25 พฤศจิกายน 2567, 20:57:56
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: นำเรื่อง "แม่กูสอน" มาให้พวกเราอ่าน  (อ่าน 15692 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 30 มิถุนายน 2552, 18:47:06 »



เพื่อน ๆ บอกผมว่า

ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า



แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย

แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง

แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ

เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข

แล้วจะสบายใจกันทุกคน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ

เป็นเด็กเสริฟอาหาร หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์

แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร

เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี

ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมว

ที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้

ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ

ผมบอกเพื่อนว่า

แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน

บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์

แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย

จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ

ผมบอกเพื่อนว่า

ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ' แม่กูสอน '

แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง

มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน

แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว

แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่

แต่......กูรักแม่ว่ะ ใครไม่รัก..................กูรัก


 sleep sleep sleep
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
yenjai
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 14

« ตอบ #1 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552, 13:38:23 »

ดีจังเลย พี่เรา sleep
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2552, 07:29:07 »



เนื่องในโอกาศวันแม่ 12 สิงหาคม ศกนี้

ขอนำเรื่อง แม่กูสอน ที่เคยโพสท์ไว้

ขึ้นมาให้พวกเราระลึกถึงพระคุณของท่าน

ที่เราได้เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะ เรามีท่าน



เรารักแม่

http://www.youtube.com/watch?v=PunHmc6b56Y

อิ่มอุ่น - ศุ บุญเลี้ยง

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=01-2009&date=08&group=8&gblog=43

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2552, 19:32:21 »




Mother Of Mine - Jimmy Osmond

 รักนะ รักนะ รักนะ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=08-2009&date=04&group=9&gblog=210

You gave to me all of my life
To do as I please
I owe everything I have to you
Mother, sweet mother of mine
Mother of mine when
I was young
You showed me
The right way things
Should be done
Without your love,
Where would I be?
Mother, sweet mother of mine

Mother, you gave me
Happiness much more
Than words can say
I pray the Lord that
He may bless you
Every night and every day

Mother of mine
Now I am grown
And I can walk straight
All on my own
I'd like to give you
What you gave to me
Mother, sweet mother of mine (x2)

 sleep sleep sleep


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #4 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2552, 20:59:08 »

พี่เพิ่งอ่านเจอกระทู้นี้ ดีจังเลย
ขอบคุณค่า
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2553, 10:29:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sittipong เมื่อ 14 ธันวาคม 2552, 20:59:08
พี่เพิ่งอ่านเจอกระทู้นี้ ดีจังเลย
ขอบคุณค่า
















พี่ป้อม ผุสดี ชอบ ผมพบจากอีเมลล์ จึงนำมาฝากอีก ครับผม

 sleep sleep sleep
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2553, 21:47:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ สำเริง 17 รุ่น 57 เมื่อ 30 มิถุนายน 2552, 18:47:06


เพื่อน ๆ บอกผมว่า

ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า



แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย

แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง

แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ

เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข

แล้วจะสบายใจกันทุกคน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ

เป็นเด็กเสริฟอาหาร หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์

แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร

เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี

ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมว

ที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้

ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ

ผมบอกเพื่อนว่า

แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน

บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์

แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย

จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ

ผมบอกเพื่อนว่า

ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ' แม่กูสอน '

แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง

มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน

แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว

แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่

แต่......กูรักแม่ว่ะ ใครไม่รัก..................กูรัก


 sleep sleep sleep
อ้างถึง
ข้อความของ สำเริง 17 รุ่น 57 เมื่อ 28 พฤษภาคม 2553, 10:29:45
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sittipong เมื่อ 14 ธันวาคม 2552, 20:59:08
พี่เพิ่งอ่านเจอกระทู้นี้ ดีจังเลย
ขอบคุณค่า
















พี่ป้อม ผุสดี ชอบ ผมพบจากอีเมลล์ จึงนำมาฝากอีก ครับผม

 sleep sleep sleep


ผมประทับใจ  "แม่กูสอน" ของพี่หมอสำเริงมากครับ
จะต้องหาโอกาสอ่านอีกหลายๆครั้ง (ครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งที่2)
...ตบท้าย ด้วย "สิ่งที่แม่ไม่ได้สอน"
สวยงาม กินใจมาก..เป็น บทสรุปของตรรกะที่เป็นจริง

