22 พฤศจิกายน 2567, 16:50:21
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม  (อ่าน 581576 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 15 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #525 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2553, 10:14:48 »

ดูนิสัยคน จากเดือนเกิด

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา
 
มกราคม
 
* ทะเยอทะยาน จริงจัง อดทน
* ชอบสั่งสอน รักการเรียนรู้ ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว
* มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด เจ้าระเบียบ ทำอะไรเป็นแบบแผนขั้นตอนไม่มีนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย
* อ่อนไหว ช่างคิดรู้วิธีทำให้คนอื่นมีความสุข
* ปกติจะเงียบขรึมถ้าไม่ได้กำลังตื่นเต้น หรือ เข้าสู่ภาวะคับขัน
* สงบเสงี่ยม กระตือรือร้น โรแมนติกแต่ไม่ค่อยยอมแสดงออกเท่าไร
* ห่วงใยใส่ใจคนอื่น แต่ไว้วางใจใครง่ายไปหน่อย
* ติดบ้าน
* ซื่อสัตย์ ขี้อาย
* ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แถมขี้ หึงอีกต่างหาก
 
 
กุมภาพันธ์
 
* ช่างฝัน รักทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน
* ไหวพริบปฏิภาณดี ฉลาด หากแต่บุคลิกภาพแปรปรวนไปนิด
* เจ้าอารมณ์ เงียบ ขี้อาย สุภาพ ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง
* ซื่อสัตย์
* ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต
* รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด
* ขบถได้ง่ายถ้าถูกบีบคั้น แอบก้าวร้าวบ้างบางครั้ง แต่ที่จริงอ่อนไหวมาก เสียใจง่าย ! โกรธก็ง่าย
* ไม่ชอบเรื่องไร้สาระ ชอบคบเพื่อนฝูงใหม่ๆ น่ารักๆ
* รักกิจการงานบันเทิงทุกชนิดโรแมนติกลึกๆ แต่ไม่แสดงออก
* เชื่อถือโชคลาง
* ใช้จ่ายเงินเก่ง
 
 
มีนาคม
 
* มีเสน่ห์ เป็นที่รักของผู้อื่น
* ขี้อาย สงบเสงี่ยม ลึกลับ
* ซื่อตรง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ รักสันติและความสงบ
* อ่อนโยน ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น
* ใจเย็น ไว้ใจได้
* เห็นค่าคนอื่น ใจดี
* เคร่งศีลธรรม แต่ติดนิสัยชอบประเมินคนอื่น
* เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเพ้อฝัน ชอบสร้างจินตนาการ
* รักการเดินทาง
* รักการเป็นจุดสนใจ
* ใจเร็วไปนิดถ้าคิดจะลงหลักปักฐานกับใคร
* ชอบตกแต่งบ้านเอง
* มีพรสวรรค์ เรื่องดนตรี รักข้าวของแปลกๆ
* ข้อควรระวังคืออารมณ์หงุดหงิดง่าย
 
 
เมษายน
 
* กระตือรือร้น ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่
* เข้มแข็งเด็ดขาด แต่กลับใจอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อกับคำขอโทษ
* ดึงดูดใจและเป็นที่รักของผู้คน ใจแข็ง
* รักการเป็นจุดสนใจ
* พูดจาฉลาดถนอมน้ำใจทุกฝ่าย
* ชอบปลอบโยน
* มนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบเสนอแนะแก้ปัญหาให้คนอื่น
* กล้าหาญ ชอบผจญภัย
* สุภาพ เอื้อเฟื้อ แต่เจ้าอารมณ์ ชอบกระตุ้นทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง  และขี้หึงมากเช่นกัน
 
 
พฤษภาคม
 
* ดื้อดึง ใจแข็ง กล้าแกร่ง
* ตั้งใจมั่น แรงจูงใจสูง
* หลักแหลม
* โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน
* ชอบการเป็นจุดสนใจ
* นิ่ง ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก
* มีจุดยืนของตัวเอง แข็งนอก อ่อนใน
* มีอิทธิพล แต่ก็มีเสน่ห์
* ชอบปลอบโยนผู้อื่น
* มีระบบระเบียบ เพ้อฝัน ถือโชคลาง
* มีสัมผัสพิเศษ เข้าอกเข้าใจจินตนาการกว้างไกล
* รักการเดินทาง ไม่ชอบอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ชอบหยุดนิ่ง
* ทำงานหนัก ความรับผิดชอบสูง แต่สุรุ่ยสุร่ายไปหน่อย
 
 
มิถุนายน
 
* คิดการณ์ไกล หัวก้าวหน้า
* ใจอ่อนกับคนใจดี
* สุภาพ พูดจาเบามีความคิดสร้างสรรค์มากมาย
* อ่อนไหว ชอบคิดค้น เสียตรงที่ขี้ลังเล
* ไม่รักษาเวลา
* สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ชอบเรื่องตลก
* มีทักษะดีในการโต้แย้ง ช่างพูดช่างคุย ชอบฝันกลางวัน
* เป็นมิตร รู้ว่าจะหาเพื่อนได้อย่างไร
* อดทน
* ชอบแสดงออก เสียใจง่าย ชอบแต่งตัว
* ขี้เบื่อ นานๆ จะแสดงอารมณ์ออกมาซักที ถ้าเสียใจต้องใช้เวลานานในการเยียวยา
* ชอบการบริหาร
* หัวรั้น
* ถือคติแปลกๆ ว่าใครประจบประแจงคือศัตรู  ส่วนเพื่อนแท้ต้องไม่กลัวที่จะขัดใจ
 
 
กรกฎาคม
 
* อยู่ด้วยแล้วสนุก มีเสน่ห์
* เก็บความลับได้ แต่ยากที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง
* เงียบถ้าไม่มีอะไรตื่นเต้น
* หยิ่งทะนงในตัวเอง ช่างเลือก
* มีความรับผิดชอบ ชอบปลอบโยนคนอื่น
* ซื่อตรง ซื่อสัตย์
* สนใจความรู้สึกคนรอบข้าง
* มีไหวพริบ
* ใจดี ไม่ผูกใจเจ็บใคร
* ไม่ชอบเรื่องไร้สาระทั้งหลาย
* มีอิทธิพลต่อคนอื่นทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
* อ่อนไหว ไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ
* ห่วงใยใส่ใจคนอื่น ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเท่าเทียม เห็นอกเห็นใจ
* แย่ตรงที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงเพราะสิ่งที่สังเกตเอาเอง
* รักการเดินทาง ศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม
* เรียนดี !
* ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย
* เสียใจง่ายแถมต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย
* ทุ่มเททุกอย่างให้งาน

 
สิงหาคม
 
* ชอบเรื่องตลก
* มีเสน่ห์ สุภาพอ่อนโยน
* ใส่ใจคนอื่น
* กล้าหาญไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น
* มั่นคงเด็ดเดี่ยว เป็นผู้นำเต็มตัว
* รู้ว่าต้องดูแลปลอบโยนคนอื่นอย่างไร แต่เสียตรงที่เอื้อเฟื้อเกินไป
* มั่นใจตัวเองเกินไป
* เรียกร้อง ต้องการการยกย่องนับถือ  มุ่งมั่นแรงกล้าสุดๆ  แถม โกรธง่ายเกินเหตุ โดยเฉพาะเมื่อถูกแหย่หรือกระตุ้น
* ขี้หึง
* เคร่งศีลธรรม
* หุนหันพลันแล่น
* ความคิดอิสระไม่ค่อยเหมือนใคร
* รักทั้งการเป็นผู้นำและถูกนำ
* ช่างฝัน มีพรสวรรค์เรื่องศิลปะดนตรี และกลไกการป้องกันตัว
* อ่อนไหวเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยจะอยากยอมรับ ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตลอดเวลา
* โรแมนติค  รักใคร่ และห่วงใยคนอื่น
* ชอบคบหาเพื่อนฝูงใหม่ๆ
 
 
กันยายน
 
* สุภาพอ่อนโยน ประนีประนอม
* ระวังตัวแจ
* วางขั้นตอนชีวิตอย่างเป็นแบบแผน
* ชอบตอกย้ำจุดอ่อนคนอื่น
* ชอบการวิพากษ์วิจารณ์
* เยือกเย็นและสงบ
* ใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น
* รอบรู้เรื่องต่างๆ
* ซื่อตรง
* ทำงานเก่ง
* อ่อนไหว
* ช่างคิด
* ความจำดี สนใจใฝ่รู้
* ชอบการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ
* มีแรงจูงใจ เข้าอกเข้าใจ
* เก็บความลับอยู่
* รักกีฬากิจกรรมยามว่าง และการเดินทาง
* ไม่แสดงอารมณ์เสียจนเกือบจะเป็นคนเก็บกด
* ช่างเลือก โดยเฉพาะเรื่องแฟน

 
ตุลาคม
 
* รักการพูดคุยเป็นชีวิตจิตใจ
* รักทุกคนที่รักตัวเอง
* รักการเจาะเข้าสู่จุดศูนย์กลางของเรื่องต่างๆ
* มีเสน่ห์
* สุภาพนุ่มนวล
* จิตใจ และรูปร่างสวยงาม
* ไม่โกหกเสแสร้ง
* เห็นอกเห็นใจคนอื่น
* ให้ความสำคัญกับเพื่อน ชอบคบหาเพื่อนใหม่อยู่เรื่อย
* เสียใจง่ายก็จริง แต่ไม่ต้องห่วง  แป๊บเดียวก็หายเศร้า
* ชอบช่วยเหลือคนอื่น
* ชอบฝันกลางวัน ความคิดบรรเจิด
* มีสัมผัสพิเศษ
* รักการเดินทาง ศิลปะ และวรรณกรรม
* พูดจานุ่มนวล รักและใส่ใจคนอื่น โรแมนติก ขี้หึง
* เป็นห่วงเป็นใย รักความยุติธรรม
* เชื่อคนง่าย เพราะมองโลกสวยงาม
* สูญเสียความเชื่อมั่นง่ายมาก
 
 
พฤศจิกายน
 
* ความคิดล้านแปดเต็มหัว ยากที่จะเข้าถึง คิดการณ์ล้ำหน้า
* โดดเด่นหัวไว ใส่ใจและชอบให้คำแนะนำ
* อยากรู้อยากเห็น
* รู้จักวิธีตะล่อมคุ้ยความลับ
* ชอบคิดอยู่ตลอดเวลา
* พูดน้อยแต่อัธยาศัยดี
* กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อ
* อดทน หัวรั้น ใจแข็ง ถือคติ ตราบใดที่ยังมีความหวัง ตราบนั้นก็ยังมีหนทางเสมอ
* มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
* โกรธยากมากถ้าไม่ถูกยั่วจนถึงขั้นจริงๆ
* ชอบอยู่คนเดียว
* มีแรงจูงใจในตัวเอง โดยไม่สนใจการยอมรับนับถือจากคนอื่น
* มั่นคง เด็ดเดี่ยว
* รักใครรักจริง
* เจ้าอารมณ์
* โรแมนติก แต่ไม่ค่อยสนใจสัมพันธ์จริงจังนัก
* รักบ้าน
* ทำงานหนัก
* มีความสามารถสูง
* ไว้ใจได้
 
 
ธันวาคม
 
* ซื่อสัตย์ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
* กระตือรือร้นในการแข่งขัน และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  แต่ไม่ค่อยมีความอดทน
* ทะเยอทะยาน มีอิทธิพลในสังคม
* รักการเข้าสังคมมาก
* รักการได้รับการยอมรับ การเป็นจุดสนใจ
* รักการที่มีคนอื่นมารักตัวเอง
* ซื่อตรง และไว้ใจได้  ไม่เสแสร้ง แต่อารมณ์เสียง่าย
* เกลียดการถูกบีบบังคับ
* รักเรื่องตลก  มีอารมณ์ขัน และมีเหตุผล
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #526 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2553, 09:26:23 »

Vuvuzela ... วูวูเซล่า เสียงสวรรค์กาฬทวีป เสียงนรกของผู้มาเยือน ?

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

เสียงของมันทั้งสุดยอด และน่ารำคาญจริงๆ
 


เมื่อคืนได้ดูฟุตบอลโลกนัดเปิดสนามคู่แรก  ระหว่างทีมเจ้าภาพกับเม็กซิโก  แต่ดูไปก็รู้สึกรำคาญไปกับเสียงคล้ายแมลงวัน หรือแมลงบินหึ่งๆ กวนประสาทตลอดเวลา  ดูไป บ่นไป จนต้องลดเสียงจากโทรทัศน์จนค่อยที่สุด  เลยต้องไปสืบดูว่าเจ้าอาวุธลับชีวภาพของเจ้าภาพ มีที่มาที่ไปอย่างไร ...



วูวูเซลา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ " เลปาตาตา " เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองประเภทแตร  มีความยาวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1 เมตร  เริ่มมีการนำมาใช้ในวงการกีฬาของแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1990  จากการที่กลุ่มกองเชียร์ของสโมสรฟุตบอล "  ไกเซอร์  ชีฟส์  เอฟซี " ในลีกของแอฟริกาใต้  เริ่มนำมาใช้เป็นอุปกรณ์การเชียร์ทีมรักของตนในสนามฟุตบอล  แต่ชื่อเสียงของวูวูเซลาก็ยังจำกัดอยู่แต่เฉพาะภายในแอฟริกาใต้เท่านั้น  จนกระทั่งมันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายระหว่างการแข่งขันฟุตบอลรายการ  " ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ  2009 " ที่จัดขึ้นบนแผ่นดินแอฟริกาใต้เมื่อปีที่แล้ว  ที่ถือเป็นครั้งแรกที่ " แตรนรก " ชนิดนี้ได้แผลงฤทธิ์เขย่าโสตประสาทบรรดากองเชียร์ต่างชาติ ที่เข้าไปชมเกมในสนามจนทำให้ชาวโลกได้รู้จักมันอย่างเต็มตัว และทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ  รวมถึงเสียงเรียกร้องจากประเทศตะวันตกที่ต้องการให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ " ฟีฟ่า " สั่งแบนการใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้ในสนามฟุตบอลเป็นการถาวร ...



อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องดังกล่าวดูเหมือนจะไร้ผล  เนื่องจากประธานฟีฟ่าชาวสวิตเซอร์แลนด์อย่างโจเซฟ " เซ็ปป์ " แบล็ตเตอร์กลับออกโรงคัดค้านการแบนวูวูเซลาแบบ " หัวชนฝา "  พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการแบนวูวูเซลาโดยเด็ดขาด  เพราะทางฟีฟ่าตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเคารพในสิ่งใดก็ตามที่เป็น " วัฒนธรรมพื้นเมือง " ของประเทศสมาชิกฟีฟ่าทั้ง 208 ประเทศอย่างเท่าเทียมกัน  ไม่ว่าจะเป็นประเทศสมาชิกจากทวีปแอฟริกา  เอเชีย  หรือยุโรป  พร้อมระบุว่าหากฟีฟ่าสั่งแบนการใช้วูวูเซลาในสนามฟุตบอลขึ้นมาจริงๆ  ก็จะต้องมีเสียงเรียกร้องให้มีการแบนเครื่องดนตรีพื้นเมืองอีกหลายชนิดตามมาอีกอย่างไม่สิ้นสุด ...



วูวูเซล่า ผู้เริ่มต้นทำให้มันเป็นที่รู้จักแพร่หลาย คือแฟนบอลสโมสร ไกเซอร์ ชีฟส์ ยักษ์ใหญ่ของประเทศคนหนึ่งนามว่า เฟรดดี้ มาเค่ ที่เอาของจำพวกแตรรถจักรยานซึ่งทำด้วยอะลูมิเนียมมาเป่าในสนามเมื่อราวปี 1965  เขาพบว่าแตรรถพวกนี้สั้นเกินไปให้เสียงไม่สะใจนัก  เลยลองทำอุปกรณ์ชิ้นใหม่ด้วยท่อยาวๆ มาแทน  และมันให้เสียงดังสนั่นสะท้านทรวงเหลือหลาย



มาเค่ เอาเจ้าวูวูเซล่า เป่าไปทั่วบ้านทั่วเมืองครับ  ระหว่างทศวรรษที่ 70-80  มีภาพถ่ายของเขากับวูวูเซล่ารุ่นบุกเบิกซึ่งทำด้วยอะลูมิเนียม  ตระเวนเป่าในเกมฟุตบอลลีกของแอฟริกาใต้มากมาย  จากนั้นเขาจึงเริ่มใช้กับเกมระดับชาติทั้งโอลิมปิก เกมส์ 1992, 1996 หรือบอลโลก1998



ปัญหาที่มาเค่พบไม่ใช่เรื่องเสียง  แต่เป็นเพราะเจ้าวูวูเซล่า อะลูนิเนียมของเขาโดนห้ามนำเข้าสนามหลายครั้ง  เพราะมันอาจใช้เป็นอาวุธได้  ก็แหมมันทำจากอะลูมิเนียมน่ะสิ  ภายหลังเขาเลยต้องดัดแปลงมาทำด้วยพลาสติกแทน  และจากนั้นก็มีบริษัทหัวหมอผลิตวูวูเซล่าหลากสีสัน  หลากสไตล์ออกขาย  จนได้รับความนิยมทั่วบ้านทั่วเมือง



อานุภาพของเจ้าวูวูเซล่า จะทรงพลังที่สุดตอนช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกมครับ  เพราะแฟนบอลจะเป่าพวกมันพร้อมกันเพื่อ '' ฆ่าศัตรู '' ให้เหมือนกับนิทานพื้นบ้านที่ว่า '' ลิงบาบูนถูกฆ่าด้วยเสียงดังสนั่น ''
 


สำหรับชื่อ วูวูเซล่า ยังเป็นที่ถกเถียงว่ามาจากอะไร  บ้างเชื่อว่ามาจากภาษาซูลู  ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกาใต้  แปลว่าสร้างเสียงวูวู  บ้างก็ว่าเป็นศัพท์สแลงของพวกคนเมือง  โดยตอนนี้มีคนใช้คำว่า วูวูเซล่า เพื่อความหมายประเภทปลุกใจปลุกเร้า หรือกระตุ้นจิตใจ ประมาณนั้นด้วย



แตรวูวูเซลา ( vuvuzela )  นี่คือวัฒนธรรมพื้นเมืองเพียงอย่างเดียวที่เป็นสิทธิของคนท้องถิ่น  ทว่าเสียงแตรของชนพื้นเมืองนี้เป็นที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง  แต่ถึงอย่างไรเวลานี้มันกลับได้รับความนิยมไปทั่วโลกแล้ว  ha  ha  ha ! ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #527 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2553, 13:52:51 »

Amazing Tiny Apartment ... very interesting  

มนุญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

In Hong Kong, because of the space, apartments are small and expensive. Gary Chang, an architect, decided to design a 344 sq. ft. apartment to be able to change into 24 different designs, all by just sliding panels and walls. He calls this the " Domestic Transformer. "

This is worth watching.

http://www.flixxy.com/apartment-transformation.htm

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #528 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 13:42:55 »

ไปเที่ยวบ้าน ตาน ฉ่วย กัน

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

This Mansion is in Nay pyi Taw, the new capital of Myanmar and belongs to : The Senior General of Myanmar.























      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #529 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2553, 14:42:33 »

หลุมยุบ ( Sinkhole ) คืออะไร ?  ประเทศไทยตรงไหนเสี่ยง ?

นุชน้อย - อักษร 16 ... ส่งมา

หลุมยุบ ( Sinkhole) คืออะไร ?



หลุมยุบ หรือ Sinkhole เป็นธรณีพิบัติภัยประเภทหนึ่งเกิดตามธรรมชาติ  แต่กิจกรรมของมนุษย์ก็สามารถเร่งให้เกิดเร็วขึ้นได้  ทั่วไปในภูมิประเทศที่ใต้ผิวดินเป็นหินปูน  หินโดโลไมต์ และหินอ่อน  ซึ่งหินเหล่านี้ละลายได้ในน้ำใต้ดิน  ทำให้เกิดโพรง หรือถ้ำใต้ดินขึ้น  และเมื่อเพดานต้านทานน้ำหนักของดิน และสิ่งก่อสร้างที่กดทับด้านบนไม่ไหว  จึงพังกลายเป็นหลุมยุบ

กระบวนการเกิดหลุมยุบ

หลุมยุบ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดินยุบตัวลงเป็นหลุมลึก  และมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 1 - 200 เมตร  ลึกตั้งแต่ 1 ถึงมากกว่า 20 เมตร  เมื่อแรกเกิดปากหลุมมีลักษณะเกือบกลม และมีน้ำขังอยู่ก้นหลุม  ภายหลังน้ำจะกัดเซาะดินก้นหลุมกว้างมากขึ้น  ลักษณะคล้ายลูกน้ำเต้า  ทำให้ปากหลุมพังลงมา  จนเหมือนกับว่าขนาดของหลุมยุบกว้างขึ้น

โดยปรกติหลุมยุบจะเกิดในบริเวณที่ราบใกล้กับภูเขาที่เป็นหินปูน  เนื่องจากหินปูนมีคุณสมบัติละลายน้ำที่มีสภาพเป็นกรดอ่อนได้  ประกอบกับภูเขาหินปูนมีรอยเลื่อน และรอยแตกมากมาย  ดังจะสังเกตเห็นได้ว่าภูเขาหินปูนมีหน้าผาชัน  หน้าผาเป็นรอยเลื่อน และรอยแตกในหินปูนนั่นเอง  บริเวณใดที่รอยแตกของหินปูนตัดกัน  จะเป็นบริเวณที่ทำให้เกิดโพรงได้ง่าย

โพรงหินปูนถ้าอยู่พ้นผิวดินก็คือถ้ำ  ถ้าไม่โผล่เรียกว่าโพรงหินปูนใต้ดิน  ซึ่งจำแนกเป็น 2 ระดับคือ  โพรงหินปูนใต้ดินระดับลึก ( ลึกจากผิวดินมากกว่า 50 เมตร )  และโพรงหินปูนใต้ดินระดับตื้น ( ลึกจากผิวดินไม่เกิน 50 เมตร )  ส่วนใหญ่หลุมยุบจะเกิดบริเวณที่มีโพรงหินปูนใต้ดินระดับตื้น

สาเหตุของการเกิดหลุมยุบ



ลักษณะของหลุมยุบ



รูปร่างของหลุมยุบแตกต่างกันไปตามลักษณะการเกิด  ส่วนใหญ่มีรูปร่างวงกลม หรือวงรี  หลุมยุบที่เกิดจากการพังถล่มของเพดานโพรงหรือถ้ำใต้ดิน จะมีขอบหลุมชัน  แต่หลุมยุบที่เกิดเนื่องจากการละลายของหินเป็นหลัก  จะมีขอหลุมเอียงลาด  ขนาดของหลุมขึ้นอยู่กับขนาดของโพรง หรือถ้ำใต้ดิน  มีตั้งแต่ไม่กี่เมตรถึงหลายร้อยเมตร และลึกหลายสิบเมตร

หลุมยุบในประเทศไทย

หลุมยุบเกิดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  กรมทรัพยากรธรณีได้รับแจ้ง และเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่มากกว่า 45 แห่ง  โดยพบว่าพื้นที่ที่เกิดหลุบยุบอยู่ในพื้นที่ราบใกล้ภูเขาหินปูนภาย  หลังการเกิดธรณีพิบัติภัยแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์  เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547  พบว่ามีหลุมยุบเกิดขึ้นมากกว่า 19 ครั้ง  โดยเกิดใน 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากธรณีพิบัติภัยครั้งนี้คือ  จังหวัดสตูล  พังงา  กระบี่  และตรัง  ถึง 14 ครั้ง เกิดในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย 4 ครั้ง  และเกิดในภูมิภาคอื่นคือ จังหวัดเลย 1 ครั้ง

แผนที่แสดงโอกาสเกิดหลุมยุบในประเทศไทย



ปัจจัยที่ทำให้เกิดหลุมยุบ



1. เป็นบริเวณที่มีหินปูนรองรับอยู่ในระดับน้ำตื้น
2. มีโพรงหรือถ้ำใต้ดิน
3. มีตะกอนดินปิดทับทาง ( ไม่เกิน 50 เมตร )
4. มีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน
5. มีรอยแตกที่เพดานโพรงใต้ดิน
6. ตะกอนดินที่อยู่เหนือโพรงไม่สามารถคงตัวอยู่ได้
7. มีการก่อสร้างอาคารที่ที่มีโพรงหินปูนใต้ดินระดับตื้น
8. มีการเจาะบ่อบาดาลผ่านเพดานโพรงหินปูนใต้ดินระดับตื้น  ทำให้แรงดันน้ำ และอากาศภายในโพรงถ้ำเปลี่ยนแปลง
9. มีผลกระทบที่เกิดจากแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงเกิน 7 ริกเตอร์

สาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมยุบ หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์

แผ่นดินไหวที่มีความรุนแรง 9 ริกเตอร์  ทำให้หินปูนที่มีคุณสมบัติแข็งแต่เปราะ  ได้รับการกระทบกระเทือนเป็นบริเวณกว้าง  เพดานโพรง หรือถ้ำใต้ดินที่อยู่ในระดับตื้น และมีความไม่แข็งแรงอยู่เดิมมีโอกาสยุบตัว และถล่มลงมาได้ง่าย

นอกจากนี้คลื่นยักษ์ ( สึนามิ ) ที่กระหน่ำเข้ามามีแรงกระแทกมหาศาล  ทำให้ระดับน้ำใต้ดิน และบนดินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  จากปัจจัยที่กล่าวมาบวกกับปัจจัยที่มีอยู่เดิม  ทำให้เกิดหลุมยุบขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ทั้งในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์โดยตรง  และในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว

สรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมยุบ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ คือ

1. เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดินอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากการเกิดคลื่นยักษ์  ทำให้แรงดันของน้ำ และอากาศภายในโพรงเสียสมดุล

2. เกิดการขยับตัวของพื้นที่  ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยร้าวของเพดานโพรง  สืบเนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง

ข้อสังเกตก่อนเกิดหลุมยุบ

1. ดินทรุดตัวทำให้กำแพง รั้ว เสาบ้าน ต้นไม้โผล่สูงขึ้น
2. มีการเคลื่อนตัว / ทรุดตัวของกำแพง รั้ว เสาบ้าน ต้นไม้ ประตู / หน้าต่างบิดเบี้ยว  ทำให้เปิดยากขึ้น
3. เกิดแอ่งน้ำขนาดเล็ก ในบริเวณที่ไม่เคยเกิดแหล่งน้ำมาก่อน
4. มีต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ และพืชผัก เหี่ยวเฉาเป็นบริเวณแคบๆ หรือเป็นวงกลม  เนื่องจากการสูญเสียความชื้นของชั้นดินลงไปในโพรงใต้ดิน
5. น้ำในบ่อ สระ เกิดการขุ่นข้น หรือเป็นโคลน โดยไม่มีสาเหตุ
6. อาคาร บ้านเรือนทรุด มีรอยปริแตกบนกำแพง พื้น ทางเดินเท้า และบนพื้นดิน

หลุมยุบในต่างประเทศ

หลุมยุบที่ประเทศ Guatemala ลึก 330 ฟุต


หลุมยุบที่ Winter Park, Florida ( 1981 )


