22 พฤศจิกายน 2567, 22:50:53
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 8  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น " ยาใจ "  (อ่าน 239255 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2551, 21:59:47 »

The philosophy of Charles Schultz

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา

The following is the philosophy of Charles Schultz, the creator of the " Peanuts " comic strip. You don't have to actually answer the questions. Just read the e-mail straight through, and you'll get the point.

1. Name the five wealthiest people in the world.
2. Name the last five Heisman trophy winners.
3. Name the last five winners of the Miss America.
4. Name ten people who have won the Nobel or Pulitzer Prize.
5. Name the last half dozen Academy Award winner for best actor and actress.
6. Name the last decade's worth of World Series winners
.

How did you do ?

The point is, none of us remember the headliners of yesterday. These are no second-rate achievers. They are the best in their fields. But the applause dies. Awards tarnish. Achievements are forgotten. Accolades and certificates are buried with their owners .


Here's another quiz. See how you do on this one :

1. List a few teachers who aided your journey through school.
2. Name three friends who have helped you through a difficult time.
3. Name five people who have taught you something worthwhile.
4. Think of a few people who have made you feel appreciated and special.
5. Think of five people you enjoy spending time with .

Easier ?


The lesson : The people who make a difference in your life are not the ones with the most credentials, the most money, or the most awards. They are the ones that care .

" Don't worry about the world coming to an end today. It's already tomorrow in Australia. " ... ( Charles Schultz )
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2551, 20:10:58 »

นิทานสอนใจ " อย่านึกว่าธุระไม่ใช่ "

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก LA , USA

วันหนึ่ง หนูน้อยตัวหนึ่งมองผ่านทางรูฝาผนังบ้านเห็นภรรยาของชาวนากำลังตั้งกับดักหนู ด้วยความตื่นเต้นตกใจ เจ้าหนูน้อยกระโจนออกไปกลางลาน พร้อมตะโกนด้วยความตกอกตกใจกลัวภัยอันตรายที่จะเข้ามาใกล้ตัว “ กับดักหนูอยู่ในบ้าน กับดักหนูอยู่ในบ้าน ” แม่ไก่ได้ยินเข้ามองหนูอย่างเยาะหยันพร้อมยักไหล่อย่างไม่แยแส “ เจ้าหนูน้อย ข้าได้ยินแล้วว่าภัยใกล้ตัวเจ้า แต่นั่นมันเป็นเรื่องของเจ้า กับดักหนูไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะสนใจอะไร มันไม่ธุระของข้า ” ว่าแล้วก็คุยเขี่ยหาอาหารอย่างทองไม่รู้ร้อนต่อไป

เจ้าหนูน้อยวิ่งหน้าตั้งไปยังหมูซึ่งกำลังใช้จมูกขุดคุยอาหาร “ หมู หมู นายรู้หรือเปล่าว่า มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ” หมูได้ยินพยักหน้ารับ พร้อมบอกว่า “ เจ้าหนูน้อย ข้ารู้สึกสงสารแกจริง ๆ แต่ข้าไม่สามารถจะช่วยอะไรเจ้าได้หรอก นอกจากจะสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าปลอดภัยเท่านั้น ข้าจะสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าทุก ๆ ครั้งก่อนนอน ”

ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เจ้าหนูวิ่งโร่ไปหาวัวซึ่งกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างๆ บ้าน “ นาย นาย มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ” เจ้าหนูน้อยตะโกนบอกวัวด้วยเสียงระทึกกลัว วัวหันมายิ้มกับหนูน้อย พร้อม “ โม โม ! เออ ! จริงหรือ ? น่ากลัวนะสำหรับเจ้า แต่ขอโทษทีเถอะสำหรับข้าไม่ได้สะเทือนซางเลย กับ กับดักหนูเล็ก ๆ แค่นั้น ”

ด้วยความหมดหวัง เจ้าหนูน้อยเดินคอตกกลับไปเผชิญชะตากรรมในบ้านอย่างโดดเดี่ยวหลังมืดสนิทคืนนั้น เสียงกับดักหนูงับดังสนั่น ภรรยาชาวนาลงมาดูหวังจะได้หนู แต่ในความมืดภรรยาชาวนามองไม่เห็นว่ากับดักหนูงับติดหางงูเห่าตัวใหญ่อยู่ในความมืด งูเห่ากัดภรรยาชาวนา ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล และกลับมารักษาที่บ้าน แต่ปรากฏว่าภรรยาชาวนามีไข้ขึ้นสูง ชาวนาทุกคนรู้ยาแก้ไขนั้น ต้องให้คนไข้ทานซุ๊บไก่ ดังนั้นชาวก็ฆ่าไก่มาต้มซุ๊บให้ภรรยาทาน แต่อย่างไรเสียอาการป่วยของภรรยาไม่ดีขึ้น มีเพื่อนฝูงเกือบทั้งหมู่บ้านมาเยี่ยมเฝ้าไข้กันเนื่องแน่น ชาวนาก็ต้องฆ่าหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆ ที่มาปรนวิบัติภรรยาตัวเอง เวลาผ่านไปภรรยาชาวนาก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็ตายไป หลังจากนั้นก็มีงานศพใหญ่โต มีเพื่อนฝูงมาร่วมงานมากมาย ชาวนาก็ต้องเชือดวัวทำอาหารเลี้ยงแขกในงาน ….

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ได้เล็ดลอดจากสายตาของเจ้าหนูน้อยตัวนั้นแม้แต่นิด เพราะเจ้าหนูน้อยได้เฝ้าสังเกตการณ์จากรูฝาผนังด้วยหัวใจที่แสนเศร้าสลดตลอดมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า " หากได้ยินภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งในสังคม จงคิดเอาใจใส่หาทางช่วยเหลือ อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ จงจำไว้ว่าวันหนึ่งภัยเล็กน้อยนั้น จะลามใหญ่เป็นภัยถึงตัวได้ ฉะนั้นเราต้องเป็นหูเป็นตาให้แก่กัน อย่านึกว่าธุระไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้น ในที่สุดก็ต้องตายเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตน ดั่งเช่น ไก่, หมู และวัว ในนิทานนี้แล …..
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2551, 22:48:29 »

ขยะ ... ที่อยู่ในใจ

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ ... คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะ หรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น " ถังขยะ " ล่ะ คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่า เราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้


อะไรบ้างที่เป็นขยะหัวใจ

1. ความไม่พอใจ

มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อน และได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง

ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้นเราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ


2. ความผิดหวัง

2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาส และความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้ และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น

ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์


3. ความอิจฉาริษยา

ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุดก็คือ ความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่าทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดี หรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน

จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดี หรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา


4. ความยึดมั่นถือมั่น

ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อ รุงรัง ให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง ‘ สิ่งนอกตัว ’ เหล่านั้นลงได้

ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่า ฉันนี้แสนทุกข์ระทม

ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหมว่า อะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศ สรรเสริญทั้งปวง


5. ความกลัว

ใจหลายคนรุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย

จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคน และทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม


6. ความอยาก

จง " อยาก " ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต

ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้นใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้


ทำอย่างไรให้ใจสะอาด

เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน

ใจ ... แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง


อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2551, 20:02:04 »

คนที่มีความสุขที่สุดในโลก

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย ... คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ ... แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง ... และความหมายของความสบายใจ คือ

หนึ่ง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้

สอง รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ

สาม ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น

สี่ เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ

ห้า วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน

หก กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลง และกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่ หรือปัญหาต่างๆ

เจ็ด มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย

แปด มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เก้า นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่า และทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง

สิบ เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณ และคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย


ความสุขนั้น คือ พอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ การได้รับวัตถุ และความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจ และยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอ ไม่มีวันหยุดนิ่ง

ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ

ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมุ่งหวังว่ายามแก่เฒ่าค่อยอยู่อย่างสงบสุข อย่างที่หลายคนเชื่อกัน เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2551, 20:28:49 »

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอยู่ทำงานด้วยกันในที่ทำงานเดียวกันทุกๆ วัน ผมควรจะวางตัวอย่างไรดีครับ มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสุขเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักงานร่วมกันคนคนนี้

==========================

วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่ง ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ ( อัตตา ) กด ( หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่าเราจะขาดทุนขนาดไหน ท่านอังคาร กัลยาณ พงศ์ เขียน บทกวีไว้ว่า

'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวาคือพร่าค่ำคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลส ก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคือง และอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย


ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมอง โลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม หรือเลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิด ปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง '' กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใน '' แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดี หรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่ำักับเราทุกขณะ

__________________

" จงยังชีวิตด้วยความไม่ประมาทเทอญ "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 16:26:36 »

ทำเถอะ ... ถ้าอยากจะทำ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน ( วันที่ตึกเวิรด์เทรดถล่ม ) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย .... อยากให้ทุกคนได้อ่านข้อความนี้ มีความหมายดีนะ

ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่าแค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น .... เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพแย่ลง ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น … จากนี้ไป ... ขอให้พวกเราอย่าเก็บของดี ๆ ไว้ โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ …… โอกาสที่พิเศษสุด …… แล้ว จงแสวงหาการหยั่งรู้ จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ … อยาก … จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น … กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป ชีวิตคือห่วงโซ่ของนาทีแห่งความสุข ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ เอาคำพูดที่ว่า …. สักวันหนึ่ง ... ออกไปเสียจากพจนานุกรม บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน อย่าผลัดวันประกันพรุ่งที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง …. และเวลานี้ …. ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน … แล้วคิดว่า …. สักวันหนึ่ง …. ค่อยส่ง ... จงอย่าลืมคิดว่า …. สักวันหนึ่ง ….. วันนั้นคุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 16:28:31 »

กฎทอง 10 ข้อ ของคนที่รักกัน

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

กฎทองข้อที่ 1 เราจะไม่โกรธพร้อมกันทั้งสองคน อย่างที่คนโบราณเค้าว่า ถ้า ... เขาร้อนเป็นไฟ คุณก็ต้องเย็นเป็นน้ำ ( น้ำเปล่านะ ไม่ใช้น้ำมัน )

กฎทองข้อที่ 2 เราจะไม่ตะโกนใส่กันเด็ดขาด ยกเว้นตอนเกิดไฟไหม้บ้านกระทันหัน

กฎทองข้อที่ 3 จำไว้ว่าไม่มีใครชอบคำติ หากจะคุยถึงสิ่งที่คุณไม่ชอบให้เขาทำ อย่าลืมพูดให้หวานๆ เข้าไว้ ( ไม่ใช่พูดว่า น้ำตาล ๆ ๆ ๆ นะ )

กฎทองข้อที่ 4 เราจะไม่มารื้อฟื้นเรื่องบาดหมางในอดีต ถ้าจะคุยเรื่องเก่าๆ เลือกเรื่องหวานๆ ของสองเราจะดีกว่า

กฎทองข้อที่ 5 ทำให้เขารู้สึกว่าเขาสำคัญสำหรับคุณเสมอ

กฎทองข้อที่ 6 สัญญากันนะว่า เราจะ ไม่โกรธกันข้ามคืน เพราะคุณนั่นแหละจะนอนไม่หลับ คุยกันให้เข้าใจกันก่อน ดีกว่าหันหลังให้กัน

กฎทองข้อที่ 7 คุยกันให้มากหน่อย จะช่วยให้ความรักระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณเจอะเจอ เรื่องงานของคุณ หนังสือที่คุณเพิ่งงอ่านจบ ลองเล่าสู่กันฟัง แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าผูกพันกันมากขึ้นกว่าเดิม

กฎทองข้อที่ 8 ถ้ารู้ตัวว่าทำผิด ก็ขอโทษซะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียฟอร์มหรอก

กฎทองข้อที่ 9 อย่าเข้าใจผิดว่า การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หมายถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง เพราะการเอาใจใส่ คือ การให้ความสนใจเต็มร้อยเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คุณนั่งฟังเขาพูด แต่ดูทีวีไปด้วย

กฎทองข้อที่ 10 อย่าลืมทำให้เขารู้ว่า เรายังรักกันเสมอ


กฎข้อพิเศษ

สำหรับใครบางคน การที่จะได้รู้จักใครซักคนเป็นเรื่องที่วิเศษ อย่าให้เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยชั่วไม่กี่นาที ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์ที่มีมา .... มันคุ้มกันแล้วเหรอ .... เพียงคำว่าอภัย และปรับตัวเข้าหากันใหม่ สิ่งดีๆ อาจมีขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว ปัญหาเกิดเพราะไม่คุย ปัญหาเกิดเพราะไม่คิดแก้ไขปัญหาเกิดเพราะทิฐิ ปัญหาเกิดเพราะคิดว่าไม่รู้จะทำไปทำไม ปัญหาเกิดขึ้นเพราะนึกถึงแต่ตัวเอง คิดว่าทำอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ... อีกฝ่ายเค้าจะคิดแบบเดียวกันกับคุณหรือเปล่า สุดท้ายก็มีแต่ความเสียใจ ....

คุณเลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เค้าทำ แล้วรักษาสิ่งดีๆ ต่อไป หรือเลือกที่จะทำลาย แล้วคุณก็จะไม่ได้มา ซึ่งสิ่งที่คุณต้องการอยู่ดี ....
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 16:30:38 »

ปณิธานจุฬา ฯ

ลัลลนา - ครุ 16 ... ส่งมา

ประการหนึ่งในการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดูจะเป็นประเพณีที่มีสืบต่อกันมายาวนาน ซึ่งข้าพเจ้า ( ผู้เขียน ) ไม่เคยทราบมาก่อน คือ หลังจากทุกคนเข้านั่งประจำที่เรียบร้อย จะมีนิสิตจำนวนหนึ่งออกมาขับร้องเพลงประสานเสียงประจำมหาวิทยาลัย 4 เพลง ซึ่งมีความหมายยิ่ง โดยเฉพาะกับบัณฑิตที่สวมครุยบัณฑิตจุฬาฯ ซึ่งนั่งรอเวลาเพื่อรับเสด็จฯ และรับพระราชทานปริญญาบัตรจามสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

เพลงที่ขับร้องก่อนพระราชพิธีพระราชทานปริญญาบัตรเป็นเพลงแรกคือ มหาจุฬาลงกรณ์ ที่ชาวจุฬาฯ ทุกคนต้องยืนขึ้นและเปล่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกัน จากนั้นนักร้องประสานเสียงของจุฬาฯ จึงเริ่มร้องเพลงประสานเสียงติดต่อกันอีก 4 เพลง ซึ่งเป็นเพลงที่มีความหมายของชาวจุฬาฯ โดยแท้ คือเพลงลาแล้วจามจุรี เพลงจุฬาบัณฑิต เพลงร่มจามจุรี และเพลง จากจุฬาฯ ข้าพเจ้าเชื่อว่าบัณฑิตทุกคน และผู้เข้าร่วมพิธีคงจะซาบซึ่งถึงจิตใจเพราะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการเป็นนิสิตและบัณฑิตแห่งจุฬามหาวิทยาลัย ก่อนออกจากสถาบันแห่งสีชมพูไปปฏิบัติหน้าที่การงานของตน

ที่ข้าพเจ้าประทับใจหลังจาการขับร้องประสานเสียงจบลง คือ การที่อธิการบดี ( คนก่อน ) ศาสตราจารย์คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ ได้ยืน ณ หน้าบริเวณระหว่างเวทีและที่นั่งของบัณฑิตแล้วกล่าวเป็นปัจฉิมโอวาทแก่บัณฑิตใหม่ การกล่าวปัจฉิมโอวาทแก่บัณฑิตใหม่ของอธิการบดีในครั้งนั้น เป็นการกล่าวทุกรอบในการเข้ารับพระราชทานปริญญา ซึ่งข้าพเจ้า ( ผู้เขียน ) ไม่เคยเห็นว่ามีมหาวิทยาลัยใด ( เท่าที่ข้าพเจ้าเคยเข้าร่วมในพิธี ) ปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน

ข้าพเจ้าไม่สามารถนำความโดยละเอียดทุกประโยคในการกล่าวปัจฉิมโอวาทมานำเสนอ ณ ที่นี้ แต่ได้ขอให้อาจารย์เกษม จันทร์น้อย อดีตผู้เชี่ยวชาญฝ่ายประชาสัมพันธ์ของจุฬาฯ ซึ่งเกษียณราชการเมื่อปีก่อน ( ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเซีย ) จัดหามาให้ความโดยสรุปมีว่า


คณาจารย์ และบุคลากรชาวจุฬาฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในวาระที่บัณฑิตจุฬาฯ จบการศึกษาออกไปทำงานเพื่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นของขวัญล้ำค่าที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมอบให้กับสังคมไทย และแผ่นดินไทย

นับแต่วาระแรกที่ท่านทั้งหลายก้าวเข้าสู่จุฬาฯ ในฐานะสมาชิกใหม่ ซึ่งได้มีการมอบ " พระเกี้ยว " ให้แก่นิสิตใหม่ทุกคนไว้ประดับใจ ได้มองเห็นพัฒนาการของนิสิตในการแสวงหาความรู้ การพัฒนาทักษะด้านต่างๆ จนประสบผลสำเร็จทางการศึกษาเป็นบัณฑิตรุ่นใหม่ในวันนี้ที่ใฝ่รู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ตลอดชีวิต

บัณฑิตจุฬาฯ ยังมีคุณลักษณะเด่น คือ การมีทักษะต่างๆ ที่ทำให้มีความสามารถในการเป็นผู้นำรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบสามารถนำพาประเทศชาติให้พัฒนาต่อไป

นอกจากนั้น อธิการบดียังฝากข้อคิดให้แก่บัณฑิตใหม่ว่า หลังรับพระราชทานปริญญาบัตร ขอให้บัณฑิตทุกคนตั้งจิตอธิฐานกล่าวปฏิญาณด้วยความตั้งใจจริงว่า วาจาที่กล่าวมานั้นจะผูกพันบัณฑิตทุกคนตลอดไป และขอให้ปฏบัติตามปณิธานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีพันธกิจในการสร้างคนที่เป็นหลักของแผ่นดิน ซึ่งก็คือบัณฑิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะทำงานในหน้าที่ใด ขอให้ระลึกเสมอว่า ท่านคือตัวแทนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจะมีพระเกี้ยวติดตัวอยู่ตลอดเวลา ขอให้มีพลังในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดี ประเทศชาติต้องการคนที่รู้รักและสามัคคี ขอฝากประเทศไทยไว้ในมือของบัณฑิตทุกคน

ในส่วนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงทำหน้าที่อย่างดีที่สุดด้วยพันธกิจในการเป็นมหาวิทยาลัยหลักของประเทศ ที่ทำหน้าที่สร้างองค์ความรู้ และเป็นแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน

" ขอเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดอำนวยพรให้บัณฑิตทุกท่าน สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีที่สุดรักษาปณิธานของมหาวิทยาลัย และประสบสิ่งที่ดีงามในชีวิต "


.............................................................................

