22 พฤศจิกายน 2567, 17:06:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4 ... 8  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิด คำคม ปรุงผสมเป็น " ยาใจ "  (อ่าน 239142 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2550, 13:02:15 »

ธรรมะ ... จากหลวงพ่อคูณ

กิตติกรณ์  พูลสิน - วิศวะ RCU16 ... ส่งมา



บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 03 มกราคม 2551, 22:37:19 »

เรื่องดีๆ ที่อยากแบ่งปัน

พี่วิภาดา - บัญชี 15 และหนุงหนิง 27 ... ส่งมา

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน  แต่ละวัน  พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ  ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน  อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
 
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน  จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง  พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง  โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

" ใครขโมยเงินไป " พ่อตวาด  ฉันกลัวมาก  ไม่กล้าพูดอะไรออกไป  น้องชายฉันก็เช่นกัน  พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า " ก็ได้  ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ  ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ "  พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น  ทันใดนั้นน้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้ .... แล้วพูดว่า " ผมขโมยเองครับ "

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง  พ่อโกรธมาก  พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด  จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย  พ่อนั่งลงบนเก้าอี้  และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง  แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก  แกน่าจะโดนตีให้ตาย  ไอ้หัวขโมย "  คืนนั้นฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้  หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด  แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย  กลางดึกคืนนั้นฉันนอนร้องไห้เสียงดัง  และนานมาก  น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้  แล้วพูดว่า

" พี่ครับ  ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว "  ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้  ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
.
.
หลายปีผ่านไป  แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง  ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี  ส่วนฉันอายุ 11 ปี

...  เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบชั้นมัธยมต้น  เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนมัธยมปลายว่าเขาสอบเข้าได้  ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบมัธยมปลาย  ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน  คืนนั้น  พ่อนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน  ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ " แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อพูดว่า
" แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน "  ทันใดนั้น  น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ  แล้วพูดว่า
" ผมไม่ต้องการเรียนต่อ  ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว "  พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้  ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน  พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ " คืนนั้นทั้งคืน  พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน .... เพื่อขอยืมเงิน  ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า  " ต้องให้น้องได้เรียนต่อ  ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้ "  แต่ในขณะเดียวกัน  ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้  ใครจะรู้ได้  .......

วันต่อมา  ในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น  และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว  ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน  ขณะฉันกำลังหลับ  " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้  ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ ... แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ "  ฉันนั่งอยู่บนเตียง  อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี  ส่วนฉันอายุ 20 ปี

..... ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน  รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......  ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3  วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก  เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า " มีชาวบ้านมาหาเธอ ... อยู่ข้างนอกแน่ะ "  ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ Huh?   ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่  ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูน  และทรายจากงานก่อสร้าง  ฉันถามเขาว่า
" ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่า  เป็นน้องชายพี่ล่ะ "  น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
" ก็ดูผมสิ  สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ ... ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่  เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี "  ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง  และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆ ในลำคอ
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง  เธอเป็นน้องของพี่  ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม "  จากนั้น
น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง  เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ  เขาติดกิ๊บให้ฉัน  แล้วพูดว่า
" ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน  ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง "  ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด  ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอด และร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเวลานาน  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี  ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก  ฉันสังเกตเห็นว่า  หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป  ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก  หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป  ฉันพูดกับแม่ว่า
" แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก  เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ "  แม่ยิ้ม  แล้วพูดว่า
" แม่ไม่ได้จ้างหรอก ... น้องชายลูกต่างหาก  วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็ว  เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน  ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ  น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ "  ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา  ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ  ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
" เจ็บมากไหม "  ฉันถาม
" ไม่เจ็บสักหน่อย  พี่ก็รู้นี่  ผมทำงานก่อสร้างนะ  วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ  และ ...... " น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค  แต่ก็ต้องหยุดพูด  เพราะฉันหันหน้าหนีเขา  น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
" เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ " ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี  ส่วนฉันอายุ 26 ปี

... หลังจากนั้น  ฉันก็ได้แต่งงาน  และย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง  หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน ... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ  ท่านบอกว่า  ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง  แต่เมื่อออกไปแล้ว  ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี  จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม  น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วย  กับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... เขาบอกกับฉันว่า " พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ  ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง "

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว  เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท  แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้  เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง  น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล  และตกลงมา  เพราะโดนไฟดูด  เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล  ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล  น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา  ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา !!!  ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้  ดูตัวเองซิ ... เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว  ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง "  คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด  ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
" พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ  พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน  ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ  ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ  คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด "  น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน  รวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... ฉันบอกกับน้องว่า
" แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่ ... "
" ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ "  น้องชายของฉันจับมือฉันไว้  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี  ส่วนฉันอายุ 29 ปี ...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี  เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน  ในงานแต่งงาน
ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้ "  น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
" พี่สาวของผมครับ " ....  และเขาก็เล่าเรื่องราว  ที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
" ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม  โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง  เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง
2 ชม.  เพื่อเดินไปเรียน ... และเดินกลับบ้าน  วันหนึ่ง  ในวันที่หิมะตกหนัก  ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง  พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง  และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง  เดียวเดินเป็นระยะทางไกล  เมื่อเรากลับถึงบ้าน  มือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว  เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ..... นับจากวันนั้น  ผมสาบานกับตัวเอง  ว่าตลอดชีวิตของผม  ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี  และจะทำดีกับเธอ " เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว  สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน  คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
" ในโลกใบนี้  คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด  คือน้องชายของฉันค่ะ "

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้  น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง ...


