25 พฤศจิกายน 2567, 20:48:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม  (อ่าน 582723 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #500 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2553, 13:23:16 »

เรื่องนี้น่าจะเหมาะกับ" รู้ไว้ใช่ว่าฯ "  คงไม่มีในบ้านเรามั้ง
http://hilight.kapook.com/view/48374
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #501 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2553, 11:58:31 »

จ้า น้องเริง ... เรื่องนี้เป็นข่าวที่เมืองนอก  ก็ตรงตามทฤษฎีที่ว่าด้วย " เรื่องที่ควรเป็นข่าว "  เพราะเป็นเรื่องของคุณยายวัย 72 มีลูกกับคุณหลานชายวัย 26  แต่ถ้าเรื่องกลับกัน  เป็นคุณตาวัย 72 มีลูกกับคุณหลานสาววัย 26 ก็คงจะไม่เป็นข่าว อ่ะนะ  พี่ว่า ...

ชิสุ เทรนด์เกาหลีกำลังมาแรง

นายสัตวแพทย์ สากล 16 ... ส่งมา















      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #502 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2553, 18:58:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 06 พฤษภาคม 2553, 20:59:17
... " โอ้ !  เมืองไทย  อยู่ตรงไหน  เหมือนใกล้วิมาน ... "  คนสแกนดิเนียเวียก็เลยต้องแห่กันมาซื้อบ้านชายหาดที่เมืองไทย ไว้หนีหนาว เหมือนนกคุณแอ่นจากไซบีเรีย ...

NN ... heater เนี่ยเหรอ  ภาษาเยอรมันว่า Fußbodenheizung  ทำไมถึงยาวเหยียดตั้ง 5 พยางค์  มิต้องออกเสียงกันเหนื่อยแย่เรอะ ?  ว่าไงนะ ? ฟัส-โบ-เดน-ไฮ-ซุง  รึเปล่า ? ... สลบกันพอดี


พี่เจี๊ยบขา,
เค้ากำลังถกกันเรื่องEuro crisis
ที่ประเทศยุโรปใต้:กรีส-ปอร์ตุเกส-สเปน
กำลังประสบขณะนี้...กู้มาก-เก็บน้อย
กำลังจะพากันล้มละลาย...ใครๆก็ว่าประเทศ
แข็งแรงไม่ช่วย...พี่ต้องได้ฟังการวิเคราะห์ค่ะ
อร่อยเหาะ!!คนที่มาพูดเค้าว่าประชาชนคนเดินถนน
ในเยอรมันเก็บกัน ประหยัดกันมาตั้งนมนานก่อน
จะเปลี่ยนค่าเงินด้วยซํ้า...พอเป็นยูโร เฮฮาเพราะกู้ดอกตํ่า
อยู่กินไม่ระวัง...เฮ้วๆกันจนลืมว่าพื้นฐานที่สำคัญคือการเก็บ
ถึงจุดนึงขาดเงินมาหมุนเวียน...มีเหรอผ้าขี้ริ้วเค้าจะอือออ
พอนายกเยอรมันออกมาติงก็ไปว่าว่าsheขี้เหนียว....ก็เอ๋า
เงินไม่ไช่จะได้มาจากถูกlottoนี้จ้ะ...


Fußbodenheizungอ่าน ฟู้ส-โบเด็น-ไฮซุงค่ะ
3 คำคะพี่..มียาวกว่านี้แยะคะ...ฝึกสมาส-สนธิ
กันตลอดคะ
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #503 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2553, 00:43:43 »


จ้า หนุงหนิง ... พี่ก็อยากฟัง Euro crisis ฉบับสมบูรณ์ด้วย  ถ้าหนิงมีโอกาส  ก็วิเคราะห์มาฝากกันเป็นภาษาไทย เพิ่มเติมให้ด้วยนาจ๊ะ ... เรามาดูของสวย ของงาม ให้สบายลูกกะตากันหน่อยดีกว่า ...


" ผู้ชาย " ที่สวยที่สุดในโลก โยมีคิม ฮันเตอร์‏

ลัลลนา - ครุ 16 ... ส่งมา










      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #504 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2553, 23:00:13 »

เด็กหนุ่มอายุ 20 ปี ผู้ก่อตั้ง facebook.com‏

เศรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

ความเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ทั่วไป ปรากฏให้เห็นตั้งแต่วัยหนุ่มด้วยอายุเพียง ๒๐ ปี เท่านั้น  เขาสร้างเนื้อสร้างตัว รวยเร็วที่สุด เท่าที่นิตยสาร Forbes เคยทำการสำรวจมาในหมู่ผู้ที่สร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง ! !

ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท  ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้งของตนเอง โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๖ ปี เท่านั้นเอง ! !

หนุ่มผู้ที่กล่าวถึงนี้ คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ! !   ผู้สร้าง Facebook.com ให้โลกได้รู้จัก และเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้กันมากที่สุดในโลกขณะนี้


มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook.com

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ( Mark Elliot Zuckerberg ) มีเชื้อสายยิว - อเมริกัน  เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗  ปัจจุบันอายุ ๒๖ ปี  ( คนเก่งระดับโลก  เช่น ไอน์สไตน์, ฟอน บราวน์ เป็นต้น มักมีเชื้อสายยิว - ผู้เขียน )  เติบโตในย่าน Dobbs Ferry นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา  เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลายที่ Phillips Exeter Academy ในปี ๒๕๔๕

สมัยเรียนไฮสกูล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ตั้งแต่อยู่ชั้น ป. ๖  เขากับเพื่อนสร้างโปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต ( คนเก่ง ๆ มักเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก  ตรงกันข้ามกับเด็กไทยบางคน  สนใจแต่เล่นเกมส์  และมีแนวโน้มจะมากขึ้น - ผู้เขียน )

ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด  หยุดเรียนไปกลางคัน  และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙  ที่ฮาร์เวิร์ด  ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัย หรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้

โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษา ม. ฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย   แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง  มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก  ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้  และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเอง  ในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗  บางแหล่งข่าวระบุว่าซัคเกอร์เบอร์เขียนโปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์  คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูป หรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น  แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ


Dustin Moskovitz เืพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook.com กับ Mark Zuckerberg

แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด  นักศึกษาราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมาซัคเกอร์เบิร์ก และเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังมหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล  โดยราว ๔ เดือนสถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง  เมื่ออะไรก็ไปได้สวย  ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz และกลุ่มเพื่อน  ช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทันฤดูใบไม้ร่วง  แต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป  และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น

Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน แบบรวดเร็วทันใจ  และเข้าถึงทั้งข้อมูล  แฟ้มภาพถ่ายตอนไปเที่ยว  ภาพยนตร์ที่ชอบ  และประวัติส่วนตัวทั่วไป

ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง  ใช้ชื่อ Email เดียวกัน  และต้องการทำความรู้จักคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกัน  ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น

ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์  PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ  สำนักงาน Facebook แห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจากนั้นไม่กี่เดือน  ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto จำนวน ๔ อาคาร  ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า " urban campus " หรืออาณาจักรวิทยาลัย

Facebook เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗  โดยมาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่ ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง " ฮาร์วาร์ด " เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้างเครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัย  โดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและรูปภาพได้  จนได้รับความนิยมมากขึ้น  จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ  และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ  ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลกเข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน  เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า ๑๐๐,๐๐๐ รายต่อวัน

ลักษณะการทำงานของ Facebook

มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหา และถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที  ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ต่อไปได้  โดยใน Facebook จะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน  อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกันมา  พูดคุย  ติดต่อ  เมาท์  หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้  แต่ Facebook มีมากกว่านั้น  ความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริง และอีเมล์เดียวกันในการลงทะเบียน  และมีความต้องการที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลกใบนี้

นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอดเยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ " เด็กดี "  ขณะที่ My space เหมาะสำหรับ ขาร็อก  ฮิปฮอป  ศิลปิน  หรือคนทำงาน



ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่าสูงลิ่วถึง $ ๑.๖ พันล้าน  แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยากได้ Facebook มาไว้ในครอบครองด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม ๒.๖ พันล้านดอลล่าสหรัฐ  ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา  แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg แล้ว  ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า

จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาสูงกว่าที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว  ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ Youtube มาด้วยราคา $ ๑.๖๕ พันล้าน

ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์

บิลล์ เกตส์ ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย  เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์  เป็นนักลงทุนรายแรกที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้นเฟชบุ๊กเพียงแค่ ๑.๖ % เมื่อปลายปี ๒๕๕๐  ตั้งแต่เฟซบุ๊กให้บริการมาได้แค่ ๓ ปี  และมีผู้ใช้บริการเพียง ๕๐ ล้านคน  ขณะนั้นรายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้  โดยสามารถทำเงินได้เพียง ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน

ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไมโครซอฟท์คงกินยาผิดขนาน  ถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั้กแตนขนาดนั้น  แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทาง
ถูกว่า  เงินแค่ ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ  นั่นคือการแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล  จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook  โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ  และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว  ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง

ขายหุ้นให้กับ DST สัญชาติรัสเซีย

นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือ  ตกลงขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่สัญชาติรัสเซีย " ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์ " หรือ DST  เพื่อแลกกับการเจาะตลาด Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก  ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว

ดีลประวัติศาสตร์นี้  ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว  โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกเปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ ๑.๙๖ % ของหุ้น Facebook  ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่ารวม ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ  พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ดบริหาร และไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร  ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ Facebook ตลอดมา



ชีวิตส่วนตัว ของ Mark Zuckerberg

ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทอง และชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก  แต่ทุกวันนี้ CEO หนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม  เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ  และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด  ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต  ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง Facebook ใหม่ ๆ  ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก  โต๊ะทำงานตัวเดียวกับเก้าอี้สองตัว

ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี  ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษ กับช้อนพลาสติก  และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน  หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน ! ! !