" โลกสองวัย " โดยบางกอกเกี้ยน ในหนังสือพิมพ์มติชน 10 กรกฎาคม 2551
บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #58 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 20:57:35 »

ขอบคุณน้องเจี๊ยบมากนะคะ จะเป็นแฟนประจำติดตามอ่านนะคะ เขียนมาให้กำลังใจคะ พี่เอมอร คะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #59 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2551, 19:48:11 »

ดีใจจัง ! ... ได้พี่เอมอรเป็นแฟนประจำเพิ่มอีกคนนึงแล้ว ... อย่างนี้ post แล้วไม่เหนื่อยแน่นอนค่ะ

ทุก ๆ เช้าก่อนออกจากบ้าน ... อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ ... รอยยิ้ม ...

2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ ... การช่วยเหลือผู้อื่น ...

3. ความสุขที่สุด คือ ... การให้ ...

4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ ... คำพูดทำร้ายผู้อื่น ...

5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ... ความรัก ...

6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ... การทำร้ายตัวเอง ...

7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ... ความกลัว ...

8. ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ... ความสงบภายในใจ ...
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2551, 22:06:07 »

บทลงโทษด้วยความรัก

ศรัญญา - เภสัช 16 ... ส่งมา

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง แอนดี้ก็ก้มหน้างุด และทำท่ากระสับกระส่าย เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด แม้จากระยะไกล ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อ ตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน พ่อกลับนั่งลงหยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง ... พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
" ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ "

ต่อไปนี้ ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารัก และดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้ มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย เหมือนกับที่พี่ๆ ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน

ว้าว ! ... ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ ? นานๆ ครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นก็คือ คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ


ลองมองย้อนดูตัวคุณเอง ในแต่ละวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ เช่น คุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าตำหนิเธอ และคำพูดที่บอกว่า " เดี๋ยวผมเทเองก็ได้ " นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก น้ำตาใสๆ ก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน และอาหารมื้อนั้นไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว

แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า " ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และจะได้คิดถึงทุกครั้งว่า ภรรยารัก และเอาใจใส่ผมมากเท่าใด อยากปรนนิบัติเอาใจ ( จนเทซอสหกใส่ผม ) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ ( ทีนี้ตาผมมั่ง ) " ... รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบิน แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้ว


สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่นาฬิกาเรือนละแสน หรือเนคไทเส้นละหลายๆ พัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ารัก เฝ้าถนอม เฝ้าห่วงใย และคอยแคร์ความรู้สึกคุณอยู่ ตลอดเวลาต่างหาก แล้วคุณล่ะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า ?

ขอมอบบทความนี้ให้กับผู้มีหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วย " ความรัก " ทุกท่าน และอย่าพยายามทำร้ายหัวใจใครอีกเลย ไม่ว่าจะด้วยเจตนา หรือไม่ก็ตาม
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #61 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2551, 21:30:55 »

วันนี้คุณคิดถึงผู้หญิงคนนี้ หรือยัง ?

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 และพี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา








บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #62 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2551, 09:34:53 »

นิทานสอนใจ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

นิทานเรื่อง " ตะเกียงวิเศษ " โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
 

 
กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียง ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า

" ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน "

ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดี และเขาก็มั่นใจว่าเขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า " นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย " ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า " ฉันต้องการวังหลังหนึ่ง เพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่ "

ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่า ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้ " สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง " ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา " ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง " เขาสั่งต่อไป

ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา " ฉันต้องการ..... " เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มต้นวิตกว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้ เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา

ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา

ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิด และจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา

ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้ และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้

ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของเรา เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธ และความอิจฉา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเรา เช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา

เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น เราก็สามารถใช้ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน

หมายเหตุ : นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้ คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เรื่องที่ 2

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้ แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาดีขึ้นได้

อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า " โธ่เอ๊ย วิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป "

เศรษฐีดีใจมาก และคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก
วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของฤาษี อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่าย และมีความสุขมากขึ้น

สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า
" หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน " ฤาษีก็รีบวิ่ง และหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า
" ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมาย เพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว "

หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

เรื่องจาก การพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์ โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เรื่องที่ 3

หาความสุขได้ที่ไหน

ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆ เสาไฟฟ้าข้างถนน สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาเห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่เลยถามขึ้นว่า
"ยาย ... ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่ ? " หญิงชราผู้นั้นตอบว่า
" ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ " พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย
" ยาย ... ยาย ... ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายที่ไหนล่ะ " ยายตอบว่า
" ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า " ... พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป

เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆ เราทำหาย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่น

ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน ? คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา จากใจเรา ดังนั้นเราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา

แหล่งที่มา : จาก " แนวทางสู่ความสุข " โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เรื่องที่ 4

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
" เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักยังไง " สามีก็ตอบว่า
" อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน " แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า
" เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว "

อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ
" ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีอะไรซักผ้า " สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า
" นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก "

'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็ยังถือเป็นภาระทางจริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ

ที่สำคัญ ... ( ถ้าจำไม่ผิด ) หากเช็ดหน้าต่างแล้วนะคะ ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยม แต่ก็เพียงพอที่แสงจะลอดผ่าน เพื่อประโยชน์แก่การ 'มอง' และ 'เห็น

โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2551, 09:43:10 »

ทำงานฉลาด และสบายขึ้น " แค่เปลี่ยนตัวเองสักหน่อย "

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ขึ้นต้นจั่วหัวมาอย่างนี้ หนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายฟังแล้วอาจกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง “ แค่เปลี่ยนตัวเองสักหน่อย ” ด้วยวิธีฉลาดๆ จะทำให้สบายขึ้นได้จริงแน่หรือ

อภิชาติ สิริผาติ ผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊กเรื่อง “ เงินเดือนนิดเดียว ต้องเหนื่อยให้น้อยที่สุด ” ไว้ได้อย่างน่าสนใจ เขานำประสบการณ์สมัยอยู่กับกิจการเอสเอ็มอีมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากโรงงานเม็ดพลาสติกของครอบครัว และหลังจากจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และปริญญาโท MBA University of New Haven จากสหรัฐอเมริกา อภิชาติมีประสบการณ์การทำงานในบริษัทต่างๆ เช่น บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ และปัจจุบันในบริษัท Busy-Day Publishing มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเขียนหนังสือแนะนำ 66 วิธีเหนื่อยน้อยลง แต่การันตีความก้าวหน้ามากขึ้น

เมื่อพลิกหน้าแรกก็มีประโยคคมๆ ว่า ... เป็นหนังสือสำหรับลูกน้องที่นายควรซื้อให้อ่าน !!! ... ด้วยเหตุผลที่ผู้เขียนอธิบายว่า ทุกวันนี้ดูเหมือนพวกเราหลายคนทำงานกันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่า วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงก็ยังไม่ค่อยพอ แถมเหนื่อยก็เหนื่อย มาร่วมเรียนรู้เทคนิคที่จะช่วยให้เราขี้เกียจกันได้ ! แต่ยังได้ผลงานที่เหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม !!! กับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเติมพลังให้กับการทำงานในแต่ละวัน หลายๆ เทคนิคเป็นสิ่งที่นำมาใช้ได้อย่างง่ายแสนง่าย แต่เราอาจมองข้ามไป เช่น การรู้จดบันทึก การรู้จักหาคนช่วยคิด การพูดซ้ำให้คนอื่นเข้าใจ และอื่นๆ อีกมาก โดยเฉพาะในบทที่ 5 ที่พูดถึงเรื่อง “ เปลี่ยนตัวเองสักหน่อย ” เป็นอีกวิธีการทำงานที่เริ่มต้น ( เปลี่ยนแปลง ) ได้ด้วยตัวเราเองอย่างง่ายดายที่สุด


