suriya2513
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2552, 22:40:30 » |
|
จริงด้วยครับ พี่ป๋องก็คอยจะลืมอยู่เรื่อยว่า ถามอะไร ลุงกูเกิ้ลแกตอบได้หมด ขอบคุณมากครับคุณหมอที่มาช่วยรับมุขให้พี่ป๋อง
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #102 เมื่อ: 04 มกราคม 2553, 08:20:32 » |
|
What is Peace ?มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา A long time ago a king who offered a prize to the artist who would paint the best picture of peace. Many artists entered the contest. The king looked at all the pictures. But there were only two he really liked.
( เจี๊ยบ ไปเสาะแสวงหาภาพมาประกอบเรื่อง จ้า )
One picture was of a calm lake. The lake was a perfect mirror for peaceful towering mountains all around it. Overhead was a blue sky with fluffy white clouds. All who saw this picture thought that it was a perfect picture of peace.
The other picture had mountains, too. But these were rugged and bare. Above was an angry sky, from which rain fell and in which lightning played. Down the side of the mountain tumbled a foaming waterfall. This did not look peaceful at all. But when the king looked closely, he saw behind the waterfall a tiny bush growing in a crack in the rock. In the bush a mother bird had built her nest. There, in the midst of the rush of angry water, sat the mother bird on her nest - in perfect peace.
The king chose the second picture. Do you know why ?
" Because, " explained the king," peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace. "
This is Rex Barker, reminding us that we were not put in the world to hide in a cave, but to create a life amidst the chaos of the universe and to refine the world in the process, therefore creating true peace.
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #103 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 11:20:19 » |
|
Best e-mail of 2009 ... good thoughts to keep in mindHarald ... ส่งมา
HOW TO STAY YOUNG
1. Throw out nonessential numbers. This includes age, weight and height. Let the doctors worry about them. That is why you pay 'them'
2. Keep only cheerful friends. The grouches pull you down.
3. Keep learning. Learn more about the computer, crafts, gardening, whatever. Never let the brain idle. 'An idle mind is the devil's workshop.'
4. Enjoy the simple things.
5. Laugh often, long and loud. Laugh until you gasp for breath.
6. The tears happen. Endure, grieve, and move on. The only person, who is with us our entire life, is ourselves. Be ALIVE while you are alive.
7. Surround yourself with what you love , whether it's family, pets, keepsakes, music, plants, hobbies, whatever.Your home is your refuge.
8. Cherish your health: If it is good, preserve it. If it is unstable, improve it. If it is beyond what you can improve, get help.
9. Don't take guilt trips. Take a trip to the mall, even to the next county; to a foreign country but NOT to where the guilt is.
10. Tell the people you love that you love them, at every opportunity.
AND ALWAYS REMEMBER : Life is not measured by the number of breaths we take, but by the moments that take our breath away.
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #104 เมื่อ: 17 มกราคม 2553, 07:32:58 » |
|
| | อ้างถึง | | | ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 04 มกราคม 2553, 08:20:32 | | | | | What is Peace ?
มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา
A long time ago a king who offered a prize to the artist who would paint the best picture of peace. Many artists entered the contest. The king looked at all the pictures. But there were only two he really liked.
( เจี๊ยบ ไปเสาะแสวงหาภาพมาประกอบเรื่อง จ้า )
One picture was of a calm lake. The lake was a perfect mirror for peaceful towering mountains all around it. Overhead was a blue sky with fluffy white clouds. All who saw this picture thought that it was a perfect picture of peace.
The other picture had mountains, too. But these were rugged and bare. Above was an angry sky, from which rain fell and in which lightning played. Down the side of the mountain tumbled a foaming waterfall. This did not look peaceful at all. But when the king looked closely, he saw behind the waterfall a tiny bush growing in a crack in the rock. In the bush a mother bird had built her nest. There, in the midst of the rush of angry water, sat the mother bird on her nest - in perfect peace.
The king chose the second picture. Do you know why ?
" Because, " explained the king," peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace. "
This is Rex Barker, reminding us that we were not put in the world to hide in a cave, but to create a life amidst the chaos of the universe and to refine the world in the process, therefore creating true peace. | | | | |
The king chose the second picture. Do you know why ?
" Because, " explained the king," peace does not mean to be in a place where there is no noise, trouble, or hard work. Peace means to be in the midst of all those things and still be calm in your heart. That is the real meaning of peace. "
This is Rex Barker, reminding us that we were not put in the world to hide in a cave, but to create a life amidst the chaos of the universe and to refine the world in the process, therefore creating true peace.