หลุมยุบที่ Daisetta, Texas, 2008


หลุมยุบที่ Winkler, Texas




หลุมยุบ Devil’s Sinkhole, Texas





      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #530 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553, 23:21:28 »

สุดยอดสระว่ายน้ำ จากทั่วโลก

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

super swimming pool around the world



โรงแรม : Park Hyatt Tokyo

ความพิเศษ : สระว่ายน้ำบนชั้นที่ 47 ที่พื้นจรดเพดานเป็นหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองโตเกียว และอาจเห็นไปถึงภูเขาไปฟูจิ  เหล็กและกระจกทรงปิรามิดที่ทำให้สระดูเหมือนลอยอยู่ท่ามกลางแสงธรรมชาติ  ความยาว 65 ฟุต 4 เลน ที่ดูเหมือนจะเลื่อนได้ในเวลากลางคืนเมื่อตึกสูงต่างๆ เปิดไฟ




โรงแรม : San Alfonso del Mar, Algarrobo, Chile

ความพิเศษ : คุณสามารถแล่นเรือใบเล็กๆ ในสระน้ำเค็มที่ได้บันทึกลงในกินเนสส์บุ๊คว่าเป็น " สระที่ใหญ่ที่สุดในโลก " ได้  มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร และด้วยความใหญ่โตจึงต้องมีห้องหลายๆ ห้องที่ใช้ทำทรายเทียมสำหรับชายหาด  ในเวลากลางคืนจะมีการปรับอุณหภูมิของน้ำ
ภายในโดมกระจกทรงปิรามิดกลางสระ  เพื่อให้น้ำอุ่นขึ้นด้วย




โรงแรม : Hotel Caruso Belvedere, Ravello, Italy

ความพิเศษ : โรงแรม Caruso Belvedere สร้างขึ้นบนจุดที่สูงที่สุด ของ Amalfi Coast town ใน Ravello  สระกลางแจ้งที่เปิดโล่ง  เห็นวิวกว้างขวางของชายหาดที่สวยงาม  และทะเลที่อยู่ไกลออกไป  ทำให้ดูเหมือนสระไม่มีที่สิ้นสุด  ด้านข้างของสระตกแต่งแบบโรมันในช่วงศษตวรรษที่ 11




โรงแรม : Umaid Bhawan Palace, Jodhpur, India

ความพิเศษ : ความใหญ่โตที่มีถึง 347 ห้อง มองลงไปเห็นเมืองสีฟ้า อากาศที่ปลอดโปร่ง ภายใต้แสงเทียน  กลีบดอกไม้ที่โปรยลงในน้ำ โรงแรมที่ดำเนินการโดย Taj Hotels Resorts and Palaces  ซึ่งใช้พื้นที่ร่วมกับเจ้าของวัง มหาราชาแห่ง Jodhpur




โรงแรม : Viceroy Miami

ความพิเศษ : เมืองที่เต็มไปด้วยสระว่ายน้ำสุดพิเศษ  เมื่อไม่นานมานี้ที่ Viceroy ได้เปิดสระว่ายน้ำบนดาดฟ้าขนาด 2 เอเคอร์  ตกแต่งด้วยต้นบลูเบอรี่ญี่ปุ่น  เตียง  และรถม้าโบราณ โดดเด่นด้วยสระ 3 ชนิด คือ  สระน้ำอุ่นสำหรับ 80 คน  สระน้ำตื้น  และสระขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลอยู่สูงจากพื้น 15 ชั้น  และในช่วงกลางสามารถชมวิวของเมือง Miami และ Biscayne Bay




โรงแรม : InterContinental Hong Kong

ความพิเศษ : สระว่ายน้ำ 3 สระ บนชั้น 3 ของโรงแรม  เป็นน้ำอุ่น 2 สระ และสระน้ำเย็น  แต่ทั้งสามสระจะมีท่อเพลงใต้น้ำ  ที่จะทำให้รู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่ในอ่าว Victoria  หลังจากว่ายน้ำแล้วก็มาพักผ่อนสายตา  จะเห็นวิวเส้นขอบฟ้าของฮ่องกงได้ที่ห้องแต่งตัว




โรงแรม : Golden Nugget, Las Vegas

ความพิเศษ : คุณสามารถว่ายน้ำกับฉลาม 5 สายพันธุ์ ( 16 ตัว )  สระมูลค่ากว่า 30 ล้านเหรียญ  มีแท้งค์เป็นเหมือนบ้านสามชั้น  และท่อให้คุณสไลด์ผ่านเข้าไปในแท้งค์น้ำตก  ซึ่งฉลาม  ปลากระเบน จะถูกกั้นด้วยแผ่นอะคลิลิคใสหนา 4 นิ้ว




โรงแรม : Quincy Hotel, Singapore

ความพิเศษ : สระว่ายน้ำที่ล้อมไปด้วยกระจกบนชั้นที่ 12 ของโรงแรม  ตอนกลางคืนแสงไฟจะทำให้สระดูเรืองรอง  อาบแดด  ว่ายน้ำ  แล้วก็มางีบที่เก้าอี้หวายข้างสระ




โรงแรม : Al Bustan Palace InterContinental Muscat, Muttrah, Oman

ความพิเศษ : หลังจากที่โรงแรมได้ปิดปรับปรุงไป 18 เดือน  ก็ได้เปิดให้บริการอีกครั้งด้วยการปรับสระหลักให้ด้านข้างมีร่มเงาของต้นปาล์มตลอดความยาว 164 ฟุต  ควบคุมอุณหภูมิของน้ำในสระได้ให้เหมือนอยู่ในโอเอซิส




โรงแรม : Anantara Koh Samui Resort & Spa, Samui, Thailand

ความพิเศษ : สามารถมองออกไปไกลๆ ในอ่าวไทย  ชื่นชมทิวทัศน์จากสระที่มีความยาว 98 ฟุตของรีสอร์ทที่เกาะสมุย  ถ้าแค่นั้นยังไม่พอ  ลองสั่งเครื่องดื่ม  แล้วหัวเราะกับรูปปั้นลิงพ่นน้ำตามข้างสระ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #531 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553, 11:57:50 »

ลัดดา ดั๊คเวิร์ท สาวไทย-อเมริกันที่โอบามาจ่อตั้งเป็นผู้ช่วย รมต. มะกัน
 
เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา


 
Obama appointed Thai Female US Army pilot to over see US Veterans ( ตั้งแต่ กรกฏาคม 2552 แล้วนี่นา ! )
  


Ladda -Tammy Duckworth  สาวไทยสร้างชื่ออีกแล้ว " โอบามา "เล็งตั้ง " ลัดดา หรือแทมมี่ ดั๊คเวิร์ท " สัญชาติไทย-อเมริกัน  นักบินเสียขา 2 ข้างในสงครามอิรัก เป็นผู้ช่วย รมต. กระทรวงทหารผ่านศึก



แถลงการณ์ของทำเนียบขาว สหรัฐระบุว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ จะเสนอชื่อ " ลัดดา หรือ



แทมมี่ ดั๊คเวิร์ท " คนไทย-อเมริกัน หัวหน้ากระทรวงทหารผ่านศึก ประจำรัฐอิลินอยส์ และอดีตนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐ ที่สูญเสียขาทั้งสองข้างระหว่างทำสงครามที่อิรัก เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทหารผ่านศึก



เธอได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอม เมื่อปี 2549 ที่มลรัฐอิลลินอยส์  เธอเป็นตัวแทนพรรคในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายอิรัก ของประธานาธิบดีจอร์จ ดัลเบิลยู บุชหลายครั้ง  ผลการเลือกตั้งเธอพ่ายแพ้คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันไปอย่างสูสี



ลัดดาเป็นหนึ่งในตัวเลือกของพรรคเดโมแครต ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ที่ว่างลง  หลังบารัก โอบามา  ไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา  ในต้นปี พ.ศ. 2552  แทมมี ดักเวิร์ธ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของประเทศสหรัฐอเมริกา  ทำหน้าที่กำกับดูแลโครงการให้ความช่วยเหลือทหารผ่านศึกที่ไร้บ้าน  กิจการด้านผู้บริโภค  และกิจการฟื้นฟูพิเศษด้านอื่น ๆ



สำหรับ พต.หญิงลัดดา แทมมี่ ดั๊คเวิร์ธ เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1968 ที่กรุงเทพฯ  เป็นลูกสาวของนายแฟรงก์ แอล.ดั๊กเวิร์ธ และนางลำไย สมพรไพรินทร์  มีน้องชายชื่อทอม  ครอบครัวดั๊กเวิร์ธโยกย้ายอยู่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดมา  เพราะคุณพ่อของเธอเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ



ค.ศ. 1985  เมื่อแทมมี่อายุได้ 16 ปี  ครอบครัวนี้ย้ายมาอยู่ที่ฮาวาย  จบไฮสคูลด้วยคะแนนเกียรตินิยมที่ McKinley High School  จากนั้นเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาวายจบในปี 1989  สาขาวิชารัฐศาสตร์  และเรียนจบปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัย George Washington University  ต่อมาแทมมี่ทำปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Northern Illinois University  โดยสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมือง และสาธารณสุขในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พร้อมกันนั้นยังทำงานเป็นซูเปอร์ไซเซอร์ให้กับโรตารีสากล สำนักงานใหญ่ ที่เมืองเอฟแวนสตัน  รัฐอิลลินอยส์
 


ในปี 1990 ระหว่างที่เรียนปริญญาโทอยู่นั้น  แทมมี่ได้เข้าร่วมเป็นหน่วยฝึกกำลังสำรองของกองทัพบก ( the Reserve Officers′ Training Corps = ROTC )  จากนั้นในปี 1992  ได้รับการบรรจุเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของกองกำลังสำรองกองทัพบก  แทมมี่ได้เลือกที่จะเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์  เพราะเป็นตำแหน่งหนึ่งในไม่กี่ตำแหน่งที่ผู้หญิงในกองทัพสามารถออกรบได้  ต่อมาเรียนฝึกบิน และร่วมกับกองกำลังสำรองกองทัพบก แห่งรัฐอิลลินอยส์ ในปี 1996



หลังจากเข้าร่วมในสงครามอิรัก  เธอต้องสูญเสียขาทั้ง 2 ข้างเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2004  เพราะเฮลิคอปเตอร์ UH-60 Black Hawk ซึ่งเธอเป็นนักบินร่วม  ถูกยิงด้วยจรวดจากกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอิรัก  นอกจากนี้เธอยังสูญแขนขวาเกือบหมด  เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2004  เธอได้รับเหรียญกล้าหาญ a Purple Heart  และได้รับการเพิ่มยศเป็นพันตรีในวันที่ 21 ธันวาคม ระหว่างรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลวอเตอร์ รีด  และแทมมี่ยังได้รับเหรียญประดับเกียรติอีก 2 เหรียญคือ an Air Medal และ Army Commendation Medal





ในระหว่างรักษาตัว 6 เดือนที่โรงพยาบาลนั้น  แทมมี่เริ่มฝึกการเดินด้วยขาเทียม  นอกจากนั่งวิลแชร์แล้ว  เธอยังจัดระดมทุนเพื่อสร้างศูนย์ฟื้นฟู ช่วยเหลือทหารพิการจากสนามรบอีกด้วย











ขอบคุณข้อมูลจาก :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:QkGGPyjcQd4J:th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B2_%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B5_%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%98+%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B2+%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th   เพิ่มเติมค่ะ

เมื่อประเทศไทย สังคมไทย ชื่นชม ผู้หญิงคนนี้แล้ว  หวังว่าคงมีนโยบายที่จะฟื้นฟูทหารผ่านศึกที่พิการด้วยนะ  โดยเฉพาะทหารตำรวจภาคใต้ที่ได้รับบาดเจ็บ
  
อ่านแล้วรู้สึกดีๆ ....
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #532 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553, 22:30:56 »

คุณเห็นภาพนี้หมุนทวนเข็ม หรือตามเข็มนาฬิกา

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

... ให้ตัดสินใจเร็วๆ นะ  อย่าใช้เวลาดูนานมากไป



พอได้คำตอบแล้วมาเฉลยกันดีกว่า


คนเห็นตามเข็ม  แสดงว่าใช้สมองซีกขวา มากกว่าซีกซ้าย

ในทางกลับกัน หากเราเห็นทวนเข็มแสดงว่า  เราใช้สมองซีกซ้าย มากกว่าซีกขวา …


 
สำหรับคนที่ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า ... คุณมีแนวโน้มที่จะ ...

* ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
 
* สนใจรายละเอียด
 
* อยู่บนพื้นฐานของความจริงมากกว่าการคาดการณ์
 
* มีความสามารถในการเลือกใช้ศัพท์ และมีความสามารถทางภาษาศาสตร์
 
* สนใจในอดีตมากกว่าอนาคต
 
* มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
 
* มีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องที่มีความซับซ้อนได้เร็ว
 
* รอบรู้
 
* ยอมรับผู้คนหรือเรื่องราวใหม่ๆ ได้ง่าย

* มีระเบียบวินัย
 
* จดจำชื่อต่างๆ ได้ดี
 
* อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
 
* วางกลยุทธ์ต่างๆได้ดี

* เน้นผลในทางปฎิบัติ
 
* ปลอดภัยไว้ก่อน

 
สำหรับคนใช้สมองซีกขวามากกว่า ... คุณมีแนวโน้มที่จะ …

* ให้ความสำคัญกับอารมณ์ และความรู้สึก
 
* ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด
 
* มีจินตนาการสูง
 
* มีความสามารถในทางตรรกศาสตร์
 
* สนใจอนาคตมากกว่าอดีต
 
* สนใจในทางปรัชญา และศาสนา
 
* เข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี
 
* ลึกซึ้งต่อเรื่องต่างๆ
 
* เป็นที่นิยมชมชอบ
 
* โยงประเด็น และความเกี่ยวเนื่องของเรื่องราวต่างๆ ได้ดี
 
* ชอบฝันเฟื่อง
 
* ประเมินผลกระทบสำหรับทางเลือกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
 
* คึกคะนอง .... หรือในบางกรณีมุทะลุ
 
* เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน



อะพิโถ !   ผู้โพสต์ชื่อเจี๊ยบอ่านข้อวิเคราะห์จนจบ  เป็นจริง  เป็นจัง ... นึกเอะใจ  ย้อนกลับไปจ้องดูรูป อีกครั้ง  นานๆ ... สาวคนนี้หมุนตามเข็มนาฬิกาอยู่พักนึง  แล้วก็ต่อด้วยหมุนทวนเข็มนาฬิกา แบบเนียนๆ  เดี๋ยวก็ตามเข็ม  เดี๋ยวก็ทวนเข็ม ... อ๊ะ  อ้าว !  เพื่อนเราเล่นต้มหมู ที่อยู่หน้าจอ ซะสุกเลยเนี่ย !

