22 พฤศจิกายน 2567, 11:59:57
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม  (อ่าน 581234 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #625 เมื่อ: 17 มีนาคม 2554, 11:48:56 »

earthquakeไม่ค่อยน่ากลัวคะพี่เจี๊ยบ
พอมาเห็นภาพหลังearthquake
ก็Tsunamiน่ะสิ!
พัดบ้านเป็นหลังๆล้มกำแพงสูง10เมตร
เมื่อคืนชมภาพเมือง Taroแล้ว..
สยองจนเดี๋ยวนี้
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #626 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554, 00:56:42 »


NN ... ยิ่งดูก็ยิ่งเศร้าใจ ในโชคชะตาของชาวญี่ปุ่น ... เพื่อนๆ ก็ช่างระดมกันส่งมาให้ดูกันอุตลุด  พี่ไม่เปิดดูซ้ำสองเลย  ลบโลด ...

นี่ก็ผลกระทบจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลอีกอย่างนึงค่ะ

ตะลึง ! ปลานับแสนลอยคอล้นหาดเม็กซิโก

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พบจำนวนฝูงปลาซาร์ดีนนับแสนตัว จับกลุ่มลอยคออยู่บริเวณ
ชายหาดของอ่าวอะคาปุลโก ประเทศเม็กซิโก


จากจำนวนปลาที่มากมาย ทำให้ชายหาดเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน คล้ายคราบน้ำมันรั่วไหลลอยอยู่ในทะเล

 
จำนวนปลาซาร์ดีนนับแสนตัว ทำให้นักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดดังกล่าวต้องตกตะลึง


และนับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ประหลาดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีเหตุการณ์ฝูงปลาซาร์ดีน
นับหมื่นลอยตายบริเวณชายหาดแคลิฟอร์เนีย  ซึ่งต่อมาตรวจสอบพบว่าพวกมันตายเพราะสารพิษในทะเล

 
ทั้งนี้หลายคนได้วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นผลพวงมาจากเหตุแผ่นดินไหว และสึนามิ
ที่ประเทศญี่ปุ่น หรืออีกฟากฝั่งของมหาสมุทร ส่งผลให้ปลาซาร์ดีนหลงทิศ และยังจับกลุ่มกันว่ายมาถึงชายหาดดังกล่าว



      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #627 เมื่อ: 20 มีนาคม 2554, 00:03:01 »


มาตราริกเตอร์  

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7392
 
มาตราริกเตอร์ ( Richter magnitude scale ) เป็นมาตรที่ใช้กำหนดขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหว เสนอขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1935 โดยนักวิทยาแผ่นดินไหวสองคน คือ เบโน กูเทนเบิร์ก ( Beno Gutenbrg ) และชาลส์ ฟรานซิส ริกเตอร์ ( Charles Francis Richter )
 
เดิมนั้นมีการกำหนดมาตรานี้เพื่อใช้วัดขนาดของแผ่นดินไหวในท้องถิ่นทางใต้ของแคลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกา ที่บันทึกได้ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องวัดความไหวสะเทือน ( seismograph )  แผ่นดินไหวที่มีขนาดน้อยที่สุดในเวลานั้น ถือเป็นค่าใกล้เคียงศูนย์  มาตราดังกล่าวแบ่งเป็นระดับ โดยทุกๆ 1 ริกเตอร์ที่เพิ่มขึ้น  แสดงว่าแผ่นดินไหวแรงขึ้น 10 เท่า
 
มาตราริกเตอร์ไม่มีขีดจำกัดว่ามีค่าสูงสุดเท่าใด  แต่โดยทั่วไปกำหนดไว้ในช่วง 0 - 9  ภายหลังเมื่อเครื่องวัดความไหวสะเทือนมีความละเอียดมากขึ้น สามารถวัดขนาดของแผ่นดินไหวได้ละเอียด ทั้งในระดับที่ต่ำกว่า 0 ( สำหรับค่าที่ได้น้อยกว่า 0 ถือเป็นค่าติดลบ ) และที่สูงกว่า 9

ตารางมาตราริกเตอร์

ตัวเลขริกเตอร์   จัดอยู่ในระดับ                     ผลกระทบ                                       อัตราการเกิดทั่วโลก
 
1.9 ลงไป  ไม่รู้สึก ( Micro )     ไม่มี                                                                    8,000 ครั้ง / วัน
2.0-2.9      เบามาก ( Minor )  คนทั่วไปมักไม่รู้สึก แต่ก็สามารถรู้สึกได้บ้าง และตรวจจับได้ง่าย       1,000 ครั้ง / วัน
3.0-3.9      เบามาก ( Minor)   คนส่วนใหญ่รู้สึกได้ และบางครั้งสามารถสร้างความเสียหายได้บ้าง  49,000 ครั้ง / ปี
4.0-4.9      เบา ( Light )        ข้าวของในบ้านสั่นไหวชัดเจน สามารถสร้างความเสียหายได้ปานกลาง  6,200 ครั้ง / ปี
5.0-5.9  ปานกลาง (Moderate) สร้างความเสียหายยับเยินกับสิ่งก่อสร้างที่ไม่มั่นคง แต่ไม่มีปัญหากับสิ่งก่อสร้างที่มั่นคง 800 ครั้ง/ปี
6.0-6.9      แรง ( Strong )      สร้างความเสียหายที่ค่อนข้างรุนแรงได้ในรัศมีประมาณ 80 กิโลเมตร       120 ครั้ง / ปี
7.0-7.9      รุนแรง ( Major )     สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงในบริเวณกว้างกว่า                   18 ครั้ง / ปี
8.0-8.9      รุนแรงมาก ( Great )  สร้างความเสียหายรุนแรงได้ในรัศมีเป็นร้อยกิโลเมตร                   1 ครั้ง / ปี
9.0-9.9      รุนแรงมาก ( Great )   " ล้างผลาญ '' ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีเป็นพันกิโลเมตร                 1 ครั้ง / 20 ปี
10.0 ขึ้นไป ทำลายล้าง ( Epic )   ไม่เคยเกิด จึงไม่มีบันทึกความเสียหายไว้                                  0


ที่มา :  วิกิพีเดีย
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #628 เมื่อ: 22 มีนาคม 2554, 11:07:39 »

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ?

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา





ระหว่างเกิดแผ่นดินไหว

1. อย่า ตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบ ถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้าน เพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน
 
2. ถ้าอยู่ในบ้าน ให้ยืน หรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และให้อยู่ห่างจากประตู ระเบียง และหน้าต่าง  หากอยู่ในอาคารสูง ควรตั้งสติให้มั่น และรีบออกจากอาคารโดยเร็ว หนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้
 
3. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้า และสิ่งห้อยแขวนต่างๆ ที่ปลอดภัยภายนอก คือ ที่โล่งแจ้ง
 
4. อย่าใช้ เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น

5. ถ้าท่านกำลังขับรถ ให้หยุดรถ และอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด
 
6. ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด ขณะเกิดแผ่นดินไหว
 
7. หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง

หลังเกิดแผ่นดินไหว

1. ควรตรวจตัวเอง และคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่  ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน
 
2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมา อาคารอาจพังทลายได้
 
3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้ว หรือวัสดุแหลมคมอื่นๆ และสิ่งหักพังแทง
 
4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟ หรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว

5. ตรวจสอบว่ามีแก๊สรั่วหรือไม่ ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่น ให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน
 
6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง
 
7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริงๆ
 
8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วม และท่อน้ำทิ้งก่อนใช้

9. อย่าเป็นไทยมุง หรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง
 
10. อย่าแพร่ข่าวลือ


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #629 เมื่อ: 25 มีนาคม 2554, 13:42:13 »


ความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย

จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7476
 
ข้อมูลทางธรณีวิทยารายงานว่า สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย เกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีแหล่งกำเนิดจากภายนอกประเทศ ส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทย โดยมีแหล่งกำเนิดบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน พม่า ลาว ทะเลอันดามัน ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา โดยบริเวณที่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ได้แก่ ภาคเหนือ  ภาคใต้  ภาคตะวันตก  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และกรุงเทพฯ



โดยบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อภัยแผ่นดินไหวสูงในประเทศไทย ได้แก่

1. บริเวณอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว ตามแนวรอยเลื่อนทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคเหนือ และตะวันตก