เห็นไหมครับว่า  คนรวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่ม  โดยไม่โกงใคร  ใช้เวลาสร้างตัวด้วยสมองเพียง ๖ ปีเท่านั้นก็ยังมี  แถมยังใช้ชีวิตสมถะ  เช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่  และขี่จักรยาน  หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #505 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 00:34:11 »

มหาเศรษฐีไทยใจบุญ เปิดโรงพยาบาลรักษาตาฟรี

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

 Source : http://www.thaicareer.com/3_403_0.html

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2551 รายการเจาะใจ ได้เชิญ บุคคลที่น่าทึ่งท่านหนึ่งมาสัมภาษณ์

เค้าผู้นี้คือ คุณ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ
 
เรื่องย่อ .....

คุณธานินทร์ออกจากเรียนในมหาลัยขณะที่เรียนได้แค่ 9 หน่วยกิจ  มาทำธุรกิจติดต่อกับญี่ปุ่นครั้งแรก  ตอนนั้นไม่มีสตางค์ซักเท่าไหร่  เมื่อวันที่นักธุรกิจญี่ปุ่นคนแรกที่ดิวด้วยจะต้องกลับประเทศ  ก็ดันพลาดเที่ยวบิน  เค้าถูกขอตังค์ค่าเครื่องบินใบใหม่  แต่ไม่มีให้  จึงนำรถปิกอัพตนเองไปขาย  วันรุ่งขึ้นเค้าจึงนั่งแท๊กซี่ไปรับนักธุรกิจคนเดิมที่โรงแรม  เพื่อไปสนามบิน  พร้อมตั๋วเครื่องบินใบใหม่  นักธุรกิจญี่ปุ่นถึงกับพูดไม่ออกเมื่อทราบวิธีได้เงินมาซื้อตั๋วให้  แถมเค้ายังให้ตังค์ไปอีก 1 หมื่นบาทติดตัว  ตังค์ก็ไม่มี  แต่ช่วยคนอื่นแบบโคตรจริงใจ สุดตัว
 
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ภรรยาของนักธุรกิจญี่ปุ่นคนเดิม โทร.มาถามบัญชีธนาคาร  เค้าได้รับเงินโอนมา 1 ล้านบาท  ย้ำว่า 1,000,000 บาท เข้าบัญชี  เค้านำเงินไปซื้อรถบรรทุกคันใหม่  แล้วชีวิตการทำธุรกิจจากการช่วยเหลือเพื่อนของนักธุรกิจคนนี้ก็เริ่มขึ้น
 
กำไรครั้งละ 30 ล้านบาท ต่อการขนลงเรือ 1 ครั้ง  วันละหลายลำ  ทำมาหลายปี  จนน่าจะถูกเรียกว่า " รวย " ( ด้วยการซื้อขายรถมอไซค์เก่าจาก ญี่ปุ่น  จากการเพื่อนนักธุรกิจญี่ปุ่นคนเดิม  เพื่อนำไปขายให้คนจนที่ไม่มีโอกาสขับรถใหม่  ทั้งในไทย ลาว เขมร เวียตนาม ในราคาถูกสุดๆ เพียง คันละ 600 บาท  ไปขายต่อในราคาคันละ 16,000 บาท  กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายเหลือ 11,000 บาท   ทั้งหมด 3,000 คันต่อลงเรือ 1 ลำ  ขายมาตั้งแต่เรียน ม. ราม )  ปัจจุบันอายุมากแล้ว  เลิกทำทุกอย่าง  รับค่าเช่าจากธุรกิจเพียงเท่านั้น
 
เมื่อไม่นานมานี้  ต้องการหันหน้ามาทำบุญอย่างจริงจัง  ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้  จึงได้เริ่มจากการบริจาคที่ดินในซอยสุขุมวิท 24 จำนวน 3 ไร่ 130 ตรว. ( มูลค่าที่คนมาขอซื้อคือ 700,000 บาท ต่อ ตรว. ) ได้เงินมา 6,000 ล้านบาท  มาก่อตั้ง บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด  เพื่อดำเนินกิจการโรงพยาบาลสำหรับคนจน  มารักษาผ่าตัดตา และฟอกไต ฟรี ! ! ! ! ! ! !  ! ! !  ใครจะขอซื้อที่แปลงนี้ก็ไม่ขาย  จะให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ... อึ้ง ! ! ! ! !  
 
คุณธานินทร์รักในหลวงมาก  อยากให้คนจนสุขภาพดี  ทุกวันนี้ทำเพราะอยากได้บุญ ( ก็ไม่รู้ว่าถูกต้องรึเปล่านะ ? )  แต่ก็ช่วยคนจนคนป่วยให้หายจากการเจ็บป่วยมามากมายหลายปีแล้ว
 
ลอง search ชื่อเค้าดู น่าทึ่งและน่าเลื่อมใสมาก  พิธีกรถามว่า " ถ้ามีตังค์น้อย  เราจะช่วยอะไรใครได้บ้าง ? "  เค้าบอกว่า " คนจนช่วยเหลือกันได้มากกว่าคนรวย  เพราะคนจนลงแรง  แต่คนรวยเอาเงินซื้ออำนาจ  การช่วยเหลือเลยไปไม่ถึงคนเดือดร้อนตัวจริง  ควรจะลงแรงซะก่อน  แล้วค่อยลงทุน "


ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ทาสของแผ่นดิน ... ผู้ถวายไม้จันทร์หอม สร้างพระโกศสมเด็จพระพี่นางฯ

เปิดใจครั้งแรกกับธานินทร์ พันธ์ประภากิจ - ผู้ถวายท่อนไม้จันทน์หอม สร้างพระโกศสมเด็จย่า  และสมเด็จพระพี่นางฯ  พร้อมเจริญรอยตามในหลวง ด้วยการเปิดบริษัท ทาสของแผ่นดิน รักษาต้อกระจกฟรีให้กับคนจน



ความจงรักภักดี แปลว่า " ความยอมสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน " คือถึงแม้ว่าตนจะต้องได้รับความเดือดร้อนรำคาญ  ตกระกำลำบาก  หรือจนถึงต้องสิ้นชีวิตเป็นที่สุด  ก็ยอมได้ทั้งสิ้น  เพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้มีแก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ .... ความจงรักภักดีแท้จริงนี้เอง คือความรักชาติ  ซึ่งคนไทยสมัยใหม่พอใจพูดอยู่จนติดปาก  แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำได้อย่างแท้จริง …

วันนี้ WhO ? จะพาไปรู้จัก ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ประธานกรรมการบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด ผู้ประกาศความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  และหวังที่จะเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง  

เข้าเฝ้าในหลวง คือที่สุดในชีวิต

จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตของคนธรรมดาสามัญที่จะมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด แต่สำหรับคุณธานินทร์นั้นไม่เพียงการได้เข้าเฝ้าที่สร้างความประทับใจ  แต่พระราชดำรัส " ขอบใจ " ยิ่งทำให้เขามีความสุขจนไม่อาจลืม... สีหน้า และแววตาแห่งความปลื้มปีติปรากฏบนใบหน้าชายวัย 51 ปี  ขณะเดียวกันเขาชี้ไปยังจดหมายที่ใส่กรอบอย่างดีซึ่งติดบนผนังห้องทำงานอันมีใจความว่า " ตามหมายแจ้ง ความประสงค์ถวายท่อนไม้จันทน์หอม  เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  สำนักพระราชวังได้นำถวายความกราบบังคมทูล พระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงขอบใจ หจก.เอ็ม.เอ.ที. อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต …"

คุณธานินทร์ เล่าถึงที่มาของไม้จันทร์หอมดังกล่าวว่า เกิดจากเมื่อครั้งไปทำธุรกิจในประเทศพม่า จึงได้ซื้อท่อนไม้จันทน์นี้กลับมาเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายในหลวง  จนเมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จสวรรคต  เขาจึงน้อมเกล้าฯ ถวายท่อนไม้จันทน์หอมอีกครั้ง  พร้อมเป็นผู้อัญเชิญท่อนไม้จันทน์หอมมาสร้างพระโกศถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ  ดังใจความในจดหมายอีกฉบับที่สร้างความภาคภูมิใจให้เจ้าตัวไม่น้อย

ตามที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้มอบหมายให้ อ.กุยบุรีรับผิดชอบดำเนินการนำไม้จันทน์หอม จากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี นำส่งสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร วันจันทร์ 11 ก.พ. 51  เพื่อนำไปสร้างพระโกศในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ

ตามหนังสือที่อ้างถึง บ.ทาสของแผ่นดิน ได้เสนอเรื่องการนำช้าง 12 เชือก เป็นพระราชพาหนะในเคลื่อนพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ไปเพื่อสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาคณะกรรมการฝ่ายจัดการ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. มีมติเห็นสมควรให้ดำเนินการจัดงานพระราชพิธี โดยอัญเชิญพระศพสมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามแบบโบราณราชประเพณี

" แค่ผมได้หนังสือของพระองค์ท่านที่ทรงขอบใจมา กระดาษ 1 แผ่นนี้   ผมว่ายิ่งกว่าได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นกระดาษที่มีคุณค่ามากกว่าเงินตราเสียอีก  ถึงมีเงินเป็นแสน เป็นล้านก็ไม่สามารถมีหนังสือฉบับนี้ได้  แล้วก็เป็นหนังสือที่ประทับอยู่ในหัวใจ ในชีวิตของ  ผมจะปิดทองใต้ฐานองค์พระปฏิมา  แม้คนอื่นจะมองไม่เห็นก็ตาม  เพียงแค่ให้พระองค์ท่าน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้ก็พอแล้ว " รางวัลชีวิตอันยิ่งใหญ่ของคุณธานินทร์ที่น้อยคนนักจะได้รู้

ธานินทร์ ทาสของแผ่นดิน



แม้เจ้าตัวจะไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวแห่งความดีที่เคยทำ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่หลายคนควรรู้ โดยเฉพาะช่วงชีวิตกว่าจะเป็นธานินทร์ ผู้เป็นเจ้าของบริษัท ทาสของแผ่นดิน และผู้ก่อตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรี แก่ประชาชนในเวลานี้

