23 พฤศจิกายน 2567, 10:28:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เชิญตรวจเลือด20ซีซีดูเซลล์เพื่อเช็คว่าเหมือนของคนไข้หรือไม่เพื่อบริจาคเสต็มเซลล์  (อ่าน 6727 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 10 สิงหาคม 2552, 07:50:45 »


                 

         สเต็มเซลล์ (Stem cell) เป็นที่รู้จักในทางการว่าเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต หรือเรียกง่ายๆ ว่า เซลล์ตัวอ่อนของโลหิต ซึ่งจะเจริญเติบโตเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดโลหิต ทั้งยังให้กำเนิดตัวเองได้ตลอดเวลาแถมไม่มีวันหมดจากร่างกายอีก ทำให้สเต็มเซลล์เป็นความหวังของผู้ป่วยในการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด อาทิ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูกฝ่อ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระดูก มะเร็งรังไข่ เป็นต้น

         แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าจำนวนคนที่บริจาค สเต็มเซลล์ยังมีน้อย และที่ยากยิ่งกว่าคือความเข้ากันได้ของสเต็มเซลล์ระหว่างพี่น้องท้องเดียวกันคือมีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ขณะที่คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดหรือพันธุกรรม พบได้เพียง 1 ใน 10,000 เท่านั้น

         สำหรับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคสเต็มเซลล์ เพียงแจ้งความต้องการกับเจ้าหน้าที่ว่าขอลงทะเบียนบริจาคสเต็มเซลล์ พยาบาลจะเจาะเก็บตัว อย่างโลหิตประมาณ 20 ซีซี เพื่อนำไปตรวจหาความเข้ากันได้ของสเต็มเซลล์ หรือความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อบนเม็ดโลหิตขาว (match HLA tissue typing) เมื่อพบว่าผลการตรวจ HLA เข้ากันได้กับผู้ป่วยเจ้าหน้าที่โครง การจะติดต่อกลับไปอีกครั้งหนึ่ง

 win win win

ดูเนื้่อข่าวเพิ่มเติมที่บอร์ด ร.พ. ที่

http://forums.212cafe.com/panom/board-7/topic-22.html

 bye bye bye bye bye bye

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2552, 13:46:27 »


เปลี่ยนเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ปลูกถ่ายติดผู้ป่วยมีชีวิตใหม่

                 
         การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cell transplantation) เป็นวิทยาการความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงหลายชนิดให้มีโอกาสหายขาดได้ โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย การมีผู้บริจาค stem cell ที่เหมาะสม ประสบการณ์ความพร้อม ความเชี่ยวชาญของแพทย์และพยาบาลผู้ดูแลรักษา และที่สำคัญคือกำลังใจจากบิดามารดา ผู้ปกครองและญาติพี่น้องของผู้ป่วย หรือจากบุคคลใกล้ชิด

         เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cells) คืออะไร ?

         คือเซลล์ตัวอ่อน (หรือเซลล์ต้นกำเนิด (parent cells)) ที่อยู่ในไขกระดูก ซึ่งสามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวพัฒนาไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ คือ

         เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
         เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ต่อต้านและทำลายเชื้อโรคต่างๆ ที่รุกรานร่างกาย
         เกร็ดเลือด มีหน้าที่ห้ามเลือดจากบาดแผล ช่วยให้เลือดหยุดไหล

         การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell Transplantation) คืออะไร ?

         คือการเปลี่ยนหรือแทนที่ stem cell ที่ผิดปรกติด้วย stem cell ที่ปรกติ Stem cell ที่ปรกตินั้นได้มาจากผู้บริจาค และนำมาให้แก่ผู้ป่วย (ผู้รับ) หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาขนาดสูง ที่เรียกว่า "การเตรียมสภาพผู้ป่วย" (Conditioning) ซึ่งใช้เวลานาน 5-9 วัน แล้วแต่โรคและสภาพของผู้ป่วย

         ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เหตุผลที่ผู้ป่วยต้องได้รับการเตรียมสภาพก็เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังเหลือซ่อนเร้นในร่างกาย ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม การเตรียมสภาพเพื่อทำให้เกิดที่ว่างในไขกระดูกผู้ป่วย เพื่อให้ stem cell จากผู้บริจาคมีที่ที่จะเจริญเติบโต และเพื่อกดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่ให้ต่อต้าน stem cell ของผู้บริจาค