2. บริเวณที่เคยมีประวัติ หรือสถิติแผ่นดินไหวในอดีต และมีความเสียหายเกิดขึ้น จากนั้นเว้นช่วงการเกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะเวลานานๆ จะมีโอกาสการเกิดแผ่นดินไหว ที่มีขนาดใกล้เคียงกับสถิติเดิมได้อีก

3. บริเวณที่เป็นดินอ่อนซึ่งสามารถขยายการสั่นสะเทือนได้ดี เช่น บริเวณที่มีดินเหนียวอยู่ใต้พื้นดินเป็นชั้นหนา บริเวณที่ลุ่มหรืออยู่ใกล้ปากแม่น้ำ เป็นต้น โดยเฉพาะแถบจังหวัดนนทบุรี อยุธยา ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา เนื่องจากชั้นดินมีความอ่อนตัวมากกว่าแถบอื่น



สมศักดิ์ โพธิสัตย์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่แนวตะเข็บของเปลือกโลกที่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมีโอกาสที่จะขยับตัวได้ แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไร และจากการสำรวจทำแผนที่บริเวณเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในปี 2548 ของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า มี 4 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมากที่สุด คือ กาญจนบุรี ตาก แม่ฮ่องสอน และเชียงราย โดยมีความเสี่ยงที่ 7-8 เมอร์คัลลี่ เพราะเป็นพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ที่สำคัญ ผลกระทบอาจทำให้อาคารที่มั่นคงตามปกติเสียหายได้

ส่วนจังหวัดรองลงมา ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ และภาคใต้ อาทิ สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา น่าน ลำปาง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร โดยจะมีความเสี่ยงที่ 5-7 เมอร์คัลลี่  ซึ่งจะทำให้อาคารที่สร้างอย่างมั่นคงตามปกติเสียหายเล็กน้อย ส่วนที่ปลอดภัยมากที่สุด คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ที่มา :  oknation.net
 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #630 เมื่อ: 25 มีนาคม 2554, 13:59:55 »


ย้อนประวัติศาสตร์การเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย  
 
จาก  http://rss.pointthailand.com/rss/view.asp?nid=7475
 

 
สมัยก่อนสุโขทัย ( ก่อน พ.ศ.1781 )
 
* เมืองแถน ( เมืองเดียนเบียนฟู ในเวียดนามเหนือ )
* หริภุญไชย ( ลำพูน ) พ.ศ.500 พระมหาปราสาทโอนไปเป็นหลายที
* โยนกนคร พ.ศ.480, 481, 510, 515, 1003, 1077
 
เมื่อ พ.ศ.1003 มีบันทึกไว้ว่า "....สุริยะ อาทิตย์ก็ตกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเหมือนดั่งแผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหว ประดุจดังว่าเวียงโยนกนครหลวงที่นี้จักเกลื่อนจักพังไปนั้นแล  แล้วก็หายไปครึ่งหนึ่ง  ครั้นถึงมัชฌิมยามก็ซ้ำดังมาเป็นคำรบสองแล้วก็หายนั้นแล  ถึงบัวฉิมยาม ก็ซ้ำดังมาเป็นคำรบสาม  หนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งทุกคราวที่ได้ยินมาแล้ว กาลนั้นเวียงโยนกนครหลวงที่นั้นก็ยุบจมลงเกิดเป็นหนองอันใหญ่ "

สมัยสุโขทัย ( พ.ศ.1781-1893 )

" .... เมื่อพญาลิไทตั้งจิตอธิษฐานออกผนวชมีจารึกว่า อธิษฐานดังนี้แล้ว จึงรับสรณาคมต่อพระอุปัชฌาย์  ขณะนั้นแผ่นดินไหวทั่วทุกทิศเมืองสุโขทัย ครั้นทรงผนวชแล้ว เสด็จลงมาจากพระมหาสุวรรณเหมปราสาท  ทรงไม้ เท้าจรดจรดลด้วยพระบาทสมเด็จพระราชดำเนินไปป่ามะม่วง ขณะประดิษฐานฝ่าพระบาทลงยังพื้นธรณี ปฐพีก็หวั่นไหวทั่วทุกทิศหินสาธา  เข้าพรรษาวันนั้นจึงเสด็จออกเสวยพระโชรศ ขณะนั้นไม่ควรเลยสรรพ ไม่เสบยเสพยนานาอากาศดาษ สุริยะเมฆาจันทร์ปรายต์กับดาราฤกษ์ทั้งปวงยิ่งกว่าทุกวันด้วยฉะนั้น  จึงเสด็จบรรพชาเป็นภิกษุในระหว่างพัทธสีมานั้น  ขณะนั้นนาคราชตนหนึ่งอยู่โดยบุรพทิศเมืองสุโขทัยนั้น ยกพังพานขึ้นสูงพันคน แปรตาไปเฉพาะป่ามะม่วงนั้น  เห็นรอยผลุดพลุ่งกลางอากาศลงต่อแผ่นดิน อนึ่งเวลานั้นได้ยินเสียงระฆังดนตรีดุริยางค์ ไพเราะใกล้โสตสของชนเป็นอันมาก จะพรรณานับมิได้  แต่ บรรดามหาชนที่มาสโมสรสันนิบาตในสถานที่นั้น ย่อมเห็นการอัศจรรย์ประจักษ์ทุกคน เหตุด้วยเสด็จออกทรงบำเพ็ญพระบารมี เมื่อทำอัษฎางติกศีล เมื่อฤดูคิมหันต์ไม่มีฝน ด้วยอำนาจศีลและความอธิษฐานพระบารมีด้วย  ปถวีก็ประวัติกัมปนาทหวาดหวั่นไหว เพทธาราวิรุณหกก็ตกลงมาในฤดูแล้ง แสดงอัศจรรย์สรรเสริญในการสร้างพระบารมี .... " 

สุโขทัย  พ.ศ.1860 สมัยพญาลิไท
สุโขทัย  พ.ศ.1905, 1909
เชียงใหม่  พ.ศ.2025,พ.ศ. 2088 ยอดเจดีย์หลวงสูง 86 เมตร พังลงมาเหลือ 60 เมตร
อยุธยา  พ.ศ.2048, 2070, 2089, 2127, 2131, 2132, 2228
น่าน  พ.ศ.2103เจดีย์หลวง สูง 17 วา กว้าง 10 วา หักพังลง
ย่างกุ้ง, พม่า  พ.ศ.2111, 2172พระเจดีย์เมืองร่างกุ้งเกิดความเสียหาย
เชียงใหม่  พ.ศ.2088ยอดเจดีย์หลวงสูง 86 เมตร พังลงมาเหลือ 60 เมตร

สมัยอยุธยา ( พ.ศ.1893-2311 )

กำแพงเพชร  พ.ศ.2127
เชียงแสน  พ.ศ.2247, 2258, 2260 พ.ศ.2258 พระเจดีย์วิหารหักพังทลาย 4 ตำบล
หงสาวดี, พม่า  พ.ศ.2300 ฉัตรยอดพระเจดีย์มุตางหักลงมา

สมัยกรุงธนบุรี ( พ.ศ.2311-2325 )

กรุงเทพฯ  พ.ศ.2311, 2312
เชียงใหม่  พ.ศ.2317

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ( พ.ศ.2325-ปัจจุบัน )

สมัยรัชกาลที่ 1 - หลวงพระบาง  พ.ศ.2335 น่าน พ.ศ.2336, 2342, 2344
สมัยรัชกาลที่ 2 - มณฑลยูนาน  พ.ศ.2367 ประชาชนชาวจีนเสียชีวิต 2,000 คน ,น่าน พ.ศ.2363 ยอดมหาธาตุเจ้าภูเวียงแช่แห้ง ก็หักลงห้อยอยู่
สมัยรัชกาลที่ 3 กรุงเทพฯ  พ.ศ.2375, 2376, 2378 น้ำในแม่น้ำกระฉอกออกมา, พม่า พ.ศ.2382
สมัยรัชกาลที่ 4 กรุงเทพฯ  พ.ศ.2417
สมัยรัชกาลที่ 5 กรุงเทพฯ  พ.ศ.2429, 2430 น่าน พ.ศ.2422
สมัยรัชกาลที่ 6 กรุงเทพฯ  พ.ศ.2455
สมัยรัชกาลที่ 7 กรุงเทพฯ, อยุธยา, จันทบุรี, พิษณุโลก, ราชบุรี, ปราจีนบุรี  พ.ศ.2473 ศูนย์กลางอยู่ประมาณเมืองพะโค, พม่า
 

