นมัสการครับ
ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ ทำงานได้สองปี บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ (ตอนเรียนอยู่หอ ไม่มีบ้านในกรุงเทพ) รายได้เกือบไม่พอรายจ่าย ช่วงนี้มีซอง ทำบุญงานบวชคนในที่ทำงาน หลายคน
ก่อนหน้านี้มีซองบอกบุณเรื่อยๆ กฐิน ผ้าป่า สร้างโบสถ์
ป้า ๆ ที่บอกบุญ สาธยายจนทนไม่ได้ ไม่บังคับเหมือนบังคับ
ทำไมวัดใช้เงินเยอะจังครับ ผมว่าเป็นการสูญเสีย ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียงด้วย
เมื่อไรป้าๆ จะเข้าใจว่าบางเดือนผมยังต้องขอตังแม่เพิ่มอยู่เลย
จะปฏิเสธอย่างไรดี น่ารำคาญจัง
น้องคะ..พี่ถือว่าน้องเป็นคนที่โชคดีมากแล้วที่มีคนนำบุญจากที่ต่าง ๆ ที่เรายังไม่มีโอกาสเดินทางไปมาบอกให้ถึงที่ แล้วการทำบุญร่วมกับเพื่อนร่วมงานบ่อย ๆ เป็นการสร้างกระแสกรรมที่ดีร่วมกันต่อ ๆ ไปการติดต่องานกับป้า ๆ ทั้งหลายจะสะดวกขึ้น ต้องขอบคุณเขานะจ๊ะ พี่เคยคุยกับแม่ค้าน้ำเต้าหู้แถวบ้าน เขาพูดประโยคนี้กับพี่เอง ว่าเขาค้าขายอยู่กับที่ไม่มีโอกาสไปไหน ๆ เช่น อีสาน เหนือ หรือใต้ ใครเอาบุญมาบอกเขาก็รีบทำ เขาได้แบงค์ใหม่ ๆ มาเขาเก็บแยกไว้อีกกระเป๋าหนึ่งสำหรับทำบุญเลยนะ 10 ..20 บาท ก็ทำไปเถิดน้อง ไม่ต้องเบียดเบียนตัวเองมาก ๆ ก็ได้ มีคนอีกหลาย ๆ คนก็ใช้วิธีแยกแบงค์ใหม่ไว้แบบนี้ไว้เวลาทำบุญเขาบอกว่าวิธีรู้สึกว่าทำใจได้ดีขึ้น การค้าของเขากลับดีขึ้นกว่าเก่าอีกแน่ะ แต่สำคัญเวลาทำไปต้องพยายามทำใจให้ผ่องใส เบิกบาน ให้คุ้มค่าที่ได้ทำบุญ ที่สำคัญคือการให้ทานเป็นการขจัดความโลภออกจากจิตใจ อย่าคิดว่าการให้เป็นการสูญเปล่า มันถูกเก็บไว้ในธนาคารบุญเรียบร้อยแล้ว หันกลับมามองดูใหม่(ลองเข้าไปอ่านใน www.Dungtrin.com เรื่องกรรมที่ทำให้รวย) คนทำบุญให้ทานน่ะมีกินไม่หมดหรอกน้อง แต่ต้องฉลาดในการบริหารทานของเรา อย่าลืมเข้าไปอ่านดูก็แล้วกันนะจ๊ะ ถาม – ทานในรูปแบบอื่นๆที่ให้ผลมากกว่าการใช้เงินนี่มีไหมคะ? คือทานแบบอื่นดิฉันก็พยายามทำประกอบไปด้วยค่ะ อย่างเช่นช่วยเหลือผู้อื่น ยินดีในความบุญกุศลของผู้อื่น เป็นต้น แค่ไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอรึเปล่าเท่านั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่าการทำบุญบางอย่างตระเตรียมน้อย แต่ให้ผลใหญ่ มีอานิสงส์มาก ซึ่งที่เป็นอย่างนั้นนะครับ มีรายละเอียดให้พูดถึงกันยิบย่อยเยอะแยะ แต่เอาหลักๆแล้ว ไม่ว่าจะให้ทานด้วยเงิน หรือด้วยกำลังสมอง หรือด้วยกำลังแรง ก็จะมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือใจที่คิดให้นั้นอ่อนโยนหรือกระด้าง กฎแห่งกรรมข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือจิตยิ่งอ่อนโยนเท่าไร ผลของทานก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นหากเป็นผู้ให้ทานภิกษุสงฆ์ด้วยความเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความอ่อนน้อม ให้ทานอย่างเข้าใจ ให้ทานด้วยความเห็นว่ามีผล อาการของใจดังกล่าวเหล่านี้แหละจะทำให้เกิดผลมาก แม้เงินเพียงน้อย แต่อานิสงส์จะไม่น้อยตามเงินเลย
ค่อยๆสำรวจไปทีละข้อว่าเราขาดข้อไหน เช่นยกของประเคนพระด้วยใจเคารพหรือเปล่า ให้ด้วยความเข้าใจหรือเปล่าว่ามีของอะไรถวายให้พวกท่านใช้ประโยชน์แบบไหน หรือในอีกระดับของทาน พอจะให้กระดูกหมาทั้งทีมีอาการอ่อนน้อมหรือแกล้งเอากระดูกปาหัวมัน (สำเร็จกรรมพร้อมกันสองประการ คือให้ด้วย รังแกสัตว์ด้วย) ขาดข้อไหนก็เสริมข้อนั้น จนกว่าจิตจะเต็มบริบูรณ์ด้วยอาการแห่งทานของสัตบุรุษ
อีกประการที่สำคัญ คือทานไม่ใช่กรรมใหม่ที่แก้กรรมเก่าได้ครอบจักรวาล โดยหลักแล้วทานเป็นกรรมที่แก้ความตระหนี่โดยตรง ทว่าทานในแต่ละประเภทจะให้ผลข้างเคียงเฉพาะตัว เช่นให้ทรัพย์จะเป็นผู้มีทรัพย์ ให้ปัญญาจะเป็นผู้มีปัญญา ให้แรงกำลังจะเป็นผู้มีกำลังแรง
สรุปโดยรวมขอให้คิดอย่างนี้ก็แล้วกันครับ การทำบุญแบบทุ่มสุดตัวคือการทำทานแบบมีน้ำจิตอ่อนโยน มีความเต็มใจให้เต็มที่แบบไม่หวงไว้ สามารถกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียวและความเล็งโลภอยากได้สมบัติผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม กับทั้งก่อให้เกิดความร่าเริงในทานเต็มเม็ดเต็มหน่วย ขอให้ดูด้วยตนเองเถิดว่าลงเงิน ลงแรง ด้วยกิริยาอย่างไรแล้วเกิดผลเช่นที่ว่านี้ ก็ถือว่าใช้ได้อย่างที่สุดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ถึงแม้ว่าฐานะจะยังไม่ดีขึ้น แต่ก็ทำให้คิดได้และเป็นสุขมากขึ้นทันใจแน่นอนล่ะครับ[/size]
(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว โดย ดังตฤณ)