จงรัก  และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วัน  ในชีวิตของคุณและเขา  คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ  แต่สำหรับคนคนนั้น  อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง ... ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ญาติ  คนรัก  เพื่อน  หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จักก็ตาม

จบบริบูรณ์ ....
[/size]

ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได  และในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปี  เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า " ซัมซุง "


และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คน  กำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์  โดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว  และ ลี ดอง ฮุค

บู  มิง ฮอง ... เล่าเรื่อง
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 23:55:50 »

ไปตลาด " บางรัก "










บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 28 มกราคม 2551, 15:00:54 »

คนโง่ vs คนฉลาด

นายสัตวแพทย์ สากล ... ส่งมา

เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ ? เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น แต่ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ

1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง ผมประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน " เสาร์สวัสดี " ของ " กรุงเทพธุรกิจ " เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย

ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น " ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา " เขาบอก เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไป และดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง " คลื่น " ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน ระหว่างชุดทูพีซ กับวันพีซ แรงเสียดทานของน้ำ ชุดไหนจะมากกว่ากัน ... แนวการศึกษา จะออกไปในทำนองนี้


แต่ที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก ... " จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย " โห ! ... เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเอง เป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก " ชีวิตคนเรา จะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้ "

เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง " ถ้ารอ และตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่า เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือรออาหารที่คนอื่นป้อนให้ " โหย ... เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่าชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เอง และตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ " ชีวิตปรนัย " ที่มีคนตั้งโจทย์ให้ และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา ติดกับ " กรอบ " ที่คนอื่นสร้างให้ ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิด และตั้งคำถามเอง เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่าเพราะมี " คำถาม " จึงมี " คำตอบ " เมื่อมี " คำตอบ " เราจึงเลือกเดิน


พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง โสเครติส เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้จาก " คำถาม " กลยุทธ์ของโสเครติสในการสอนคือไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้ โสเครติสเชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน " ความไม่รู้ " ของตนเอง เขาจะเริ่มต้นแสวงหา " ความรู้ " แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี " ความรู้ " เขาก็จะไม่แสวงหา " ความรู้ "

การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมายโจมตี และทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน เป็นกลยุทธ์เท " น้ำ " ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท " น้ำ " ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง " น้ำ " ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเอง มาจาก " คำตอบ " ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง " คำตอบ " จาก " คำถาม " ของโสเครติส

โสเครติสนิยามความหมายของคำว่า " คนฉลาด " และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ " คนฉลาด " ในมุมมองของโสเครติสนั้น ไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ " คนฉลาด " คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ส่วน " คนโง่ " นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้

ไม่น่าเชื่อว่า ก่อนหน้านี้ผมยังมีความภาคภูมิใจใน " ความรู้ " ของตนเอง
แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย .....
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2551, 00:19:22 »

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ ของ " โน๊ต- อุดม "

พี่วิวิธ - วิศวะ 07... ส่งมา

โน๊ต - อุดม แต้พานิช ดาราชื่อดังจะมาบอกถึงสิ่งที่เขาเรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้



1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี

2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ

3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า

4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่า " ไม่เอาแล้วนะ " จะได้เร็ว

5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้ว ไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที

6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย

7. ระวังคนขายโรตีที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ

8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ

9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง

11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู

12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่า " อย่าบอกใครนะ "

13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก

14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ

16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมัน ไม่อยู่ขวาเสมอไป

17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมีอยู่แล้ว

18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระบอกน้ำของเราน้ำอยู่ด้านไหน

20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป

21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป

22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย

23. ปูอัด มันทำมาจากปลา

24. กินก๋วยเตี๋ยวด้วยตะเกียบไม้ ... อร่อยกว่า

25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ

26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักเราอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่า " ปกติดีนี่ ไปทำอะไรมา "

27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถ มิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร

28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา

29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ

30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน

31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ

33. ขนม และน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก

34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ

36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก

37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า " นี่เพื่อนฉัน " หมายความว่า " แฟนฉัน "

38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า " นี่แฟนฉัน " หมายความว่า " ผัว / เมียฉัน "


ปล. เจี๊ยบท่าจะ post ผิดกระทู้นะ น่าจะไปอยู่ใน " หาเรื่องมาหัวเราะกันหน่อย น่า นะ " มากกว่า ... ha ha ha !
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2551, 18:08:36 »

สุนัข กับ เจ้านาย

พี่วิวิธ - วิศวะ 07 ... ส่งมา



เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจที่หมาตัวหนึ่งมาที่ร้าน โดยในปากมันคาบแบงก์10 ดอลลาร์ และกระดาษเขียนข้อความว่า " ขอซื้อไส้กรอก 12 ชิ้นกับขาแกะ 1 ขาครับ " เขารู้สึกประทับใจความแสนรู้ของมัน ดังนั้นหลังจากเก็บเงิน 10 ดอลลาร์ และเอาไส้กรอกและขาแกะใส่ถุงแขวนที่ปากให้มันคาบไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจปิดร้านสะกดรอยตามมันไป หมาตัวนั้นเดินไปตามถนนจนถึงทางม้าลาย มันก็วางถุงที่คาบไว้ลงแล้วยืนด้วยขาหลัง และยกขาหน้ากดปุ่มไฟสำหรับคนข้ามถนน แล้วก็คาบถุงต่อ รอจนไฟคนข้ามเขียว มันจึงข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง มันจ้องมองตารางเวลาเดินรถ แล้วนั่งลงตรงที่นั่งรอ

สักพักมีรถเมล์คันหนึ่งมา มันเดินไปดูหมายเลขที่หน้ารถแล้ว ก็กลับมานั่งรอต่อ อีกสักเดี๋ยวก็มีรถเมล์มาอีกคัน มันเดินไปดูหมายเลขรถอีก เมื่อเห็นว่าเป็นสายที่มันรออยู่ มันจึงขึ้นรถเมล์คันนั้น คนขายเนื้อถึงกับอ้าปากค้างทึ่งในความแสนรู้ของมัน แล้วรีบตามมันขึ้นรถคันนั้นไป

หลังจากรถวิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมือง เจ้าหมาแสนรู้ก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหน้ารถ มันยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดกริ่งบนรถ เมื่อรถจอดมันก็ลง และเดินไปตามถนนจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เลี้ยวเข้าไป คนขายเนื้อยังสะกดรอยตามมันอยู่ห่างๆ เช่นเดิม เมื่อมาถึงประตูบ้านที่ปิดอยู่ มันก็วางถุงไส้กรอกที่คาบไว้ลง แล้วถอยหลังมาตั้งหลักประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นก็วิ่งเข้าชนประตูเต็มแรง มันพยายามอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก มันเลยเดินอ้อมตัวบ้านไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดอยู่ และเอาหัวโขกที่หน้าต่างหลายครั้ง แล้วก็เดินกลับมารอที่ประตู

สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดโดยเจ้าของหมาเป็นผู้ชายหุ่นล่ำบึ้ก ซึ่งพอเปิดประตูเสร็จ เขาก็เริ่มเตะต่อย และตะโกนด่าเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นทันที ถึงตอนนี้คนขายเนื้ออดรนทนไม่ไหว เขารีบวิ่งเข้าไปห้ามเจ้าของหมา พร้อมกับถามว่า คุณเตะมันทำไมกัน มันเป็นหมาสุดอัจฉริยะเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย ถ้าไปออกทีวีต้องดังแน่ เจ้าของหมาตอบสวนทันทีว่า " คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ เชอะ ! รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์นี้นะ ที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วย "

คติสอนใจจากเรื่องนี้คือ เราอาจทำงานได้เกินความคาดหมายในสายตาผู้อื่น แต่ก็ยังทำงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายในสายตาของนายเราเสมอ
บันทึกการเข้า
yanee-14
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #31 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2551, 06:23:19 »

jeab
 i like every colum u post in web. so many thing that we never know
and we know it now

the dog is an animal , he is very good, he try to do everything for
his owner but that guy he a human who have no me-tar for his dog
what a human he is

when we read please look at ourseft
are we like him or not?
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2551, 10:36:12 »

Cheesy ขอบคุณพี่หน่าที่ให้กำลังใจคน post นะคะ ... เจี๊ยบมักจะได้รับ mail ดีๆ จากเพื่อนๆ  พี่ๆ  น้องๆ  ญาติโยม  มากมาย  ก็อยากเอา mail ดีๆ มาแบ่งปันกัน ...  ตอนนี้ใน mail box ก็อัดแน่น  ปาเข้าไปเกือบจะ 1,000 mail แล้ว  ต้องหาเวลาสะสางค่ะ

รูปหมาขนยาวที่นำมาประกอบเรื่องนี้  เจี๊ยบถ่ายที่เมือง Erfurt, Germany  เจ้าของติดกิ๊บสีชมพูให้เจ้าหมาแสนรักซะด้วย ... ไม่ใช่หมาใน " เรื่องเล่า อุปมาอุปไมย " ที่มีเจ้าของใจร้าย-ไร้ความเมตตา หรอกนะคะ

พี่หน่าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ?  พวกเราจะได้หาเรื่องไปร่วมวงกินข้าว-ต้อนรับพี่หน่ากันไง !
บันทึกการเข้า
yanee-14
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2551, 10:48:56 »

jeab   on my ticket i be back on 15 jun 2008  full term of my VISA
   maybe before  it not sure
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2551, 20:22:04 »

:roll:  จ๊าก ... อีกตั้ง 4 เดือนแน่ะ  คุณยายหน่าจะเลี้ยง Big Max จนโตเป็นหนุ่มเลยเหรอคะเนี่ย ?
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 12:16:00 »

Wise Man Says ...

Emile ... ส่งมาจาก Netherland







บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2551, 23:53:07 »

น่าเสียดาย

บทความโดย ท่าน ว.วชิรเมธี คอลัมน์ Dhamma Intrend

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ / รัฐประหาร มาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวง บวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่ ! เรากลับเก่งการลอกเลียนแบบเป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมาย ไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุด คือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 01 มีนาคม 2551, 01:16:11 »

สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ

โดย วนิษา เรซ ... คัดลอกจาก Post Today

พี่วิภาดา - บัญชี 15 ... ส่งมา

บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา “ ต้อง ” ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบัน นอกจากทำงานเหนื่อยแล้ว ยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก ... เวลานั่งรอ บางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก

สิ่งเหล่านี้ดูธรรมดา และดูเหมือนเป็น “ หน้าที่ ” ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย ... ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหาร และความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน ... แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิด แต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน ...

จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้นทุกคนต้องล้างจานเอง ... พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน ... คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด ( แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ ) ... แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ... อ้าว ! ถ้าไม่อยากให้จานสะอาด แล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก ... ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม ...

ทำไมต้อง “ ล้างจานเพื่อล้างจาน ” กว่าหนูดีจะเข้าใจ และทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ ... เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบัน แล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ...สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขกับปัจจุบัน ในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำ และจาน ... เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูป และเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่ ... ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน ( การคิดในแง่บวก คิดสิ่งดีๆ )

ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และมีความสุข ... หนูดีคิดว่า เราต้อง " แยกให้ออกระหว่าง ... วิถี ... และ ... เป้าหมาย " เสียก่อน คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ “ เป้าหมาย ” แต่ ... หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ “ วิถี ” ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม ... และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน หนูดีไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียว เดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว ... จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม ... พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ

ดังนั้น การกลับมาปรับ “ วิถี ” ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทาง กลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ... เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า “ วิถี คือ เป้าหมาย ” พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้เป็นสุขเป็นประจำวัน มีสุขในทุกวิถี นั่นแหละคือเป้าหมาย ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิต และมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม ... อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ “ เป้าหมายสำเร็จ ” แล้วค่อยเป็นสุข ... ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก ... หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ “ ขอบคุณสรรพสิ่ง ” ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า “ ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืนดิน และมีความสุขในทุกย่างก้าว ” หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ ธรรมดา ” เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยา หรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ ... หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ ... ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความ “ ธรรมดา ” นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ... เรื่องก็จะ “ ไม่ธรรมดา ” ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ ธรรมดา ” จนใจแทบจะขาด ... หนูดีไม่ได้พูดเอง เออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพราก สูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ “ ธรรมดา ” ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ

วันนี้หนูดีขอชวนทุกๆ คนลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไป แล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมดีคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย ... เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำ ขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้นหากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ

... สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: 02 มีนาคม 2551, 16:29:05 »

เหตุผลที่เราควรรักแม่ มากกว่ารักแฟน

โดย วุฒิกร มโนมัยวิบูลย์ - webmaster Chula-Alumni

แม่ ... ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก เพราะเราเต็มใจรักแม่ โดยไม่ต้องหลง

แม่ ... อาจเคยตีเราให้เจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ

แม่ ... ส่งเสียเรา แต่เราต้องไปส่งเสียแฟน

แม่ ... ไม่เคยบอกเลิก

แม่ ... เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ย และไม่ค่อยทวงคืน

แม่ ... เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง

แม่ ... เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนของแม่เสมอ ขอหอมแก้มแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแก้มแฟน

