัยก่อนเราไม่ค่อยสนใจออกกำลังกาย สนุกแต่การทำงาน ตอนนี้เริ่มมองว่ามีเวลาเหลืออยู่อีกนิดเดียวเอง ผมอายุ 42 ปีแล้ว ...
ดังนั้นช่วงเวลานี้เรายังตั้งเป้าหมายใหม่ทันนะ หลังจากนั้นผมก็คิดได้ว่า ยิ่งมีชื่อเสียง หรือความสำเร็จ ยิ่งมีสาระสำหรับชีวิตน้อยลงเรื่อย ๆ เลยหันมาให้เวลากับครอบครัว รวมทั้งศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น ... “
เมื่อถูกถามว่าลูก และภรรยาของคุณบอยรู้สึกอย่างไร ที่เขาตัดสินใจลดเวลาการทำงานลง ...
“ เขาดีใจกันมาก ( ที่ผมจะหยุดทำงานหนัก ) ตอนแรกที่รู้ว่าผมเป็นโรคนี้ ... ผมเห็นลูกร้องไห้ ... เมียร้องไห้ ... เลยรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว เราต้องดูแลตัวเองดี ๆ “
ทุกวันนี้เขาเปลี่ยนตารางชีวิตใหม่ ทุกวันอังคาร กับวันศุกร์ เขาไม่ทำงานแล้ว ทำแค่วันจันทร์ พุธ พฤหัสฯ
วันอังคารหยุดไปเที่ยวพักผ่อนกับภรรยา และวันศุกร์ก็อยู่กับลูก ไปเที่ยวกับลูก ...
เขาพูดถึงการทำงานสมัยก่อน ( ก่อนที่จะเป็นโรคนี้ ) ของตัวเองว่า ...
“ ... คือสมัยก่อน ผมเป็นคนมีไอเดีย อยากทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา แล้วผมก็มักมีโอกาส มีประตูเปิดให้ทำหลาย ๆ อย่าง ได้มาตลอด แต่ตอนนี้เห็นประตูก็เมินแล้ว ให้คนอื่นทำแล้ว ไม่อยากทำแล้ว ”
อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดเตือนใจ เตือนตัวเอง และหลาย ๆ คน เรื่องการดำเนินชีวิต การทำงาน ในที่สุดแล้วคนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ทุกคนอยากมีความสุข แล้วความสุขอยู่ที่ไหนล่ะ ! !
เรื่องราวชีวิตช่วงนี้กับบอย โกสิยพงษ์ คงบอกอะไรบางอย่างกับพวกเรา ... ตัวเขาเองก็กำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวัย 42 ปี อย่างมีความสุข สุขกับสิ่งที่มี..ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน..และเขากำลังทำวันนั้นที่มีอยู่ให้ดีที่สุด.. ผมว่านี่แหละ.. Live & Learn ของจริง !!!
บทสัมภาษณ์จริง ๆ มีเนื้อหาสาระมากกว่านี้ มีคำพูด มีเรื่องราวที่ได้เรียนรู้มากมายจากชีวิตของบอย โกสิยพงษ์ ท่านใดที่สนใจ ก็ไปหานิตยสารซีเคร็ตฉบับนี้มาอ่านต่อกันเองนะครับ
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2553, 01:44:02 » |
|
คลิป แม่กบช่วยลูกกบเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา http://www.boonniyom.net/vdoclip-1416-0-0.htmlMother ...
แด่แม่ทุกตัว / ทุกคน บนโลกใบนี้ ผู้ประเสริฐในการเป็นผู้ให้กำเนิด ดูวีดีโอแล้วกลับไปเหลียวมองหาแม่บ้าง ถ้าคุณยังมีแม่อยู่ด้วย โชคดีจัง
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #132 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2553, 22:55:06 » |
|
สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจ ก่อนเสียชีวิตโดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th จาก กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 สิงหาคม 2553 15:26สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่ง โดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิต และกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย เธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสาม ถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ 5 ประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ
ประเด็นแรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยาก หรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการ หรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่า ชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว
การมีสุขภาพที่ดี จะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง
ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้นคิดเสียใจว่า ในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป
ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตาย เราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลา และชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป
ประเด็นที่สาม คือ ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์ และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์ และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบ และสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง
ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่ง และวุ่นวายกับชีวิตประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง
ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่ และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช่
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่า เมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำ หรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรัก และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลย หรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย
ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #133 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2553, 02:25:45 » |
|
True Love
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
It was a busy morning, about 8:30, when an elderly gentleman in his 80's arrived to have stitches removed from his thumb. He said he was in a hurry as he had an appointment at 9:00 am.