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: 17 มกราคม 2553, 13:17:58 » |
|
ก่อนจะซื้อ "สังฆทานสำเร็จรูป" ทำบุญครั้งต่อไป ...ลองแวะอ่านก่อน มีไอเดียดีๆ มาแนะนำ ! ! !
" การทำบุญ คือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน "
เมื่อเราจะทำบุญกันทั้งที อยากให้มีสติกันสักนิด หากจะเลือกการทำทานที่เรียกว่า "สังฆทาน" ขอให้ช่วยพิจารณาชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ที่เราไปลองหาซื้อกันมาจำนวน 15 ชุดเสียก่อน แล้วค่อยลองดูว่า ถ้าจะถวายสังฆทานครั้งต่อไป จะยังเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปกันอีกหรือไม่ จากการสำรวจชุดสังฆทานสำเร็จรูป ที่ซื้อมาพบว่า สิ่งของส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 หมวดหลัก ได้แก่
1.ภาชนะบรรจุ ส่วนใหญ่มักเป็นถังพลาสติดสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่ที่แนวที่สุดในการสำรวจคือ ย่ามพระ
2. ผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสาร ขนมอบ กาแฟและครีมเทียม
3. ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ ได้แก่ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้วน้ำ ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีโกน เข็มด้าย ธูปเทียน กระดาษทิชชู กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุด ปากกา ยากันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็ก
4. ยารักษาโรค ได้แก่ ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้
5. เครื่องไช้สำหรับพระ ได้แก่ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ
ข้าวของเครื่องใช้ข้างต้น ซึ่งสำรวจเมื่อปลายปี 2552 พบว่าแทบไม่แตกต่างจากการสำรวจเมื่อปี 2546 จึงขอเสนอทางเลือกให้จัดสังฆทานกันเอง เพราะข้าวของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป พระไม่ค่อยได้ใช้ หรือมักเป็นของไม่มีคุณภาพ รวมไปถึงพวกถังเหลือง กล่องสบู่ และขันน้ำที่ถูกนำไปกองทับถมอยู่ล้นวัด
เพราะจากการลองนำรายการสินค้าข้างต้นไปสำรวจสอบถามความเห็นจากพระสงฆ์ พบว่ามีแต่ของที่ไม่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย โดย 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นที่สุด คือ
1. ใบชา เพราะพระไม่ค่อยฉันท์แล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ (ไม่ใช่น้ำรสผลไม้) เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่หวานเกินไป
2. ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยนิยม แค่คนกลับชอบถวาย
3. ยาจุดกันยุง สำหรับพระเมืองสินค้านี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ขณะที่อาจจำเป็นสำหรับพระป่า
4. นมข้นหวาน เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ใช้ตอนไหน เนื่องจากถือว่าเป็นอาหาร ไม่สามารถฉันท์ได้หลังเวลาเพล
5. กาแฟ เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ฉันท์ตอนไหนเช่นกัน
6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน เพราะมีล้นวัด
7. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถือเป็นของไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ พระฉันท์เพียง 2 มื้อเท่านั้น และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในถังสังฆทานแล้ว 8. น้ำดื่มบรรจุขวด เพราะมีสภาพไม่น่าดื่ม และแต่ละวัดมีระบะน้ำดื่มที่ดีกว่า
9. ขนมอบ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ
10. ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ เพราะมีจำนวนมากเกินไปและอยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน
ขณะที่สิ่งของ 10 อันดับที่ควรถวายในชุดสังฆทาน แต่เรานึกไม่ถึง ได้แก่
1. ยาสระผม แค่คงไม่ถึงขั้นต้องถวายครีมนวดด้วย เพราะพระใช้เพียงเพื่อให้โกนศรีษะได้ง่ายขึ้น และยังใช้ดูแลหนังศรีษะบ้างเท่านั้น
2. มีดโกน เพราะเป็นของจำเป็น พระต้องใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
3. เครื่องครัว เช่น จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำที่คุณภาพดี เพราะแม้พระไม่ได้ใช่เอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญจะได้ใช้เสมอ
4. อุปกรณ์งานช่าง เช่น ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน เพราะพระ โดยเฉพาะพระนอกเมืองคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถนำไปดูแลศาสนสถานภายในวัดได้
5. อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยขยะ เพราะจำเป็นต่อการรักษาความสะอาดภายในวัด
6. ข้าวสารและอาหารแห้ง แต่สินค้าที่ถูกบรรจุในสังฆทานมักไม่ได้คุณภาพ แต่หากเราเลือกของคุณภาพดี พระสามารถรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่วัดอุปการะอยู่ได้
7. เครื่องเขียน เช่น สมุด ปากกา ดินสอ เพราะพระสามารถทำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญได้
8. หนังสือธรรมะ หนังสือดูแลสุขภาพกายและใจ หนังสือที่น่าสนใจต่างๆ 9. สบง จีวร ผ้าอาบน้ำ แต่ควรเลือกที่มีคุณภาพดี แม้ราคาจะแพง เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายปี อนึ่งการเลือกสี ขนาดและเนื้อผ้าควรศึกษาก่อนซื้อ เพราะแต่ละวัดมีระเบียบในการครองผ้าแตกต่างกัน
10. ยารักษาโรค ควรเลือกแบบที่คุณภาพดี พร้อมกับคู่มือการใช้งาน
********************** ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 105 เขียนโดย กองบรรณาธิการ ( ติดต่อ " ฉลาดซื้อ " ได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4/2 ซ.วัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7 โทรสาร 0-2248-3733 อีเมล webmaster@consumerthai.org )
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1263629480&grpid=01&catid=
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 12:00:07 » |
|
... แม่...