แม่ ... ยอมตัดสายสะดือตัวเอง เพื่อให้เราเกิดมา

แม่ ... สอนให้เราพูดได้ เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนโต

แม่ ... ยอมเป็นใยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน และในประเทศนี้ไม่มี ... “ วันแฟนแห่งชาติ ” เหมือนวันแม่ ใช่มั้ย เมื่อรู้ว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่กว่าแฟนแล้ว ... พรุ่งนี้ !! คุณอยากบอกแม่ว่าอะไรดี ... ? อย่ารอโอกาส หรือรอเวลาบอกรักแม่เฉพาะ “ วันแม่ ” เท่านั้น ... เพราะวันเวลาอาจทำให้คุณไม่มีโอกาสบอกรักแม่ก็เป็นได้
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 02 มีนาคม 2551, 19:36:10 »

จัดระเบียบความตาย

พี่พิกุล - วทยา 14 ... ส่งมา

โดย อรศรี งามวิทยาพงศ์ เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนา และสังคมไทย www.budnet.info

นิทานเซนเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีคหบดีคนหนึ่งพร้อมบุตรหลานไปทำบุญที่วัดในวันขึ้นปีใหม่ เสร็จแล้วก็ขอพรจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส พระท่านก็เขียนคำอวยพรให้ว่า " พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย " คหบดีเห็นเข้าก็โกรธ ต่อว่าหลวงพ่อว่าเหตุใดจึงมาแช่งกันในวันมงคลเช่นนั้น หลวงพ่อตอบคหบดีว่า การตายตามลำดับอายุขัยเป็นพรอย่างยิ่งแล้ว เพราะลองคิดดูว่าหากหลานตายก่อนปู่ หรือลูกตายก่อนพ่อ ตายอย่างไม่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ เขาจะมิยิ่งโศกเศร้าหรอกหรือ คหบดีได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อให้ จึงขออภัย และคำนับขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งในธรรมที่ได้รับในวันขึ้นปีใหม่

ในวิถีแห่งพุทธนั้น" ความตาย " เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นสัจธรรมหาใช่ความอัปมงคล ต้องวิ่งหนีแต่อย่างไร กระนั้นก็ตามความเป็นธรรมดานี้ ก็มิใช่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนจะยอมรับกันได้โดยง่าย เพราะเราทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดด้วย ในด้านหนึ่งความ " กลัวตาย " จึงเป็นสิ่งธรรมดาอีกเช่นกัน ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาธรรมชาติอย่างหลัง เพื่อให้คนเรายอมรับสัจธรรมแห่งชีวิต คือความตายนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถจัดระเบียบกับความตายในชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยความตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ( แม้จะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน และจะมาเมื่อไร ) การสั่งสมการเรียนรู้เพื่อให้ยอมรับว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาว และเป็นไม้ใกล้ฝั่ง มิใช่เฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเมื่อถูกคุกคามด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษา ในวัฒนธรรมของชาวพุทธการหมั่นเจริญมรณานุสติ คือวิถีหนึ่งที่ช่วยเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการพัฒนาตนเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวตายอย่างทุรนทุราย เสมือนคนวิ่งหนีเงาตนเอง แต่ก็มิใช่ยอมจำนนกับอุปสรรคของชีวิต ด้วยการเอาความตายเป็นทางออก โดยไม่พัฒนาตนเองขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญนั้น ในทางตรงข้าม ผู้มีสติซึ่งตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะมาถึงเองในวันหนึ่งข้างหน้า จึงควรอดทนต่อสู้ให้อุปสรรคผ่านพ้นไปตราบที่ยังมีลมหายใจ

กระบวนการเรียนรู้เพื่อจัดระเบียบความตาย จึงเป็นสิ่งที่บุคคลควรได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาในวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต ในสมัยเดิมนั้น การที่ครอบครัวอยู่ร่วมกันหลายช่วงอายุ การเปลี่ยนแปลงของกายสังขาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะธรรมเนียมการเตรียมตัวตายของผู้สูงอายุ การตั้งศพ - เก็บศพที่บ้าน เพื่อให้ความตาย-คนตายเป็นสิ่งธรรมดา ประเพณีพิธีกรรมของการตายเป็นเครื่องมือสำคัญของการส่งผ่าน " สัจธรรมแห่งการตาย " ให้แก่ผู้อยู่ใกล้ชิดได้เรียนรู้ ไม่ว่าบทสวดต่าง ๆ ของพระ ซึ่งมุ่งให้เห็นความเป็นธรรมดาของความตาย ประเพณีการอุทิศส่วนกุศล พิธีตัดทางกล้วยเพื่อแยกภพระหว่างผู้อยู่และผู้วายชนม์ ฯลฯ ล้วนส่งผ่านความเชื่อว่าความตายมิใช่่ " การสิ้นสุด " หรือจบสิ้น จึงไม่ต้องเศร้าโศกฟูมฟายจนเกินไป โดยเฉพาะธรรมเนียมการเก็บศพแล้วเปิดโลงก่อนเผา เพื่อให้ญาติพี่น้องคลายความเศร้าโศก เพราะศพสภาพเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว เกิดความปลงสังเวชตัดอาลัยในรูปกาย รำลึกถึงแต่คุณงามความดีของผู้ล่วงลับ การเรียนรู้นี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ตายเท่านั้น หากยังเป็นบทเรียนมรณานุสติแก่คนทั้งชุมชนด้วย จากการมาร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ร่วมแบ่งปันทั้งความรู้สึกเอื้ออาทร และทรัพยากรที่ตนเองมี เพื่อช่วยจัดการศพ มีการขอขมา และการให้อโหสิกรรมเพื่อละวางความอาฆาตจองเวร และตระหนักรู้ว่ามนุษย์ทำผิดพลาดกันได้ ควรให้อภัยแก่กันและกัน และในขั้นตอนสุดท้ายคือการเผาศพ ก็เป็นโอกาสให้คนในชุมชนทั้งหมดมาร่วมกัน เฝ้าดูการสิ้นสุดแห่งรูปกายที่มิอาจพกพาสิ่งใดไปได้ เกิดการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ และความหลง ประเพณีเกี่ยวกับความตายจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดีขึ้นอย่างสำคัญ