คุณธานินทร์ เรียนจบจาก ปวช. พาณิชย์วิทยาลัย สีลม  จากนั้นได้เข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ แต่เรียนได้เพียง 9 หน่วยกิตก็เลิกเรียน  เพราะรู้สึกว่าการเรียนก็ได้แค่เรียนรู้เท่านั้น  สู้ทำงานเองจะดีกว่า  เขาจึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจกับเพื่อน จำหน่ายสินค้าประเภทรถยนต์ มอเตอร์ไซด์  หนังสัตว์  กระดูกสัตว์  เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่างๆ กับต่างประเทศ  อาทิ  ญี่ปุ่น อเมริกา ลาว เขมร เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในนาม หจก.เอ็ม.เอ.ที อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต

จวบจนกระทั่งได้มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา บริษัท เพรสซิเดนท์ ปาร์ค ( President Park ) พร้อมกับเป็นผู้ควบคุมดูแลอาคารทั้งหมด  จากนั้นจึงก่อตั้งบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด  เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว  เพื่อจัดตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อแก่ประชาชน โดยเขาเล่าถึงที่มาของชื่อบริษัทว่า ต้องการให้เห็นอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่จะแก้ไขในสิ่งผิด  

" ในอดีตชาติ หรือปัจจุบันเราทำผิดมาก็มาก ทำถูกมาก็มาก  อยากให้มองว่าระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ไม่ควรมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ หรือแบ่งเชื้อชาติศาสนา  แต่ให้ยึดมั่นในองค์พระมหากษัตริย์  ประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ และเป็นแผ่นดินที่ร่มเย็นมาก "    

" พ่อแม่ผมอยู่ในประเทศไทย  แล้วผมก็เกิดในแผ่นดินนี้  ทุกคนอาจเห็นผมตัวดำ สีผิวผมที่ดำนี้คือ สีดิน  แล้วถ้าตัวผมไม่ดำผมจะเป็นทาสของแผ่นดินได้ยังไง  เคยมีอุธาหรณ์สอนใจผมว่า  ผมน่าจะเกิดเป็นลูกของคุณทักษิณ  เพราะผมจะได้เป็นคนรวย  มีเงินเยอะๆ  ผมจะเดินทางไปหาประชาชน เดินตามรอยพระยุคลบาทของในหลวง  พ่อผมจะเป็นอะไรก็เป็นไปไม่เกี่ยวกับผม  แต่ผมจะเดินออกไปหาคนจนในถิ่นทุรกันดาร  คิดว่าน่าจะเป็นความสุขใจในชีวิต  วันนี้ผมจึงกล่าวขนานนามต่างๆ ในชีวิตของผมว่า  ขอถวายชีวิตเป็นราชพลีแด่พระองค์วงศ์จักรี  ธานินทร์- ทาสของแผ่นดิน "

ศูนย์ผ่าตัดต้อเกิดจากลมหายใจสุดท้าย

ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรี ดังกล่าว เกิดขึ้นจากพลังแห่งศรัทธาในบุญและบาป  โดยครั้งหนึ่งคุณธานินทร์เคยถูกลอบยิงเกือบเอาชีวิตไม่รอด  สาเหตุเกิดจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงในแวดวงสังคม  เอาภาพถ่ายของตัวเองขณะยืนอยู่หน้าทัชมาฮาลวางติดไว้ด้านบนผนังด้านบน และเอารูปเจ้าแม่อุมาเทวี วัดแขกไว้ด้านล่าง  เมื่อคุณธานินทร์เห็นเข้า จึงรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่สมควร  พร้อมกับเขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือของตัวเองเพื่อบอกให้ประชาชนได้รับรู้

ประเด็นนี้เองอาจสร้างความโกรธแค้น และกลายเป็นชนวนลอบสังหาร  โดยเขาถูกมือปืนยิงบริเวณหน้าบ้านย่านสีลม  ลูกปืนเข้าที่ศรีษะ  ทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.กรุงเทพคริสเตียน  ในห้องไอซียู  นานถึง 45 วัน  และต้องทำการผ่าตัดถึง 6 ครั้ง  " เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นคนเสียชีวิตมากมายมหาศาล  สัจธรรมเกิดขึ้นมาทันทีว่า  ภาพที่เห็นคนตาย  คิดในทางบวก ก็ถือเป็นความสุข  เพราะไม่ได้นอนกับคนที่รักเราอย่างเดียว  แต่ได้นอนกับคนที่ต้องตายทุกวัน  คิดว่าน้อยคนนักที่จะได้มานอนกับคนตายแบบนี้  ระหว่างที่อยู่ไอซียูยังได้ยินเสียงทุกคนพูดถึงผมตรงกันว่า  " คงอยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง "  แต่ครึ่งชั่วโมงนั้น ทำให้รอดตายมาได้  นับว่าโชคดี และเป็นบุญอย่างหนึ่ง  ถามว่าสะทกสะท้านกับความตายไหม  บอกได้เลยว่าไม่มี เลยได้คารมเด็ดๆ ในชีวิตว่า " ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา  ไม่เสียดายเวลาถ้าสิ้นไป  เพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว "  

เหตุนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่  เขาจึงขอแทนคุณแผ่นดินด้วยการตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกขึ้น  เพื่อรักษาผู้ยากไร้ " วันนั้นคิดว่าถ้าผมกลับมาได้  จะตอบแทนบุญคุณให้กับแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ได้ยังไง  ถ้าไปกิน-นอนอยู่กับใครสักคนโดยไม่ทำอะไรให้  แต่อยู่อย่างสุขสบายไม่ช่วยเหลือ และเกื้อกูล  ไม่ทำอะไรให้เลย  เขาจะเรียกว่าเนรคุณไหม  และถ้าผมอยู่ในแผ่นดินนี้  ไม่ช่วยเหลือแล้ว  ยังกอบโกยโกงกินผืนแผ่นดิน  เขาจะเรียกผมว่าทรราชของแผ่นดินหรือเปล่า "   ชีวิตเฉียด ตายทำให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์ และบุญคุณที่ต้องทดแทนแผ่นดิน

เมื่อแนวคิดในการเปิดศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกทำท่าว่าจะเป็นจริง  คุณธานินทร์จึงปรึกษากับ นพ.วิทิต อรรณเวชกุล ผอ.โรงพยาบาลบ้านแพ้วในขณะนั้นทันที  แม้คุณหมอจะถามย้ำถึงความเชื่อมั่นว่าทำแน่หรือ  เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล  แต่เขากลับมั่นใจว่าต้องทำได้

" เมื่อปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  จึงสั่งซื้ออุปกรณ์การผ่าตัดดวงตาจากต่างประเทศ และสั่งซื้อรถห้องผ่าตัดเคลื่อนที่หลายสิบล้านบาท โดยเงินทั้งหมดในการซื้อ อุปกรณ์เป็นเงินส่วนตัวของผมที่ได้เก็บสะสมตลอดทั้งชีวิต ผมต้องการช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยาก ไร้คนไทยในแผ่นดินด้วยกัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "

จากนั้นเขาได้จัดทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลบ้านแพ้วลงพื้นที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยครั้งนั้นมีผู้ป่วยถึง 200 ราย  หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก และสามารถมองเห็นอีกครั้ง  ทุกคนต่างร้องไห้ดีใจ วิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความซาบซึ้ง

 

ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา  ศูนย์แห่งนี้สามารถทำให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ประมาณ 600,000 ราย  และในปี 2549 พบผู้ป่วยตกค้างสะสมกว่า 100,000 ราย  ณ วันนี้หากถามว่าเหนื่อยไหม  คุณธานินทร์ตอบกลับทันทีว่า " ไม่เหนื่อยเลย " เพราะแม้กำลังกายจะสู้คนอื่นไม่ได้ หรือกำลังเงินอาจสู้ประชาชนคนรวยไม่พอ  แต่เขาเชื่อว่ากำลังใจของเขาใหญ่กว่าคนรวยในแผ่นดินไทย มากมายมหาศาล

" ผมมาช่วยเหลือชาวบ้าน  เพราะผมแบกความจนเอาไว้  การแบกความจนจะทำให้รู้ว่า เกิดเป็นคนอย่าลืมตัว เกิดเป็นวัวอย่าลืมตีน  ดังนั้นถ้าเราแบกความจนเอาไว้จะไม่ลืมความจนเลย  วันนี้เราแบกความจนเอาไว้ก็จะพาประชาชนพ้นทุกข์ได้ และหากเราแบกความรวยเอาไว้เมื่อไร  เราจะกลายเป็นคนลืมตัว  ถ้าตายไปแล้วขึ้นสวรรค์  ขณะเดียวกันก็ยังมีคนยากจนอยู่ในแผ่นนี้  ขอกลับลงมาเกิดในแผ่นนี้ดีกว่า  ผมไม่ได้คิดที่จะเปิดศูนย์นี้เท่านั้น  แต่มีความตั้งใจจะสร้าง ร.ร.อนุบาลเรารักในหลวง  เพื่อต้องการปลูกรากแก้วให้กับเด็กๆ "  เขาเล่าถึงสิ่งที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านให้หมดทุกข์ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นเช่นเดิม

ชีวิตที่เหลืออยู่ของธานินทร์ พันธ์ประภากิต  เขาขอเดินรอยตามพระยุคลบาทองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนกว่าชีวิตจะหาไม่  เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้แบกไว้  ไม่ใช่ความรวย  ไม่ใช่ความดี  แต่คือ " ความจน " ที่เขาจะแบกไปตลอดชีวิต ...
  
