22 พฤศจิกายน 2567, 17:47:15
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะ .. ดิลิเวอรี่ by Jimsy  (อ่าน 30491 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« เมื่อ: 07 มิถุนายน 2550, 16:54:40 »

Jimsy หรือ จิ๋ม หรือ พิลาวัณย์ ชัยกิจโกสีห์ นิเทศ 2520

ใคร  อยากคุยธรรมะ ... ได้ตลอดเวลา เชิญ จ้า !!

   
ภาพวาดฝีมือ อาจารย์เฉลิมชัย  แห่งวัดร่องขุ่น จ.เชียงราย
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #1 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2550, 16:58:07 »

ในฐานะ  ตัวแทนรุ่น 2520

ได้เปิดกระทู้  ให้แล้ว .. ตามอัธยาศัย ได้เลย Jimsy  
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2550, 17:00:57 »

P.Toomy ka,
may I observe from far???
nungning
บันทึกการเข้า


toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #3 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2550, 07:55:21 »

ด้วยความยินดีปรีดา .. ka  N' Nung-Ning

ธรรมะ ลึก ๆ - ชั้นสูง ก้อต้อง .. พี่ Jimsy

ของพี่ .. จะสอยธรรมะง่าย ๆ ตาม Net มาฝาก จ้า !!!

บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2550, 13:59:08 »

Oh,P.Toomy..it is short and need not to think much it is near the nose!!!...let me think about it deeper!
nungning
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #5 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2550, 20:54:46 »

โอ้..ทำ เซอร์ไพร้ส์ ให้เพื่อนได้สวยงามจังนะจ๊ะ ขอบคุณมาก ๆ เลย ขออนุโมทนาบุญกับToomy ด้วยนะจ๊ะ เพื่อนทำอะไรแบบเนี๊ยไม่เป็นหรอก แล้ว แถม ภาพสวย...สวย มาอีก ภาพของอ.เฉลิมชัยเป็นอะไรที่ชอบมาก หนังสือของอาจารย์ก็ซื้อมาอ่าน ๆ แล้ว รู้สึกอาจหาญและเห็นตัวอย่างของคนที่มีจุดยืน ที่เข้มแข็งที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา บุญอันมหาศาลนี้คงจะต้องให้ผลกับอาจารย์ไปอีกยาวนานตราบจนเข้าถึงมรรคผลนิพาน แน่ ๆ เลยเนอะ ว่าแล้วก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย /|\ /|\ /|\...สาธุ
เริ่มคุยก็ร่ายยาวเลย เราคุยสั้น ๆ ไม่เป็นนะ ขอบอก และต้องขอออกตัวก่อนนะจ๊ะว่าเราไม่ได้รอบรู้ธรรมะอะไรสูงส่งหรือมากมายอะไรเลย เป็นคนที่พยายามรบกับกิเลสของตัวเองไปวัน ๆ และพยายามช่วยชาวบ้านหรือใครก็ตามที่มีนิสัยที่จะมาทางธรรม ธรรมะง่าย ๆ แบบชาวบ้าน
พยายามแก้ไขข้อเสียของตัวเองไปเรื่อย ๆ แล้วจูงลูกจูงหลาน คนในครอบครัว พี่น้องเพื่อน ๆ ที่สนใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาท สนใจที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข สุขแบบไม่ต้องไปอิงอาศัยวัตถุภายนอกมากมาย มีความสงบงดงามอยู่ภายใน อยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อ และให้ความรัก ความเมตตา จริงใจและปรารถนาดีต่อกัน อยู่อย่างผู้มีศีล 5 เป็นพื้นฐานของชีวิต ใครที่มีแนวร่วมแบบนี้เชิญเข้ามาเลยค่ะ สังคมแบบนี้จะหายากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วนะ เรามาร่วมสร้างกลุ่มกัลยาณมิตรกัน โดย เริ่มจากพวกเราชาวหอนี่แหละนะ โอเค ป่ะ แล้วมาร่วมกันสร้างกระแสแห่งความสุข สว่าง สงบ ให้กับบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเรา ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ดีไหมจ๊ะ
ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น !

และขอประกาศข่าวอีกที ตอนนี้เรามีหนังสือธรรมะ วิมุตติมรรค และ แด่เธอผู้มาใหม่ (เล่มนี้มีไม่เยอะ) และคู่มือการทำความรู้สึกตัว ของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ พร้อม MP3 ของ
ดังตฤณ พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ฯลฯ แจกถึงที่ค่ะ ส่งชื่อ นามสกุล และที่อยู่มาได้เลย นะคะ
บันทึกการเข้า
Thippy
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 377

« ตอบ #6 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2550, 00:05:32 »

Jimsy

สาธุ......
บันทึกการเข้า
pisamai 2520
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2550, 21:28:52 »

จิ๋มจ๊ะ

ดีใจจังที่เธอเข้ามาคุยแล้ว
ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี และงดงามที่สุดสำหรับจิตใจจริงๆ
เข้ามาคุยบ่อยๆนะ
โกะ
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #8 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 07:49:57 »

-พระธรรมเทศนา โดย หลวงตาบัว-
๑๘ เมษายน ๒๕๔๓
ณ สวนแสงธรรม

********************


ปัญญามี ๓ ตัว

สุตมยปัญญา- เป็นปัญญาที่ได้จากการได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ปัญญาจากการศึกษาเล่าเรียน
จินตามยปัญญา- เป็นปัญญาที่ได้จากการคิด
ภาวนามยปัญญา- เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เป็นปัญญารู้แจ้งและฆ่ากิเลสได้จริงด้วยตัวนี้

พระอรหันต์ ไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ใจ ทุกข์เข้ามาไม่ได้ จะทุกข์ก็ทุกข์อยุ่ที่ธาตุที่ขันธ์

อดีตเป็นสัญญา อนาคตก็ไม่เอา อดีตก็ไม่เอา ให้เอาปัจจุบันเท่านั้น
ปัญญาเกิดได้ตรงปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต

หลวงตาขอให้ปฏิบัติกันเพียงวันละ ๑๐ นาที สิบนาทีจากยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้น
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 11:56:34 »

อ้างจาก: "toomy"
ด้วยความยินดีปรีดา .. ka  N' Nung-Ning

ธรรมะ ลึก ๆ - ชั้นสูง ก้อต้อง .. พี่ Jimsy

ของพี่ .. จะสอยธรรมะง่าย ๆ ตาม Net มาฝาก จ้า !!!



วันนี้วันพระ วันธรรมสวนะ  ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘  (ปีนี้มีเดือน ๘ สองหน)  ขอเข้าห้องธรรมะ  แบ่งความรู้ ความเข้าใจในระดับ ของ complete beginnerค่ะ

:idea: ขอเพิ่มเติมคำสอนที่ได้มาจากหลวงปู่ว่า

อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด
อยู่กับมิตรระวังวาจา


ชอบมากเลยคำสอนหลวงพ่อชาในเรื่องนี้  ...ความคิดทำให้เกิดการกระทำ (พฤติกรรม)....
                                                  การกระทำนำสู่อุปนิสัย (การทำซ้ำๆ)
                                                  อุปนิสัยนำสู่ความดี ความชั่ว..ชะตากรรม

:idea:  :idea: และหลวงพ่อผู้ที่สอนการภาวนา (ตามตัวอักษร  ภาวนา แปลว่า...พัฒนา ..ท่าน ป.อ.ปยุตโต)ไว้ว่า

    ความสงบในใจจะต้อง "ว่าง" ก่อนจึงจะ"วาง" ได้  
    อยู่ในที่ที่พอดี  พอเหมาะจึงสงบ
และในหนังสือหลวงพ่อชาเรื่อง ตามดูจิตนั้น ท่านว่า ความพอดี พอเหมาะคือความสงบ
จิตที่สงบ ทำให้กิเลสสงบ ท่านว่า เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน



:idea:  :idea:  :idea: ท่านสอนเพิ่มเติมเมื่อเรียนถามท่านว่าจะเริ่มต้นการเจริญสติภาวนาอย่างไร

ท่านชี้แนะว่า  การจะเจริญสติภาวนาให้สว่างต้องถือ พุทธานุสติและ   ธรรมานุสติ
"พระธรรม"......ตามความเข้าใจนั้นท่านว่า   โอปะนายิโก คือ น้อมนำเข้าสู่ตัวเรา
ปัจจัตตัง เวทิต ตัพโพ วิญญูหิติ  .....คือ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
[/size]
บันทึกการเข้า
toomy
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,031

« ตอบ #10 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 12:47:29 »

บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #11 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2550, 18:34:50 »

