22 พฤศจิกายน 2567, 15:07:15
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: อาหารเสริม .. สุขภาพ.. ความงาม ..รู้ทันมะเร็ง..  (อ่าน 15688 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 11:45:56 »

ในฐานะที่เป็นเภสัชกรประจำศูนย์มะเร็ง ชลบุรี นะคะ

ขอกระจายข่าวสารเกียวกับสุขภาพและอาหารเสริมที่บางคน (บางครั้งก็แกมนี่แหละ)ที่เข้าใจผิดๆ

เพื่อพี่ๆน้องๆจะได้เตรียมตัวและป้องกันตัวเองได้อย่างถูกต้อง

ถ้ามีคำถามก็ลองส่งมานะคะจะค้นหรือสอบถามผู้รู้ให้

สำหรับผู้ที่รักสุขภาพตัวเองและคนที่คุณรักนะคะ
บันทึกการเข้า
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #1 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 11:49:31 »

เริ่มด้วยเรื่องนี้เลยค่ะ

ในปี 2539 รายงานการวิจัย โดย Physicians Health Study ยืนยันว่า การเสริมผลิตภัณฑ์เบต้าแคโรทีน นอกจากไม่ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งหรือโรคหัวใจ ตามที่เคยเชื่อกันแล้วยังอาจสร้างอันตรายต่อร่างกายได้อีกด้วย ข้อมูลดังกล่าวก่อให้เกิดข้อวิจารณ์ทางวิชาการมากมาย

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่ง Fred Hutchinson Cancer Research เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา ศึกษาชาวฟินแลนด์ ที่สูบบุหรี่ 18,314 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการเสริมวิตามินในรูปเบต้าแคโรทีน 30 มิลลิกรัมและวิตามินเอ กลุ่มที่สองทำการเสริมยาหลอก ศึกษานาน 60 เดือน แต่เมื่อศึกษาไปได้ 21 เดือน ผู้วิจัยจำเป็นต้องหยุดโครงการ เนื่องจากข้อมูลการศึกษาในระยะแรกบ่งชี้ว่าอุบัติการณ์ ของมะเร็งปอดในกลุ่มแรกมีจำนวนสูงกว่ากลุ่มที่สองถึง 28% เสียชีวิตมากกว่า 17%
บันทึกการเข้า
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #2 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 11:53:10 »

เมื่อหาข้อมูลแล้วสรุปสั้น ๆ ได้ว่า

เบต้าแคโรทีนสามารถรับได้จากการทานผักผลไม้ที่มี เช่น แครอท มะเขือเทศ
ก็เพียงพอแล้วค่ะยังไม่มีรายงานนะคะว่าได้รับขนาดสูงๆแล้วดีอย่างไรค่ะ


ผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง อย่างที่กระทรวงสาธารณะสุขเคยโฆษณาก็ถูกต้องค่ะ

(เคยมีหมอแมะเกาหลีบอกว่า"กระ-ฝ้า" ที่ไม่มีทางหายก็สามารถจางลงได้จากการทานผักผลไม่เยอะๆค่ะ)
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #3 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 14:44:37 »

Nong Gam,
p.ning used to read the article in Germany talking about the study of cancer and its cause..why the southern European  people:Spain,Italy,Greece etc have a low rate of cancer every sort compare to other north European country....They presume the high comsume of :tomato,red wine ,dry cheese and olive oil!cause these are the typical food of southern part of Europe....
p.nn
บันทึกการเข้า


GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #4 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 15:44:16 »

มันเป็นเรื่องของ    อนุมูลอิสระ ( Free Radicle ) เรื่องนี้คุยกันได้ยาวเลย
เพราะมันเกี่ยวข้องกับทั้ง
*ความงาม
*ความแก่ชรา
*ความเสื่อมของร่างกาย
*โรคมะเร็ง

เพราะเจ้า Free radicle หรือ Oxidant เนี่ยเป็นสารพิษต่อเซลล์ร่างกาย ถ้ามีมากใน เซลล์ก็เป็นอันตรายได้โดยจะทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเซลล์ และอื่นๆ แต่เซลล์ร่างกายพวกเม็ดเลือดขาว
ก็ใช้สารพวกนี้กำจัดแบคทีเรีย หลังจากที่เซลล์กินแบคทีเรียเข้าไปในตัวแล้ว

และเชื่อว่า มีผลต่อการอักเสบ และการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น ในระยะยาวอาจมีผลต่อ ความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารการก่อมะเร็ง และโรคหัวใจ ต้อกระจก
บันทึกการเข้า
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #5 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 15:50:18 »

ร่างกายก็มีกลไกที่จะกำจัด อนุมูลอิสระ เหล่านี้โดย 2 วิธี คือ
1. ใช้เอนไซม์ต่างๆในร่างกายเช่น Superoxide dismultase ( SOD ) และ
2.ไม่ใช้เอนไซม์ ได้แก่ วิตามิน อี ( a tocopherol   เบตาคาโรทีน ( Betacarotene ) และ วิตามิน ซี  

