22 พฤศจิกายน 2567, 17:05:58
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะจะต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน  (อ่าน 28143 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #25 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 23:22:18 »

อ้างจาก: "jimsy"
 
แล้วยิ่งถ้าพ่่อแม่ยังมีชีวิตอยู่เร่งรีบทำความดีต่อท่านให้มากขึ้นเพราะบุญที่ทำกับพ่อแม่นั้นเทียบเท่าบุญที่ทำกับพระอรหันต์เชียวนะขอบอกยิ่งถ้าเราได้เดินทางสายแห่งทาน ศีล และภาวนา แล้วไปชักชวนท่านให้ดำเนินตามในทางที่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ยิ่งจะได้ชื่อว่าได้ทดแทนพระคุณท่านอย่างยิ่ง เพราะเป็นการชักจูงท่านไปในทางสว่างซึ่งจะเป็นประโยชน์เป็นเสบียงกรังติดตัวท่าน เมื่อท่านจากภพนี้ไปสู่ภพหน้าอย่างดีเยี่ยม  เราทำอะไรกับพ่อแม่ไว้เราก็จะได้สิ่งนั้นจากลูกของเรา  
กฏแห่งกรรมนั้นเที่ยงตรงและยุติธรรมที่สุด ยิ่งกว่ากฏหมาย ใด ๆ ในโลก ลองย้อนกลับไปดูเถิดว่าพ่อแม่หรือคนแก่คนเฒ่าที่ถูกทอดทิ้งในยามชรานั้น เมื่อยังหนุ่มยังสาวเขาได้หลงระเริงกับความสุขแบบเปลือกนอกของชาวโลก  จนลืมพ่อแม่หรือไม่
กฎง่าย ๆ ของกรรมก็คือ  หากกลัวจะถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้อุปการะ ยามชรา ก็ต้องดูแลอุปการะผู้อื่นในขณะที่เรายังมีกำลังเงิน และแข็งแรง

ที่พี่ต้องมาอยู่ที่นี่ตรงนี้(ในยามที่ว่าง) ก็เพียงแต่จะมาช่วยกระตุ้นเตือนพี่น้อง และเพื่อน ๆที่อาจจะติดภาระกิจของชีวิตงาน หรือ ครอบครัว จนลืมเลือนแก้มเหี่ยวย่นของพ่อแม่ ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้สัมผัสเราจะรู้สึกกับความอบอุ่นและความรักใคร่จากท่านเสมอมา
เมื่ิอเวลาที่แม่พี่ยังอยู่  ไปกอด รัดฟัดเหวี่ยงท่าน หรือแม้แต่ไปนั่งเบียดเพื่อสัมผัสเนื้อนิ่ม ๆ เย็น ๆ ของท่าน  แม่จะบอกเสมอว่าเนื้อลูกคือ "เนื้อทิพย์" เมื่อแม่ได้สัมผัสก็ชุ่มชื่นใจ ท่านไม่ต้องการอะไรจากเรามากหรอก  ขอเพียงใส่ใจใยดี และอ้อมแขนของลูกในบางครั้ง
ซึ่งเดี๋ยวนี้พี่เองก็จะเข้าใจความรู้สึกแห่ง"เนื้อทิพย์" จากลูก ๆ เหมือนกัน  และด้วยสัมผัสแห่งความสงบเย็นแห่งธรรมะก็เช่นกัน  เมื่อเราและครอบครัวมีธรรมะเป็นที่พึ่ง  เราจะมีความสงบเย็นมากขึ้นและจะมีสติมากขึ้นในชีวิตประจำวัน  มีเวลาเอาใจใส่ในความทุกข์ สุข ของผู้คนรอบตัวเรามากขึ้น
และชีวิตเราจะมีประโยชน์กับผู้อื่นมาก ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย  และเราเองก็จะได้รับผลแห่งความสุขที่เราได้มอบให้กับผู้อื่น โดยไม่ได้หวังผลแต่มันจะมาสนองกลับให้เราได้ชื่นใจเองในที่สุด
แล้วเราก็จะมีชีวิตอยู่ในแต่ละปัจจุบันขณะอย่างมีความสุขและเดินอยู่
ในเส้นทางแห่งความไม่ประมาทตามคำสอนประโยคสุดท้ายของพระพุทธองค์
ก่อนจะดับขันธ์ปรินิพาน