มิน่า  ถึงต้องสำทับว่า " ... ให้ตัดสินใจเร็วๆ นะ  อย่าใช้เวลาดูนานมากไป "

ha  ha  ha !   น่าจะเอาไปลงที่กระทู้ขำขันมากกว่านอะ  ! ... ขำคนอ่านน่ะสิ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #533 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2553, 10:08:20 »

Help Call 1669

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร 07... ส่งมา

ญาติเคยโทร. ตอนเค้าไปเมืองกาญจน์กัน ...

พอตี 2 เศษ ๆ พ่อเค้ามีอาการหัวใจล้มเหลว ... ลนลานไม่รู้ทำไงกันดี ... พี่สาวนึกได้ เลยโทร 1669
 
มาไว ช่วยเร็ว ... ให้เงินก็ไม่เอา ... เป็นหน่วย นเรนทร ... base @ โรงพยาบาลวชิระ

เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน  นอกจากช่วยเหลือตนเองแล้ว  ขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ( สปสช. ) ได้จัดระบบช่วยเหลือผู้ประสบภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนี้  เพียงกดโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 1669  จะมีคำแนะนำให้  และหากจำเป็น  จะมีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินไปช่วยเหลือคุณถึงที่เกิดเหตุ ( ฟรี)    ทั่วประเทศไทย  ตลอด ๒๔ ชั่วโมง  ทั้งวันทำการ และวันหยุด แล้วนะจ๊ะ

ป่วยฉุกเฉินโทรหมายเลข 1669

นพ. สุรจิต สุนทรธรรม
  
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #534 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2553, 23:27:20 »

ประโยชน์ ( ทางการแพทย์ ) ของการสวดมนต์

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

จาก นิตรสารชีวจิต  ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551  เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย : ชมนาด
 
เชื่อหรือไม่ว่า  หากเราสวดมนต์ ( ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย  แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก  แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ? ? ?  เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง  และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆ ได้



การสวดมนต์บำบัด  คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine  คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย  ซึ่งมีหลากหลายวิธี  อาทิ  เก้าอี้ไฟฟ้า  เครื่องนวดต่างๆ  ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน  แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก  สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
 
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ? ? ?
 
คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ  เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา  ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ  คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆ กัน  ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัด  กลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด  ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ  ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง  ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ  สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที  ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย


 
เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา : ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์
 
รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี  หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข  คณะสาธารณสุขศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้
 
“ สมองของเรา เมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป  จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด  บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน ( serotonin ) เพิ่มขึ้น  ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ  ช่วยการเรียนรู้  ลดความเครียด  ลดอาการซึมเศร้า  ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ  เช่น  เมลาโทนิน  ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ  เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท  เซลล์ร่างกาย  ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ  เพิ่มภูมิต้านทาน  ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น  รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าว และอาการพาร์กินสัน  นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ  เช่น  อะเซทิลโคลีน  ช่วยในกระบวนการเรียนรู้ และความจำ  ช่วยขยายเส้นเลือด  ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว  ความสมดุลของน้ำ  และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง  ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง  ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง  และไม่เครียด  ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น ”
 
ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่  อาจารย์สมพรเสริมว่า
 
“ หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้าหลายๆ ประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อมๆ กัน  ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป  การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน  ไม่มีผลในการเยียวยา  สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน  ทั้งตัวเอง  เช่น  บางคนปากสวดมนต์  แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น  ก็ไม่ได้ประโยชน์  และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์  เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไว และอ่อนไหวมาก  เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย  เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก  ตา  หู  จมูก  การเคลื่อนไหว  และใจ  เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสน และเปลี่ยนไป  ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ ”
 
และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์  แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆ ได้รับการกระตุ้น  คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์


 
สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
 
อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
 
 “ เวลาเราสวดมนต์นานๆ  คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียง  หรือตามวิธีเปล่งเสียง  แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน  แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก  บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก  บางเสียงออกมาจากไรฟัน  บางเสียงออกมาจากคอ  ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์  จึงเกิดพลังของการสั่น”

และเมื่อเกิดพลังของการสั่น  การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร  อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า
 
“ เวลาเราสวดมนต์  เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ  ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด  เช่น  การวิจัยของฝรั่งพบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย  ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา  เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน  บางตัวสั่นสะเทือนมาก  บางตัวสั่นสะเทือนน้อย  ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น  เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ เข้า  ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น ”
 
นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ  เช่น

โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ....... กระตุ้นคอ
 
ยัม ....... กระตุ้นหัวใจ ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่
 
วัม ....... กระตุ้นสะดือ ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น
 
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น  การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด
 
รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี  ภาควิชาปรัชญาและศาสนา  คณะศิลปะศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  สรุปว่ามี 2 ข้อคือ
 
1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ  โดยต้องสวดเสียงดัง  ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง  และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด  เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว  จึงเกิดสมาธิ

2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ  จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม  จิตใจก็จะสะอาดขึ้น  บริสุทธิ์ขึ้น  เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด
 
เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์ และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ  เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกาย และจิตใจ  ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ  ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ  ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพรสรุปให้ฟังว่า  การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วย และโรคร้ายดังต่อไปนี้
 
1. หัวใจ   2. ความดันโลหิตสูง   3. เบาหวาน   4. มะเร็ง   5. อัลไซเมอร์   6. ซึมเศร้า   7. ไมเกรน   8. ออทิสติก   9. ย้ำคิดย้ำทำ   10. โรคอ้วน   11. นอนไม่หลับ   12.พาร์กินสัน


 
สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค  สวดมนต์บำบัดมีวิธีการ และจุดประสงค์ที่หลากหลาย  สรุปออกมาได้ 3 แบบ
 
1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง
 
เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง  จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy  ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด  เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์  นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง  วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ
 
- ควรสวดด้วยตัวเอง  และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที  ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย  อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
 
- หาสถานที่ ที่สงบเงียบ
 
- สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์  โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป  จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน  แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ  จะได้ความผ่อนคลาย และความศรัทธา
 
- ขณะสวดมนต์ให้หลับตา  สวดให้เกิดเสียงดัง  เพื่อให้ตัวเองได้ยิน
 
2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์
 
เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น  เช่น  การฟังเสียงพระสวดมนต์  เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ  หากผู้สวดมีสมาธิ  เสียงสวดนั้นจะนุ่ม  ทุ้ม  ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา ( healing ) ผู้ฟัง  แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ  ไม่มีความเมตตา  เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆ ลงๆ  นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วยแล้ว  อาจทำให้เสียสุขภาพได้
 
3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น
 
ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม  เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย  เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป  บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก  เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่  อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
 
คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก  เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม  ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย  และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ  มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า  ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้า และสารเคมีได้ถึงสิบยกกำลังสิบ  คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ
 
บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่  แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ  ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้ และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย  ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์ หรือสัมผัสที่หก
 
การรับรู้ได้หรือไม่  ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย  ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล  เหมือนเราเปิดวิทยุ  ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน  ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไป  ผู้ป่วยก็จะได้รับ  และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้  ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์  แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป


 
เลือกสวดมนต์อย่างไรดี
 
แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี  อาจารย์สมพรแนะนำว่า
 
“ น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง  จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น  สักสามสี่พยางค์มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น ”
 
พระพุทธศาสนามีบทสวดมากมายหลายบทให้เลือกใช้ตามความชอบ  ยกตัวอย่างเช่น  อิติปิโส  หรือนะโมตัสสะ  นะโมพุทธายะ  หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ  เลือกท่อนใดท่อนหนึ่ง  แล้วสวดวนไปวนมา  หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเอง หรือคนไข้หายป่วย
 
“ ข้อที่น่าสังเกตคือ  บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆ คือ  คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ  มีแค่สองจังหวะ  คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด ”
 
อยากให้ตัวเอง และผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุข และยังน้อมนำกุศลจิต  เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


โพชฌงค์ 7

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:c7YD-ACUajEJ:th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%8C%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C_%E0%B9%97+%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%8C%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C7&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

โพชฌงค์ หรือ โพชฌงค์ 7 คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้  หรือองค์ของผู้ตรัสรู้  มีเจ็ดอย่างคือ

1. สติ ( สติสัมโพชฌงค์ ) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง

2. ธัมมวิจยะ ( ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
 
3. วิริยะ ( วิริยสัมโพชฌงค์ ) ความเพียร
 
4. ปีติ ( ปีติสัมโพชฌงค์ ) ความอิ่มใจ
 
5. ปัสสัทธิ ( ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ) ความสงบกายใจ
 
6. สมาธิ ( สมาธิสัมโพชฌงค์ ) ความมีใจตั้งมั่น  จิตแน่วในอารมณ์

7. อุเบกขา ( อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
 
โพชฌงค์ 7 เป็นหลักธรรมส่วนหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม 37 ( ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน4  สัมมัปปธาน4  อิทธิบาท4  อินทรีย์5  พละ5  โพชฌงค์7  และมรรคมีองค์ 8 )

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว  ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก  ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้  ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้  ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้ว ทำให้มากแล้ว  ย่อมบำเพ็ญวิชชา และวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ "
  
— อานาปานสติสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔

โพชฌงค์ปริตร ( โพชฌงค์ 7 )

ฉบับสวดมนต์แปลของพระศาสนโสภณ  (แจ่ม )  วัดมกุฎกษัตริยาราม

จาก   :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:oXmrddWE8wEJ:zayyes.com/index.php%3Ftopic%3D1688.0+%E0%B8%9A%E0%B8%97+%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%94+%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%8C%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C+%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3+%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%8C%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C+7&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th

โพชฌังโค สติสังขาโต ธัมมานังวิจโย ตถา วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะตถาปเร สมาธุ เปกขโพชฌังคา สัตเตเต สัพพทัสสินา มุนินา สัมมทักขาตา ภาวิตา พหุลีกตา สังวัตตันติ อภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตน สัจจวัชเชน โสตถิ เต โหตุ สัพพทา

เอกัสมึ สมเย นาโถ โมคคัลลานัญจะกัสสปังคิลาเน ทุกขิเตทิสวา โพชฌังเค สัตตะเทสยิเต จะ ตัง อภินันทิตวา โรคา มุจจึสุ ตังขเณ เอเตนะสัจจวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพทา

เอกทา ธัมมราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะตัญเญวะ ภณาเปตวาน สาทรัง สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฎฐาสิ ฐานโส เอเตนะสัจจวัชเชนะโสถติ เต โหตุ สัพพทา

ปหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มเหสินัง มัคคาหตกิเลสา วะ ปัตตานุป ปัตติธัมมตังเอเตนะ สัจจวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพทา

คำแปล
 
" โพชฌงค์เจ็ดประการ  คือ  สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยสัมโพฌงค์วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์เหล่านี้ อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น ตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลมาเจริญ ทำให้มาก ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพานและเพื่อความตรัสรู้ ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ

ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้าทอดพระเนตร พระโมคคัลานะและพระกัสสปะ เป็นไข้ถึงทุกขเวทนาแล้ว ทรงแสดงโพชฌงค์เจ็ดประการ ท่านทั้งสองก็เพลิดเพลินนั้น หายโรคในขณะนั้น ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ

ครั้งหนึ่ง แม้พระธรรมราชาอันความประชวรเบียดเบียนแล้ว รับสั่งให้พระจุนทเถระแสดงโพชฌงค์นั้นโ่ดยยินดี ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายประชวรไปโ่ดยฐานะ ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ

ก็อาพาธทั้งหลายนั้น อันพระมหาฤาษีทั้งสามองค์ละได้แล้ว ถึงความไม่บังเกิดเป็นธรรมดา ดุจกิเลสอันมรรคกำจัดแล้ว ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ "
 
เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงประชวร ได้รับสั่งให้พระจุนทเถระเจริญพระพุทธมนต์ "โพชฌงค์ปริตร" ถวาย จนพระอาการดีขึ้นจวบเป็นปกติ ทำให้พระพุทธมนต์บทนี้เป็นบทสวดเพื่อระงับอาการอาพาธ ขจัดปัดเป่า โรคาภัยและทุกขเวทนาทั้งปวง

เมื่อพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่อาพาธ หรือเจ้านายพระราชวงศ์ประชวร มักนิมนต์พระสงค์ไปเจริญพระพุทธมนต์บทนี้ ควบคู่กับพระพุทธมนต์ " อนัตตลักขณสูตร " เพื่อให้หายจากอาการเหล่านั้น

Credit : http://www.rr10.com/katha.html
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #535 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2553, 00:34:21 »

KEEPING FRUITS & VEGETABLES FRESH‏

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

อ๊าก !  ต้องฝืนใจเป็นที่สุด  ถ้าต้องอ่านข้อความที่เป็น capital letter ล้วนๆ  แต่เพราะความอยากรู้  ก็เลยจำยอมต้องอ่าน ... โห !  Amazing แท้ๆ  คุณพ่อบ้าน-คุณแม่บ้านต้องพิสูจน์กันหน่อยล่ะ ...

