22 พฤศจิกายน 2567, 04:16:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำอย่างไรจะอ่านหนังสือได้นานๆ  (อ่าน 25466 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2550, 14:16:57 »

นมัสสการครับ
อ่านหนังสือได้ไม่นานมีวิธีฝึกยังไงครับ

ทำคะแนนสอบได้ไม่ดีทำยังไงครับ

นั้งสมาธิช่วยให้อ่านหนังสือดีขึ้นได้จริงหรือ และช่วยได้ยังไงครับ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
วิสัชนา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 21

« ตอบ #1 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 16:59:15 »

อ้างจาก: "ปุจฉา"
นมัสสการครับ
อ่านหนังสือได้ไม่นานมีวิธีฝึกยังไงครับ

ทำคะแนนสอบได้ไม่ดีทำยังไงครับ

นั้งสมาธิช่วยให้อ่านหนังสือดีขึ้นได้จริงหรือ และช่วยได้ยังไงครับ


วิสัชนา...
           
ใช้วิธีอ่านแล้วพักบ่อยๆ เช่นอ่านสัก 30 นาที (ตัวเลขขึ้นอยู่กับความอดทนในการอ่าน)

แล้วก็พักสักประมาณ 10 นาที ไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย อย่าพักนาน แล้วก็กลับมาอ่านใหม่อีก

ครั้งต่อไปอาจลดเวลาลงเหลือ 25 นาที แล้วก็พักอีก แล้วก็กลับมาอ่านใหม่

ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ โดยเพิ่มเวลาขึ้น จาก 30 นาทีเป็น 35 นาที

อีกอย่างหนึ่ง อ่านวิชาที่ไม่ชอบก่อน พอเบื่อๆ ก็เอาวิชาที่ชอบมาอ่าน จะทำให้อ่านต่อไปได้

อย่าอ่านวิชาใดวิชาหนึ่งไปเรื่อยๆ สลับวิชาโน้นบ้าง วิชานี้บ้าง

ถ้าอ่านหนึ่งสือได้นานขึ้น คะเเนนก็จะดีมาเอง

แต่จำไว้อย่างไม่ควรเรียนหนังสือเพียงเพื่อให้ได้คะเเนนดีๆ เท่านั้น

คุณค่าของการเรียนหนังสืออยู่ที่การได้ฝึก..ความขยัน..ความอดทน..ความมุ่งมั่น

สิ่งเหล่านี้จะติดตัวเราไปจนกระทั่งโต สามารถนำไปใช้กับการงานได้

ชีวิตจริงไม่มีใครมาให้คะเเนนเรา

การนั่งสมาธิช่วยให้ความจำดีขึ้น เพราะทำให้จิตใจเราจดจ่ออยู่กับเนื้อหาวิชาที่เรียน

ไม่ใช่อ่านจบไปสองหน้า แต่จับสาระแก่นสารอะไรไม่ได้เลย อย่างนี้เรียกว่าไม่มีสมาธิ

ควรจะนั่งสมาธิเวลาที่เราพักยกจากการอ่านหนังสือ แล้วกลับไปอ่านต่อจะดีมากๆ

ประโยชน์ของการนั่งสมาธิมีผลพ่วงอีกมากมาย เกินกว่าจะบรรยาย
บันทึกการเข้า

เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ จิตย่อมใส ใจย่อมสว่าง ณ กลางกมล
ปุจฉา
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 69

« ตอบ #2 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2550, 14:45:03 »

อ้างจาก: "ปุจฉา"
นมัสสการครับ
อ่านหนังสือได้ไม่นานมีวิธีฝึกยังไงครับ

ทำคะแนนสอบได้ไม่ดีทำยังไงครับ

นั้งสมาธิช่วยให้อ่านหนังสือดีขึ้นได้จริงหรือ และช่วยได้ยังไงครับ



ลองศึกษาวิธีเพิ่มเติมดูนะคะ  เผื่อจะเวิร์ค

ถาม – อยากเรียนแต่ท้อค่ะ อยากเตือนตัวเองให้มีสติในการทำงานให้สำเร็จ เพราะกังวลและวิตกตลอดเวลาว่าเราทำไม่ได้ ไม่เก่งพอ จะทำงานส่งอาจารย์ก็ไม่แน่ใจ ตอนอ่านหนังสือก็ไม่มีสมาธินานๆ เหมือนต้องฝืนเหนื่อยต่อสู้กับความฟุ้งซ่านจนไปๆมาๆไม่รู้ว่าอ่านอะไรอยู่ แล้วก็พานนึกกังวล นึกเปรียบเทียบ คิดแต่ว่าเราไม่สามารถทำได้เหมือนคนอื่น รู้สึกแย่มากๆค่ะ ขอคำแนะนำให้ผ่านด่านยากลำบากตรงนี้ที