:)  :) หายใจเข้า...อ่อนโยน   หายใจออก...ผ่อนคลาย   หายใจเข้า...รู้   หายใจออก...รู้   รู้อยู่ในปัจจุบันขณะ  ปัจจุบันขณะเป็นเวลาอันมีค่าที่สุดของชีวิต   ถ้าเรากลับสู่ปัจจุบันขณะ
จิตจะนิ่งจากความคิดที่วุ่นวาย   จิตจะค่อย ๆ สงบและมีกำลัง จิตมีกำลังคือจิตที่สงบจากความคิดปรุงแต่ง  ถ้าจิตฟุ้งฃ่าน  ความคิดก็จะเพ้อเจ้อ  โปรดทำจิตให้สงบก่อน  แล้วยกความสงบเป็นพื้นฐานของความคิด  ความคิดจะคมชัดไม่วกวน  ไม่วุ่นวาย  ไม่แส่ส่ายไร้ทิศทาง...
หายใจเข้า...กายสงบระงับ   หายใจออก...ใจสงบระงับ   หายใจเข้า...กายกับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
หายใจออก...
ปัจจุบันขณะเป็นเวลาประเสริฐสุด   :)  :)

(แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต)

หมายเหตุ  การยิ้มอยู่เสมอ  จะเป็นกายดึงกายและใจเข้าสู่ปัจจุบันขณะ  เป็นเทคนิคของท่าน ติช นัท ฮันห์พระชาวเวียตนาม
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #12 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2550, 18:59:32 »

Get back later naka,p.Jimsy...nungning needs time to read and today is her busy day ka.
nn.
บันทึกการเข้า


jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #13 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 15:25:03 »

วันนี้มีธรรมะจากพระผู้รู้มาฝาก...ได้นำคำสอนแบบย่อของหลวงพ่อปราโมทย์  จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัวมาฝากกันให้อ่านนะจ๊ะ...

      การรู้แจ้งอริยสัจจ์ตัวที่ ๑ เรียกว่า ทุกขสัจจ์
ทุกขสัจจ์คืออะไร คือกายกับใจนี้เอง
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ ตั้งแต่เบื้องต้นเลย จนสุดท้ายมีแต่การรู้กายรู้ใจตนเอง
รู้ลงมาเรื่อยๆ กายของเราเป็นยังไง รู้สึกไว้ จิตใจของเราเป็นยังไง คอยรู้สึกไว้
อย่าลืมกาย อย่าลืมใจ ถ้าลืมกายลืมใจเรียกว่าขาดสติ
แต่ก็ห้ามเพ่งกายเพ่งใจ ให้รู้กายรู้ใจ ไม่ได้ให้เพ่งกายเพ่งใจ
ไม่ได้ให้กำหนดกายกำหนดใจ คนละเรื่องเลยนะ
รุ่นหลังๆ นี้ชอบกำหนดนะ กำหนดเป็นสมถะ กำหนดลงไป จิตจะไปแน่วไปนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว
บังคับให้อยู่ในอารมณ์อันเดียว ถ้าบังคับไม่เป็น หรือบังคับแบบฝืนใจ ก็จะหนักๆ ขึ้นมา
แน่นๆ แข็งๆ ทื่อๆ เครียดๆ ขึ้นมา
ถ้าน้อมใจเก่ง จะสงบ จะสบาย จะโปร่ง โล่ง เบานะ จะเป็นสมาธิไปอีกแบบนึง
แต่ส่วนใหญ่ที่พวกเราทำจะเป็นมิจฉาสมาธิแท้ๆ เลย
เป็นสมาธิที่หนักๆ แข็งๆ ตัวก็เกร็งๆ กายก็เกร็งๆ ใจก็เกร็งๆ ใช้ไม่ได้จริงนะ
เราคอยรู้สึกนะ คอยรู้ รู้ลงมาในกาย รู้ลงมาในใจ
ร่างกายของเราเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจของเราเคลื่อนไหวเราคอยรู้สึก
แต่อย่าไปเพ่งให้นิ่ง ไม่ใช่คอยบังคับกายให้นิ่ง
จะเดินก็เดินไม่เหมือนคนธรรมดา คล้ายๆ ผีดิบนะ เดินต้องตัวทื่อๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้นะ
จิตใจก็อย่าไปข่มให้มันซึมกะทือซื่อบื้ออยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน
เราต้องการเห็นความจริงของกายของใจ เพราะฉะนั้นอย่าไปบังคับมัน แต่คอยดูมันไป
แต่ถ้ามันจะเอากายเอาใจไปทำผิดศีลห้าไม่เอานะ ตรงนี้ต้องฝืนใจ
ศีลห้านี้มาตรฐานปราการขั้นสุดท้ายแล้ว มาตรฐานของเราเลย
ถ้าขาดศีลห้าเราไม่ใช่มนุษย์แล้ว ต้องระมัดระวังนะ
ขนาดพระโพธิสัตว์ยังตกนรกได้เลย นับประสาอะไรกับพวกเราจะไม่ตก ยังเชื่อใจตัวเองไม่ได้นะ
อย่าประมาทกิเลสนะ  

สนทนา - ถามปัญหาส่วนตัว ได้ที่ลานธรรม
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #14 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 12:18:34 »

 วันนี้พอมีเวลา   จะค่อย ๆนำคำถามตอบเรื่องกรรมมาฝากนะจ๊ะ..ใครอยากรู้อะไรเพิ่มถามมาจาไปค้นคว้ามาให้..


ถาม – ทำบุญหรือทำกรรมอย่างไร จะประกันว่าไม่โง่ตลอดไปครับ? ไม่ได้หวังฉลาดเลิศเลอนะครับ ขอแค่ไม่คิดช้า ตามคนอื่นไม่ทันอย่างที่เป็นมาก่อนก็พอใจแล้ว

มองออกมาจากจุดยอดสุดของพุทธศาสนา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต่างตกอยู่ในม่านหมอกแห่งความหลงเขลากันทั้งหมด เพราะเกิดมาด้วยความไม่รู้ โตขึ้นมาด้วยความไม่รู้ และตายไปด้วยความไม่รู้

ไม่รู้ว่าอย่างไร? ไม่รู้ว่าผลแห่งกรรมมีจริง ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ไม่รู้ว่าการหยุดเวียนว่ายตายเกิดมีจริง

ที่ยังคงไม่รู้อยู่เพราะอะไร? เพราะยังติดใจในกาม เพราะยังละความพยาบาทไม่ได้ เพราะยังยึดถือสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง เพราะยังหลงยึดสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน

สรุปโดยย่นย่อคือพวกเราต่างถูกปกคลุมด้วยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรียกว่า ‘โมหะ’ ตราบใดยังมีโมหะ ตราบนั้นยังโง่หลงอยู่ร่ำไป ที่เราพากันฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหาในโรงเรียนตั้งแต่เด็กนั้น เป็นแค่การทำให้สมองไม่ทื่อ ทำให้เรียนรู้วิชาได้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิดอ่านแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นคราวๆ แต่หาใช่การทำให้ปัญญาญาณแก้ทุกข์ทางใจได้อย่างถาวรไม่

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าความตระหนี่ถี่เหนียว หวงในส่วนเกิน ไม่มีแก่ใจแจกจ่ายให้ทานตามโอกาส ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การหวงในสิ่งที่ไม่ควรหวง ตลอดจนมีจิตใจคับแคบจำกัด ไม่เป็นสุขในสภาพน่าอึดอัดของตนเอง แล้วยังจะต้องไปเสวยภพอันคับแคบอัตคัด คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่คนยากจน

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดประหัตประหารเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน หรือกระทั่งทำร้ายให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยโทสะ เร่าร้อนได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้ร้อน จิตไม่อาจเป็นสุขกับความร้อนของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่จ้องทำร้ายทำลาย ประหัตประหารกันอีก

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการลักทรัพย์ เพ่งจ้องเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความโลภ กระวนกระวายได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้กระวนกระวาย จึงไม่อาจเป็นสุขกับความกระวนกระวายของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีใจไม่ซื่อ จ้องแต่จะเอาของของกันอีก

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยราคะผิดๆ ตัณหาจัดได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้ตัณหาจัด จึงไม่อาจเป็นสุขกับตัณหาอันแรงกล้าของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่พาลหน้าด้านที่มีใจสกปรกไร้ความละอาย ไม่สนว่าใครเป็นของรักของหวงของใคร แย่งได้เป็นแย่ง ลักลอบเป็นชู้ได้เป็นลักลอบ

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการพูดเท็จ การพูดหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว ไม่อาจเห็นเรื่องตรงหน้าตามจริง ไม่อาจทราบว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เห็นผิดได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้เห็นผิด จึงไม่อาจเป็นสุขกับความมีจิตบิดเบี้ยวของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีความเห็นผิด มองกันผิดๆ จ้องจับผิด ตลอดจนผิดใจกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอๆ

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการกินเหล้า การมึนเมาเคลิ้มหลงอยู่กับยาเสพติดชนิดต่างๆ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านจัด รำคาญใจได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้รำคาญใจ จึงไม่อาจเป็นสุขกับความรำคาญใจของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีใจวิปริต ฟุ้งซ่าน อยู่ดีไม่ว่าดี หาเครื่องทำลายสติมาเสพ

และสุดท้าย ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการมองไม่เห็นตามจริง หลงยึดกายใจอันไม่เที่ยงว่าเที่ยง หลงยึดกายใจอันไม่ใช่เรา ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา เพียงความไม่รู้ข้อนี้ ก็เป็นรากแห่งผลร้ายทุกชนิดบรรดามี นับแต่การที่จิตขาดอิสระ ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ไม่ใช่ของของตน เพื่อความทุกข์ เพื่อความเปล่าประโยชน์ในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพใหญ่น้อยอีก ด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ว่าที่ต้องเกิดตายแต่ละครั้ง เป็นผลของกรรมที่ทำไว้แต่ปางใด

การต้องปะปนคละเคล้าไปในหมู่พาลบ้าง หมู่บัณฑิตบ้าง ได้ดีบ้าง ตกยากบ้าง เป็นทุกข์ทางใจกับความพลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รักบ้าง ตระหนกตกใจกับการมาถึงของมัจจุราชบ้าง ทั้งที่ไม่จำเป็นแต่อย่างใด ไม่น่าจะเป็นความรับผิดชอบของเราแต่อย่างใด นั่นแหละสมควรถือเป็นความเขลาหลงอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้แล้ว

การไม่รู้จักต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน การหลงยินดีในต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน นั่นแหละมูลรากแห่งความโง่ที่แท้จริง พวกเราไม่รู้ และไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งพามหาบุรุษเช่นพระพุทธเจ้ามาชี้ มาจำแนกแจกแจงกรรม เมื่อศึกษาตามที่พระองค์ชี้แล้ว จึงอาจเข้าใจเป็นขั้นๆ คือ

ความตระหนี่ทำให้โง่แบบทึบ หวงไปหมด ของกูไปหมด

การผิดศีลทำให้โง่แบบไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิดร่ำไป

การติดยึดอยู่ด้วยอุปาทานว่ากายใจนี้ของเรา ทำให้โง่แบบติดวน ยังหลงมองสิ่งที่ไร้แก่นสาร ด้วยความหวังว่าจะค้นพบแก่นสาร

ฉะนั้น คำตอบว่าทำอย่างไรจะไม่โง่ได้ตลอดไป ก็คือ

๑) เพ่งให้เห็นโทษของความตระหนี่แล้วละความตระหนี่ด้วยทาน

๒) เพ่งให้เห็นโทษของการผิดศีลแล้วละการผิดศีลด้วยการตั้งใจรักษาศีล

๓) เพ่งให้เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นกายใจว่าเป็นตนแล้วละการยึดมั่นกายใจด้วยการเจริญวิปัสสนา

แค่เริ่มต้น คุณก็จะเริ่มรู้สึกปลอดโปร่ง ความปลอดโปร่งนั่นแหละทางมาแห่งสติ ทำให้คิดเร็วขึ้น ตามคนอื่นทันมากขึ้น

ขั้นต่อมา คุณจะรู้สึกสว่างอบอุ่นจากภายใน ความสว่างอบอุ่นนั่นแหละส่วนประกอบสำคัญของปัญญาอันรุ่งเรือง ทำให้ฉลาดกว้างขวางขึ้น คิดอ่านเป็นประโยชน์ได้ดีขึ้น

และที่สุดแล้ว ใจที่หลุดพ้นจากต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งปวงอย่างเด็ดขาดนั่นแหละ ความฉลาดขั้นสูงสุด ฉลาดแล้วไม่กลับโง่ลงอีกเลย ซึ่งระดับนั้นพุทธเราเรียกด้วยความยกย่องว่า ‘อรหันต์’ ครับ
[/color]
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #15 เมื่อ: 25 กันยายน 2550, 13:20:50 »

ของฝากจากบทส่งท้าย ในคอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวของ ดังตฤณ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่จบลง  แต่ก็ขอตัดทอนสิ่งที่เผื่อจะเป็นประโยชน์กับชาวหอฯ ที่สนใจนะคะ

.......................................................................................................

    ถ้าสิ่งที่พุทธศาสนาบอกเป็นความจริง ก็แปลว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครปลอดภัยเลยสักคน แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าทำบุญมาตลอดชีวิต!

    ที่กล่าวเช่นนี้เพราะสาระของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏคือความไม่แน่นอน ไม่มีใครเที่ยงที่จะทำบุญกันท่าเดียว ในวังวนเวียนว่ายตายเกิดนั้น ฝึกให้เชี่ยวชาญการบุญกันไม่ได้ จะทำบุญหรือทำบาปแต่ละครั้งก็เพราะมีเหตุบันดาลใจเป็นคราวๆไป

    แม้ในภพที่มีโอกาสดีที่สุดอย่างขณะเกิดเป็นมนุษย์เช่นเราๆนี้ ธรรมชาติก็แกล้งให้ลืมหมดว่าเคยทำอะไรมา เคยเป็นอะไรมา เราถูกหลอกให้นึกว่าทนๆไปเถอะ ทำๆไปเถอะ ตายเมื่อไหร่สบายเมื่อนั้น เราจะนอนพักยาวในโลงศพแบบหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี ทั้งที่จริงแล้ว ตายเมื่อไหร่รับกรรมเมื่อนั้น เราจะเดินทางอย่างยาวไกลชั่วนิรันดร์ตราบเท่าที่ยังไม่รู้วิธีหยุด

    ด้วยความทึบตัน ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมี กับทั้งยิ่งไม่รู้ว่าวิธีหยุดเวียนว่ายตายเกิดทำอย่างไร เราๆท่านๆจึงได้แต่พากันเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็พยายามเอามาครอง ไม่มีการวางแผนสำหรับทางไกลเบื้องหน้า ไม่มีการหาวิธีย่อทางให้สั้นลง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการฝันถึงปลายทาง เพื่อยุติความระหกระเหินกันเสียที

    พวกเราพากันหลงไม่รู้ ตกอยู่ในห้วงฝันว่าตัวเองเป็นใครคนหนึ่ง มีความเป็นอย่างหนึ่ง เกิดหนเดียวตายหนเดียว หรือเมื่อเริ่มเชื่อว่าตนต้องเกิดต้องตายอีกตามบุญตามบาป ก็พากันประมาทอยู่ นึกว่าทำสังฆทานที่วัดสองสามทีคงได้ขึ้นสวรรค์ เสพสุขไปจนสิ้นกาลปาวสาน

    คุณจะนึกว่าตัวเองเป็นใครก็ตามที ตัวที่คุณนึกนั้นคืออุปาทาน แล้วอุปาทานเกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากการสั่งสมนิสัยทางความคิด ทางคำพูด และทางการกระทำ

    ไม่ว่าคุณจะคิด พูด ทำอย่างไร รวมแล้วต้องได้ผลลัพธ์อย่างสอดคล้องเสมอ กล่าวคือคุณจะมีกายขึ้นมากายหนึ่ง มีเพศขึ้นมาเพศหนึ่ง มีฐานะขึ้นมาฐานะหนึ่ง มีสติปัญญาความคิดอ่านขึ้นมาระดับหนึ่ง จะหยาบหรือประณีต จะได้ดีหรือตกยาก ล้วนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติของกรรมวิบากตัดสินให้ได้รับทั้งสิ้น

    เมื่อเริ่มเป็นอะไรอย่างหนึ่งด้วยกรรมเก่า จิตคุณจะหลงติดความเป็นอย่างนั้นทันที และสำคัญมั่นหมายว่านั่นใช่คุณ นั่นคือตัวคุณแน่ๆ เสร็จแล้วความเป็น ‘ตัวคุณ’ จะหลอกให้คิดไปสารพัด พยายามพูดและพยายามทำไปสารพัด ทั้งหมดก็เพื่อ ‘เอาเข้าตัว’ แทบทั้งสิ้น

    อุปาทานเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ นั่นเพราะการสั่งสมนิสัยเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเจอครูแบบไหน คบมิตรเช่นไร และสำคัญที่สุดคือตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางใด

    มาสำรวจกันดีกว่าว่าคุณมีอุปาทานมาถึงไหนแล้ว อุปาทานนั้นกำลังพาคุณไปสู่ที่มืดหรือที่สว่าง ให้ถามตัวเองง่ายๆ และตอบตัวเองซื่อๆว่า คุณมีความพอใจหรือไม่พอใจตัวเอง?