I took his vital signs and had him take a seat, knowing it would be over an hour before someone would to able to see him. I saw him looking at his watch and decided, since I was not busy with another patient, I would evaluate his wound. On exam, it was well healed, so I talked to one of the doctors, got the needed supplies to remove his sutures and redress his wound.
While taking care of his wound, I asked him if he had another doctor's appointment this morning, as he was in such a hurry.
The gentleman told me no, that he needed to go to the nursing home to eat breakfast with his wife. I inquired as to her health.
He told me that she had been there for a while and that she was a victim of Alzheimer's Disease. As we talked, I asked if she would be upset if he was a bit late. He replied that she no longer knew who he was, that she had not recognized him in five years now.
I was surprised, and asked him, " And you still go every morning, even though she doesn't know who you are ? "
He smiled as he patted my hand and said, " She doesn't know me, but I still know who she is. "
I had to hold back tears as he left, I had goose bumps on my arm, and thought, " That is the kind of love I want in my life. "
True love is neither physical, nor romantic. True love is an acceptance of all that is, has been, will be, and will not be.
With all the jokes and fun that are in e-mails, sometimes there is one that comes along that has an important message.. This one I thought I could share with you.
The happiest people don't necessarily have the best of everything; they just make the best of everything they have.
" Life isn't about how to survive the storm, But how to dance in the rain. "
We are all getting Older. Tomorrow may be our turn.
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #134 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2553, 21:46:34 » |
|
ชีวิตจะรุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย อยู่ที่บรรจุอะไรลงไปใน “ ใจ ” ของเรา ...โดย ว.วชิรเมธี เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที
เป็นต้น ว่าเรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง ....
เมื่อ ....
เราใส่ น้ำ เข้าไป ก็จะกลายเป็น ห้องน้ำ
เราใส่ พระพุทธรูป เข้าไป ก็จะกลายเป็น ห้องพระ
เราใส่ เครื่องมือปรุงอาหาร เข้าไป ก็จะกลายเป็น ห้องครัว
เราใส่ เครื่องนอน เข้าไป ก็จะกลายเป็น ห้องนอน
เราใส่ ชุดรับแขก เข้าไป ก็จะกลายเป็น ห้องรับแขก
เราใส่ บุคคลสำคัญ เข้าไป ก็จะกลายเป็น ห้องวีไอพี
ห้องแห่งหัวใจของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้น นั้นเลย
ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปใน " ใจ " ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพไป เช่นกัน
เราใส่ ความเมตตา เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจดี
เราใส่ ธรรมะ เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจบุญ
เราใส่ ความโกรธ เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจร้อน
เราใส่ ความเลว เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจทราม
เราใส่ ความกลัว เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจเสาะ
เราใส่ ความเป็นนักสู้ เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจสู้
เราใส่ ความขาดสติ เข้าไป ก็จะกลายเป็น คนใจลอย
เห็นด้วยหรือไม่ว่า
" ใจ " ของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
ใจ เป็นนาย
ใจ เป็นผู้นำ
ใจ เป็นผู้สร้างสรรค์ ......
หรือบางทีก็ตรัสว่า " จิตฺเตน นียติ โลโก " แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ
โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุน ตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น
" ใจ " ของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น
ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไรลงไปใน ห้องแห่งหัวใจ ของเราบ้าง
ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความ ริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้
ชีวิตจะ เป็นอย่างไร ?
รุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย
ขึ้นสูง หรือลงต่ำ
สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปใน “ ใจ ” ของเราเอง ...
|
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 13:12:12 » |
|
ธรรมะของท่านติช นัท ฮันท์ เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาสิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ " ขอบคุณสรรพสิ่ง "
" ปาฏิหารย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหารย์คือ การเดินอยู่บนผืนดิน และมีความสุขในทุกย่างก้าว "
ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง " ธรรมดา " เช่น ตื่นมา อาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยา หรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ
... เราส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น แต่ถ้าความ " ธรรมดา " นี้หมดไปล่ะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็ง ไปมีเรื่องนอกบ้าน ติดยา คบเพื่อนไม่ดี หรือสามีเราตาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม หรือเราถูกไล่ออกจากงาน ...
เรื่องก็จะ " ไม่ธรรมดา " ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ " ธรรมดา " จนใจแทบจะขาด ...
ให้เรารีบชื่นชมกับความ " ธรรมดา " ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว สำหรับมนุษย์อย่างเรา
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #138 เมื่อ: 24 กันยายน 2553, 23:32:43 » |
|
เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยนเสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา... ความสุข คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา แต่ใช่ว่าทุกคนจะค้นพบได้ ... วรัตดา ภัทโรดม คือ ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และมีชื่อเสียงในแวดวงการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขในความหมายของการเป็นมนุษย์ เธอจึงพาชีวิตเดินทางไปพบ " การเกิดครั้งที่สอง " จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เธอได้กลายเป็นคนใหม่ที่มีความสุข กับโลก ผู้คน และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว
สัมผัสเรื่องการเดินทางของผู้หญิงคนนี้ได้ในหนังสือ " เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน " แล้วคุณจะรู้ว่า การพาตัวเองไปสู่ความสุข ที่แท้ไม่ใช่เรื่องยาก ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะใจไปโรงเรียน เหมียวเดินออกมาจากห้องปฏิบัติธรรม ที่ธรรมอาภา ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดหลังจากการแผ่เมตตา วันนั้นเป็นวันแรกใน 10 วันของการปฏิบัติที่เราพูดได้ พอเดินลงบันได เจอหน้าพี่ต้อย พี่ปิ๋มปุ๊บ คำแรกที่พูดออกไปคือ "เหมียวเกิดใหม่แล้วพี่ เกิดใหม่แล้ว " น้ำตาไหลไม่หยุด เหมียวคนใหม่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มีความสุขที่แท้จริงมากขึ้น โกรธน้อยลง ทุกข์น้อยลง ยิ้มมากขึ้น ฟังมากขึ้น หน้าไม่แก่เหมือนตอนเป็น " meow, the bitch " พวกเราส่วนมากส่งแต่สมองไปโรงเรียน (12 ปี + 4 ปี + 2 ปี) ไม่ค่อยเคยส่งจิตไปโรงเรียน เหมียวก็เหมือนกัน เรียนหนังสือเยอะ แต่ศึกษาตัวเองและธรรมชาติของชีวิตน้อย ตอนโตขึ้นเลยหลุด หลงไปนึกว่า ถ้าตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน หาเงิน มีบ้าน มีรถ เป็นคนดี ไม่โกง ไม่ฆ่า ทำบุญวันเกิด ทำสังฆทาน ทำทาน ช่วยคน ช่วยสัตว์ แล้วจะมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ นึกว่าพอค่ะ
หารู้ไม่ว่า มีอะไร อะไรอีกมากมายมหาศาลที่ไม่รู้ ไม่เคยฝึกหัด และสิ่งเหล่านี้สำคัญเหลือเกินสำหรับเรา ที่จะมีความสุข ความสงบมากขึ้น และทุกข์ให้น้อยลงอีกนิด โมโหให้น้อยลงอีกหน่อย ความรู้ที่ได้จากการเรียนวิชาต่างๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่มีความสุข แถมยังสาดความทุกข์ใส่คนรอบตัว ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จักอีก เรื่องราวต่างๆ ที่เหมียวนำมาเขียนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก่อนและหลังที่ได้พบกับธรรมะ
ถ้าไม่ได้พบกับธรรมะที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ฝึกหัดดูตัวเอง ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีปัญญา ป่านนี้คงมีแต่ความทุกข์ที่สะสมใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว นิสัยคงแย่ หน้าแก่เหี่ยว เพราะขี้โมโห
... ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข มีความสงบ และได้พบกับธรรมะที่บริสุทธิ์ ... ในวันที่เปลี่ยนแปลงของผู้หญิงคนหนึ่งตอนเด็กเป็นลูกคนโตที่ซน และไฮเปอร์ฯที่สุด และจะไม่ยอมทำตามกฎที่มองไม่เห็นเหตุผล
จบปริญญาโทด้านไดเรกมาร์เกตติ้งจากอเมริกา คนแรกของประเทศไทยอายุ 25 ปี ได้เงินเดือนเป็นแสน เงินเดือนหลัก 3 แสน ตอนอายุน้อยกว่า 30 ปี
เป็นกูรูทางด้าน CRM ( Customer Relationship Management ) เป็นซีอีโอของบริษัท ...