ส่วนภาพล่าง แม้จะดูดี 
แต่ผมรู้สึกเหมือน
"แม่จ๋าอย่ารังแกฉัน"
ยังไงไม่รู้

      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #7 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2553, 07:58:43 »


FW: แด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่า.........แม่"‏‏



ค่าน้ำนม

http://www.youtube.com/watch?v=hfnjG6YJalU&feature=related

เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่

เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่ โดยการร้องไห้งอแง

เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา

เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ ด้วยการโยนจานลงบนพื้น

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน

เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ ด้วยการทำชุดเลอะโคลน

เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่ รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องตะโกนว่า 'ไม่ไป.. ไม่ไป...''

เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก

เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

เมื่อคุณอายุ 10ขวบ แม่พาคุณไปงานเพื่อน คุณขอบคุณแม่ ด้วยการลงจากรถโดยไม่หันกลับมา

เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว

เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าให้ตั้งใจอ่านหนังสือ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการไม่อ่านหนังสือ

เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ว่า 'แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย'

เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่

เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลังงานเลิกอยากกอดคุณ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการไม่สนใจ

เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว

เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอก..อายเพื่อน

เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ ด้วยการฉลองกับเพื่อนตั้งแต่ค่ำยันเช้า

เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญจากคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการ ใช้โทรศัพท์ตลอดคืนนั้น

เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ ด้วยการตอบว่า 'แม่อย่ามายุ่ง กะหนู(ผม)เลย'

เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการพูดว่า 'ไม่ อยากเป็นอย่างแม่'

เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ ด้วยการไม่ให้กอดคุณ

เมื่อคุณอายุ 23 ปีแม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการว่า'มันช่างเชยเสียนี่กระไร'

  win win win

เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณ ดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า

'มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีก เยอะแยะ' และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และ

ทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้า ผ่าในใจคุณ

โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่'แม่'

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก"แม่"ให้ มากกว่ารักตัวเอง

แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็"รัก"ก่อนที่จะทำได้เพียง บอกรักกับ"รูป"ของแม่เท่านั้น


 รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2553, 11:42:08 »


                              

                           นิทานเรื่องที่ ๑๗ ... น้ำตาศิษย์ลาดกระบัง

                               

         เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสอนหนังสือที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง เป็นนักเรียนชั้นปีที่ ๕ วิชา ปฏิบัติวิชาชีพ ซึ่งทางคณะเขาให้ไปสอนมาหลายปีแล้ว การเรียนการสอนของนักเรียนลาดกระบัง คนสอนจะต้องเตรียมตัวมาให้ดีพอควร เพราะนักเรียนเขาหากถูกจี้ให้ถูกจุดแล้ว เขาก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้เอาจริงเอาจัง  และ   วันนั้นก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมเตรียมตัวไปสอนศิษย์ค่อนข้างดีครับ

        ผมวางแผนการสอนในวันนั้นแบบการสอนของโซคราติส คือเตรียม “คำถาม” ที่ต่อตัวกันให้เป็นเรื่องเป็นราว โดยการค่อยๆถามนักเรียนทีละคนไปเรื่อยๆ เพื่อเอาคำตอบของเขาต่อตัวกันให้เป็นสิ่งที่ต้องการสอน แทนที่จะสอนให้เขาฟังอย่างเดียว และด้วยวิธีการสอนแบบนี้ ทำให้นักเรียนเกิดการตื่นตัว สนใจในการเรียน เพราะเขาจะเป็นศูนย์กลางของความคิดและการเรียนได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน ก็คือ “ความกดดัน” ที่ศิษย์ทั้งหลายจะต้องรู้สึก เพราะไม่ทราบว่าจะถูกเรียกให้ตอบเมื่อไร และคำถามคืออะไร ไม่ทราบตัวเองจะตอบได้ไหม และแม้จะตอบได้ ก็โดนครูแก่ๆตัวโตๆไล่ถามต่อไปเรื่อยๆ และแน่นอนหลายคนก็จะจนมุม แต่หลายคนก็สามารถที่จะ “ผลิตงานภายใต้แรงกดดันได้” เป็นอย่างดี และความรู้ก็กระจายไปทั่วทั้งห้องเรียน เรามีหน้าที่ที่จะหา “บทสรุป” ให้เขา เพื่อให้เขา “ฝังความรู้” นั้นเอาไว้ ให้ได้  อีกนานแสนนาน