ทบทวนตัวเองวันละ 10 นาที

อภิชาติบอกว่า หลังเลิกงานทุกวัน เพียงคุณหาเวลาสัก 10 นาที ลองทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าถึงเย็น วิเคราะห์ดูว่ามีงานหรือวิธีการทำงานใดที่ทำไปในวันนี้ แล้วมีวิธีทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เหนื่อยน้อยลงหรือเปล่า ? ลองตั้งคำถามที่ขัดกับสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น ทำไมต้องกรอกแบบฟอร์ม 2 แบบฟอร์ม เหลือแค่ฟอร์มเดียวได้หรือเปล่า ? ทำไมคนมาสมัครงานต้องกรอกใบสมัครที่บางทีเราก็อ่านลายมือไม่ค่อยออก ต้องนำมาใส่แฟ้มหนาเป็นตั้งๆ ค้นหาอีกทีก็ยาก มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมที่ให้คนสมัครงานคีย์ข้อมูลตัวเองเข้าไปได้เลยหรือไม่ ? และอื่นๆ ที่ทำให้เราทำงานง่ายขึ้น สบายขึ้น และทุกคนดีขึ้น ( ลูกค้าบริษัท ) ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ช่วยให้เราทำงานสบายขึ้น เสร็จงานเร็วขึ้น เราจะมีเวลาพักมากขึ้น ซึ่งอาจนั่งเฉยๆ แล้วทำเป็นคิดงานก็ยังทำได้ เพราะงานที่ต้องทำเสร็จหมดแล้ว

ทบทวนตัวเองสัปดาห์ละ 30 นาที

ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน ลองทบทวนตัวเองดูว่า เวลาของตัวเองที่เกี่ยวกับการทำงานหมดไปกับเรื่องอะไรบ้าง ? การประชุม การโทรศัพท์ งานเอกสาร การอิจฉาคิดร้ายคนอื่น หรืออื่นๆ และดูว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดผลผลิตหรือเปล่า ? ทำอย่างไรให้เหนื่อยน้อยลง แต่ได้งานเหมือนเดิมหรือมากขึ้น กิจกรรมใดควรตัดออกไปบ้าง ?

เลิกเคยชินซะบ้าง

พวกเรามักใช้ชีวิตกันตามความเคยชินเป็นหลัก จนหลายสิ่งที่เราทำกลายเป็นสัญชาตญาณ และไม่เคยนึกหรือถามตัวเองว่ามีวิธีที่ดี หรือเหนื่อยน้อยกว่านั้นหรือไม่ เช่น เราเคยชินกับการทำงานที่ต้องมีโต๊ะทำงาน ซึ่งเสียทั้งเงินและค่าโต๊ะและพื้นที่ แต่ปัจจุบันเราสามารถออกแบบสำนักงาน จัดระบบงานให้หลายตำแหน่งทำงานที่บ้าน หรือใช้โต๊ะทำงานร่วมกันได้ หรือหลายคนยังชินกับการรับส่งเอกสารทางแฟกซ์ ซึ่งสามารถทดแทนได้โดยใช้อีเมล
ฉะนั้น อย่าชินกับสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวัน แต่มองหาวิธีที่ง่ายกว่า ประหยัดกว่า หรือเหนื่อยน้อยกว่า


ทำตัวมีเสน่ห์

อภิชาติแนะว่า ความมีเสน่ห์จะช่วยให้การทำงานราบรื่น เหนื่อยน้อยลง มีคนให้ความร่วมมือในการทำงานมากขึ้น ใครคิดว่าตัวเองยังไม่มีเสน่ห์ “ ลองหัด ” เติมเสน่ห์ให้ตัวเองสักนิด วิธีเริ่มต้นง่ายๆ เช่น พูดจาดี ยิ้มเก่ง มีถ้วยทอฟฟี่เล็กๆ บนโต๊ะที่ใครก็หยิบได้ รู้จักชมผู้อื่น ( มีกฎว่าวันหนึ่งคุณควรชม ( อย่างจริงใจนะ ) เพื่อนร่วมงานอย่างน้อยสัก 3 คน ) การรู้จักรักษาความสัมพันธ์ติดต่อกับผู้อื่นอยู่เสมอ อาจทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้อีเมลในการส่งเรื่องที่น่าสนใจต่างๆ ให้เป็นระยะทำให้เมื่อต้องติดต่อ หรือขอความร่วมมือ จะติดต่อง่ายขึ้นด้วย

ไม่เห็นด้วยต้องพูดดังๆ

หลายคนเหนื่อยฟรี ! เพราะต้องทำงาน 2-3 รอบ โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับคนที่มีตำแหน่งใหญ่กว่า เนื่องจากการไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือโต้แย้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่างานนั้นควรทำอย่างไร หรือรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้เกิดปัญหาต้องมาตามแก้ ฉะนั้นหากไม่เห็นด้วย มีความเห็นอย่างไรควรพูดออกไป ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้คนอื่นมองเห็นหลายๆ ด้าน โดยถึงแม้จะเปลี่ยนคำสั่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราจะได้แสดงความสามารถของเรา และไม่โดนตำหนิภายหลังว่ารู้แล้วทำไมไม่พูด

ลำดับความสำคัญ

การรู้ว่าควรต้องทำงานไหนก่อน งานไหนทำหลัง ทำให้เหนื่อยน้อยลงได้มาก เพราะการไม่ทำงานสำคัญก่อน และต้องมาเร่งทำแข่งกับเวลาจะเป็นสิ่งที่สร้างความเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวเสร็จไม่ทัน และอาจต้องอยู่ทำงานดึกได้

ทำอะไร ทำให้เสร็จ

การทำงานอย่างละนิดละหน่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะทำให้ไม่มีความต่อเนื่อง ลืมบางสิ่งบางอย่างและอาจรู้สึกเบื่อได้ เพราะจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง และมักทำให้ต้องเหนื่อยมากกว่าเดิมจากความไม่มีประสิทธิภาพ ฉะนั้นหากเริ่มงานสิ่งใดพยายามทำให้เสร็จไปเป็นอย่างๆ

ตั้งเป้าประจำวัน และทำให้เสร็จ

การที่จะทำงานเสร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ต้องมาเร่งให้เหนื่อย ทำได้ด้วยการพยายามตั้งเป้าให้ตัวเองทุกวันว่าวันนี้เรามีงานอะไรจะทำให้เสร็จบ้าง โดยจดเป็นเช็กลิสต์ไว้และอาจผสมงานยากงานง่าย งานที่สามารถทำให้เสร็จได้ในวันเดียวไว้ด้วยกัน และมุ่งมั่นทำให้ได้ตามนั้น การที่สามารถทำอะไรให้เสร็จได้ทุกวัน จะทำให้รู้สึกมีความคืบหน้าทุกวันและความเหนื่อยน้อยลง

ไม่พูดแบบนักการเมือง

ความหมายนี้ก็คือ พยายามฝึกพูดให้สั้น ตรงประเด็น เข้าใจง่าย มีการสรุปสาระสำคัญความต้องการ โดยสามารถสื่อให้คนฟังเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องทำอะไร เราคาดหวังอะไร การพูดที่คลุมเครือ เข้าใจยาก นอกจากต้องเสียเวลาพูดคุยกันนานแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยังอาจตีความผิด และทำให้ต้องแก้ไขงานกันในภายหลังอีกด้วย ซึ่งเป็นการเหนื่อยฟรีกันทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นสรุปความคิดของตัวเองให้ชัดเจน ตกผลึกก่อนที่จะถ่ายทอดให้คนอื่น เพราะถ้าตัวเองยังไม่ชัดเจน ย่อมถ่ายทอดความไม่ชัดเจนออกไปด้วย

ลองใส่ " วันใหม่ๆ " ลงไปในปฏิทินของคุณ

ข้อสุดท้ายของการลอง " ปรับ-เปลี่ยนแปลงตัวเอง ” อภิชาติแนะนำให้ใช้วิธีเขียนวันใหม่ๆ ใส่ลงไปในปฏิทิน ซึ่งหมายความถึง “ วันเก็บโต๊ะทำงาน ” โดยใช้ปากกาเน้นแถบสีสดๆ ไว้บนปฏิทินวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ ... “ วันเคลียร์ไฟล์ในคอมพ์ฯ ” สำหรับวันอังคาร และวันพุธ ... “ วันทบทวนระบบทำงาน ” ในวันจันทร์ และวันอังคารของสัปดาห์ต่อไป ส่วนวันศุกร์กันไว้ให้เป็น “ วันเคลียร์เอกสารที่ไม่ใช้ ” สัปดาห์ต่อไปอาจไม่มีวันใหม่ๆ แต่ก็อย่าลืม !!! “ วันทบทวนตัวเอง ” ไว้สักวันในอาทิตย์ก่อนที่เดือนนี้จะสิ้นสุดลง

เรื่องโดย : ชุติมา สุวรรณเพิ่ม
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #64 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2551, 22:53:27 »

วาสนา

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ... ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่าคู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆ ผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่าเป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า " อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว " เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้ง แต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า " อยากเข้ามา ก็เข้ามา "