AN INDONESIAN MAID SHARED WITH ME A WEEK AGO A WAY TO PRESERVE FRUITS AND VEGETABLES WHICH SHE LEARNED FROM THE FAMILY SHE BABY-SAT FOR IN KL. THAT FAMILY WAS USING " ALUMINUM COATED PLASTIC BAGS " TO KEEP THEIR FRUITS AND VEGETABLES FRESH FOR WEEKS ! ! !

HERE IS THE TYPE OF ALUMINIUM COATED PLASTIC BAG FROM QUAKER THAT THEY USED. YOU CAN USE ANY OTHER SIMILAR TYPE - IT DOESN'T HAVE TO BE FROM QUAKERS.



YOU CAN PUT PLENTY OF FRUITS AND/OR VEGETABLES IN IT..



EVEN AFTER A WEEK THE VEGETABLES WILL REMAIN FRESH. NO DEHYDRATION AT ALL.

LOOK AT THESE OCRAS. THEY ARE STILL VERY, VERY FRESH WITHOUT ANY DEHYDRATION AT ALL.



BUT DON'T FOLD OR SEAL THE OPENING OF THE BAG. JUST LEAVE THE BAG OPEN AND IT WILL DO THE MAGIC WORK FOR YOU ALREADY. .....TRY IT OUT.....

YOU WOULD SURE LIKE IT VERY MUCH TOO.

INSTEAD OF THROWING THESE USEFUL THINGS AWAY, RE-USE IT AGAIN AND YOU WILL BE INHERENTLY JOINING THE GROUP OF " SAVING THE MOTHER-EARTH " CAMPAIGN TOO.
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #536 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2553, 02:49:15 »

World's Strangest Buildings‏

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา

Top 33 World’s Strangest Buildings ( sorted by 4,520 visitors votes )  จาก : http://www.boredpanda.com/top-33-worlds-strangest-buildings/

Strangebuildings.com. has a wonderful collection of the world’s most unusual architecture and together with Bored Panda presents you an incredible list of 33 strangest buildings in the world, and best of all, it’s not just another random list, but it is based on 4.520 unique visitor votes. So don’t blame panda for this exact order, blame yourself for voting this way, or for not voting at all. ( the voting took place here. )

Well enough of those boring talks, prepare your hand for scrolling down the list, while bored panda eats another bamboo leaf.

P.S. :  if you want to find out more information about the building ( date it was built, architect, interior shots ) don’t forget to visit Strangebuildings.com.

1. Mind House ( Barcelona, Spain )

( Bamboo leaf for angelocesare via www.boredpanda.com )

2. The Crooked House ( Sopot, Poland )

( Bamboo leaf for brocha via www.boredpanda.com )

3. Stone House ( Guimarães, Portugal )

( Bamboo leaf for Jsome1 via www.boredpanda.com )

4. Lotus Temple ( Delhi, India )

( Bamboo leaf for MACSURAK via www.boredpanda.com )

5. Cathedral of Brasilia ( Brazil )

( Bamboo leaf for = xAv = via www.boredpanda.com )

6. La Pedrera ( Barcelona, Spain )

( Bamboo leaf for joe_aesmorga via www.boredpanda.com )

7. Atomium ( Brussels, Belgium )

( Bamboo leaf for /*dave*/ via www.boredpanda.com )

8. Museum of Contemporary Art ( Niteroi, Rio de Janeiro, Brazil )

( Bamboo leaves for 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 via www.boredpanda.com )

9. Kansas City Library ( Missouri, USA )

( Bamboo leaf forjonathan_moreau via www.boredpanda.com )

10. Low impact woodland house ( Wales, UK )

( Bamboo leaf for Simon via www.boredpanda.com )

11. Guggenheim Museum ( Bilbao, Spain )

( Bamboo leaf for disgustipado via www.boredpanda.com )

12. Rotating Tower ( Dubai, UAE )


( Bamboo leaf for Dynamic Architecture ™ all rights reserved to Dr. David Fisher )

Have you ever seen a building in motion that actually changes its shape? Sounds unbelievable but not to Dr. David Fisher. This building will never appear exactly the same twice.

It is amazing but you will have the choice of waking up to sunrise in your bedroom and enjoying sunsets over the ocean at dinner.

In addition to being such an incredible engineering miracle it will produce energy for itself and even for other buildings because it will have wind turbines fitted between each rotating floor (picture 2). So an 80-story building will have up to 79 wind turbines, making it a true green power plant.

13. Habitat 67 ( Montreal, Canada )

( Bamboo leaf for ken ratcliff via www.boredpanda.com )

14. Casa da musica ( Porto, Portugal )

( Bamboo leaf for Osvaldo Gago – fotografar.net )

15. Olympic Stadium ( Montreal, Canada )

( Bamboo leaf for Wikipedia via www.boredpanda.com )

16. Nautilus House ( Mexico City, Mexico )

( via www.boredpanda.com )

17. The National Library ( Minsk, Belarus )

( Bamboo leaf for ledsmagazine.com via www.boredpanda.com )

(Bamboo leaf for .magullo. via www.boredpanda.com)

18. National Theatre ( Beijing, China )

( Bamboo leaf for Azure Lan via www.boredpanda.com )

19. Conch Shell House ( Isla Mujeres, Mexico )



( Bamboo leaf for Mark Stadnik via www.boredpanda.com )

20. House Attack ( Viena, Austria )

( Bamboo leaf for Dom Dada via www.boredpanda.com )

21. Bibliotheca Alexandrina ( Egypt )

( Bamboo leaf for Bibliotheca Alexandrina )

22. Cubic Houses ( Kubus woningen ) ( Rotterdam, Netherlands )

( Bamboo leaves for sarmax via www.boredpanda.com )

23. Ideal Palace ( France )

( Bamboo leaf for Mélisande* via www.boredpanda.com )

24. The Church of Hallgrimur ( Reykjavik, Iceland )

( Bamboo leaf for Stuck in Customs via www.boredpanda.com )

25. Eden project ( United Kingdom )

( Bamboo leaf for wikipedia via www.boredpanda.com )

26. The Museum of Play ( Rochester , USA )

( Bamboo leaf for Mike.Hanlon via www.boredpanda.com )

27. Atlantis ( Dubai, UAE )

( Bamboo leaf for Tom Olliver via www.boredpanda.com )

28. Montreal Biosphere ( Canada )

( Bamboo leaf for: wikipedia via via www.boredpanda.com )

29. Wonderworks ( Pigeon Forge, TN, USA )

( Bamboo leaf for Rusl?k via www.boredpanda.com )

30. The Basket Building ( Ohio, USA )

( Bamboo leaf for addicted Eyes via www.boredpanda.com )

31. Kunsthaus ( Graz, Austria )

( Bamboo leaf for watz via www.boredpanda.com )

32. Forest Spiral ( Darmstadt, Germany )

( Bamboo leaf for Kikos Dad via www.boredpanda.com )

33. Wooden Gagster House ( Archangelsk, Russia )

( Bamboo leaf for deputy-dog.com via www.boredpanda )
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #537 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2553, 14:21:24 »

เลิศ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #538 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2553, 18:38:24 »

ชอบเรื่อง ลัดดาคะ.
ไม่รู้ผลเป็นไงนะคะพี่เจี๊ยบ
เพราะข่าวตั้งแต่ปี2552??
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #539 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2553, 21:49:09 »

NN ... อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกนะจ๊ะ ... คำตอบที่หนิงถามอยู่ที่ย่อหน้าอักษรสีแดงนะ ...

ด่วน ... มนุษย์ล้อหญิงเหล็ก ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ มาเยือนเมืองไทยแล้ว

โดย  อ๋อย กฤษณะ ไชยรัตน์  OK Nation Blog  วันอาทิตย์ ที่ 10 มิถุนายน 2550

หญิงเหล็กมนุษย์ล้อ อีก 1 หญิงเก่ง ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย

เมื่อช่วงสายวันเสาร์ที่ผ่านมา ( ๙ มิย. ๕๐ ) ผมได้ไปต้อนรับมนุษย์ล้อหญิงเหล็ก ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังช่วงปลายปีที่แล้ว เมื่อเธอลงสมัคร ส.ส.รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งเธอแพ้ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเจ้าถิ่นไปอย่างเฉียดฉิว



เธอคนนี้ มีชื่อว่า "พ.ต.หญิง ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ" เธอมีอาชีพเป็น "ทหาร" ประจำกองทัพอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นนักบินร่วม การขับเครื่องบินเฮลิปคอปเตอร์แบล็คฮอคลาดตระเวณทั่วน่านฟ้ากรุงแบกแดดเมื่อช่วง 3-5 ปีก่อน เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ เพราะนั่นคือ..หน้าที่งานประจำวัน

เมื่อหลายปีก่อน ลัดดาคนนี้ ถูกกองทัพสหรัฐฯ ส่งตัวไปร่วมรบในสมรภูมืเดือด ประเทศอิรัก โดยเธอประจำการอยู่ในกรุงแบกแดด  อาหารประจำวันของเธอ ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย ที่คุณแม่ละไม  สมพรไพลิน คุณแม่ของเธอบรรจงจัดเตรียมใส่กระป๋อง และหีบห่อ ส่งไปให้เธอที่แบกแดดเสมอ ๆ



เพียงแต่วินาทีนั้น เธอยังไม่รู้ว่าขาทั้ง 2 ขาดหายไปแล้ว  เนื่องเพราะชา-หนึ่ง แล้วเพราะความเป็นห่วงชีวิตของลูกน้องทุกคนที่อยู่บนเครื่องบินลำเดียวกัน ซึ่งมีทั้งหมด 4 คน รวมตัวเธอด้วย

เธอ และเพื่อนนักบินกัดฟันตั้งสติ พยายามประคับประคองเอาเครื่องลงจอดได้สำเร็จ โดยมีเฮลิปคอปเตอร์แบล็คฮอร์คอีกลำที่บินประกบตามหลังมา และคอยยิงต่อสู้อารักขาให้ จนกระทั่ง ลัดดานำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัย  รอดชีวิตมาได้อย่างเหลือเชื่อ !

"วินาทีนั้น คิดแต่เพียงว่า ต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จอย่างเดียว คือ จะต้องนำเครื่องลงจอดให้ได้ และขอให้ทุกคนในเครื่องปลอดภัย"  ลัดดากล่าว พร้อมทั้งหยิบสร้อยในคอออกมาโชว์ ซึ่งเป็นสร้อยสำหรับคล้องพระเครื่องที่คุณแม่ของเธอมอบให้ไว้ติดตัวก่อนออกไปรบในสมรภูมิอิรัก

"คุณแม่ให้เหรียญ ลป.แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ คล้องติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา  ยังนึกว่า ถ้าไม่มีท่าน ลัดดาอาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้แล้วก็ได้  แต่คุณแม่ แรก ๆ ก็บ่นน้อยใจ และก็โมโหท่าน ว่า ทำไมไม่ช่วยลูกลัดดาเลย" เธอเล่าให้ฟัง พร้อมเสียงหัวเราะอารมณ์ดี  



ตัดกลับไปทีวินาทีสยองขวัญ บนน่านฟ้ากรุงแบกแดด หลังจากเฮลิปคอปเตอร์ฯทื่คุณลัดดาขับถูกยิง กระทั่งเธอตั้งสติกัดฟันฝ่าวิกฤตนำเครื่องลงจอดได้สำเร็จ  เท่านี้นแหละครับ ลัดดาก็เป็นลมฟุบ หมดสติไปในทันทีทันใด เนื่องจาก เธอสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก จากขาที่ขาดจากร่างไปทั้ง 2 ข้างนั่นเองครับ

ลัดดามาฟื้น รู้สึกตัวอีกที ก็เมื่อ 11 วันผ่านไป  ถึงได้รู้ว่า..ขาทั้ง 2 ข้างของเธอขาดหายไปแล้ว แต่ก็คิดว่า ยังดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ และได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในวินาทีสยองนั้น โดยที่ทุกคนปลอดภัย ยกเว้นตัวเธอที่ต้องเสียขาไป 2 ข้าง และแขนข้างขวา ซึ่งเนื้อ และกระดูกแหลกเละเกือบทั้งแถบ   คณะแพทย์ในโรงพยาบาลที่ชิคาโก้ ผ่าตัดตกแต่งแผล ทั้งที่ขาทั้ง 2 ข้าง และแขนขวาของเธอ ซึ่งต้องตัดเนื้อจากตรงท้อง มาปะเอาไว้แทนเนื้อจริงที่หายไปจากแรงจรวดที่เธอโดนยิงถล่ม

เธอนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 6 เดือน ก่อนจะกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน แล้วก็ไปๆมาๆ ระหว่างบ้านกับ รพ. เป็นเวลาอีกหลายเดือนต่อมา กว่าร่างกายจะหรับสภาพได้ โดยเธอต้องใส่ขาเทียม เป็นเหล็ก ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไฮเธคทั้ง2 ข้าง สลับกับการใช้รถเข็นวีแชล์ เป็น "มนุษย์ล้อ" บ้าง ในบางเวลา



กระทั่ง เมื่อช่วงเดือน พย.2549 หลังจากเธอโดนยิงถล่มทางอากาศที่รัก เป็นเวลาประมาณ 2 ปี เธอฟื้นตัวได้เร็วมาก และก็เธอยังตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.ที่รัฐอินลินอยส์ เขต 6 ตามคำเชิญชวนของแกนนำพรรคเดโมแครต ซึ่ง 1 ในนั้น คือ "ฮิลลารี่ คลินตัน" อดีตสตรีหมายเลข 1 ของอเมริกา และว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปของ USA.