    ไม่ว่าคุณจะพอใจหรือไม่พอใจในตนเอง ขอให้รู้ว่ามีกรรมของตนเองนั่นแหละเป็นเหตุ ฉะนั้นหากไม่พอใจตนเองก็อย่าโทษใคร ให้เร่งสำรวจว่ากรรมใดประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือความหลงเข้าข้างตัวเอง เอาแต่ได้เข้าตน หรือสำคัญผิดในตนอย่างแรงกล้า แม้กระทั่งกรรมทางความคิดอ่านก็อย่าตกสำรวจ เพราะวิธีที่คุณหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่เสมอๆนั่นแหละ คือตัวบีบคั้นให้ตกอยู่ในโลกแคบหรือโลกกว้าง ด้านสว่างหรือด้านมืด

    โลกที่คุณกำลังเผชิญ ล้วนถูกตกแต่งด้วยกรรมอย่างไม่มีข้อยกเว้น เป็นกรรมเฉพาะตนบ้าง เป็นกรรมของตระกูลบ้าง เป็นกรรมของประชาชนในประเทศบ้าง เป็นกรรมของพลโลกบ้าง

    หากกรรมของพลโลกโดยรวมหนักไปทางโลภโมโทสัน โลกย่อมร้อนระอุ หากกรรมของประชาชนในประเทศโดยรวมมีความเสียสละและรักษาศีล ประเทศนั้นย่อมอยู่สงบผาสุกกว่าประเทศที่ขาดศีลธรรม หากกรรมของตระกูลโดยรวมเป็นไปในทางดี ตระกูลนั้นย่อมมั่งคั่งอยู่เย็นเป็นสุข และหากกรรมเฉพาะตนของคุณหนักไปในทางสว่าง ตัวคุณย่อมพ้นจากกรอบจำกัดด้านมืดของตระกูล ของประเทศ และของโลกได้โดยทางใดทางหนึ่งเสมอ อาจด้วยความช่วยเหลืออันลึกลับของกรรมเก่า หรืออาจด้วยกรรมใหม่ช่วยตนเองเห็นอยู่ชัดๆ

    กรรมเก่าแก้ไม่ได้แล้ว แต่กรรมใหม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือก!

    ก็น่าเห็นใจกันและกันครับ โดยทั่วไปถ้าโลกร้อน ประเทศร้าย หรือตระกูลแร้นแค้น คุณจะถูกผลักไสออกจากทางดีเข้าสู่ทางมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้เตรียมกายเตรียมใจให้แข็งแกร่งขนาดไหน บางคาบบางเวลาก็อาจโอนอ่อนผ่อนตามพลังบาปที่บีบคั้นจากทุกด้านเข้าจนได้

    เพราะไม่อาจเลือกอยู่คนเดียว คุณจึงต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป และเพราะต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป คุณจึงมีความไม่แน่นอน อาจกลับดีเป็นร้าย อาจกลับร้ายเป็นดี ขึ้นอยู่กับว่าศรัทธากุศลผลบุญแค่ไหน และขึ้นอยู่กับว่ามีกำลังใจอดกลั้นเพียงใดด้วย

    เมื่อทำเรื่องร้ายย่อมเป็นทุกข์ และทุกข์ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ที่ประสบกันในภพมนุษย์ อย่างเช่นสัตว์เดรัจฉานมีจริง คุณเห็นด้วยตาเปล่า แต่ที่ไม่รู้คือคุณก็มีสิทธิ์ไปสู่ความเป็นเช่นนั้นได้ด้วยบาปเช่นกัน และสัตว์นรกกับเหล่าเปรตมีจริง คุณไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แถมไม่มีทางรู้ว่าบาปที่คุณก่อแล้วอันใดอาจนำไปสู่ความเป็นเช่นนั้นบ้าง

    เมื่อสังสารวัฏเต็มไปด้วยเรื่องร้ายและภยันตรายใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญการติดอยู่กับภพใดภพหนึ่ง ซึ่งมีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นด้วยเหตุแล้วย่อมเสื่อมไปสู่ความเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา พระองค์เร่งรัดให้พวกเราออกจากสังสารวัฏเสีย โดยก้าวแรกเริ่มจากการพิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในธรรมชาติของภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดด้วยกรรม และภาวะยึดมั่นถือมั่นด้วยความหลงผิดคิดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรา เพราะเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งสิ้น

    การทำลายอุปาทานเป็นเรื่องประเสริฐ การหลุดพ้นมีรสอันเยี่ยมทางจิตรออยู่ พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตสาวกต่างรู้แล้วว่าความสว่างโพลงไม่ดับไม่สิ้นเป็นเช่นไร ที่เหลือก็สุดแต่ใครในบรรดาหมู่เรา จะรู้ทางที่พวกท่านช่วยกันชี้นำชักจูง และรู้ได้ทันก่อนตายหรือไม่

    คุณๆถามให้ผมตอบเรื่องกรรมวิบากมามากแล้ว ที่ตรงท้ายปลายทางนี้ผมขอนำคำถามชวนคุณดูให้รู้ตัวดังที่กำลังเป็น เมื่อเห็นแล้วอาจคลายอุปาทานลง ขอให้ค่อยๆอ่าน ค่อยๆคิดตาม และค่อยๆตอบคำถามเหล่านี้ตามลำดับ ถึงที่สุดคุณควรจะเกิดประสบการณ์เห็นกายใจเป็น ‘อะไรอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวตน’ ขึ้นมาชั่วขณะ

    หากเกิดวูบประสบการณ์ว่างจากความรู้สึกว่าเป็นตัวตนได้ แปลว่า ๔๐ คำถามต่อไปนี้ใช้ได้สำหรับคุณ ขอให้อ่านทบทวนทีละข้อตามลำดับบ่อยเท่าที่ต้องการ แล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่างไปเรื่อยๆทุกครั้งที่อ่านทวน

    ๑) หลังของคุณกำลังตรงหรืองอ?

    ๒) ใครเป็นคนกำหนดให้กายตั้งอยู่ในท่านี้?

    ๓) กายที่กำลังตั้งอยู่ในท่านี้เดี๋ยวนี้ ต้องการลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือหยุดลมหายใจ?

    ๔) ร่างกายคุณต้องการลมหยุดนานแค่ไหน?

    ๕) คุณลากลมเข้ายาวๆสบายๆ หรือรีบเร่งเสียจนห้วนสั้น?

    ๖) คุณหายใจตามความอยาก หรือร่างกายหายใจตามความต้องการของมันเอง?

    ๗) ลมหายใจเข้าลากยาวนานกว่าลมหายใจออกถึงสองเท่าตัวไหม?

    ๘) ความรู้สึกเป็นเจ้าของลมหายใจเกิดขึ้นตอนลมเข้าหรือลมออก?

    ๙) ขณะนี้คุณมีอาการใส่ใจลมมากหรือน้อยกว่าเมื่อครู่ก่อนเริ่มอ่านข้อแรก?

    ๑๐) ใครเป็นเจ้าของ ‘อาการใส่ใจ’ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้?

    ๑๑ ) ระหว่างลมเข้ากับลมออก อย่างไหนทำให้คุณสบายหรืออึดอัดกว่ากัน?

    ๑๒) กายหรือใจกันแน่ที่เป็นตัวกำหนดระดับความสบายหรืออึดอัด?

    ๑๓) ในความรู้สึกสบายหรืออึดอัดขณะนี้ มีความผ่อนคลายหรือกำเกร็งตรงไหนบ้าง?

    ๑๔) เมื่อรู้สึกถึงความเกร็งส่วนใด ความเกร็งส่วนนั้นคลายลงหรือคงอยู่ต่อ?

    ๑๕) ในความผ่อนคลายสบายทั่วกาย มีความพอใจในสภาพเช่นนั้นนานเพียงใด?

    ๑๖) ชั่วระยะเวลาที่ยังพอใจ คุณเห็นความ ‘สบายที่ใจ’ ไหม?

    ๑๗) เมื่อดูความสบายใจ คุณเห็นรูปลักษณะหรือว่างจากรูปลักษณะ?

    ๑๘) ที่ปลายทางของความผ่อนกายสบายใจ กลายเป็นความชืดเฉยหรือค่อยๆอึดอัดขึ้นมา?

    ๑๙) ความเฉยหรือความอึดอัดนั้น เกิดขึ้นที่กายหรือที่ใจก่อนกัน?

    ๒๐) ขณะที่เฉยหรืออึดอัด กลางอกของคุณทึบตันหรือโปร่งโล่ง?