เมื่อหลวงตาเข้าไปที่ห้องนอนก็พบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเ ตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า " อาการหนักเลยนะ " ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า " โทรมมากเลยนะ " ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายผู้ป่วยมองภาพในกระจกด้วยความสนใจอยู่นั้น เขาพบว่ามีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพ นึกสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆ อีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่าเป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด


^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #65 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2551, 22:57:27 »

ริบบิ้นสีฟ้า ... มีความรู้สึกดีๆ มาให้

อารียา - ครุ 16 ... ส่งมา

ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์คตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอนด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่า แต่ละคนมีคุณค่าพิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง

เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคน แรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่าพวกเขามีคุณค่าเพียงใดทั้งต่อตัวครู และต่อเพื่อนร่วมห้อง จากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเป็นของขวัญให้ ข้อความบนริบบิ้นมีว่า " ฉันเป็นคนมีคุณค่า " ... จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อดูว่าการแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชน เธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้น ให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้ และชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไป จากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผล และดูว่าใครยกย่องใครบ้าง แล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์

นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆ เพื่อยกย่องที่ชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคต แล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ต จากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า " เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชมผู้อื่นครับ ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง แล้วให้ริบบิ้นเขา ส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไปเพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชมนี้ให้กระจายต่อไป แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง "

ต่อมาในวันเดียวกันผู้บริหารท่านนี้เข้าพบเจ้านายเขา ซึ่งเป็นคนที่ใครๆ รู้กันดีว่าเกรี้ยวกราดอารมณ์ร้าย เขานั่งลงคุยกับเจ้านาย บอกเจ้านายว่าลึกๆ เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาถามเจ้านายว่าจะยินดีรับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชม และอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่ เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่าได้ เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอก บริเวณเหนือหัวใจ

เมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านาย เขาบอกเจ้านายว่า ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับ ผมอยากให้เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้นเส้นสุดท้ายนี่ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคน พ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรกกำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่ เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่ในวงกว้างออกไป แล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ ยังไงบ้าง

ค่ำวันนั้นชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่ เขาเรียกลูกชายให้นั่งลงแล้วกล่าวว่า วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อ ตอนอยู่ห้องทำงาน ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเขาชื่นชมพ่อ แล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจริยะเรื่องความมีหัวคิดสร้างสรรค์ ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะ แล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่าติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่ แล้วยังให้ริบบิ้นพ่อมาอีกเส้นให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อ

ระหว่างที่พ่อขับรถกลับบ้าน ก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดี แล้วพ่อก็นึกถึงแก พ่ออยากชื่นชมแกนะ วันๆ พ่อทำงานยุ่งเหยิงมากพอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไร บางทียังอาละวาดอีกเรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดี เรื่องทำห้องนอนรก แต่ยังไงไม่รู้สิ วันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแกอยากบอกว่าแกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหน นอกจากแม่แกแล้ว ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อ แกเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ แล้วพ่อก็รักแกนะ ... เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้น แล้วก็สะอื้น เขาไม่อาจหยุดร้องไห้ ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา
" พ่อครับเมื่อตอนเย็นผมอยู่บนห้อง นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่ เพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผม ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนพ่อหลับ ผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลย จดหมายอยู่บนห้องครับแต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ " พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้อง พบจดหมายข้อความสะเทือนใจบรรยายถึงความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานจดหมายฉบับนั้น จ่าหน้าถึงพ่อกับแม่


ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเลิกเป็นคนขี้โมโห แต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พนักงานใต้บังคับบัญชารู้ว่า พวกเขามีค่าอย่างไรบ้าง ส่วนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆ ต่อมาอีกหลายคน เรื่องการวางแผนอาชีพในอนาคตแล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่า แต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง หนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายเขา

ส่วนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่ง นั่นคือเราต่างเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 กันยายน 2551, 23:45:15 »

วิธีอยู่เหนือดวงชะตา

สุรีย์ - ครุ 16 ... ส่งมา

( โดยเฉพาะเวลาดวงตก หรือ ป่วยใกล้หมดอายุ )

๑. รักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต ( หาโอกาสถือศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถบ้างในวันพระ )

๒. ถวายสังฆทานเป็นประจำ หรือบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าดวงกำลังต หรือมีเคราะห์หนัก ภายใน ๓ วัน ต้องไม่ต่ำกว่า ๗ วัด ถ้าได้ ๙ วัด จะยิ่งดี ถ้า ได้มากกว่านั้นจะดีเลิศ

๓. ปล่อย โค กระบือ นก ปลา เต่า หอยขม หอยโข่ง หรือสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ฯลฯ โดยด่วน

๔. ทำบุญ ใส่บาตรพระ ทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๑ รูป หรือถ้าได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

๕. นั่งสมาธิให้ได้ก่อนนอนทุกคืน สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น เป็นประจำ สม่ำเสมอ

๖. ตอบแทนบุญคุณพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และผู้มีพระคุณ ให้ท่านชื่นใจทุกวิถีทางเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะทำบุญกับท่านเหล่านี้จะให้ผลมาก

๗. สงเคราะห์คนชราที่เร่ร่อน ขาดคนอุปถัมภ์เลี้ยงดู เด็กกำพร้า เด็กพิการ ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ สม่ำเสมอ

๘. สงเคราะห์ญาติมิตรที่ลำบาก คนยากจน คนตกงานโดยเต็มใจ และเมตตา อย่างจริงใจ และฝึกการเป็นผู้ให้จนติดเป็นนิสัย

๙. มีความจริงใจ บริสุทธิ์ใจกับทุกๆ คน ให้อภัยผู้อื่นเสมอ ให้มองหาแต่ความผิดความบกพร่องของตนเอง และพยายามแก้ ( ข้อนี้สำคัญที่สุด ) คนเลว คนชั่วจะมองหาแต่ความผิดความเลวของผู้อื่น

๑๐. ไม่นินทาว่าร้าย อิจฉาริษยาผู้อื่น เมื่อเขาผิดพลาด หรือได้ดีกว่าตน มองแต่ความผิดพลาดของตนเอง และพยายามแก้ไข

๑๑ การกล่าวโทษว่าร้ายผู้อื่น ถ้าแม้จะจริงก็ตาม เราก็จะได้รับผลตามที่ติเตียน หรือกล่าวร้ายเขา หนักยิ่งกว่าหลายเท่า

๑๒. ไม่ถือสา โกรธเคืองผู้ใด หรือผูกอาฆาต พยาบาท จองเวรใคร เพราะผู้ที่ทำให้เราโกรธ หรือไม่พอใจนั้น เขาได้ทำบาปทำผิดอยู่แล้วที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น ถ้าเราโกรธตอบ แสดงว่าเราก็เช่นเดียวกับเขา และแย่ยิ่งกว่าเขา สองเท่า เพราะรู้แล้วยังทำ ให้แผ่เมตตาหรือทำเฉยๆ เสีย อย่าเอาใจใส่

๑๓. ให้พยายามทำใจให้รัก และเมตตาสงสารคน และสัตว์ทุกๆ คน เพราะเขาเกิดมาก็เป็นทุกข์เช่นเดียวกับเรา คือทุกข์เพราะการเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย ความพรัดพรากจากของรัก ความไม่สมหวังในสิ่งทีปรารถนา ( ได้มาแล้ว ย่อมเสียไป ) เป็นเช่นนั้นทุกๆ สรรพสิ่งในโลก

๑๔. ทุกครั้งที่ทำความดี จะรู้สึกมีความสุข อิ่มใจ สดชื่น แจ่มใส ขณะนั้นบุญกุศลเกิดเต็มเปี่ยม จงแบ่งความสุขเหล่านั้นคือผลบุญที่ทำให้เจ้ากรรมนายเวร โดยการไม่ลืมอุทิศผลบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกๆ ครั้งด้วย และแถมท้ายด้วยการขออโหสิกรรมกับเขาด้วย เสร็จแล้วแผ่เมตตาอุทิศผลบุญกุศลให้กับพ่อ แม่ ผู้ที่มีพระคุณต่อเราทุกๆ คนด้วย บุญของเราก็จะแผ่ไพศาลกว้างไกล อยู่เหนือดวงชะตาในที่สุด

ขออานิสงส์ของการเผยแพร่บทความนี้จงส่งผลให้ผู้ที่เผยแพร่ทั้งหลาย โชคดี มีความเจริญ คิดสิ่งใดที่ดีงามขอให้สมหวังดังปรารถนาทุกประการ มีดวงตาเห็นธรรม ในการที่จะดำเนินชีวิตที่มีความสุขกาย สุขใจ ประสบแต่สิ่งที่ดีงาม เพื่อสังคม เพื่อประเทศไทย ... เพื่อโลกจะได้มีสันติสุข
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #67 เมื่อ: 20 กันยายน 2551, 20:50:54 »

ทอนเท่าไหร่ ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า " ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร? " เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า " 7 บาท " แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า " 2 บาท " อีกคนหนึ่งตอบว่า " ไม่ต้องทอน "

ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือ ภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้นจึงได้เงินทอน 2 บาท

ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย คำตอบก็คือ เด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้นคนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่