สังคมสมัยใหม่ได้ทำให้สาระของประเพณีพิธีกรรม ซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านค่านิยมความเชื่อ ในเรื่องเกี่ยวกับความตายเลือนหายไป ชีวิตสมัยใหม่จึงอยู่กันแบบไม่มีกระบวนการเรียนรู้ ทั้งในระดับชีวิตและระดับสังคม ทุกวันนี้ผู้คนไปงานศพตามมารยาทมากกว่าอย่างอื่น คนยุคใหม่จึงมีชีวิตอยู่โดยลืมนึกไปว่าตัวเองต้องตาย จะมานึกถึงต่อเมื่อความตายเข้ามาสะกิดตนเองโดยตรงแล้วเท่านั้น คนสมัยใหม่ปฏิเสธพิธีกรรมว่างมงาย " ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ " โดยไม่เข้าใจว่า ค่านิยมความเชื่อในทางนามธรรม ไม่อาจส่งผ่านให้สืบเนื่องได้โดยอาศัยการสอนการพูดเพียงประการเดียว หากจะต้องมีรูปแบบ หรือโครงสร้างแห่งการเรียนรู้ ที่ช่วยให้บุคคลได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ จนเกิดความ " ประจักษ์แก่ใจ " ในสัจธรรมร่วมกัน ไม่ว่าชีวิตหลังความตายจะมีหรือไม่ก็ตาม แต่การคิดเผื่อไว้ว่า ชีวิตเป็นวัฏฏะยังมีการเดินทางต่อหลังการตาย ได้ช่วยเอื้อให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท ไม่เบียดเบียนกัน มีความขวนขวายที่จะสะสมความดีงามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และโลก เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เกิดมาใช้ทรัพยากรของผู้อื่นเปล่าๆ ไม่ว่าของมนุษย์ด้วยกันเอง, สังคม, โลก สันติสุขย่อมเกิดขึ้นแก่สรรพชีวิตในภพปัจจุบันอย่างทันตาเห็นมิใช่หรือ

อย่างน้อยที่สุด วิธีคิดดังกล่าว ย่อมดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า การคิดว่าชีวิตปิดบัญชีเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ไม่รู้จะทำความดีไปทำไม ทำความชั่วดีกว่า ทำสิ่งที่ตนเองพอใจ อยากมี อยากเป็นให้สุด ๆ ไปเลย ใครจะหายนะอย่างไรไม่เป็นไร ทรัพยากรหมดโลกก็ช่าง ( ใครอยู่ก่อนได้ใช้ก่อน ) แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกบีบคั้นจากความทุกข์ ที่พยายามจะต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ และทุรนทุรายจากความพยายามที่จะทำให้ชีวิตหนึ่งเดียวนี้แก่ช้าที่สุด อยู่นานมากที่สุด โลกทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อความตาย จึงทำให้โลกนี้เป็นได้ทั้งนรก และสวรรค์ในเวลาเดียว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตั้งท่าทีต่อความตายอย่างไร การจัดระเบียบความตายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิด และการใช้ชีวิตในสังคม จึงเป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันสร้างให้เกิดมีขึ้นมากกว่านี้

บางทีการได้เจริญมรณานุสติ อาจช่วยให้บุคคลตระหนักรู้ว่า ได้มา ๔๐๐ เสียง หรือ ๕๐๐ เสียง ตายแล้วก็เอาอำนาจไปไม่ได้อยู่ดี ทิ้งไว้ข้างหลังไม่ทันข้ามวันก็สิ้นสลาย แต่หากทิ้งความดีงามไว้ แม้เอาไปไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่สิ้นสูญในชั่วข้ามคืน หากจะอยู่เป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่ลูกหลาน และมนุษยชาติไปเนิ่นนาน ข้ามภพข้ามชาติได้จริงทีเดียว

--------------------------------------------------------------------------------

บทความเนื่องในโอกาสครบรอบ ๙ ปี แห่งการฌาปนกิจศพท่านพุทธทาสมหาเถระ วันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐ ( ปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๙ กันยายน ) วันดังกล่าวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะถือเป็นวันแสดงอาจาริยบูชาประจำปีแด่ท่านอาจารย์ด้วย


โลงศพของอาตมาก็คือ ความดีที่ทำไว้ในโลกด้วยการเผยแผ่พระธรรม ป่าช้าสำหรับอาตมาก็คือ บรรดาประโยชน์ และคุณทั้งหลาย ที่ทำไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และขอชักชวนให้ท่านทั้งหลาย ถือหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันว่า โลงศพของเราก็คือ ความดีที่ทำไว้ในโลก ป่าช้าของเราก็คือ ประโยชน์ทั้งหลายที่เราได้ช่วยกันทำไว้ เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์

พุทธทาส อินฺทปญฺโญ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 06 มีนาคม 2551, 02:43:29 »

เมื่อแฟนผมยอมให้ผมไปออกเดทกับผู้หญิงอื่น

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา

หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เพราะวันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องไปออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

" ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ " ภรรยาผมว่า
" แต่ผมรักคุณนี่ " ผมเถียง
" ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน "

ผู้หญิงคนที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ แม่ของผมเอง ซึ่งเป็นหม้ายมา 19 ปีแล้ว เนื่องจากงานที่รัดตัว และต้องดูแลลูก ๆ ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น วันที่ผมโทร.ไปหาแม่เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็น และดูหนังด้วยกัน แม่ถามว่า " มีอะไรหรือ ? ลูกสบายดีรึเปล่า ? "

แม่ผมเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่า การที่คนโทร.มาหากลางดึก หรือเชิญอย่างกระทันหัน หมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น ผมตอบแม่ว่า " ผมว่าดีออก ถ้าเราได้ใช้เวลากันตามลำพังสองคนแม่-ลูกบ้าง " แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า " แม่ยินดีมากเลยจ้ะ "

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่าแม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผม แล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์

" แม่บอกเพื่อนๆ ว่า แม่จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย พวกเขาประทับใจกันใหญ่ " แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ " พวกเขารอฟังแม่เล่า แทบไม่ไหวเลย "

เราไปภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม และบรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร เพราะสายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งเดียว ผมเงยขึ้นมอง เห็นแม่กำลังมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง

" ตอนที่ลูกยังเล็กๆ แม่ต้องเป็นคนอ่านเมนูให้ลูกฟัง " แม่ว่า
" งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบายๆ บ้าง " ผมตอบ