 
ส่วนสถิติแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งตรวจวัดโดย กรมอุตุนิยมวิทยา มีขนาดอยู่ในระดับเล็ก ถึงปานกลาง ( ไม่เกิน 6.0 ริคเตอร์ ) หากเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่พอ ก็จะส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทย  ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยต่อสิ่งก่อสร้างใกล้ศูนย์กลาง โดยมีรายละเอียดดังนี้

แผ่นดินไหวเมื่อ 17 ก.พ. 2518  ขนาด 5.6 ริคเตอร์  บริเวณ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
แผ่นดินไหวเมื่อ 15 เม.ย. 2526  ขนาด 5.5 ริคเตอร์  บริเวณ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
แผ่นดินไหวเมื่อ 22 เม.ย. 2526  ขนาด 5.9 ริคเตอร์  บริเวณ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
แผ่นดินไหวเมื่อ 22 เม.ย. 2526  ขนาด 5.2 ริคเตอร์  บริเวณ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
แผ่นดินไหวเมื่อ 11 ก.ย. 2537  ขนาด 5.1 ริคเตอร์  บริเวณ อ.พาน จ.เชียงราย
แผ่นดินไหวเมื่อ 9 ธ.ค. 2538  ขนาด 5.1 ริคเตอร์  บริเวณ อ.ร้องกวาง จ.แพร่
แผ่นดินไหวเมื่อ 21 ธ.ค. 2538  ขนาด 5.2 ริคเตอร์  บริเวณ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
แผ่นดินไหวเมื่อ 22 ธ.ค. 2539  ขนาด 5.5 ริคเตอร์  บริเวณพรมแดนไทย-ลาว

เหตุการณ์แผ่นดินไหวรู้สึกได้ในประเทศไทย ( 2542 - สิงหาคม 2543 )
 
31 ส.ค. 2542  ใกล้พรมแดนไทย - ลาว  ขนาด 4.8 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.น่าน
3 เม.ย. 2542  ใกล้พรมแดนไทย - พม่า  ขนาด 3.2 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ อ.เชียงแสน จ. เชียงราย
29 มิ.ย. 2542  ในประเทศพม่า  ขนาด 5.6 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.เชียงราย
15 ส.ค. 2542  ตอนใต้ของประเทศพม่า  ขนาด 5.6 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.เชียงใหม่
17 ส.ค.2542  บริเวณทะเลอันดามัน  ขนาด 2.1 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.ภูเก็ตและพังงา
29 ส.ค. 2542  บริเวณทะเลอันดามัน  ขนาด 2.1 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.ภูเก็ตและพังงา
20 ม.ค. 2543  ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ขนาด 5.9 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.น่าน แพร่ พะเยา เชียงราย มีความเสียหายที่ จ.น่านและแพร่
14 เม.ย. 2543  ที่พรมแดนลาว - เวียดนาม  ขนาด 4.9 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ จ.สกลนคร
29 พ.ค. 2543 บริเวณอ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่  ขนาด 3.8 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่ อำเภอเมือง อ.สันกำแพง และ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
7 ส.ค. 2543  บริเวณพรมแดนไทย - พม่า  ขนาด 3.0 ริคเตอร์  รู้สึกได้ที่บริเวณอำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน

สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว แบ่งเป็น 2 อย่าง  คือ

1. เกิดจากธรรมชาติ  ( NATURAL  EARTHQUAKE) 

2. เกิดจากการกระทำของมนุษย์  ( INDUCED  SEISMICITY )  เช่น

-  การเก็บกักน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่

- การทดลองระเบิดปรมาณู / ระเบิดนิวเคลียร์

-  การระเบิดจากการทำเหมืองแร่

- การสูบน้ำใต้ดินมาใช้มากเกินไป

- การผลิตน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ

- การเก็บขยะนิวเคลียร์ใต้ดิน


ที่มา :  oknation.net
 
      บันทึกการเข้า
icyd19
Newbie
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4

เว็บไซต์
« ตอบ #631 เมื่อ: 03 เมษายน 2554, 08:48:40 »

ขอบคุณมากค่ะ.. .
      บันทึกการเข้า

Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #632 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:17:21 »


แจ้งเตือนภัยธรรมชาติ

กิตติกรณ์ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

Just remind, may coming.










 
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #633 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:35:05 »


สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ สมาชิกชาวเวป cmadong.com ทุกท่าน

      บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #634 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 18:59:32 »

สุขสันต์วันสงกรานต์ครับพี่เจี๊ยบ
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #635 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 19:03:31 »


สุขสันต์วันสงกรานต์จ้า ... ครูตุ๋ยสบายดีนะ  สงกรานต์นี้ จะพาครอบครัวไปเที่ยวไหนกันมั่งน้อ  มาเที่ยวที่กรุงเทพฯ มั้ย ?
      บันทึกการเข้า
ตุ๋ย 22
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2522
คณะ: ครุศาสตร์
กระทู้: 20,173

« ตอบ #636 เมื่อ: 14 เมษายน 2554, 14:20:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 13 เมษายน 2554, 19:03:31

สุขสันต์วันสงกรานต์จ้า ... ครูตุ๋ยสบายดีนะ  สงกรานต์นี้ จะพาครอบครัวไปเที่ยวไหนกันมั่งน้อ  มาเที่ยวที่กรุงเทพฯ มั้ย ?
ไปทำบุญ  ภาวนาอยู่บ้านครับ
      บันทึกการเข้า

น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #637 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 22:47:48 »


มายากล " เปลี่ยนหน้ากาก พร้อมเปลี่ยนชุด "

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ ... ส่งมา

Commonly, the Mask Changing Shows does not involve changing the gowns at the same time. This is Chinese Version of the Dance of the 7 Veils with changing Moods !

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=qVKrKA_HLYY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=qVKrKA_HLYY</a>

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #638 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2554, 21:36:11 »


ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป อีก 60 วันต้องไปทำบัตรประจำตัวประชาชน

พูลศรี - ครุ 16 ... ส่งมา

ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป อีก 60 วันต้องไปทำบัตรประจำตัวประชาชน

สาระสำคัญของ พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน ( ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2554

ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งมีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์ และมีชื่อในทะเบียนบ้าน ต้องมีบัตรตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้

มีผลบังคับใช้ 60 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ( ประกาศ ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2554 )

อัตราค่าธรรมเนียม

(1) การออกบัตรตามมาตรา 6 จัตวา ฉบับละ 100 บาท

(2) การออกใบแทนใบรับ ฉบับละ 10 บาท

(3) การขอคัดและรับรองสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับบัตร ฉบับละ 10 บาท
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #639 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 23:49:01 »


กาญจนบุรี : กาแฟขี้ชะมด ผลิตในไทยแก้วละ 500 - 1,500 บาท  กิโลกรัมละ 1 แสนบาท

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา
 
     ตะลึง ! ชาวเมืองกาญจนบุรีแห่ชิมกาแฟสดผลิตจากขี้ชะมดแก้วละ 500-1,500 บาท  พบลูกค้าเข้าชิมจำนวนมาก บ างรายยอมซื้อไปปรุงเองที่บ้านกิโลกรัมละ 1 แสนบาท เจ้าของร้านเผยค้นพบสูตรรสชาติเข้มข้นสำเร็จแห่งแรกของประเทศไทย  และมีเพียงแห่งเดียวที่เมืองกาญจน์  ขณะที่ลูกค้าบอกรสดี หอม จึงยอมควัก 500 บาทต่อแก้ว

       
      เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ ( 7 มี.ค.54 ) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บริเวณร้านกาแฟสดจากไร่คุณหญิง เลขที่ 105 หมู่ 1 ถ.แสงชูโต ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี หลังจากทราบข่าวว่ามีคอกาแฟทยอยเดินทางมาที่ร้าน เพื่อดื่มกาแฟสดที่ผลิตจากขี้ชะมดในราคาแก้วละ 500-1,500 บาท  บางรายขอซื้อกลับบ้านเพื่อนำไปชงดื่มเองในราคากิโลกรัมละ 1 แสนบาท  เมื่อไปถึงพบนายสุรเชษฐ์ ยุทธสุนทร และนางสุจิตรา ยุทธสุนทร สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน และพนักงานกว่า 10 คนกำลังทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าอย่างขะมักเขม้น
     