ข้อจำกัดของระบบการศึกษาในโลกมนุษย์นั้น คือการที่ไม่สามารถจัดหาวิชาความรู้ที่ถูกจริตมาป้อนให้กับนักเรียนแต่ละคนโดยเฉพาะ พวกเราถูกตีกรอบให้เรียนกว้างๆแบบรู้รอบตัวมาเหมือนๆกัน และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เริ่มต้องเลือกว่าจะเข้าลึกไปในทางสาขาวิชาชีพใด จะพร้อมหรือไม่พร้อม จะรู้จักหรือยังไม่รู้จักตัวเอง ก็ต้องกัดฟันเดินหน้ากันท่าเดียว

ความมีใจรักนั้นเป็นตัวตั้งต้นที่สำคัญมาก หากปราศจากใจรักในการทำอะไรสักอย่าง คนเราจะขาดความเต็มใจหมั่นเพียร และเมื่อขาดความเต็มใจหมั่นเพียรก็ยากจะฝักใฝ่ ทุ่มกำลังและออกแรงคิดค้นหาทางพัฒนาความฉลาดในด้านนั้นๆ แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ น้อยคนจะ 'โชคดี' มีโอกาสเรียนสิ่งที่ใจรักจริงๆ ตั้งแต่ระดับประถมไปจนถึงมหาวิทยาลัย เราได้ยินเสียงวัยรุ่นบ่นกันเสมอว่าไม่รู้ตัวเองชอบอะไร อยากทำงานด้านใด โดยมากจะตามๆกัน ทั้งการเรียนและการทำงาน

การมีใจรักสาขาวิชาชีพอันใดอันหนึ่งนี้ ถ้าพูดโยงไปถึงอดีตกรรมในปางก่อน ก็ต้องบอกว่าเคยอุทิศตนให้กับสาขาอาชีพนั้นๆ เคยเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาขาวิชาชีพนั้นๆแก่สังคมในวงกว้าง ตลอดจนเคยคิดค้นพัฒนาให้สาขาอาชีพนั้นๆเจริญขึ้น ชีวิตปัจจุบันจึงเกิดมาพร้อมกับคำว่า 'โชคดี' มีพรสวรรค์ มีใจรักอาชีพนั้นๆโดยไม่ต้องมีใครบังคับ แค่ดูๆจับๆหน่อยก็กลายเป็นคนเก่ง คนมีความรู้รอบแตกฉานเกินใครๆรอบตัวได้

ความมีใจรักและความสามารถที่โดดเด่นจะก่อให้เกิดความมั่นใจในตนเอง แล้วก็กลายเป็นอีกชาติที่คร่ำหวอดจนช่ำชองในวงการเดิมๆของตน เรียกว่าถ้าอดีตเคยประกอบเหตุไว้ให้ชาตินี้โชคดีมีพรสวรรค์และความสามารถสำเร็จรูปแต่ต้นวัย ก็ลอยลำสบายไปอีกชีวิตหนึ่ง ไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องเสี่ยงเลือก ไม่ต้องบีบบังคับตัวเองให้ต้องทรมานทรกรรมกับการศึกษาเล่าเรียนสิ่งที่ไม่อยากรู้อยากเห็นเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าชีวิตปัจจุบันเราไม่สามารถปลูกฝังความรักในวิชาชีพเอาเสียเลย หนึ่งชีวิตมนุษย์มีศักยภาพสูงมากครับ ขอเพียงเข้าใจกลไกทางจิต ว่าทำอย่างไรจึงจะคิดรักวิชาความรู้ที่เราเลือกแล้ว ป๊อบแป๊บเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนจากคนไม่เก่งมาเป็นคนเก่ง เปลี่ยนความรู้สึกทอดอาลัยตายอยากแบบคนกำลังเดินทางรอนแรมกลางทะเลทรายไร้จุดหมาย มาเป็นคนมีกำลังวังชาตาตื่นที่เห็นจุดหมายอยู่แค่เอื้อมได้

ผมเข้าใจดีว่าคุณกำลังเซ็งมาก เพราะฉะนั้นเริ่มจากตรงนั้นก่อน ความเซ็งเกิดจากทัศนคติที่ไม่ดี ทัศนคติที่ไม่ดีคือผลรวมของประสบการณ์ด้านลบหลายๆอย่าง เช่นวิชายาก เรากำลังอยากสนุกแต่ต้องมาเป็นทุกข์กับเรื่องยากๆที่ไม่ชอบ สอบแล้วก็ไม่ได้คะแนนเป็นที่น่าชื่นใจ จะเข้าใจแต่ละบทต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทนซ้ำทนซากแล้วก็เหมือนย่ำกับที่ ไม่ถึงปีจบเสียที ฯลฯ

