หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 13:31:56 "ป๋าเปรม" สอน "ผู้นำกองทัพ" แยกแยะดีชั่ว เป็นที่พึ่งปชช.
"ป๋าเปรม" ปาฐกถาแนะผู้นำทหารที่ดีต้องเข้าใจแยกแยะความดีชั่วได้ ทั้งต้องซื่อสัตย์สุจริต เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นที่พึ่งของประชาชนนำพาประเทศ วันนี้(6 ม.ค.) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง การพัฒนาผู้นำเพื่อสร้างสังคมธรรมาธิปไตย ซึ่งจัดขึ้นโดยวิทยาลัยนวัตกรรมทางสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โดยพล.อ.เปรม กล่าวถึงผู้นำที่เหมาะสมกับสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมธรรมาธิปไตยว่า ผู้นำที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ ต้องเข้าใจและสามารถแยกแยะความดีกับความชั่วได้ ตลอดจนมีความซื่อสัตย์สุจริต และประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้นำด้านทหาร ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนจำนวนมาก จะต้องใช้คุณสมบัติผู้นำที่ดี นำพาให้ชาติบ้านเมืองให้มีความสงบสุข สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชปณิธาน อีกด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 13:37:55 เอแบคโพลล์ ระบุปชช.เทใจยกให้ "มาร์ค" นั่งนายกฯอีก
เอแบคโพลล์ เปิดผลสำรวจความเห็นปชช.ทั่วประเทศ กว่า 5 พันราย ถึงความนิยมต่อพรรคการเมืองกับคนที่อยู่ตรงกลาง ร้อยละ 29 ระบุจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์อีก ทั้งยังเทใจให้ "นายกฯมาร์ค" กว่าร้อยละ 35.8 ส่วนร้อยละ 87.5 รู้สึกเบื่อหน่ายการเมืองหลังไม่จบเสียที วันนี้(6 ม.ค.) นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องสถานการณ์การเลือกข้างความนิยมของประชาชนกับความในใจของคนที่ขออยู่ตรงกลาง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,470 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2553 พบว่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ประชาชนร้อยละ 29.5 ตัดสินใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และประชาชนภาคเหนือ ร้อยละ 35.8 เลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ขณะที่ ร้อยละ 36.9 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า ประชาชนร้อยละ 28.6 นิยมชมชอบและสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะที่ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.5 รู้สึกเบื่อหน่ายปัญหาการเมือง โดยไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะจบเสียที หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 13:52:56 เพิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินมา หาทางโผล่จนได้นะครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 14:21:57
ดาบหอก กระบอกปืน ฤาทนคลื่น กระแสเรา ประกาศคณะปฏิวัติ เราไม่ยอมรับ ต้องต่อสู้ต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 16:08:20 ขอเปลี่ยนรูปหน่อยครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 16:25:27 อันความคิดอิสระใคร่ผละโผน กระเจิงโจนจากกรอบและขอบขัณฑ์ สู่ทุ่งกว้างกลางแจ้งแสงตะวัน บ่มความฝันเฟื่องฟ่องละล่องไกล กลอนเก่า ๆ ของ อุชเชนี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: yc ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 16:38:27 น้องมะกอก เจ็บมากไหมครับเย็บหลายเข็มขนาดนั้น
ผมใจไม่เด็ดพอ..กลัวเจ็บ ปกติชอบใช้ตัวหนังสือสีน้ำเงิน แต่ต่อนี้ไป ขอใช้แต่สีดำอย่างเดียว จนกว่าบ้านเมืองเราจะเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ครับ .................................... ผมขอยก หนึ่งในหลักนโยบายของพรรคไทยทันทุนมาให้อ่านสักหน่อย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเว็บหอในวันนี้ ก็คล้ายกับข้อกฎหมายในบ้านเมืองเราอีกมากมาย เพียงแต่ คนส่วนใหญ่ที่ถูกกฎหมายกระทำโดยไม่สมควรนั้น เป็นคนไร้โอกาส จึงไม่มีเสียงใดๆ "3. การนิติบัญญัติ โดยที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประชาคมโลกที่ไม่อาจหลีกพ้นกระแสโลกาภิวัฒน์ และด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างมาก แต่ในหลายกรณีกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถเป็นกลไกส่งผลให้เกิดความสงบสุขในสังคม และในบางครั้งกฎหมายที่มีอยู่กลับสร้างความยุ่งยากโดยไม่เกิดผลดีต่อสังคม ยิ่งกว่านั้นบางครั้งกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ กลับสร้างภาระให้กับผู้เกี่ยวข้อง โดยรัฐต้องสูญเสียทรัพยากรเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งที่สังคมโดยรวมไม่ได้รับผลดีใดๆ ต่อการดำเนินการตามกฎหมายนั้น พรรคไทยทันทุนมีความปรารถนาที่จะเห็นกฏหมายเป็นเครื่องมือยังความพัฒนาผาสุกมาสู่ประเทศและสังคมโดยรวม จึงมีแนวการออกกฎหมายภายใต้กรอบแนวคิดที่ว่า กฎหมายควรมีความยืดหยุ่นไม่หยุมหยิม แต่ควรกำหนดเป็นหลักการเพื่อการพัฒนาผาสุกของประเทศและสังคมโดยรวมไว้ในรัฐธรรมนูญ และกรอบแนวคิดอีกประการหนึ่งคือ การใช้อำนาจรัฐที่สร้างความรู้รักสามัคคีและความเจริญก้าวหน้าให้กับสังคมนั้น ต้องเป็นอำนาจรัฐที่มีการคานกันและตรวจสอบได้ การคานอำนาจและการตรวจสอบนั้นควรเป็นสิทธิของประชาชน" ชุมชนออนไลน์แห่งนี้ เป็นแหล่งของคนบ้านเดียวกันและมีสติปัญญา ปากยังต้องถูกเย็บ เราจะหวังอนาคตใดได้อีกครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 16:48:32 เสรีหายไปในซีมะโด่ง สมองโล่งสมองลีบตีบตื้น รอวันรอฝันนั้นคืน กู้ฟื้นเสรีชาวชน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 16:52:40 ขอบคุณครับ ท่านพี่ยังชิน รัฐประหารครั้งนี้ มีใครเอาดอกไม้ไปใส่ปากกระบอกปืน บ้างครับ ฝากถามชาวซีมะโด่งหน่อย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: yc ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 17:29:46 เหตุการณ์ที่เกิดกับห้องการเมือง
เพราะกระทู้จำนวนหนึ่งอาจมีปัญหาต่อกฎหมายของเมืองไทยซึ่งชอบร่างแบบเหวี่ยงแห เหวี่ยงแหเหมือนกับกฎหมายอีกหลายๆฉบับ (เหวี่ยงแห หมายถึง แล้วแต่ผู้มีอำนาจจะใช้ไปในทางใดแล้วแต่อารมณ์) ประเทศไทยของเรา ไปดูเถอะ ทุกกิจกรรมที่ทุกคนทำ มีข้อกฎหมายให้อ้างเอาความผิดทั้งนั้น สิ่งที่ต้องร่วมใจทำ ไม่ใช่การตำหนิผู้บริหารเว็บ แต่ปัญหาอยู่ที่ข้อกฎหมายครับ เขียนมาถึงตรงนี้ ก็อยากขอร้องพี่น้องๆ หยุดการเมืองแบบมันมือไว้สักพักนะครับ เห็นใจพี่น้องเราที่อาสาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อพวกเราครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 18:43:36 พี่น้องที่รักและเคารพทุกท่าน
อย่าเพิ่งตำหนิ web master กันเลยค่ะ เพราะเป็นสถานการณ์ ที่บีบบังคับให้ต้องตัดสินใจเช่นนั้น โดยไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น (อ่านได้จากแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ของ ณ บ้านครู) หยีเชื่อว่า เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง และหาบ้านอยู่ใหม่ได้แล้ว เราก็จะมีห้องการเมืองกลับมาเหมือนเดิม Keep My Fingers Crossed ค่ะ emo49:)) (http://img690.imageshack.us/img690/8828/crossedfingers.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: newstar ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 19:04:39 มือสาวคนนี้สวยจัง อิอิอิ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 21:01:26 ไว้อาลัย...แด่ ห้องการเมือง และ...บางอย่าง เพลง นกสีเหลือง ศิลปิน คาราวาน กางปีก หลีกบิน จากเมือง. เจ้านก สีเหลือง จากไป. เจ้าบิน ไปสู่ เสรี. บัดนี้ เจ้าชี วาวาย เจ้าเหิร ไปสู่ ดวงดาว. เมฆขาว ถามเจ้า คือใคร. อาบปีก ด้วยแสง ตะวัน. เจ้าฝัน ถึงโลก สีใด ..จงบิน ไปเถิด คนกล้า ความฝัน สูงค่า กว่าใด เจ้าบิน ไปจาก รวงรัง ข้างหลัง เขายัง อาลัย. เจ้าบิน ไปสู่ เสรี. บัดนี้ เจ้าชี วาวาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 21:28:09 ..
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 21:37:09 เป็นกำลังใจแก่ ทุกๆคน เพลง : แสงดาวแห่งศรัทธา พร่าง พราย แสงดวงดาว น้อยสกาว ส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล ดั่งโคมทองส่องเรืองรุ้งในหทัย เหมือนธงชัยส่องนำจากห้วงทุกข์ทน พายุฟ้าครืนข่มคุกคาม เดือนลับยามแผ่นดินมืดมน ดาวศรัทธายังส่องแสงเบื้องบน ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย แม้นผืนฟ้ามืดดับเดือนลับมลาย ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 22:45:09 ใครจะเข้าป่าเหรอพี่?