     นายสุรเชษฐ์ ยุทธสุนทร เจ้าของร้านกล่าวว่า ลูกค้าที่เดินทางมาที่ร้านมีทั้ง ข้าราชการ นักธุรกิจ รวมทั้งถึงประชาชนทั่วไป  ส่วนใหญ่จะมีรสนิยมชอบดื่มกาแฟสดทั้งหมด  ที่สำคัญลูกค้าจะสั่งกาแฟสดที่ผลิตขึ้นจากมูลของตัวชะมด ( หรืออีเห็น )  โดยกาแฟชนิดนี้ขายราคาแก้วละ 500 บาทถึงแก้วละ 1,500 บาท อยู่กับลูกค้าว่าต้องการกาแฟรสชาดแบบไหน  ส่วนปริมาณเท่ากับแก้วกาแฟตามร้านทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีราคาแพงแต่ลูกค้าก็พร้อมจะควักกระเป๋าจ่ายอย่างเต็มใจ และมีลูกค้าบางรายขอซื้อกาแฟสดซึ่งเป็นวัตถุดิบเพื่อนำไปชงดื่มที่บ้าน ในราคากิโลกรัมละ 100,000 บาท เหตุที่กาแฟชนิดนี้มีราคาแพงก็เพราะว่า วัตถุดิบนั้นหายาก และขั้นตอนการผลิตก็มีความละเอียดอ่อน  ใน 1 ปี ถึงจะมีกาแฟชนิดน ี้ให้บริการลูกค้า

     

          จุดเริ่มต้นคือเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาในความที่ตนเป็นคนชอบค้นหาสูตรกาแฟที่มีรสชาติที่แปลกใหม่ และได้ค้นพบในเว็ปไซต์ของประเทศอินโดนีเซีย จึงรู้ว่าประเทศนี้มีวิธีการผลิตกาแฟที่แปลกมาก คือผลิตกาแฟจากมูลของตัวชะมด ซึ่งหลังจากที่ตนได้อ่านรายละเอียดในเว็บไซด์ จนเข้าใจ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าน่าจะลองทำดูบ้างจึงปรึกษากับภรรยา ซึ่งก็เห็นด้วย และเป็นความโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ก่อนหน้านั้นมีชาวบ้านนำตัวชะมด 2 ตัวเพื่อมาขายให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตนเห็นเข้าเกิดความสงสารจึงขอซื้อชะมดทั้ง 2 ตัว และนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน จนในที่สุดก็ออกลูกเพิ่มมาอีก 4 ตัว รวมเป็น 6 ตัว ปัจจุบันมีตัวชะมดอยู่ประมาณ 20 ตัว
     
     สำหรับกาแฟที่ตนปลูกไว้มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ เป็นสายพันธุ์ โรบัสต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ตัวชะมดชอบกินเมล็ดสุกเป็นอาหาร ตนจึงได้ทดลองนำตัวชะมดไปปล่อยใน ไร่กาแฟ โดยใช้สูตรชะมด 1 ตัว ต้นกาแฟ 4 ต้น ใช้ตาข่ายกั้นเอาไว้กันการหลบหนี ปรากฏว่าหลังจากตัวชะมดได้กินเมล็ดกาแฟเข้าไปจากนั้นได้ถ่ายมูลออกมามีลักษณะเป็นแท่งที่มีเมล็ดกาแฟติดกันเป็นเกรียว จะสังเกตเห็นว่าโดยรอบจะมีเอมไซม์และสารเคมีที่มีอยู่ในกระบวนการย่อยอาหารของมันติดออกมาด้วย และนั่นคือวัตถุดิบที่ต้องการนำมาผลิตเป็นกาแฟสด

     
        แต่อย่างไรก็ตามกระบวรการการผลิตนั้นตนและภรรยาได้ลองผิดลองถูกมานานกว่า 3 ปี จึงสามารถนำออกมาจำหน่ายให้กับลูกค้าได้ ซึ่งสรรพคุณของกาแฟที่ผลิตจากมูลของตัวชะมด นอกจากมีรสชาดที่เข้มข้นเป็นที่ติดใจของบรรดาคอกาแฟทุกคนแล้วยังเชื่อว่าจะสามารถบำรุงรักษาอวัยวะภายในของคนเราได้
     
     นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนเป็นคนแรกของประเทศไทยที่สามารถคิดสูตรการปรุงกาแฟผลิตจากมูลชะมดที่มีรสชาติแปลกใหม่ และเข้มข้นได้สำเร็จ แต่ปัจจุบันได้กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ แต ่ยังไม่มากนัก โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคใต้ และภาคกลาง ส่วนจังหวัดกาญจนบุรีมีที่ร้านของตนเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่มีกาแฟชนิดนี้ไว้บริการลูกค้า โดยกาแฟชนิดนี้เป็นความต้องการของชาวต่างชาติเป็นอย่างมากโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เกหลีใต้ และทวีปยุโรป


   
        " สำหรับตัวชะมด เป็นสัตว์คุ้มครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 แต่มีกฎหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกมาเมื่อ พ.ศ.2546 ให้ ชะมดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดเพาะพันธุ์ได้ ในอนาคตตัวชะมดถือว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอย่างดี และจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ประเทศมูลค่ามหาศาล ซึงปัจจุบันสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) จะมีโครงการส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงตัวชะมดในเชิงพาณิชย์ เพราะสามารถสร้างรายได้ให้ประชาชนเป็นอย่างดี " นายสุรเชษฐ์ เจ้าของร้านกาแฟสดจากไร่คุณหญิงกล่าว
     
      ด้านนายยุตติ บุญสวัสดิ์ ลูกค้าประจำร้านดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนชอบดื่มกาแฟและเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งหลังจากทางร้านผลิตกาแฟ ที่ทำจากมูลตัวชะมด ครั้งแรกก็ไม่กล้าดื่มเท่าไหร่นัก  แต่เมื่อเริ่มเห็นบรรดาคอกาแฟดื่มกันมากขึ้น  จึงตัดสินใจควักกระเป๋าสตางค์ 500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกที่สุด แต่แพงที่สุดเท่าที่ตนเคยซื้อกาแฟดื่มมาในชีวิต แต่หลังจากได้ทดลองดื่ม รู้สึกว่า กาแฟมีกลิ่นที่หอมหวน รสชาติแปลกใหม่ และเข้มข้นขึ้น ทำให้เงิน 500 บาทที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #640 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 23:28:52 »


King จิ๊กมี่ ... very impressive !

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



รุ่นน้องคนนึง ทำงานที่ UN ส่งภาพนี้มาให้ดู ...

ภาพจากประเทศ ภูฏาณ  ดุแล้วประทับใจ ซาบซึ้งใจ ...

ที่กษัตริย์จิกมี่ ทรงนับถือในหลวงของเรา และทรงเอาเป็นแบบอย่างของพระองค์ในการปกครองประเทศ


นางสาวเจตซัน เปมา ( Jetsun Pema ) พระคู่หมั้น " ราชินีในอนาคต " ของ กษัตริย์จิกมี แห่งภูฏาน

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



หลังจากที่แอบไปซับน้ำตาที่ตกใน แบบลึกสุดใจอยู่หลัดๆ  ความฮึด อึด ถึก และทน ( คาคานมานานวัน ) ก็หวลกลับมาใหม่  จากนั้นก็ตั้งหน้า ตั้งตา ตั้งตัว ร่วมถวายความยินดี แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก หรือที่คนไทยรู้จักในพระนาม " เจ้าชายจิกมี " และพระคู่หมั้น นางสาวเจตซัน เปมา ( Jetsun Pema )



เชื่อว่าสาวไทยหลายผู้หลายนามต้องแอบอิจฉา เอ๊ย ! ! !  แอบอยากรู้ประวัติ และความเป็นมาของสาวน้อยรองเท้าแก้วนางนี้แน่นอน  เอาหละ เรามารู้จักเธอกันซักหน่อย  ก่อนที่จะถึงวันแห่งความเปรมปรีด์ของราชวงศ์แห่งภูฏาน วันอภิเษกสมรส และแต่งตั้งราชินีอย่างเป็นทางการ