แต่อีโก้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน จนถึงจุดที่ทำร้ายตนเอง จนเมื่อปฏิบัติธรรม ก็พบทางออกของชีวิต
*****************
มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนต้องการความสุขในชีวิต ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เด็กทุกคนควรได้สัมผัส และเข้าใจตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมาดูโลก
แต่เราหลายคนยังเข้าใจว่า เวลาที่เหมาะในการเข้าหาธรรมะคือเวลาที่เราเข้าสู่วัยสูงอายุ .. หรือ เมื่อเรามีความทุกข์
ซึ่งหลายครั้งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะมันทุกข์เกินหรือแก่เกินที่จะเข้าใจ และยอมรับในความจริงของกฎธรรมชาติเหล่านี้ได้
*****************
หัวข้อที่เธอเขียน
สิ่งที่ได้จากการเดินทาง ( บางส่วน ) พระพุทธเจ้าบอกว่าการเกิด การเลือกชีวิต เราเป็น Master ของ Future เราอาจไม่ได้เป็น Master ของอดีต เพราะว่ามันผ่านไปแล้ว
แต่เราเป็น Master ของปัจจุบัน และเราเป็น Master ของอนาคตแน่ๆ
*****************
ให้ ( บางส่วน ) การให้นั้นเราต้องทำตัวเหมือนเมฆ ซึ่งให้ฝนกับแผ่นดิน โดยไม่เคยถามแผ่นดินเลยว่า ...ได้ฝนไปกี่เม็ด
การให้เป็น One Way Street เป็นการเดินทางทางเดียว คือ ให้ออกไปอย่างเดียว ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์จริงๆ
*****************
คนขี้โมโห ( บางส่วน ) เหมียวเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่ายมาตั้งแต่วัยรุ่น เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย
ทั้ง พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ ต่างก็บอกว่า เราโมโหแรงขึ้นทุกวันๆ แต่เราก็ไม่เข้าใจ … คิดแต่ว่าเรายังเหมือนเดิม
จนวันหนึ่งไปซื้อนาฬิกาที่ห้าง บอกคนขายว่า "ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ"คนขายไม่ฟัง เพราะมัวแต่คุยกัน " ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ " ก็ยังไม่ฟังอีก
ทีนี้เหมียวเลยขึ้นเสียงแบบดังมากๆ ว่า " ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ "
คนขายมองหน้า แล้วก็หยิบนาฬิกาสีเขียวมาให้
คราวนี้โกรธมากเลย เพราะพูด 3 ครั้งไม่ฟัง ... พอหยิบแล้วยังหยิบผิดอีกก็ว่าเลย " คุณตาบอดสีหรือยังไง บอกให้หยิบสีฟ้า หยิบสีเขียวมาทำไม " ดุเค้าเสียงดังเพราะว่า โกรธ !
แต่วันนั้นเป็นวันที่โชคดีมาก … เพราะพอทำอย่างนั้นไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงตัวเองนึกในใจว่า ... เขาแค่หยิบนาฬิกามาผิดสี ทำไมต้องว่า ต้องโกรธเขาขนาดนั้นด้วย
พอคิดได้อย่างนั้นก็ยกมือไหว้เขาแล้วขอโทษ ขึ้นรถได้ก็ร้องไห้เลย ...