ผู้ที่ประสงค์ผ่าต้อกระจกฟรี !  ติดต่อไปยังโรงพยาบาลบ้านแพ้ว  และนายชูศักดิ์ แก้วสุริยอร่าม  บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด  อาคารพระมหากรุณาธิคุณ  เลขที่ 98  ซอยสุขุมวิท 24  ถ.สุขุมวิท  แขวงคลองตัน  เขตคลองเตย  กทม.  10110  สอบถามรายระเอียดได้ที่ โทร. 02-262-9454-5, 02-261-8213-7 เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 08.00-17.00 น.  ( ติดตามเรื่องราวดี ๆ ใน  WhO ? Magazine  ฮู แมกกาซีน ได้ทุกวันอังคารของเดือนครับ )  

++ รักษาตาฟรี ! ! ผ่าตัดต้อกระจก , ต้อเนื้อ นำมาบอกต่อ ++

รักษาตา ฟรี ! ถวายในหลวง

( บอกต่อ ๆ กันไป  เผื่อจะได้ช่วยคนที่เค้าเดือดร้อนค่ะ )

โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจก และต้อเนื้อ

ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับบริการผ่าตัดต้อกระจก และต้อเนื้อ  ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ( องค์การมหาชน ) จะคอยดูแลให้อย่างดี

 
 
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #506 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553, 14:50:35 »


พญานาคโผล่! เกยตื้นตาย ชายฝั่งสวีเดน
ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันพฤหัสบดี ที่ 13 พ.ค.53
http://www.thairath.co.th/content/oversea/82658



'ปลาเฮอร์ริ่งยักษ์' ตัวยาว 11 ฟุต หรือที่ชาวไทยมักทึกทักกันว่าเป็น 'พญานาค'
พบเกยตื้นตายที่ชายฝั่งสวีเดน โบราณเชื่อหากพบปลาพวกนี้ที่ไหนแสดงว่า
อาจเกิดแผ่นดินไหวในไม่ช้า...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ว่า ชาวเลสวีเดนพบ
เจ้าแห่งปลาเฮอร์ริ่ง หรือปลาขนาดยักษ์รูปร่างหน้าตาเหมือนสัตว์น้ำ
ที่บ้านเรามักทึกทักกันไปว่าเป็น 'พญานาค' เกยตื้นตายอยู่บริเวณชายฝั่ง
ลำตัวยาว 11 ฟุต ซึ่งนับว่าเป็นปลากระดูกแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สำหรับพื้นที่ที่ปลายักษ์ ปรากฏคือ หมู่บ้านชาวเล โบวัลล์สตรองด์
บริเวณชายฝั่งสวีเดน ห่างจากชายแดนนอร์เวย์ราว 140 ไมล์



ปลาเฮอร์ริ่งยักษ์ พบครั้งแรกในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เมือ 130 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ เคิร์ต โอวี อีริคสัน ผู้เชี่ยวชาญท้องทะเลกล่าวว่า

ในอดีตกาลมีความเชื่อว่า หากปลายักษ์พวกนี้โผล่ให้เห็นนั้น เป็นสัญญาณเตือนว่า
จะเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงใต้ทะเล หรือเหตุแผ่นดินไหว เพราะ
ปลาพวกนี้อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึกกว่า 3,000 ฟุต

แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดว่า การปรากฏของปลาจะทำให้แผ่นดินไหวจริง

ขณะนี้เจ้าแห่งปลาเฮอร์ริ่งตัวดังกล่าว ถูกแช่แข็งและจัดโชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็น
ที่เรียบร้อย รวมถึงอาจจะนำมาโชว์ในนิทรรศการสัตว์ประหลาดในท้องทะเลในปลายนี้ด้วย

งง งง งง งง งง งง

นำข่าวมาเก็บไว้ และ ให้พวกเราได้ดูด้วย

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #507 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553, 20:57:40 »

ไหนๆ หมอสำเริงก็เล่าเรื่อง " ปลา " ให้ฟังแล้ว  พี่ขอเลาเรื่องปลาๆ ต่ออีก 2 เรื่อง  ให้ครบ " สามใบเถา " เลยละกัน !

Pink DOLPHIN .... awesome !‏

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

Think pink ... you're not seeing the world through rose-colored glasses : This albino dolphin is pink.



Unique ... the bottlenose - first spotted in Lake Calcasieu, an inland saltwater estuary in Louisiana, by boat captain Erik Rue, 42, in 2007 - has surfaced again.



Attraction ... tourists are flocking to the lake in hopes of seeing the rare mammal.



Rare sight ... " Pinky " is believed to be the only pink dolphin in the world, and has " reddish " eyes. It is usually spotted with its dark grey mother.



One of a kind ... there are only 14 other known albino dolphins in the world, all of them white.



Healthy glow ... " The dolphin appears to be healthy and normal other than its coloration, which is quite beautiful and stunningly pink," said Mr Rue, who estimates he has spotted Pinky more than 40 times.




      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #508 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2553, 22:58:46 »

กว่าจะมาเป็นอาหารอร่อย ราคาแสนแพง  ... คาเวียร์ ( Caviar )

พี่ชรินทร์ - รัฐศาสตร์ 07 ... ส่งมา

คาเวียร์ แปลว่า ไข่ปลา  มาจากท้องปลา Sturgeon












































      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #509 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553, 00:16:06 »

คาเวียร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C


 
คาเวียร์สีดำบรรจุในกระป๋องคาเวียร์ หรือบางทีเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ ( caviar ) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรส  โดยได้มาจากปลาหลากหลายประเภท  โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน  คาเวียร์ได้มีการโฆษณา และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก  คำว่า คาเวียร์ มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า خاگ‌آور ( Khag-avar ) ซึ่งมีความหมายว่า " ไข่ปลาที่ปรุงรส "  โดยในแถบเปอร์เซียจะใช้ปลาสเตอร์เจียน

ในปัจจุบัน คาเวียร์ที่มีชื่อเสียงจะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย  คาเวียร์มีหลายประเภท และหลายสี  โดยคาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลาสเตอร์เลต ( sterlet, ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acipenser ruthenus ) เป็นคาเวียร์ที่หายาก  นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์  โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้  เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไป  และทำให้เกิดการสูญพันธุ์


คาเวียร์ - ไข่ที่แพงที่สุดในโลก ( Most expensive caviar )

จาก :  http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:qzu8v4EPBnIJ:wowboom.blogspot.com/2009/04/most-expensive-caviar-eggs.html+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th



คงไม่มีไข่ของสัตว์อะไรที่นำมาทำอาหาร แพงไปกว่าคาเวียร์ ยี่ห้อ " Almas " แปลว่า เพชร ที่ผลิตจากปลา Beluga Sturgeon ที่จับได้จากทะเลแคสเปียน ( Caspian Sea ) จากประเทศอิหร่าน ( Iran )

Almas เป็นไข่ปลาคาเวียร์สีเหลืองสุกสว่าง จำนวนน้อยที่จะพบปนในไข่ปลาคาเวียร์สีดำ ที่ผลิตจากประเทศอิหร่าน  มีวางจำหน่ายเพียงในร้าน Caviar House & Prunier ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ  โดย Almas จะบรรจุในตลับทองคำ 24 กะรัต  ขายตลับละ 768,000 บาท ( หรือ 24,000 USD )  โดยทั่วไปแล้วไข่ปลาคาเวียร์บีลูก้า ( Beluga caviar ) จะมีขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่ว ( pea-sized ) และมีสีเทา  สีอ่อนหายาก  สียิ่งอ่อนจึงยิ่งมีราคาแพง  ไข่ปลาคาเวียร์ของ Almas จะเป็นสีเหลืองสุกสว่าง ( lighter color ) จึงมีราคาแพงมาก


และ  http://most-expensive.net/caviar-world

Most Expensive Caviar in the World

( Written by : tom Filed Under : Food, Luxury, World on January 2nd, 2007 by, Hunter Davis )

The word ‘Almas’ means diamond, a fitting name for the world’s most expensive caviar. This Beluga caviar is white in appearance. The most expensive caviar comes from the Beluga Sturgeon, native to the Caspian Sea. Generally, the lighter the color of Beluga caviar the older the fish is. The word caviar comes from the Persian word “Khag-avar,” meaning “the roe-generator.” In Medieval Russia, caviar was a peasant food, but by the time Shakespeare wrote the famous, “twas caviary to the general,” caviar had gained its association with connoisseurship and luxury. An important fact about caviar is that the older the fish, the more elegant and exquisite is the flavor.

Almas caviar comes from Iran making it extremely rare and extremely expensive. The only known outlet is the Caviar House & Prunier in London England’s Picadilly that sells a kilo of the expensive Almas caviar in a 24-karat gold tin for £16,000, or about $25,000. Coincidentally, it is also where you can find the most expensive meal in Britain. The Caviar House also sells a £800 tin for those on a smaller budget.

Beluga caviar is composed of pea-sized, gray eggs. In general, the lighter the color, the more expensive it is. The grades are: 0 (darkest color), 00 (medium toned), and 000 (lightest color). The 000 grade is the most expensive and is sometimes referred to as “royal caviar”. In terms of texture, royal caviar is often described as rich and silky.

All caviar has an extremely short shelf life, so if you’re able to afford it, make sure you eat it all !