นายสัตวแพทย์สากล 16 ... ส่งมา
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ ( หรือหล่อๆ ) ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่โรงเรียน คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป ... ไม่ไป ... ไม่ไป ... '' เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษ และพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว ( หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู )
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า " แม่นี่ ...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู ( ผม ) หรอก "
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู ( ผม ) เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู ( ผม ) ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆ ลับหลังว่า ' มันช่างเชย และน่าเกลียดเสียนี่กระไร เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย ' เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย ) แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง ) แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟน โดยไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชรา และไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ ' และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังความกังวลของคุณ ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจ และความทรงจำเท่านั้น
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น
|
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: 30 มกราคม 2553, 21:58:56 » |
|
BURNED Biscuit
เสรษฐวิทย์ -นิเทศ 16 ... ส่งมา When I was a kid, my mom liked to make breakfast food for dinner every now and then. And I remember one night in particular when she had made breakfast after a long, hard day at work. On that evening so long ago, my mom placed a plate of eggs, sausages and extremely burned biscuits in front of my dad. Iremember waiting to see if anyone noticed ! Yet all my dad did was reach for his biscuit, smile at my mom and ask me how my day was at school. I don't remember what I told him that night, but I do remember watching him smear butter and jelly on that biscuit and eat every bite !
When I got up from the table that evening, I remember hearing my mom apologize to my dad for burning the biscuits. And I'll never forget what he said : " Honey, I love burned biscuits. "
Later that night, I went to kiss Daddy good night and I asked him if he really liked his biscuits burned. He wrapped me in his arms and said, " Your Momma put in a hard day at work today and she's real tired. And besides - a little burnt biscuit never hurt anyone ! "
You know, life is full of imperfect things ..... and imperfect people. I'm not the best at hardly anything, and I forget birthdays and anniversaries just like everyone else.
What I've learned over the years is that learning to accept each other's faults - and choosing to celebrate each other's differences - is one of the most important keys to creating a healthy, growing, and lasting relationship.
And that's my prayer for you today. That you will learn to take the good, the bad, and the ugly parts of your life.
We could extend this to any relationship. In fact, understanding is the base of any relationship, be it a husband-wife or parent-child or friendship !
" Don't put the key to your happiness in someone else's pocket - keep it in your own. "
So please pass me a biscuit, and yes, the burnt one will do just fine.!.!.!.!
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2553, 19:35:58 » |
|
ผีเสื้อ : วิกฤตคือโอกาส ( The Power of Failure โดย Charles C. Manz )
นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา
ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็น ซี อีโอ ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า
“ กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัว ออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์ พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้ พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ”
กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า “ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ ” วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ “ กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ” วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุม แบบเจ้านายกับลูกน้อง
วิธีนี้ได้ผล ! กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน “ ก็...คือว่า...พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ ลูกคนเดียวเธอคือดวงใจของผมเลยครับ ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น ติดขัดเรื่องการบ้านละก็ โทร.มาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ผมจะคอยช่วยเหลือเธอผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไปเรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ” กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ วนิดาแสดงความเห็นใจ
“ เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆ มากเลย พี่พอจะจินตนาการออกถึงความลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรีแล้วไปต่อโทเลย จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะ ไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ” กิตติถามด้วยความประหลาดใจ “ ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวครับ ”
วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า “ พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัว และงานเหมือนเดิม พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราทิป นัยนา เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆ หนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง ”
.........
มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเอง ว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อ เคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้
ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน
.....
อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี
เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้
เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญ ในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน
กิตติฟังด้วยความสนใจ “ โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ”
วนิดาเสริมต่อ “ มีคำพูดที่ว่า 'No pain No gain' " ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้" ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ หลังจากนั้น พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูก แบบผิดๆในอดีต ลูกๆ ของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ ...
กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของเขา
คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมล่ะ แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ ..
... คุณมีสิทธิ์เลือกนะ … ”
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 07 มีนาคม 2553, 01:24:45 » |
|
ความสุขที่ถูกมองข้าม
โดย ... พระไพศาล วิสาโล
พรชัย - นิติ 16 ... ส่งมา
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า " ชีวิต ( ของผม ) เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ " ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า " ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง " เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้
คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ? คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียที ทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้น ไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคาร ก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิด ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่า และคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก " เฉย ๆ " เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ
น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลง และโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดารา หรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา การมองแบบนี้ทำให้ " ขาดทุน " สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง
ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง ( ซึ่งก็คือตัวมันเอง ) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ ( และหลง ) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่ และเนื้อที่เห็นในน้ำ บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และทำให้ชีวิตมีความหมาย
จากจุดนั้นแหละ ก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็น และยั่งยืนอย่างแท้จริง
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 11:30:35 » |
|
* วจนกฺขโม = อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกินได้ ประเสริฐยิ่ง *เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาเมื่อใดที่เราเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี ... เราจะลด และบรรเทากรรมเวรที่ต้องตอบโต้กับผู้กล่าววาจาร้ายใส่เราได้
เป็นการฝึก ขันติ ( อดกลั้น ) ทมะ ( ข่มใจ ) รวมไปถึงอภัยทาน ( ทานที่ทำได้ยาก เมื่อทำได้จะตัดเวรตัดกรรม ) แก่ผู้ที่มาทำร้ายทางวาจา
บางท่าน ใครพูดทับถม หรือเสียดสีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ร้อนใจ นอนไม่หลับ กินไม่ลง สายตาระทม ผิวพรรณหม่นหมอง เพราะแรงฟุ้งเป็นกิเลสอย่างหนึ่งทำให้คิดหมุนวน นี่เป็นผลของการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาทิ่มแทง ใครล่ะที่ยินดีเก็บคำพูดของคนอื่นไว้ ถ้าไม่ใช่ใจท่านเอง
บางท่าน โดนด่า โดนพูดเสียด ตั้งแต่เดือนก่อน แต่เก็บเอาคำพูดมาแทงตัวเองทุกๆ วัน รู้หรือไม่ว่าคนที่ด่าท่าน เขาลืมไปนานแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่ลืม และใช้ใจตัวเองหมักหมมกับถ้อยคำไร้สาระ เก็บไว้ ไม่ยอมสลัดทิ้ง
ท่านห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ท่านคงสามารถห้ามคนนินทาได้
ธรรมดา ... ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำกล่าวโทษ เพ่งโทษ
ธรรมดา ... ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำเสียดสี เหน็บแนม
ธรรมดา ... ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำด่าทอ ผรุสวาท
* แต่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสมมุติ ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด
ถ้อยคำล่วงเกินต่าง ๆ มันได้ " ดับ " ไปนานแล้ว ตั้งแต่ที่คน ๆ นั้นเขาพูดเสร็จ แต่ท่านเองกลับทำให้ถ้อยคำเหล่านั้น " เกิดใหม่ " ทุกๆ วัน ด้วยการเก็บเอามาคิดแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ ไม่หยุดหย่อน *
( * ข้อความจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า * )
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553, 12:02:45 » |
|
มายาการแห่งหลอดด้าย โดยท่าน ว. วชิรเมธี
มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย เมื่อสอบถามถึงสาเหตุเธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า
" ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจจึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ ... "
พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก เธอกำลังเทศน์เรื่อง " ความสำคัญของเวลา " และ " คุณค่าของชีวิต " เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด ก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ
ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ " ปัญญา " สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง " พอมีเวลา " ต่างหาก
แต่คนที่คิดว่าเรายัง " พอมีเวลา " ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ
ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า " วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต " ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน
เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์
ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า " ใคร คือ คนสำคัญที่สุด งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"
ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า
" คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ "
ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป
เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต
ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ
ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้
ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา
เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว ?
|
|
|
|
Kaimook
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2553, 13:20:09 » |
|
สวัสดีค่ะพี่เจี๊ยบ....เข้ามาอ่านข้อคิดคำคมค่ะเป็นกำลังใจให้ชีวิตจริงๆค่ะ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 01:12:55 » |
|
ยินดีค่ะน้องอ้อย ... ถ้ามีเรื่องที่ให้ข้อคิดดีๆ ก็เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะMother Monkeyเศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาTwo blind people wanted to drink water at the RagiGudda temple, Bangalore. When they were unable to operate the tap, this mother monkey opened the tap for them, allowed them to drink water, drank some water herself and then closed the tap before leaving the scene.