แล้วคำพูดของคนที่เคยเตือนเราก็ประดังเข้ามา มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วถามว่า .. คนที่เห็นในกระจกเป็นใคร ? เราไม่รู้จัก เหมียวคนเดิม ไม่ใช่เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นปัญหาใหญ่ที่สุดของเหมียว คือ เรื่องของความโกรธ
จนกระทั่งได้ปฏิบัติธรรมครั้งหนึ่ง ครั้งสองเหมียวจึงเข้าใจได้ว่า เพราะการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ช่วยให้เราถอนรากถอนโคนโทสะ กิเลสต่างๆ ออกไปได้
เชื้อความโกรธมันน้อยลง พอเชื้อความโกรธ โทสะกิเลส มันน้อยลงๆ กว่าคนจะทำให้เราโกรธได้นี่ ก็ต้องทำเยอะหน่อย ต้องเอาน้ำมันสัก 3 ตัน ราดแล้วจุดไฟเผา จึงจะเริ่มโกรธ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน สะกิดนิดเดียวเราก็โกรธแล้ว
เพราะฉะนั้นจากที่เคยโกรธวันละ 9 ครั้ง ก็เหลือ 8 ครั้งจากโกรธทีละชั่วโมงก็เหลือห้าสิบนาที ก็ยังดี
ตอนนี้เดือนหนึ่งอาจโกรธสักครั้ง อาจจะโกรธอยู่ 2 – 3 นาที
และพอเลิกขี้โมโห อาการเหนื่อยโทรม ก็ไม่มีแล้วค่ะ เลยได้รู้ว่าอารมณ์โกรธ มันรีดพลังจากร่างกายไปหมด เลยทำให้เราเหนื่อยง่าย
*****************
เครื่องดับโมโห ( บางส่วน )
การดับความโกรธมีหลายอย่างด้วยกัน คือต้องมีทั้งความอดทน ความเมตตา ความเข้าใจเรื่องอัตตา มีหลายๆ มุมมอง มีปัญญา และก็มีสัมมาสติ
อีกอย่างที่ต้องมี คือ การให้อภัย
เขาทำให้เราโกรธนาทีเดียว แต่เราโกรธไป 3 ชั่วโมง เราก็ทุกข์ไป 3 ชั่วโมง
*****************
ให้อภัย ทำไมทำได้ยากเย็น ( บางส่วน )
ประโยชน์ของการให้อภัยอย่างเบาะๆ เอาแค่ว่าเราสามารถตัดสินใจในการเดินไปข้างหน้า ใช้ชีวิตต่อไป และละทิ้งความเสียใจหรือความเจ็บปวดไว้ข้างหลังได้ ... แค่นี้เหมียวว่าเจ๋งแล้ว ...
สิ่งที่เราน่าจะทำมากกว่านั้นคือ ให้โอกาสตัวเองในการปลดปล่อยความรู้สึกทางลบออกจากใจ ให้อิสระกับตัวเอง
การให้อภัยไม่เสียอะไรเลย แถมได้สิ่งมีค่ามากกว่า คือ อิสระ
อิสระจากความขี้โมโหทั้งปวง อิสระจากความเครียด อิสระจากความทุกข์ อิสระจากความแค้น อิสระจากไฟที่ไหม้ตัวเองอยู่ข้างใน อิสระจากความทุกข์ที่เราก่อขึ้นมาเอง
พบความสุขที่แท้จริง และใจที่มีความเมตตามากขึ้นเรื่อยๆ
|
|
|
|
mek
Full Member
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2540
คณะ: Vet 61
กระทู้: 627
|
|
« ตอบ #139 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 10:05:05 » |
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #140 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 11:20:03 » |
|
รู้งี้ ..... คลิกเข้ามาอ่านตั้งนานแล้ว น้องเมฆ ว่ามะ ?