เกร็ดความรู้เรื่องคาเวียร์

1. คาเวียร์หมดอายุเร็ว  ถึงแม้คุณจะมีปัญญาซื้อ  ก็ควรแน่ใจว่าจะต้องกินให้ทันก่อนหมดอายุ

2. คาเวียร์แบ่งได้เป็น 3 เกรด  เกรด O ( สีเข้ม darkest color )  เกรด OO ( สีเข้มปานกลาง medium toned ) และเกรด OOO ( สีอ่อนที่สุด lightest color ) ซึ่งแพงที่สุด จัดเป็น royal caviar

3. คาเวียร์ ไม่ได้ผลิตจากปลาคาเวียร์  แต่คำว่าคาเวียร์เป็นชื่อเรีัยกรวม  หมายถึงไข่ปลาแซลมอน และไข่ปลาสเตอร์เจียน ที่ผ่านการแช่ในน้ำเกลือ

ปลาแซลมอน ( Salmon ) ให้คาเวียร์สีแดง ... ปลาสเตอร์เจียน ( Sturgeon ) ให้คาเวียร์สีดำ


ปลาบีลูก้า สเตอร์เจียน ที่ให้คาเวียร์สีดำ และสีเหลืองเกรด OOO


ปลาแซลมอน ที่ให้คาเวียร์สีแดง

      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #510 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2553, 00:52:18 »

ปลาสเตอร์เจียน ( Sturgeon )

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99

สเตอร์เจียนขาวขนาดใหญ่อายุกว่า 100 ปี ยาวกว่า 10 ฟุต หนักกว่า 222 กิโลกรัม ที่ถูกจับได้ในแม่น้ำในแคนาดา


ปลาสเตอร์เจียน ( Sturgeon ) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ด หรืออันดับปลาสเตอร์เจียน ( Acipenseriformes )  อาศัยอยู่ได้ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล  เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด  ทะเลสาบ หรือตามปากแม่น้ำ  แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่  และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด

สเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ( Caviar )  นับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

สเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม  มีหนามแหลมสั้นๆ บริเวณหลัง และเส้นข้างลำตัว ( Llateral line)   มีหนวด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก  ปลายหัวแหลม  มีปากอยู่ใต้ลำตัว  หากินตามพื้นน้ำโดยอาหาร ได้แก่  สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ  สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ  ทวีปยุโรปตอนเหนือ  ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ  สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที  แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด

สเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด ใน 3 สกุล โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ สเตอร์เจียนขาว ( Huso huso ) พบในรัสเซีย  สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม  และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี  นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก  เท่าที่มีการบันทึกมา  และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย  ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ  สเตอร์เจียนแคระ ( Pseudoscaphirhynchus hermanni ) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย


และจาก  http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=lekkykenny



ปลาเสตอร์เจี้ยนนี้ จะพบได้ตามชายฝั่งทะเลของยุโรปตอนเหนือ และทวีปอเมริกาเหนือ  ปลาชนิดนี้จะเข้ามาผสมพันธุ์ และถือกำเนิดในแหล่งน้ำจืด เมื่อโตพอควรก็จะอพยพไปอาศัย และเติบโตในทะเล  ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบยาวกว่า 11 ฟุต น้ำหนักกว่า 400 กิโลกรัม  เป็นปลาที่มีอายุยืนมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก  มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าปลาบางตัวมีอายุยืนยาวกว่า 100 ปี ( ข้อมูลนี้อ้างอิงจากหนังสือ THE GUINNESS BOOK OF ANIMAL FACTS AND FEATS )

ปลาสเตอร์เจี้ยนจัดได้ว่าเป็นปลาดึกดำบรรพ์พวกหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมากว่า 200 ล้านปี  ซึ่งปลาในทุกวันนี้ก็มีรูปร่างคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษ  มีการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมาก



ปลาสเตอร์เจี้ยนมีรูปร่างหนาตัวยาวเรียว  มีเกล็ดซึ่งเรียงกันเป็นหนามอยู่ 5 แถว ทำให้ลำตัวเป็นเหลี่ยม  ส่วนหัวขนาดใหญ่ค่อนข้างยาวแบนลง  ส่วนปลายสุดค่อนข้างแหลมงอนขึ้นเล็กน้อย  มีลักษณะคล้ายพลั่วตักดิน  ตามีขนาดเล็กสีดำกลมกลืนกับสีลำตัว  ที่ด้านหน้าตอนใต้ของตามีช่องเปิด 2 ช่อง  ช่วยในการหายใจ และดมกลิ่น  ปากอยู่ด้านใต้ที่ส่วนหน้าของปากมีหนวด 4 เส้น  ซึ่งเป็นประสาทสัมผัสที่ไวมาก  ปากสามารถยืดหดออกมาเพื่อดูดอาหาร  มีครีบ 7 ครีบ  ครีบหลังอยู่ค่อนไปทางโคนหางมีขนาดเล็ก  หน้าครีบหลังมีแถวหนามเรียงกัน  โดยเริ่มตั้งแต่ด้านหลังส่วนหัวเป็นต้นไป  ครีบหางเป็นแฉกเว้ายาวไม่เท่ากัน  ครีบหางตอนบนจะยื่นยาวออกไปมากกว่าครีบหางตอนล่างซึ่งสั้นมาก  ลักษณะคล้ายหางของปลาฉลาม  ครีบท้องและครีบก้นอยู่ค่อนมาทางตอนท้ายของลำตัว  สีลำตัวเป็นสีเทาเข็ม หรือสีดำ  ส่วนใต้ท้องมีสีขาวจาง  ไข่ของปลาชนิดนี้เป็นเม็ดสีคล้ำ  เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ " ไข่ปลาคาเวียร์  "





      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #511 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553, 12:38:04 »

ข่าวดี ! ลดหย่อนภาษีได้ หากซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา



หน้า ๗๕

เล่ม ๑๒๖ ตอนพิเศษ ๑๑๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๒

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

เกี่ยวกับภาษีเงินได้ ( ฉบับที่ ๑๘๐  )

เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ได้
จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักร
ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๘๗) พ.ศ. ๒๕๕๒ อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มา
ซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด
หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องซื้อทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน
ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกำหนด
ซึ่งกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้รับรองว่า เป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักร
ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ และต้องมีใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานในการซื้อ
ทรัพย์สินดังกล่าว  ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดทำรายงานแสดงรายละเอียดการซื้อวัสดุ
อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อย
ตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ และเก็บรักษารายงานดังกล่าวรวมทั้งเอกสารประกอบกับการลงรายการ
ในรายงานไว้ ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้

ข้อ ๒ ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
ต้องเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๕) (๖) (๗) หรือ (๘) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งต้องเสีย
ภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๘ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาคำนวณหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร

หน้า ๗๖

เล่ม ๑๒๖ ตอนพิเศษ ๑๑๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๒

การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา
นำเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคำนวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร
เมื่อได้หักตามมาตรา ๔๒ ทวิ ถึงมาตรา ๔๖ แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว

ข้อ ๓ ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจำกัด บริษัทมหาชน
จำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้ว แต่ปฏิบัติไม่เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย
การยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๘๗) พ.ศ. ๒๕๕๒ และตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้
ดังกล่าว ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ และต้องนำเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้ว ไปรวม
เป็นเงินได้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิ
เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นั้น ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
เพิ่มเติมของปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้น ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้
ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา ๒๗ แห่งประมวลรัษฎากร

ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

วินัย วิทวัสการเวช
อธิบดีกรมสรรพากร
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #512 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2553, 12:36:08 »

" สัตว์เลี้ยงแสนรัก " บ่งบอกนิสัย

จาก  :  http://www.jobbkk.com/th/relax/webboard/viewtopic.php?id=14380

แมว: ถ้ารักแมวเป็นชีวิตจิตใจ  ลักษณะนิสัยจะเป็นคนทีรักอิสระเสรี รักตัวเอง  ตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง  เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง  มักจะไม่ชอบอยู่ใต้การบงการของใคร  บางครั้งดูเป็นคนหยิ่งจนน่าหมั่นไส้  เป็นคนช่างเอาอกเอาใจ ขี้อ้อน ( เมื่อ อารมณ์ดีหรือเมื่อต้องการสิ่งใด )  เป็น คนทำงานมีระเบียบเรียบร้อย พิถีพิถัน มีรสนิยมดี  เครื่องประดับหรือของใช้มักจะต้องมีแบรนด์เนม  หรือถ้าไม่ใช่ก็ต้องมีคุณภาพดีไว้ก่อน  บางครั้งคนที่ไม่สนิทอาจมองว่าเป็นคนไม่ค่อยจริงใจ  เนื่องมาจากความรักอิสระและความเป็นตัวของตัวเอง

สุนัข : ไม่ว่าจะเป็นสุนัขที่บ้าน หรือที่ไหนก็ขอเข้าไปลูบหัว ลูบหางเล่นกับมันสักหน่อย ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็จะบ่งบอกถึงความรักที่จริงใจ  รักเพื่อนพ้อง  มีน้ำใจโอบอ้อมอารี  เต็มใจช่วยผู้ที่เดือดร้อน  เป็นคนรักความเป็นธรรมดั่งท่านเปา  ซื่อสัตย์สุจริต  เป็นคนไม่ย่อท้อ หรืออ่อนแอต่ออุปสรรคต่างๆ ง่ายๆ  กล้าเผชิญกับปัญหาต่างๆ  ข้อเสีย คือ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย  เพราะความไม่รู้จักยืดหยุ่นนั่นเอง

ปลา : ใครที่ชอบเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้  บ่งบอกว่าเป็นคนโรแมนติก ช่างฝัน  เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์  สืบเนื่องมาจากการชอบนำความคิดของตัวเองมาจัดตู้ปลาอยู่บ่อยๆ  เป็นคนสุภาพเรียบร้อย อาจถึงขั้นขี้อาย  โกรธง่ายแต่หายเร็ว  เป็นคนไม่ทะเยอทะยานมากนัก  มักมองโลกในแง่ดี  แต่เห็นน่ารักๆ อย่างนี้เถอะ  เวลาจะร้ายก็ร้ายนัก  ช่างประชดประชันก็ต้องยกให้ที่หนึ่ง  ก้าวร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อโมโห

หนู : บ่งบอกได้ถึงความฉลาดเฉลียว  ปรับตัวง่าย  มีมนุษย์สัมพันธ์เยี่ยม  ไหวพริบเป็นเลิศ  มักเป็นคนพูดน้อย  ขยัน  รักความก้าวหน้า  มีความกระตือรือร้นในสิ่งที่ตนกำลังกระทำเป็นอย่างดี  เป็นคนขี้ระแวง  ไม่มองโลกด้านเดียว  รักอิสระ  ประหยัดอดออม  ชอบดูแลงานบ้านงานเรือน  ตกแต่งบ้านให้น่าอยู่เสมอ  และมักจะเป็นนักจอมวางแผน  ไม่ว่าการใดมักจะวางแผนล่วงหน้าเสมอ

นก : สำหรับคนรักนก  เป็นคนรักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด  ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ชอบการผูกมัดหรือการอยู่กับที่ หรือทำอะไรแบบเดิมนานๆ  เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว  มีความกระตือรือร้น  เป็นคนรักสวยรักงาม  ข้อเสียของ คือ ขี้หงุดหงิด  จู้จี้  ขี้บ่น  เบื่อง่าย  ไม่เก็บอารมณ์

กระต่าย : เป็นคนประเภทคมในฝัก  ข้างนอกขรุขระข้างในสุกใส  ประมาณนั้น  เป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบดีเยี่ยม  พลิกแพลงสถานการณ์เก่ง  จึงสามารถเอาตัวรอดได้ดี  เป็นคนสุภาพ อ่อนโยน  รักสวยรักงาม  รักความสะดวกสบาย  คล่องแคล่วว่องไว  เป็นคนมีจิตใจมั่นคง  โรแมนติก
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #513 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2553, 00:36:26 »

Bangkok BRT เปิดซิงวันนี้แล้วจ้า เสาร์ที่ 29 พ.ค. 2553

ที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังไว้ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2553  ในหน้า 20  เรื่อง " รถโดยสารด่วนพิเศษ ของกรุงเทพมหานคร " ว่า ...