It is proof that humanity does exist - even if we humans have forgotten it ourselves ...
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553, 00:21:51 » |
|
Beautiful Sentiments and Photos มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา We never get what we want,
We never want what we get,
We never have what we like,
We never like what we have.
And still we live & love.
That's life...
The best kind of friends,
Is the kind you can sit on a porch and swing with,
Never say a word,
And then walk away feeling like it was the best conversation you've ever had.
It's true that we don't know
What we've got until it's gone,
But it's also true that we don't know
What we've been missing until it arrives.
Giving someone all your love is never an assurance that they'll love you back!
Don't expect love in return;
Just wait for it to grow in their heart,
But if it doesn't, be content it grew in yours.
It takes only a minute to develop a crush on someone,
An hour to like someone,
And a day to love someone,
But it takes a lifetime to forget someone..
Don't go for looks; they can deceive.
Don't go for wealth; even that fades away.
Go for someone who makes you smile,
Because it takes only a smile to
Make a dark day seems bright.
Find the one that makes your heart smile!
May you have
Enough happiness to make you sweet,
Enough trials to make you strong,
Enough sorrow to keep you human,
And enough hope to make you happy.
Always put yourself in others' shoes.
If you feel that it hurts you,
It probably hurts the other person, too.
The happiest of people
Don't necessarily have the best of everything;
They just make the most of everything that comes along their way.
Happiness lies for
Those who cry,
Those who hurt,
Those who have searched,
And those who have tried,
For only they can appreciate the importance of people
Who have touched their lives.
When you were born, you were crying
And everyone around you was smiling.
Live your life so that when you die,
You're the one who is smiling
And everyone around you is crying.
Please send this message
To those people who mean something to you,
To those who have touched your life in one way or another,
To those who make you smile when you really need it,
To those that make you see the brighter side of things when you are really down,
To those who you want to know
That you appreciate their friendship.
|
|
|
|
|
ภาณุ ปาตานี
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 21:23:36 » |
|
สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ
แวะมาเยี่ยมครับ
|
|
|
|
|
ภาณุ ปาตานี
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2553, 23:27:42 » |
|
อ่านแล้วครับพี่เจี๊ยบ
ท่าทางใบลาออก..จะไม่ได้รับการอนุมัติครับ
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2553, 00:52:28 » |
|
ha ha ha ! แปลว่าน้อง YA ก็ยังทุกข์อยู่สินะ ... งั้นอ่านเรื่องนี้ต่อเลยคร้าบ บ บ บ บ
ตำราแห่งชีวิต
นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา
พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้ ... บอกว่าเป็น " สูตรแห่งชีวิตประจำวัน " ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก , ห่วงใย และต้องการให้เขา หรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ ...
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น " ตำราแห่งชีวิต " ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำก็น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา , ใครจะทำก็ได้ , ไม่ทำก็ได้ , เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล , ไม่บังคับยัดเยียดกัน , ไม่ต่อว่าต่อขานกัน , แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง , ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กัน และกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา , รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย และเมื่อถึงอาหารเย็น ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า , และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว ทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน ... สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ
๓. กินอาหารที่โตบนต้น และบนดิน , พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E... นั่นคือ energy หรือพลังงาน , enthusiasm หรือกระตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิ หรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง , อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น ... ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐. เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที , แล้วแต่จะสะดวก ไม่ต้องเครียดกับมัน วันไหนไม่ได้เดิน ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑. ระหว่างเดิน อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกาย และใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ หากทำเป็นกิจวัตร ชีวิตก็จะแจ่มใส แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิด ถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ มีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้น เขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุม หรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย ก็ทุ่มเทกำลัง และพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ... รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ .... นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ๆ ... คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร ... จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐. ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป ... เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต ... แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่นหรอก ... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้ ... เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชน และคนรอบข้างเราล่ะ ?
๑. อย่าลืมโทรฯ หาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณ ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัว และเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้นอย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ , ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ , ไม่สวย , ไม่น่ารื่นรมย์ , จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม ?
๓. เวลา และพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด , เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน , จงลุกจากเตียง, แต่งตัว และปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย ... get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้ , อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ ... ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า ?
