Cmadong Chula

เรือนรับแขก เมาท์แหลกไม่เลือกรุ่น => ห้องธรรมะ...สาธุ.... => ข้อความที่เริ่มโดย: Samrotri2517 ที่ 05 กันยายน 2553, 20:40:21



หัวข้อ: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: Samrotri2517 ที่ 05 กันยายน 2553, 20:40:21

         [narongsak.com] ประวัติพระเทวทัต‏
         To Cmadong member and Co.

         พระเทวทัต ในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง  พระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธ เจ้ามานานหลายชาติ อดีตชาตินานมาแล้วนั้น พระเทวทัตเป็นพ่อค้า วานิช มีจิตละโมบทุจริต และในชาตินั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต

         วันหนึ่ง หญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยาก มีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย พระเทวทัตเห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูกแต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้ ในเวลาเดียวกันนั้น พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติ  เป็นพ่อค้ามาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง สร้างความโกรธแค้นให้แก่พระเทวทัตเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้องนำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจน ด้วยเหตุนี้พระเทวทัตจึง      ผูกพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือหว่านลงกับพื้นดินประกาศว่า .. เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ๑ เม็ด เท่ากับ ๑ ชาติ จึงตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วนเรื่อยมา  จนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพราหมณ์นามว่า “ ชูชก ” จนกระทั่งมาถึงพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้า นับตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน

                (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l8a0e3-239886.jpg)

         พระเทวทัตกลับได้แต่ญาณขั้นต่ำ แค่สำแดงฤทธิ์ได้เพียงบางอย่าง พระเทวทัตมีใจอิจฉาพระพุทธเจ้าที่ทรงเหนือกว่าตนทุกอย่างจึงมุ่งร้ายและคิดทำลายพระพุทธองค์ถึง ๓ ครั้ง
 
         ครั้งแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพรานธนูให้ไปลอบสังหารพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ แต่เมื่อแลเห็นพระพุทธองค์ พรานธนูก็มีอาการอ่อนเปลี้ย ยกธนูไม่ขึ้น จิตใจอันเหี้ยมโหดของพรานนั้นก็กลับกลายเป็นอ่อนโยนด้วยอำนาจพุทธบารมี ทิ้งธนูคลานเข้าไปกราบบาท พระพุทธองค์จึง แสดงเทศนาจนพรานนั้นแลเห็นทางธรรม

                (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l8a0il-49c86f.jpg)

         ครั้งที่สองพระเทวทัตวางแผนให้พนักงานเลี้ยงช้างปล่อยช้างดุร้ายซึ่งกำลังตกมันชื่อ นาฬาคีรี ออกไปหมายให้เหยียบและใช้งาทิ่มแทงพระพุทธเจ้าในขณะออกบิณฑบาตร  แต่ช้างนาฬาคีรีกลับไม่ทำร้ายและยังหมอบชูงวงถวายความเคารพพระพุทธองค์

               (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l8a0ho-c3529a.jpg)

         ครั้งที่สามพระเทวทัตขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏแล้วกลิ้งหินลงมาหมายให้หล่นทับพระพุทธเจ้าขณะทรงดำเนินผ่านช่องเขาข้างล่าง แต่หินนั้นเกิดไปกระแทกกับก้อนหินตามทางลาดแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย และสะเก็ดหินก้อนหนึ่งปลิวลอยมากระทบข้อพระบาทของพระองค์จนช้ำห้อพระโลหิต พระเทวทัตแค้นใจยิ่งนักที่แผนปองร้ายพระพุทธเจ้าของตนล้มเหลวลงหมด และด้วยผลกรรมที่มีจิตคิดมุ่งทำร้ายพระพุทธองค์จึงทำให้ญาณเสื่อมสำแดงฤทธิ์ใด ๆ ไม่ได้อีก แต่พระเทวทัตก็ยังหาสำนึกไม่ กลับสร้างความสำคัญแก่ตนด้วยการเสนอข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ขึ้นมาใหม่ ๕ ข้อ โดยอ้างว่าเพื่อจะให้ภิกษุเคร่งครัดยิ่งขึ้นคือ