การสร้างโจทย์ที่ " เสมือนจริง " จินตนาการของ " ครู " อาจถูกจำกัดเพียงแค่ " ตัวเลข " แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ ... 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาทก็ได้ เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือได้เงินทอน 1 บาท

โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ


" อย่ารีบตัดสินความผิดถูกของคนๆ หนึ่ง เพียงแค่ คำตอบ ของเรา "

" อย่าหยุดความคิดสร้างสรรค์ของคนๆ หนึ่ง ด้วยกรอบความคิดของเรา "
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #68 เมื่อ: 29 กันยายน 2551, 23:27:33 »

เมื่อขงเบ้งสอนเล่าปี่เกี่ยวกับ " เทคนิคการบริหารเวลา "

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา

ทุกวันทุกคนบนโลกใบนี้มีเวลาเท่าเทียมกันคือ 24 ชั่งโมง  อย่างไรก็ดี  มองจากแง่มุมของเศรษฐศาสตร์ เวลาของทุกคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน การบริหารเวลาของแต่ละคนจึงหมายถึงความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความพ่ายแพ้  ค่าของเวลาเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพ ซึ่งในแง่ธุรกิจคือต้นทุน ฉะนั้นสถาบันศึกษาทุกแห่งที่สอนวิชาการบริหารธุรกิจจึงมีหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารเวลา


                 
ครั้งหนึ่ง เล่าปี่ขอขงเบ้งให้แนะนำวิธีสร้างตนเป็นอภิมหาเศรษฐีแห่งดินแดน  ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผน  และรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

เล่าปี่ กล่าวว่า " ข้าพเจ้า ( ข้าฯ ) เห็นด้วยในหลักการแต่ทว่าข้าฯ มีงานมากมายที่ต้องทำทุกวัน  จนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย " ขงเบ้งบอกให้ลูกน้องไปเตรียมก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่ง  พร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ  เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ " ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร ? "

ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า " ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด ? "  เล่าปี่ตอบว่า " ข้าฯ   เคยคิดว่าข้าฯ มีเทคนิคที่ดีอยู่แล้ว  คือใช้วิธีมอบหมาย  ข้าฯ มีผู้ช่วยอยู่รอบด้านตั้งแต่กวนอู  เตียวหุย  เจ้าหยุน ฯลฯ  ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ  แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีรุงตุงนัง  ไม่สามารถปรับให้ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลดีขึ้นได้  เดิมข้าฯ คิดว่าคือแมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงาน  กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันบริษัทมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง !! "



ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า " เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็น สูง กลาง และต่ำ สามขั้น ขั้นต่ำเน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก ขั้นกลาง เน้นการใช้แผนดำเนินงาน และตารางโปรแกรมประจำวันซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน ส่วนขั้นสูง เน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภทของหน้าที่การงานตามดีกรีความสำคัญของงานเพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว ทั้งสามขั้นอันดับต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น   
                                                                 
เล่าปี่สารภาพว่า " หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว  ข้าฯ ยอมรับว่าวิธีของข้าฯ อยู่ที่ขั้นต่ำ  เพราะใช้แค่การส่งใบ slip บันทึก " ขงเบ้งชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุที่ผู้ช่วยได้เตรียมเสร็จไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า  " คำตอบของการบริหารขั้นสูงอยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี้แหละ !  ความจุของถังนี้เปรียบเสมือนขีดความสามารถของคนๆ หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง  ก้อนกรวดเปรียบได้กับงานที่สำคัญ และเร่งด่วน  ก้อนหินคือภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน  เม็ดทรายเปรียบได้กับภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ  และน้ำคือหน้าที่ที่ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน "



ขงเบ้งอธิบายพรางวาดผังประกอบคำอธิบาย ดังในตารางประกอบ



" ปกติท่านเน้นงานประเภทใด ? " ขงเบ้งถาม

" ก็ต้องเป็นประเภท ก." เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล  แล้วงานประเภท ข. ล่ะ ? ขงเบ้งถามต่อไป  เล่าปี่ตอบว่า " ข้าฯ ตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข. แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่สนใจมัน "

 "เป็นอย่างนี้ใช่ไหม "  ขงเบ้งถาม  พรางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็มแล้วพยายามใส่ก้อนหินเข้าไปซึ่งใส่ไม่ได้ เล่าปี่ตอบว่า'ใช่ ! "

" และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ ? " ขงเบ้งถามต่อ  พลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อน  จนใส่ไม่ได้ แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า " ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่อะไรลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม ? " ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า " ใช่ "

" จริงหรือ ? " ขงเบ้งถาม  แล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถัง  แล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด  " บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่ ? " ขงเบ้งพูดพรางเทเม็ดทรายลงไปอีกจนหมด

" แล้วทีนี้ล่ะ ? ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม ? " ขงเบ้งถามต่อไป

แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ  ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด " ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้แล้วหรือยัง ? "



เล่าปี่ตอบว่า " เข้าใจแล้ว  นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่  เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภท และเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม ? "

ขงเบ้งตอบว่า " ใช่แล้ว  การทดลองชี้ให้เห็นว่า  หากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มไปด้วยก้อนกรวด ทราย และน้ำ ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้  แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อนในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆ เข้าไปได้อีก  ดังนั้นการบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า อะไรคือก้อนหิน อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทราย และน้ำ ฯลฯ และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก "

เล่าปี่ยังถามว่า " แล้วการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องต่างๆ ออกเป็นสี่หมวดนี้มีผลอย่างไรล่ะ ? "

ขงเบ้งตอบว่า " บุคคลจำพวกที่ว่าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทก้อนกรวด  ย่อมมีความรู้สึกถูกเวลากดดัน  และวนเวียนอยู่ในแดนวิกฤตจนอ่อนล้า  พวกที่เน้นเรื่องประเภทเม็ดทรายจะขาดพลังสร้างสรรค์  ชอบฟังคำพูดเพราะหู  คบคนแบบผิวเผิน  พวกที่นิยมเรื่องราวประเภทน้ำมักบกพร่องเรื่องสำนึกรับผิดชอบ  แม้กระทั่งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของตนเอง "

เล่าปี่ถามว่า " เป็นไปได้ไหมที่ว่าถ้าเน้นก้อนหินมากเกินไปจะมองข้ามก้อนกรวด  เพราะก้อนกรวดมากับความเร่งด่วน ? "

" ท่านทราบไหมว่าก้อนกรวดมาจากไหน ?  ก็มาจากก้อนหินที่แตกสลายไง ! "  ขงเบ้งตอบ " คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทก้อนหิน  จะมีก้อนกรวดน้อย  คนที่เน้นก้อนกรวด  ก็จะมีก้อนกรวดเยอะตลอด "

ขงเบ้งสอนต่อไปว่า " คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ  เพราะเขาจะเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์  เวลา  และสิ่งแวดล้อม  สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา  สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วน และควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ  กล้าฟันธง และใช้มาตรการป้องปราม  บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์  มีอุดมการณ์  เคารพระเบียบ  สามารถควบคุมตัวเอง  ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย  และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้ "
 
เล่าปี่ชื่นชอบทฤษฎี " วัตถุในถัง " ของขงเบ้งเป็นอย่างมาก  พร้อมกับสารภาพว่า " มาวันนี้ข้าฯ ถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า  การต่อสู้ของข้าฯ ทำไมจึงยังลุ่มๆ ดอนๆ  เพราะแม้ว่าข้าฯ มีขุนพลเก่งๆ  เช่น  กวนอู และเตียวหุย  แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไร  ตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับเรื่องจิ๊บจ๊อย  กับทำงานลักษณะ " เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม " ( เจี่ยนเลอจือหมา ติวเลอซีกวา ) ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป  ความพยายามของข้าฯ ที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐีนัมเบอร์วันในแผ่นดินก็คงเป็นได้แค่ความฝัน ! "


เกี่ยวกับผู้เขียน : เป็นดอกเตอร์ทางด้านประวัติศาสตร์ และภาษาเอเชียตะวันออก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  และเคยรับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายคือรองปลัดกระทรวง  ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร  เครือเจริญโภคภัณฑ์ "

คอลัมน์ คลื่นความคิด โดย สารสิน วีระผล มติชนรายวัน วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2548 ปีที่28 ฉบับที่ 9886


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #69 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2551, 22:02:22 »

มองที่ปัญหา หรือ มองที่ทางออก

สุขวสา - บัญชี 16 ... ส่งมา

เคยได้รับเมล์ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย ขอถ่ายทอดมาให้อ่านกันบ้าง

เรื่องแรก

อเมริกาส่งนักบินไปในอวกาศ เจอปัญหาปากกาเขียนไม่ออก นักวิทยาศาสตร์จึงระดมปัญญาเพื่อประดิษฐ์ปากกาที่สามารถเขียนในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้ ต้องทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญ และใช้เวลาไปหลายปี ในที่สุดก็ได้ปากกาที่สามารถเขียนได้ทุกพื้นผิว แม้ใต้น้ำก็เขียนได้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