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2553, 12:20:02
รถเมล์ไทยในอนาคต ... น่าทึ่งจริงๆ

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา



Wow !  ฝันจะเป็นจริงเมื่อไหร่เนี่ย ? ... จะทันได้ใช้ในชาตินี้มั้ย ?  ตื่นเต้น  ตื่นเต้น !

พอ 4 เดือนให้หลัง ( ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ตอนบ่ายๆ )  พี่น้องชาวกรุงเทพฯ ก็มีโอกาสได้ใช้บริการ Bangkok BRT ( Bangkok Bus Rapid Transit ) เป็นครั้งแรกในวันนี้เอง  โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.00 น. ถึง 24.00 น. ทุกวัน  ทดลองวิ่งให้โดยสาร ฟรี 3 เดือน ( ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงสิงหาคม 53 )  จะเริ่มเก็บค่าโดยสาร 10 บาท ตลอดสาย ตั้งแต่เดือนกันยายน จนถึงสิ้นปีนี้  ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2554 จะเริ่มเก็บค่าโดยสารตามระยะทาง  เริ่มต้นที่ 12 บาท จนถึง 20 บาท ... กทม. บอกว่าว่ารถเมล์ BRT จุผู้โดยสารได้ 80 คน  ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางลงให้เหลือน้อยกว่าขับรถส่วนตัวถึง 1 - 1.5 เท่า  คือเดิมในชั่วโมงเร่งด่วน  รถวิ่งได้ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  แต่รถเมล์ BRT จะวิ่งได้ 16-20 ก.ม./ช.ม. บนทางที่จัดให้วิ่งเฉพาะ  ซึ่งชิดเกาะกลางถนน

วันนี้มีชาว กทม. ไปทดลองใช้บริการกันแน่นขนัด ทุกเที่ยวเมล์  โดยพากันไป shopping ที่ถนนคนเดิน สีลม น่ะเอง  วันแรกเกิดอุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถเมล์ BRT  เพราะรถเก๋งวิ่งสวนเข้ามาในเส้นทางพิเศษ  เนื่องจากไม่รู้ ( คุณตำรวจจราจรน่าจะยืนประชาสัมพันธ์ ประจำจุดซัก 1 สัปดาห์  และ/หรือทำเครื่องหมายบอกไว้ นะคะ - ผู้โพสต์ )

แถมไปค้นเจอข่าวใน " ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ " ฉบับวันที่ 2 เมษายน 2553 ( เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว )  เสนอข่าวเรื่องนี้ ไว้ดังนี้

กทม. เตรียมเปิดซิง BRT ช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ เอาใจคนกรุงขึ้นฟรี 3 เดือน

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1270193990&grpid=00&catid=no

กทม. ดีเดย์ 15 พ.ค. เปิดใช้รถบีอาร์ทีสายแรก ( อ้าว !  เปิดจริงๆ ล่าช้ากว่าแผนงานไป 2 สัปดาห์นี่นา - ผู้โพสต์ ) ช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ ระยะทางเกือบ 16 กิโลเมตร รวม 12 สถานี  พร้อมเร่งทำพีอาร์ เปิดให้ขึ้นฟรี 3เดือน  คาดคนใช้บริการ 3 หมื่นคน/วัน  หลัง1ก.ย. เก็บค่าโดยสาร 10 บาทตลอดสาย  มั่นใจช่วยลดเวลาเดินทางเร็วกว่าปกติ 1 เท่า

ยังไม่รู้ว่าเมื่อเปิดให้บริการจริงจะประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้หรือไม่  แต่โครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ ( BRT ) สายแรก  ช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ โปรเจ็กต์หาเสียงของ ′อภิรักษ์ โกษะโยธิน′ อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ( กทม. ) จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตกทอดมาถึง ′ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร′ ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบัน ก็ใกล้จะดีเดย์เปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว



ด้วยความใหม่ของระบบที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย  จึงไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย  ทั้งเรื่องการจราจรที่กองบังคับการตำรวจจราจรยังกังขาว่า จะช่วยคลี่คลายปัญหา หรือทำให้รถติดมากขึ้น  เพราะต้องกันช่องจราจรไว้เป็นเลนพิเศษสำหรับให้รถบีอาร์ทีวิ่ง  ดังนั้นเมื่อโครงการเปิดใช้  จะทำให้ถนนในเส้นทางหายไป 2 ช่องจราจร  จาก 8 ช่อง เหลือ 6 ช่อง  แถมตลอดเส้นทางมีสัญญาณไฟ 4 แยก เป็นอุปสรรค  ทำให้รถบีอาร์ทีวิ่งได้ไม่ฉิวอย่างที่คิด  ไล่ไปตั้งแต่แยกถนนจันทน์  แยกถนนรัชดาภิเษก สามแยกพระรามที่ 3  และสี่แยกราชพฤกษ์  ซึ่งปัญหาดังกล่าว กทม. ก็มีความกังวลใจอยู่ลึกๆ เช่นกัน  จึงปรับประมาณการผู้โดยสารจาก 5 หมื่นคน/วัน เหลือ 3 หมื่นคน/วัน  พร้อมกับลดจำนวนรถโดยสารจาก 45 คัน เหลือ 25 คัน

ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร  วันที่ 15 พฤษภาคมนี้คนกรุงก็จะได้ยลโฉม และสัมผัสรถบีอาร์ทีสายใหม่แกะกล่องเป็นครั้งแรก  ตามคำมั่นสัญญาของ′ผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์′ แน่นอน



@ระยะทาง 15.9 ก.ม. มี 12 สถานี

เส้นทางรถเมล์บีอาร์ทีสายแรกระยะทาง 15.9 กิโลเมตร  เริ่มต้นจากถนนนราธิวาสราชนครินทร์ บริเวณสี่แยกนราทร  ผ่านสี่แยกถนนจันทน์ สี่แยกรัชดาภิเษก-พระรามที่ 3 เลี้ยวขวาที่สี่แยกนราธิวาสฯ-พระรามที่ 3 เข้าสู่ถนนพระรามที่ 3  ขึ้นสะพานข้ามแยกสาธุประดิษฐ์, แยกสะพานพระราม 9 และแยกถนนเจริญราษฎร์



ก่อนขึ้นสะพานพระราม 3  ข้ามสี่แยกถนนตก แม่น้ำเจ้าพระยา  ข้ามสี่แยกบุคคโล และสี่แยกมไหสวรรย์  เข้าสู่ถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ  สิ้นสุดที่ถนนราชพฤกษ์  บริเวณใต้สะพานข้ามสี่แยกรัชดาภิเษก-ตลาดพลู  ฝั่งห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ท่าพระ

มีทั้งหมด 12 สถานี คือ  1. สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี  2. สถานีอาคารสงเคราะห์  3. สถานีเทคนิคกรุงเทพ อยู่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ  4. สถานีถนนจันทน์ ใกล้วัดโพธิ์แมนคุณาราม  5. สถานีนราราม 3 หน้าโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง  6. สถานีวัดด่าน  7. สถานีวัดปริวาศ ใกล้สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม  8. สถานีวัดดอกไม้  9. สถานีสะพานพระราม 9  10. สถานีเจริญราษฎร์  หน้าศูนย์การค้าฟิวเจอร์มาร์ท พระราม 3  11. สถานีสะพานพระราม 3 หน้าสำนักงานเขตบางคอแหลม และ 12. สถานีรถไฟฟ้ารัชดา-ราชพฤกษ์

จะมีลานจอดรถบริเวณใต้สะพานข้ามแยกรัชดา-ตลาดพลู  และในอนาคตจะเชื่อมต่อกับบีทีเอสตากสิน-บางหว้า

ทุ่ม 20 ล้านบาท โปรโมตดึงคน 3 หมื่นคน/วัน

เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ใช้บริการ ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ 3 หมื่นคน/วัน  งานนี้ กทม.ยอมทุ่มงบประมาณ 20 ล้านบาท ประชาสัมพันธ์โครงการทุกรูปแบบ  ทั้งสื่อกลางแจ้ง  ขึ้นคัตเอาต์  สื่อทีวี  วิทยุ  หนังสือพิมพ์  เพื่อให้เป็นที่รู้จัก และสร้างความคุ้นเคย  

ล่าสุด ′ธีระชน มโนมัยพิบูลย์′ รองผู้ว่าฯ กทม.ที่ดูแลโปรเจ็กต์โดยตรง  เริ่มคิกออฟแผนประชาสัมพันธ์แล้ว  ประเดิมที่โรงเรียนวัดดอกไม้  เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา  โดยจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการแก่ประชาชนในพื้นที่  ถัดมาวันที่ 2 เมษายนจะเปิดงาน ′ชาวกรุงเทพฯ กับการเดินทางในทศวรรษหน้า′ ที่โรงแรมอิสติน  ต่อด้วยคิวเปิดตัวรถต้นแบบในวันที่ 28 เมษายน และวันที่  9 พฤษภาคมจะทดลองเดินรถเป็นครั้งแรก  ก่อนเปิดบริการอย่างไม่เป็นทางการ 15 พฤษภาคมนิ้
 
