นมัสการค่ะ
ลูกชายกำลังวัยรุ่น ติดเกมมาก บางวันแอบลงมาเล่นที่ห้องหนังสือข้างล่างตอนตีสาม
ทำอย่างไร จึงจะพูดกันรู้เรื่อง และเลิกเล่นเกมส์ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอนำคำถาม-คำตอบ ของ ดังตฤณ จากคอลัมน์ ในหนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวมาฝากไว้ให้พิจารณาด้วยนะคะ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง
ถาม – หลายครั้งพยายามพูดกับลูกง่ายๆแล้ว แต่ก็เหมือนพูดกันคนละภาษา ลูกมีท่าทางเหมือนเข้าไม่ถึงสิ่งที่เราพูด แล้วก็ไม่อยากคุยกับเราเกี่ยวกับปัญหาของเขา ทั้งที่เขาก็แก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้ อันนี้เป็นปัญหาของกรรมสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ ที่กำหนดให้เราช่วยเหลือลูกไม่ได้ ปกติเขาจะเป็นเด็กฉลาดในการเรียน แต่พอเจอปมปัญหาทางอารมณ์บางอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับเพื่อน แฟน พี่น้อง และครู ก็จะติดตันอยู่อย่างนั้น ตลอดจนพยายามแสดงออกหรือคิดแก้ปัญหาด้วยความก้าวร้าว ขอคำแนะนำอะไรก็ได้ที่จะช่วยให้สื่อกับลูกเข้าใจมากขึ้น
ขอกล่าวถึงเฉพาะปัญหาการสื่อสารก็แล้วกันนะครับ เพราะปมปัญหาระหว่างพ่อแม่ลูกในปัจจุบันนี้มีความซับซ้อนมาก อันที่จริงคุณใส่ใจลูกก็ถือว่าลูกโชคดีมากแล้ว เพราะมีพ่อแม่อีกหลายบ้านที่ไม่เอาลูกเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียว แค่ทำงานหูตาเหลือกก็เหนื่อย ก็เบื่อ ก็ท้อต่อการรับผิดชอบภาระตนเองแล้ว การณ์จึงมักปรากฏว่าเลี้ยงลูกด้วยสตางค์อย่างเดียว ความรักความอบอุ่นจากการพูดจาและการอยู่ร่วมกันไม่ค่อยมี โดยรวมลูกจึงรู้สึกเหมือนถูกเลี้ยงมาแบบทิ้งๆขว้างๆมากกว่าอย่างอื่น
มีคนเคยชวนผมไปคุยกับเด็กวัยรุ่น และขอให้เล่านิทานทางพุทธให้เด็กฟัง ผมคุยกับเด็กสองสามคำก็รู้แล้วว่าขืนเล่านิทาน มีหวังหัวเราะเยาะผม เห็นผมเป็นตาแก่ไม่ทันโลกอย่างแน่นอน เพราะความรู้ ความคิด และความฉลาดของเด็กนั้น อาจจะมากกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก
ผมอยากเสนอกว้างๆว่าถ้าเด็กรู้ความแล้ว จะอายุอานามเท่าใดก็ตาม หากเขามีแววฉลาด ก็พูดคุยกับเขาเหมือนผู้ใหญ่คุยกันเลยจะดีกว่า
เรามักเข้าใจผิด คิดว่าคุยกับเด็กต้องใช้ภาษาเด็ก คิดง่ายๆแบบเด็ก เด็กถึงจะเข้าใจ ที่แท้แล้วการพูดคุยโดยเล็งว่าเขาเป็นเด็กนั่นแหละ อาจจะเป็นตัวปัญหา คุณต้องมองว่ายุคนี้เด็กๆบริโภคสื่อที่เต็มไปด้วยเนื้อหาซับซ้อนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ทั้งเพลง ทั้งละคร ทั้งโฆษณา ไม่ได้เรียบง่ายแบบกุ๊กไก่แมวเหมียวน่ารักเหมือนเมื่อก่อน คำบางคำที่คุณคิดว่าเด็กอายุ ๔ ขวบไม่เข้าใจ เขาอาจเข้าใจเสียยิ่งกว่าผู้ใหญ่อายุ ๔๐ บางคนที่กิเลสหนาๆเสียอีก