เข้ารกเข้าพงก็พอแร้ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 23:46:49 เข้าใจ และ เป็นกำลังใจให้ Web Master ครับ
ไอ้ผมก็บ่นปอดแปด ตามประสาไวไฟ ไวแม็กซ์ ไปตามเรื่อง อย่าไปถือสาเลยครับ ด้วยจิตคารวะ พล.ต.อ.รศ.ม.ร.ว.นพ.ดร.มีตรน ล้นถ้วยชา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553, 09:50:28 Wimax นี่เร็วจริง เร็วกว่า Adsl อีก
เร็วจน Server ล่ม 5 5 5 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553, 10:27:40 emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) หวัดดีค่ะเหลิม
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553, 13:00:50
ยินดีต้อนรับเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกท่านสู่ห้อง15 ครับ หวังว่าห้องนี้คงคึกคัก และอบอุ่นขึ้น(จนถึงอาจจะร้อนบ้างในบางครั้ง)จากกระทู้ใหม่นี้ พักหลังผมไม่ค่อยได็โพสต์ เพราะเริ่มรู้สึกว่ามีกระทู้มาก บางเรื่อง บางกระทู้วนๆอยู่แต่แนวเดิม กระทู้การเมืองก็ค่อนข้างแรง ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวคิดของเพื่อนตะวัน เพราะรู้จักเพื่อนคนนี้ดี แต่ก็อยากจะแนะนำเพื่อนว่าใจเย็นๆ อย่าไปคาดหวังอะไรให้มากนัก นานาจิตตัง ป่วยการไปโต้แย้งกัน บางครั้งอาจต้องปลงว่า ขอให้โชคดี สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม(การกระทำ)ของตน ผมทำอย่างนี้จริงๆกับคนที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องปวดหัว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2553, 23:09:34 ในนี้ ใครจะพูดจะจาอะไรก็ดูตาม้าตาเรือบ้างก็แล้วกัน
ผมว่านะ...ไอ้พรบ.คอมพ์ น่ะ ไม่เท่าไรหรอก เอาเป็นว่า .... ถ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยละก็... อย่าไปขัดหู ขวางตาผู้อุปถัมภ์รายการเขานักก็แล้วกัน.... ด้วยจิตคารวะ พล.ต.อ.รศ.ม.ร.ว.นพ.ดร.มีตรน ล้นถ้วยชา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: yc ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 07:22:10
ขอบคุณพี่เปี๊ยกที่บอกกล่่าวถึงวิธีจัดการกับสิ่งเร้า และผมก็ชอบ กลอนของอุชเชนีบทนี้เช่นกันครับ
เรียนท่านน้องมะกอก ผู้มากบรรดาศักดิ์ กระผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่าน และกระผมใคร่ขอเสนอมุมมองในส่วนของกระผมเพิ่มเติมว่า กฎหมายในบ้านเมืองเรา มักเขียนขึ้นด้วยอกคติของผู้เขียน โดยผู้เขียนมักเขียนบนฐานความคิดเสมือนคนในสังคมนี้พยายามกระทำแต่สิ่งไม่ดี ดังนั้นต้องเขียนเอาไว้ให้หาเหตุจับมาลงโทษให้ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงในสังคม คนส่วนใหญ่พยายามทำดี (มิฉะนั้นสังคมเราคงเละๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ......ไปแล้ว) และคนที่ทำไม่ดีนั้นมีเพียงเศษเสี่ยว แต่แล้ว...กฎหมายของเรา ก็ทำให้คนดีต้องนิ่ง ขณะที่ คนไม่ดี สามารถใช้ความไม่ดีรอดการลงโทษไปได้เสมอ แล้วในที่สุด สังคมเรา ก็ถูกขับเคลื่อนไปด้วยพลังของคนไม่ดี หากคำใดก่อความไม่พอใจต่อท่าน กระผมใคร่ขออภัยไว้ล่วงหน้าขอรับ นายยังชิน (ผมชอบใจบรรดาศักดิ์ของท่านนะขอรับ สีสันสวยงามทีเดียว) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: opas ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 07:48:42 ส วั ส ดี ค รั บ มาดูลาดเลาครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 09:37:59 ขอบคุณทั่นพี่ยังชิน...แหลมคมมากครับ
อ้อ...เพิ่งสังเกตเห็นน้องหะยี กระทู้มีถึงหมื่นกว่า.... อู้ฮู....นับถือ..นับถือ.... แต่ระวัง...อย่าให้ถึงสี่หมื่นนะครับ ผมว่า...พวกใกล้ๆสี่หมื่นนี่..คงต้องไปฉีดยารอบสะดือแน่ ด้วยจิตคารวะ พล.ต.อ.รศ.ม.ร.ว.นพ.ดร.มีตรน ล้นถ้วยชา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 10:07:53
คงไม่ว่าข้า ชักศึกเข้าบ้านนะโว้ย เอ็งเรียกร้องให้ข้าเปิด หัวข้อ ที่มัน แร็งซซซๆๆๆๆ..คราวนี้ สมใจอยากแน่ๆ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่สนุกมาก ข้าว่า เอ็งคาดเดาได้ เอ็งมันระดับ จีเนียจ อยู่แล้ว ที่เขาว่า ผลไม้ เป็นพิษ มัน มาจากต้น ที่มันเป็นพิษ นั่นแหละ โยงๆ กับที่เอ็งเคยเล่าอะไรๆ นิดหน่อย ให้ข้าฟังนั่นแหละ อย่างที่ข้าเคยเขียนชี้แจงไป ความจริง มันไม่ใช่เรื่องที่ข้า มีส่วนได้เสียเป็นหลัก( ข้าไม่ได้หยาบคายอะไรเลย นอกจากเปิดโปงตักขี้เท่านั้น จิ๊งๆๆ) แต่ทนไม่ได้ ที่เห็นการกระทำ ที่มันไม่ แมน ( แต่ภาพ และเรื่องที่ปรากฏ มันโคตร แมน เลย) ข้าจึงแปลงร่างเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เพื่อ เตะหมู เข้าปากสุนัข เอ๊ย ม่ายช่าย เขาเรียกว่า เด็ดดอกไม้ ให้กระเทือนถึง ดวงดาว พูดไปแล้ว ข้า เปรียบ เสมือน เทียนไข ที่ยอม หลอมละลายตัวเอง เพื่อให้เกิดแสงสว่าง นำสู่หนทางที่ถูกต้อง ไม่เป็นไร หรอกเพื่อน ข้าผ่านมาเยอะแล้ว ทั้งห่า กระสุน ระเบิด ดวงยังแข็งอยู่ อยู่คุยในเวบไปได้อีกนาน จนกว่า ... เมื่อท้องฟ้า สีทอง ผ่องอำไพ... คุณโสภณ จะเป็นใหญ่ ใน ชไนเดอร์...เด้อ..ครับ..เด้อ 5555555( หัวเราะได้ แม้มีภัยมา) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 13:23:55 ผมเพิ่งกลับมา....
ยังงงๆเลยครับพี่ตะวัน... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับเนี้ย emo19:((: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 14:28:38 ผมไม่รู้เหมือนกันครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 14:56:29
ไร้คำบรรยายจริง ๆ .. สำหรับพี่ชายสุดหล่อของเราคนนี้ .. เอิ้ก เอิ้ก emo20:)):) emo20:)):) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Corse ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 15:18:08 Link กระทู้นี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองครับ
เพียงแต่ อยากถามว่า ถูกกฏหมายและเหมาะสมแล้วหรือครับ กับการแนะนำอัตราต่อรอง และชี้นำให้มีการเล่นการพนันฟุตบอลใน Cmadong.com http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4015.msg335670.html#msg335670 ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 15:43:54 ระเบียบปฏิบัติของ Cmadong.com มีเพียงข้อเดียว คือ ห้ามใช้คำว่า "หน้าตาดี "
เพราะฉะนั้นควรเพิ่มระเบียบที่ควรทราบอีก emo4:)) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 20:32:25
ดีใจที่ถูกลบไปแล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: khesorn mueller ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 22:35:45 กระทู้ไหนพี่?