         ต่อจากระยะการเตรียมสภาพ จะเป็นระยะเวลาของการปลูกถ่าย โดยการให้ stem cell เข้าไปในตัวผู้ป่วยผ่านทางสายสวนเส้นเลือดดำใหญ่ ด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับการให้เลือด (blood transfusion) ไม่จำเป็นต้องฉีดโดยตรงเข้าไปในไขกระดูกผู้ป่วย Stem cell นั้นจะไหลเวียนในกระแสเลือดผู้ป่วย และเข้าไปอยู่ในไขกระดูกได้เอง จากนั้นจะเริ่มเจริญเติบโตต่อไป

         ใครควรได้รับการปลูกถ่าย stem cell ?

         ผู้ป่วยที่เป็นโรคของไขกระดูกหรือความบกพร่องหรือผิดปรกติของเซลล์ในไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อชนิดรุนแรง โรคโลหิตจางเบต้าธาลัสซีเมีย โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด
ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งบางชนิด ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมหมวกไต มะเร็งเนื้อเยื่อ
ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคทางพันธุกรรมหรือมีความผิดปรกติทางเมตาบอลิคบางชนิด

         แหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหาได้จากไหน ?

        ไขกระดูก โดยการเจาะดูดไขกระดูกที่บริเวณกระดูกเชิงกราน (กระดูกสะโพก) ด้านหลัง ผู้บริจาคจำเป็นต้องได้รับการวางยาสลบขณะที่ทำการดูดไขกระดูก หลังการบริจาค เซลล์ในไขกระดูกจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นมาทดแทนได้เอง ไม่มีการสูญเสียอวัยวะหรือสมรรถภาพใดๆทั้งสิ้น
กระแสเลือด โดยฉีดยากระตุ้น G-CSF ให้เซลล์ในไขกระดูกแบ่งตัวเพิ่มจำนวน แล้วออกมาไหลเวียนในกระแสเลือด จากนั้นนำเลือดของผู้บริจาคผ่านเครื่องมือคัดแยก stem cell เก็บไว้ แล้วคืนเลือดและพลาสมากลับสู่ร่างกายผู้บริจาค เป็นวิธีที่ผู้บริจาคจะรู้ตัวดีตลอด ไม่ต้องวางยาสลบ ลักษณะการบริจาคคล้ายคลึงกับการบริจาคโลหิต
เลือดจากสายสะดือและรกของเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งวงการแพทย์ค้นพบว่าอุดมไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต เป็นการนำสิ่งที่เคยถูกละทิ้งไปในอดีตมาทำให้เกิดประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วย วิธีการทำโดยการเก็บทันทีหลังจากทารกเพิ่งคลอดและผูกตัดสายสะดือแล้ว ด้วยวิธีปราศจากเชื้อโรคและป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด จากนั้นทำการเตรียมและเก็บสงวน cord blood ไว้ในสภาพแช่แข็งในถังไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิเย็นจัด

         ใครสามารถเป็นผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ?

         ผู้บริจาค stem cell ควรเป็นผู้ที่มีหมู่เนื้อเยื่อ HLA 6 หมู่หลักตรงกันหรือเข้ากันได้กับผู้ป่วยจึงจะมีโอกาสปลูกถ่ายติดสำเร็จสูง และเกิดภาวะแทรกซ้อน Graft-versus-Host disease (GvHD) น้อยหรือไม่เกิดเลย หมู่ HLA หรือ Human Leukocyte Antigen หลักดังกล่าวประกอบด้วย HLA-A, -B, -DR อย่างละ 2 ตำแหน่ง ผู้บริจาคส่วนใหญ่ที่หาได้มักจะเป็นพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ป่วย เนื่องจากโอกาสที่พี่น้องจะมี HLA ตรงกันทุกประการเท่ากับร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ส่วนตัวบิดามารดาเองจะมี HLA ตรงกับผู้ป่วยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