@ให้บริการฟรี 3 เดือน

รองผู้ว่าฯ ธีระชนบอกว่า  ช่วงแรก กทม. จะให้บริการรถเมล์บีอาร์ที ฟรี 3 เดือน  ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม- 31 สิงหาคม 2553  จากนั้นเมื่อคนกรุงเทพฯ เริ่มคุ้นเคยแล้ว  วันที่ 1 กันยายน 2553 เป็นต้นไปจะเก็บค่าบริการ 10 บาทตลอดสาย  ไปจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2554  เมื่อเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 2 มกราคม 2554 จัดเก็บค่าโดยสารตามระยะทางเริ่มต้น 12 บาท สูงสุด 20 บาท

′ หลังบีอาร์ทีเปิดใช้จะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น จากต้นทางไปปลายทางใช้เวลา 30 นาที เร็วกว่าปกติ 1 เท่าตัว ใจจริงอยากให้วิ่งฉลุยรวดเดียวเหมือนรถไฟฟ้า แต่สภาพถนนพระรามที่ 3 ที่มีหลายแยก  จึงต้องรอสัญญาณไฟ  แต่ประสานงานกับตำรวจจราจรแล้ว  ให้หยุดรอประมาณ 300 วินาที ′

รองผู้ว่าฯ กทม.บอกว่า ภายในรถจะมีการติดตั้งระบบขนส่งอัจฉริยะ หรือ ITS ระบบควบคุมการเดินรถ  ระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจร  ระบบข้อมูลสำหรับผู้โดยสาร และระบบการเดินรถ ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรให้รู้ว่ารถบีอาร์ทีกำลังจะวิ่งไปถึงทางแยก  เพื่อจะได้ให้สัญญาณไฟเขียวเร็วขึ้น  ซึ่งส่วนนี้ต้องปรับปรุงไปเรื่อย ๆ

งานก่อสร้างโดยรวมคืบหน้า 87%

ขณะที่ กทม.เริ่มนับถอยหลังเปิดใช้บริการ  เพราะเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษ  ภาพรวมงานการก่อสร้างคืบหน้าแล้ว 87%  งานสถานีที่ 2-11 งานโครงสร้างโยธาคืบหน้า 99%  งานสถาปัตยกรรม 96%  จะแล้วเสร็จวันที่ 30 มีนาคม  งานก่อสร้างสถานีที่ 1 และ 12  งานโครงสร้างโยธา 75% งานสถาปัตยกรรม 60%  กำหนดแล้วเสร็จ 30 เมษายนนี้

ส่วนงานปรับปรุงผิวการจราจร และเครื่องหมายจราจรในเส้นทางคืบหน้า 20%  จะแล้วเสร็จพร้อมติดตั้งคันกั้นเลนภายในวันที่ 1 พฤษภาคม งานอู่จอดซ่อมบำรุง ( รวมสถานีเติมก๊าซ )  และศูนย์ควบคุมกลางคืบหน้า 30%  กำหนดแล้วเสร็จพร้อมต่อการเปิดเดินรถวันที่ 15 พฤษภาคม

งานปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก  คนพิการหรือทุพพลภาพ และคนชรากำลังจัดหาผู้รับจ้าง  จะลงนามในสัญญาภายในกลางเดือนเมษายนนี้  แล้วเสร็จวันที่ 1 กันยายน 2553  และงานก่อสร้างจุดเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณแยกนราธิวาส-สาทร เป็น Sky Walk เชื่อมกับบีทีเอส ที่สถานีช่องนนทรี คืบหน้า 25%  แล้วเสร็จวันที่ 1 กันยายน 2553 พร้อม  การเปิดบริการเต็มรูปแบบพอดี

ขณะที่งานจัดหาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ ( AFC ) อยู่ระหว่างจัดหาระบบ  ตั๋วโดยสารอัตโนมัติ มี 3 รายที่เสนอตัว คือ ′ สิงคโปร์เทค-ยูเทล-ทาลาส ′ จะลงนามในสัญญาจ้างวันที่ 10 เมษายนนี้  หากได้ " สิงคโปร์เทค " เจ้าเดียวกับที่บีทีเอสใช้บริการ ในวันที่ 1 กันยายน  อาจจะได้ใช้ระบบตั๋วอัตโนมัติร่วมรถไฟฟ้า บีทีเอส เป็นครั้งแรก

รถผลิตจากจีน-เครื่องเมดอิน USA

ส่วนการจัดหารถโดยสาร ′ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ′ หรือบีทีเอสซี ที่ได้รับการว่าจ้างจาก บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ให้เป็นผู้จัดหาวงเงิน 535 ล้านบาท  โดยให้เดินรถ 7 ปี  ล็อตแรกรถป้ายแดง 10 คัน จากประเทศจีนมาถึงวันที่ 24 เมษายนนี้  ส่วนที่เหลืออีก 15 วัน จะตามมาวันที่ 1 พฤษภาคม  

รูปโฉมบอดี้เป็นสีเหลืองคาดเขียวผลิตจากจีน แต่เครื่องผลิตจากอเมริกา  การันตีตรงกับสเป็กที่ กทม.กำหนด 100%  เป็นรถตอนเดียวความยาว 12 เมตร  พื้นแบบ High Floor  ประตูขวา 1 ประตู  ประตูซ้าย 1 ประตู  ความกว้าง 1.5 เมตร  จุผู้โดยสารได้ 80 คน/คัน  เครื่องยนต์ NGV ใช้ก๊าซธรรมชาติมาตรฐานยูโรทรี

หากสายแรกผ่านฉลุย สายที่ 2 หมอชิต-ศูนย์ราชการ-เมืองทองธานี    คงจะตามมาเร็วขึ้น

Yeh !  วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี ออกวิ่งให้บริการเป็นวันแรกแล้ว จ้า ...
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #514 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2553, 11:44:10 »

from twitter


...
หนูเจี๊ยบไม่ใส่ใจไปเปิดการแสดงบ้างเหรอครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #515 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2553, 13:34:28 »

จ๊าก !  พี่ป๋อง เที่ยวแซวน้อง แซวนุ่ง นะ ... ขืนไปแสดงจริงๆ  ใครเค้าจะมายืนดูล่ะคะ ?
พอเค้าปลงอนิจจังเสร็จ ก็เดินไปดูอย่างอื่นต่อดีกว่า ... ha  ha  ha !





ยังไงๆ คุณป้าก็แสดงคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว ... โน่น !  ต้องไปอ้อนคุณลุงจ๋าย-ท่านผู้ช่วยผู้ว่าการ กฟผ. ให้มาแสดงด้วย ...
เห็นๆ อยู่ว่า impossible !  sure.
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #516 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2553, 17:58:04 »

เหลืองคน แดงคน ทันสมัยซะไม่มีอ๊ะ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #517 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2553, 14:57:33 »



       ช่าย....และอีตอนจบ ก็ต้องมารับดอกไม้จากสีชมพู ( คิ๊กๆ ๆ ๆ )
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #518 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2553, 20:40:41 »

               อายจัง


Top Ten สัตว์ที่อายุยืน น น น น น ...

โสภินันท์ - ครุ 16 ... ส่งมา

อันดับ 10  :  กุ้งมังกร Lobster   อายุขัย 140 ปี


กุ้งมังกร เป็นสัตว์เศรษฐกิจอาหารทะเลส่งออก  โดยทั่วโลกจัดให้เป็นอาหารมีราคาสูง  ในบรรดากุ้งมังกรด้วยกันดูเหมือนว่า จอร์จ จะถูกพูดถึงมากที่สุด จอร์จถูกจับขึ้นมาจากชายฝั่งนิวฟาวแลนด์ในเดือนธันวาคม ปี 2008  และถูกนำไปขายยังภัตตาคารอาหารทะเลด้วยราคา 100 เหรียญ  แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ยักษ์ของมัน  ทางภัตตาคารจึงตัดสินใจไม่นำมันมาปรุงเป็นอาหาร  แต่ปล่อยมันไว้ในตู้ให้ลูกค้าดู และถ่ายรูปเล่น  ซึ่งสิบวันต่อมา  ลูกค้าจำนวนหนึ่งได้แจ้งไปยังศูนย์คุ้มครองสัตว์  เพื่อทำเรื่องขอให้ปล่อยจอร์จกลับทะเล  ซึ่งในตอนแรกทางภัตตาคารไม่ยอม  แต่ในที่สุดแล้วเจ้าของภัตตาคารก็ใจอ่อนยอมปล่อยมันไป  ซึ่งมันถูกปล่อยในเขตคุ้มครองสัตว์น้ำเพื่อไม่ให้ใครจับมันได้อีก  ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าจอร์จน่าจะเกิดราวปี 1869  รวมอายุได้ 140 ปี

อันดับ 9  :  หอยกูอี้ดั๊ก Geoduck   อายุขัย 160 ปี


ด้วยหน้าตาอันเฉพาะตัวของมัน  คนไทยจึงนิยมเรียกมันว่า " หอยจู๋ " แต่แท้จริงแล้วมันคือหอยกูอี้ดั๊ก อย่างไรก็ดี duck ตัวนี้ไม่ได้แปลว่า เป็ด แต่แปลว่า ขุด ซึ่งคำนี้มาจากภาษาพื้นเมืองอเมริกัน แปลว่า ขุดลึก ทั้งนี้เพราะตามธรรมชาติ หอยชนิดนี้มันจะอยู่ในทรายที่น้ำท่วม ถึงตามริมฝั่ง โดยฝังตัวลงไปในทราย ยิ่งโตก็ยิ่งขุดลึกลง และยืดงวงขึ้นมาบนผิว ด้วยอายุขัยถึง 160 ปี มันจึงเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง

อันดับ 8 : หนอนท่อ Lamellibrachia   อายุขัย 170 ปี


หนอนท่อที่มีรูปทรงละม้ายคล้ายดอกไม้ปลอมนี้  อาศัยอยู่ในทะเลลึก และพึ่งพาแบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งในการผลิตอาหารดำรงชีวิต  แม้ดูว่ามันจะทำอะไรไม่ได้มากมาย  แต่เจ้าหนอนท่อสายพันธุ์นี้มีความยาวได้ถึง 3 เมตร  และมีอายุมากได้ถึง 170 ปี เลยทีเดียว