นางสาวเจตซัน เปมา ( Jetsun Pema ) เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2533 ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน  เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 5 คนของนายโทนทับ ดียัลเซน ( Dhondup Gyaltshen ) และนางโซนัม สุกี ( Sonam Chuki)  ในข่าวของสื่อภูฏานไม่ได้บอกว่า คุณพ่อคุณแม่ประกอบสัมมาอาชีวะใดๆ บอกเพียงว่า นางสาวเจตซัน เปมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนที่ประเทศภูฏาน  ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ลอว์เรนซ์ สคูล ในซานาวาร์ หิมาจัลประเทศ ( รัฐนี้อีฉันเคยไป สวยมากขอบอก )  และที่เซนต์โจเซฟ คอนแวนต์ ในกาลิมพง ประเทศอินเดีย  และขณะนี้กำลังศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรีเจนต์ คอลเลจในลอนดอน ประเทศอังกฤษ  ซึ่งบ่งบอกได้ถึงฐานะระดับดีของเธอได้เป็นอย่างดี



สำหรับ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523  พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และสมเด็จพระราชินี อาชิ เชอริง ยางดน วังชุก

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551  โดยในขณะนั้นพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดในโลก  แม้ว่าพระองค์ไม่ต้องทรงรับพระราชภารกิจการบริหารประเทศ  เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดาได้ทรงวางระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว  แต่พระองค์เองก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการสร้างเอกภาพ และเสถียรภาพ ในประเทศที่มีประชากรเพียง 650,000 คน โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ



ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ยังได้ตรัสถึงว่าที่พระราชินีของพระองค์อย่างเป็นทางการว่า " แม้ เจตซัน เปมา จะมีอายุน้อย  แต่เธอเป็นผู้มีบุคลิก และจิตใจที่อบอุ่นอ่อนโยน  มีเมตตา  ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับภูมิปัญญาที่เธอจะได้รับในอนาคต เมื่อเธอมีวัยวุฒิ และสั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น  เธอจะเป็นข้ารับใช้ที่ดีของแผ่นดินภูฏาน "  ซึ่งก็จะช่วยงานพระองค์ และประเทศได้เป็นอย่างดี

ขณะที่นายอูเกน นิดับ ( Ugyen Nidup ) องครักษ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งเดินทางมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรังสิต ประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ชาวภูฏานทุกคนรู้สึกปลาบปลื้ม และตื่นเต้นกับข่าวดีนี้เป็นอย่างมาก และเฝ้ารอคอยพิธีอภิเษกสมรสครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ชาวภูฏานภาคภูมิใจ

แน่นอนค่ะ เชื่อว่าชาวไทยทั้งหลายก็คงร่วมปลาบปลื้ม และยินดีกับพระองค์  โดยเฉพาะคนที่เห็นรับใช้ใกล้ชิด หรือรับเสด็จพระองค์ แม้นแต่ได้พบเห็นพระองค์  เพราะพระจริยวรรตอันงดงาม อ่อนน้อม และรอคอยพิธีอภิเษกสมรสครั้งประวัติศาสตร์นี้เช่นกัน ... แม้นว่าบางคนจะแอบเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา  ก็ตาม ม ม ม ...


" เราจะมีภรรยาเพียงคนเดียว " กษัตริย์จิกมีตรัส

คำกล่าวสั้นๆ ที่เปี่ยมด้วยความหมาย ... ยิ่งเมื่อประโยคดังกล่าวเป็นรับสั่งจากกษัตริย์หนุ่ม สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก หรือ K5 อันหมายถึง The Fifth King หรือกษัตริย์พระองค์ที่ 5  ก็ยิ่งสร้างความปีติเป็นล้นพ้นแก่ผู้ได้ยิน



นิตยสาร Who ? ฉบับล่าสุด นำภาพกษัตริย์จิกมี และว่าที่พระชายา ที่มีนามออกเสียงตามภาษาท้องถิ่นว่า "เจตซัน เปมา" วัย 21 ปี ในพระอิริยาบถสบายๆ ขึ้นปก พร้อมนำเสนอเรื่อง " อินไซด์ เลิฟ สตอรี่ กษัตริย์จิกมี และพระคู่หมั้น "

แม้กษัตริย์จิกมีจะเพิ่งแนะนำ เจตซัน เปมา ต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่สำหรับพระองค์แล้ว เธอมิใช่คนแปลกหน้า เนื่องจากทรงเคยพบปะกันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เจตซันเป็นลูกหลานเจ้าผู้ครองนครแห่งหนึ่งของภูฏาน พระบิดาพระมารดาของพระองค์เองก็ทรงคุ้นเคยกับครอบครัวของเจตซันเป็นอย่างดี ในหมู่พระสหายจึงได้ยินเรื่องเล่าหวานระหว่างทั้งคู่ที่ไม่ต่างกับคำมั่นสัญญามาแต่วัยเยาว์ว่า " โตขึ้นเราแต่งงานกันนะ "

กรชนก พิทักษ์บุรี หรือคุณปุ๊ก อายุ 38 ปี พระสหายชาวไทยขององค์จิกมีนานนับ 10 ปี ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความงามที่คนทั้งโลกได้ยลโฉมภาพของว่าที่พระชายาไปเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 54
  


" ประมาณปลายเดือนเม.ย.  ปุ๊กได้รับโทรศัพท์จากราชเลขาฯ ของพระองค์ว่าให้ช่วยหาช่างแต่งหน้าทำผมให้พระคู่หมั้น ซึ่งต้องถ่ายรูปสำหรับการเปิดตัวในวันที่ทรงประกาศข่าวการอภิเษกสมรส  ก็คัดเลือกคนที่คิดว่าดีที่สุด และส่งรายละเอียดไปให้สำนักพระราชวังภูฏานเป็นคนเลือก

เขาตอบกลับมาว่าเลือก คุณป๊อก พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ ช่างแต่งหน้า และ คุณใหม่ รัชดา พ่วงพวงงาม ช่างทำผม นับเป็นเกียรติสูงสุดที่ได้ถวายงานอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ตอนพระราชพิธีราชาภิเษก ปุ๊กได้ช่วยทำเสื้อยืดที่ระลึก ซึ่งพระองค์นำไปแจกแก่ประชาชนชาวภูฏาน "

คุณปุ๊กเผยว่า พระองค์ท่านเคยรับสั่งถึงเจตซันให้ฟังว่า ในวันแรกที่เจอกัน คุณเจตซันยังเด็กมาก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลากลางคืน ท่านจะเสด็จออกไปข้างนอก แต่ทรงแวะเข้าไปดูว่าเจตซันหลับหรือยัง เธอยังไม่หลับ และทูลถามพระองค์ท่านว่าจะไปไหน ท่านก็มีรับสั่งว่าจะไปเดินป่า คุณเจตซันในวัยเยาว์ซักถามท่านต่อพร้อมขอไปกับท่านด้วยและว่า " ฉันจะไปกับพระองค์ท่านในทุกๆ ที่ที่เสด็จฯไป "


ส่วนเรื่องคำสัญญาในวัยเยาว์ " โตขึ้นเราแต่งงานกันนะ " ก็เป็นเรื่องจริงที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ฟัง

ในเรื่องที่กษัตริย์ภูฏานสามารถมีพระชายาได้ 4 พระองค์เช่นพระบิดา คุณป๊อกเล่าว่า กษัตริย์จิกมีรับสั่งว่า " ไม่ ฉันได้เลือกคนที่ดีที่สุดแล้ว และคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะอยู่กับฉันตลอดไป เขาสามารถซัพพอร์ตฉันได้ทั้งด้านการงาน และจิตใจ "

เธอเป็นผู้หญิงที่มีรัศมีบางอย่างเปล่งประกายมาก วางตัวได้ดีเยี่ยม มีความน่ารักกุ๊กกิ๊กอยู่ในตัว เวลาที่สองครอบครัวนัดรับประทานอาหารร่วมกัน คุณเจตซันจะชวนให้ทรงฉลองพระองค์สีเดียวกัน จะได้เป็นคู่รักที่เหมือนกัน