เจออะไรโหดๆ ขมๆ ไม่หวานชื่นมา ก็ต้องเกลียดหรือรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กันเป็นธรรมดา ยิ่งใจบอกว่าต้องเปิดหนังสืออ่าน มือก็หนัก ปกหนังสือก็หนัก สายตาก็ไม่อยากทำหน้าที่ ความรู้สึกภายในมีแต่ลบกับลบ ฉะนั้นโจทย์คือทำอย่างไรจะเอาชนะความรู้สึกด้านลบที่มีต่อหนังสือหนังหาได้

มองให้เห็นตามจริงว่าใจคุณกำลังแข็งกระด้าง ตั้งตนเป็นศัตรูกับหนังสือ เป็นศัตรูกับความรู้ในหนังสือ ความรู้สึกโดยรวมจึงกลายเป็นตุ้มถ่วงไม่ให้สายตาเปิดรับหนังสือ และเป็นกำแพงกั้นขวาง ไม่ยอมปล่อยให้ตัวหนังสือเข้ามาถึงใจเรา

เมื่อเห็นตามจริงด้วยมุมมองดังว่าแล้ว ก็ต้องหาทางเปลี่ยนใจที่กระด้างให้กลับอ่อนโยนลง และ เปลี่ยนท่าที่ของศัตรูมาเป็นมิตร หรือให้ยิ่งกว่านั้นคือยอมตัวหัวอ่อนลงเป็นศิษย์ อุบายง่ายที่สุด ลัดสั้นเห็นผลเร็วที่สุดที่จะทำจิตให้เป็นเช่นนั้น ก็คือยกมือพนมไหว้หนังสือสวยๆ ด้วยใจจริงที่อ่อนน้อมเหมือนไหว้ผู้ใหญ่ที่เราเคารพ

เมื่อใดที่ไหว้ เมื่อใดที่ใจน้อมจริงๆ ยอมตัวแล้วจริงๆ ความฝืนจะหายไปชั่วขณะหนึ่ง ให้ฉวยโอกาสนั้น คุณอาจก็ลองอธิษฐานกำกับไปด้วย ว่าขอความมีจิตใจที่นุ่มนวลลงด้วยการไหว้นี้ จงเป็นช่องทางเปิดรับวิชาความรู้จากหนังสือโดยง่าย

ที่ผมให้อธิษฐานอย่างนี้ ความจริงก็คือให้จิตเห็นหลักความจริงนั่นเอง ความจริงที่ว่าเมื่อกำแพงพังลง ความรู้ก็ไหลบ่ามาเข้าสมองง่ายขึ้น

พอยอมอ่านหนังสือ อ่านแล้วเข้าใจ เข้าใจจนจบ จบแล้วสนุกได้ครั้งหนึ่ง กำลังใจก็จะทวีขึ้นนิดหนึ่ง พอคราวหน้าถึงเวลาต้องอ่านหนังสือ นึกถึงหนังสือแล้วก็จะอยากไหว้ อยากเปิดอ่านอีก ในที่สุดคุณจะพบความจริงที่ว่า ความเคารพในวิชานั่นแหละชนวนแห่งการยอมรับ เมื่อยอมรับก็สนใจ เมื่อสนใจก็ฝักใฝ่ เมื่อฝักใฝ่ก็เริ่มฉลาดขึ้น แล้วนำไปสู่ความมั่นใจ รู้สึกเป็นกันเองกับวิชา จนที่สุดก็มีใจรักอย่างแท้จริง ลงหลักปักฐานหยั่งรากลึกอย่างถอนไม่ขึ้น

ผมคงแนะนำแนววิธีเพื่อการเรียนดีทั้งหมดภายในพื้นที่จำกัดไม่ได้ ก็ได้แต่คัดเลือกจุดที่จะทำให้คุณเริ่มต้นด้วยก้าวเดินที่ง่ายหน่อยเท่านั้น หวังว่าคงช่วยนะครับ
บันทึกการเข้า

คนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังมีนาทีที่น้ำตาไหลริน
pracharatch916
Newbie
*

เฮ้ย เฮียเองนะ ขายสบู่ ตกพื้นอ่ะจ้ะ
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
กระทู้: 4

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2559, 02:43:20 »

ผมว่าการอ่าน ก็ลองอ่าน แบบเร็วๆ ไม้ต้อง เก็บรายละเอียดมากครับ พอจบเล่ม ค่อยมาอ่านเก็บรายละเอียด ที่ละหัวข้อ
งานอ่าน เป็น งานอดิเรกนะครับ ค่อยๆ เก็บ Details แต่ต้องเลือกหนังสือที่อ่านด้วย หนังสือ หลายๆเล่ม เสียเวลาอ่าน ต้องคัดกรองดีๆ เพราะ ทรัพยากรณ์ สำคัญคือเรื่องของเวลาครับ
      บันทึกการเข้า

  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><