         ในที่สุดก็มาถึงนักเรียนหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางมาดมั่นดี มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ผมยาว แมน แข็งแรง ผมค่อยๆถามคำถามเขาไป และเขาก็ตอบคำถามอย่าง “ไม่กลัวเกรง” ใดๆเลย นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่เขาสามารถกำหนดอารมณ์ของเขาได้ และคำตอบบางคำของเขาก็เป็นการ “โต้ตอบแบบกวนๆ” เล็กน้อย (สุภาพนะครับ) กล้าขัดแย้งความคิดเห็นอย่างมีเหตุมีผล ผมจึงเกิดความรู้สึกว่า เราน่าจะสอนอะไรมากกว่านี้อีกสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ

        “การรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล หาบทสรุป และนำเสนอ..
       Data Collection + Evaluation + Conclusion + Presentation”


         อันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตอย่าง “คนทำงาน” ที่ต้องจัดการทุกอย่างได้ด้วยตนเอง เพราะเขากำลังจะเรียนจบแล้วชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงใหญ่  ต่อจากนี้เขามิใช่เพียงเป็น  “นักเรียนในชั้นเรียน” ที่ทำตามครูสอนอย่างเดียว

         เพื่อให้เขาได้แสดงออกอย่างเต็มที่ และเพื่อสอนให้เขาทราบว่า ในโลกแห่งความจริงนั้น ชีวิตต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ผมจึงเชิญเขาออกมายืนหน้าห้องคนเดียว สายตาทั้งหลายพุ่งเป้าไปที่ตัวเขา เขาจะต้องควบคุมสมาธิให้ดี เพราะเขาจะต้องเตรียมตอบคำถาม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ ผมเริ่มพูดว่า

         “การเรียนสถาปัตยกรรมนั้น เราจะต้องใช้ข้อมูลมาประมวล ต้องสรุปให้ได้ และนำความคิดสร้างสรรค์เข้าไปประกอบ เราต้องมีความประทับใจในสิ่งที่เราจะสร้างสรรค์ด้วย เพื่อผลเพื่อสร้างความประทับ งานสถาปัตยกรรมที่ดีก็จะเกิดขึ้น ฝรั่งเรียกว่า

                              Information with Appreciation”  

         “แต่ความประทับใจทั้งหลายทั้งมวลในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราต้องมีความประทับใจในมนุษย์ด้วยกันเองเสียก่อน และมนุษย์ในโลกนี้ หากเรายกขึ้น มาสัก ๓ ท่าน จะมีท่านหนึ่งที่รักเรามากที่สุด ดูแลเราด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และทำทุกอย่างเพื่อเราได้เสมอ มนุษย์ผู้นั้นก็คือ “แม่” ของเรา   นั่นเอง”

         “ผมเชื่อว่าแม่ของคุณต้องรักคุณอย่างแน่นอน และผมก็เชื่อว่าคุณก็รักแม่ของคุณ เพียงแต่ว่าหลายครั้งคุณอาจจะลืมแม่เราไป ไม่ใช่เพราะเราไม่รักแม่ของเรา แต่เพราะเราเคยชินในความรักของแม่ที่มีต่อเรา และเราลืมที่จะประมวลและแสดงออกถึงความรักของเราที่มีต่อแม่ของเรา”

         ผมพูดต่อว่า..... “ผมอยากให้คุณค่อยๆคิด ค่อยๆประมวลเรื่องคุณแม่ของคุณ และเล่าให้เพื่อนๆในชั้นเรียนนี้รู้จักคุณแม่ของคุณ.... ไม่ต้องกังวลว่าคุณแม่ของเราอาจจะเป็นคนจน เป็นคนต่ำต้อยในสังคมวัตถุนิยม เพราะ แม่ของเรา ก็คือ แม่ของเราครับ.. ใจเย็นๆ ค่อยๆประมวล ค่อยๆคิด แล้วเรียบเรียงออกมาครับ”

         นักเรียนหนุ่มท่าทางมาดมั่นของผมมองหน้าผม แล้วก็ค่อยๆก้มหน้าลงมองที่พื้น ผมยาวของเขาตกลงมาปกปิดใบหน้า ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งห้องเงียบไปหมด ไม่มีใครขยับตัว เขาก็เงียบ ยืนนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาทั้งสิ้น ผมจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วครับ.....
 