องค์จิกมีทรงให้เกียรติพระคู่หมั้นของพระองค์มาก มีพระราชดำริว่าอยากจัดปาร์ตี้สละโสดที่ประเทศไทย แต่พระคู่หมั้นทูลว่า " จะจัดก็ได้ แต่จะไม่มีงานแต่งงานนะ "  พระองค์ท่านก็เลยรับสั่งว่า " ไม่จัดก็ได้ "

ระหว่างทรงคบหาดูใจ ทรงประสงค์ให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ  เพราะทรงตั้งพระราชหฤทัยว่า ผู้หญิงของพระองค์จะต้องเป็นผู้หญิงที่มีประวัติขาวสะอาด และเป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว ที่สำคัญต้องเป็นชาวภูฏานเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคนทั้งโลกจะต้องถามว่าแล้วผู้หญิงภูฏานเป็นอย่างไร ทำไมไม่ทรงเลือกเป็นคู่ครอง

หลังจากราชเลขาฯ ตอบกลับมาว่าเลือกช่างแต่งหน้า-ทำผมคนไหน  ปุ๊กก็จัดแจงนัดพี่ป๊อกกับพี่ใหม่แล้วเดินทางไปภูฏาน ในวันทำงานกษัตริย์จิกมีประทับอยู่ด้วยตลอด จึงทูลให้ท่านฉายพระรูปคู่กันเลย เมื่อถ่ายรูปออกมาเสร็จเรียบร้อย  ทั้งพระองค์ท่านและพระคู่หมั้นต่างพอพระทัยมาก วันนั้นฉายพระรูปทั้งหมด 6 ชุด ได้ภาพทั้งหมด 2,500 ภาพ จากกล้อง 5 ตัว พระองค์ทรงคัดเลือกภาพที่จะนำไปประกาศอย่างเป็นทางการด้วยพระองค์เอง

หลังเสร็จงานมีรับสั่งกับปุ๊กว่าดีมาก  ปุ๊กเองก็ปลื้มใจ ส่วนพระคู่หมั้นก็ชอบฝีมือการแต่งหน้า-ทำผมของพี่ป๊อกและพี่ใหม่มาก  ก่อนจะกลับประเทศไทย สมเด็จพระราชาธิบดีรับสั่งว่า " เธอต้องกลับมางานฉันให้ได้ " ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีรับสั่งกับคุณป๊อก และคุณใหม่ด้วย

คุณปุ๊กเล่าด้วยว่า ตอนนี้ประเทศเล็กๆ กลางหุบเขาเต็มไปด้วยความคึกคัก และการตระเตรียมงานพระราชพิธีสำคัญที่จะมีถึงในเดือนตุลาคมนี้  กำลังบูรณะพระราชวังเก่าที่อยู่นอกเมืองหนึ่ง ไม่ใช่เมืองหลวง  เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสซึ่งน่าจะมี 2 วัน วันแรกเป็นพิธีทางศาสนา อีกวันเป็นพิธีสำหรับพระประยูรญาติ ส่วนชุดเจ้าสาวตอนนี้กำลังทออยู่  น่าจะมี 2 ชุด เป็นชุดประจำชาติทั้งคู่ และน่าจะเป็นชุดทอมือทั้งชุด

พระราชพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระประมุขแห่งดินแดนเทือกเขามังกรสายฟ้าจะยิ่งใหญ่อลังการ หรือจะเป็นเพียงพระราชพิธีเล็กๆ ดังพระราชประสงค์ ยังคงเป็นเรื่องที่ผู้ชื่นชมต่างเฝ้ารอ และติดตาม  ไปพร้อมกับความรักอันแสนหวาน และงดงามราวเทพนิยาย


กรชนก พิทักษ์บุรี ... พระสหาย

หนึ่งในความประทับใจที่คุณปุ๊กมีต่อสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี คือ ทรงรักและทรงเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่น้อยกว่าคนไทย  ในวันที่นำช่างแต่งหน้า และช่างทำผมไปถวายงานเปิดตัวว่าที่พระชายานั้น  คำถามแรกที่มีรับสั่งถามคือ พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในช่วงที่เสด็จมาทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี  ระหว่างเสด็จเสวยพระกระยาหารในเรือ  มีพนักงานโรงแรมอยากขอถ่ายรูปพระองค์  ทรงอนุญาต และยังเสด็จไปฉายพระรูปกับพนักงานคนนั้นด้วย  ทรงมีรับสั่งกับคุณปุ๊กว่า " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เกียรติเชิญฉันมาร่วมงาน  แล้วทำไมฉันจะให้เกียรติประชาชนของพระองค์ท่านบ้างไม่ได้ "

รัชดา พ่วงพวงงาม ... แฮร์สไตลิสต์

" ทรงผมพระคู่หมั้นทำไม่ยากเลย  เพราะท่านสวยอยู่แล้ว ทำอย่างไรก็ได้  ท่านให้ทำตามสบายเลย  มีรูปหนึ่งในเฟซบุ๊ก หรือยูทูบ ที่เป็นทรงผมปล่อยเป็นลอนๆ และดูมีวอลลุ่มซึ่งท่านชอบมาก  รู้สึกท่านจะชอบทรงผมที่ดูสบายๆ ไม่ตึง และไม่ต้องเนี้ยบมาก และโชคดีที่ได้มีโอกาสแต่งพระเกศาถวายสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีด้วย  พระเกศาท่านยาว ตัดสั้นขึ้นมาหน่อย  มีรับสั่งให้เตรียมกรรไกรมาตัดผม  ท่านจะได้ทรงหวีง่ายๆ  ทรงเป็นกันเองมาก "

พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ ... เมกอัพอาร์ติสต์

" สไตล์ของคุณเจตซัน หรือคุณเลดี้ ( ชื่อที่เธอเรียกติดปาก )  พอเห็นปุ๊บก็อมยิ้มเลย เป็นสไตล์ที่เราถนัดอยู่แล้ว โดยปรับตามชุด ทั้งสี และความสดชื่น  วันนั้นท่านไม่ได้แต่งหน้าเลย ท่านสวยมาก มีรัศมีออกมาเลย  เราเพียงเสริมเท่านั้น สไตล์การแต่งหน้าเป็นลักษณะของผู้หญิงที่รู้จักแฟชั่นแล้วแต่งหน้าเองมากกว่า  ภาพที่ออกมา กษัตริย์จิกมีทรงรับสั่งชื่นชมทีมงานทุกคน "
  

..... ภูมิใจกับ เมกอัพ " จิกมี-เจตซัน " พระสหายจากไทย เป็นที่สุดครับ

 ... หน่อย - ตั้ม
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #641 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 03:18:26 »


อึ้ง ! .. เด็กจีนเรียนภาษาไทย

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

มั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีคนจีนที่จะพูด เขียน อ่าน ออกเสียง และรู้ขนบธรรมเนียมไทยดีกว่าคนไทยส่วนใหญ่
 
จะอายไหมที่จะต้องให้คนจีนมาสอนการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง  ภาษาราชการ  ภาษาของผู้มีการศึกษา หรือผู้ดี ( ไม่รู้ว่ายังมีเหลืออยู่บ้างไหม ) ให้กับคนไทย  แต่คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่คงจะไม่มีความอายเหลืออยู่  เพราะทุกวันนี้คนไทยไม่รู้หรอกว่าความเป็นไทยคืออะไร  เอกลักษณ์ของไทยคืออะไร  ทุกวันนี้มีอะไรเหลือให้ภูมิใจว่า กูนี้เป็นคนไทย











      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #642 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 01:44:32 »


ยลโฉมสุนัขราคา 45 ล้านบาท

พี่ชรินทร์ - รัฐสาสตร์ 07 ... ส่งมา

ถึงใครจะบอกว่าเงินซื้อความรัก และความสุขไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ เงินก็ซื้อเพื่อนที่แพงที่สุดได้ และเพื่อนที่ว่านั่นก็คือ " สุนัข " เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์นี่เอง

   
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ เศรษฐีเหมืองถ่านหินรายหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศจีนได้ซื้อเจ้าสุนัขชื่อ Big Splash หรือชื่อภาษาจีนว่า ฮง ตง ( Hong Dong ) ไปในราคาย่อมเยาว์ แบบขนหน้าแข้งไม่ร่วงแค่ สิบล้านหยวน หรือประมาณ 45,900,000 บาท แค่นั้น !
   