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553, 22:30:28 » |
|
สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมาไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้ อาจจะมีคนชอบในตัวเรา 10 คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา 100 คน แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็นร้อย เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ ปล่อยมันไป ”
ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัวแต่จะ “ นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่ ( มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง )
ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ ปล่อยมันไป ”
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว ... อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด ... แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553, 22:58:03 » |
|
ทำไมคนที่ฉลาดเท่ากัน ถึงมีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน ?เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา เคยนึกบ้างไหมว่าในอนาคตคุณน่าจะเป็นคนที่ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ ? ... แน่นอนว่าเราทุกคนต่างก็มีความฝัน แต่มีสักกี่คนที่ทำได้ดั่งที่ใจฝันไว้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ละทิ้งความฝันเพียงเพราะเจออุปสรรค จึงทำให้โอกาสดีๆ ในชีวิตหลุดลอยไป และนี่คือสิ่งที่ทำให้แต่ละคนมีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน
ความแตกต่างระหว่างคนที่ล้มเหลว และคนที่ประสบความสำเร็จคือ " แนวคิดในการใช้ชีวิต และการเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น " คนที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นคนที่มีมุมมองที่ไม่เหมือนคนทั่วไป " วิธีคิด และมุมมอง ทำให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จ และแตกต่างจากคนอื่น "
สิ่งที่คุณคิด และมุมมองของคุณที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันจะเป็นตัวบ่งชี้อนาคตของคุณในภายภาคหน้า บางคนเมื่อวัยเด็กเป็นคนฉลาด เรียนรู้เร็ว มีความคล่องแคล่ว ว่องไว กล้าพูดกล้าทำ หัวสมองดีจดจำตำราได้แม่นยำ แต่ปัจจุบันเขาเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน ในขณะที่อีกคนก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก แต่กลับเป็นเศรษฐีพันล้าน
สาเหตุที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และความล้มเหลวคืออะไร ? ... ความจริงแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตัวเราเองคือผู้กำหนด เห็นได้จากสิ่งที่กระทำในปัจจุบันจะส่งผลโดยตรงต่ออนาคต คนที่รู้จักอดออม ในภายภาคหน้าก็จะมีเงินทอง ไม่ขัดสน ส่วนบางคนมีเงินเยอะ แต่ใช้ฟุ่มเฟือย ในอนาคตอาจจะหมดตัว ไม่เหลืออะไรเลย
วันนี้เราลองมองดูตัวเองสิว่า ปัจจุบันเราทำอะไรอยู่ และในอนาคตเราจะเป็นอย่างไร เปิดใจให้กว้าง ประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมา มนุษย์เราทุกคนเกิดมาก็มีอะไรไม่แตกต่างกัน ( ยกเว้นคนพิการ ) การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ต้องเห็นโอกาสก่อนคนอื่น ต้องรู้จักคิดวางแผนชีวิต และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เวลาผ่านไปรวดเร็ว อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง รีบวางแผนชีวิตเสีย ตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้า
คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเด่น ดังนี้
ชอบคิด แต่ไม่ใช่การคิดในลักษณะที่เพ้อฝัน ให้คิดในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ “ มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ” นี่คือเคล็ดลับเศรษฐีร้อยล้าน
มีทัศนคติที่ดี และเชื่อว่าสามารถเป็นไปได้ ความเชื่อจะทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงและเป็นไปได้
ไม่ตีกรอบตัวเองให้อยู่จุดเดิม รู้จักมองโลกให้กว้างขึ้น หาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เพื่อโอกาสที่ดีกว่า
มีจุดมุ่งหมายชัดเจน และเดินหน้าตามแผนที่ตั้งไว้อย่างจริงจัง ไม่เห็นปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะปัญหามีไว้ให้แก้ และหากทำได้ก็คือ " เราอยู่เหนือปัญหา "