และมีผู้สังเกตว่า เอนไซม์ต่างๆที่ใช้กำจัด อนุมูลอิสระ เช่น SOD มีได้จำกัด แต่สารที่เราสามารถทานเสริมได้แก่ วิตามิน อี วิตามิน ซี เบต้าคาโรทีน   ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือมีอีกชื่อว่า Antioxidant  

เนื่องจาก เบต้าคาโรทีน
มีมากในผักและผลไม้บางชนิด จึงมีการสนับสนุนให้ทานสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากชึ้น
โดยมีความเชื่อว่าอาจลดการก่อมะเร็ง ลดการเป็นโรคหัวใจ ขาดเลือดและ โรคอื่นๆ

แต่...


เนื่องจากมีความเชื่อดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์เลยเอาไปทำการวิจัย (เชื่อว่าเพื่อยืนยันผลดีของมันนะคะ) แต่ผลกลับกลายว่าต้องหยุดการทดลองเพราะให้คนที่สูบบุหรี่ (เมื่อแบ่งเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มที่ได้ เบต้าฯ กับไม่ได้เนี่ย กลุ่มที่ได้กลับเป็นมะเร็งมากกว่าและมีอัตราการตายมากกว่าดังที่แกมได้โพสต์ไว้ค่ะ
บันทึกการเข้า
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #6 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 15:58:32 »

แค่ Antioxidant ก็ยาวแล้ว
ส่วน vine cheese และ olive oil

มีดีแน่ๆ ค่ะ แต่อดใจรอหน่อยนะคะ

ว่าแต่ว่าพี่ nn ชอบทานอะไรบ้างคะ
(อย่าว่าใครเลยแกมก็ชอบแต่ครีมๆ อาหารปิ้งย่าง มันๆ หวาน ดีดีทั้งน้าน) :wink:  :wink:
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 16:11:03 »

Nong Gam ka,
p.ning uses olive oil to cook and "maak nuer"or for her tomato salat in the family since more than 10 years.cheese..hmm,very little ka...but tomato ..this is my main veg could not miss in the fridge!!!as she will throw it always into her Braten sauce(tomato contain any component..it taste good as if you use MSG!!)
They said(the article)there are no 100 % to any exactly name things of veg and fruit that could protect cancer,they assume the south European consume less red meat but more red veg.and other balance combination
I love "Lycopin"component in the tomato...
p.nn
บันทึกการเข้า


GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #8 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 20:00:50 »

you are what you eat

พี่nn กินอาหารเพื่อสุขภาพดีจัง
ว่าแต่เด็กๆทานผักยากมั้ยคะ
ฝึกแต่เด็กจะได้เป็นนิสัย โดยไม่รู้ตัวค่ะ
 เด็กบางคนไม่กินน้ำอัดลม หรือของมัน ๆ เลย
แต่บางคนติดมาจนโตไม่กินไม่ได้


แกมก็อยากชอบกินอาหารเพื่อสุขภาพบ้างจังจะได้ไม่ต้องคิดมากก่อนจะกินอะไรค่ะ
บันทึกการเข้า
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #9 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 20:44:54 »

มีอีกเรื่องที่คิดว่าสำคัญค่ะ

สำหรับผู้ที่โชคไม่ดี ต้องมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง

มีคำถามมากมายเกี่ยวกับสมุนไพร ในรายละเอียดขอยกไว้ก่อนนะคะ

แต่สิ่งที่อยากให้จำไว้คือ

ยาสมุนไพร หรือ วิตามินบางตัวมีผลต่อการรักษามะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญเลยที่เดียว
ฉะนั้นทุกครั้งที่จะใช้สมุนไพรควบคู่กับการรักษาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชที่เกี่ยวข้องนะคะ
ไม่เช่นนั้นการรักษาที่ไม่ได้ผลอาจมาจากสมุนไพร หรือ วิตามินก็ได้ค่ะ


และที่สำคัญอีกประการคือ ห้ามขาดการติดต่อกับคุณหมอเด็ดขาดนะคะ
เพราะชั่วเวลาไม่กี่สัปดาห์เนื่ยแหละเซลล์มะเร็งสามารถเจริญเติบโตข้าม stage ได้เลยทีเดียว

มีหลายคนพึ่งพายาหม้อ หายไปเดือนสองเดือน กลับมาอีกทีข้าม stage กันเลย
บันทึกการเข้า
GaMmY_Rx
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62

« ตอบ #10 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 20:50:36 »

ตัวอย่าง สิ่งที่มีผลต่อการรักษานะคะ

เบต้าแคโรทีนในผู้ป่วยมะเร็งปอด

วิตามิน Mega dose (ทานครั้งละสิบกว่าเม็ด) ในผู้ป่วยที่ได้ยาน้ำสีแดง (Doxorubicin)

หญ้าหนวดแมว ในผู้ปว่ยที่ได้รับยาเคมีทุกรายค่ะ
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #11 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2550, 22:40:50 »