         ถ้าผู้ป่วยเป็นบุตรคนเดียว หรือไม่มีพี่น้องที่มี HLA ตรงกัน แพทย์สามารถสรรหาผู้บริจาคที่เป็นอาสาสมัคร (Unrelated, volunteer donor) ได้จากศูนย์กลางการขึ้นทะเบียนอาสาสมัครบริจาค stem cell คนไทยที่เรียกว่า National Stem Cell Donor Registry ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นอกจากนี้ ศูนย์ฯยังเป็นสื่อกลางในการติดต่อแสวงหาผู้บริจาคจากต่างประเทศด้วย แม้ว่าโดยทฤษฎี โอกาสที่คน 2 คนที่ไม่ใช่เครือญาติจะมี HLA ตรงกันมีเพียง 1 ใน 5 หมื่นหรือ 1 ในแสน และจำนวนผู้บริจาคคนไทยยังมีไม่มากนัก ปัจจุบัน (พฤศจิกายน 2551) ชาวไทยมีการขึ้นทะเบียนไว้แล้วกว่า 2 หมื่นคน เปรียบเทียบกับชาวไต้หวันมีการขึ้นทะเบียนกว่า 3 แสนคน หรือประชากรทั่วโลกมีการขึ้นทะเบียนไปแล้วกว่า 10 ล้านคน แต่เนื่องจากประชากรที่มีเชื้อสายเผ่าพันธุ์เดียวกันมักจะมี HLA คล้ายๆกัน ผู้ป่วยบางรายจึงโชคดีที่หาผู้บริจาคได้ ดังนั้น แพทย์จึงมีประสบการณ์ปลูกถ่ายผู้ป่วยเด็กไทยโดยใช้ stem cell จากอาสาสมัครคนไทยและคนต่างประเทศมาแล้ว 38 ราย

         ในปัจจุบัน มีธนาคารเลือดจากสายสะดือและรก (Cord Blood Bank) ที่ได้มาตรฐานเพิ่มขึ้นหลายแห่ง เป็นการเปิดกว้างของโอกาสในการหา stem cell ที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วยได้มากขึ้น ผู้ป่วยเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อยสามารถปลูกถ่ายได้โดยใช้เลือดจากสายสะดือจากน้องของผู้ป่วยหรือจาก Unrelated cord blood ยูนิตที่สะสมไว้ใน Cord Blood Bank ได้ ถ้ามี HLA ตรงกันหรือใกล้เคียงกันมาก การศึกษาวิจัยพบว่าเลือดจาก cord blood แม้จะมี HLA ต่างกับผู้ป่วย 1-2 ตำแหน่ง ก็ยังสามารถปลูกถ่ายติดได้ถ้าจำนวน stem cell มีมากเพียงพอ

         กระบวนการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตโดยสังเขป

         หลังจากผู้ป่วยได้รับการเตรียมสภาพและได้รับการปลูกถ่าย ต้องใช้เวลานาน 2-3 สัปดาห์กว่าที่ stem cell ใหม่จะเริ่มปลูกติด ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ในห้องเดี่ยวปลอดเชื้อที่ติดตั้งเครื่องกรองเชื้อโรค ฝุ่นละออง และเป็นแรงดันบวก ผู้ป่วยได้รับการเฝ้าระวังป้องกันรักษาภาวะแทรกซ้อน ต้องได้รับยาป้องกันการติดเชื้อ ต้องได้รับเลือดและเกร็ดเลือดที่ผ่านการเตรียมอย่างพิเศษ ได้รับยาช่วยกระตุ้นการปลูกถ่ายติดและยากดภูมิต้านทานเพื่อป้องกันภาวะ GvHD ผู้ป่วยบางรายต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือด ผู้ป่วยมักต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลนานประมาณ 6-8 สัปดาห์จึงจะแข็งแรงพอที่จะสามารถกลับบ้านได้ ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลจึงค่อนข้างสูงมาก

        ผลการรักษาผู้ป่วยเด็กจากประสบการณ์ของแพทย์เจ้าของบทความ

         การปลูกถ่าย stem cell สามารถรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงให้หายขาดได้ถึงร้อยละ 85 ของผู้ป่วย รักษาโรคมะเร็งชนิดที่มีความเสี่ยงสูงให้หายขาดได้ประมาณร้อยละ 60 ของผู้ป่วย รักษาโรคไขกระดูกฝ่อชนิดรุนแรงให้หายขาดได้ประมาณร้อยละ 65 ของผู้ป่วย รักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดให้หายขาดได้ร้อยละ 35 ของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายติดสำเร็จ ก็เหมือนกับการได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่ที่ปลอดจากโรคร้าย ดำรงอยู่และเติบโตเป็นเยาวชนที่ดีและกำลังสำคัญของชาติต่อไป ส่วนผู้บริจาคทุกรายก็ได้สร้างบุญคุณและก่อกุศลอันยิ่งใหญ่ จากการติดตามระยะยาวพบว่าผู้บริจาคมีสุขภาพแข็งแรงดีทุกคน