ลัดดาลงพื้นที่เดินสายหาเสียง พบปะพี่น้องประชาชนในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอเมริกัน มีคนเอเชียน้อยมาก แค่ไม่ถึง 5 % อีกทั้ง คู่แข่งของเธอ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม และคนของรีพับลิกัน ก็เป็น สส.ผูกขาดมายาวนานกว่า 30 ปี ศึกนี้ จึงเป็นศึกใหญ่ที่โหดหินมากสำหรับลัดดา หนักหนาสาหัสไม่แพ้สมรภูมิเดือดในอิรักเลยล่ะครับ

 แต่ลัดดาก็ไม่เคยย่อท้อ และไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา เธอเดินสายลงพื้นที่อย่างหนัก ด้วยขาเหล็กทั้ง 2 ข้าง สลับล้อรถเข็นวีลแชล์ ในบางโอกาส ซึ่งในทุกเมืองในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะต้องมีการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ทางลาดขึ้นลงฟุตบาททางเท้า ที่จอดรถ ห้องน้ำคนพิการ เอาไว้รองรับอย่างทั่วถึงเพียงพอ เพราะเป็น กม.ที่ทุกคน ทุกหน่วยงานจะต้องปฏิบัติตาม   ตรงนี้  ผมว่าเมืองไทยจะต้องนำมาทำบ้างให้ได้ โดยเร็วที่สุด  เพื่อที่คนพิการในเมืองไทยจะได้มีสิทธิเสรีภาพ มีโอกาส มีบทบาททัดเทียมคนปกติทั่วไปเหมือนในนานาอารยประเทศซะทีนะครับ



เพราะ "สิ่งอำนวยความสะดวก" ไม่ว่าจะเป็นทางลาด  ลิฟท์ ห้องน้ำ ที่จอดรถ ฯลฯ นั้น  เป็นเหมือน "ปัจจัยที่ 5" ในการดำเนินชีวิตของคนพิการ นอกเหนือจาก อาหาร เครือ่งนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค  

จะเปรียบเป็นเหมือน "อากาศบริสุทธิ์" ที่มนุษย์ททุกคนใช้หายใจ เพื่อมีชีวิตอยุ่ต่อไปได้ ก็ได้ครับ  เพราะถ้าไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก  คนพิการ ก็ออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ หรือถ้าออกไป ก็จะต้องตกเป็นภาระของคนอื่นอยู่ร่ำไป  ต้องมาคอยยก คอยแบก คอยหามอยู่ร่ำไป  นี่ไงครับ..ที่ผมพูดเสมอว่า..คนพิการ ไม่มี  ความพิการก็ไม่มีครับ จะมีก็แต่เพียงสภาพแวดล้อมที่ยังพิการ  และความคิดจิตใจของผู้มีอำนาจหน้าที่ (บางคน) ที่ยังพิการอยู่เท่านั้นล่ะครับ  ตรงนี้ล่ะครับ ที่เป็นสาเหตุ และเป็นที่มาของคำว่า "คนพิการ" และ "ความพิการ" ในสังคมไทยครับ



ตัดกลับไปที่การหาเสียงของคุณลัดดากันต่อครับ  ไม่ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคถั่งโถมขนาดไหน ไม่ว่าเธอจะถูกพรรคคู่แข่งกล่าวหาโจมตีเพียงใดก็ตาม เช่น โจมตีว่าเธอเป็นคนไทย เป็นคนเอเชีย ไม่ใช่คนอเมริกันแท้ อย่าไปลงคะแนนเลือกเธอ อย่างนี้ก็มี เป็นต้น (บางที การเมืองการหาเสียงในอเมริกัน ก็มีน้ำเน่า มีสาดโคลนใส่กันเหมือนการเมืองบ้านเราเนอะ)

แต่เธอก็เดินหน้าหาเสียงต่อไปไม่ย่อท้อ โดยชูประเด็นใหญ่เรื่องสิทธิโอกาสคนพิการ และสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมกันทั้งในสังคมการเมือง และด้านต่าง ๆ ในอเมริกา   นอกเหนือจากนโยบายด้านต่าง ๆ ที่เดโมแครตมีให้เป็นแนวทางหาเสียงอยู่แล้ว

ผลการนับคะแนนการเลือกต้งออกมา  ปรากฎว่า คุณลัดดาเกือบได้ครับ เธอแพ้ให้กับผู้สมัครเจ้าถิ่นอย่างรีพับลิกันไปอย่างเฉียดฉิว แค่ 2 พันคะแนน  จากคะแนนรวมที่เธอได้ทั้งหมดกว่า 1 แสนคะแนน  แม้ว่าจะแพ้ แต่ก็ถือเป็นการแจ้งเกิดในสนามการเมืองของหญิงเหล็กมนุษย์ล้อลูกครึ่งไทย-อเมริกันคนนี้ได้เป็นอย่างดีครับ



ผมถามคุณลัดดาว่า เลือกตั้งที่รัฐอิลลินอยส์สมัยหน้า อีกประมาณ 2 ปีจากนี้ไป เธอจะลงสมัครแข่งขันอีกหรือไม่ ? เธอตอบว่า ต้องขอปรึกษาสามีดูก่อน  อ้อ..ลืมบอกไป  สามีคุณลัดดา ก็เป็นทหารด้วยกันนะครับ และที่สำคัญ ตอนนี้ สามีของเธอ ซึ่งเป็นฝรั่งชาวอเมริกันจ๋า ก็ถูกส่งตัวไปร่วมรบในประเทศอิรักเช่นเดียวกับที่เธอเคยไปมาก่อน  ผมคิดในใจว่า ขอให้องค์พ่อจตุคามรามเทพช่วยคุ้มครองสามีของเธอด้วย...สาธุ

เรื่องการลงสู่สนามการเมืองในหรัฐอเมริกานั้น ผมเชียร์คุณลัดดาสุดใจขาดดิ้นเลยครับ  ผมบอกคุณลัดดาว่า ขอให้ลงสมัคร ส.ส.อีกเถอะครับ  จะได้เป็นปากเป็นเสียงให้กับคนพิการ และมนุษย์ล้อ ไม่เฉพาะในอเมริกา แต่เพื่อคนพิการทั่วโลก รวมถึงเมืองไทยด้วยครับ  เพราะคุณลัดดาเป็นสัญลักษณ์ของนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ และเป็นมนุษย์ล้อที่มีวิชาความรู้ความสามารถที่โดดเด่น ได้ดำรงสถานะตำแหน่งต่าง ๆ ก็ด้วยฝีมือจริง ๆ ครับ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย

ปัจจุบัน  คุณลัดดา ทำหน้าที่เป็น ผอ.องค์การทหารผ่านศึกในรัฐอิลลินอยส์ รัฐที่มีขนาดเล็กกว่าเมืองไทยเพียงเล็กน้อย  เธอทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของทหารผ่านศึกกว่า 1.2 ล้านคนในอิลลินอยส์ โดยมีงบประมาณแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท



ล่าสุด  คุณลัดดา เดินทางกลับมาเมืองไทย ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อกลางดึกวันศุกร์ที่ผ่านมา (๘ มิย.)  โดยคุณแม่ของเธอเดินทางมาถึงล่วงหน้าเมื่อสัปดาห์ก่อน  ซึ่งมี จนท.จากสถานฑูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย มาทำหน้าที่ดูแลต้อนรับเธออย่างเต็มที่

ในเย็นวันอังคารนี้ (๑๒ มิย.) ท่านฑูตราฟบอยส์ฯ (คนที่ไว้หนวดน่ารัก และพูดภาษาไทยเก่งๆนั่นล่ะครับ) จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณลัดดาอย่างเป็นทางการ ที่บ้านท่านฑูตฯ  ผมก็ได้รับเชิญไปร่วมงานด้วย และผมก็จะไม่พลาดงานนี้อย่างแน่นอนครับ

คุณลัดดา มีกำหนดการเดินทางไปบรรยายเรื่องสิทธิเสรีภาพ และงานที่เธอทำ ก็จะไปพูดให้กับบรรดานักศึกษา ปัญญาชนในหลายสถาบันการศึกษาฟัง ทั้งที่เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ และอีกหลายๆแห่ง

เธอจะอยู่เมืองไทยประมาณ 1 สัปดาห์  ก่อนจะบินกลับไปสหรัฐอเมริกา เพื่อทำงานในหน้าที่ของเธอต่อไป

หวังว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า เวทีการเมืองสหรัฐฯ จะมี ส.ส.หญิงมนุษย์ล้อ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน คนนี้  เข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคให้กับคนพิการทั่วโลก ผ่านสภาคองเกรส  สภาของประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ครับ...

ขอบคุณข้อมูลจาก  :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:x2dZ8zjYbQYJ:www.oknation.net/blog/krisana/2007/06/10/entry-1+%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B2+%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97&cd=4&hl=th&ct=clnk&gl=th
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #540 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2553, 22:12:33 »

Most Beautiful News Caster ... ผู้ประกาศข่าว...ที่สวยที่สุดในโลก

พี่พิกุล - วิทยา 14 ... ส่งมา



ผู้หญิงคนนี้ ถูกเรียกว่า " ผู้อ่านข่าวที่สวยที่สุดในโลก " เธอคนนี้ชื่อ * เมลิซ่าา เตอรีโอ  *( Melissa Theuriau ) อายุ 32ปี  เป็นผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์แอลซีไอ ของฝรั่งเศส  ที่เคยถูกส่ง Fw เมลเยอะที่สุดคนหนึ่ง โดยในอีเมลระบุว่าผู้อ่านข่าวที่สวยที่สุดในโลก



ก่อนหน้านี้  มีเรื่องแซวกันว่ารถยนต์บนท้องถนนในปารีสช่วงเช้าไม่ติดมาก  เพราะเวลาประมาณ 06.40 น.เป็นเวลาที่เมลิซ่านั่งอ่านข่าว  ทำให้หนุ่มๆ ชาวปารีเซียงพร้อมใจกันซดกาแฟในบ้าน ไม่ยอมออกไปไหน รอจนเธอประกาศ " ข่าวเช้า " จบ .. จึงออกจากบ้านตอนนั้นจะรีบร้อนก็ไม่เป็นไร  เพราะก่อนไปทำงาน ได้เห็นหน้าสาวงามชื่อเมลิซ่า ..เรียบร้อยแล้ว



เมลิซ่า เริ่มเป็นนักข่าวในปี 2003  ได้มาอ่านข่าวทีวีเริ่มจากข่าวพยากรณ์อากาศ  ท่องเที่ยว  จนในปี 2006เมลิซ่าได้ขยับมาอ่านเป็นผู้ประกาศข่าวช่วงหัวค่ำค่ะ  และมีช่วงสัมภาษณ์คน  ดังนั้นทำให้คนรู้จัก และจดทำเธอได้เป็นอย่างมาก



เมลิซ่ามีแฟนคลับที่โพสรูปของเธอ และวิดีโอคลิปการอ่านข่าวในยูทูป  ซึ่งแต่ละเทปของเธอมีผู้กดเข้าชมนับแสนๆครั้ง  และมีจำนวนคลิปเป็นร้อย



เมลิซ่าา เตอรีโอ ด้วย รูปร่างหน้าตา ความสวย ที่ดูจะสวยระดับนางงาม เวลาเธออ่านข่าวก็จะมีลักษณะดึงดูดบางอย่าง จากทั้งรูปปาก รูปคาง สีหน้าแววตา มัดใจคนดูทำให้หลายๆ คนส่งต่อ FW mail และลงความเห็นว่า เมลิซ่าเป็นผู้ประกาศข่าวที่สวยยย.. ที่สุดในโลก..  



และในปี 2006 หนังสือ The Daily Expressก็โหวตให้เมลิซ่าเป็นสุดยอดผู้ประกาศข่าวที่สวยที่สุดในโลกไปอีกตำแหน่งหนึ่งค่ะ



เมลิซ่า แต่งงานแล้วค่ะ และมีลูกชาย 1 คน  นอกจากนี้เธอยังรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการเป็นนักเขียนให้กับนิตยสารทีวีโซน เธอรวบรวมแรงกำลังกับผู้ประกาศข่าว และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ และข่าวโทรทัศน์ท่านอื่นๆ โดยรับหน้าที่เป็นผู้รณรงค์สนับสนุนการศึกษาแก่เด็กหญิง ให้กับองค์กรยูนิเซฟด้วยละค่ะ



เมลิซ่าา เตอรีโอ * ทั้งสวย  ทั้งเก่ง  ทั้งฉลาด *





      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #541 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2553, 00:31:01 »

พี่เจี๊ยบ ขอบคุณค่ะ
เฮ้อออ ... ปลื้มคุณลัดดา
ช่างมีโลกทัศน์ที่สว่างไสว
สดชื่นแก่คนที่ได้อ่าน ได้ฟัง
เข้มแข็งมากค่ะ น่าชมเชย
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #542 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2553, 13:26:11 »

เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับ NN ค่ะ


10 Ways Facebook Can Ruin Your Life

จาก  :  http://www.newsweek.com/blogs/the-human-condition/2010/07/20/10-ways-facebook-can-ruin-your-life.html?GT1=43002

This week Facebook will register its 500 millionth member. It's a milestone both significant and meaningless : yes, it's a reminder of just how big the social-media giant has become, but really—did we need reminding? That Facebook is a part of many Americans' daily lives is clear.  But how it's affecting those lives is still being examined. We know that Facebook can be good for your health, and that it can make everything from networking to sharing photos easier. But there's also a potentially sinister side, even aside from dubious privacy issues. Below, 10 ways that Facebook can do more harm than good.