อ้างจาก: "GaMmY_Rx"
you are what you eat
พี่nn กินอาหารเพื่อสุขภาพดีจัง
ว่าแต่เด็กๆทานผักยากมั้ยคะ
ฝึกแต่เด็กจะได้เป็นนิสัย โดยไม่รู้ตัวค่ะ
 เด็กบางคนไม่กินน้ำอัดลม หรือของมัน ๆ เลย
แต่บางคนติดมาจนโตไม่กินไม่ได้
แกมก็อยากชอบกินอาหารเพื่อสุขภาพบ้างจังจะได้ไม่ต้องคิดมากก่อนจะกินอะไรค่ะ


Nong Gam,
I try my best to socialize them like I used to have from my own parent.They did it as a sample..we as a children do it after...my son could hardly eat any veg.he always has some reasons why it taste him not!!what to do?I cook like usual again and again repeating...I told him eat it or left it but I will never cook extra for him(bad mum :twisted: )and hope he alone would adapt to us three...
We make a big bowl salat every evening ka.
p.nn(healthy and quite fat!!)
บันทึกการเข้า


webmaster
Administrator
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852

« ตอบ #12 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2550, 15:38:40 »

น้องแกม ขอบคุณมากค่ะ สำหรับเรื่องน่ารู้เช่นนี้ค่ะ
บันทึกการเข้า

ORKS BEHIND THE SCENE
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2551, 08:07:35 »

นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง

กิตติกรณ์  พูลสิน - วิศวะ 16 ... ส่งมา



ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใสดูราวคนอายุ ๕๐ ต้น ๆ   หลายปีก่อนท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย   คุณหมอเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้งใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบำบัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด
 
คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผัก ผลไม้ การกินวิตามินเสริม การออกกำลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทำตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด มองโลกในแง่บวก ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สำคัญคือกำลังใจจากครอบครัว
   
สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็ง   ทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิตในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนคร คอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ในขณะที่มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมาหาท่าน   คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยว และสิ้นหวัง แต่ การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสำคัญที่สุด เราต้องทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่งเดียว คือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านกิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง ที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของท่านหรือไม่
   
๗ อ ที่ว่านี้คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียด สูดอากาศบริสุทธิ์ เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและอิทธิบาทสี่
   
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิต แต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่างจริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ   คุณหมอบอกกับเราว่า มะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็นครั้งที่ ๒   ขณะที่มะเร็งกำลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะรู้ว่า จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอย่างไร




คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ

ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย   ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี
 
ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
   
ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย   ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัด   พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม   เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่ และอยากกลับมาอยู่ป่า เพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว
 
ตอนเป็นมะเร็งหนัก   ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่าคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์   พอลูกเตือนสติว่า ไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่จริง   ... นั่นแหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม มะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒   ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะ ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งทีเดียว   คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ   คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า ใครจะไปบอก เพราะผมอยู่ในป่าคนเดียว   จนกระทั่ง คิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือการคิดแบบตรงกันข้าม   เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขามา   หรือมีคนด่าเรา ถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์    พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด   คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร   และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอ จะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย   เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน   แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง
 
 
มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
 
ใช่ครับ   แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจนลือชื่อเลย   ผมได้คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทำให้ผมเป็นมะเร็ง   แต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้จิตต้องเปลี่ยน นิสัยการกินต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด   เท่านั้นแหละ ดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง   ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น   โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย  คือเรา ไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่และวิตามิน   ผมอยู่ในป่า อาหารที่กินประจำคือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง
 
ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ
 
เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า   ผมอ่านหนังสือเจอว่า คนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีน ชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค . ศ . ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค . ศ . ๑๙๓๓   เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือโสมจีนและใบบัวบก   ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ ปีแค่นั้น   ท่านบอกว่าเป็นเพราะ อาหารและความไม่เครียด   ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่ได้ ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย   แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ   วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะหาย
 
แต่ก่อนมีความคิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไม มีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด   เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด   คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉะนั้นทุกวันนี้ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้ เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว   พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆ รู้ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด   ผมไปสะดุดมีดสะดุดพร้า เท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมัน ที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสียว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า

   
คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย ใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด ... ใช่ไหมครับ
 
อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กิน   ในช่วงนั้น เราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่   ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด   วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนัก อย่าท้องผูก กินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก   เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย   เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรม ดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจัดการให้ได้



หากแก้ปัญหาเรื่องเครียดได้แล้ว โอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้น
 