     ๑. ให้พระสงฆ์ใช้ชีวิตอยู่เฉพาะในป่า
     ๒. เลี้ยงชีวิตด้วยการบิณฑบาตรเพียงอย่างเดียว
     ๓. จีวรนุ่งห่มนั้นให้นำมาจากผ้าบังสกุลใช้ห่อศพเท่านั้น
     ๔. อาศัยตามโคนต้นไม้
     ๕. ห้ามฉันเนื้อสัตว์

         บทบัญญัติที่พระเทวทัตเสนอมานี้พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้นำมาใช้  พระเทวทัตจึงประกาศแยกตัวออกไปทั้งปลุกปั่นยุยงพระสงฆ์จำนวนหนึ่งให้เห็นด้วยและไปกับตน แต่ต่อมาพระสงฆ์เหล่านั้นก็รู้ว่าตนหลงผิดพากันผละหนีพระเทวทัตกลับมาหาพระพุทธเจ้าเกือบหมด มีสาวกที่ยังหลงผิดอยู่ด้วยไม่กี่ราย

                (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l8a0g3-e1c190.jpg)

        ด้วยความแค้นใจทำให้พระเทวทัตอาพาทล้มป่วยจนกระอักโลหิตไม่สามารถเยียวยาได้ เมื่อรู้ว่ามีอาการหนักใกล้เสียชีวิต พระเทวทัตได้สำนึกบาปที่ตนได้ทำเอาไว้ จึงให้บริวารแบกแคร่ไปขอขมาพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่พอถึงสระน้ำทางเข้าวัด พระเทวทัตก็เกิดร้อนรุ่มใคร่จะอาบน้ำ จึงให้วางแคร่ลง ทันทีที่พระเทวทัตก้าวเท้าเหยียบพื้นดิน แผ่นดินตรงนั้นก็แยกออกสูบร่างพระเทวทัตจมหายลงไปสู่นรกอเวจีขั้นต่ำสุด  ต้องทนทุกข์ทรมานจนชั่วกัปชั่วกัลป์ ด้วยผลกรรมที่สร้างไว้กับพระพุทธเจ้านั้นเป็นบาปมหันต์

                emo28:win: emo28:win: emo28:win:


หัวข้อ: Re: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: Leam ที่ 06 กันยายน 2553, 11:26:50
เพิ่มเติมครับ.....


พระเทวทัตแม้จะตกลงไปในอเวจีมหานรก ได้รับทุกขเวทนา แสนสาหัส ซึ่งปกติต้องได้รับโทษยาวนานมาก แต่อาศัยบุญกุศลที่พระพุทธองค์มีพระเมตตาทรงชี้แนะ สอนจนได้ฌาณ และวารจิตก่อนที่จะตกอเวจีมหานรก ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าขอถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา บุญกุศลในการทรงฌาณ,ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย ทำให้พระเทวทัตอยู่ในอเวจีมหานรก แค่ช่วงพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่บนโลก คือ 5,000 ปี

หลังจากนั้นช่วงที่ว่างจากพุทธศาสนา พระเทวทัตจะมาเกิดแล้วบำเพ็ญบารมี จนสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง





หัวข้อ: Re: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: whatzup_will ที่ 14 กันยายน 2553, 20:23:35
ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ รวบรวมและเรียบเรียงตั้งแต่ต้นจนจบครบถ้วนจริงๆ  ^ ^


หัวข้อ: Re: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: จุ๊ง2522 ที่ 14 กันยายน 2553, 21:58:47
สาธุ


หัวข้อ: Re: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 15 กันยายน 2553, 13:30:27
ยังอ่านไม่จบคะ
แป๊บ


หัวข้อ: Re: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: galayanee ที่ 22 กันยายน 2553, 20:28:10
ขอบคุณ ได้ทราบประวัติเทวทัต ชัดเจน


หัวข้อ: Re: ประวัติพระเทวทัต‏
เริ่มหัวข้อโดย: jitwang ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554, 16:45:44
ขอบคุณครับขอแบ่งปันนะครับ