    ๒๑) ถึงขณะนี้ ระหว่างลมออกกับลมหยุด อย่างไหนทำให้กายและใจของคุณสงบระงับ มากกว่ากัน?

    ๒๒) แต่ละครั้งที่ลมหายใจระงับไปชั่วขณะ ในหัวของคุณเกิดความว่างหรือคลื่นความฟุ้งซ่านจางๆ?

    ๒๓) มีความแน่นอนไหมว่าระงับลมหายใจครั้งไหนจะว่างหรือจะฟุ้ง?

    ๒๔) จิตที่ว่างจากความคิด กับจิตที่ฟุ้งซ่านอ่อนๆนั้น เป็นจิตเดียวกันหรือคนละจิต?

    ๒๕) จิตที่ฟุ้งซ่านพาไปหาความมีสติหรือความเหม่อ?

    ๒๖) แต่ละครั้งความเหม่อเอาเวลาของคุณไปนานเพียงใด วัดเป็นช่วงการหายใจ คุณเหม่อแบบไม่รู้ทั้งเฮือก หรือว่ารู้เฉพาะลมเข้า ไม่รู้ลมออก ไม่รู้ลมหยุด หรือว่าไม่รู้เลยไปหลายลมหายใจ?

    ๒๗) จิตที่เหม่อลอยพาไปสู่กายที่มีพละกำลังหรือเฉื่อยชาลง?

    ๒๘) คุณเริ่มเห็นไหมว่าจิตกับกายมีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน?

    ๒๙) ขณะนี้คุณเห็นชัดเจนไหมว่ากายกับจิตเป็นภาวะธรรมชาติที่เป็นต่างหากจากกัน?

    ๓๐) ในความเป็นต่างหากจากกัน คุณเห็นไหมว่าคุณบังคับบัญชากายหรือจิตได้มากกว่ากัน?

    ๓๑) ขณะนี้คุณมีความสนใจข้อความบนกระดาษ หรือใส่ใจภาวะที่เกิดขึ้นกับกายและจิตมากกว่ากัน?

    ๓๒) ‘อาการใส่ใจ’ เกิดขึ้นในหัวหรือในอก?

    ๓๓) ความใส่ใจในแต่ละข้อที่ผ่านมา เท่ากันหรือมากน้อยกว่ากัน?

    ๓๔) ในความไม่คงเส้นคงวาของความตั้งใจ อันไหนที่เป็นตัวคุณ ระหว่างสนใจมากกับสนใจน้อย?

    ๓๕) ขณะนี้คุณรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของคุณ หรือรู้สึกถึงความเบาโล่งว่างวายเหมือนไม่มีอะไร?

    ๓๖) น้ำหนักตัวอยู่ที่กายหรือจิต? ความว่างโล่งอยู่ที่จิตหรือกาย?

    ๓๗) ระหว่างการมีน้ำหนักกายกับการว่างโล่งไม่มีอะไรในใจ อย่างไหนน่าพอใจกว่ากัน?

    ๓๘) ว่าง… ไม่มีคำถาม ไม่มีข้อสังเกต

    ๓๙) ในความพอที่ใจ ใจนิ่งสงัดลง ตัวคุณจะไปอาศัยอยู่ตรงไหน ที่ความไม่เที่ยงของกาย หรือที่ความไม่เที่ยงของสุขทุกข์ หรือที่ความไม่เที่ยงของจิต หรือที่ความไม่เที่ยงของเจตนานึกคิด?

    ๔๐) เคยมีตัวคุณเกิดมาแน่หรือ?



บันทึกการเข้า
pisamai_pe20
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 376

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 13:52:29 »

To Jimsy,

ต้อยตามหาจิ๋ม ...  ไม่รู้ว่าจิ๋มเข้าห้องไหนแน่ ....
เพราะอยากจะขอบคุณที่ส่ง CD ธรรมะ มาให้
เข้ามาตาม theme ของ Topic นี้ คือ
".........ธรรมะ Dilivery by Jimsy......."  
เดือนหน้าไปบ้าน จะเอาไปให้แม่น้ำค้างฟังต่อค่ะ
แต่ถ้าไม่ได้ไป ก็จะส่งไปให่ท่านค่ะ...

คิดว่า จิ๋มคงเข้ามารับการขอบคุณจากต้อยแล้วนะ ...
Toomy ขา... ฝากขอบคุณเจ้าสำนักจิ๋มให้ด้วย ค่ะ.....
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #17 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 21:08:54 »

ต้อยจ๊ะ...ไม่ต้องขอบคุณ...แต่ให้รีบนำไปฟังให้เกิดประโยชน์ในชีวิตโดยเร็ว....เวลาล่วงเร็วมาก แพล๊บเดียว อายุพวกเราจะครึ่งศตวรรษ แล้วนะต้อยนะ...ไม่ต้องรอเดือนหน้ากลับหรือไม่กลับหรอก  รีบส่งไปให้แม่ฟังก่อนเลย  เวลานั้นมีค่ามากอย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์
ต่อตนเอง  และผู้มีพระคุณ...ต้อยไรท์ไว้อีกชุดหรือหลายชุดแจกผู้อื่นต่อก็ได้จ้ะ.....คนที่ไม่ได้ฟังและอยากฟังยังมีอีกเยอะ...เราเองก็มีคนที่จะต้องให้แทบทุกวัน   ไม่ต้องเกรงใจ   อยากได้เพิ่ม...บอก ของหลวงพ่อปราโมทย์มีหลายแบบ  ส่วนใหญ่เราจะมีของหลวงพ่อปราโมทย์...และหลวงปู่ เทสก์ ,หลวงพ่อเทียน สมเด็จพระสังฆราชฯ....แผ่น"มีชีวิตที่คิดไม่ถึง" ที่ส่งไปให้  เหมือนจะมีภาพด้วยนะ ถ้าดูไม่ดีเราได้เอ็มพี3 มาใหม่ แล้ว  ส่งให้ใหม่ก็ได้จ้ะ  
     แค่ต้อยได้นำไปฟังและได้ประโยชน์นั่นก็คือความสุขของเราแล้ว....
บันทึกการเข้า
pisamai_pe20
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 376

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 22:44:32 »

จิ๋มจ๋า.....

จะฟังคืนนี้ทันทีค่ะ
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #19 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 12:45:13 »

ถึงต้อย..จ๋า..และเพื่อนที่สนใจ...เราเพิ่งไปอ่านพบคำแถลงของบก.ในนิตยสาร"ธรรมะใกล้ตัว"
จากwww.dungtrin.com  ใครสนใจเข้าเว็บสมัครสมาชิกฟรีได้  ต้อยลองเข้าไปดูนะจ๊ะ  มีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะเลยแหละจ้ะ....



 

กลางชล

 

สวัสดีค่ะ

 

ก่อนอื่นก็ต้องขออภัยคุณผู้อ่านสำหรับความล่าช้าของฉบับที่แล้วด้วยนะคะ

มีคนถามไถ่กันเข้ามาไม่น้อยเลยว่า ฉบับพฤหัสนี้หายไปไหน มีอะไรหรือเปล่า ฯลฯ

สาเหตุที่ต้องออกช้าไปนิดก็คือ ช่วงนั้นเซิร์ฟเวอร์เกิดดาวน์ไปหลายวันค่ะ

ทีมงานเลยต้องปิดออฟฟิศ นั่งทาโลชั่นกันยุงกันไปชั่วคราว (ตบยุงไม่ดีค่ะ ผิดศีล) : )

แต่พอช่างเทคนิคมือฉกาจแก้เสร็จ ทุกคนก็มะรุมมะตุ้มทำกันจนเสร็จตามมาจนได้ค่ะ

ก็ต้องขออภัยที่ทำให้คุณผู้อ่านชะเง้อรอคอยกันด้วยนะคะ

 

ยังไม่อยากชวนคุยเรื่องเครียดเลยนะคะนี่ แต่หลายวันก่อนเปิดหน้าหนังสือพิมพ์

เห็นข่าวคนฆ่าตัวตายแล้ว ทอดถอนใจยังไม่ทันหมดลมดี

วันถัดมา ก็มีข่าวคนฆ่าตัวตายขึ้นหน้าหนึ่งตามมาติด ๆ อีก เลยต้องถอนใจเป็นระลอกสอง

ถึงแม้ว่ากรมสุขภาพจิตจะเก็บสถิติตัวเลขจากเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ มาบอกเราว่า

ในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา คนฆ่าตัวตายลดลงทุกปี โดยล่าสุดมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ

ปีละ ๓,๖๑๒ คน และมีคนที่คาดว่าพยายามฆ่าตัวตายปีละกว่า ๓ หมื่นราย

แต่เห็นข่าวอย่างนี้ทีไร ก็อดรู้สึกสงสารในความ "ไม่รู้"