มีอยู่กระทู้นึง...หนูแฮพทัน! ยกทั้งยวงนะ อยากให้แปะ เอามา 20! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553, 23:08:52 เคยเข้าเวบนี้หรือยังครับ http://www.uthaisak.com/ (http://www.uthaisak.com/) เป็นเวบของคนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจToT คนงานใจถึงตัวเล็กๆ ที่รวมตัวกันมองเห็นปัญหาของบ้านเมือง ต่อสู้-เสียสละ เสี่ยงภัย ไม่ประจบประแจงใคร เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนที่ทำงานบนหอคอยงาช้างแต่ใจปลาซิว แค่เห็นลูกมะพร้าวร่วงก็คิดว่าแผ่นดินไหว (ลองคิดดูก็แล้วกัน....ถ้านายใหญ่กลับมาใหญ่ สื่อจะมีเสรีภาพขนาดไหนกันเชียว) ด้วยจิตคารวะ พล.ต.อ.รศ.ม.ร.ว.นพ.ดร.มีตรน ล้นถ้วยชา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553, 10:09:45
อยากบอกบางคน ที่เสนอแนะว่า อยากคุยการเมืองให้ไป ที่เวบการ เมือง แล้วชาวจุฬา(หอ) จะอยู่กันเงียบ ภายใต้กลา ที่ครอบไว้หรือ ขนาด รากหญ้า เขายังออกมา ยุ่งเกี่ยวการเมือง ทั้งเหลือง และแดง ใครจะผิด หรือ ถูก เราไม่ว่ากัน แต่การที่เขามาแสดงออก ก็น่าชื่นชม ไม่่เหมือนพวกที่อยู่บน หอคอยงาช้าง เราไม่ยุ่งการเมืองๆๆๆ เพราะเราสบายแล้ว น่าขำนะครับ( ไม่กล้าพูดว่า สมเพช เดี๋ยว ผิด พรบ.) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553, 20:04:13 เกิดอะไรขึ้น กับ เวบซีมะโด่ง หรือครับ
เพิ่งกับมาถึงวันนี้ เห็นเขียนว่าถูก ปฏิวัติ เลย งง emo47 emo47 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553, 21:48:33
อย่าเอ็ดไปครับ ตอนนี้หลายคนกำลังวางแผนขับแท๊กซี่ชนรถถังกันอยู่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553, 21:54:15 อ้าว .. พี่มะกอกได้แท็กซี่ แล้วทำไมหะยีได้จักรยานล่ะคะ ?? emo47
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553, 22:53:32
พี่เป็นห่วงจริงๆ นะครับ (เป็นห่วงยางจักรยานน่ะ) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2553, 23:10:57
นึกว่าจะไปชนตึกจัสมิน 5 5 5 ยิ่ง Server กำลังร้อน ๆ อยู่ด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 09:36:26
http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4793.0.html ที่ประชุมมมีมติให้ยังคงมีห้องปรัชญาและการเมือง แต่ให้มีการกำหนดกฏเกณฑ์และกติกาการใช้เว็บบอร์ดให้เป็นที่เรียบร้อยก่อน โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน (http://img504.imageshack.us/img504/5581/029u.gif) & (http://img59.imageshack.us/img59/812/64603544.gif) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: opas ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553, 16:24:07 วอสองวอแปด
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553, 20:36:06 การเมืองเป้นเรื่องของคนทุกคน เป็นแนวคิดที่ถูกต้องในสังคมประชาธิปไตย ตามที่เรียนวิชาหลักรัฐศาสตร์มา แต่ไหงมีคนตั้งเยอะยังไม่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 00:26:46 หนู เลยขาดที่พึ่งพา ข่าวสารการบ้านการเมือง emo30:sorry: emo30:sorry:
สมอง ความกว้างขวางของความคิดเรื่องนี้ เลยหดหายไปด้วย เฮ้อ !! กลับไปเหมือนเดิมอีกแว้ว ซื่อบื้อค่ะ ซื่อบื้อเรื่องการเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 06:12:09 พลาดไม่ได้ ต้องซื้อฉบับประวัติศาสตร์เก็บไว้ให้ลูกหลานดู (http://img408.imageshack.us/img408/2683/mgrpdf20100227page01.jpg) (http://img408.imageshack.us/img408/3300/mgrpdf20100227page08.jpg) พลาดไม่ได้ ต้องซื้อฉบับประวัติศาสตร์เก็บไว้ให้ลูกหลานดู หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 08:01:16 (http://img87.imageshack.us/img87/8549/cnnthaksinversict.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 09:46:15 (http://img408.imageshack.us/img408/3300/mgrpdf20100227page08.jpg) กร๊ากกกกกกกกกกกกกกๆ ชอบมากๆเลยครับพี่บ่าว... emo20:)):) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 09:49:47 8 ประเด็นพิพากษา ทักษิณ ซุกหุ้น มติเอกฉันท์
ประเด็นข้อกฎหมาย 1. วินิจฉัย ศาลมีอำนาจพิจารณาคดี วินิจฉัยในประเด็นแรก คือ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ตามที่ผู้คัดค้านคัดค้านหรือไม่ โดยวินิจฉัยว่า การตรวจสอบของ คตส.เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ตามมาตรา 9 (1) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นมติเอกฉันท์ มติเอกฉันท์ 2. วินิจฉัย คตส.มีอำนาจตรวจสอบโดยชอบ ประเด็นวินิจฉัยต่อมา คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ส่วนที่ คตส. แต่งตั้งอนุ คตส.นั้น เห็นว่า คตส.ใช้อำนาจตามประกาศ คปค. สามารถแต่งตั้งได้ และไม่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่ผู้คัดค้าน ทำการคัดค้าน เพราะมีกรอบเวลาชัดเจน หากไม่เสร็จสิ้นต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งประเด็นที่ คตส.บางคน เช่นนายกล้านรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นปฏิปักษ์ของผู้ถูกร้อง แต่งตั้งเป็นประธานอนุฯ คตส.นั้น ชอบแล้วด้วยกฎหมาย และ ป.ป.ช.จึงมีอำนาจดำเนินการแทน คตส.ได้ก็ชอบแล้วด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา แต่เป็นคดีแพ่ง จึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามา ศาลมีมติเอกฉันท์ ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้ มติเอกฉันท์ 3. วินิจฉัย คำร้องของอัยการไม่เคลือบคลุม วินิจฉัย คำร้องที่ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้อง แจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม มติเอกฉันท์ ประเด็นข้อเท็จจริง 1. ปกปิดอำพรางหุ้น โดยผ่านนอมินี ประเด็นวินิจฉัยผู้ถูกกล่าวหาปกปิดอำพรางหุ้นหรือไม่ วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ยังถือหุ้นไว้ แต่ปี 2549 รวบรวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็ก โดยมีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง ผู้ถูกกล่าวหาแม้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 แล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจดำเนินนโยบายและแต่งตั้งกรรมการในบริษัทชินคอร์ปจริง การควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปจริง มีมติเป็นเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็กจริง การขายหุ้นให้พี่น้องมีพิรุธ ไม่มีใครจ่ายเป็นเงิน ทั้งที่จริงๆ มีเงินจ่ายได้ แต่กลับจ่ายเป็นตั๋วสัญญา อีกทั้งยังเป็นผู้รับเงินปันผลตามบัญชีบริษัทแอมเพิลริช ที่มีเงินปันผลเข้าบัญชีระหว่างปี 2546-2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท ศาลจึงมีมติเอกฉันท์ว่าผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถือหุ้นใหญ่กว่า 1,400 ล้านหุ้น ของบริษัทชินคอร์ป ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทั้งสองสมัย มติเอกฉันท์ 2. การแปลงสัญญาสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป วินิจฉัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ มีมติด้วยเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหา ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ตราพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ทำให้ชาติเสียหาย มติเสียงข้างมาก 3. กรณีแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และ โรมมิ่ง การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (PREPAID CARD) ส่งผลให้เอไอเอส จ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ ชินคอร์ป และเอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศท และบริษัท กสท ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น เอไอเอส จะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัท ชินคอร์ป ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นใน ดังนั้นผลประโยชน์ที่ เอไอเอส ได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั่งได้มีการขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ วินิจฉัยว่า ภาระเอไอเอสลดน้อยลง แต่มีรายได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 44-49 โดยลำดับ ตั้งแต่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขสัญญาดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหามีหุ้นในชินคอร์ป ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้ถูกกล่าวหา เงินที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก จึงได้มาโดยไม่สมควร มติเสียงข้างมาก 4. กรณีการใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) และปรับลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมระหว่าง กสท กับ DPC เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับชินคอร์ป และเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นเทมาเส็ก 5. กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ กรณีการละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ล้วนเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ป และ ชินแซทฯ วินิจฉัยว่า เป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย ทั้งนี้ ดาวเทียม IP STAR ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลัก แทนไทยคม 3 เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุว่า ใช้สื่อสารในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา เป็นการอนุมัติให้บริษัทผู้ถูกกล่าวหา ได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท องค์คณะจึงมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาก เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป และบริษัทไทยคม มติเสียงข้างมาก 6. กรณีอนุมัติเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า การขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่ประเทศพม่า เพิ่งเกิดขึ้นภายหลังจากประชุมร่วมกับพม่า-กัมพูชา และในการประชุมครั้งนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของไทยคมและไอเอเอส ไปสาธิตระบบให้บริการมือถือผ่านดาวเทียมในการประชุมด้วย จึงย่อมแสดงให้เห็นว่าการขอวงเงินเพิ่มเติมมีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อสินค้าและบริการจากไทยคมนั่นเอง ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าได้อนุมัติเงินไปซื้อสินค้าอื่นนั้น ก็ไม่อาจรับฟังหักล้างข้อที่ว่าไทยคมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ และที่อ้างว่าการอนุมัติวงเงินสินเชื่อนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธนาคารนั้น เห็นว่าธนาคารเอ็กซิมแบงก์ ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.เอ็กซิมแบงก์ ปี 2536 และอยู่ในการกำกับของ รมว.คลัง จัดเป็นหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งในการอนุมัติวงเงินให้รัฐบาลพม่าในครั้งนี้ ก็ได้ความจากพยานซึ่งเป็นอดีตกรรมการเอ็กซิมแบงก์ ว่าเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และโดยการให้สินเชื่อดังกล่าวได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ จึงต้องขอให้กระทรวงการคลังจัดสรรเงินของคลังมาชดเชย กรณีนี้จึงส่งผลเสียต่องบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเอ็กซิมแบงก์ก็ไม่ได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนี้อีกด้วย ส่วนที่อ้างว่าการดำเนินการในครั้งนี้พิจารณาผลประโยชน์ของประเทศ โดยทำให้ปตท.สผ.ได้รับสัมปทานบ่อแก๊สที่พม่านั้น เห็นว่าบริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยคม จึงได้ประโยชน์จากการถือหุ้น ย่อมเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับพม่า องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากว่าการดำเนินการกรณีนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่ไทยคมและชินคอร์ป มติเสียงข้างมาก 7. การดำเนินการทั้ง 5 กรณีเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ใน 5 กรณีพบว่ามีการสั่งการอยู่ 2 กรณีคือการแปลงภาษีสรรพสามิตฯ โดยเป็นการสั่งการและมอบนโยบายให้ปฏิบัติเป็นลำดับชั้น ตั้งแต่รมว.คลัง รมว.ไอซีที ขรก.และกรรมการในชุดต่างๆ อีกกรณีคือการอนุมัติของเอ็กซิมแบงก์ในการให้วงเงินสินเชื่อแก่พม่า โดยผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการและมอบนโยบายผ่าน รมว.ต่างประเทศ ส่วนอีก 3 กรณีคือบัตรเติมเงิน การใช้โรมมิ่ง และละเว้นอนุมัติส่งเสริมธุรกิจดาวเทียมในประเทศ ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาล้วนเป็นผู้กำกับดูแลในฐานะนายกฯ มีการไล่เป็นลำดับชั้นได้แก่ รมว.คลัง รมว.คมนาคม รมว.ไอซีที และหน่วยงานของรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ และเป็นประธานบีโอไอ สำหรับคณะกรรมการประสานงานดาวเทียมสื่อสารของประเทศ ข้อ 39 กำหนดให้ปลัดคมนาคม และจนท. ซึ่งเป็นผู้แทนรวม 4 คน ร่วมเป็นคณะกรรมการดังกล่าว ส่วน กสท และ ทศท แม้จะแปลงเป็นบริษัทแล้วแต่ทั้งสองหน่วยงานแต่ก็ยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ อยู่ในกำกับของกระทรวงไอซีที อีกทั้งผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ก็เป็นสมาชิกพรรค ทรท. โดยที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ในขณะนั้น ประกอบกับทั้งสามกรณีเป็นการเริ่มต้นร้องขอมาจากชินคอร์ป และบริษัทเกี่ยวข้องทั้ง 3 กรณี ฟังจากคำเบิกความจากผู้จัดการผลประโยชน์ ทศท ฯลฯ ได้ความว่าคณะกรรมการกลั่นกรองได้พิจารณาหลักการตามที่เอไอเอสเสนอต่อ ทศท ในวันที่ 21 และ 28 สิงหาคม และเป็นวาระจรทั้งสองครั้ง ไม่ได้เสนอโดยฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดังที่ได้ปฏิบัติมา ส่วนกรณีการใช้เครือข่ายร่วมนั้นก็ไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ปฏิบัติ และมีการตอบสนองเอไอเอสอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกรณีดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ก็มีวิธีการทำนองเดียวกัน คือให้ รมว.คมนาคมอนุมัติไปก่อนที่คณะกรรมการจะรับรายงานการประชุม ปรากฏจากบันทึกของบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เนื่องจากสัญญาสัมปทาน มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ จึงให้ถอนเรื่องออกไป ขณะที่ผู้อำนวยการส่วนวางแผนการเงินก็เบิกความประกอบว่า การดำเนินการเรื่องนี้ค่อนข้างรวดเร็ว และพยายามเสนอให้ทัน 12 เมษายน 2544 ที่มีการประชุมคณะกรรมการ ทศท เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทั้ง 5 กรณีเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจรัฐเอื้อธุรกิจชินคอร์ป มติเสียงข้างมาก 8. กรณีให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่ เมื่อผลเป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อชินคอร์ป และเป็นการแสดงให้ปรากฏแกคนทั่วไปของกิจการ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มูลค่าหุ้นในชินคอร์ปเพิ่มขึ้น ดังนั้นเงินปันผลค่าหุ้น และเงินขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร ในฐานะนายกฯ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ประกอบพ.ร.บ.รธน.ว่า ป.ป.ช. แต่โดยที่ผู้กล่าวหา และผู้คัดค้าน 1 จึงเห็นวินิจฉัยเสียก่อนว่าศาลจะให้เงินในส่วนของผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินได้หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 46,373,687,454.70 บาทพร้อมดอกผล และคืน 30,247 ล้านบาท ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/specialreport/taksin-judge/specialreportnews.php?id=98 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553, 21:44:38 ขอบพระคุณค่ะ พี่ Intania๑๖
ที่มาให้ข้อมูลทุนความรู้ด้านการเมือง เช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อม . หนูเป็นแฟนคลับที่ไม่เปิดเผยตัวในสองหัวข้อนี้ค่ะ emo48:) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553, 08:03:30 รายงานข่าว จาก นสพ.ไทยโพสต์
ข่าววงในจากแจ้งว่า เมื่อศาลพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76000 ล้าน มีการพิจารณา เรื่องใหญ่ 2 ประเด็น คือ 1.ควรยึดทรัพย์ หรือไม่ ลงมติ ด้วยคะแนน 8:1(ยึด 8คน ไม่ยึด1 คน) 2.ยึดหมด หรือ ยึด บางส่วน ลงมติ 7:2 ( ยึดบางส่วน 7 คน ยึด หมด 2 คน) และมติอื่นๆ ที่เผยแพร่ไปแล้ว ว่า ลงมติด้วยเสียงข้างมาก นั่นคือ 8:1 และ 1 เสียง ที่ว่า ทักษิณไม่ผิดเลย คือ คนๆเดียวกัน ชื่ออะไร ไปหาเอาเองคร้าบ???? อยากรู้ก็ พีเอ็ม มาจ้า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553, 21:04:28 สงัสยเงินใครบางคนได้ผล กับ 1 เสียง
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553, 23:01:47 เพิ่งทราบว่าเป็นใครค่ะ
ควานหาทั้งวัน มาเจอเมื่อเย็นที่เว็บอะไร จำไม่ได้แล้วค่ะ เฮ้อ!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 มีนาคม 2553, 21:11:41 หวัดดีน้อง หมี ( ขอเรียกตามหลานๆของป้าแล้วกันนะครับ)