ก็เราเคยเห็นคนบ้าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดัน หรือท้องเสียไหมล่ะ ขนาดเขาหาของกินจากถังขยะ   เคยเห็นคนบ้าเป็นมาลาเรียหรือไม่   แต่อย่าไปตรวจเลือดนะ เชื้อมาลาเรียเต็มเลย แต่เชื้อทำอะไรเขาไม่ได้   เชื้อโรคเหล่านี้ความจริงมันเป็นเพื่อนเรา   ฉะนั้นจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทำอย่างไรไม่ให้เครียด
   
มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว   ทีแรกบวชเพราะต้องการทำสมาธิ แต่ทำไม่ได้ คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ   ผมบอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับ   ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะ   จากเดิมที่อาการหนักใกล้จะเสียชีวิตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านม แล้วเข้าปอด เข้าสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ   ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้หาย ไม่มีอาการอะไรเลย   เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทำสแกนดู ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี ตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย

   
เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดีขึ้น
 
หากท่านสามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมีสมาธิ   ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารี ให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมา พวกนี้เป็นฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดดี ๆ ออกมาเพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงาน จนกระทั่งต่อมต่าง ๆ ที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาว ทำงานได้เต็มที่    คือ มันเริ่มมาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที   แต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา   มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา   แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน ๑๙๑ ชนิด   แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน   มันอยู่ที่ตับเรา สามารถสังเคราะห์ได้หมด   การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้ไม่เจ็บปวด

ฝึกอย่างไรให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก
 
คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้   ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์เดียวผมเปลี่ยนจิตได้เลย   มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย   แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย   พอแก้ได้ อาทิตย์เดียว หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว   ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนัก มากๆ   ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว   ลูกสามคนมาให้กำลังใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะ มะเร็งไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่ ๒ อีกเลย   ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกำลังใจอยู่ ก็คิดได้   หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้ ก็หายวันหายคืน    กระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ   อยู่ในตัวผมไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันที
   
พระพุทธองค์ท่านบอกว่า จิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น   ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า พลังที่รุนแรงที่สุด มีอำนาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้   แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถคิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้   ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศึกษาเรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำสมาธิ ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้ง ๆ ที่เป็นยิว

   
ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับ หรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล
 
ไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ทางนี้   คือเรารู้มาอย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ ก็จบ   แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เราก็ตาย   ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผัวเมีย เป็นมะเร็งตายทั้งคู่   เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน คือผ่าตัดและคีโม   แต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย   ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้เยอะมาก   ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ
   
หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง
 
วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร   อย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด    ตามปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว   ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน   ไขมันที่เรากินทุกวันมันเกิด ออกซิไดซ์ เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวกปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง   คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ย มันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย   มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบ
   
อาหารอย่าง ต่อมาที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลือง   เมื่อเรากินโปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้ว จะเกิดของเสียคือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็น ยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น   พิษจากลำไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลย คนท้องผูกจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี   ดังนั้น ตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับต้องระวังที่สุด


คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ
 
คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวัน ฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผัก ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว   พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ำ   แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกันมะเร็งและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก   สารตัวนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มีประโยชน์
 
อาหารอย่าง ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของหวาน   อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก   หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ   เวลาร่างกายต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน   บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้   ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด ของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมัน ได้   ตับเปลี่ยนไขมันหรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน




แป้งขัดขาวทำปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับ

เวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก   ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย   พอน้ำตาลในเลือดมาก สมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับ อินซูลิน ออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน   วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์   แต่ข้าวที่เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว   ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทำให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับอ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น   สมองไฮโปเทมัส ส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย   เพราะฉะนั้น พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก   ตอนน้ำตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวัง จะดุมาก    ตอนกินจะอารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียวจะอารมณ์เสียแล้ว    เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส   พอแป๊บเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย   ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวก พวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวาน ปรากฏว่าภายในอาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ

คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย
 
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอน หรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ   สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่างเป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย   พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมันก็ขึ้นสูง หัวใจทำงานหนักเนื่องจากกระเพาะทำงานหนัก   เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่างยังทำงานหนัก พลังงานก็ไม่ได้ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก   คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้   ผมสังเกต ดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้นเลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก พวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนักมาก
 
นอกจากน้ำตาลแล้ว เกลือก็ต้องลดด้วยใช่ไหม
 
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดน้ำในตัวเรา   สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือดเราเป็นกรด   คนที่สุขภาพดี เลือดต้องเป็นด่างนิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทานจะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับ โปแตสเซียม ทำให้เลือดไม่เป็นด่าง
 
นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่าง เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึง ให้กินน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด   ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซียม   แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี เราต้องดูผลเลือด
       
การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอา


วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์
บันทึกการเข้า
Jiab16
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,267

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2551, 03:18:14 »

ข้าวโพดต้มสุกมีประโยชน์

ลัลลนา - ครุ 16 ... ส่งมา

ตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆ หาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้นลิ้นเค้าจะปฏิเสธเนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักและะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน

ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็ง มีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด ตรงข้ามกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่า ผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

เขาทดลองต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ เช่น ต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย


คณะนักวิจัยพบว่าข้าวโพดหวานที่ต้ม หรือปิ้ง จะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งมากขึ้น เมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้ มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #15 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 07:58:22 »


                                    [narongsak.com]
                            FW: เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ วิตามินซี
         9/26/2010 ▼  P A K P A O To Cmadong Member and Co.