หมั่นสำรวจตัวเองอยู่เสมอ รู้จุดอ่อน และจุดแข็งของตัวเอง จะทำให้เรามองเห็นจุดบกพร่องที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างชัดเจน
มีความกระตือรือร้น หรือความมุ่งมั่นในสิ่งที่จะทำ เห็นคุณค่า และรักในงานที่ทำ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความกระตือรืนร้นที่จะทำให้สำเร็จ
บุคลิกดีดูมีชีวิตชีวา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใครเห็นก็อยากคบหาสมาคมด้วย เป็นการสร้างโอกาสในสังคมให้แก่ตัวเองได้เป็นอย่างดี
มีพลังแห่งการตัดสินใจ เราต่างมีพลังมหาศาลที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวกันอยู่แล้ว โดยต้องเกิดจากการตัดสินใจก่อนที่จะมีการลงมือทำ สิ่งที่เราประสบต่างเป็นผลจากการตัดสินใจของเราเอง การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นกับชีวิต
พัฒนาตัวเอง ต้องทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะผ่านเข้ามา เพราะโอกาสอาจไม่เกิดขึ้นอีก หากไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม โอกาสอาจหลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง อาจมีทั้งความคิดเห็นในแง่บวก และลบ ซึ่งความคิดเห็นทั้งสองลักษณะล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น บางครั้งความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้
คิดบวก การที่จะล้มเหลวหรือประสบผลสำเร็จนั้น วัดกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการคิด เลือกคิดบวกเริ่มต้นคุยถึงสิ่ง ดีๆ เลือกรับข้อมูลที่สร้างสรรค์ ที่จะช่วยกระตุ้น หรือสร้างแรงบันดาลใจในทางที่ดี นอกจากนี้แล้วการอยู่ในสังคมที่คิดบวก ก็จะเป็นคนที่คิดทางบวก มากกว่าคนที่คิดทางลบ
ยอมรับสิ่งใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลง คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่ " หยุดนิ่ง " มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสถานการณ์ปัจจุบัน
รู้จักบริหารเวลา ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องรู้จักบริหารเวลาของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ
" บางครั้งการฉุกคิดได้ ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ "
แนวคิดในการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตได้ คำถามที่ว่านั้นปลายของชีวิตคุณจะเป็นเช่นไร คำตอบจึงขึ้นอยู่กับแนวความคิด และมุมมองของคุณนั่นเอง เอิ่ม ม ม ม ! สำนวนแบบนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่า น่าจะต่อด้วย " คุณควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาธุรกิจขายตรง ยี่ห้อ XXXXX เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แบบยั่งยืน " ... ว่าแล้ว up line ก็จะชวนคุณไปฟังแผนธุรกิจ เป็นอันดับต่อไป ยังไงยังงั้นเลย ! ha ha ha ! ( ... ผู้โพสต์เมนต์เองแหละจ้า ... )
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2553, 17:04:43 » |
|
ความจริงหลังแต่งงาน
นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา
กิจกรรม คู่รักที่เพิ่งรักกัน ที่อยู่กันมาได้สักพักหรือนานมากแล้ว
นั่งดูทีวีรายการซูเปอร์โมเดลเดินแฟชั่น ฝ่ายชายบอกฝ่ายหญิง ถ้าน้องใส่ชุดนั้น คงสวยกว่านางแบบอีก ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรฝ่ายหญิงคิดอยากได้ชุดมาใส่ ส่วนฝ่ายชายภาวนาอยากได้คนใส่มาสวมแทนที่ฝ่ายหญิง ไปจ่ายตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต ฝ่ายชายถือตะกร้าเดินตามฝ่ายหญิง และชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่อย่างไม่รู้เบื่อ ฝ่ายชายนั่งอยู่ที่รถ และแถมยังกำชับว่าให้ซื้อเร็วๆ และอย่าลืมซื้อบุหรี่มาให้ด้วย
ไปดูภาพยนตร์ ต่างฝ่ายต่างชวนกันดูหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ได้ดูด้วยกันนานแล้ว
เพศสัมพันธ์ แค่ถูกตัวกันนิดเดียว ก็วูบวาบแล้ว ขนาดแก้ผ้าเดินชนกันก็ยังไม่รู้สึกอะไร
ลูก ผมอยากมีลูกกับคุณ น้องอยากมีลูกกับพี่ มันลูกฉันคนเดียวเหรอ หัดดูแลมันบ้างซี่
กินข้าว กินไปดูหน้ากันไปอย่างอร่อยหวานชื่น ก้มหน้าก้มตากินไปให้เสร็จๆ
ไปเที่ยวกลางคืน ฝ่ายชายยืนยันให้ฝ่ายหญิงไปด้วย เพราะเพื่อนๆ อยากรู้จัก ฝ่ายชายยืนยันว่า อย่าไปเลย เพราะเพื่อนๆ จะคุยธุระกัน
การเงิน ใช้กระปุกหมูน่ารักใบเดียวกัน ฝ่ายชายใจกว้าง ( กับคนนอกบ้าน ) ส่วนฝ่ายหญิงก็ขยันหาเงิน ( จากกระเป๋าตังค์ผัว )
แต่งงาน อยากแต่งเร็วๆ เห็นสวรรค์อยู่รำไร นรกมีจริง !