และน้องตุ๋ย น้องยศวิน น้องยังชิน และ หลายๆๆๆๆคน มาเชิญชวนให้ติดตามละครดี ที่ช่อง Thai TBS หรือ ITV เก่านั่นแหละ) เป็นเรื่องราวของหมอ คนหนึ่ง ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแพทย์ชนบทดีเด่น ละครนี้ ออกอากาศ เวลา 20.20 น ทุกวันจันทร์-อังคาร. เริ่มตอนแรกวันนี้เอง ชื้อ " แสงดาวแห่งศรัทธา...หมอหงวน " ประวัติ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2495 ที่กรุงเทพมหานคร จบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2520 เริ่มรับราชการที่รพ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ในปี2521 จนกระทั่งปี 2526 เป็นผู้อำนวยการรพ.ราษีไศล และย้ายมาเป็นผู้อำนวยการรพ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งการทำงานทั้งสองแห่งได้บุกเบิกการสร้างสุขภาพชุมชน จนเป็นที่รักของชาวบ้านอย่างมาก และที่รพ.บัวใหญ่ นพ.สงวน ได้รับคัดเลือกเป็นแพทย์ดีเด่นประจำปี 2528 ด้วยผลงานขยายเตียงรองรับผู้ป่วยจาก 30 เตียงเป็น 60 เตียง ในเวลา 3 ปี จัดทีมบริหารให้คล่องตัวมีประสิทธิภาพ วางแผนงานใช้สาธารณสุขมูลฐานเป็นกลยุทธ์แก้ปัญหา ตั้งกองทุนยา กองทุนโภชนาการหมู่บ้านและชุมชน ฯลฯ ในปี 2538 เป็นผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขในปี 2544-2546 ก่อนที่จะมาเป็นเลขาธิการสปสช.สองสมัย ก่อนเสียชีวิต นพ.สงวน ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และมีอาการทรุดหนักด้วยอาการน้ำท่วมปอดและไตไม่ทำงานหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสียชีวิต ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 16.15 น. ของวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551 ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี ด้วยอายุ 56 ปี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 มีนาคม 2553, 21:17:45 สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ (18 มีนาคม พ.ศ. 2495 - 18 มกราคม พ.ศ. 2551)
เป็นนายแพทย์ที่มีผลงานดีเด่นในการบุกเบิกและผลักดันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จนรัฐไทยรับไปเป็นนโยบายใช้จริง โดยพรรคไทยรักไทยได้นำไปใช้เป็นนโยบายที่เรียกว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 (แท้จริงแล้วตามหลักคิดนี้มีอยู่ในรับธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 และไม่ต้องเสียเงินแม้สักบาทเดียว)[1] นายแพทย์สงวนเป็นเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คนแรกและดำรงตำแหน่ง 2 สมัยติดกัน จนกระทั่งเสียชีวิต และเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท รุ่นที่ 8 (พ.ศ. 2528-2529) กลุ่มแพทย์ชนบทและผู้เคยร่วมงานกับนพ.สงวน เช่น นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทรุ่นที่ 22 และ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) ยกย่องนพ.สงวนว่าเป็น "รัฐบุรุษแห่งวงการสาธารณสุขไทย"[2][3] นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2495 เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 6 คนในครอบครัวชาวจีนในกรุงเทพมหานคร ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย หมอสงวนเป็นนักกิจกรรม ได้ออกค่ายในช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 ซึ่งทำให้ได้พบประสบการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อน นอกจากกิจกรรมออกค่ายแล้ว จากนิสัยรักการอ่าน เขายังเป็นบรรณาธิการหนังสือ "มหิดลสาร" ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย หนังสือที่เขาชอบอ่านคือ วารสารสังคมปริทัศน์ เศรษฐศาสตร์ชาวบ้าน และ หนังสือพิมพ์มหาราช หลังจากเขาเรียนจบในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 บรรยากาศความตื่นตัวของนักศึกษามีอยู่ทั่วไป นักศึกษาด้านการแพทย์จบใหม่ล้วนมีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม และอยากไปทำงานชนบท หมอสงวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาเข้าทำงานที่โรงพยาบาลวชิระ กรุงเทพมหานคร อยู่ 1 ปี ก่อนจะออกไปเป็นแพทย์ชนบท ที่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ 5 ปี [/b][/color] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 มีนาคม 2553, 21:25:57 คุณพ่อเป็นวีรบุรุษ:นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ โดย มติชน วัน พฤหัสบดี ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551 04:16 น. โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คุณพ่อเป็นวีรบุรุษ ผมพูดกับลูกสาวของคุณหมอสงวนในเย็นวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว คุณหมอสงวน หรือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ คือ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คนแรกและคนปัจจุบัน คนไทย 46 ล้านคน เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพก็เพราะงานของคุณหมอสงวนและทีม ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พวกเรามีสิ่งที่เรียกว่า บัตรสงเคราะห์ และ บัตรสุขภาพ บัตรสงเคราะห์สำหรับชาวบ้านที่ยากจน บัตรสุขภาพขายในราคา 500 บาทสำหรับรักษาผู้ป่วยและครอบครัว ปัญหาคือผู้มีฐานะจำนวนหนึ่งได้ครอบครองบัตรสงเคราะห์หรือบัตรสุขภาพได้รับการปฏิบัติหรือรักษาพยาบาลเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บไม่ควรเป็นเรื่องสงเคราะห์หรือไม่สงเคราะห์ แต่เป็นสิทธิที่คนไทยทุกคนควรมีตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเชิงตะกอน นั่นคือไม่ว่ายากดีมีจนเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ควรได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน ไม่สมควรถูกทิ้งขว้างเพียงเพราะไม่มีเงิน ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนจนจำนวนหนึ่งไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะกลัวเงินไม่พอ คนรวยจำนวนหนึ่งต้องจนเฉียบพลันทันทีเมื่อล้มป่วยโรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรงใดๆ คุณหมดสงวนและทีมช่วยให้คนจนกล้าไปโรงพยาบาล และช่วยให้คนรวยซึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิตไม่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวไปกับค่ารักษาพยาบาล จึงว่าคนไทย 46 ล้านคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพก็เพราะงานของคุณหมอสงวนและทีม เมื่อครั้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเริ่มต้นใหม่ๆ ในปี พ.ศ.2546 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถูกโจมตีว่าเป็นหลักประกันชั้นสอง ได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพเป็นรองข้าราชการและครอบครัวรวมทั้งลูกจ้างประกันสังคม เมื่อถึงปัจจุบันคนไทยทุกคนไม่ว่าจะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือข้าราชการ หรือลูกจ้างประกันสังคมล้วนได้รับการรักษาด้วยคุณภาพและมาตรฐานค่อนข้างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ก็ด้วยความเพียรพยายามของคุณหมอสงวนและทีมงานที่ได้ประสานประโยชน์ของผู้ป่วยในกองทุนทั้งสามให้ใกล้เคียงกัน คุณหมอสงวนและทีมไม่ได้เริ่มต้นงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างเลื่อนลอย ท่านได้เดินทางไปศึกษาเรื่องนี้ในหลายประเทศ ทำวิจัยและทดลองทำระบบหลักประกันสุขภาพในพื้นที่นำร่องบางจังหวัดของประเทศ ก่อนที่จะขับเคลื่อนเป็นนโยบายระดับชาติภายใต้แนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี กล่าวคืองานยากๆ หรืองานใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนต้องเคลื่อนด้วยกันทั้งสามฝ่าย คือ ฝ่ายวิชาการ ภาคประชาชน และฝ่ายการเมือง จึงจะสัมฤทธิผล คุณหมอสงวนและทีมเคลื่อนย้ายภูเขาได้สำเร็จในที่สุด ผู้เขียนพบคุณหมอสงวนครั้งแรกที่ชายหาดหัวหินเมื่อปี พ.