ในระหว่างมื้ออาหาร เราคุยกันอย่างถูกคอ ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเราเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหนมาบ้าง เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า " แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ " ผมตอบตกลง

" ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ? " ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน
" ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย " ผมตอบ

ไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย หลายวันต่อมาผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป มีโน๊ตเล็กๆ แนบมาด้วยว่า

" แม่จ่ายค่าอาหารมื้อหน้าของเราเรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือลูกกับภรรยา ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน , รักลูกจ้ะ "


วินาทีนั้น ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า " รัก " ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

บางคนบอกว่า หลังจากที่คุณคลอดบุตรแล้วต้องใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ จึงจะคืนสู่สภาพเดิม คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่า " คนเดิม " อีกต่อไป

บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับหลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาดๆ

บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้ และใบรับประกัน

บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมาทันได้เห็นลูกหวดลูกกอล์ฟเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้าน พอดิบพอดี

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้ คนนั้นไม่เคยช่วยลูกประถมสี่ทำการบ้านเลข

บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนเลี้ยง และตอนคลอด คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมล ์ ไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก

บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงาน คือ การนำลูกชาย หรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้นไม่ต้องบอกท่านก็ได้ คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 07 มีนาคม 2551, 12:47:38 »

เรื่องที่คาดไม่ถึง

พี่ชรินทร์ 07 ... ส่งมา

มีคู่รักคู่หนึ่งนั่งรถเมล์ที่กำลังตรงไปในเมืองในหุบเขา ทั้งคู่ได้ลงรถกลางทาง หลังจากนั้นรถเมล์ก็วิ่งต่อไป แต่เพียงไม่นานก็มีหินก้อนขนาดมหึมาตกลงมาจากที่สูงมาก และทับรถเมล์คันนั้นพังยับเยิน ทุกคนที่อยู่ในรถในเวลานั้นเสียชีวิตทั้งหมด คู่รักคู่นั้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พูดขึ้นว่า " ถ้าพวกเรายังอยู่ในรถคันนั้นก็ดีน่ะซิ ! " คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่า " ยังดีนะที่เราลงจากรถก่อน ! " แต่คู่รักคู่นี้กลับพูดสิ่งที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ คุณคิดว่าเพราะอะไร ? ? ?

________________________________

ตอบมาก่อนนะ ... เดี๋ยวค่อยเฉลย



( เจี๊ยบถ่ายรูปประกอบเรื่อง  เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ในเส้นทางไปอุทยานแห่งชาติ " หวงหลง " ประเทศจีน )

เฉลยล่ะ

ถ้าพวกเขาไม่ได้ลงจากรถ รถเมล์คันนั้นก็จะไม่ต้องจอดเพื่อส่งเขาลง แต่จะขับเลยตำแหน่งที่หินถล่มลงมา !!


ในชีวิตของพวกเรานั้น ให้ลองมองด้วยมุมมองที่ต่างจากของตัวเอง พยายามเข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างขาดสติและเฉยเมย ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไปเลย คุณตอบปริศนาข้างบนถูกมั้ยครับ ?

ถ้าคุณตอบถูก ( โดยไม่เคยอ่านที่อื่นมาก่อนนะ ) แปลว่าผมตาถึงมากที่ได้คุณมาเป็นเพื่อน แต่ถ้าคุณตอบผิด ก็ยินดีกับคุณด้วยที่เป็นเหมือนผม
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 07 มีนาคม 2551, 13:00:01 »

What love means to a 4-8 years old child ?

พี่วิภาดา - บัญชี 15 ... ส่งมา

Slow down for three minutes to read this. It is so worth it. Touching words from the mouths of babes. A group of professional people posed this question to a group of 4 to 8 years-old. " What does love mean ? " The answers they got were broader and deeper than anyone could have imagined. See what you think :



( เจี๊ยบถ่ายรูปประกอบเรื่อง ... เด็กๆ ในเมือง Langensalza, Germany มาร่วมกิจกรรมสนุกสนานในเทศกาล Easter ที่ park ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง )

" When my grandmother got arthritis, she couldn't bend over and paint her toenails anymore. So my grandfather does it for her all the time, even when his hands got arthritis too. That's love. " ... Rebecca - age 8

" When someone loves you, the way they say your name is different. You just know that your name is safe in their mouth. " ... Billy - age 4

" Love is when a girl puts on perfume and a boy puts on shaving cologne and they go out and smell each other. " ... Karl - age 5

" Love is when you go out to eat and give somebody most of your French fries without making them give you any of theirs. " ... Chrissy - age 6

" Love is what makes you smile when you're tired. " ... Terri - age 4

" Love is when my mommy makes coffee for my daddy and she takes a sip before giving it to him, to make sure the taste is OK. " ... Danny - age 7

" Love is when you kiss all the time. Then when you get tired of kissing, you still want to be together and you talk more. My Mommy and Daddy are like that. They look gross when they kiss. " ... Emily - age 8

" Love is what's in the room with you at Christmas if you stop opening presents and listen. " ... Bobby - age 7 ( Wow ! )

" If you want to learn to love better, you should start with a friend who you hate. " ... Nikka - age 6 ( We need a few millions more Nikka's on this planet. )

" Love is when you tell a guy you like his shirt, then he wears it everyday. " ... Noelle - age 7

" Love is like a little old woman and a little old man who are still friends even after they know each other so well. " ... Tommy - age 6

" During my piano recital, I was on a stage and I was scared. I looked at all the people watching me and saw my daddy waving and smiling. He was the only one doing that. I wasn't scared anymore. " ... Cindy - age 8

" My mommy loves me more than anybody. You don't see anyone else kissing me to sleep at night. " ... Clare - age 6

" Love is when Mommy gives Daddy the best piece of chicken. " ... Elaine - age 5

" Love is when Mommy sees Daddy smelly and sweaty and still says he is handsomer than Robert Redford. " ... Chris - age 7

" Love is when your puppy licks your face even after you left him alone all day. " ... Marry Ann - age 4

" I know my older sister loves me because she gives me all her old clothes and has to go out and buy new ones. " ... Lauren - age 4

" When you love somebody, your eyelashes go up and down and little stars come out of you. " ( what an image this one ) ... Karen - age 7


" Love is when Mommy sees Daddy on the toilet and she doesn't think it's gross. " ... Mark - age 6


" You really shouldn't say " I love you " unless you mean it. But if you mean it, you should say it a lot. People forget easily " ... Jessica - age 8

And the final one :

The winner was a 4 yearsa old child whose next door neighbor was an elderly gentleman who had recently lost his wife. Upon seeing the man cry, the little boy went into the old gentleman's yard, climbed onto his lap, and just sat there. When his mother asked what he had said to the neighbor, the little boy said
" Nothing, I just helped him cry. "
บันทึกการเข้า
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #43 เมื่อ: 31 มีนาคม 2551, 12:38:53 »

this interesting story should be re-telled.