ที่มา : รศ.นพ.ปรีดา วาณิชยเศรษฐกุล

 bye bye bye bye bye bye


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 02 มกราคม 2553, 05:50:10 »


                      

                        "อะไหล่มนุษย์"

         นับย้อนหลังไปประมาณ 15 ปีก่อนหน้านี้ หากมีใครพูดถึงเรื่องแบบนี้ คงถูกผู้คนในสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ หรืออาจถึงขั้นโดนกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อแต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ก็กลับเกิดขึ้นได้จริง เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดย เฉพาะความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้น แสวงหา ทุกวิถีทางเพื่อยืดช่วงเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาว และในที่สุดคือสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ที่เรียกกันว่า "ชะลอแก่-ชะลอตาย"เพราะนับจากปี 2010 เป็นต้นไป เซลล์ ยีน ซึ่งหมายถึง พันธุกรรมของมนุษยชาติ และสเต็มเซลล์จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆแต่ก่อนที่จะก้าวไปถึงวันที่วงการแพทย์ สามารถสร้างเซลล์อะไหล่ของมนุษย์ เพื่อปฏิบัติ การซ่อม ยืด และถึงที่สุดคือยื้อชีวิตมนุษย์นั้น

         ทีมข่าวสาธารณสุข ขอย้อนอดีตเพื่อไล่เลียงถึงที่มาที่ไปของวิวัฒนาการทางการแพทย์ ที่นำมาสู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สเต็มเซลล์  หรือ  เซลล์อะไหล่  ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแพทย์โลก

         เริ่มจากปี ค.ศ. 1995 เทคโนโลยีการผ่าตัด, การปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะ เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือแม้แต่ การใช้ระบบนำวิถีเพื่อลงมีดผ่าตัดที่อวัยวะต่างๆ ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดพลาดเป้า โดยเฉพาะการผ่าตัดสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าอวัยวะอื่นๆ เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โลก และประเทศไทย

         ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตกตะลึง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน  ของสหรัฐฯ  อังกฤษ  และอีก หลายประเทศ ร่วมกันแถลงถึงผลงานชิ้นโบแดงแห่งศตวรรษ ถึงความสำเร็จของโครงการทดลองที่เรียกว่า Human Genom Project หรือ "การถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ซึ่ง ดร. ฟรานซิส คอลลินส์ เป็นผู้อำนวยการโครงการ ถือเป็นการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ!ปฏิบัติการ "ถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ๆเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น การโคลนนิ่ง การตัดต่อยีน รวมไปถึง เทคโนโลยีจีเอ็มโอ ที่ทำในพืชและสัตว์ด้วยว่ากันว่าประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนศึกษาค้นคว้าวิจัย   และ พัฒนาเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ สหรัฐฯความสำเร็จของโครงการนี้ คือ การได้ มาซึ่ง "พิมพ์ เขียวพันธุกรรมมนุษย์" ที่เรียกว่า "บุ๊ก ออฟ ไลฟ์" หรือ "คัมภีร์ชีวิต" ที่ถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการถอดรหัสยีน ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรม เพื่อจัดลำดับอนุกรมทางเคมีของดีเอ็นเอ 3,120 ล้านคู่ ที่มีอยู่ ในยีนของมนุษย์  ซึ่งการถอดรหัสยีนดังกล่าว  ทำให้รู้ว่า  ดีเอ็นเอแต่ละหน่วยทำงานอย่างไร หน่วยใดที่ทำให้เราเจ็บป่วย หรือหน่วยใดที่ช่วยต้านทานโรค ตลอดจนหน่วยใดที่ทำให้ เราแก่ชรา

         พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิด และหน้าที่ของโปรตีนที่ยีนผลิตขึ้นมา  ระบบการทำงานของโปรตีนในร่างกายมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นคว้าวิจัย เพื่อผลิตยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง, อัลไซเมอร์ หรือเบาหวาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมไปถึงการพยากรณ์อนาคตของมนุษย์แต่ละคนว่า  มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ  ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัลไซเมอร์ หรือจิตเภท ได้หรือไม่นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องเหล่านี้ถึงขั้นวางแผนไปไกลขนาดที่จะใช้พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ เป็นตำราในห้องทดลองเพื่อชะลอการชราภาพลงของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ  ทำให้มนุษย์ไม่ต้องแก่  หรืออาจจะไม่ตายตามกฎแห่งวัฏสงสาร

        แต่พอถึงปี ค.ศ.2005 การถอดรหัสพันธุกรรม และพิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ กลายเป็นเรื่องเก่า เพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ในการรักษาโรคและซ่อมสร้างสังขารของมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นเรียกว่า

         "สเต็มเซลล์"

ที่นับวันยิ่งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆและในวันนี้ ก็มีการพูดถึงคำว่า "อะไหล่ ร่างกาย" ที่สามารถเก็บสำรองไว้สำหรับรักษาโรคร้ายหรือความเสื่อมของอวัยวะในอนาคตได้  การฝากเก็บสเต็มเซลล์  ไว้ในธนาคารสเต็มเซลล์  เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง  1-2  ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2009 ความเคลื่อนไหวในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาสเต็มเซลล์ กลายเป็นประเด็นที่เขย่าความสนใจของวงการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เมื่อ ประธานาธิบดี บารัค โอ- บามา ประกาศอนุญาตให้มีการวิจัยสเต็มเซลล์ เต็มรูปแบบ ด้วยการลงนามยกเลิกข้อห้ามสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่ไม่ให้ใช้เงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์

         คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา  คือ  ให้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช) วางแนวทาง ในการวิจัยด้วยการนำสเต็มเซลล์จากห้องทดลองเอกชนมารวมกันภายใน 120 วัน นับจากวันที่ 9 มี.ค. 2009 ถือเป็นการประกาศบุกเบิกงานวิจัยทาง ด้านนี้อย่างเต็มรูปแบบ และรัฐบาลอเมริกันยังได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยถึงกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

         ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยไปภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้ ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ วิศวกรรมเนื้อเยื่อและอวัยวะสังเคราะห์จะเริ่มเกิดขึ้น  และแน่นอนที่สุด  ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์จากการคิดค้นของมนุษย์เหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดการแพทย์ทั่วโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งตอนนี้ก็คือ  เทคโนโลยีที่เรียกว่า  "Regenerative medicine"   หรือนวัตกรรมยาที่สามารถ สร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่ เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย  ที่นำแนวคิดเริ่มต้นมาจาก "การ งอกใหม่" ของอวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่น พวกซาลาแมนเดอร์ ไฮดรา และดาวทะเล ฯลฯ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานในการ ทดลองนี้ว่า เมื่ออวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต มีการงอกใหม่ได้ มนุษย์ก็น่าที่จะสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะจาก "ยีน" หรือ "เซลล์" ที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังที่กล่าวมาแล้วซึ่งถ้าการวิจัยนี้สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหางเลยทีเดียว

         กลับมาที่เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นแล้วอย่างสเต็มเซลล์บ้าง ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำนวน "สเต็มเซลล์" ที่ถูกฝากจนล้นในธนาคาร เท่ากับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่จะฝืน ยืด  ยื้อ  หรือต่อรองกับมัจจุราชในการใช้เวลาบนโลกมนุษย์ให้มากขึ้น ด้วยการเอาชนะโรคร้ายทุกโรคที่เคยทำให้มนุษย์ต้อง "ตาย" ตามกฎของธรรมชาติ