ศ.2548 ท่านเสร็จจากการวิ่งออกกำลังกายที่ชายหาดยามเช้า ผู้เขียนเสร็จจากการว่ายน้ำออกกำลังยามเช้าเช่นกัน ก่อนหน้าที่จะได้พบท่านครั้งแรกได้แต่ตามอ่านบทความเกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของท่านในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน และนึกนิยมอยู่ในใจว่าใครหนอที่คิดค้นวิธีช่วยเหลือผู้ป่วยครั้งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้ เป็นโชคดีมหาศาลของคนไทยที่ในที่สุดก็มีคนเก่งและดีเช่นคุณหมอสงวนและทีม สามารถใช้คุณธรรมนำความรู้หาญกล้าปฏิรูประบบสุขภาพ เพื่อให้คนป่วยทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพด้วยความเท่าเทียม คุณหมอสงวนเขียนหนังสือ บนเส้นทางสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ของสำนักพิมพ์มติชน ความตอนหนึ่งเล่าเรื่องที่ท่านรับแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นรถพยาบาลไปส่งที่โรงพยาบาล ท่านเขียนว่า เมื่อรถแล่นไปถึงโรงพยาบาลผมก็พบกับสิ่งที่คาดไม่ถึง คือแทนที่จะได้เห็นเธออุ้มลูกมาให้หมอตรวจ เธอกลับอุ้มลูกเดินออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ยอมเข้ามารับบริการ ผมจึงเดินตามไปถามว่ามาถึงโรงพยาบาลแล้วทำไมไม่พาลูกไปให้หมอตรวจ เธออ้ำอึ้งไม่ตอบอยู่พักใหญ่ สุดท้ายคนขับรถของผมซึ่งเป็นคนท้องถิ่นได้สอบถามแทน จึงได้ความว่าเธอมีเงินพกติดตัวมาเพียง 30 บาท ตั้งใจจะนำเด็กไปฉีดยากับหมอเสนารักษ์ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าใดนัก ซึ่งโดยปกติเขาจะคิดค่ารักษาเพียง 20 บาท อีก 10 บาทที่เหลือนั้นจะเก็บไว้เป็นค่าโดยสารกลับบ้าน คุณหมอสงวนและทีมทำงานที่ยากยิ่ง ท่านพูดเสมอว่าการจะทำงานยากๆ ให้สำเร็จนั้นต้อง กัดไม่ปล่อยอย่างอุเบกขา ท่านได้พิสูจน์ด้วยชีวิตตนเองว่าท่านมีอุเบกขามากเพียงใดกับการจัดการอุปสรรคของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เสียดายเวลาที่ไม่มีบุญได้พบคุณหมอสงวนเร็วกว่านี้ คุณหมอสงวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2550 อาจเป็นได้ที่ในยุคต่อไปจะไม่มีใครอยากเชื่อว่า บุคคลเช่นนี้ก็เคยมีชีวิตชีวาเดินเหินอยู่บนพื้นโลกนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 มีนาคม 2553, 21:35:40 อาลัยรัก แสงดาวแห่งศรัทธาดวงนั้น . วิทยุจีนแดงเครื่องเล็กๆส่งเสียงบอกสัญญาณเวลาเคารพธงชาติยามเย็น ฉันกำลังจะจัดการปลุกวิญญาณกองไฟให้คืนชีวิตอีกหน ยามหนาวเหน็บในเวลาค่ำคืน กองไฟเท่านั้นที่เป็นเพื่อนเราได้อย่างแท้จริง หาใช่ดวงดาวที่พราวแสงอยู่ไกลลิ่บนั่นไม่ แม้แต่แสงจันทราที่เจิดจ้าปานเย้ยหยันคนจรนอนไพรให้สะเทือนในหัวใจ ก็ไม่เคยให้ความอบุอ่นใดๆได้ "คนอย่างฉัน ไม่สนใจแสงดาว ไม่ต้องการแสงจันทร์ เพราะฉันอยู่กับผืนดิน" ชาวไร่อหังการณ์อย่างฉัน ประกาศชัดเจนอย่างนี้ทุกค่ำคืน แต่แล้วเสียงทุ้มห้าวของผู้อ่านข่าว ในยามเย็น ก็บอกว่า มะเร็งปอดคร่าชีวิต "นายแพทย์ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" เลขาธิการ สปสช. ด้วยวัย 55 ปี .ฉันนิ่งอึ้ง งงงันไปชั่วครู่ ทำไมเร็วหนักหนา ทำไมเร่งรีบที่จะจากไปนักเล่าคะหมอ ฉันเห็นภาพในทีวี หมอยังมีหน้าตาสดใส แม้จะมีข่าวแว่วๆมาถึงแล้วว่าหมอเป็นมะเร็ง แต่ฉันก็ยังหวังว่าหมอน่าจะอายุยืนกว่าคนที่ไม่ได้เป็นหมอ...มะเร็งไม่เคยให้เวลาใครยาวนานจริงๆ คืนนี้..ดาวล้านดวงที่พร่างพราวบนท้องฟ้า ยิ่งไร้ความหมาย ฉันนั่งนิ่งๆ ริมหน้าต่าง มองหาร่องรอยของดาวดวงหนึ่งทางทิศเหนือ ดาวบางดวง แม้ดับแสงลงแล้ว แต่ยังคงมีไออุ่นอวลไออยู่ในใจฉันเสมอ มันกลายเป็นสายน้ำอุ่น ที่หลั่งล้นลงสู่ร่องแก้มอย่างเงียบๆ .......... "นายแพทย์ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" มีผู้คนมากมายหลายล้านคนบนโลกนี้ แต่ทำไมเราต้องมาพบกัน มาร่วมทำกิจกรรม หรือมาทำงานด้วยกัน เช่นฉันกับหมอหงวน หมอหงวนคือพี่ คือครูบาอาจารย์ ที่พร้อมจะสอนงานให้น้องๆที่ร่วมงานตลอดเวลา "เฟืองตัวใหญ่หมุนเร็ว เฟืองตัวเล็กจะยิ่งหมุนเร็วขึ้น" นี่คือคำพูดของนายแพทย์หนุ่มที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตแห่งการสร้างสรรค์งานเพื่อคนด้อยโอกาส ในขณะนั้น โรงพยาบาลสูงเนิน โรงพยาบาลบัวใหญ่ โรงพยาบาลประทาย และโรงพยาบาลชุมพวง ในจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมทีมกันทำงานด้านสาธารณสุขมูลฐานเพื่อชุมชน เนื่องจากผู้อำนวยการทั้งหลายล้วนอยู่ในชมรมแพทย์ชนบท มีอุดมการณ์แรงกล้าในการทำงาน พี่ใหญ่ของกลุ่ม คือนายแพทย์สำเริง (หมอแหยง) รองลงมาคือหมอหงวน ที่ต่างเป็นตัวแทนของกันและกันได้ราวกับมีสมองแบบคู่แฝด เช่น ในขณะที่หมอแหยงกำลังบรรยายเนื้อหาการทำงานหรือหลักการทำงานให้เด็กๆอย่างเราเข้าใจ แต่เมื่อมีเหตุให้ต้องออกจากห้องประชุมไปทำอย่างอื่น คนที่เดินเข้ามาใหม่ คือหมอหงวน (โดยที่ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องนั้นมาก่อน) ก็จะบรรยายต่อได้ทันที ในประเด็นนั้นๆ และเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องเฮฮาหาทางจับผิดคุณหมอทั้งคู่ แต่เราก็ไม่เคยพบความผิดพลาด นั่นแสดงว่า สิ่งที่พูดคือสิ่งที่ออกมาจากข้างใน หลอมรวมมาเป็นหลักการร่วมในการทำงาน โครงการต่างๆที่เกิดขึ้น จึงเป็นโครงการพิเศษนอกเหนือการรักษาคนไข้ การประชุมงาน จะเป็นเวลานอกราชการ หากไม่ใช่เวลากลางคืนก็ต้องเป็นเสาร์อาทิตย์ จนเรียกได้ว่า "ไม่มีเวลาส่วนตัว" หมอทั้งหลายไม่เคยมีวันหยุด แม้เวลานอนก็ต้องใช้วิธีงีบหลับบนรถ ในเวลาเดินทาง การทำงานมากและหนัก แต่คุณหมอทั้งหลายที่ร่วมโครงการไม่เคยมีอารมณ์เครียดให้พวกเราได้เห็น ยิ่งมีอุปสรรคยิ่งสนุก โดยเฉพาะหมอหงวน ที่มีความเฮฮาอารมณ์ดี ยิ้มแก้มปุ๋ม มีเขี้ยวเสน่ห์ คือความทรงจำที่ฉันเก็บไว้ หมอไม่เคยดูแก่ชราลงไปเลย แม้ภาระหน้าที่จะเพิ่มมากขึ้น แต่แล้วข่าวว่าหมอเป็นมะเร็ง ก็ถูกส่งต่อมาถึงฉัน จากกลุ่มเพื่อนที่เคยทำงานร่วมกันในทีม 4 โรงพยาบาล เมื่อปีที่แล้ว ฉันไม่ได้เจอหมอหงวนนานเกือบสิบปี และสองปีที่ทำงานภายใต้การดูแลของหมอ ฉันได้ความฝัน ได้พลังชีวิต ได้ความมุ่งมั่น ที่ส่งผ่านมาจากหมอ แม้เราจะไม่ได้ร่วมงานกัน แต่ในเส้นทางเดิน ฉันเชื่อว่าฉันกำลังเดินตามรอยเท้าของหมอผู้รักงานคนนี้เสมอ ในวันก่อนนั้น...โครงการที่เราทำร่วมกับชุมชน จึงกลายมาเป็นแม่แบบของงานพัฒนาสาธารณสุขทั่วประเทศ เช่น โครงการ จปฐ. (ความจำเป็นพื้นฐาน) หรือในส่วนของโรงพยาบาลบัวใหญ่เอง ที่เริ่มสำรวจและทำงานกับกลุ่มคนพิการ จนกระทั่งงานฟื้นฟูคนพิการได้รับการยอมรับในเชิงนโยบาย กลายเป็นงานหนึ่งที่มีสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของประเทศในปัจจุบัน และต้องไม่ลืมที่จะรวมเรื่อง การเป็นหัวขบวนปฏิรูประบบสุขภาพไทยครั้งใหญ่ ในการสร้างความเป็นธรรมทางด้านสุขภาพให้กับประชาชน ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือที่รู้จักกันว่าโครงการ 30 บาท ซึ่งมีการวางแผนนำเสนอต่อรัฐบาลก่อนหน้ารัฐบาลทักษิณ แล้วด้วย หาใช่เกิดจากความคิดของอดีตนายกคนนั้นไม่ [/color] ........ . หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 02 มีนาคม 2553, 21:24:00 นายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ควรได้รับการสรรเสริญ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 มีนาคม 2553, 06:55:20 ขออนุญาต นำเรื่องที่พี่แอ๊ะเขียนถึงหมอหงวนมาไว้ในกระทู้นี้ด้วยนะคะ น้องตะวัน ฉายเสรี
น้องๆคะ พีแอ๊ะขออนุญาตนำบทความที่พี่แอ๊ะเขียน ในblog พี่แอ๊ะมาให้อ่านนะคะ วันจันทร์ ที่ 21 มกราคม 2551 แด่คุณหมอสงวนด้วยดวงใจ Posted by prapasri , ผู้อ่าน : 871 , 08:36:57 น. หมวด : ไดอารี่ แด่คุณหมอสงวนด้วยดวงใจ เมื่อวันศุกร์ที่ 18มกราคม 2551 ขณะที่ดิฉันและคณะกรรมการสมาคมโรงพยาบาล โรงพยาบาลเอกชน ประชุมกันอยู่เราก็ได้รับแจ้งจาก นายแพทย์เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ ท่านนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและนายกแพทยสมาคมว่า คุณหมอสงวน นิตยารัมพงษ์ ได้เสียชีวิตแล้ว ดิฉันรู้สึกตกใจมาก เพราะเพิ่งเห็นคุณหมอในโทรทัศน์เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง และคิดว่าอาการคุณหมอดีขึ้นแล้ว เพราะคุณหมอได้ให้สัมภาษณ์ เรื่องโครงการของ สสปช. อย่างเป็นปกติดี ดิฉันยังคุยกับสามีว่า คุณหมอสงวน คงอาการดีขึ้น จากมะเร็งที่ปอดแล้ว คงเป็นบุญที่คุณหมอได้ช่วยเหลือประชาชนในเรื่องโครงการสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศ ทำให้หายจากโรคร้ายได้ ดิฉันรีบโทรแจ้งให้คุณหมอกวี ไชยศิริ ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ (ต่อ) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 มีนาคม 2553, 06:56:20 และคุณหมอชูชัย ศุภวงศ์ เพื่อนรักของดิฉันได้ทราบ
และโทรแจ้งคุณหมอหาญ สามีของดิฉัน เราได้แต่เสียดายคุณหมอในดวงใจของเรา สำหรับคุณหมอสงวนและดิฉันไม่ได้สนิทสนมกันโดยส่วนตัว เพราะดิฉันไม่ใช่แพทย์ และท่านไม่ได้เป็นรุ่นน้องจุฬา แม้ว่าเราผ่านกระบวนการ ปฎิวัติโดยนักศึกษาและประชาชนมาด้วยกันทั้ง 14 ตุลา16 และ 6ตุลา19 แต่ ดิฉัน รู้สึกสนิทสนมกับท่านและชื่นชมในผลงาน และการทำงานที่ท่านที่มีความตั้งใจทำงาน มีการทำงานที่ความประนีประนอมสูง และไม่ได้รังเกียจหรือเกี่ยงว่าดิฉันทำงานในสาธารณสุขภาคเอกชน ดิฉันมีโอกาสสัมผัสตัวตนของคุณหมอสงวนแบบใกล้ชิดสามสี่ครั้งในฐานะ ที่ดิฉันทำงานในองค์กรภาคประชาชน แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่า ดิฉันเป็นผู้หญิงไฮโซ เป็นคนรวย แต่งตัวสวย แต่ถ้าคนที่รู้จักดิฉันจริงๆจะพบว่า คนรวยก็สามารถติดดินได้ รักประชาชนได้เหมือนกัน อยู่กับคนจนได้เหมือนกัน รักความยุติธรรม และไม่เอาเปรียบใคร แต่พอเรามาทำกิจการโรงพยาบาลเอกชน แพทย์บางท่านที่คิดว่าตัวเองมีอุดมการณ์ก็จะมองว่าเรา ไม่มีอุดมการณ์ แต่คุณหมอสงวน ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ค่ะ ดิฉันทำงานเป็นเอ็นจีโอสายผู้หญิงมากว่า20กว่า ปี สร้าง อาชีพ สร้างงาน สร้างศักดิ์ศรี ให้ผู้หญิงอิสาน และประชาชนจากราษีไศล ก็มาหาคุณหมอหาญ ให้คุณหมอหาญรักษามากพอสมควร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 มีนาคม 2553, 06:57:13 เรียกว่าเราได้ช่วยเหลือประชาชนด้วยกันตลอดมา