"จงรับรู้ไว้ว่า โลกุตตรธรรมเป็นทรัพย์ที่ทรงบัญญัติไว้สำหรับคนทั้งปวง"
(อริยสัจจจากพระโอษฐ์)


P.Jimsy ka,
again,it is a worthful text I always get from you...learn something to look back to my own life:

1.I do agree with you about this...as I did it since I earn my own money...what was the first I thought at that time?yeah,I gave some money to my mother! I lived too far from her,so I can not visit her as many as I like ...to call and to support her was the only way I can show her how did I miss her at that time.
After married I still maintain these act! ...no matter how burden I have ...it never argued not to continue....not to do...I saw the time she sacrificed selfless as I was young...it is really a little what I can do now.
Do you know what I feel as a return of my life?? I feel that...the more I gave her...the more my husband gave me!!!!!herr,herr....should not concern but ...it....true.

2.I can see it as a sample of the person near me....my husband 's sister in law(wife of his brother)who never ,never has a father!! her mother grown her up alone along a hardly time...as a single mom....now this mom grows old..she take her to her house and take care under the roof...this mom is handicaped...need a wheelchair...that is a price after a long way hard working....I see my sister in law with other eyes...she is like a thai daughter.a good mind one....what returns her..along these many years with my brother in law?? yeah,he loves her so much...take care and give without thinking to take any back...

3.it is the truth!

thank you khun pee.
nn.
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #26 เมื่อ: 26 กันยายน 2550, 13:46:45 »

ใช่เลยค่ะหนุงหนิง  ขออนุโมทนาบุญกับเขาที่ดูแลท่านเป็นอย่างดี   และก็จริงด้วยพี่เองก็เคยได้ยินว่าเราทำกับพ่อแม่เราอย่างไร สามีก็ทำกับเราอย่างนั้น พี่เองก็เคยเจอมากับตัว  สมัยที่แม่อยู่บ้านน้องชาย ชวนมายังไม่ยอม กลัวคุมอาหารเพราะท่านเป็นเบาหวาน พี่จะคอยคุมเข้มเรื่องอาหารไม่ให้แม่ทานของที่เป็นอันตราย  เลยขนซื้อข้าวของไปให้แม่เป็นประจำ  จนปัจจุบันพบว่าสามีพี่เองเมื่อกลับมาจากทำงานต่างจังหวัดก็ขนซื้อของกิน ของโปรดต่าง ๆ ที่เราเคยชอบมาให้มากมายเช่นกัน  พี่ตอนแรกไม่ได้นึกแต่พอเห็นเขาทำก็เลยเฉลียวใจว่าเอ๊ะ  คุ้น ๆ นะหยั่งงี้เคยทำให้แม่นี่นา ( แต่ตอนหลังอาบน้ำให้แม่ด้วยชักกลัว ๆ เดี๋ยวจามาทำมั๊ย.. :  :wink:)อุ๊ย ...เซ็นเซ่อร์  
บันทึกการเข้า
nitty20
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,398

« ตอบ #27 เมื่อ: 26 กันยายน 2550, 19:38:51 »

:lol:  :lol: เอาแล้วเชียวยัยจิ๋ม...คุยเรื่องธรรมะอยู่ดีๆ วกเข้าเฉยเลย555 :oops:  :oops:  เรื่องแบบนี้เธอสามารถมากค่ะ...   :lol:  :lol:  :lol:
เธอทำให้ช้านคิดต่อน่ะเนี้ยยย555 :oops:  :oops:
บันทึกการเข้า
kant
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 15

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2550, 18:03:56 »