1. You'll be reunited with your biological parents. This can be good news, but it's not always. Take Prince Sagala, who found her biological children on Facebook—children she alleges were kidnapped more than a decade ago by her ex-husband. The mom and kids are now reunited. The only problem: the kids grew up with their dad and don't want anything to do with the parent who now has custody. And in an even more horrifying story, Aimee Sword was sentenced to nine to 30 years in prison recently for sexually abusing her 15-year-old biological son, whom she tracked down on Facebook.

2. Your creditors can track you down. Creditors use Facebook as a way to both track the movements of debtors and keep their eyes on any potential assets that could be seized to cover those debts. At first, lenders may use Facebook to determine whether you're a worthy candidate for a loan. But should you come to owe a creditor money, the company can track you down and discover your assets by monitoring your Facebook feed.  

3. Your insurers can deny your claims. Remember the woman who was receiving workers' compensation for depression, only to be "outed" by Facebook pictures of her smiling? Her insurance benefits were cut off, with insurers saying that her photos showed she was ready to return to work. That's left attorneys who argue for disability benefits concerned. Many now advise against giving away too much on Facebook.

4. Your ex can use it against you in a divorce. Facebook is a popular tool for divorce attorneys, who comb pages of their clients' spouses for evidence of neglect, infidelity, or deception. (One study suggests that Facebook comes up in one out of five new divorce petitions). Mashable says a woman lost custody of her children after her ex proved she was spending time tending her crops on Farmville instead of spending quality time with her kids, while divorce lawyers have given multiple interviews extolling the site's virtues as a way to air damaging dirty laundry.

5. It could make you depressed. Researchers from Stony Brook University in New York found that teenage girls who spend the most time discussing their lives with friends were more likely to be depressed. Apparently, spending too much time dwelling on gossip and your problems can make you feel worse, not better. The researchers didn't study Facebook in particular, but they indicated that social-networking sites such as Facebook made it easier for people to be in constant contact with friends and perpetuate the unhealthy discussions.  

6. It can cost you a job. A British survey of employers found that half of those polled had turned down job candidates once something unsavory about that candidate surfaced on Facebook. (Examples include tales of drunkenness, photos of illegal activity, and bad grammar.) In the U.S., 20 percent of employers admit to scoping out the Facebook pages of potential job candidates, while 9 percent say they're going to start soon.

7. It can out you to your family.  Even if you're discreet on Facebook, your loose-lipped friends might not be and could post comments on your wall that betray your secrets. But there are also more insidious outings going on: MIT students designed an algorithm that successfully pinpointed gay users by analyzing how many of their friends were gay.

8. It can make it easier for your stalker or abusive partner to follow your movements. Let's be honest : if there weren't Facebook, abusers would find another trigger to set off their rage. But Facebook has made it easier for these people to keep tabs on their victims and respond to their movements, even after the victim has tried to sever ties. In one particularly sad case, a woman who changed her Facebook status to "single" was killed by her husband, from whom she had separated. After seeing her status, he broke into her home and stabbed her repeatedly.

9. You can be sued for libel. There are already several cases of libel suits over content posted on Facebook. In Britain, where libel is easier to prove than in the U.S., a businessman won £22,000 when a former classmate created a fake profile full of defamatory information. Stateside, an Ohio-area band sued a Facebook "hate group," and a Michigan towing company sued a student who created a Facebook page alleging that the company tows legally parked cars. (The company says those claims are false.) So far, the law appears to be on the poster's side. But it's still a hassle.

10. Your kids could be targeted by predators.  After a teenage girl in England was murdered by a sex offender who posed as a teenager on Facebook, the British version of the site added a "panic button" that allows teens to report any unwanted attention—including cyber-bullying—directly to the authorities. But the button is not yet on U.S. or other international versions of Facebook, and it's unclear whether the company plans to add it.

ถ้าผู้อ่านสนใจ  ก็สามารถคลิกอ่าน comment อีก 145 ความคิดเห็น ที่มาโต้แย้ง  เห็นด้วย  และ share ประสบการณ์ของตน ได้เพิ่มเติมอีกนะ ...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #543 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2553, 18:52:47 »

Sick of Social Network  :  ปัญหา " รัก " หลังคีย์บอร์ด

16.07.10  by Pakamon  Viradeja  จาก  :  http://www.chicministry.com/categories/Chic_Career_&_Relationship/love_ministry/index.php?art_id=3736

ปัจจุบันโลกเราที่ดูเหมือนอะไรๆ ก็ง่ายขึ้นมากกว่าแต่ก่อน  สะดวกสบายไปซะทุกเรื่อง  โดยเฉพาะการทำความรู้จักกับคนหน้าใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป  จากที่เคยขอเบอร์บ้าน หรือฝากข้อความทางเพจจอร์  รอกว่าจะได้คุย หรือเจอกันที  ช่างนานแสนนาน  แถมยังยากเย็นแสนเข็ญอีกตั้งหาก

เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไปค่ะ  เพียงอยู่บ้านเปิดคอมพ์. ต่อเข้าอินเตอร์เน็ต  แค่นี้ก็สามารถหาแฟนกันได้แล้วววว !  ง่ายๆ  แค่เป็นสามาชิกจากพวก Social Network ทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Hi5, Twitter, MySpace, Friendster และอื่นๆ อีกมากมาย  แค่นี้ก็เป็นอันเกิดปลื้มกันได้  บรรดาคู่รักทั้งหลายรับรองว่าหากใครได้เล่นพวกนี้  เป็นต้องมีปัญหากันทุกคู่ชัวร์


เหตุการณ์ที่เรานั่งอยู่บ้าน  เล่นเน็ตไปเรื่อยๆ  อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากกดเข้าไปดูหน้าเพจของแฟนตัวเอง  แต่เมื่อเห็นเป็นต้องตกใจ  เพราะบรรดาหญิงนิรนามเข้ามาเขียนข้อความเรียงกันเป็นตับ  บ้างก็ “ ขอบคุณที่รับแอดค่ะ ”  “ ทานข้าวรึยังคะ ”  “ฝันดีนะคะ ”  หรือว่าจะเป็น “ ไม่ได้คุยกันตั้งนานเป็นยังไงบ้าง  คิดถึงๆ ”  มากขึ้นก็เป็น “ คืนนี้ไปเที่ยวไหนไหมเอ่ย ?  ถ้าไปบอกกันบ้างนะ  อยากไปด้วย ”  แบบนี้ก็มีนะ !

ได้เห็นแบบนี้แฟนสาวอย่างเราๆ  เป็นได้ใจหายใจคว่ำกันทุกราย  เกิดอาการ งงว่ าอะไรเนี้ยยย … เธอเป็นใคร  ทำไมมาเขียนแบบนี้ เหมือนจะรู้จักมักจี่กันมาก่อน  หรือจะเป็นกุ๊กกิ๊กของคุณผู้ชาย  หรือพวกเขาเคยไปเจอกันมาก่อนแล้ว  โอ้ย ย ย ย ย ย ย ย …. เครียดสุดพลังรีบคว้าโทรศัพท์กดเบอร์แฟน  แล้วถามกันไปให้รู้แล้วรู้รอดว่า  คุณนางชะนีคนนี้เป็นใครกันยะ ?

เชื่อมั้ยค่ะว่า  คำตอบที่ได้รับจากพ่อหนุ่มของเราเหมือนจะเป็นแพทเทิร์นที่ดูคล้ายกันไปหมดทุกคู่  รับรองว่าเขาคนนั้นต้องทำเสียงงงๆ  ก่อนเอ่ยว่า อะไร  ใคร  ตอนไหน  ไม่รู้ !  ต่อมาอีกขั้นจะเป็นประโยคที่ว่า “ อ้ออ … เขามาขอแอด  ก็รับแอดไปงั้นแหล่ะ  ไม่รู้จัก  ไม่ได้คุยเลย ”  ไอ้เราก็นั่ง งง ไปซิว่า  ไม่รู้จักแล้วจะมาคุยอะไรขนาดนี้  เมื่อถามต่อ  คำตอบที่ได้คือ  ก็ผู้หญิงพิมพ์มาเอง  ผมไม่รู้เรื่อง  เป็นแบบนั้นไป  แต่สำหรับบางคน  ดูจะยังไม่จบอยู่แค่นั้น  เราสาวรักแฟนมีต้องได้กดเข้าไปดูหน้าเพจของคุณผู้หญิงนิรนามกันบ้าง  บางคนก็ดูไม่ได้เ  พราะไม่อนุญาติให้คนที่ไม่ใช่เพื่อนเข้าก็มี  แต่สำหรับบางคนที่ดูได้ก็เอากันใหญ่  เช็คมันซะหมดทุกอย่าง  รูปทุกรูป  เพื่อนเป็นใคร  ข้อความจากเพื่อนนู่น นี่ นั่น  บลาๆ ๆ  และที่สำคัญจะแอบสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่า  มีแฟนเราเข้าไปเขียนไรไว้บ้างมั้ย

ถือว่าโชคดีของหญิงบางคนที่คำตอบจากพ่อหนุ่มกับสิ่งที่เห็นไม่มีอะไรขัดแย้ง  เพราะแฟนไม่มีการเขียนข้อความตอบกลับจริงๆ อย่างที่พูดไว้  แบบนี้ก็สบายใจขึ้นไปหนึ่งเปราะ  แต่สำหรับบางคนที่เมื่อเข้าไปดูแล้วเป็นต้องใจสั่น  เมื่อเห็นรูปหน้าแฟนตัวเองเข้าไปเขียนข้อความไว้ต่างๆ นาๆ  แบบนี้เป็นได้เศร้าโศกทั่วหน้า

เมื่อไม่มีซึ่งความไว้ใจ  เราจะอยู่อย่างมีความสุขได้เช่นไร  มีเวลาเป็นได้ต้องเข้าไปเช็คๆ ดูๆ ของแฟนหนุ่ม และคุณเธอคนนั้นตลอดเวลา  บางคนถึงขนาดนั่ง Refresh หน้าเพจกันเลยก็มี  แหม ม ม ม ม … ก็ดูเธอซิคะ  แค่รูปยังขนาดนั้นแล้วของจริงจะขนาดไหน  ต่างก็คิดกันไปคนละทาง  กลัวจะถูกนอกใจเป็นที่สุด

เรื่องราวแบบนี้เหมือนจะทำให้ความสุขของชีวิตคู่ขาดหายไปมากกว่าครึ่ง  แทนที่อยู่บ้านแล้วจะสบายใจ  เดี่ยวนี้ไม่มี  บางคนรู้สึกหนักใจมากกว่าออกไปข้างนอกซะอีก  เพราะต้องคอยมานั่งเพ่งดูหน้าคอมพ์. ว่าจะมีอะไรอีกมั้ย  เป็นแบบนี้ทุกครั้งไป

ใครกำลังประสบณ์สถานการณ์แบบนี้อยู่บ้าง … ถ้ารู้ตัวแล้วว่าเป็นเรา  ขอให้รีบเตือนตัวเองด่วนเลยนะคะว่า  ชีวิตคู่ถ้าจะอยู่ด้วยกันได้ต้องมีความไว้ใจมาเป็นอันดับแรก  หากใครหมดซึ่งความเชื่อในตัวของฝ่ายตรงข้ามแล้วละก็  ไม่นานหรอกค่ะ  เป็นได้เดินกันคนละทางอย่างแน่นอน


 
คุณคะ  ลองถามตัวเองซิว่า  เวลาที่เราใช้เอามานั่งจับผิด  ดูนู่น ดูนี่ มันนานแค่ไหนแล้ว  ก่อนหน้านี้เราสามารถใช้ชีวิตรักของเรากันแบบสบายๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร  แต่เดี๋ยวถ้ามีเวลาว่างแทนที่จะได้นั่งทำอะไรที่เป็นสุข  กลับต้องทำในสิ่งที่รู้สึกเศร้าหมองตลอดเวลา  ChicMinistry ขอแนะนำให้คุณเอาเวลาเหล่านี้ไปสร้างความสุขให้กับชีวิตแบบเก๋ๆ เปรี้ยวๆ ตามปะะสาสาวสวยยุคใหม่จะดีกว่า  เพื่อสร้างให้โลกของคุณให้น่าอยู่มากขึ้น  จะทำงาน  อ่านหนังสือคลายเครียด  ก็แล้วแต่ความชอบใจ

เชื่อเถอะค่ะว่า  คนเราถ้าเป็นคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน  แต่ถ้าไม่ใช่จะให้นั่งทำเล็บเสริมสวยอยู่ดีๆ  เดี๋ยวก็มีเหตุให้ต้องแยกทางกันเอง  ไม่ต้องไปค่อยนั่งจับผิด  จ้องมองอะไรทั้งนั้น  เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเป็นดีที่สุด  ความลับไม่มีในโลกค่ะคุณ  ถ้าแฟนหนุ่มตัวดีเขาคิดจะมีใครจริงๆ แล้วล่ะก็  ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวได้รู้เอง
 
เรื่องแบบนี้ประสบการณ์ตรงที่เคยโดนมาแล้วทั้งนั้น  เรื่องบางเรื่องเอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี  แต่ถ้าถึงขนาดที่ต้องหลับหูหลับตาเหมือนหลอกตัวเองทั้งที่รู้ทั้งรู้แบบนั้นซิ ไม่ดีแน่นอน !
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #544 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553, 20:33:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 22 มิถุนายน 2553, 23:21:28
สุดยอดสระว่ายน้ำ จากทั่วโลก

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

super swimming pool around the world



โรงแรม : Park Hyatt Tokyo

ความพิเศษ : สระว่ายน้ำบนชั้นที่ 47 ที่พื้นจรดเพดานเป็นหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองโตเกียว และอาจเห็นไปถึงภูเขาไปฟูจิ  เหล็กและกระจกทรงปิรามิดที่ทำให้สระดูเหมือนลอยอยู่ท่ามกลางแสงธรรมชาติ  ความยาว 65 ฟุต 4 เลน ที่ดูเหมือนจะเลื่อนได้ในเวลากลางคืนเมื่อตึกสูงต่างๆ เปิดไฟ

พี่เจี๊ยบขราาาา ... ประมาณ 2 ปีก่อน  ไปญี่ปุ่นค่ะ  พักที่ Hyatt Tokyo ค่ะ  ไปช่วง ธ.ค. ค่ะ  เฉยมาก ไม่รู้ว่าที่นี่สระสวยมาก  คิดว่าอากาศหนาว เลยไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำค่ะ  กลับมารู้สึกเสียดายจังค่ะ ( พี่อ้อไปดูงานกะ n.e.c ค่ะ )
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #545 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553, 23:27:25 »

น้องอ้อย ... เป็นบุญตานะ ที่ได้ไปเห็น 1 ใน " สุดยอดสระว่ายน้ำระดับโลก " มาแล้ว  ยามค่ำคืนสระนี้คงจะสวยมาก  เพราะแสงสีที่ออกแบบไว้  ตอนกลางวันก็คงจะสวยไปอีกแบบ  เพราะมองเห็นท้องฟ้า  เหมือนเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง  ทั้งๆ ที่อยู่ในอาคาร

สถาปนิกชาวญี่ปุ่นหลายๆ คน มีชื่อชื่อเสียงระดับปรมาจารย์ทางด้านการออกแบบ  นิสิตนักศึกษาคณะสถาปัตย์  เรียนทฤษฏีแล้วก็มักจะอยากไปดูผลงานการออกแบบของจริงๆ ให้เห็นกะตา ที่ญี่ปุ่นอ่ะค่ะ
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #546 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2553, 23:23:57 »

15 Websites that Changed the Internet ! ! !

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

There are millions of websites out there. Many of them are unique, either in small ways or in large ones. But the individual impact of any particular site on the overall Internet is generally negligible, if there’s any impact at all.