อันดับ 7 : เต่าเรเดียต้า Radiated Tortoise  อายุขัย 180 ปี


อย่างที่ทราบกันดีว่าเต่านั้นเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน  และในบรรดาเต่าด้วยกันนั้น  เต่าเรเดียต้านั้นมีอายุยืนที่สุด  เต่าเรเดียต้านั้นจัดเป็นเต่าบกที่มีสีสัน และลวดลายสวยงามมาก  มันมีถิ่นกำเนิดที่มาดากัสก้า อัฟริกา และด้วยสีสันอันสวยงามของมัน  มนุษย์จึงนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง  เต่าเรเดียต้าที่มีชื่อเสียงที่สุดนั้นชื่อว่า ตูอิมาลิลา ซึ่งกัปตันคุกได้นำมันไปถวายกษัตริย์แห่งตองกาเมื่อราวปี ค.ศ.1777  ตูอิมาลิลามีชีวิตอยู่เรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ.1965  ซึ่งหมายความว่ามันมีอายุไม่น้อยกว่า 188 ปี เลยทีเดียว

อันดับ 6 : หอยเม่นแดง Red Sea Urchin   อายุขัย 200 ปี


หอยเม่นแดงนี้พบได้ในมหาสมุทรแปซิฟิค  อาศัยอยู่ตามโขดหินใต้ทะเลที่ความลึก 90 เมตร  ไม่ค่อยมีศัตรูทางธรรมชาติเท่าใดนัก  สภาวะทางธรรมชาติของมันเอื้อให้มันมีชีวิตยืนยาว  เนื่องจากการเจริญเติบโตของมันแทบจะหยุดชงักลงเมื่อมันอายุได้ 10 ปี  ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามันสามารถอายุยืนได้ถึง 200 ปีเลยทีเดียว

อันดับ 5 : วาฬ Bowhead Whale   อายุขัย 210 ปี


วาฬพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุยืนที่สุดในโลก  นอกจากนี้มันยังได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีปากกว้างที่สุดในโลกด้วย  แม้ช่วงอายุจะยืนยาวถึง 210 ก็ตาม  แต่มันมีประชากรเพียง 24,900 ตัวทั่วโลกเท่านั้น  เนื่องมาจากการล่าของมนุษย์นั่นเอง

อันดับ 4 : ปลาคาร์ฟ Koi-โคอิ   อายุขัย 220 ปี


ปลาคาร์ฟสายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นจากปลาคาร์ฟญี่ปุ่น  ตามความเชื่อปลาโคอินั้นเป็นสัญลักษณ์ของความรัก และ มิตรภาพ  ซึ่งปลาโคอิที่มีชื่อเสียงสุดนี้ได้แก่ " ฮานาโกะ " ที่มีอายุยืนยาวถึง 226 ปี  ฮานาโกะเกิดเมื่อปี 1751  และอยู่มาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 1977
 
อันดับ 3 : หอยทะเล Arctica islandica   อายุขัย 410 ปี


หอยทะเลพันธุ์นี้ เราสามารถหาได้ไม่ยากในภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น  ด้วยความที่มันเป็นอาหารยอดนิยม  หลายคนจึงไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีอายุยืนยาวอะไรมากมาย  แต่ผลการวิจัยสรุปออกมาว่ามันสามารถมีอายุยืนได้ถึง 410 ปีเลยทีเดียว
 
อันดับ 2 : ฟองน้ำ Cinachyra antarctica   อายุขัย 1,550 ปี


ฟองน้ำทะเลสายพันธุ์นี้อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแอนตาร์คติกในความลึกหลายร้อยเมตร  มันมีอัตราในการเติบโตที่ช้ามากๆ  จากการตรวจวิจัยพบว่ามันมีอายุขัยได้ถึง 1,550 เลยทีเดียว
 
อันดับ 1 : แมงกระพรุน Turritopsis nutricula   อายุขัย  อมตะ


Turritopsis nutricula เป็นแมงกระพรุนที่มีวงจรชีวิตแปลกประหลาดมาก  คือหลังจากที่ย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว  มันก็จะเติบโตแบบถดถอยกลับสู่วัยเด็กอีกครั้ง  ซึ่งหลังจากเป็นเด็กได้สมบูรณ์แล้ว  มันก็จะเติบโตใหม่ และก็กลับเป็นเด็กใหม่  เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งสรุปได้ว่า  ช่วงชีวิตของมันเป็น...อมตะ  ทำลายสถิติสัตว์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก ทุกสถาบัน

อ๊ะ  อ้าว !  งี้เวลาอวยพรวันเกิดให้ใคร  ก็ต้อง " ขอให้มีอายุยืนยาว อยู่นานเท่าแมงกระพรุน " อ่ะดิ !
      บันทึกการเข้า
Kittiwit Pk
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 281

« ตอบ #519 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2553, 21:12:49 »

Happy Turritopsis Nutricula...
      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #520 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553, 03:15:58 »

ปอกมังคุดอย่างง่ายๆ

มนูญ - วิศวะ 16 ... ส่งมา


      บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #521 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553, 03:56:17 »

นาฬิกาข้อมือสุด dern ... ดูเวลาก็ยาก ... แพงก็แพง

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

































อีนี้ฉานคงจาไม่ซื้อมาใส่หรอกนะ นายจ๋า  แค่ดูเวลาก็งงจะแย่ ... สงสัยคงได้ตกรถไฟ  ตกเครื่องบิน  แหงแก๋ ... ลองนั่งศึกษาดู  ก็หมดเวลาไป 2 ชั่วโมงครึ่งแระ !


      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #522 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553, 13:02:49 »

ทางออกสังคมไทยหลังวิกฤติ 19 พฤษภาคม 53

เสวนาทางวิชาการ ประจำปี 2553 เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการสถาปนาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทางออกสังคมไทยหลังวิกฤติ 19 พฤษภาคม 53

จัดโดย

กลุ่มจับกระแสเอเชีย  สถาบันเอเชียศึกษา  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2553  เวลา 13.00-16.00 น.

ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์  ตึกประชาธิปก-รำไพพรรณี  ชั้น 4  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

        จากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553  และในอีก หลายๆ ครั้งตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา  ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญกับความขัดแย้ง และความแตกแยกของคนในสังคมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  อย่างไรก็ตามสังคมไทยยังมีจุดแข็งในหลายเรื่อง  อาทิ  ความเป็นคนไทยที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ และรักสงบ  ความเจริญทางด้านสังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรอยู่มากเมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศ  ดังนั้น ความหวังของสังคมไทยที่จะก้าวพ้นวิกฤตสังคมในครั้งนี้  จึงอยู่ที่การหันหน้ามาทำความเข้าใจ และร่วมกันทั้งคนในเมืองและ ชนบท  กลุ่มจับกระแสเอเชีย  สถาบันเอเชียศึกษา  จึงได้จัดการเสวนาทางวิชาการครั้งนี้  เพื่อเป็นอีกเวทีหนึ่งที่จะหาทางออกร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม  ของหลายภาคส่วนจากวิกฤตที่เกิดขึ้น

คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่มา
http://www.chula.ac.th/cuth/cic/oldnews/CU_P007411.html
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #523 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553, 05:05:59 »

ฮั่นแน่!
ใครจิ๊กปลาทูออกมาจากครัว27,ฮึ?
จำกะทะได้นะ...
เดี๋ยวจะทอดให้เกรียมทั้งปลาทู ทั้งคนจิ๊ก



ลงชื่อ
น้องแมงกระพรุน(ไฟ)Turritopsis nutricula   
      บันทึกการเข้า


Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #524 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553, 19:06:33 »

1 กันยายน 2553  กทช. ปรับค่าโทรมือถือเท่ากันทั่วประเทศ / เริ่ม 3G / เริ่มเบอร์เดิม ระบบใหม่

เสรษฐวิทย์ - นิเทศ 16 ... ส่งมา

กทช. กำหนดให้คิดค่าบริการการใช้โทรศัพท์มือถือทั้งในเครือข่าย และนอกเครือข่าย ในราคาเท่ากันทั่วประเทศ  เริ่มวันที่ 1 กันยายน 2553 นี้  ส่วนโปรโมชั่นค่าโทร. เดิมของผู้ให้บริการแต่ละรายจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงหาคม 2553 นี้



คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กทช. ) มีมติกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ คิดค่าโทร. ทั้งในเครือข่าย และนอกเครือข่ายในราคาเท่ากัน โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.นี้  ซึ่งเป็นการเลื่อนจากมติเดิมที่กำหนดไว้เมื่อต้นเดือน พ.ค.

ส่วนการประกาศคงสิทธิ์หมายเลข ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเปลี่ยนค่ายผู้ให้บริการโดยใช้หมายเลขเดิมได้นั้น  จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ก.ย. 53 เช่นเดียวกัน   โดยผู้ใช้บริการทุกเครือข่ายในขณะนี้จะใช้โปรโมชั่นเดิมได้จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 53  เพื่อให้การคงสิทธิ์เลขหมายไม่เกิดความสับสน  นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รักษาการเลขาธิการ กทช. เปิดเผยว่าจากการหารือกับผู้ประกอบการ 8 ราย  ยังมีความเห็นที่ต่างกันเกี่ยวกับการคิดค่าบริการ  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่นาทีละ 1 บาท

ส่วนกรณีที่ผู้ให้บริการบางค่ายไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าโทรศัพท์นอกเครือข่าย และในเครือข่ายให้เท่ากัน  สามารถทำหนังสืออุทธรณ์มายัง กทช. ได้ แต่หากมีมติยืนยันเช่นเดิม  ผู้ประกอบการก็ต้องใช้ช่องทางในการเรียกร้องผ่านศาลปกครอง



ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 G  คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปีนี้  โดยจะใช้เทคโนโลยี 3.9 G ซึ่งเร็วกว่าระบบ 3 G ถึง 20 เท่า  ซึ่งการใช้ 3 G จะเกิดขึ้นได้หลังจากที่มีการประกาศใบอนุญาต  เพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ให้เรียบร้อยก่อน  โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนก.ย. 53 นี้

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><