ไปเที่ยวต่างจังหวัด คิดหาทางตลอดเวลา คิดหาทางเหมือนกัน แต่ต่างคนต่างไป
ไปทำงานต่างจังหวัด ไม่อยากไปเลย ถึงนายไม่สั่ง ก็จะหาทางไป
ฮันนีมูน เราต้องไปทุกปี (นะ) มูนแมนอะไร ไม่รู้จัก ( โว้ย)
ดนตรี ทำไมชอบเพลงและศิลปินคนเดียวกันเลย คุณชอบมันไปได้ยังไง ไม่เห็นได้เรื่อง
กีฬา หาทางเล่นด้วยกัน ถ้าต้องเล่นด้วยกัน ไม่เล่นเสียดีกว่า
อาบน้ำ อาบด้วยกันนะ จะได้ผลัดกันถูหลังให้ อย่าเลย เสียเวลา อาบเองสะอาดกว่า
ตา มองอะไรก็สวยไปหมด มองอะไรก็มืดมนไปหมด
หู ฟังอะไรก็ให้คล้ายเสียงนกไนติงเกล ฟังเสียงมันทีไร แน่นหน้าอกทุกที
คอ หมายถึงซอก มีไว้จูบ หมายถึงก้าน มีไว้เตะ
จมูก เอาไว้ใช้หอมกัน เอาไว้ใช้พิสูจน์กลิ่นน้ำหอมแปลกปลอม
ปาก เอาไว้จูบกัน เอาไว้จวกกัน
ที่นอน เอาไว้เล่นกายกรรมด้วยกัน ใช้นอนจริงๆ ( ต่างคนต่างนอน )
บ้าน คือวิมานของเรา คือวิมานของตู ( เวลามันไม่อยู่ )
ลืมของ กุลีกุจอช่วยหา แค่นี้ทำไมต้องลืม ( เรื่องของมึง)
ของโปรด ประเคนให้กันสม่ำเสมอ เคยซื้อให้ ก็ไม่เห็นตื่นเต้น เลยไม่ซื้อแล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าประคุณ ขอให้สมรักด้วยเถิด ถ้าให้มันตายไปวันนี้พรุ่งนี้ จะเอาหัวหมูกี่หัวก็ยอม
ชี้นก ขนาดบอกว่าไม้ ยังเชื่อ นกมันก็คือนก แล้วทำไม (วะ)
น้ำต้มผัก ยังสามารถบอกว่าหวาน ไม่รู้จะทำกับข้าวอะไรแดกแล้วหรือไง (วะ)
ไม่อาบน้ำ ยังบอกว่าหอมตามธรรมชาติ ขนาดอาบแล้ว (+ใส่น้ำหอมด้วย ) ยังไม่อยากเข้าใกล้
วันเกิด เตรียมหาของฉลองล่วงหน้าเป็นเดือน ฟ้าให้ข้าเกิด ทำไมต้องให้มันมาเกิดด้วย
แก่ แก่แค่ไหนก็จะรักเสมอ ( อี/ไอ้ ) แก่เอ้ย
ก่อนนอน กอดกันกลมดิก ไหว้พระสวดมนต์ทำใจ
ตื่นนอน อยากเห็นหน้าเธอ ผวาทุกเช้า เมื่อหันมาเจอ
เจ็บป่วย เธอเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วย แค่นี้ ไม่เห็นเป็นไร ไปเอาพาราฯมากินซะ แล้วอย่าวุ่นวาย
วันตาย เราจะตายด้วยกัน แกก่อน ฉันทีหลัง
หมอดู ดวงเราสมพงษ์กันใช่ไหม ? ไอ้หมอดูระยำ ! อย่าให้เจออีกนะมึง
ชาติก่อน เราคงเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ กูคงทำกรรมมามากแน่ๆ
ชาติหน้า ชาติหน้ามีจริงขอให้เป็นเนื้อคู่กันอีก ชาติหน้ามีจริงขออย่าได้เจอกันอีก
|
|
|
|
Jiab16
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553, 21:02:40 » |
|
วิธีอยู่กับคนที่เรารูสึกไม่ดี ... โดย ว.วชิรเมธี
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ?
ชีวิตนั้น สั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวัน ตายพรุ่ง ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูกน้อง
ปกป้องภาพลักษณ์ ( อัตตา ) กด ( หัว ) คนรุ่นใหม่ หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่า อะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด '' คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้น ต่างก็มีดี มีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้
เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคือง และอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า
คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม
หรือเลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี
ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิด ปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า
วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง ''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด
ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใน ''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น
วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดี หรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่ที่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์
ปราชญ์จีนบอกว่า
'' ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง ''
ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างใน หรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก ?
|
|
|
|
|