         "สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คือ เซลล์ชนิดไหน แต่กลไกการทำงานของเซลล์ ชนิดนี้  มีความมหัศจรรย์มาก  เพราะ  ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในร่างกาย  เจ้าสเต็มเซลล์ก็จะทำตัวเป็นเซลล์ของอวัยวะนั้น เช่น ถ้าไปเกาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็กลายเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจ เกาะที่เส้นประสาทก็กลาย เป็นเซลล์เส้นประสาทที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ  เมื่อไปเจอเซลล์ตรงจุดไหนเสื่อม   เจ้าสเต็มเซลล์ที่ฉลาดปราดเปรื่องและขยันขันแข็งตัวนี้   ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์   อวัยวะส่วนนั้น  เหมือนเป็นทั้งนายช่าง   และอะไหล่ประจำร่างกายเลยทีเดียวนักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จำนวนไม่น้อยเปรียบเทียบว่า สเต็มเซลล์ อาจจะเป็นเสมือน "อวัยวะ สำรอง" ของร่างกายที่เมื่ออันหนึ่งเสื่อมไปก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่   หรืออวัยวะใหม่เข้าไปแทนที่ได้ เหมือนเปลี่ยนอะไหล่รถ...ปีที่ผ่านมาวงการแพทย์ทั่วโลกนำสเต็มเซลล์ไปใช้ รักษาโรคร้ายแรงได้มากกว่า 70 ชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน โรคเส้น เลือดในสมองอุดตัน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดและ ไขกระดูก โรคเกี่ยวกับความบกพร่องของกล้ามเนื้อ รวมถึงอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ไขสันหลังบาดเจ็บ และบาดแผลทางผิวหนัง ฯลฯ แต่ในปีนี้ จำนวนโรคที่เจ้าเซลล์มหัศจรรย์ ตัวนี้สามารถเป็นอะไหล่เข้าไปซ่อมสร้างได้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 โรคแล้วDr.Kostas I. Papadopulos ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแห่งไทยสเต็มไลฟ์ บริษัทจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย ถึงกับระบุว่า...

         "สเต็มเซลล์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา"

         สำหรับวิธีจัดเก็บสเต็มเซลล์ที่นิยมส่วนใหญ่ มี 2 วิธี คือ

เก็บจากเลือดในรกและสาย สะดือเด็กแรกเกิด  และ  เก็บจากกระแสโลหิต

         ในกรณีของสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดจากรกและสายสะดือนั้น นอกจากจะเป็นอะไหล่ สำหรับเจ้าของรกและสายสะดือแล้ว หลายครั้งที่มันถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวด้วย

         มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ลูกคนโตได้ใช้ สเต็มเซลล์จากรกของลูกคนเล็กหรือน้องเพื่อรักษาโรคร้ายแรงของตัวเอง เพราะโอกาสที่พี่น้องท้องเดียวกันจะมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันมีสูงถึง 1 ใน 4

         ปี ค.ศ.2009 หรือ พ.ศ.2552 เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ เอช 1 เอ็น 1 ระบาดทั่วโลก รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งเริ่มที่จะปรับตัวให้มีความร้ายกาจในการกัดกินอวัยวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยากมากขึ้น หลายประเทศถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายให้มีการเก็บสเต็มเซลล์จากรกไว้ให้มากที่สุด เพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคต ยกตัวอย่าง เช่น สิงคโปร์ ซึ่งกำหนดเป็นพันธกิจของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บสเต็มเซลล์ของทารกแรกเกิดชาวสิงคโปร์ เอาไว้ทุกคน เพื่อเป็นการประกันสุขภาพของประชากร อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ของสิงคโปร์ด้วย

         หันกลับมามองในส่วนของประเทศไทย ความก้าวหน้าเรื่องของสเต็มเซลล์ เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพของแพทย์จะออกมาให้ข้อมูลตรงกันทั้งในเรื่องของกฎหมายและการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กระทำต่อร่างกายมนุษย์ว่า   ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย  แต่ก็มีโรงพยาบาล ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอของร่างกายมนุษย์แล้วอย่างแพร่หลาย โดยในทางการแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาระบุตรงกันว่า ขณะนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนี้ สามารถแยกเซลล์ตั้งต้นให้บริสุทธิ์ได้   โดยแยกจากเลือดสายรก ทำให้เซลล์จากเลือดสายรก ปลอดจากเชื้อโรค  เชื้อไวรัส  เซลล์มะเร็ง  เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือโปรตีนอื่นๆ ที่ร่างกายต่อต้าน ทำให้การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดสายรก ปลอดภัยในการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่ หรือซ่อมอวัยวะที่ตายหรือเสียหาย  เช่น  ไขสันหลังบาดเจ็บ   หรือเซลล์สมองขาดเลือด   ซึ่งการแพทย์ แผนปัจจุบันไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายเซลล์ ใหม่ หรืออวัยวะนั้นไม่อาจรักษาด้วยยาได้แล้ว และล่าสุดถึงขั้นมีสถานพยาบาลแห่งหนึ่งโฆษณาถึงขั้นที่ว่า  สามารถฉีดเฟรชเซลล์ จากสัตว์โดยเฉพาะแกะเข้าไปยังร่างกายมนุษย์ เซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนของแกะพุ่งตรงไปทำหน้าที่ให้เซลล์เก่าของร่างกาย   ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ถ้าเป็นโรคพาร์กินสัน เซลล์ก็ไปยังสมอง ถ้าโรคชรา วัยทอง เซลล์จะไปที่ต่อมหมวกไต ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรงก็จะไปที่ขา หรือรักษาโรคหัวใจมันก็จะวิ่งไปยังอวัยวะที่ต้องการเอง แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสดชื่น ราวกับเกิดใหม่จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป นับจากปี 2010 เป็นต้นไป