แต่นักบินอวกาศรัสเซีย ที่ประสบปัญหาเดียวกัน ใช้ดินสอเขียนแทนปากกา

 
*******************************

เรื่องที่สอง

โรงงานผลิตสบู่ในญี่ปุ่นประสบปัญหา เมื่อส่งสินค้าไปแล้วลูกค้าบ่นเรื่องบางกล่องไม่มีสบู่ เป็นกล่องเปล่าๆ ทางโรงงานติดตั้งเครื่อง X-Ray เพื่อตรวจสอบ ใช้เงินลงทุนไปหลายล้านเยน กล่องไหนไม่มีสบู่ก็ตรวจจับได้ ทำให้สามารถส่งสบู่ที่ไม่มีกล่องเปล่าอีก

แต่โรงงานเล็กๆ อีกโรงประสบที่ปัญหาเดียวกัน ช่างคุมงานใช้พัดลมตัวใหญ่ๆ เป่าลมบนสายพาน กล่องเปล่าก็ปลิวออกไป


******************************

คนเราเวลาประสบปัญหา ส่วนมากมักคิดแต่จะแก้ปัญหา ทุ่มกำลังสติปัญญา และทุ่มเทเวลาเพื่อแก้ปัญหานั้น แต่ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นมองที่ทางออก ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายก็ดูจะกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย

******************************

เมื่อคุณเจอปัญหา ลองเปลี่ยนวิธีคิด แล้วคุณจะประหลาดใจ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #70 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2551, 22:46:37 »

Welcome to the " Stock " Market

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

Once upon a time in a village, a man announced to the villagers that he would buy monkeys for $10. The villagers seeing there were many monkeys around, went out to the forest and started catching them. The man bought thousands at $10 and as supply started to diminish, the villagers stopped their effort.

He further announced that he would now buy at $20. This renewed the efforts of the villagers and they started catching monkeys again. Soon the supply diminished even further and people started going back to their farms. The offer rate increased to $25 and the supply of monkeys became so little that it was an effort to even see a monkey, let alone catch it !

The man now announced that he would buy monkeys at $50 ! However, since he had to go to the city on some business, his assistant would now buy on behalf of him.

In the absence of the man, the assistant told the villagers. " Look at all these monkeys in the big cage that the man has collected. I will sell them to you at $35 and when the man returns from the city, you can sell to him for $50."

The villagers squeezed up with all their savings and bought all the monkeys. Then they never saw the man nor his assistant, only monkeys everywhere ! ! !

 
Welcome to the " Stock " Market ! ! ! ! !
บันทึกการเข้า
Junphen Juntana
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 403

เว็บไซต์
« ตอบ #71 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2551, 19:01:59 »

วันก่อน ได้ฟ้งท่าน ว. วชิรเมธีบรรยายที่หอประชุม SCB  ได้ข้อคิดกับชีวิตและสังคม ดีมากๆ เลยค่ะ

บันทึกการเข้า

เพ็ญ อักษร: รหัส 36 & ซีมะโด่ง 76

เว็บไซต์: http://www.tpa.or.th/writer/author_des.php?passTo=98900ed085c9084a2b01bdbd15fa8470&authorID=429

http://www.facebook.com/penfriend

ทำใจให้ดี ทำดีให้ใจ
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #72 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2551, 18:39:52 »

พี่เจี๊ยบ16 ครับ
มีคนอ่านอยู่เสมอ ในกระทู้นี้
เพียงแต่ไม่ได้โพสต์มาทักทายเท่านั้น
ผมชอบเกือบทุกบทความ รักนะ


บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #73 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2551, 11:25:12 »

ขอบคุณครับ สมชาย 17 ที่ส่งเสียงเข้ามาทักทายกัน  ไม่งั้นก็จะเห็นเพียงแต่ตัวเลขจำนวนผู้อ่านที่เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอเท่านั้น ... พี่เล่าต่อเลยล่ะนะ ...

คนเราสามารถเป็นคนดี โดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

ปู่อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ค เคยเขียนไว้ว่า " โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์คือ  การที่ศีลธรรมถูกศาสนาแย่งชิง ไม่ว่ามันจะมีค่า หรือจำเป็นเพียงใดต่อการบังคับให้คนในยุคโบราณทำดี การรวมของสองสิ่งนี้กลับให้ผลตรงข้าม และในช่วงเวลาที่สองสิ่งนี้ควรถูกแยกออกจากกัน คนโง่ที่คิดว่าตนเองมีศีลธรรมแก่กล้ากว่า  กลับเรียกร้องให้ผู้คนหวนคืนสู่ศีลธรรมด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ "

สำหรับชาวเราที่โตมากับการเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน หรือคนที่เข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ อาจรู้สึกว่านี่เป็นคำกล่าวที่ผูกกับระเบิดลูกใหญ่  ความคิดใดๆ ที่แย้งกับสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง มักยอมรับกันได้ยาก คุยเรื่องนี้แล้วอาจถูกตีหัว หรือถูกหาว่าเป็นมารศาสนาได้ง่ายๆ

ทว่าในฐานะของชาวพุทธที่ได้รับการสอนเรื่องกาลามสูตร  นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะไตร่ตรองดูว่า มีความจริงมากน้อยแค่ไหนในคำกล่าวข้างต้น  บางทีมันอาจเป็นโอกาสให้เราปัด " ฝุ่น " ที่เกาะใจเรามาโดยที่ไม่รู้ตัว  ที่สำคัญคือหากเราจะเข้าใจตัวเอง และชีวิตมนุษย์บนโลกดีขึ้น  ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องกล้าตั้งคำถาม  และวิเคราะห์ข้อคิดแย้งใดๆ ให้ถึงแก่น

มนุษย์แทบทุกมุมโลกถูกสั่งสอนมาแต่เด็กให้เชื่อมคำว่า " ศีลธรรม " " การทำดี " เข้ากับคำว่า " ศาสนา "  การเป็น atheist ( คนที่ไม่มีศาสนา, คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ) หรือ free thinker ในโลกนี้จึงมักถูกเข้าใจผิดเสมอ หลายคนฝังใจว่าการไร้ศาสนา คือการไร้ศีลธรรม

ทว่าการ " ไร้ศาสนา " กับ  " ไร้ศีลธรรม " เป็นคนละเรื่องกัน  แน่ละ  คนไร้ศาสนาจำนวนมากกระทำเรื่องชั่วร้าย แต่ประวัติศาสตร์โลกเราก็บันทึกตัวอย่างมากมายของการกระทำชั่วโดยคนที่มีศาสนา  ตั้งแต่ฮิตเลอร์ไปจนถึงผู้นำชาติมหาอำนาจที่ก่อสงครามเป็นว่าเล่น  ล้วนแต่เป็นคนที่เข้าโบสถ์สม่ำเสมอ  ดังนั้นการเชื่อมโยง " ไร้ศาสนา " กับ " ไร้ศีลธรรม " ก็เช่นการบอกว่า สุนัขทุกตัวที่ไม่ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ต้องเป็นสุนัขบ้า

คนเราสามารถเป็นคนดีโดยไร้ศาสนาได้หรือไม่ ?  อาจต้องเริ่มที่การตั้งคำถามว่า อะไรคือความดี ? เราวัดความดีอย่างไร ? ช่วยจูงคนแก่ข้ามถนน ? ไม่เป็นเด็กแว๊น เด็กสก๊อย ? อะไรคือศาสนา ?  มันคือการไม่ฆ่าคน ? ไม่โกหก ? ไม่ขโมย ? ไม่ประพฤติผิดในกาม ? มีเมตตาเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก ? ความดีเป็นสิ่งที่เกิดมากับจักรวาลหรือไม่?  หรือว่ามันเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์ปรากฏขึ้นบนโลก ? มันเกี่ยวกับการที่เราอยู่กันเป็นสังคมหรือไม่ ?  ทำไมศาสนาเพิ่งถือกำเนิดมาในโลกนานหลังจากมนุษย์สร้างอารยธรรม ? สัตว์มีศาสนาหรือไม่ ?

ถ้าเราใช้ข้อปฏิบัติตามที่บัญญัติในศาสนาเป็นเครื่องวัดความดี  เราก็อาจต้องถามต่อไปว่า ปลาวาฬปลาโลมาที่ช่วยชีวิตคนที่ประสบภัยกลางทะเลก็รู้จักทำดี ?  ลิงบางสายพันธุ์ที่ช่วยกันดูแลลิงที่เจ็บป่วยก็มีศีลธรรม ?