อ้างจาก: jimsy
อ้างจาก: "จุฑารัตน?"
จิ๋ม ทีรัก

 ธรรมะ .......    ทำ-มะ   ตอบ......................ด้วย

เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าเริ่มด้วยตัวเองก่อน  และไม่ต้องบีบบังคับตัวเองและคนใกล้เคียง
เพราะธรรมะจะจัดสรรทั้งเวลาที่จะเริ่ม  และวิถีที่จะเดินให้ด้วย
......สุข......สงบ.......สบาย และผ่องใส.........หาใดเหมือน



จริงจ้ะแขก...พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ในคำสวดบทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณไว้แล้วในบทของพระธรรมคุณ ที่แปลว่า พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว  เป็นธรรมที่เห็นได้ด้วยตนเอง  ไม่ขึ้นกับกาล  เป็นธรรมที่ควรมาดู  ควรน้อมมาปฏิบัติ  เป็นธรรมที่วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตเห็นด้วยที่สุดเลยครับ " ทำ-มะ?   ต้องเริ่มที่ "ตัวเอ็ง" ก่อน  ส่วนข้าฯ ทีหลัง ก็ได้ครับ :lol:
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #29 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2550, 14:16:37 »

จ้า...เชิญคุณโยม(เอ็ง) ตามสบายเถอะ ...ถ้าอยากจะเริ่มเมื่อไหร่...ก็แค่รู้ว่าตอนเนี๊ย..หายใจเข้าหรือหายใจออก..อ่านที่เพื่อนคุยด้วย..ชอบ..ก็รู้ว่าชอบ..เวลาลูกซนสมาธิน่ะ..
รู้สึกว่าลูกน่ารักก็รู้ว่า...รัก  หรือน่าหยิก..ก็ให้รู้ความรู้สึกไปว่าอะไรเกิดกับกายและใจในปัจจุบัน...
เท่านี้ก็บุญเยอะกว่าขับรถจากสระบุรีมาใส่บาตรที่กรุงเทพฯแล้ว...ธรรมะทำได้ทุกที่ทุกเวลา...
เลี้ยงลูกก็ปฏิบัติได้บุญเยอะจะตาย...(เอ็ง)ไม่ต้องอ้างหรอกว่าลูกยังเล็กแฟนยังเด็กน่ะ...เหอ...เหอ... :wink:  :wink:
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #30 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2550, 11:57:18 »

กลัวเว็บเราจะเงียบ....ค่อย ๆ ทยอยมาฝากที่ละช่องละกันนะ....

เทคนิคทำให้หายโกรธ
 
ความโกรธ คืออารมณ์เดือดพล่านที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ในยามที่เราต้องเกี่ยวข้องผู้อื่น
อ่านเทคนิควิธีทำให้หายโกรธแบบง่าย ๆ
ท่านสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตครอบครัวและการทำงาน


 

วิธีที่ ๑. ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว
           ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้
           ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด
          ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
           ตัวอย่างวิธีคิด


           "หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด
           พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที
           มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน
           เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "
           (เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย
           ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )


________________________________________

 
วิธีที่ ๒ มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี
           มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา
           โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย
           (ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )
________________________________________



วิธีที่ ๓. เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ
           เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง
           นึกอย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง
           ตัวอย่าง
           "นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมา
           ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง"
           "คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็
           พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่
           คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "
           (ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุตตันต.เล่ม๑๔
           ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )




________________________________________
 วิธีที่ ๔ เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่ น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น
           นักการเมือง ฯลฯ
           ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ
           โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือน
           พ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็
           สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
           ( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )


________________________________________

วิธีที่ ๕ คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้ ด้วยการ
           หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ
           ของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้า
           ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจ
           มาแทนที่
           (ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่าเริง / สุตตันต.เล่ม ๖
           ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
________________________________________




 วิธีที่ ๖ วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน
           หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ "การให้ของขวัญ" เป็นวิธีแก้ไข
           ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธ
           ทั้งผู้ให้และผู้รับ

(ดูสังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือเจือจาน ร่วมทุกข์ร่วมสุข สมานไมตรีไว้ตลอดกาล/
           สุตตันต.เล่ม๓ ข้อ๒๖๗ หน้า๒๒๐)
________________________________________




วิธีที่ ๗  ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
           คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการ
           มองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนัก
           ใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า
           เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกขทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน
           พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน
           (ดูบทสวดมนต์แผ่เมตตา)
           ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
________________________________________




วิธีที่ ๘  ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธ
           การกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้
           ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล
           ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ
           ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ
           คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยัง
           กราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย

           ( จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร )
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #31 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2550, 14:17:34 »

เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ธรรมะซับซ้อนแต่เป็นคุณธรรมและการเสียสละที่น่ายกย่องซึ่งจะหาได้ยากในบุคคลทั่วไป...แต่เป็นที่น่าสังเกตุ...ถึงกฏแห่งกรรมดีว่า...ผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ..มีความรักแลการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นย่อมประสบผลสำเร็จในชีวิตขนาดไหน....

.ลองอ่านกันดูละกันนะ...บางคนอาจจะเคยได้รับเมล์นี้บ้างแล้ว....ให้คนที่ไม่รู้ได้อ่านแล้วกัน....อ่านแล้วได้ข้อคิดไปสอนลูกสอนหลานหรือย้อนกลับมาดูว่าเรา...ได้เคยพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดี ๆ เหล่านี้ไปแล้วบ้างไหม....ลองเริ่มต้นทำสิ่งดี ๆ เหล่านี้กันบ้าง...ถือเอาปีใหม่นี้เป็นการเริ่มต้นก็ยังไหว.....

ทำดีย่อมได้ดี....น่าคิดนะว่าทำอะไรไปอย่างผลสะท้อนย่อมกลับมาหาตัวเราทั้งหมด....

...............สรุปนี่คือกฏแห่งกรรมนะคร้าบ.......



(เรื่องน่าอ่าน จากเมล์ส่งต่อ)
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีไม้เรียวอยู่

" ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

" ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

" ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ พูดว่า

" แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดเข้าให้

" ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อเดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้.......


วันต่อมาตอนเช้ามืด น้องชายของฉันออกจากบ้านไปพร้อมด้วยเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้

วันหนึ่งขณะอยู่ปีที่ 3 ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันเข้ามาบอกว่า

" มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ Huh? ฉันสงสัย แต่เมื่อฉันเดินออกไปก็เห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ฉันถามเขาว่า

" ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก็คงหัวเราะเยาะพี่กันพอดี "

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพูดด้วยเสียงเครือในลำคอ

" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า

" ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้อยู่เป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตก ได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

" แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เขาขอเลิกงานเร็ว เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด " เจ็บมากไหม" ฉันถาม

" ไม่เจ็บหรอก พี่ก็รู้นี่ ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

"… เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี

หลังจากนั้น ฉันก็แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไร จึงย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยที่เขารวมทั้งพ่อและแม่จะย้ายออกไป เขาบอกฉันว่า

" พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

ต่อมา สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่ต้องการให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะถูกไฟดูด เขาถูกหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ฉันถามน้องด้วยความขุ่นเคืองว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเขา ยืนยันความคิดเดิมของเขา

" พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานบริษัท ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ฉันบอกกับน้องว่า

" แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ "

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ"
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

" ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเพื่อเดินไปเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่ง หิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อกลับถึงบ้าน มือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอให้มากที่สุด"

เสียงปรบมือดังกึกก้อง... สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดออกจากปากฉันอย่างยากลำบาก .......

" ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตารินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคน เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จักก็ตาม


จบบริบูรณ์....


บทส่งท้าย :ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารของบริษัทฮุนไดและบริษัทในเครืออีกกว่า 20 บริษัท ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

" ซัมซุง"

และเรื่องราวของคนทั้งสอง กำลังถูกนำมาสร้างเป็นละครชุด โดยดารานำคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2]  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><