22 พฤศจิกายน 2567, 05:00:08
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ของวิเศษ ในตัวของท่าน ที่ลืมนำมาใช้  (อ่าน 6412 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 07:40:57 »

                                                                                       
                                                                                                                      

ศ.น.พ. รณชัย คงสกนธ์ รองคณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

 : ผู้รวบรวมและเรียบเรียง

บางทีท่านอาจจะบ่นว่า หัว (คือสมอง) ของท่านไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้ หรือ

คงเคยพูดว่า วันนี้ทำงานมาก จนหัว (หัวสมอง) เพลียเห็นจะต้องพักเสียที

มีแต่การทดลองทางการแพทย์และจิตวิทยา บอกว่าที่คิดอย่างนี้คิดผิดทั้งนั้น



ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ ช่วยให้เข้าใจมันสมอง ของวิเคษในตัวท่าน

1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็น

คนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึก มึนงง เพลีย ทำงานช้าลง

เข้าใจเอาเองว่า ใช้สมองมาก จนสมองเพลีย จึงต้องหยุดพักสมอง

นักวิทยาศาสตร์ ได้ทดลองเรื่องนี้ ว่าจริงไม่จริงอย่างไร ก็พบว่าไม่จริง

สมองเพลียกับใครไม่เป็น เพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อ ไม่ได้ทำงาน

อย่างกล้ามเนื้อ พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)

จึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียน เปิดไว้นานเท่าใด

มันก็สว่างอยู่เท่านั้น ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลย

อาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง ก็คือความเบื่อ พูดได้ว่า

ท่านหย่อนความตั้งใจและไม่สามารถที่จะบังคับความคิดได้

2. กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุด

สมอง มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำ การคิดและความรู้สึกต่างๆ

สมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัว

แต่ละตัวมีเส้นใย สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)

แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆ

คนที่ฉลาดที่สุดก็คือ คนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่

3.อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญ

นักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคน

โดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์ หรือไอคิว

แต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลย เพราะการทดสอบนั้น

มันไม่ค่อยแน่นัก อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่าย

เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆ

มักจะฉลาดกว่าคนอื่น แต่นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า

คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราด เปรื่อง มีความรู้ดีได้โดย

การหมั่นฝึก ตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงาน ไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆ

เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมี ไอคิวเท่าๆกับคนธรรมดา อย่างเช่น

จอห์น อาดัมส์, อับราฮัม ลินคอล์น, นโปเลียน, เนลสัน เหล่านี้มีสมองธรรมดาๆ

แต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษ คือ อุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง  

4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกัน

ความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้ สมองเสื่อม

ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรค อาจเป็นได้ดังนี้

แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียน

การเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหว

ดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรค หรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว

อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้ ที่ว่าแก่ป้ำๆเป๋อๆ อะไรพวกนี้ เป็นการยอมรับ ตัวเองทั้งสิ้น

5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอ

สมองเหมือนกับกล้ามเนื้อ ตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ

มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้น ท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น

 มีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจ กำลังอันนี้สะสม

อยู่ในสมอง ทุกคราวที่ท่านต่อสู้อุปสรรคปัญหา กำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนขึ้น

6. จิตใต้สำนึก .. คลังอันน่ามหัศจรรย์

ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิต ใต้สำนึก หรือบางทีเรียกว่า

จิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษ และความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกอง

แต่มันน่าประหลาด ที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้

มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน ทันด่วน และ

แสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว เช่น บางคนอยู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดำ

เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลังที่ตกตะกอนลงไปอยู่

ในจิตแห่งนั้น ก็รู้ได้ว่า

เมื่อตอนยังเล็กอยู่ มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้าน

แต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก มันจึงแสดงอาการออกมา

ในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำ



นักจิตวิทยากล่าวว่า หากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้

เช่น เราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า จะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่ เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า

พอถึงตีห้า จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเอง

ถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาด

เราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง


www.ramamental.com

  หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 09 มีนาคม 2554, 18:18:17 »

...เข้ามาอ่านแล้วค่ะ...ขอบคุณน้องหมอสำเริงสำหรับบทความดีดีค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2 เมื่อ: 10 มีนาคม 2554, 15:35:56 »

อ่านแล้วประเทืองเปรมปรีย์
รู้สึกสมองใส ตาแววขึ้นอีกคะพี่หมอ พี่ตู่
      บันทึกการเข้า


  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><