การมองว่าสัตว์ก็สามารถพัฒนา " ศีลธรรม " ได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล  หลักฐานทางวิทยาศาสตร์คล้อยไปในทิศทางว่า  สายสัมพันธ์ในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม  มีความเอื้ออาทรแบบเป็นพ่อแม่ลูก  เมื่อพัฒนาสติปัญญาถึงระดับหนึ่ง ก็มักจะเกิดความรู้สึกทางศีลธรรม หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยเลี่ยงไม่พ้น  เห็นชัดว่ารากฐานของศีลธรรมนั้นเริ่มจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ( empathy )

ลองสมมุติว่าคุณเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในโลกที่ไร้สัตว์  มีแต่ธรรมชาติ  คุณยังจะต้อง " ทำดี " หรือไม่ ?  เมื่อวัดด้วยมาตรศีลธรรมของทุกศาสนาในโลก  คำตอบก็คือ ไม่ !  คุณฆ่าคน และสัตว์ไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้คุณฆ่า  คุณโกหกไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้คุณโกหก  คุณขโมยของไม่ได้เพราะไม่มีอะไรให้ขโมย ฯลฯ  นี่อาจหมายความว่าการทำดี และศีลธรรม ไปจนถึงศาสนาเป็นผลผลิตของสัตว์สังคม  เป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติของสัตว์ชั้นสูงที่พัฒนาระบบประสาทถึงระดับหนึ่ง  มองในมุมของหลักวิวัฒนาการ  การกำเนิดของศาสนาในโลกเป็นกลไกที่จำเป็น  เป็นระบบที่ทำให้สังคมอยู่รอดได้  เพราะสังคมที่ผู้คนเกื้อกูลกัน  ย่อมมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าสังคมที่คนทะเลาะกัน  เช่นเดียวกับสัตว์หลายชนิดที่อยู่เป็นฝูง  เตือนภัยให้กันเมื่อศัตรูมา  หากพวกมันทะเลาะกัน  ย่อมจะตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นจนหมดสิ้นเผ่าพันธุ์

เช่นนั้น  เราสรุปได้ไหมว่า ความดีความเลวเป็นผลผลิตของมนุษยชาติ  รากฐานของการเกิดความดีความชั่วมาจากการกำเนิดสังคม ? และหากก้าวไปไกลอีกขั้น ความดีความเลวเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เราสร้างขึ้นมา ?

หากถามชาวพุทธทั่วไปที่เรียนวิชาศีลธรรมในห้องเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า  อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา  คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คืออริยสัจจ์ 4 ( ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค ) หรือโอวาทปาติโมกข์ ( ไม่ทำชั่ว-ทำดี-ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ) หรือมัชฌิมาปฏิปทา ( ทางสายกลาง ) น้อยคนเหลือเกินจะตอบว่าคือ อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท  บ้างบอกว่าไม่เคยได้ยินคำนี้เลย  ทั้งที่มันเป็นสาระหลักที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ในคืนวิสาขบูชา

อิทัปปัจจยตามองว่าโลกเป็นเพียงการไหลต่อเนื่องของเหตุ และผล ( cause-effect )  โลกไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ไม่มีเทวดา ไม่มีสัตว์นรก ไม่มีอะไรมีอยู่จริง  หรือไม่มีอยู่จริง  การมี หรือไม่มี  ถือเป็นทิฏฐิทั้งคู่  ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน  เหตุทำให้เกิดผล  ผลนั้นทำให้เกิดเหตุ  ซึ่งทำให้เกิดผลและเหตุต่อไปไม่สิ้นสุด การไปหลงติดกับความเป็นคู่เป็นความเขลาอย่างหนึ่งเพราะมันเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น

หากใช้คำของพุทธทาสภิกขุที่เขียนไว้ในหนังสือ อิทัปปัจจยตา  ก็คือ " หลักอิทัปปัจจยตา  มุ่งที่จะขจัดความเห็นผิดสำคัญผิดว่ามีตัวตน  สัตว์  บุคคล  ตามที่คนเรารู้สึกกันได้เองตามสัญชาตญาณ  หรือที่ยิ่งไปว่านั้นอีกก็คือ  มุ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย และอื่นๆ  ที่เป็นคู่ตรงกันข้าม  เพราะนั่นมนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ตามความรู้สึกของมนุษย์ โดยที่แท้แล้วทั้งหมดทุกๆ คู่ ล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาเสมอกันหมด "

พูดง่ายๆ คือ สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์นี้เป็นเพียงสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมาเอง

บางคนอาจแย้งว่า ถ้ามนุษย์เห็นว่าโลกนี้ไม่มีบุญ ไม่มีบาป จะมิพากันทำความชั่วทั้งหมดหรือ  นี่เป็นการจับความไม่ครบเหมือนตาบอดคลำช้าง  ไม่มีบุญ ไม่มีบาป " บอกเราว่า ระวังอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมุติ  มิได้แปลว่าคุณต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น  เพราะอิทัปปัจจยตา คือการไหลต่อเนื่องของเหตุและผล ( cause-effect ) ทุกการกระทำ ( action ) ย่อมมีผลต่อเนื่อง ( consequence ) เสมอ  และหลายผลต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ " กรรมตามสนอง " นั่นเอง

ในโลกยุคที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนขยายตัวจนแทบล้นโลก  ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือในเรื่องต่างๆ  กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือทำสงคราม  จนหลายคนสับสนบทบาทของศาสนา  แต่นั่นมิได้หมายความว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป  มันเพียงบอกเราว่า  ศาสนาก็เช่นระบบอื่นๆ ในโลก  จำต้องผ่านการ " รีเอ็นจิเนียริง " ( สังคายนา ) เป็นระยะ  เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย

หากจุดหมายของศาสนายังคงเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ  เราใช้ตาชั่งใดมาวัดว่า  การยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์  การเคารพความจริง  ความรักธรรมชาติ  การดูแลโลกที่กำลังบาดเจ็บจากมลพิษ  การต่อต้านสงคราม  ความรักสันติภาพ  เหล่านี้ใช้แทนศาสนาไม่ได้  บางทีสิ่งเหล่านี้อาจทำหน้าที่ได้เหมาะสมกว่าบทบาทของศาสนาเมื่อหลายพันปีก่อน  เมื่อครั้งพลเมืองโลกมีเพียงไม่กี่ล้านคน ไม่ได้เชื่อมต่อแนบสนิทกันเช่นปัจจุบัน  และโลกยังไม่ถูกข่มขืนทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นวันนี้

ร่ม ไม่ว่าจะติดยี่ห้อใดก็ใช้กันฝนได้ทั้งนั้น  แต่ร่มมิใช่เครื่องมือเดียวที่ใช้กันฝน  ซึ่งอาจจะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์  ถุงพลาสติก หรือวัสดุที่หาได้ในท้องที่นั้นๆ

การประนามคนไร้ศาสนาว่าไร้ศีลธรรม  ก็เท่ากับการลืมบทบาทของศาสนานั่นเอง  ไม่ต่างจากการพร่ำบ่นว่า การทำดีคือการไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ขณะที่ยังฆ่าสัตว์มากินทุกวัน

สรรพสิ่งคือการเปลี่ยนแปลง  และวิวัฒนาการตามกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา  บทบาทของศาสนาก็เช่นกัน

มองไปในอนาคต  บทบาทของศาสนาเพียงเพื่อแค่ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ  ศาสนาในอนาคต ( อันใกล้ ? ) อาจต้องรวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต ไปจนถึงสิ่งไร้ชีวิตอื่นๆ และจักรวาล

วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
12 เมษายน 2551


คมคำคนคม

When I do good, I feel good ; when I do bad, I feel bad, and that is my religion.

เมื่อข้าพเจ้าทำดี ข้าพเจ้ารู้สึกดี  เมื่อข้าพเจ้าทำเรื่องแย่ ข้าพเจ้ารู้สึกแย่  และนั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า

Abraham Lincoln
อับราแฮม ลินคอล์น
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #74 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2551, 13:53:12 »

ทำไม " น้ำตก " ถึงสวย ?

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา
 
พ่อ : รู้มั้ยลูก  ทำไมน้ำตกถึงสวย ?
ลูก : ก็เพราะมันเป็นน้ำตก ไงคะพ่อ
พ่อ : ไม่ใช่หรอกลูก ที่น้ำตกสวยน่ะ เพราะน้ำตกไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองต่างหาก
ลูก : หมายความว่าไงคะพ่อ ?
พ่อ : ลูกสังเกตไหมล่ะว่า  เวลาที่น้ำตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว  มันจะถูกส่งต่อลงไปยังชั้นล่างทันที  เพราะน้ำตกไม่เห็นแก่ตัว  แต่ยอมส่งน้ำที่ตกมาจากชั้นบนต่อกันไปเรื่อยๆ  อย่างนี้จึงทำให้น้ำตกสวย  และมีเสน่ห์ ...ไงล่ะ  ข้อคิดจากเรื่องนี้  อย่าลืมนะลูก
  ถ้าลูกอยากให้ตัวเองเป็นคนที่น่ารัก  ลูกควรจะเป็นอย่างน้ำตก  หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวลูก  อย่าเก็บสิ่งดี ๆ นั้นไว้คนเดียว  ลูกต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันออกไปให้มากที่สุด  มีก็แต่คนที่ " ให้ " ออกไปเท่านั้นแหละ  จึงจะเป็นคนที่ " ได้รับ " อย่างแท้จริง ...

ที่มา : ธรรมะคลายใจ ... ท่าน ว. วชิรเมธี

บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 8  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><