THE SEED - Very good story

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไปเขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขา มารวมกัน และพูดว่า " ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วหล่ะ" " และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณเนี่ยะแหละ" พวกหนุ่มต่างรู้สึกช๊อก กันใหญ่   เขาพูดต่ออีกว่า "วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ดเป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ  นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี กลับมา และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบขึ้น  ที่พวกคุณนำมาให้ผม  คนที่ผมเลือกจะได้เป็น  CEO คนต่อไป"

นักบริหารหนุ่ม คนหนึ่ง ชื่อ จิม  เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆ ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น  เขาได้รับเมล็ดมา 1 อัน และกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น  เขาบอกภรรยาและช่วยกันเตรียมกระถาง  ดินและปุ๋ยเพื่อเตรียมปลูกต้นไม้  พวกเขาดูแล รดน้ำมาตลอดผ่านไปสามสัปดาห์  พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพื่ชที่เขาได้รับ และเริ่มเจริญเติบโต . แต่จิม ก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา  3 สับดาห์ ผ่านไป  4 สับดาห์ ผ่านไป
-  5  สับดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง  ตอนนี้หนุ่ม ๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว  แต่จิม
ไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา  เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว  ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่
มีอะไรงอกขึ้นมา  เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว

ตอนนี้ทุก ๆ คนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิม ที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน แต่เขาก็ยังเฝ้าดูแล รดน้ำ มันมาตลอดเวลา   ผ่านไปครบ 1 ปี  ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ ไปให้ CEO ได้ตัดสิน  
แต่จิมพูดกับภรรยาว่า " ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆ ใบนี้ไปแน่"
แล้วภรรยาบอกเขาว่า ให้พูดความจริงออกไป ว่ามันเป็นยังไง  จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด
เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต  แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก   ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆเข้าไปในห้องทีได้นัดหมายกันไว้  
เมื่อจิมมาถึง  เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน  เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม  ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ  มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ

เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆ คน แต่จิมก็แอบหลบอยู่ข้างหลัง  "โอ ทำไม ต้นไม้
ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน  เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็น CEO กันวันนี้แหละ"  แต่พอท่านประธานเห็นกระถางของ จิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิม ขึ้นมาข้างหน้า  จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และ เขาอาจจะถูกไล่ออก    เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง  ท่านประธานก็ถามว่า "เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ"  จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง   แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลงยกเว้นจิมท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า        " CEO คนต่อไปก็คือ....... จิม" จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO  ได้อย่างไร

และท่านประธานก็พูดว่า
"เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแล รดน้ำมันทุกๆ วัน   แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้วดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร  พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม   นำต้นไม้ที่ สวย งาม มาให้ผมนี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่า เมล็ดมันไม่งอกพวกคุณก็ เอาเมล็ดอื่น ปลูกแทนน่ะสิ   จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้ มาให้ผม "  " ดังนั้นผมจึงแต่งตั้งจิม ให้เป็น CEOคนต่อไป "

คติธรรม ที่ได้
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น  ตรองดูซักนิด ว่า คุณจะปลูกอะไร  คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #44 เมื่อ: 31 มีนาคม 2551, 12:56:04 »

มีข่าวจากเล่าต่อๆกันมาจากผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าได้ยินกับหูตนเอง

หนังสือ 7 habits ครั้งแรกที่เริ่มโด่งดัง ฝรั่งผู้แต่งหนังสือได้มาประเทศไทยครั้งแรกในงานแนะนำหนังสือหรือมาบรรยาย เพื่อเปิดการอบรม  ขณะที่นั่งคุยนอกรอบในสาระเรื่องราวของหนังสือ ก็มีผู้ใหญ่ของไทยที่รับรองอยู่ อธิบายเพิ่มเติมโดยอ้างหลักธรรมของพุทธศาสนา ...ฝรั่งผู้แต่งหนังสือ ก็งง จึงสนใจและถามเพิ่มพร้อมกับขอคำสอนของพระไตรปิฎกไปศึกษา พร้อมกับบอกว่าสิ่งที่เขาคิดค้นนี้ไม่น่าเชื่อที่มีศาสนาทางตะวันออกได้พูดและสอนไว้ นานมา ถึง ๒๕๐๐ กว่าปี

โปรดสังเกตุว่า เวอร์ชั่นหลังๆ ข้อคิดในสาระ 7 habits เน้น หรือมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง

เราเองก็ยังไม่ไดตามเปรียบเทียบ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2551, 02:44:17 »

ขอขอบคุณ อ. แจ่มใส นะคะ ที่ส่งเรื่องดีๆ มาร่วมแบ่งปันกัน ... topic นี้ " จำศีล " ไปเกือบ 2 เดือน  ได้ฤกษ์มา " ซึ้ง " กันต่อแล้วค่ะ ...

ซึ้ง อ่ะ !

มานิต - รัฐศาสตร์ 16 ... ส่งมา

เรื่องมีอยู่ว่า .....

ชายคนหนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา  เพราะนำเงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วนหนึ่งซึ่งมีราคาแพง  ในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง  และเค้าก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวนำกระดาษสีทองราคาแพงนั้นมาห่อกล่องของขวัญเพียง  เพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส   แต่กระนั้น ... ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น  และพูดว่า " นี่สำหรับพ่อค่ะ "
   
พ่อของเธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้  แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเขาพบว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า  เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า " ลูกไม่รู้จริงๆ หรือว่า  การจะให้ของขวัญใคร  มันจะต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย ? "  เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา  และพูดว่า  " โอ ... พ่อจ๋า  มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย  หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม "
   
ชายคนนั้นสะอึก  ตัวชาด้วยความเสียใจ  เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น  เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา  ที่โกรธเกรี้ยวจนเกินเหตุ .... ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูกสาวของชายคนนั้นไป  และว่ากันว่าเขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้นไว้ที่ข้างเตียง  ตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว  และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ  หรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็ญ  เขาจะเปิดกล่องใบนี้  เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ  แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อย  ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา

   
ในความเป็นจริง  ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทองซึ่งบรรจุด้วยความรัก  ที่ปราศจากเงื่อนไข  และรอยจูบจากลูกๆ , ครอบครัว และ เพื่อนๆ
   
ไม่มีสมบัติใดล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว ... เพื่อนคือของขวัญ  ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วยเท้า  เมื่อปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร

   
มองโลกในแง่ดี  และปฏิบัติดี

ฉันขอขอบคุณสำหรับ ....
   
สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน  เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน  ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น
   
สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่  เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน
   
สำหรับภาษีที่ต้องเสีย  เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
   
สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้  เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
   
สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป  เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน
   
สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน  เพราะนั่นหมายถึงฉันกำลังได้รับแสงแดด
   
สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู  และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด  เพราะนั่นบ้านถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา
   
สำหรับคำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล  เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระในการที่จะแสดงความคิดเห็น
   
สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ  เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้   และฉันมีรถ
   
สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด  เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่
   
สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน  เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้
   
สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า  เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่
   
และสุดท้าย .......
 
สำหรับอีเมล์ที่ส่งมาหาฉันมากมาย  เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเพื่อนๆ  
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2551, 01:25:53 »

Hold My Hand

ศรัญญา - เภสัช 16 ... ส่งมา



Here is a short story with a beautiful message ....
นี่คือเรื่องสั้นที่เป็นข้อความที่สวยงาม ….

Little girl and her father were crossing a bridge.
เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งและพ่อของเธอกำลังเดินข้ามสะพาน

The father was kind of scared so he asked his little daughter,
คุณพ่อของเธอมีท่าทีห่วงใย และพูดกับลูกสาวตัวน้อยของเขาว่า

" Sweetheart, please hold my hand so that you don't fall into the river."
" ที่รักของพ่อ จับมือพ่อไว้นะ ลูกจะได้ไม่ตกลงไปในน้ำ "

The little girl said, " No, Dad. You hold my hand. "
เด็กหญิงจึงพูดว่า " ไม่ค่ะพ่อ พ่อจับมือหนูดีกว่า "

" What's the difference ? " Asked the puzzled father.
พ่อจึงถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า " แล้วมันต่างกันยังไงล่ะจ๊ะลูก "

"There's a big difference, " replied the little girl.
เด็กน้อยตอบว่า " มันต่างกันมากเลยค่ะพ่อ "

" If I hold your hand and something happens to me,
chances are that I may let your hand go.
" ถ้าหนูจับมือพ่อไว้ และมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับหนู หนูอาจปล่อยมือพ่อหลุดไปก็ได้

But if you hold my hand, I know for sure that no matter what happens, you will never let my hand go."
แต่ถ้าพ่อจับมือหนูไว้ หนูมั่นใจว่าแม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม พ่อจะไม่ยอมปล่อยมือหนูหลุดไปแน่ "


In any relationship, the essence of trust is not in its bind, but in its bond.
ในสัมพันธภาพใด ๆ ก็ตาม ความเชื่อใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผูกมัด แต่ขึ้นอยู่กับความผูกพัน

So hold the hand of the person who loves you rather than expecting them to hold yours ...
ดังนั้นจับมือคนที่คุณรักไว้ โดยไม่ต้องคาดหวังหรือรอให้เขาเป็นฝ่ายจับมือคุณ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2551, 09:46:10 »

มุมมองต่างชาติกับการทำงานแบบไทย

วณิชย์ - วิศวะ 16 ... ส่งมาจาก LA , USA

บ้านเราเดี๋ยวนี้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานหลายพันชีวิต พอฝรั่งกับไทยมาเจอกัน ความอลเวงก็เลยเกิดขึ้น เพราะนอกจากภาษา และความเคยชินจะต่างกันชนิดฟ้ากับเหวแล้ว นิสัยการทำงานก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย ฝรั่งจะนินทาคนไทยว่ายังไรบ้าง มาแอบฟังกันดีกว่า ....

เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า :


1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง

คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี

- เจฟฟรีย์ บาร์น


2. การโต้แย้ง

เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้วนิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

- ทานากะ โรบิน ( จูเนียร์ ) ฟูจิฮาระ


3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด

เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้ว เลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร

- ไมเคิล วิดฟิล์ค


4. ความรับผิดชอบ

1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร

2. ไม่ค่อยยอมผูกพัน และรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำ คนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก

- สเตฟานี จอห์นสัน


5. วิธีแก้ไขปัญหา

คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับ เวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อน แล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด

- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก


6. บอกแต่ข่าวดี

คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ

1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา

2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริง หรือถ้าหากเจ้านายถามว่าจะทำงานเสร็จทันเวลาไหม ก็จะบอกว่าทัน ( เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้ ) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย

- โจนาธาน ธอมพ์สัน


7. คำว่า " ไม่เป็นไร "

เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วย เพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน

- เจนิส อิกนาโรห์


8. ทักษะในการทำงาน

1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกัน บางคนขยัน แต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกัน จนผลงานไม่คืบหน้า

2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก และไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม

- เดวิด กิลเบิร์ก


9. ความซื่อสัตย์

พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงาน โดยอ้างว่าป่วย
ออกไปข้างนอกในเวลางาน

- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์


10. ระบบพวกพ้อง

คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2551, 01:37:51 »

What I saw when I jumped

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา














บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2551, 21:37:29 »

อย่าเปลี่ยนฉัน

ลัลลนา - ครุ 16 ... ส่งมา

คน 1 คน ... การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ควรท่องควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ " คน " เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป

เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป

เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่างที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป

เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว ... คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป

เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป

เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้

เพราะถ้าคนๆ นั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

เธอ ... ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ ไม่ใช่ภาพวาดที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา ฉันเองก็เป็น " คน " เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้านเช่นกัน


... อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง ...
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3 4 ... 8  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><