                          

         วิตามินซี จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ  มีฤทธิ์ต่อกระบวนการทางชีวภาพอย่างซับซ้อนและหลากรูปแบบ บางทีอาจเป็นที่สุดของบรรดาวิตามินและสารอาหารทุกชนิด

         วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น พบมากในผักผลไม้สด วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อระบบร่างกาย เห็นได้จากการวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า วิตามินซี มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีตัวหนึ่ง

         การค้นพบ วิตามินซี

         เกิดขึ้นในช่วงสงครามครูเสด เมื่อโรคลักปิดลักเปิดกลายเป็นสาเหตุสำคัญของการตายและทุพพล-ภาพของคนในสมัย นั้น ทำให้มีการศึกษาและค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ซึ่งภายหลังได้สรุปว่า สาเหตุมาจากการขาด วิตามินซี ซึ่งมีในผักและผลไม้

        ต่อมา ในปี ค.ศ. 1933 โครงสร้างของ วิตามินซี ถูกค้นพบโดย เฮเวิร์ดและเฮิร์สต์ และทั้งคู่ก็ได้สังเคราะห์ วิตามินซี ได้สำเร็จในปีเดียวกันนี้ โดยตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “ กรดแอสคอร์บิก ” ( Ascorbic Acid )

         ความ สำคัญของ วิตามินซี

         วิตามินซี แจ้งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์ทางชีวเคมี นำโดย

                

         ดร.ไลนัส พอลิง  ( Linus Pualing ) นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลถึงสองครั้ง ตีพิมพ์ผลการค้นคว้าเรื่อง
“ วิตามินซี กับ อาการหวัด ” ( Vitamin C and the Common Cold ) ออกมา เป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวถึง 93 ปี ยังกล้าประกาศว่า

         “ ผมจำต้องยอมรับว่า การมีสุขภาพดีของผมเกิดจากวิตามินและเกลือแร่ที่กินเข้าไป ” เขาเชื่อว่า วิตามินซี ช่วยชะลออาการลุกลามของมะเร็งในตัวเขาได้นานถึง 20 ปี และหลังจากกิน วิตามินซี ในปริมาณสูงทุกวันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 เขาก็ไม่เป็นหวัดอีกเลย
ปัจจุบัน วิตามินซี จัดได้ว่าเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกาย เป็นอย่างมาก

         ในอดีตทราบกันดีว่า วิตามินซี สามารถนำมาใช้ในการป้องกัน และบรรเทาอาการหวัดได้ดี แต่จากผลการศึกษาและวิจัยหลายๆ ฉบับพบว่า วิตามินซี นี้มีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ปี ค.ศ. 1990 สถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริกาได้ประกาศว่า “ วิตามินซี มีฤทธิ์ต่อกระบวนการทางชีวภาพอย่างซับซ้อนและหลากรูปแบบ บางทีอาจเป็นที่สุดของบรรดาวิตามินและสารอาหารทุกชนิด ”

         บทบาท ของ วิตามินซี

         คุณสมบัติที่โดดเด่นของ วิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซี เป็นประจำคือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ

- รักษาและป้องกันโรคหวัด
จากการศึกษาพบว่า การรับประทาน วิตามินซี 1-8 กรัม ต่อวัน ในตอนเริ่มต้นเป็นหวัด สามารถลดระยะเวลาในการเป็นหวัดได้มากถึง 23%

- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและภูมิแพ้
เมื่อร่างกายได้รับ หรือสัมผัสกับเกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง โปรตีนแปลกปลอมในอาหาร ฯลฯ ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแพ้ มีไข้ ลมพิษ ผื่นคัน หายใจหอบ ภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้นให้หลั่งเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ภูมิคุ้มกันนี้ถูกสร้างขึ้นโดยตับ โดยมี วิตามินซี เป็นส่วนในการกระตุ้นกระบวนการทางเคมี
นอกจากนี้ วิตามินซี ยังช่วยยับยั้งและต้านทานเชื้อโรค กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวและภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ ลดอัตราการเกิดอาการของเก๊าท์ ข้ออักเสบ ภาวะผื่นแพ้ต่าง ๆ หรือการติดเชื้อไวรัส

- ช่วยสร้างและรักษาสภาพของ คอลลาเจน
วิตามิน ซี มีบทบาทสำคัญในการสร้าง โปรตีน คอลลาเจน ซึ่งช่วยในการส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ ป้องกันการเกิดภาวะริ้วรอยแก่ก่อนวัย บำรุงกระดูก เสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูก โดยเฉพาะบริเวณส่วนปลายกระดูกและข้อต่อ ลดอาการปวดจากโรคไขข้อต่างๆ