และอดเสียดายความเป็นมนุษย์แทนเขาเหล่านั้นไม่ได้นะคะ

 

กรมสุขภาพจิตบอกเราว่า สาเหตุหลัก ๆ ของคนที่พยายามฆ่าตัวตาย

ส่วนใหญ่จะมาจาก โรคซึมเศร้า ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และสังคม

โดยมีสมาคมที่ชื่อว่า สะมาริตันส์แห่งประเทศไทย ช่วยรวบรวมข้อมูลของคนที่โทรศัพท์

มาปรึกษาปัญหาผ่านฮอทไลน์เพิ่มเติมให้ด้วยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงกลางปี ๒๕๕๐ นี้

คนที่โทรมาปรึกษาปัญหานั้น เป็นหญิงมากกว่าชาย (แต่ชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่านะคะ)

โดยปัญหาที่นำมาบอกเล่ามากที่สุดก็คือ ความเครียด วิตกกังวล

รองลงมาเป็นปัญหาด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความเหงา ความกดดัน

ปัญหาครอบครัว สุขภาพร่างกาย ความพิการ หนี้สิน ปัญหาทางเพศ และการเรียน

 

ฟังดูแล้ว ก็เป็นปัญหาและสภาวะความคับข้องใจที่เกิดได้กับพวกเราทุกคนนี่แหละนะคะ

ไม่มีใครเลย ที่จะมีชีวิตอยู่โดยมีแต่เรื่องที่สมหวัง ไม่พลาดพลั้งกันเลยตลอดชีวิต

เพียงแต่ในยามที่ความทุกข์มันท่วมท้นหัวใจ จมอยู่ในหนองน้ำแห่งความเศร้าหมอง

ใครบางคนอาจจะคิดง่าย ๆ ว่าถ้าจบชีวิตลง ปัญหาคาใจเหล่านี้ก็คงจบลง

หรือคิดง่ายกว่านั้นคือ ขอทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ไปเสียเร็ว ๆ

 

ซึ่งก็คงจะเป็นที่มาของคำว่า "คิดสั้น" นี่แหละนะคะ

คือ ตัดสินกระทำไปด้วยอารมณ์เฉพาะหน้า แบบที่ไม่ทันได้คิดได้ตรองมองไปข้างหน้า

กระทั่งไม่เคยเข้าใจกฎกติกาอันเป็นธรรมชาติแห่งกรรมวิบาก

ว่ายิ่งทำเช่นนี้ ก็ยิ่งเท่ากับแผ้วถางทางไปสู่ความทุกข์ที่ทรมานยิ่งกว่าในเบื้องหน้า

กับร่างร้ายที่รออยู่ในไม่กี่อึดใจ ที่คิดว่าจะหนีปัญหาได้นั้น ที่แท้ก็หนีเสือปะจระเข้แท้ ๆ

 

มีคนเคยพูดไว้ชวนคิดสะกิดใจค่ะว่า ถ้าถามว่า มีวิธีเสียชีวิตวิธีไหนในโลกบ้าง

ที่เราจะแน่ใจได้อย่างที่สุดว่า จะเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้า ไม่พอใจ

ไม่สมหวัง หรือมัวเมาหลงผิด ได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอน แรงกล้า

และทรงประสิทธิภาพมากที่สุดขณะตาย คำตอบก็คือ... การฆ่าตัวตายนี่แหละค่ะ

 

ก็เมื่อเราระลึกถึงความสว่าง ระลึกถึงบุญกุศล เมื่อขณะสิ้นใจไม่ได้

แม้ยามลาโลก ก็หอบเอาความรู้สึกผิดหวัง เศร้าหมอง หลงผิด ติดตัวไปด้วย

ที่คิดว่าจะได้ไปเกิดใหม่ด้วยความสุข ความสว่าง เบาสบาย ในสุคติภูมินั้น

ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ ทว่าทุคติภูมิต่างหาก... ที่ย่อมเป็นที่หวังได้แน่นอนค่ะ

สิ่งที่เหลือ จะมีแต่สภาพอันมีความทุกข์ห่อหุ้ม กับจิตวิญญาณที่อ่อนแอ

แม้เกิดใหม่ได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง หากต้องเจอกับปัญหาหนักใจชวนให้ท้อแท้อีก

ก็มีแต่จะคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว ชะรอยเดิมแห่งความเศร้าหมองวนเวียนอยู่อย่างนี้ร่ำไป

 

เคยฟังหลวงพ่อองค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังนะคะว่า มีคืนหนึ่งจิตท่านได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้

เห็นเธอนุ่งผ้าถุงเดินร้องไห้ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปตามถนน เท้าลอยห่างจากพื้นถนนราว ๆ หนึ่งคืบ

แต่ท่านแผ่เมตตาไปให้แค่ไหน เธอก็ไม่สนใจที่จะรับ เพราะจิตถูกความทุกข์ครอบงำอย่างหนัก

สาย ๆ วันถัดมาจึงทราบว่ามีหญิงละแวะนั้นผูกคอตายเพราะสามีหนีไปและบ้านกำลังจะถูกยึด

น่าสงสารนะคะ ฆ่าตัวตายด้วยคิดว่าจะหนีทุกข์พ้น แต่กลับไปเจอสภาพที่มืดมนอนธการกว่าเดิม

จิตจมอยู่กับความเศร้าหมองจนแม้จะมีผู้แผ่เมตตาไปให้ ก็ยังไม่อาจรับความสว่างนั้นไปได้เลย

 

จริง ๆ แล้ว ถ้าอยากจะตาย สู้ตายแบบมั่นใจ

ว่าไปเกิดใหม่แล้วต้องดีกว่าเก่าแน่นอนไม่ดีกว่าหรือคะ

 

แต่จะมีสักกี่คนนะคะ ที่คิดจะตั้งคำถามเพื่อหาความจริง และแสวงหาคำตอบว่า

ต้องทำอย่างไร ถึงจะไปเกิดใหม่โดยมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ในท่ามกลางความทุกข์เช่นนั้น

 

น้อยคนค่ะ... แต่อย่างน้อยก็มีอยู่คนหนึ่ง ที่อดไม่ได้ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

 

ในขณะที่กำลังรับรู้ด้วยข่าวคราวการตัดสินใจลาโลกของคนสองคนบนหน้าหนังสือพิมพ์

ก็หมุนช่องโทรทัศน์ไปพบกับโลกที่เป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตผ่านรายการเจาะใจ

ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกในด้านตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง…

 

น้องกัน และน้องกี้ เป็นเด็กชายสองพี่น้องวัย ๑๕ และ ๑๑ ปี ที่เป็นเด็กพิเศษค่ะ

เขาสองคนมีร่างกายที่ดูเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อันเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมโดยกำเนิด

คุณหมอเรียกมันว่า เมตาโบลิก คือจะมีสารตัวหนึ่งเกาะอยู่ตามกระดูกตามข้อ

และเมื่ออายุมากขึ้น ๆ มันก็จะค่อย ๆ ลามทำลายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

 

วันนี้ น้องกัน คนพี่ เริ่มเดินไม่ได้แล้ว สายตาเริ่มฝ้าฟาง มองอะไรไม่เห็น พูดก็เหนื่อย

เสียงเริ่มแหบเบา หูเริ่มไม่ค่อยได้ยิน เพราะเจ้าสารตัวร้ายนี้เริ่มลามไปตามอวัยวะต่าง ๆ

ส่วนน้องกี้คนน้อง ตอนนี้ยังเดินได้ แต่ไม่นาน เขาก็จะเป็นแบบพี่ของเขาด้วยโรคเดียวกัน

แต่ความน่ารักในภาพที่เห็นก็คือ น้องกัน และน้องกี้ เป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มง่ายค่ะ

อาจด้วยพ่อแม่ที่ไม่เคยทอดทิ้ง และดูแลพวกเขาด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจริง ๆ

 

สิ่งที่รายการนำเสนอในช่วงนี้คือ การจัดสรร "ความสุข" ให้ตามที่คนทางบ้านขอมา

และวันนั้น คนที่ขอมาก็คือคุณแม่ของน้องทั้งสองที่อยากจะส่งมอบความสุขให้กับลูก ๆ

ความสุขของน้องกี้ คืออยากไปดรีมเวิร์ลด์ แต่ความสุขของน้องกัน... เขาอยากไปวัดค่ะ

 

แม่ของน้องกันเล่าให้ฟังว่า ตอนที่น้องกันกลับมาจากโรงพยาบาล รู้ว่าตัวเองเดินไม่ได้แล้ว

เขากลับมาถึงบ้าน นอนร้องไห้ บอกแต่ว่า "หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว..."