         แต่แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเป็นความหวัง ที่จะช่วย "ยื้อ" ชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้ยืนยาวมากขึ้นได้ หรืออาจจะวิเศษถึงขั้นที่ "ไม่ตาย" ได้ สิ่งที่ ทีมข่าวสาธารณสุข อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ก็คือ  สัจธรรมของโลกที่ว่า  ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ  หรือสิ่งที่มีคุณอนันต์อาจจะมีโทษมหันต์ตามมาด้วย   โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของความพยายามที่จะฝืนกฎหรือความเป็นไปตามธรรมชาติ ลองคิดดูกันเล่นๆ   หากวิทยาการทาง
การแพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ได้จริง  ถึงวันนั้นคนอาจจะล้นโลก จนต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และถึงที่สุดแล้ว เราก็อาจจะค้นพบความจริงที่ว่า

         ไม่มีอะไรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติไปได้

         ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ที่ชัดเจนถึงความดำรงอยู่ และสูญสลายไปตามกฎ ของธรรมชาติ

         รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!

ทีมข่าวสาธารณสุข

http://www.thairath.co.th/content/edu/56329

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2553, 08:55:47 »


                  ผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้  !!!

                            

         คือเรื่องจริง   ที่เกิดขึ้นจริง ๆ   เป็นผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้ !!!  รุ่นพี่ของเราคนหนึ่ง อายุประมาณ 35 ปี   ทำงานอยู่ที่ ทีพีไอ สำนักงานใหญ่   ซึ่งบริษัทมีสวัสดิการให้พนักงานตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี     ผลการตรวจล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว   ปรากฎว่า

         พี่เค้าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว   ซึ่งคุณหมอก็งงเหมือนกัน เพราะเกือบทั้งหมดของคนที่เป็นโรคนี้   มักเป็นมาแต่กำเนิด หลังทราบผล   พี่เค้าก็ไปปรึกษาคุณหมอ สรุปว่า   ทางเดียวที่จะรอดได้ก็ต้องผ่าตัด เพื่อดูว่าสามารถซ่อมลิ้นหัวใจได้หรือไม่   ถ้าไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่      

         หลังจากปรึกษาที่รพ.เซ็นหลุยส์ ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดประมาณ   3 –4 แสนบาท

         จึงลองไปปรึกษาที่รพ.จุฬาฯ     ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ   1 แสน กว่า   ๆ   จึงตัดสินใจไปผ่าตัดที่รพ.จุฬา ฯ

         แต่ก่อนหน้านี้ พี่เค้าบริจาคเลือดทุก ๆ 3 เดือนมาโดยตลอด รวมทั้งหมดที่บริจาคก็ 49 ครั้ง และ พี่เค้าก็ได้รับคำแนะนำมาว่า  

         ทางสภากาชาดจะช่วยเหลือในส่วนของค่าห้องในการพักรักษาตัวได้ จึงได้ไปขอจดหมายรับรองจากสภากาชาดไว้ ว่าได้บริจาคเลือดจำนวนครั้งเท่านี้จริงอย่างน้อยก็จะได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง
 
         พี่เค้าเพิ่งได้รับการผ่าตัดเรียบร้อย เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 48 วันที่ออกจากรพ. ก็ต้องไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นเงิน  110,000 บาท     แต่พี่เค้าต้องจ่ายจริง คือ ค่ายาเพียง 9,800 บาทเท่านั้น    