เจ้า Big Splash เป็นสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟ สีแดง ( Red Tibetan Mastiff ) และดูไปดูมาก็เหมาะที่จะมาอยู่กับเจ้าของมหาเศรษฐีรายนี้จริงๆ  เพราะเพียงแค่น้ำหนักของเเจ้า Big Splash อย่างเดียวก็ปาไป 82 กิโลกรัมแล้ว แถมยังกินจุใช่ย่อแต่ละวันมันกินทั้งไก่ ทั้งเนื้อ ยิ่งไปกว่านี้เจ้าของยังจะต้องปรนเปรอด้วยอาหารเหลาชั้นดีทั้งหลาย ซึ่งรวมไปถึงหอยชั้นเลิศต่างๆ และหอยเปาฮื้ออีกด้วย
   
นอกจากอาหารชั้นเลิศแล้ว น้อง Big Splash ยังต้องการบ้านของตัวเองหลังใหญ่อีกหนึ่งหลัง  เพราะขนาดของมันใหญ่มาก และน้ำหนักก็จะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกจนถึงประมาณ 129 กิโลกรัมตามขนาดของอายุ
   
ผู้เพาะพันธุ์เจ้าสุนัขตัวนี้บอกว่า Big Splash เป็นแม่แบบของสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟอย่างดี และค่าตัวมหาศาลของมะหมาวัย 11 เดือนตัวนี้  จริงๆ แล้วก็ถือว่าเหมาะสมแบบสุดๆ  เพราะกว่าจะเลี้ยงมันมาจนขายได้ขนาดนี้ก็จ่ายเงินเดือนลูกน้องไปหลายอยู่  แถมผู้เพาะพันธุ์สุนัขรายนี้ยังแนะอีกด้วยว่า หากเจ้าของสุนัขตัวเมียตัว ไหนอยากให้ Big Splash ไปผสมพันธุ์กับสุนัขของตน ให้เจ้าของปัจจุบันของ Big Splash คิดเงินเจ้าของสุนัขตัวเมียได้เลย เต็มที่ถึงครั้งละประมาณ 10,000 ปอนด์ หรือประมาณ 486,000 บาท
   
การที่สุนัขตัวหนึ่งมีราคาแพงหูฉี่ถึงขนาดนี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างหนึ่ง ว่าสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟ สีแดงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกฐานะของพวกรวยมหาศาลในประเทศจีนไปแล้ว แทนที่การซื้อจิวเวลรี่ และรถยนต์ ซึ่งดูจะธรรมดาเกินไป
   
ยิ่งไปกว่านั้นสีแดงยังเป็นสีที่นำโชคสำหรับคนจีน และสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟยังถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่จะคอยช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ และ นำความปลอดภัย และความมั่นคงมาให้เจ้าของ
   
ชาวทิเบตมีความเชื่อว่าเจ้าสุนัขพันธุ์นี้มีจิตวิญญาณของพระและชี ผู้ซึ่งจริงๆ แล้วขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่สามารถปฏิบัติตนได้ดีเพียงพอที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ อีกครั้ง  ในสมัยอดีต บุคคลประวัติศาสตร์ที่เคยมีสุนัขพันธุ์นี้เป็นเจ้าของ ได้แก่ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร และ เจง กีส ข่าน
   
ปัจจุบันประเทศอังกฤษมีสุนัขพันธุ์นี้อยู่ประมาณ 300 ตัว โดยที่ลูกสุนัขแต่ละตัวราคาประมาณ 850-1,000 ปอนด์ ( 41,000-48,000 บาท )
   
ผู้เพาะพันธุ์สุนัขทิเบทัน แมสทิฟชาวอังกฤษผู้หนึ่งเล่าว่า สุนัขพันธุ์นี้คิดเองได้ และสามารถมีประสาทสัมผัสรับรู้อันตรายได้อย่างมีไหวพริบ อีกทั้งพวกมันยังคอยดูแลฝูงสัตว์ และยังรักเด็กอีกด้วย
   
เมื่อปีที่แล้ว สุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟก็เป็นสุนัขที่แพงที่สุดในโลก โดยที่ขายไปในราคา 915,000 ปอนด์ หรือประมาณ 44 ล้านบาท... เท่านั้นเอง

      บันทึกการเข้า
gring11
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #643 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2554, 12:28:33 »

^_^  ...ขอบคุณมากมาย มากมาย เลยค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #644 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2554, 19:00:30 »


ปิดถนนสร้างรถไฟฟ้า 5 ปี " คนกรุง ... อดทนหน่อยนะจ๊ะ "
 
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา 

รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จะเริ่มสร้างกันแล้ว แถวๆ เจริญกรุง กับ ฝั่งธนฯ  คนย่านนั้นเตรียมตัวเตรียมใจวางแผนเดินทางใหม่กันได้เลยจ๊ะ  เพราะเขาจะปิดถนน จนกว่าจะสร้างเสร็จ  อดทนกันไป 5 ปีต่อจากนี้ ( หรืออาจจะมากกว่านั้น )  เริ่มปิดจราจร 24 มิ.ย.นี้

เนื้อข่าวจาก ... ประชาชาติธุรกิจ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ( รฟม. ) ร่วมกับตำรวจจราจร ได้จัดทำแผนจัดระเบียบจราจรในพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 27 กิโลเมตร โดยจะเริ่มทำการปิดถนน 4 สายที่อยู่ในแนวเส้นทาง ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. 2554 จนถึงปี 2559 เพื่อให้ผู้รับเหมาเข้าไซต์ และเริ่มลงมือก่อสร้าง

แนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ

1.โครงสร้างทางยกระดับ ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ 13 ก.ม.  เริ่มต้นที่รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีบางซื่อ วิ่งตรงมาแยกเตาปูน เข้า ถ.ประชาราษฎร์สาย 2 ผ่านสี่แยกบางโพ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังถนนจรัญสนิทวงศ์ที่โรงเรียนเทคโนโลยีพระราม 6  ผ่านแยกบางพลัด แยกบรมราชชนนี สิ้นสุดที่แยกท่าพระ

2.โครงสร้างใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค 14 ก.ม. เริ่มต้นที่รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีหัวลำโพง วิ่งเข้า ถนนเจริญกรุง ผ่านวัดมังกรกมลาวาส วังบูรพา สนามไชย ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณปากคลองตลาด ลอดใต้คลองบางกอกใหญ่ เข้าสู่ ถนนอิสรภาพ จากนั้นจะเริ่มเปลี่ยนเป็นโครงสร้างทางยกระดับแล้ววิ่งเข้าสู่แยกท่าพระ ถนนเพชรเกษม ผ่านบางไผ่ บางแค มาสิ้นสุดที่แยกตัด ถนนกาญจนาภิเษก

เริ่มปิดจราจร 24 มิ.ย. 54 นี้

โดยงานก่อสร้างมีผู้รับเหมาแบ่งเป็น 4 สัญญา คือ 1.งานอุโมงค์ ( หัวลำโพง-สนามไชย ) ของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 2.งานอุโมงค์ ( สนามไชย-ท่าพระ ) ของ บมจ.ช.การช่าง 3.งานทางยกระดับ ( เตาปูน-ท่าพระ ) ของ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ 4.งานทางยกระดับ ( ท่าพระ-หลักสอง ) ของ บมจ.ซิไน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น

นายรณชิต แย้มสอาด รองผู้ว่าการ รฟม.กล่าวว่า ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้จะเริ่มปิดการจราจรงานทางยกระดับของสัญญาที่ 3 และ 4 บน ถ.จรัญสนิทวงศ์และเพชรเกษมก่อน โดยจะปิดเกาะกลางถนนฝั่งละ 1 ช่องจราจรในเวลากลางคืนตั้งแต่ 22.00-05.00 น. เพื่อทำการรื้อย้ายต้นไม้และสาธารณูปโภค

จากนั้นจะเริ่มปิดจราจรถาวรในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจนถึงปี 2559  โดยปิดจราจรบริเวณเกาะกลาง 2 ช่องจราจรทั้ง ถ.จรัญสนิทวงศ์และเพชรเกษม จากเดิม 6 ช่อง เหลือ 4 ช่องจราจร เพื่อให้ผู้รับเหมาเข้าพื้นที่ก่อสร้างตลอด 24 ชั่วโมง ก่อสร้างฐานรากและวางคานโครงสร้าง