         ผมจึงพูดขึ้นมาเพื่อให้สติแบบกดดันขึ้นนิดหน่อยว่า.... “ความเงียบ แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ความเงียบสงบอาจจะแก้ปัญหาได้ แต่ความเงียบงันนั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร กรุณาประมวลความคิด และตอบออกมาเถิด เวลาเรียนมีไม่เยอะ อย่าทำให้เพื่อนๆอีกหลายสิบชีวิตต้องเสียเวลา เพราะความเงียบงันของคุณ  .... แม่รักคุณแน่นอน แม่ทำอะไรให้เรามากมายแม้ชีวิตแม่เอง ... ลูกจะเงียบเช่นนี้หรือ”
  
         นักเรียนของผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ทุกคนเงียบสนิท เพราะเขากำลังมีน้ำตานองหน้าอยู่ มองไปเห็นสายตาเขาที่ยังเด็ดเดี่ยวอยู่ กายยังยืนตรงอยู่ ผมยาวสบาย และน้ำตายังไหลอยู่  เขาเริ่มพูดขึ้นว่า.....

         “ผมเป็นคนบ้านนอก บ้านผมอยู่โคราช แม่ผมทำงานหนัก พ่อผมตายไปตั้งแต่ผมอายุเพียง ๑๒ ปี แม่ทำงานหนัก แม่รับจ้างซักผ้ารีดผ้า แม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก แต่แม่ไม่เคยบ่น แม่ฝันอยากเห็นผมเรียนมหาวิทยาลัย และผมก็ได้มาเรียนที่นี่ แม่ต้องทำงานหนักขึ้น เพราะผมใช้เงินมากขึ้น......”

         “ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน แม่ผมถามผมทุกครั้งว่า เหนื่อยไหม เรียนหนักไหม แข็งแรงดีอยู่หรือเปล่า ไม่สบายบ้างหรือไม่ แต่ผมไม่เคยถามแม่เลยว่าแม่เหนื่อยไหม ทำงานหนักไหม สุขภาพเป็นอย่างไร”

         “ทุกครั้งผมกลับบ้านนอกของผม แม่ถามผมทุกครั้งว่าอยากกินอะไร ซึ่งหลายครั้งผมก็ตอบให้ผ่านๆไป แต่แม่ก็จะพยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว แล้วแม่ก็เริ่มทำกับข้าวหรือไปซื้อกับข้าวในสิ่งที่ผมบอกแม่ไปว่าผมอยากจะกินอะไร  หลายครั้งผมก็รีบกิน แล้วก็ให้ผ่านไป”

         “แม่ผมทำงานหนักมากๆ แม่ผมเลี้ยงผมด้วยตัวคนเดียว เพราะพ่อผมจากไปนานแล้ว แม่บอกว่าอยากเห็นความสำเร็จของผม แม่บอกว่าผมจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่”


         “วันนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องทำอย่างไรต่อไป ผมรู้ว่าผมต้องไม่บ่น ต้องตั้งใจเรียน ต้องทำให้แม่ภาคภูมิใจ ผมจะทำงานหาเลี้ยงแม่ ให้แม่ทำงานเบาลงให้ได้......  ผ ม รั ก แ ม่ ค รั บ ”

         นักเรียนเงียบหมดทั้งห้อง ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ ผมเองก็เงียบไปด้วย

         นักเรียนผมยาวของผมยืนอยู่หน้าห้องนิ่งๆไม่พูดอะไรต่อ ผมยืนอยู่ด้านหลังห้องจ้องมองเขาอยู่ ผมต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว บังเอิญตาเหลือบไปเห็นศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเป็นนักเรียนฝึกงานที่สำนักงาน ก็เลยเดินไปข้างหลังเขา แล้วเคาะไปที่โต๊ะพร้อมพูดว่า....