         เพราะสรุปว่า สภากาชาดออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เจ้าหน้าที่ของรพ.แจ้งว่า ได้รับสิทธิ์เหมือนกับข้าราชการคนหนึ่ง ส่วนของค่ายาที่ต้องจ่ายเองนั้น เพราะเป็นยาบัญชีประเภทสอง ซึ่งถึงจะเป็นข้าราชการก็ต้องจ่ายส่วนนี้เองเหมือนกัน    

         เจ้าหน้าที่ยังแนะนำอีกว่า  เพียงแค่คุณบริจาค เลือดกับสภากาชาดอย่างน้อย 24 ครั้งคุณก็จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้เหมือนที่รุ่นพี่เราได้รับไปแล้ว นี่ถือเป็นโชค 2 ชั้นเลยนะ    

                 ได้บุญจากการบริจาคเลือดแล้ว ยังเหมือนได้ประกันแถมมาอีก    
  
         ถ้าใครมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี   ก็พยายามไปบริจาคเลือดไว้นะ   แต่ขอย้ำว่า นับเฉพาะที่บริจาคไว้กับสภากาชาดเท่านั้นนะ

         สิทธิพิเศษสำหรับผู้บริจาคโลหิตค่ะ

1. ผู้บริจาคโลหิต   ตั้งแต่      7 ครั้งขึ้นไป   สามารถขอใช้สิทธิ์   ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้   ไม่เกินร้อยละ  50

2. ผู้บริจาคโลหิต   ตั้งแต่    16 ครั้งขึ้นไป   สามารถขอใช้สิทธิ์   ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล  + ค่าห้องพิเศษและค่าอหาร   ได้ร้อยละ  50

3. ผู้บริจาคโลหิต   ตั้งแต่    24 ครั้งขึ้นไป   สามารถขอใช้สิทธิ์   ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล  100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร   ได้ร้อยละ  50

4. ผู้บริจาคโลหิต   ตั้งแต่  100 ครั้งขึ้นไป   สามารถขอใช้สิทธิ์   " ขอพระราชทานเพลิงศพ " ได้เป็นกรณีพิเศษ   ** เฉพาะผู้บริจาคโลหิตเท่านั้น   ไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้ผู้อื่นได้  

**5   ผู้บริจาคโลหิต   ตั้งแต่ 9 ครั้งขึ้นไปสามารถขอใช้สิทธิ์ ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เช่น ตรวตจหาน้ำตาล ,ไขมัน , การทำงานของตับ  , การทำงานของไต   ฯลฯ โดยผู้บริจาคโลหิตสามารถใช้สิทธิ์ได้ ปีละ  1 ครั้ง

         เพื่อนๆ   พี่ๆ   คนใด   ที่น้ำหนักตัวเกิน  45 ก.ก .ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ต้องทานยาเป็นประจำ ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อยากจะชวนไปช่วยกันบริจาคเลือดทุกๆ  3 เดือนเป็นประจำนะคะ  เพราะคนไทยส่วนใหญ่ มักจะไปบริจาคกันปีละ 2 ครั้งเท่านั้น   ซึ่งก็ คือ " วันเฉลิมฯ "
ทำให้ช่วงวันเฉลิมจะมีเหลือเข้าสภากาชาด เยอะจนล้น แต่ในขณะที่ไม่ใกล้กับวันเฉลิมฯ จะมีปัญหาเรื่องเลือดหมดคลัง

         จึงอยากจะชวนเพื่อนๆ   พี่ๆ   ไปบริจาคเลือดกันนะคะ เพราะนอกจาก เราจะได้ทำบุญ ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์แล้ว เรายังเป็นการตรวจสุขภาพตัวเราเอง ไปในตัวด้วยนะคะ เพราะถ้าหากสุขภาพเราไม่ดี ทางสภากาชาดเค้าก้อไม่รับบริจาคโลหิตจากเรานะคะ

อย่าลืม   ** บริจาคเลือดทุก  3 เดือนนะค๊า  ** อย่าลืมบอกต่อเพื่อน ๆ ร่วมบริจาคด้วย  **

                                                                                              * v *


         ได้รับมาจากฟอเวอร์ดเมลล์ จึงนำมาโพสต์ให้พวกเราร่วมทำบุญ บริจาคเลือด และ ร่วมตรวจเช็ค Stem cell เพื่อขึ้นทะเบียนไว้ถ้ามีใครต้องการ ที่เหมือนของเรา จะได้มาบริจาคช่วยผู้ป่วยได้

         รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><