- ต่อต้านการสร้างสาร ไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
วิตามิน ซี นอกจากจะสร้าง คอลลาเจน ซึ่งเป็นเสมือนตาข่ายคลุมเซลล์ให้พ้นจากมะเร็งแล้ว วิตามินซี ยังช่วยขัดขวางการเกิดสารไนโตรซามีน อันเป็นต้นเหตุของมะเร็งกระเพาะและตับ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ช่วยในการสร้างสารที่ต้านมะเร็ง

- ต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินซี เป็นวิตามินที่ป้องกันการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่นที่ดี จึงป้องกันความเสื่อมของเซลล์และพบว่ามีผลในการต่อต้านการเกิดเซลล์ที่ผิด ปกติต่าง ๆ เช่น เซลล์มะเร็งได้ ( Anti-Cancer)
หาก วิตามินซี นั้น มีสารประเภทไบโอเฟลวานอยด์ร่วมอยู่ด้วย ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มฤทธิ์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น ป้องกันการแตกของเส้นเลือดฝอยที่บริเวณผิวหนัง และหากเป็นไปได้พยายามลดสารพิษในร่างกายหรือใช้กรรมวิธีการทำดีท็อกซ์ร่วม ด้วยก็ได้

- ป้องกันโรคโลหิตจาง
ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายเราใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้น โลหิตของคุณจะข้นหรือจาง ส่วนหนึ่งจึงเกี่ยวพันกับปริมาณธาตุเหล็กในร่างกาย

        มี ข้อสังเกตกันว่า เหตุใดบางคนรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง แต่กลับเป็นโรคโลหิตจาง นั่นเป็นเพราะว่า ธาตุเหล็กในอาหารหากไม่ได้อยู่ในรูปของเฟอร์รัส เมื่อเคลื่อนผ่านลำไส้เล็กร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้

         วิตามิน ซี มีหน้าที่เปลี่ยนธาตุเหล็กที่มีอยู่ในอาหารให้อยู่ในรูปเฟอร์รัส ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี

- ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
วิตามินซี ช่วยให้กระดูกมีสภาพแข็งแรง สมบูรณ์ และซ่อมแซมยามเกิดการแตกหัก หรือร้าวบิ่น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

- ป้องกันภาวะโรคหัวใจ
วิตามิน ซี ช่วยให้หลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นตัวได้ดีขึ้น ทำให้ระดับความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ ป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ป้องกันการเกิดภาวะโรคหัวใจได้ต่อไป ซึ่งหากใช้ร่วมกับ วิตามินอีก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันภาวะโรคหัวใจนี้ดียิ่งขึ้น

- รักษาค่าของ คลอเลสเตอรอล ในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
ผลการวิจัยหลาย ชิ้นชี้ให้เห็นว่า วิตามินซี มีส่วนในการเผาผลาญไขมัน รวมทั้งคลอเลสเตอรอล

- ประโยชน์ต่อสมอง
วิตามินซี เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโน ให้กลายเป็นสารจำเป็นในสมอง ซึ่งทำหน้าที่ของระบบประสาท การขาด วิตามินซี อาจก่อให้เกิดอาการทางจิตด้วย

- เป็นส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์อะดรีนาลีน
เมื่อเกิดความเครียด ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนระงับความเครียดออกมา จากนั้นความดันโลหิตและปริมาณน้ำตาลในเลือดจะสูงกว่าปกติ พลังงานจะถูกนำมาใช้มากขึ้น เพื่อระงับความ เครียด และสารที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างฮอร์โมนดังกล่าว คือ วิตามินซี

- ช่วยให้ผิวสวย
วิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณ สร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ๆ และช่วยต้านการเกิดเม็ดสีเมลามิน อันเป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า

- ช่วยรักษาอาการท้องผูก
อาการท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้นเหตุของสารพัดโรค การรับประทานวิตามินซี ในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยให้กากอาหารในลำไส้ไม่แข็งตัว จึงขับถ่ายสะดวก

         - ประโยชน์อื่นๆ

- ช่วยในกระบวนการสร้างฮอร์โมนในต่อมต่างๆ ของร่างกาย

- เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อในบริเวณทางด้านปัสสาวะ

- ช่วยลดการเกิดก้อนเลือดแข็งตัวในเส้นเลือด เพิ่มสมรรถนะของผนังหลอดเลือด

- ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และป้องกันอาการเลือดไหลไม่หยุด

- ป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุ

- ช่วยลดอัตราการเป็นหมันในชาย และทำให้สเปิร์มแข็งแรงเคลื่อนที่ได้ดีขึ้น

- ลดอันตรายจากโลหะหนักหรือสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม

         ไบ โอเฟลวานอยด์ คืออะไร

         ไบโอเฟลวานอยด์ ( Bioflavanoid ) เป็นสารที่ละลายในน้ำ ประกอบขึ้นด้วยสสารที่เป็นสีที่พบในผลไม้และผัก อยู่รวมกับ วิตามินซี พบในเปลือกผลไม้รสเปรี้ยวตรงที่เป็นสีขาวใต้ผิวนอกที่เป็นสีเขียวแต่ไม่มีใน น้ำผลไม้ ผลไม้ที่มีไบโอเฟลวานอยด์มากคือ มะนาว องุ่น ส้มโอ เชอรี่ พลัม
ประ โยชน์ของไบโอเฟลวานอยด์ คือ

•  ช่วยให้ร่างกายสามารถนำ วิตามินซี ไปใช้ได้มากขึ้น
•  ช่วยเสริมฤทธิ์ของ วิตามินซี ในการเสริมสร้างภูมิต้านทานและประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ

         จะ เกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณขาด วิตามินซี

•  เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
•  ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
•  อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
•  มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
•  ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
•  เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรคโลหิตเป็นพิษ
•  เกิดโรคลักปิดลักเปิด

         พิษของ วิตามินซี

         “ ดร.ไลนัส พอลิง นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลถึงสองครั้ง และเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวถึง 93 ปี กินวิตามินซีขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัมทุกวัน ก็มิได้รับอันตรายแต่อย่างใด ”

         คู่มือบัญชียาหลักแห่ง ชาติ ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา เล่ม 2 พ.ศ. 2529 กล่าวถึงพิษของวิตามินซี ว่า “ ไม่พบพิษที่ร้ายแรง ”
ในเอกสารทางด้าน วิชาการจากต่างประเทศจำนวนมาก ระบุว่า วิตามินซี เป็นวิตามินที่ปลอดภัยมากที่สุดตัวหนึ่ง


         ปฏิกิริยาต่อกัน ระหว่าง วิตามินซี กับยาอื่นๆ

•  วิตามินซี ห้ามใช้กับยาจำพวกกันเลือดแข็ง เช่น วอร์ฟารินโซเดียม เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้น
•  การที่ วิตามินซี มีฤทธิ์เป็นกรด จะทำให้ปัสสาวะมีความเป็นกรดมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ ได้ เช่น จะมีการดูดกลับของยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากขึ้น และเร่งการขับถ่ายของยาที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
•  ถ้าใช้ วิตามินซี ร่วมกับแร่เหล็ก จะทำให้การดูดซึมของเหล็กดีขึ้น

         แหล่งของ วิตามินซี

          เราได้รับ วิตามินซี จากอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ

ประเภทของอาหาร (100 กรัม)   ......วิตามินซี (มิลลิกรัม)

มะขามป้อม                                           276
ฝรั่ง                                                     160
พุทรา                                                   154
มะขามเทศ                                           133
มะปรางสุก                                           107
มะละกอสุก                                            73
แคนตาลูป                                            33
มะนาว                                                 25
มะยม                                                     8

         ใคร ต้องการ วิตามินซี

         อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภค วิตามินซี ส่วนปริมาณความต้องการขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ

         ข้อแนะนำ ในการบริโภค

ปริมาณ วิตามินซี ที่ร่างกายต้องการต่อวัน Recommend Daily Allowance ( RDA ) กำหนดดังนี้

ผู้ใหญ่   60   มิลลิกรัม
หญิงมีครรภ์   70   มิลลิกรัม
หญิงระยะให้นมบุตร   95   มิลลิกรัม
ผู้สูบ บุหรี่   100   มิลลิกรัม
เด็กเล็ก   40   มิลลิกรัม

หมาย เหตุ : * ข้อมูลจากตำราวิชาการ

- นักวิชาการส่วนใหญ่แนะนำขนาดต่ำสุดที่ 100 – 150 มิลลิกรัม
- คนที่ทานยาแอสไพริน จะต้องเพิ่มขนาดวิตามินซีเป็น 200 – 300 มิลลิกรัม
ต่อการได้รับ แอสไพรินหนึ่งเม็ด

- คนสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า ต้องการวิตามินซีมากขึ้นกว่าปกติ ขนาดที่เหมาะสมคือ
1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- คนที่มีความเครียดสูง ควรบริโภควิตามินซีวันละ 500 มิลลิกรัม
- หากต้องการบริโภคเพื่อป้องกันโรคอันเกิดจากผลของอนุมูลอิสระ เช่น มะเร็ง
หรือ โรคชราต่างๆ คือ 250 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

         วิตามินซี ในอาหารเสริม จำเป็นหรือไม่

                      

         อย่างที่ทราบกันดีว่า วิตามินซี มีอยู่ในพืชผักผลไม้ทั่วไป ดังนั้นหากคุณบริโภคเพียงพอคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริม วิตามินซี

         สถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาแนะนำว่า หากคุณบริโภคผักผลไม้รวมกันได้วันละ 5 ถ้วย คุณจะได้รับ วิตามินซี มากพอ และยังได้สารสำคัญอีกมากมายหลายชนิด เช่น ไฟเบอร์ แร่ธาตุจำเป็นอื่นๆ เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ฯลฯ

         อย่างไรก็ตาม วิตามินซี เป็นวิตามินที่สามารถสลายตัวไปได้ง่ายเมื่อทิ้งไว้ เช่น แตงกวาสดเมื่อหั่นทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง วิตามินซีจะสลายไปได้มากถึง 49% วิตามินซี ในผัก จะสูญเสียในระหว่างการประกอบอาหารประมาณ 50 – 60 % นอกจากนี้กระบวนการปรุงอาหารและการถนอมอาหารก็ยังทำให้ วิตามินซี สูญเสียไปได้

         ดังนั้น การรับประทานผักผลไม้สดให้มากๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารเสริม วิตามินซี ก็ควรเลือกชนิดที่อยู่ในรูปแบบของอาหารสกัดจากธรรมชาติ

        จะ เลือกอาหารเสริม วิตามินซี อย่างไรดี

         ในธรรมชาติ วิตามินซี ไม่ได้อยู่ในรูปสารเคมีเดี่ยว แต่มักจะรวมอยู่กับสารอื่นๆ ที่มีประโยชน์อีกหลายตัว เช่น ไบโอเฟลวานอยด์ กรดอะมิโน สารประกอบเชิงซ้อนประเภทโปรตีน และส่วนประกอบอื่นๆ ของอาหารตามธรรมชาติ

        ไบ โอเฟลวานอยด์ ของ วิตามินซี มีประโยชน์คือ ทำให้ วิตามินซี ไม่ถูกทำลายจากออกซิเจน นอกจากนี้ยังเป็นตัวพาหะโปรตีนที่นำวิตามินซีไปยังที่ที่ควร ช่วยเสริมฤทธิ์ต่อ วิตามินซี ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมากขึ้น

         วิตามิน ซี ในรูปแบบสารเสริมอาหารมีข้อดีตรงที่ เราสามารถทราบปริมาณเป็นจำนวนมิลลิกรัมที่แท้จริง การเลือก วิตามินซี ควรเลือกชนิดที่ระบุว่าสกัดมาจากแหล่งธรรมชาติ มิใช่เป็นสารสังเคราะห์ ( Synthetic ) ข้อสังเกตคือ เลือกชนิดที่มีส่วนประกอบของ ไบโอเฟลวานอยด์ ( Bioflavonoid ) ตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดและคุ้มค่าที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ วิตามินซี ที่ได้จากการสังเคราะห์ที่เรียกว่า กรดแอสคอร์บิก ( Ascorbic Acid ) ซึ่งอาจทำให้เกิดการระเคืองต่อกระเพาะอาหารและเกิดการสะสมได้

        หาก คุณเลือกบริโภค วิตามินซีที่อยู่ในรูปแบบของอาหารธรรมชาติ ร่างกายจะยอมรับและนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า นอกจากนี้ หากได้รับมากเกินไป ร่างกายก็จะรู้จักมันในรูปแบบของอาหารและขับออกมาทางปัสสาวะและเหงื่อ จึงมีความปลอดภัย ไม่มีการสะสมในร่างกาย และสามารถรับประทานติดต่อกันได้

         เอกสารอ้างอิง

- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา http://www.fda.moph.go.th/
- เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์, พลังมหัศจรรย์ในอาหาร, บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)
- ผศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์, ขุมทรัพย์สู่สุขภาพ, พิมพ์ที่ วัชระออฟเซ็ท
- อ.พนิดา กุลประสูติดิลก, คัมภีร์สุขภาพ, พิมพ์ที่ สุขภาพใจ
- ประสาร เปรมะสกุล, อ้วน ไม่อ้วน ก็ควรลดไขมัน , พิมพ์ที่อรุณการพิมพ์
- Hemile H. Dose Vitamin C alleviate the symptoms of the common cold,Areview of current evidence, Scand J Infec Dis 1999 : 26 : 1-6
- Roger Henderson, 100 Ways to Live too 100, Judy Piatkus (Publishers) Limited

           รักนะ รักนะ รักนะ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

              

         แนะนำทำน้ำผักผลไม้ปั่นทานทุกวัน ใช้เครื่องมูลิเน็กซ์ ปั่นปรุงรสชาด ให้ถูกใจ
โดยใส่นมเปรี้ยวลงไปด้วย ทำทานเองได้ไม่ต้องไปซื้อน้ำผักกล่องทาน ควรหาผักที่มี
เีครื่องหมาย ตัว Q รับรองปลอดสารพิษมาทำดื่มกันทุกเช้า สุขภาพจะแข็งแรง เพราะ
ได้รับวิตามินซี กับ วิตามินอื่น ๆ อีกหลายตัว และ ยังได้เส้นใยพืชป้องกันมะเร็งลำใส้ด้วย

          win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><