                  “ออกไปเป็นกำลังใจให้เพื่อนหน่อย เพื่อนเขาเป็นคนดี
                      เพื่อนเขารักแม่ และเพื่อนเขาก็เล่าเรื่องให้เราฟัง”


         ศิษย์หญิงผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน ไม่ได้หันมามองหน้าผม ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำแม้แต่การแสดงความรับรู้ว่า “ค่ะ” สักคำ.... ศิษย์หญิงคนนั้นเดินไปที่หน้าชั้นเรียน ผมเองไม่ได้เห็นสายตาของเขาว่าเป็นอย่างไร เพราะเขาหันหลังให้ผมอยู่ขณะเดินไป  แล้วเขาก็หยุดยืนหน้าชั้น เอามือแตะไหลเพื่อน ก้มหน้า ยืนนิ่งอยู่ แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ทั้งห้องก็ตกใจ เพราะ    ศิษย์หญิงผู้นั้นมีน้ำตาเนืองนองกระจายอยู่เต็มใบหน้าเขา
 
         ทุกคนในห้องเงียบงัน แต่ผมก็ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า แล้วต้องการใช้วิกฤติแห่งความรักแม่นี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด  จึงพูดขึ้นมากว่า...

         “พวกคุณยังโชคดี ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ผมนั้นคุณแม่ได้เสียชีวิตไปก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมไม่มีโอกาสตอบแทนความรักและความเหนื่อยยากของแม่เลย ผมอาสามาเป็นครูสอนหนังสือทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแรงดลใจจากแม่ผม เพราะว่าแม่ผมเป็นครูสอนหนังสือเหมือนกัน และ ณ บัดนี้ เราในห้องนี้เริ่มประมวล และ กล้าพูดออกมาแล้วว่าเรารักแม่ ผมจึงขอให้คุณเล่าเรื่องแม่ของคุณให้พวกเราได้ฟังกันบ้าง”

         ศิษย์หญิงของผมมองมาที่ตาผม ยกมือขึ้นปาดน้ำตา และค่อยๆพูดขึ้นมากว่า....

         “แม่เลี้ยงหนูคนเดียวมาตั้งแต่หนูอายุ 3 ขวบ แม่ทำงานหนักเพื่อส่งหนูเรียน บ้านหนูอยู่ไกล เมื่อหนูมาเรียนที่นี่ หนูก็ต้องอยู่หอ หนูพยายามเลือกหอพักที่ราคาไม่แพง แต่พอแม่มาดูหอที่หนูเลือก แม่ก็บอกว่าต้องเปลี่ยนหอ เพราะว่าหอที่หนูเลือกนั้น แม้จะราคาถูก แต่มีความปลอดภัยไม่พอ แม่เลือกหอให้หนูใหม่ ราคาแพงขึ้น ซึ่งหนูก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะหนูรู้ว่า แม่จะต้องจ่ายเงินมากขึ้น แม่จะต้องทำงานหนักขึ้น หนูไม่อยากให้แม่ทำงานหนัก แต่... แม่บอกว่า “ไม่เป็นไร ทำงานหนักไม่เป็นไร เพราะว่าชั้นรักแก”

        หลังจากนั้นเขาก็พูดอะไรออกมาอีกหลายอย่าง ห้องเรียนไม่เงียบสงัดเหมือนเดิม เพราะเริ่มมีเสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้น มีเสียงควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา มากกว่าครึ่งห้องเรียนตอนนั้นร้องไห้อยู่ ผมเชื่อว่าเป็นการร้องไห้ด้วยความสำนึก ด้วยความประทับใจ และด้วยความรักแม่ของตน

        ผมปล่อยให้บรรยากาศแห่งความประทับใจนั้นดำเนินไปอีกครู่ใหญ่ แล้วก็กล่าวขอบใจต่อศิษย์ทั้งสอง ซึ่งเขาก็บอกเบาๆว่า “ขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะ” แล้วก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเรียนของเขา ผมกล่าวจบในชั้นเรียนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนบรรยากาศห้องเรียน ให้เหมาะและพร้อมกับการเรียนต่อไปว่า.....

        “เมื่อเรารู้ว่าคนที่เรารักเรามากที่สุดในโลกนี้คือแม่ของเรา เราอย่าหยุดอยู่เพียงความรู้สึกนั้น เราต้องแสดงออกมาบ้าง แสดงออกมาให้ปรากฏให้แม่เห็น แม่อยู่กับเราได้อีกไม่นานหรอก จะทำอะไรก็ทำเสีย ดอกไม้ราคาถูกๆเพียงดอกเดียวจากมือเราด้วยหัวใจของเรา อาจจะสร้างความสุขให้แม่มหาศาล และอาจจะต่ออายุให้คุณแม่ของเราอีกหลายปี ...... อย่าไปอายถ้าจะตะโกนบอกให้โลกได้ยินว่า ฉันรักแม่ของฉัน ..... คิดและทำเลย ถ้าเราบอกว่าเรารักแม่ แล้วมีคนมายิ้มเยาะว่าเชย ว่าทำตัวเหมือนเด็กๆ .. เราก็อย่าไปคบกับมัน”