|
|
|
|
mek
Full Member
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2540
คณะ: Vet 61
กระทู้: 627
|
|
« ตอบ #141 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 13:46:09 » |
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #142 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553, 20:16:02 » |
|
Coca-Cola CEO Speechพี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #143 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:13:05 » |
|
เมื่อเรากลายเป็น “ ของมัน ”
พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเพื่อนทำกระเป๋าเงินหาย เราสามารถสรรหาเหตุผลมาได้มากมายเพื่อช่วยให้เธอทำใจ ( ยังดีที่ไม่เสียมากกว่านี้ , ถือว่าใช้กรรมก็แล้วกัน , เงินทองเป็นของนอกกาย ฯลฯ ) ในทำนองเดียวกัน เวลา เพื่อนอกหัก ถูกแฟนทิ้ง เราก็รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเพื่อให้เธอปล่อยวาง แต่เวลาเราประสบเหตุอย่างเดียวกัน กลับทำใจไม่ได้ เอาแต่เศร้าซึมจ่อมจมอยู่กับความสูญเสีย คำแนะนำดีๆ ที่ให้กับเพื่อน กลับเอามาใช้กับตัวเองไม่ได้ บ่อยครั้งก็นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำใจอย่างไร ใช่หรือไม่ว่า สาเหตุที่เราสามารถแนะนำเพื่อนได้อย่างฉาดฉาน ก็เพราะเงินของเพื่อน ไม่ใช่เงินของฉัน แฟนของเพื่อน ไม่ใช่แฟนของฉัน เราจึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเท่าใดนัก ปัญญาจึงทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อใดที่เหตุร้ายเกิดกับเงินของฉัน หรือกับแฟนของฉัน อารมณ์จะท่วมท้นใจจนนึกอะไรไม่ออก
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังเท่ากับคำว่า “ ของฉัน ” ไม่ว่าความวิบัติจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม หากมันไม่เกี่ยวข้องกับ “ ของฉัน ” เราก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาด้วย แต่ทันทีที่มีอะไรมากระทบกับ “ ของฉัน ” แม้เล็กน้อยเพียงใด มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที
หลายคนดูข่าวแผ่นดินไหวในอิหร่านที่มีคนตายนับแสนคนด้วยความรู้สึกเฉย ๆ แต่จะขุ่นเคืองไปทั้งวันเมื่อพบว่ารถของตนมีรอยขีดข่วนที่ตัวถัง สาเหตุที่ผู้คนยอมเหนื่อยยากทำงานตัวเป็นเกลียวก็เพื่อรักษาและเพิ่มพูน “ ของฉัน ” ให้มากที่สุด ความยึดอยากให้ทุกอย่างเป็น “ ของฉัน ” ทำงานอยู่ในส่วนลึกของจิตใจตลอดเวลา แม้เก้าอี้ในโรงหนังที่เพิ่งมานั่งได้ไม่กี่นาที เราก็เรียกว่า “ เก้าอี้ของฉัน ” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
แต่เราเคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่ยึดอะไรก็ตามว่าเป็น “ ของฉัน ” เรากลายเป็น “ ของมัน ” ไปทันที เราจะยอมทุกข์เพื่อมัน ถ้าใครวิจารณ์เสื้อของฉัน ตำหนิรถของฉัน เราจะโกรธและจะแก้ต่างให้มัน บางครั้งถึงกับแก้แค้นแทนมันด้วยซ้ำ ถ้าเงินของฉันถูกขโมย เราจะทุกข์ข้ามวันข้ามคืนทีเดียว คนจำนวนไม่น้อยยอมตายเพื่อรักษาสร้อยเพชรไว้ไม่ให้ใครกระชากเอาไป บางคนยอมเสี่ยงชีวิตฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านเพราะกลัวอัญมณีจะถูกทำลายวายวอด ฉะนี้แล้วควรจะเรียกว่ามันเป็น “ ของฉัน ” หรือฉันต่างหากที่เป็น “ ของมัน ” เป็นเพราะหลงคิดว่ามันเป็น “ ของฉัน ” ผู้คนทั้งโลกจึงกลายเป็น “ ของมัน ” ไปโดยไม่รู้ตัว มีชีวิตอยู่ก็เพื่อมัน ยอมทุกข์ก็เพื่อมัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด แต่ก็ใช้เวลาไปอย่างไม่เสียดายก็เพื่อมัน ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายคนยอมทำชั่ว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณก็เพื่อมัน