 

ด้วยความรักของผู้เป็นแม่ที่ไม่เคยทอดทิ้ง แม่ปลอบประโลมเขาทุกยาม

สอนให้น้องกันสวดมนต์ ไหว้พระ และน้องกันก็ยังคงสวดมนต์ทุกวันจนถึงทุกวันนี้

 

น้องกันบอกว่า ความสุขของเขาตอนนี้คือ การได้ไปทำบุญ ไปทำบุญแล้วจิตใจสบาย

สิ่งที่ห่วงอย่างเดียว คือ ห่วงน้อง เพราะอีกหน่อยน้องก็จะต้องทรมานแบบเดียวกันกับเขา

"ได้แต่ภาวนาว่า ถ้าได้ไปเกิดใหม่ ขอให้เกิดมาสมบูรณ์ ปกติ เหมือนคนทั่วไป

ขอให้สมบูรณ์ทุกอย่าง ตอนนี้รักษาก็รักษาไม่ได้ ถ้าจะรักษาจริง ๆ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง"

 

น้องกันพูดต่ออย่างช้า ๆ ด้วยความรู้สึกที่สื่อผ่านน้ำเสียงจากก้นบึ้งหัวใจของเขาว่า

 

"ตอนนี้อยากรู้อย่างเดียว… ว่าชาติที่แล้ว ทำบาปอะไรไว้ ถึงได้มาเกิดเป็นแบบนี้

ถ้ารู้แล้ว ก็จะได้หาทางแก้ไข ลบล้างความผิดที่ได้เคยทำไว้…"

 

พิธีกรนิ่งไปกับคำตอบที่บอกเล่าผ่านใบหน้าราบเรียบนั้น...

แล้วรายการได้พาน้องกันและครอบครัวไปกราบท่าน ว.วชิรเมธี ที่วัดค่ะ

 

gungee2

(ชมวิดีโอคลิป: http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5862884/A5862884.html )

 

ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ตอบข้อสงสัยให้น้องกัน และให้กำลังใจแก่น้องกันมากมาย

ในแววตาที่เหมือนเหม่อมองนิ่ง เพราะสายตาไม่เอื้อให้มองภาพข้างหน้าได้เห็นแล้ว

กล้องโคลสอัพให้เราได้เห็นภาพน้องกันนั่งฟังธรรมะอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

ท่าน ว.วชิรเมธี เล่าเรื่องให้น้องกันฟังด้วยภาษาที่พูดคุยอย่างเอ็นดูและเป็นกันเองว่า

"เคยมีพระอรหันต์ ตัวเตี้ยม่อต้อ ดำก็ดำนะ พุงพลุ้ยเลย มาบวช

คนมาวัดก็นึกว่าท่านน่ารักจัง ตัวดำเตี้ย ก็ตบหัว ลูบหัว หยิกแก้ม หยิกพุง หยอกล้อท่าน

จนวันหนึ่งมีคนไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกแก่เหล่าภิกษุว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอกำลังทำบาปนะ พระที่ไปหยอกล้อท่าน

รู้ไหม ท่านร่างเตี้ย อ้วน ดำก็จริง แต่ท่านอัปลักษณ์แต่เพียงรูปกายเท่านั้น

จิตใจของท่านนั้นบริสุทธิ์หมดจดยิ่งนัก และท่านก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วย"

 

ท่านสอนให้น้องกันเข้าใจว่า ร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ให้ยอมรับว่ามันเป็นมาแล้ว

จงใช้มันให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แทนที่จะใช้เวลามาหมกมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ให้คิดว่า เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทำประโยชน์ให้ตัวเองและคนอื่นได้อย่างไร

 

ก่อนกลับไปวันนั้น น้องกันมีแต่รอยยิ้มที่แม้แต่คนดู ดูแล้วก็พลอยรู้สึกเป็นสุขตามไปด้วย

"ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายครับ แต่คิดอีกที... ไม่เอาดีกว่า ...มันบาป" น้องกันบอกยิ้ม ๆ

ได้ฟังอย่างนั้นแล้วนึกอนุโมทนาในใจค่ะ ที่น้องเขามีปัญญาคุ้มครอง

 

ถ้าจะพูดอีกอย่าง ก็อาจจะเรียกได้ว่า น้องกันเป็นคน "คิดยาว" นะคะ

เขาตั้งคำถามเพื่อแสวงหาที่มาของตัวเอง อยากรู้วิธีที่จะไปเกิดใหม่ให้ดีกว่าเดิม

และมีสติคิดได้ด้วยว่า ถ้าทำลายชีวิตนี้ลงเสียเดี๋ยวนี้ มันจะเป็นผลบาปกับตัวเขาเอง

 

สิ่งหนึ่งที่น้องกันโชคดีกว่าหลาย ๆ คนด้วย ก็คือการมีพ่อแม่ที่ประเสริฐมาก ๆ ค่ะ

คุณแม่นั้น พาน้องกันน้องกี้ไปทำบุญทุกวันพระ สอนให้ลูกสวดมนต์

กอดอุ้มและให้ความรักเลี้ยงดูน้องทั้งสองด้วยความรักอันเต็มเปี่ยมอย่างหาได้ยาก

อาจด้วยสิ่งแวดล้อมที่ปลูกฝังมาเช่นนี้ จึงทำให้น้องกันค่อย ๆ เลื่อมใสในพุทธศาสนา

และในยามที่ชีวิตทุกข์ถึงที่สุด ก็ได้คำสอนของพระพุทธองค์เป็นเครื่องช่วยเยียวยา

 

ใครมีลูกมีหลาน ค่อย ๆ ปลูกฝังและปูพื้นแนวคิดอันเป็นกุศลธรรมกับพวกเขาไว้เถิดนะคะ

และวิธีที่จะทำให้เขาซึมซับได้มากที่สุด ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเป็นตัวอย่างให้เขาด้วย

คือ บอกให้เขารู้ อยู่ให้เขาเห็น เย็นให้เขาสัมผัส พาเขาไปวัดฟังธรรมจากพระดีสม่ำเสมอ

แต่ถ้าเขายังไม่รับ อย่าไปเร่งรัดก็แล้วกันนะคะ ของอย่างนี้บางทีก็มีจังหวะของมันเหมือนกันค่ะ

 

น้อยคนเหลือเกินนะคะที่จะตระหนักว่า การจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้น

ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเปรยความยากแสนยากนี้ให้ฟังค่ะว่า

เปรียบเสมือนกับแอกซึ่งมีช่องเดียว ลอยไปมาตามยถากรรม

ด้วยแรงคลื่นลม ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ทุกร้อยปี เต่าตาบอดตัวหนึ่ง จะโผล่ขึ้นมาสู่ผิวน้ำคราวหนึ่ง

โอกาสที่เต่าตาบอดนั้น จะสอดคอเข้าไปในแอก ซึ่งมีช่องเดียวนั้น

เป็นของยากฉันใด การเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นของยากฉัน

 

ใครคิดว่าเกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์ เกิดมาอดอยากยากแค้น จะว่าโชคดีได้อย่างไร

แต่ถ้าเราได้รับรู้ด้วยสัมผัสจริง ๆ ว่าการเกิดในนรกนั้นน่ากลัวและทุกข์ทรมานขนาดไหน

เราจะรู้สึกทีเดียวค่ะว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ลำบาก ก็ยังดีกว่าการเกิดในนรกเป็นไหน ๆ

 

ที่สำคัญ ความเป็นมนุษย์นี่แหละค่ะ ที่มีศักยภาพสูงขนาดที่จะพลิกชีวิตไปด้านสว่างได้

ตั้งแต่ชาตินี้ทีเดียว ต่อให้เกิดเป็นหมาบ้านคนรวยที่ดูเหมือนน่าอิจฉาเพราะสุขสบายกว่าเรา

แต่มันจะไม่มีวันเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า และจะไม่มีโอกาสสร้างกรรมใหม่อันเป็นกุศล

เพื่อถางทางไปสู่ชีวิตที่เจริญขึ้นได้เลย คุณดังตฤณเคยเปรียบเทียบไว้น่าฟังค่ะว่า

"ความเป็นมนุษย์นั้นเหมือนมีดที่คมกว่าเราคิด เอาไปเฉาะดินเล่นจนทื่อก็ได้

หรือเอาไปฟันฝ่าอุปสรรคในตัวเองก็ได้ และในเวลาที่ไม่เนิ่นช้าด้วย"

 

ดึงศักยภาพของความเป็นมนุษย์ของเรามาใช้ให้เต็มที่เถิดนะคะ

อุปสรรคและปัญหาเป็นของคู่กันกับโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเป็นไปอย่างใจเราได้หมด

แต่ถ้าเราเข้าใจและน้อมนำหลักการเจริญสติอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไปปฏิบัติตามแล้ว

เชื่อไหมคะว่า ท่ามกลางอุปสรรคที่อาจจะยังคงอยู่เหมือนเดิมเลย แต่ใจเรานี่แหละ

จะสามารถเป็นสุขชื่นอยู่ข้างในได้ และถ้าเป็นมนุษย์เสียแล้ว เราก็มีชีวิตแบบนั้นกันได้ทุกคน

ขอเพียงมีฉันทะในการน้อมนำไปปฏิบัติเท่านั้น ก็จะเห็นผลในเวลาที่ไม่เนิ่นช้าจริง ๆ

 

เรียกว่า ถ้าคิดจะฆ่าตัวตาย ก็ต้องฆ่ากันให้ถูกตัวนะคะ... ฆ่ามันตรงกิเลสในใจเรานั่นล่ะค่ะ : )

 

สำหรับฉบับนี้ "ธรรมะกับไลฟ์สไตล์" คุณตันหยง จะพาเราไปรู้จักกับคุณหมอนักภาวนา

ในตอน ธรรมะสำหรับผู้ป่วยและไม่ป่วย จากคุณหมออมรา มลิลา ค่ะ


(ใครอยากอ่านต่อก็ไปเข้าเว็บดังกล่าวดูนะจ๊ะ )  ทางสายนี้มีแต่กัลยาณมิตร พวกกลุ่มลานธรรม อายุยังน้อยทำงานดี ๆ กัน และมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ เขาช่วยกันทำงานเผยแพร่ธรรมะ น่ารักกันมากเลยจ้ะ
 และวันนี้ เวลา 14.00 น.คุณดังตฤณ จะจัดแถลงข่าวหนังสือธรรมะที่นำมาทำเป็น การ์ตูน รู้สึกจะเป็น เรื่อง มีชีวิตที่คิดไม่ถึง  หรือไงนี่แหละจ้ะ ที่ชั้น 22 ห้องพุทธคยา อาคารอัมรินทร์พลาซ่า ใครอยากพบ
"ดังตฤณ"ตัวเป็น ๆ และคุยธรรมะ ก็เชิญเพราะเขารู้วาระจิตของเรา ก็อาจจะแนะนำธรรมะ หรือวิธีปฏิให้เราได้  ที่บอกช้าเพราะเพิ่งรู้เหมียนกัล  เดี๋ยวเราจะไปแว๊ว...นัดกับลูกชายไว้ว่าจะไปพบกันที่นั่น  ลูกชายเราเขาก็สนใจธรรมะเหมือนเราแหละต้อย คุณดังตฤณ เคยบอกว่า อีกหน่อยเขาจะดีมาก ๆ เลย ...ดีใจจังเนอะ เรียกว่าบุญที่เราทำก็ได้ลูกดี ๆ แค่นี้ก็ตายตาหลับแล้ว...ต้อยว่ามั๊ย  
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2550, 13:35:15 »

พี่จิ๋มขา...
ในรุ่น 39 มี Do you believe in Destiny? ก็เลยอยากจะถามเรื่อง "พรหมลิขิต" ในทางพุทธศาสนาค่ะ...
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #21 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 14:16:11 »

วันที่ 23 ตค. ที่เจอกัน เชิญ  Jimsy บรรยายธรรม ซัก 10 นาที่เนาะ
บันทึกการเข้า
จุฑารัตน
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 14:50:50 »

hOOOOOOOOOOOOOเริง......ฮา...ขำกลิ้งเลย..มามุขนี้


 Cheesy เริง......ด้อง.3 ชั่วโมงต่อเนื่อง  ไม่พักเหนื่อย  ไม่พักจิบน้ำชา..........
 
            และ ผู้ฟังห้ามเหนื่อย  ต้อง pay full attention นะคะ

.............ขอเสนอเป็น MP3  แล้วตัวใครตัวมัน


และอย่าให้จิ๋มซี่  หมุนตัวกลับนะเคอะ.....danceeeeeeeeeกระจาย :!:  :!:  :!:
บันทึกการเข้า
nitty20
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,398

« ตอบ #23 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2550, 10:10:44 »

:lol:  :lol: อ่าง...เอ๋ย....เธอ...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเรย..
ที่เสนอมา..นะ..เดี๋ยวก็เข้าทางไอ้จิ๋ม...แล้วเธอจะหนาววววว....5555
3 ชั่วโมงก็ยังไม่พอหรอกม้าง...แขก...ไหนจะเวลาแจกซองกฐินอีกล่ะ..ฮา :
lol:  :lol:
บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #24 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2550, 11:06:03 »

  หนูปุ๊กกี้จ๋า...คำถามนี้ก็เคยมีผู้ถามคุณตุลย์(ดังฤณ)มาแล้ว...พี่คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบสำหรับหนูได้ นะจ๊ะ....



ถาม : คำว่า ‘พรหมลิขิต’ มีความเป็นมาอย่างไรคะ?

ตอบ :


ตามตำนานนะครับ มีพระพรหมซึ่งเป็นเทพผู้ทรงฌานท่านหนึ่ง อายุยืนยาวจนลืมความเป็นมาของตัวเอง เห็นแต่ความเกิดดับของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย แต่ไม่เห็นความเกิดดับของตนเอง ก็เกิดความหลงเข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้างโลก สร้างสวรรค์ สร้างจักรวาล และความเชื่อนี้พลอยตกทอดลงมาถึงมนุษย์ผ่านเทวดา ผ่านร่างทรง ผ่านการเข้าฝัน จนกระทั่งผ่านมนุษย์รุ่นต่อรุ่น หาที่มาชัดเจนไม่เจอ


เมื่อเชื่อเสียแล้วว่าพระพรหมเป็นผู้สร้าง ดังนั้นชะตากรรมทั้งหมดก็ต้องมีพระพรหมเป็นผู้ลิขิต แต่ถามว่าทำไมพระพรหมมีเวลาลิขิตมากนัก สัตว์เป็นหมื่นล้านแสนล้านขนาดนี้ ก็จะไม่พบคำตอบ คำตอบสุดท้ายคือพระพรหมเป็นผู้ลิขิต หาทางพิสูจน์หรือหาคำอธิบายให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้


จุดและที่สำคัญคือ เมื่อเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิตเสียแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอะไรๆให้ดีขึ้นเลย ทุกอย่างถูกกำหนดไว้เรียบร้อยตั้งแต่เกิดจนตาย แบบเดียวกับเราเป็นนกหนูในกรงทดลองที่คนอยากกำหนดให้มีอันเป็นไปอย่างไรก็ ได้ ไม่มีทางหือ


แต่ถ้าเราเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่ว่าตัวเราเองลิขิตตัวเองด้วยกรรม ใครทำกรรมอันใดไว้ ย่อมเป็นทายาทของกรรมนั้นๆ อันนี้พอหาทางพิสูจน์และอธิบายกันได้ เช่นว่าถ้าเราดวงไม่ดี เจอแต่คนรักเลวๆ ก็แปลว่ากรรมเก่าเราทำให้คนอื่นมีชะตากรรมไม่ดี และเราก็อาจจะเคยเลวกับคนรักในปางก่อน


วิธีพิสูจน์นั้น ก็ยืนพื้นอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ถ้าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นด้วยกรรมดำ เราก็ต้องสร้างเรื่องดีมาสู้ได้ด้วยกรรมขาวอันเป็นขั้วตรงข้ามเช่นกัน เช่น เมื่อหมั่นสร้างชะตากรรมดีๆให้ผู้ด้อยโอกาส หมั่นให้อภัยไม่อาฆาตคนร้ายกับคุณ กัดฟันทำแต่กรรมขาวจนกระทั่งความดีงามตั้งมั่นในคุณ หากเรื่องของกรรมวิบากมีจริงชะตากรรมของคุณก็ต้องดีขึ้นภายในชาตินี้ กรรมย่อมไม่ปล่อยให้คุณต้องมัวน้อยใจวาสนา ไม่ปล่อยให้รอถึงชาติหน้าเหมือนอย่างพรหมลิขิตอย่างแน่นอน


และเท่าที่พบกันมานักต่อนัก ทันทีที่คนเราเริ่มเชื่อว่ากรรมเป็นตัวลิขิตชะตานี่นะครับ ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นทันที อย่างน้อยเรามีเหตุผลอธิบายตัวเองว่าทำไมต้องเป็นเรา และเจออะไรอย่างที่เคยเจอ จิตที่มีศรัทธาแบบพุทธจะคล้อยไปในเส้นทางของเหตุผลและปัญญา ซึ่งทำให้เกิดความสว่าง ความอบอุ่น และความไม่หลงงมงายด้วยความเชื่อสืบๆกันมาครับ
บันทึกการเข้า
  หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><