                

               “แม่”  ผู้ เ ป็ น กำ ลั ง ข อ ง ชี วิ ต  

       แม่ผู้สอนให้.... “คิด” และ “ยั้งคิด”

แม่ผู้สอนให้.... “กล้า” และอย่า “บ้าบิ่น”

แม่ผู้สอนให้.... มี “เพื่อน” มากกว่า “คนรู้จัก”

แม่ผู้สอนให้.... มี “ความรู้” และ มี “ความรู้สึก”

แม่ผู้สอนให้.... มี “ความรัก” และหลบเลี่ยง “ความหลง”

แม่ผู้สอนให้.... “รู้วิชา” และ “รู้มนุษย์”

แม่ผู้สอนให้.... ใช้ชีวิต “ง่าย” แต่อย่า “มักง่าย” กับชีวิต

แม่ผู้สอนให้.... “ใจเย็น” แต่อย่า “ขี้เกียจ”
 
       sorry sorry sorry

แม่จากไปนานแล้ว แต่... “ความรัก และ คำสั่งสอน” ยังคงอยู่จนปัจจุบัน

                        

                 ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์   สิงหาคม ๒๕๕๓

                                  win win win
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #9 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2553, 13:31:13 »

กลับมาอ่านอีกรอบ ก็ยังประทับใจเหมือนเดิม
ดีใจที่ยังมีแม่อยู่ รักแม่เสมอ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #10 เมื่อ: 16 กันยายน 2553, 07:14:25 »


         ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม วันพุธ 15 ก.ย. 53 ที่สนับสนุนเนื้อหา
          http://news.sanook.com/966578-%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94-%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88.html

               แม่ใจเด็ด โยนลูกเข้ากอหญ้า ก่อนโดนกระบะชนดับ

        จ.พิษณุโลก (15 ก.ย) เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจย่อยม.นเรศวร รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนกับรถจักรยานยนต์ที่ถ.สายพิษณุโลก-นครสวรรค์ จุดเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ เมื่อไปถึงยังสถานที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยาม่าฮ่า รุ่นเมท สีน้ำเงิน อยู่ในสภาพพังยับเยิน ใกล้กันพบผู้ศพผู้ชีวิตกระเด็นตกไปร่องน้ำข้างทาง ทราบชื่อต่อมาคือ นายปรีดา เพ็งนุ่ม อายุ 25 ปี อีกรายเป็นหญิงไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 25 ปี

         ด้านรถยนต์คู่กรณีจอดห่างไปประมาณ 100 เมตร เป็นรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไทตัน สีบรอนเงิน สภาพด้านหน้ารถพังยับเยิน คนขับคือ จ.ส.อ.สุรชัย แสงเลิศ อายุ 49 ปี ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในที่เกิดแหตุ

                           

         ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบพื้นที่อยู่ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้มาจากโพรงหญ้า จึงได้ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปค้นหาจนพบร่างของเด็กทารกดังกล่าว

         ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ประมวลเหตุการณ์ว่าเด็กทารกเป็นบุตรของผู้เสียชีวิตทั้งสองราย ชื่อ ด.ช.ธันวา เพ็งนุ่ม อายุ 8 เดือน ก่อนที่ผู้เสียชีวิตจะโดนรถพุ่งชน

        สันนิษฐานว่าอาจจะโยนลูกน้อยเข้าไปในกอหญ้าเพื่อลูกจะได้ปลอดภัย ซึ่งสภาพของเด็กทารกมีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และได้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อเหลือแล้ว

        จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายปรีดา ได้ขับรถจักรยานยนต์พาภรรยาและด.ช.ธันวา ไปกินข้าวที่ร้านอาหารใบตอง ขณะขี่รถกลับบ้านได้ถูกรถยนต์ของ จ.ส.อ.สุรชัย ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งชนท้ายรถจักรยานยนต์อย่างจัง เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ของ ด.ช.ธันวา เห็นว่ามีรถยนต์กำลังจะพุ่งชน จึงได้ตัดสินใจโยนลูกทิ้งทันที เพื่อให้ลูกรอดชีวิต

                        sorry sorry sorry
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><