จุดแรกที่ผมอยากแนะให้แก้คือมุมมองของคุณเอง ต่อไปนี้เมื่อจะพูดคุยกับเขา ลองตั้งไว้ในใจว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ธรรมดาๆคนหนึ่ง สามารถรับรู้และเข้าใจเหตุผลในแบบของคุณได้ทุกอย่าง เมื่อเปลี่ยนมุมมองเช่นนั้น คำพูดทุกคำของคุณจะต่างไป ถ้าหากเขามีท่าทีรับฟังมากขึ้น และเหมือนเข้าใจมากขึ้น ก็ให้ตัดสินว่ามาถูกทางแล้ว
จุดที่สองได้แก่ศิลปะทางจิต บางทีคนทั่วไปไม่รู้หรอกครับว่า การสื่อสารที่ล้มเหลวนั้นเริ่มกันตั้งแต่จิตแล้ว ไม่ใช่ต้องรอให้พูดกันเป็นคำๆเสียก่อน ลองทบทวนดู มีไหมที่คุณเคยต้องเข้าพบเจ้านายหรือผู้ใหญ่ท่าทางเครียดๆ เหมือนไม่พร้อมจะรับฟังอะไรจากคุณ เป็นแต่จะเป็นฝ่ายสั่งคุณท่าเดียว หากจำเป็นต้องคุยกันยาวๆ คุณจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนกว่าปกติ ทั้งนี้ก็เพราะคุณต้องตั้งใจเป็นพิเศษที่จะรับฟังเขาให้ตลอดรอดฝั่งนั่นเอง
จิตของคนนะครับ ถ้าไม่ยอมรับกัน ถ้าไม่เป็นไปในทางเดียวกัน หากต้องคุยกันต้องพยายามจูนอย่างหนัก ก่อนฟังคำพูดแต่ละประโยค คุณต้องดันจิตตัวเองให้ผ่านช่องว่างระหว่างกันเพื่อเข้าถึงเขา บางทีก็เจอแรงผลักกลับให้รู้สึกเหมือนถอยห่างออกมา หากคุณเคยเกิดประสบการณ์ชนิดนี้ ก็ต้องเข้าใจว่าลูกอาจรู้สึกเช่นเดียวกัน
ผมเห็นอาการคาดคั้นของพ่อแม่หลายๆรายแล้ว บางทีก็ขำนะครับ อยากให้ลูกยอมรับ แต่สร้างเหตุให้ลูกปฏิเสธ คนเราจำความรู้สึกในวัยเด็กของตัวเองกันไม่ค่อยได้ มีเด็กที่ไหนชอบให้พ่อแม่ทำหน้าดุๆระหว่างพูดคุยกับตัวเอง? ถ้าคุณทบทวน นึกออก และรู้ตัวว่าพลาดไป คุณจะเป็นพ่อแม่ที่มีเมตตา นุ่มนวล และไม่สร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างตัวเองกับลูกโดยไม่รู้ตัว
กระแสจิตแบบเมตตามักเป็นกลาง เป็นสากล และเข้ากับจิตได้เกือบทุกประเภท เพราะมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายชอบกระแสความเย็นจากจิต หากคุณกลับจากที่ทำงานแล้วเครียด ก็อย่าเพิ่งคุยกับลูกเรื่องหนักๆที่เป็นปัญหาทันที เพราะจะไม่ช่วยแก้ แต่อาจทับถมความเครียดของเขาด้วยความเครียดของคุณเอง
ขอให้อาบน้ำอาบท่า กินข้าว และรอจนกว่าจะถึงจุดที่ชุ่มฉ่ำใจโดยทางใดทางหนึ่งเสียก่อน แล้วค่อยนั่งลงคุยกับเขาด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง รู้ทันตัวเอง ห้ามตัวเองไม่ให้มีสีหน้าและน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง รักษาระดับความรู้สึกเป็นพ่อเป็นแม่ที่พร้อมจะเอาใจใส่ลูกด้วยความเยือกเย็นหนักแน่น นั่นแหละกระแสจิตของคุณกับเขาจะต่อกันติดครับ พูดอะไรเขาก็รับฟังหมด รู้เรื่องหมด รับรอง