Not so with the fifteen sites here. These sites changed the Internet, mostly for good, in substantial ways. Included here is everything from Geocities ( which could probably be blamed entirely, either directly or indirectly, for every ugly web design “ trend ” that’s ever been ) to Wikipedia ( which has made information almost universally accessible ) to Google ( which has changed or influenced virtually everything online ).

1. Wikipedia
Changed the way we find information. Before Wikipedia, most online encyclopedias were either sorely lacking in information, or required you to have a paid subscription to access their content. Wikipedia changed all that by not only allowing anyone to view the content for free, but also by allowing individual users to review and update content, making it more complete and accurate overall. Wikipedia also brought crowdsourcing and user-generated content to the mainstream online, making both much more viable and valuable.

2. Amazon.com
Changed the way we shop. Prior to Amazon.com, online shopping wasn’t much different than shopping out of a mail-order catalog, except it wasn’t nearly as popular. While Amazon started out selling just books and related items, it has expanded to sell virtually anything you can think of, either directly or through partner sites large and small. Amazon also made free shipping a standard on orders over a certain dollar value, which has impacted the shipping rates and policies of many other online retailers.

3. Hotmail
Changed the way we use email. Before Hotmail came along, email was basically tethered to a single computer. When you checked your email, it was pulled and deleted from the remote server, meaning the only place you could view it was at your computer. Need an email at home that you received at work? Too bad. There was no way to access it unless you went back to the office. Hotmail changed all that by providing webmail that could be accessed from any computer with an Internet connection. Now, web-based email is widely used and provided by a huge variety of providers. Even though Hotmail is no longer the primary provider of webmail ( and is now owned by Microsoft ), they were still pioneers in the technology.

4. Facebook
Changed the way friends connected. While Facebook wasn’t the first social network, it has definitely become the most popular and has really changed the way friends interact with one another. Sure, people use FB to talk online, but they’re also increasingly using it as a way to plan get-togethers offline. They’re using it to follow and interact with their favorite bands, actors, and other personalities. People use it to keep in touch with business contacts, friends, family, and acquaintances. Facebook has made social networking mainstream, across a variety of demographics and virtually worldwide.

5. Project Gutenberg
Changed the way we read. Project Gutenberg has a much longer history than most people realize. They created the first ebooks, and gave them away for free. You can now read virtually every major book in the public domain, sometimes in multiple languages on their site. Without the pioneering steps the founders of Project Gutenberg took, ebooks would not be where they are today.

6. Twitter
Changed the way we communicate. Twitter has made one of the biggest impacts on the Internet in recent memory. The idea that 140-character messages, broadcast publicly ( for the most part ), would change the way people communicate with one another would have been hard to believe ten years ago. But Twitter has become not just a powerhouse in the way individual communicate with one another, but also in the way businesses communicate with their customers. Complaining about poor customer service on Twitter can often result in almost instant messages from the company in question, and often results in a satisfactory resolution. Twitter has also made celebrities more accessible, with hundreds of celebs now using the service to interact with their fans.

7. Pandora
Changed the way we find new music. Before Pandora, if you wanted to listen to music online, you usually turned to a streaming radio station with pre-programmed content. Sure, you might get lucky and find a station that had mostly music you liked, but maybe it wasn’t diverse enough, or it still kept playing that one song you HATED. Pandora changed all that. Now, you can program your own radio station by just entering the name or a song or artist and then giving the thumbs up or down to music played. With a minimal amount of user input, Pandora has gotten surprisingly good at creating playlists that reflect one’s musical taste. The bonus is that songs or artists you might not have heard of are often thrown into the mix, based on what you already like.

8. Apple
Made minimalist web design cool. Apple had one of the first corporate websites designed with a minimalist aesthetic. As far back as the late 90s, Apple was starting to show a more minimalist take on web design than many other corporate sites, and by early 2000, they’d adopted the white and gray color scheme and top navigation they still employ today.

9. YouTube
Changed entertainment. Before YouTube, there weren’t many options if you wanted to watch a video online. You could sometimes find a video here or there, but with bandwidth costs, they were few and far between. Website owners just didn’t want to pay the extra costs associated with video content. Then YouTube came along and made it free to post any video you wanted ( as long as it wasn’t copyrighted or over ten minutes long ). Web users now had a centralized place to go to watch video online. And because of YouTube’s pioneering effort, online video is now enjoyed by millions every day.

10. Craigslist
Changed classifieds. Online classified sites used to be nearly unusable. Between the huge number of spam postings and the fact there were few if any local listings in most areas, there wasn’t much point in using them. But then Craigslist caught on and suddenly there was an online classifieds site that rivaled most local newspaper classifieds. Now you can use Craigslist to find almost anything, no matter where you live.

11. The Drudge Report
Changed the stature of online news. When the Monica Lewinsky/President Clinton story broke in 1998, it wasn’t a mainstream news source that first reported it. Instead, The Drudge Report held those honors, forever changing the standing of online news sources. Now, online news sources break stories on a regular basis, and are considered by most to be just as reliable as television or print news sources.

12. GeoCities
Made the web more accessible. In the early days of the Internet, the only people online ( for the most part ) were scientists, academics, and those involved in technology. It wasn’t a very exciting place. Then came GeoCities, and suddenly anyone could set up their own webpage for free. Sure, GeoCities spawned a legion of horrifically ugly websites, but it also got a lot of regular people involved in the Internet for the first time and was likely the first design experience of many early web designers.

13. Digg
Changed the way we find and share news. Digg was originally set up as an experiment, but it has completely changed the way many people find news online. The idea of users determining which news was important, relevant, and interesting rather than editors or executives at big news organizations was revolutionary. Now, user-generated news sites are all over the place, both for mainstream news and for individual industries and niches.

14. LiveJournal
Hooked millions on blogging. Blogging wasn’t invented by LiveJournal, but they were the first site to offer free blogs to their members. Millions now use LiveJournal, and tens of millions more blog elsewhere, either through other blog hosts or on their own websites. If it weren’t for LiveJournal and similar free blogs hosts that came later, blogging might not have caught on as the global phenomenon it has become.

15. Google
Changed everything. This one might seem a bit dramatic, but it really is true. Google has invaded virtually every aspect of the Internet. No matter what you do online, you probably interact with one Google service or another multiple times every day. And most people use at least one Google product or service one a regular basis personally. Whether it’s a Blogger blog, a Picasa photo album, a Google search, or even a YouTube video ( or any of the dozens of other services Google owns ), Google-controlled sites are everywhere.


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #547 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553, 03:25:02 »

' World's oldest Twitter user ' Ivy Bean dies at 104

by Helen A.S. Popkin

จาก  :  http://www.msnbc.msn.com/id/38450442?gt1=43001

With more than 57,000 followers, Bean's oft-described 'cheeky' tweets were the most delightful

Ivy Bean met pop star Peter Andre through Twitter, after confessing she was a fan of his music.   ... ( คนโพสต์ซึ้งจังเลย ! ) ...

Ivy Bean, the Internet-famous centenarian heralded as world's oldest Twitter user, passed away last night at her retirement home in Branford England. She was 104.

" Ivy passed away peacefully at 12.08 this morning, " Pat Wright, manager of the care home wrote via Bean's Twitter account, @IvyBean104. " I'm sorry it took me so long to tell you but it was a very difficult thing to do "

Charming netizens with her upbeat posts about life in the retirement home, Bean moved to Twitter from Facebook in 2008, soon after she reached Facebook's 5,000-friend limit. Fitting right in with the Twitterverse, Bean was typically casual on caps and punctuation.

" I was on facebook before twitter but i find this easier, i have 25'000 friend requests but have reached my limit of friends, " she responded to one follower in March 2009. Bean linked the two social networks so her updates on Twitter also posted to her Facebook account.


" Hello everyone, are you enjoying the sunshine today?" was the cheerful type of tweet Bean often posted at the start of her Twitter day. One or two posts would follow throughout. Bean might interact with one or two of her more than 57,000 followers — wishing one well or thanking another for his or her kind words. And like any proud great-grandparent, she'd occasionally post a picture of her family.

It was Bean's oft-described " cheeky " tweets that were most delightful – winning her the following of U.S. stars such as Ashton Kutcher and UK celebrities, including one of her favorite pop stars, Peter Andre, whom she eventually met.

Tweeting about how the retirement home staff urged residents to stay hydrated in the hot weather, " if the staff make me drink any more i will be floating, " she posted in May. It was soon followed with a report about how residents were being served juice, but " some have had a drink of lager while sat in the garden. "

Bean, a former mill worker, was one of eight children, reports the UK Daily Mirror. She was born in 1905, seven years before widespread telephone service, when the telegram was the speediest way to communicate.


Bean married Harold Gibson Bean in 1945, and gave birth to her only child, Sandra in 1947. According to the Daily Mirror, the couple worked " in service " to Lord and Lady Guiness at Greens Norton Hall in Northampton until they both retired when Ivy was 73 and Harold, 75. Her husband died soon after, and Ivy never remarried.

The last tweet written by Bean appeared on July 6, when she posted " going to have my lunch now will be back later." It's followed on July 12 by a post from care manager Wright, letting Bean's followers know that she had taken ill. Regular posts on Bean's failing condition continued over the weeks until last night, when Wright let Bean's loyal following know that she had passed. There is no word yet on what will become of Bean's Twitter account.

Among the many mourners noting Bean's death on Twitter, Sarah Brown, wife of former Prime Minister Gordon Brown, tweeted today: " Sad to hear the news of Ivy Bean's passing. A great spirit and sense of humor; highly respected senior ambassador for Twitter. "

The microblogging service also noted Bean's passing on it's official Twitter feed: " RIP to the delightful Ivy Bean. Thank you, @ ivybean104, for making Twitter a better place in your 104th year. "


      บันทึกการเข้า
ภาณุ ปาตานี
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,254

« ตอบ #548 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2553, 22:48:34 »

สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ

ดูนิสัยคน จากเดือนเกิด

พี่ชรินทร์ - รัฐ 07 ... ส่งมา

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พฤศจิกายน
  
*ความคิดล้านแปดเต็มหัว ยากที่จะเข้าถึง คิดการณ์ล้ำหน้า                     
   ตอนนี้ปรับเป็นล้านเก้าแล้วครับ

* โดดเด่นหัวไว ใส่ใจและชอบให้คำแนะนำ
* อยากรู้อยากเห็น                                                
     คนละอย่างกับสอดรู้สอดเห็นใช่ไหมครับ  บ่ฮู้บ่หัน

* รู้จักวิธีตะล่อมคุ้ยความลับ
* ชอบคิดอยู่ตลอดเวลา
* พูดน้อยแต่อัธยาศัยดี
  แถมน่ารักอีกต่างหาก..เหอๆๆๆ  หลั่นล้า

* กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อ
* อดทน หัวรั้น ใจแข็ง ถือคติ ตราบใดที่ยังมีความหวัง ตราบนั้นก็ยังมีหนทางเสมอ
* มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
* โกรธยากมากถ้าไม่ถูกยั่วจนถึงขั้นจริงๆ    
     เด็กมันยั่ว..ยังไม่หลวมตัวเลยครับ
* ชอบอยู่คนเดียว
* มีแรงจูงใจในตัวเอง โดยไม่สนใจการยอมรับนับถือจากคนอื่น
* มั่นคง เด็ดเดี่ยว
* รักใครรักจริง
* เจ้าอารมณ์
* โรแมนติก แต่ไม่ค่อยสนใจสัมพันธ์จริงจังนัก
* รักบ้าน
* ทำงานหนัก
* มีความสามารถสูง    
       ไม่สามารถที่จะ...สูง..กว่านี้แล้วครับ  เหอๆๆ
* ไว้ใจได้
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #549 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2553, 08:08:53 »

YA เกิดเดือนพฤศจิกายน เหรอครับ ? ... แล้ว " คนราศรีพิจิก " ที่แซวหมอดูอยู่เนี่ย  คิดว่าคำทำนายนี้แม่นซักกี่เปอร์เซ็นต์คะ ?
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><