โดยบริษัทยูนิคฯแจ้งว่า จะเริ่มงานช่วงสามแยกเตาปูน-แยกบางโพ บน ถ.ประชาราษฎร์สาย 2 จะเริ่มปิดด้านซ้าย 1 ช่องจราจร ฝั่งมุ่งหน้าแยกบางโพตั้งแต่ 1 ก.ค. 2554-1 มี.ค. 2555 ส่วนฝั่งที่มุ่งหน้าแยกเตาปูนจะเริ่มปิดด้านขวา 1 ช่องจราจรตั้งแต่ 1 ก.ย. 2554- 1 มี.ค. 2555 เพื่อทำการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค

ส่วนบริษัทซิโน-ไทยฯ แจ้งจะเริ่มงานช่วงปลาย ถ.วงแหวนรอบนอกแล้วไล่มาจนถึงแยกท่าพระ  งานอุโมงค์สัญญาที่ 1 และ 2 ผู้รับเหมาจะเข้ารื้อย้ายสาธารณูปโภควันที่ 4 ก.ค.นี้เป็นต้นไป  มีกำหนดเสร็จในปี 2559

" ถ.เจริญกรุง การจราจรเป็นวันเวย์ ช่วงก่อสร้างจะปิด 2 เลนด้านซ้ายให้ผู้รับเหมาเข้าพื้นที่เปิดหน้าดินเพื่อก่อสร้างสถานี ส่วน ถ.อิสรภาพเป็นไซต์ก่อสร้างของ ช.การช่างตั้งแต่ช่วงสนามไชยถึงท่าพระ  ระยะแรกเป็นงานขุดเจาะสำรวจโบราณสถานจะเริ่มเข้าวันที่ 4 ก.ค.นี้ เบื้องต้นผู้รับเหมาแจ้งจะปิดเลนช่องซ้าย 1 ช่องจราจร เหลือ 3 ช่องจราจร จากเดิม 4 ช่องจราจร "


ปิดถาวร 5 ปี ห้ามจอด 24 ช.ม.

พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ( บช.น. ) รับผิดชอบงานจราจร เปิดเผยว่า เบื้องต้นผลหารือกับ รฟม.เกี่ยวกับการลดผลกระทบด้านการจราจรช่วงระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะเริ่มปิดการจราจรชั่วคราว ถ.เพชรเกษมและ ถ.จรัญสนิทวงศ์ในบางช่วงก่อนในเวลากลางคืน เพื่อให้ผู้รับเหมาเข้ารื้อย้ายสาธารณูปโภค

หลังจากนั้นตั้งแต่กลางเดือน ก.ค.นี้เป็นต้นไปจะปิดการจราจรเป็นการถาวร 4 ถนน ได้แก่ ถ.เพชรเกษม จรัญสนิทวงศ์ เจริญกรุง และพระรามที่ 4 ( แยกหัวลำโพง ) โดยจะปิดระยะยาวจนกว่าโครงการรถไฟฟ้าจะสร้างเสร็จ ใช้เวลา 4-5 ปี

" ช่วง ถ.เพชรเกษมและ ถ.จรัญฯจะปิดเกาะกลางฝั่งละ 1 ช่องจราจร  พร้อมกับจะออกกฎเพื่อจัดจราจร  โดยจะห้ามจอดรถทั้งสองฝั่งถนนตลอด 24 ชั่วโมง จากเดิมจะให้จอดได้ถึง 4 ทุ่ม "

เว้นช่วง " แยกบรมราชฯ-ไฟฉาย "

ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาการจราจรบน ถ.จรัญฯ ที่ปัจจุบันมีปัญหาการจราจรติดขัดจากงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอด 2 โครงการของกรุงเทพมหานคร ( กทม. ) คือ อุโมงค์แยกบรมราชชนนี ( ถ.จรัญสนิทวงศ์-บรมราชชนนี ) และอุโมงค์สามแยกไฟฉาย ( ถ.พรานนก-จรัญสนิทวงศ์ ) แนวทางคือ จะยังไม่ให้ผู้รับเหมารถไฟฟ้าเข้าพื้นที่บริเวณนี้ ให้รอจนกว่า กทม.จะสร้างอุโมงค์ทั้ง 2 โครงการนี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี

รอง ผบ.ช.น.กล่าวว่า ส่วนงานก่อสร้างช่วงใต้ดิน 5 ก.ม.เศษ บนแนว ถ.เจริญกรุงมาถึง ถ.อิสรภาพ แม้ว่าจะเป็นการก่อสร้างแบบเปิดหน้าดินเพื่อสร้างสถานีรถไฟฟ้า โดยใช้หัวเจาะเครื่องจักรในการขุดเจาะที่ใต้ดิน แต่ยังมีความกังวลเรื่องปัญหาการจราจรที่อาจจะวิกฤตได้เช่นกัน

" จะเริ่มปิดจราจรชั่วคราวช่วงแยกหัวลำโพงถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่ 4 ก.ค.-ส.ค.นี้ เพื่อรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคเวลา 4 ทุ่มถึงตีห้า ซึ่งน่าเป็นห่วงที่สุดเพราะเป็นพื้นที่การจราจรค่อนข้างหนาแน่น " รอง ผบ.ช.น.กล่าวและว่า

" จุดกลับรถที่หลายคนเป็นห่วงว่าจะไปยูเทิร์นรถไกล ทั้ง ถ.จรัญฯ และเพชรเกษมที่ต้องปิดเกาะกลางถนนนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะยังคงเดิมไว้ แต่ในช่วงก่อสร้างอาจจะมีปิดบ้างบางจุดตามความจำเป็น ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ แต่จะไม่ให้ประชาชนที่ใช้ทางลำบากแน่นอน "

สำหรับเส้นทางหลีกเลี่ยงพื้นที่ก่อสร้าง  อาทิ  ให้หันไปใช้ ถ.ราชพฤกษ์ วงแหวนรอบนอก พุทธมณฑลสาย 1 ถ.กัลปพฤกษ์ บำรุงเมือง ถ.สี่พระยา เยาวราช  เป็นต้น
 
 
 
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #645 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 20:45:22 »

พี่เจี๊ยบขา,
วันนี้นั่งเคลียร์mail box
ได้รับเมล์นี้มาจากน้องหนึ่ง-อักษร28
ที่ใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ...
จะลบก็เสียดาย...ขอส่งมาให้"ว๊าว"กันต่อ
ไม่แน่ใจว่าจะแปะกระทู้ไหนของพี่ดี..
เพราะ หัวเราะก็ไม่กล้า...เสริมความงามก็ไม่เชิง
สร้างสรรมั้ย หนิงก็ทะแม่งๆอยู่ค่ะ!


เค้าจั่วหัวข้อเรื่องว่า"Wow,ชายไทยเกณฑ์ทหาร"

ต้องขออภัยน้องๆในรูปด้วยนะคะ
ไม่ได้ตั้งใจจะนำภาพน้องๆมาเป็นตัวตลก
ขอให้น้องยึดมั่นถือมั่นในทางที่เลือก
ทางนี้ แน่ใจว่าไม่ง่ายค่ะ!
เพราะชีวิตมีเวลาของมันเอง
ตอนเด็กแบบนี้ อีก40ปีข้างหน้าแบบไหน?

ชายไทยก็สัดส่วนน้อยกว่าหญิงอยู่แล้ว
ไม่ส่งเสริมนะคะ...
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #646 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 21:17:39 »

ช้าไปโขค่ะ
เครื่องรวน ต้องrestartใหม่

มาดูชายไทยเขาเกณฑ์ทหารกันเถอะ!
ว๊ายยย




      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #647 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 21:19:36 »

ว๊าววว




      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #648 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 21:25:42 »

ต้องขอชมทุกคน
พวกเค้าไม่โดดร่ม
ไม่หนีการเกณฑ์
ทำหน้าที่ชายไทยที่..
พวกเธอไม่อยากเป็น!





      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #649 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2554, 21:29:44 »

ต้องปฏิบัติต่อเค้าๆเธอๆเท่าเทียมกันมั้ย?
ห้าวไม่ได้นะคะเดี๋ยวน้องเค้าตกใจ






nn.
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><