ยิ่งยึดมั่นว่าทรัพย์สมบัติเป็นของฉัน เรากลับกลายเป็นทาสของมัน จิตใจนี้อุทิศให้มันสถานเดียว เศรษฐินีเงินกู้คนหนึ่ง เป็นโรคอัลไซเมอร์ในวัยชรา จำลูกหลานไม่ได้แล้ว แต่สิ่งเดียวที่จำได้แม่นก็คือสมุดจดบันทึกทรัพย์สิน ทุกวันจะหยิบสมุดเล่มนี้มาพลิกดูไม่รู้เบื่อ แม้ลูกหลานจะชวนสวดมนต์หรือฟังเทปธรรมะ ผู้เฒ่าก็ไม่สนใจ จิตใจนั้นรับรู้ปักตรึงอยู่กับเงินทองเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อสิ้นลมผู้เฒ่าจะนึกถึงอะไรและจะไปสุคติได้หรือไม่
ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมายเพียงใด เมื่อตายไปก็ไม่มีใครเอาไปได้แม้แต่อย่างเดียว นั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทรัพย์สมบัติ แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หากหวงแหนติดยึดมันแม้กระทั่งในยามสิ้นลม มันก็สามารถฉุดลงอบายได้
ถ้าไม่อยากเป็น “ ของมัน ” ก็ควรถอนความสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็น “ ของฉัน ” การให้ทานเป็นวิธีการเบื้องต้นในการฝึกจิตให้ถอนความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว ถ้าให้ทานอย่างถูกวิธี ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับเท่านั้น หากยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ ประโยชน์ประการหลังมิไดหมายถึง ความมั่งมีศรีสุขในอนาคตเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือช่วยลดความยึดติดในทรัพย์ “ ของฉัน ” แต่อานิสงส์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราให้โดยไม่ได้หวังอะไรกลับคืนมา หากให้เพื่อมุ่งประโยชน์แก่ผู้รับเป็นสำคัญ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระหรือไม่ก็ตาม และเมื่อให้ไปแล้วก็ให้ไปเลย โดยไม่คิดว่าของนั้นยังเป็นของฉันอยู่
การให้ทานและเอื้อเฟื้อเจือจานเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้แก่จิตใจ ทำให้ไม่ทุกข์เมื่อประสบความสูญเสีย ในทางตรงข้ามคนที่ตระหนี่ แม้จะมีความสุขจากเงินทองที่พอกพูน แต่หารู้ไม่ว่าจิตใจนั้นพร้อมที่จะถูกกระทบกระแทกในยามเสียทรัพย์ แม้จะเป็นเรื่องที่จำเป็นก็ตาม
ชาวอินเดียผู้หนึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากภรรยาว่าเธอปวดท้องและปวดศีรษะมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล หมอจึงสั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์ เพราะเกรงว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ พอรู้เช่นนี้เขาจึงสั่งให้ภรรยารีบหนีออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น แล้วเขาก็โทรศัพท์ไปด่าหมอว่าเห็นแก่เงิน สั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์โดยไม่จำเป็น หมอพยายามอธิบายอย่างไรเขาไม่ยอมเข้าใจ....... ต่อมาเขามีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเดียวกันนั้นเพื่อผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายวันเนื่องจากมีการติดเชื้อ ค่าใช้จ่ายจึงเป็นจำนวนมาก วันสุดท้ายที่เขาอยู่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินได้มาเก็บเงินจากคนไข้ถึงในห้อง ทันที่เขาเห็นตัวเลขค่าใช้จ่าย ก็เกิดอาการช็อคและสิ้นลมคาเตียง
เงินนั้นมีไว้ใช้ แต่เมื่อใดที่เผลอใจกลายเป็น ของมัน ไป มันก็สามารถทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้
นิตยสารซีเครท : Vol.2 No.50 26 July 2010 Joyful Life & Peaceful Death เมื่อเรากลายเป็น “ ของมัน ”
พระไพศาล วิสาโล
.....................................................
พึงชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #144 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 21:40:05 » |
|
THE SHOEBOXพี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา A man and woman had been married for more than 60 years. They had shared everything. They had talked about everything. They had kept no secrets from each other except that the little Old woman had a shoe box in the top of her closet that she had Cautioned her husband never to open or ask her about.
For all of these years, he had never thought about the box, but One day the little old woman got very sick and the doctor said She would not recover.
In trying to sort out their affairs, the little old man took Down the shoe box and took it to his wife's bedside. She agreed that it was time that he should know what was In the box. When he opened it, he found two crocheted dolls And a stack of money totaling $95,000.
He asked her about the contents.
' When we were to be married, ' she said, ' my grandmother told me The secret of a happy marriage was to never argue. She told me that If I ever got angry with you, I should just keep quiet and crochet a doll. '
The little old man was so moved; he had to fight back tears. Only two Precious dolls were in the box. She had only been angry with him two Times in all those years of living and loving. He almost burst with Happiness.
' Honey, ' he said, ' that explains the doll, but what about all of this money ? Where did it come from ? '
' Oh, ' she said, ' that's the money I made from selling the dolls. '
A Prayer........ Dear Lord, I pray for Wisdom to understand my man; Love to forgive him; And Patience for his moods; Because Lord, if I pray for Strength, I'll beat him to death, Because I don't have time to crochet.
|
|
|
|
|
ti2521
|
|
« ตอบ #146 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 00:05:17 » |
|
..... สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ ที่นับถือ
ผมถือโอกาสชวนลูกชาย ลูกสาว เข้ามาห้องพี่ เป็นอะไรที่ชอบมาก +สุดเจ๋ง เลยครับ ร่นเวลาชีวิตในการรับรู้เรื่องราว ข้อคิด คำคม หล่อหลอม ปรับใช้ในชีวิตได้บางส่วน ( ผมก็ดีใจแล้วครับ ) ผมดีใจ สำหรับคำ รู้งี้ อย่างน้อยลูกผมได้เริ่มใช้มันตอนนี้ ณ ขณะนี้ ลูกสาวผม ถึงกับคลั่งไคล้ ป้าเจี๊ยบของหลาน มากมายเลยครับ ขอบคุณครับพี่เจี๊ยบ .....
|
เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ สำหรับผม อย่างไรก็ได้
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #147 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 01:57:01 » |
|
น้องตี๋ ครับ
พออ่านจบ ให้เกิดอาการ " อึ้ง กิม กี่ " ควานหาทิชชู่ น้องขวัญแอบเห็นจนได้ ... " แม่อ่านเวปซีมะโด่งแล้ว มีเรื่องให้ร้องไห้ด้วยเหรอ ? " แม่ก็ยังอึ้งต่ออีก ... เพราะซาบซึ้งใจ จนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก ...
เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ ค่ะ ที่ได้รู้ว่า " คุณพ่อตี๋ชักชวนลูกๆ ให้เข้ามาอ่านด้วย " เป็นครอบครัวที่น่ารักเหลือเกิน ...
พี่เจี๊ยบยังไม่ลืมอาหารมื้อเย็นแสนเอร็ดอร่อย ( เพราะหิวกันจนหน้ามืดตาลาย ) ที่น้องตี๋จัดมาบริการถึงสถานีรถไฟลำปาง ตอนที่ชาวซีมะโด่งไปทัวร์งานพืชสวนโลก ที่เชียงใหม่ เมื่อหลายปีก่อนโน้น
... ถ้าน้องอ่านเจอเรื่องดีๆ ที่ไหน ก็อย่าลืมนำมาแบ่งปันกันบ้างนะคะ ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #148 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2553, 02:08:40 » |
|
น้องหนุน
ดีใจครับที่แวะเข้ามาทักทายกัน ... เมื่อวัน " ซีมะโด่งเสวนา ครั้งที่ 2 " พี่เจี๊ยบแอบปลื้ม ! " เฮ้ ! หนุนเค้าเป็น ' น้องคนโปรด - น้องคนสนิท ' ของ ดร. แมว คนเก่ง นี่นา ... อ๋อ ! wave lenght ตรงกันนี่เอง มิน่า คุณภาพคับแก้วทั้งคู่เลย "
ปลื้ม ครับ ปลื้ม ...
|
|
|
|
|
|