เมื่อ รัฐบาลเริ่มโครงการ สามสิบบาทรักษาทุกโรคใหม่ๆ ดิฉันได้สมัครเข้าไปเป็นกรรมการในโครงการนี้ในสาย เครือข่ายด้านสตรีด้วย คุณหมอสงวนเห็นผู้หญิงอิสานไปเชียร์ดิฉันเยอะมาก ดิฉันทราบด้วยสายตาของคุณหมอว่าท่านเอาใจช่วยดิฉันเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ไป มีส่วนร่วมในงานนี้ แต่ดิฉันไม่สามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งตรงนั้นได้ ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด แต่ก็ได้ นำโรงพยาบาลนายแพทย์หาญที่ยโสธรเข้าโครงการสามสิบบาท เพื่อสนับสนุนโครงการดีๆอย่างนี้ด้วยค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 มีนาคม 2553, 06:58:22 ดิฉัน ได้พบกับคุณหมอสงวนอีกครั้ง
เมื่อดิฉันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะทำงานสาธารณสุขและพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ดิฉันทำงานอยู่ได้เชิญคุณหมอ สงวน มาบรรยาย เรื่องการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนระดับล่าง คุณหมออารมณ์ดี และยิ้มแย้มกับดิฉันอีกเช่นเคย และแสดงอาการดีใจที่ได้พบดิฉันอีกครั้ง ดิฉันแนะนำตัวเองว่าเป็นภรรยาคุณหมอหาญจากยโสธร ในวงการแพทย์ เราจะดีใจที่ได้พบกับครอบครัวแพทย์กันอยู่แล้ว และเราได้พบกันในงานสัมมนาอีกหลายๆครั้ง ที่คุณหมอเป็นผู้นำการสัมนา คุณหมอมีความอดทนสูงที่ต้องตอบคำถามต่างๆ เพราะช่วงหลังๆนี้ระบบสาธารณสุขของ ไทยเปลียนไปอย่างชนิดที่แทบจะตามกันไม่ทัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 มีนาคม 2553, 06:59:14 ดิฉันได้ทราบว่าคุณหมอเป็นมะเร็งที่ปอดมาสองสามปีที่แล้ว
แต่ก็คิดว่าต้องดีขึ้น เพราะสมัยนี้ยามะเร็งใหม่ๆดีขึ้นมาก และคุณหมอเป็นคนอารมณ์ดี มีความคิดเชิงบวกตลอด ทำแต่ความดี คงจะหายได้ หรือยืดอายุไปได้นานกว่านี้อีกมากนัก จึงดีใจมากเมื่อเห็นคุณหมอในโทรทัศน์เมื่อเดือนที่แล้ว เห็นคุณหมออ้วนขึ้นด้วย ไม่คิดว่าคุณหมอจะจากไปในวันนี้ สิ่งดีๆ ที่คุณหมอทำไว้ให้กับประเทศชาติ คงเป็นผลบุญให้คุณหมอได้มีความสุขในสัมปรายภพ ขอบคุณคุณหมอที่ทำงานให้กับประชาชนคนไทยจนวินาทีสุดท้าย ของชีวิตคุณหมอ แด่คุณหมอสงวนด้วยดวงใจ จาก นายแพทย์หาญ และ ประภาศรีสุฉันทบุตร กลุ่ม ร.พ หาญ อินเตอร์เนชั่นแนล ยโสธร มุกดาหาร แหลมฉบัง นายแพทย์ต้นกล้า สุฉันทบุตร ฝ่ายศัลยกรรมร.พ ตำรวจ นักศึกษาแพทย์ ฉายตะวัน สุฉันทบุตร ร.พ ราชวิถี นักศึกษาแพทย์หญิง กลางดาว สุฉันทบุตร ร.พ ราชวิถี นายก้องไกล สุฉันทบุตร university of Leeds,UK. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 10:55:59 หวัดดีครับพี่แอ๊ะ
ยินดีครับ ที่เราได้มาเชิดชู คุณงามความดีของคนที่เสียสละเพื่อคนจนอย่าแท้จริง วันงาน(27กพ) พี่แอ๊ะสวยมากครับ ทั้งลูกชาย ลูกสะใภ้ ก็ดูดีมากเลยครับ ชาวหอเราพลอยปลาบปลื้ม ในความสุข ของครอบครัวพี่แอ๊ะด้วยครับ และขอให้พี่แอ๊ะ ได้เป็นคุณย่า ในเร็ววันนะครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 13:22:50 ยึดเงินโอ๊ค-เอมไว้ก่อนให้พ่อมาถอนไป... ทุบโต๊ะไปเลยว่า “โอ๊ค-เอม” จะยังต้องรับผิดในฐานะ “ตัวแทน” พ.ต.ท.ทักษิณ ตามกฎหมาย จนกว่า “พ่อ” จะถอนเงินที่ซุกไว้มาจ่ายภาษีให้ โดย...ทีมข่าวการเงิน Post today :04 มีนาคม 2553 เวลา 09:55 น. คําตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 4.63 หมื่นล้านบาท โดยองค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า... “พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นเจ้าของหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำนวน 1,449 ล้านหุ้น แต่อำพรางหรือซุกไว้ในชื่อลูกและเครือญาติก่อนที่จะขายให้แก่บริษัท เทมาเซก โฮลดิ้ง” ก่อให้เกิดข้อถกเถียงกันหนักว่า กรมสรรพากรจะยังมีอำนาจในการบังคับให้บุตรชายและบุตรสาวต้องเสียภาษี 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท อีกหรือไม่ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เมื่อทุกอย่างเป็นนิติกรรมอำพราง ดังนั้นจึงเป็น “โมฆะ” ข้อคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ เมื่อมีการทำธุรกรรม มีรายได้ มีการโอน มีการทำการขาย คนผู้นั้นก็ต้อง “เสียภาษีให้รัฐ” ส่วนใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง ก็ไปว่ากันในเรื่องของกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่แท้จริง เรื่องนี้หากพิเคราะห์เจาะลึกกันแล้วจะสามารถเห็นภาพที่ซุกซ่อนไว้ 2-3 ประเด็น ********************* ประเด็นแรก กรมสรรพากรมีอำนาจในการยึดทรัพย์และเรียกเก็บภาษีจาก “เอม-พินทองทา โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” จากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้น จากบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2549 ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นละ 48.26 บาท จนต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1.2 หมื่นล้านบาท อยู่หรือไม่ ประเด็นนี้ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หยิบยกขึ้นมาต่อสู้ในศาลฎีกาแล้ว โดยระบุว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ดำเนินการสองมาตรฐาน นอกจากให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากโอ๊คเอมแล้ว กลับกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป อีกคดี แต่ศาลฎีกาก็วินิจฉัยชัดเจนว่า “การให้เรียกเก็บภาษีอากรจากพานทองแท้และพินทองทาที่ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ป จากบริษัท แอมเพิลริช เป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมิน มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด” นอกจากนี้ มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากร ก็บัญญัติหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ว่า บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสำคัญใดๆ แสดงว่า (1) เป็นเจ้าของทรัพย์สิน อันจะระบุไว้ในหนังสือสำคัญ และทรัพย์สินก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือ (2) เป็นผู้ได้รับเงินได้ถึงประเมิน โดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้น เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ การดำเนินการทางภาษีอากรกับพานทองแท้และพินทองทา จึงเป็นการดำเนินการตามหลักการแห่งประมวลรัษฎากร การกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติในคดีนี้ เป็นการดำเนินการกับเจ้าของที่แท้จริงในหุ้นบริษัท ชินคอร์ป เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดทางภาษีอากร เพราะมีหลักกฎหมายในการพิจารณาที่แตกต่างกัน ข้อต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้านที่ 1-3 จึง “ฟังไม่ขึ้น” เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมหมายถึงว่า ฝ่ายน้ำเงินคือ กรมสรรพากร มีสิทธิเรียกเก็บภาษีจาก “โอ๊ค-เอม” ********************* แม้กระนั้นฝ่ายแดงที่เห็นว่าไม่ต้องเสียภาษี ก็ยังเถียงคอขึ้นเอ็นว่า ถ้าพิจารณารายละเอียดคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์แล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พานทองแท้ พินทองทา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรณพจน์ ดามาพงศ์ และบริษัท แอมเพิลริช ล้วนแล้วแต่เป็น “ผู้ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป แทน” หรือเป็น “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จนกระทั่งมีการขายหุ้นแก่บริษัท เทมาเซก เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะมีการโอนหุ้นกันระหว่างบุคคลดังกล่าวจะเป็นกี่ทอด บุคคลดังกล่าวก็ยังคงเป็น “ผู้ถือหุ้นแทน” พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานอยู่ดี เมื่อทั้ง พานทองแท้ พินทองทา และบริษัท แอมเพิลริช ล้วนเป็นผู้ถือหุ้นแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ การโอนทรัพย์สินไปมาระหว่างตัวแทนกับตัวแทน หรือการโอนทรัพย์สินจากตัวแทนกลับไปยังตัวการ ซึ่งก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือคุณหญิงพจมาน ย่อมไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆ กับ “ตัวแทน” เมื่อไม่เกิดผลประโยชน์ จึงไม่เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 จากหลักการดังกล่าว เมื่อบริษัท แอมเพิลริช ซึ่งเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ โอนหุ้นให้กับพานทองแท้และพินทองทา ซึ่งเป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน บุคคลทั้งสองจึงไม่ได้ผลประโยชน์จากการโอนหุ้นดังกล่าว จึงไม่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 ในพฤตินัยเป็นเช่นนั้นจริงตามหลักการของประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายมหาชน ********************* แต่ช้าก่อน ฝ่ายแดงอย่าเพ่อด่วนดีใจ เพราะในประเด็นนี้นั้นมีความนัยที่สามารถลากไส้ใครต่อใครออกมากองให้กากินกันได้ง่าย “โอ๊ค-เอม” และทนายความของฝ่ายแดงยังจำกัดได้หรือไม่ว่า ได้ยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ในคำฟ้องและข้อต่อสู้ของ “โอ๊ค-เอม” ในชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั่งยัน นอนยันว่า ทั้งสองคนเป็นผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของตัวจริงเสียงจริงในบริษัท แอมเพิลริช และเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงของบริษัท ชินคอร์ป ที่ถืออยู่ก่อน “เอม” จะมาพร่ำบนว่า งง สงสัย และมึนไม่ได้ เพราะความจำเธออาจจะสั้น แต่ความจำของประชาชนผู้เสียภาษีนั้นยาว... ดังนั้น ในกรณีที่ทีมทนายความ รวมถึง “บิดา-มารดา” ของ “โอ๊ค-เอม” ต้องการใช้สิทธิประโยชน์จากผลของคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ทั้งโอ๊คและเอมเป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ หากยอมรับในคำตัดสินดังกล่าว “โอ๊ค-เอม” จึงจะสามารถใช้ทนายความพันล้านให้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์มาใช้เป็นพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีภาษีอากร 1.2 หมื่นล้านบาท ประเด็นนี้สำคัญและเป็นการสาวไส้กันจริงๆ เพราะเมื่อยอมรับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาเพื่อประโยชน์ในคดีภาษี ก็จะขัดแย้งอย่างรุนแรงกับหลักการและข้อต่อสู้ของคนในครอบครัวชินวัตรทั้งหมด ที่ยกมาอ้างในคำร้องที่ต้องยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะในห้วงนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน รวมถึง “โอ๊ค-เอม” ต่างยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้โอนหุ้นให้กับลูกไปแล้วจริง ก่อนที่จะขายให้แก่บริษัท เทมาเซก ประเด็นหนี้ไม่ต้องใช้สมองพิเคราะห์ก็เดาได้ว่า หาก “ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน-โอ๊ค-เอม” ยอมรับในหลักการนี้ ก็เท่ากับยอมให้มัดตราสังทันทีว่า “ผมซุกหุ้นไว้ และได้ยอมรับว่าแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จอีกแล้วครับทั่น” โทษ คือ ห้ามเล่นการเมือง 5 ปี ********************* ไม้ตายไม่ได้อยู่ที่ 2 ประเด็นที่นำเสนอมา หากแต่อยู่ในประเด็นนี้ ถ้าบริษัท แอมเพิลริช เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้นชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้น และต่อมาได้โอนหุ้นให้แก่กรรมการบริษัท คือ พานทองแท้ และพินทองทา ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท บุคคลทั้งสองย่อมได้รับผลประโยชน์ส่วนต่างราคาหุ้นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 จึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรในมาตรา 39 แต่ว่าเมื่อศาลบอกว่า บุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างของราคาหุ้นที่แท้จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อได้ประโยชน์ก็ต้องเสียภาษี...นี่คือไม้ตาย ที่จะตายหนักไปกว่านั้น คือ ในมาตรา 824 ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระบุชัดๆ ที่หนีอย่างไรก็ไม่ออกคือ “ตัวแทน” คนใดทำสัญญาแทน “ตัวการ” ซึ่งอยู่ต่างประเทศ ท่านว่า “ตัวแทน” คนนั้นต้องรับผิดตามสัญญานั้นตามลำพังตัวเอง แม้ทั้งชื่อของตัวการจะได้เปิดเผยแล้ว ทุบโต๊ะไปเลยว่า “โอ๊ค-เอม” จะยังต้องรับผิดในฐานะ “ตัวแทน” พ.ต.ท.ทักษิณ ตามกฎหมาย จนกว่า “พ่อ” จะถอนเงินที่ซุกไว้มาจ่ายภาษีให้ ไม่เช่นนั้นอาจถึงล้มละลายได้ เพราะถึงตอนนี้ทรัพย์สินในชื่อของ “โอ๊ค-เอม” ถูกอายัดให้นำไปจ่ายในส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติ 4.63 หมื่นล้านบาท เกือบ 90% เหลือเงินที่จะนำมาจ่ายภาษีได้ไม่ถึง 2,000 ล้านบาท สรรพากรจึงปักธงลุยยึดทุกอย่าง สืบทรัพย์ทุกอย่าง เพื่อดึงเงินทักษิณออกมาจ่ายภาษี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 13:31:27 รายงานพิเศษ:แกะรอยแดงฮาร์ดคอร์ ต่างคนต่างเดินแต่บรรจบเป้าหมายเดียวกัน
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ “ ถ้าเกาะติดความเคลื่อนไหว พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำที่อ้างว่าสันติวิธียังเชื่อมต่อกับสายฮาร์ดคอร์วันยันค่ำ เรียกว่า “เดินคู่ขนานแต่มาบรรจบด้วยเป้าหมายเดียวกัน” โดย ทีมข่าวการเมือง:POSTTODAY 04 มีนาคม 2553 เวลา 10:40 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แม้คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะจบลงด้วยคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์บางส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้คนส่วนใหญ่กระจ่างแจ้งต่อคำพิพากษา ชี้ให้เห็นถึงการกระทำโดยมิชอบของอดีตนายกฯ แต่ทว่า สถานการณ์บ้านเมืองกลับอึมครึม ขยับใกล้จุดเดือดทางการเมืองอีกครั้ง เมื่อเจ้าของทรัพย์สินไม่ยอมรับผลคำตัดสิน หาช่องทางทวงคืนหีบสมบัติตัวเองให้ได้ คำแถลงผ่านวิดีโอลิงก์ วันตัดสินคดียึดทรัพย์ ต่อหน้ามวลชนเสื้อแดงและอีกหลายวันต่อมา ด้วยการย้ำให้ มวลชนคนเสื้อแดงลุกขึ้นสู้ เดินทางเข้าร่วมชุมนุมเยอะๆในวันที่ 14 มี.ค. ภายใต้ความเชื่อว่า สักวันหนึ่งชัยชนะจะเป็นของเรา ประจวบเหมาะกับเหตุระเบิดพื้นที่กทม. และปริมณฑล 4 จุด ยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการหรือไม่ แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพยายามบอกมวลชนให้ต่อสู้ด้วยสันติ อหิงสา แต่ในจังหวะของการเคลื่อนมวลชนหลายต่อหลายครั้ง มักจะมาพร้อมการปลุกระดมยุยงสู่ความรุนแรงก่อนเสมอ ดังเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้วเป็นเครื่องการันตี ทางหนึ่งแกนนำออกมาย้ำว่าจะใช้สันติวิธี แต่ทางหนึ่ง มีแกนนำอีกส่วนพยายามนำวิธีรุนแรงมาใช้ ก่อนหน้านี้ จตุพร พรหมพันธ์ ออกมาปฏิเสธ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือเสธ.แดง ไม่ได้อยู่ร่วมขบวนการเสื้อแดง หรือพยายามสร้างภาพให้เห็นว่าถอยห่างแนวคิด พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งเคยเปิดประเด็นจะตั้งกองทัพประชาชนส่อไปทางรุนแรง แต่ถ้าเกาะติดความเคลื่อนไหว พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำที่อ้างว่าสันติวิธียังเชื่อมต่อกับสายฮาร์ดคอร์วันยันค่ำ เรียกว่า “เดินคู่ขนานแต่มาบรรจบด้วยเป้าหมายเดียวกัน” ตั๋วเครื่องบินไปกลับดูไป เป็นคำตอบถึงการเคลื่อนไหวที่มีความผสมผสานระหว่างพฤติกรรมนุ่มนวลกับหยาบกระด้าง หลายครั้งปรากฎชื่อ แกนนำสายใกล้ชิดไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ หลายครั้งปรากฎชื่อ อดีตส.ส.ไทยรักไทย ส.ส.เพื่อไทย และหลายครั้งเช่นกัน ปรากฎชื่อ กลุ่มของพล.ต.ขัตติยะ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง สุพร อัตถาวงศ์ บวกกับแกนนำสายใกล้ชิดไปพร้อมกัน ยิ่งใกล้วันชุมนุมใหญ่ สายการบินไทยดูจะได้รับการใช้บริการถี่มากขึ้น ข้อมูลการเดินทางเข้า-ออก วันที่ 2 มี.ค. 53 ปรากฎชื่อ พล.ต.ขัตติยะ มานิตย์ จิตร์จันทร์กลับ อุดม มั่งมีดี นางกนกพร ศิริพรรณภิรัตน์ เดินทางไปดูไบ เที่ยวบิน ทีจี 517 เวลา 17.30 น. และแจ้งเดินทางกลับจากดูไบเที่ยวบิน ทีจี 518 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันนี้ ( 4 มี.ค. ) เวลา 08.35 น. เป็นที่ทราบกันดี กรณีของเสธ.แดง กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงตามที่แกนนำสายใกล้ชิดอ้างว่าไม่ได้อยู่ในพวก แต่กลับรายชื่อ มานิตย์ จิตร์จันทร์กลับ อุดม มั่งมีดี สองอดีตผู้พิพากษา ที่หันเหทำงานด้านให้คำปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย และขึ้นเวทีเสื้อแดงเคียงบ่าเคียงไหล่แกนนำแดงสายใกล้ชิด ก็ล็อคที่นั่งไปพร้อมกับเสธ.แดง เหมือนกับครั้งที่ เสธ.แดง เกี่ยวก้อย พรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือ "เคทอง" คนสนิทเสธ.แดง ที่กำลังถูกหมายจับขู่บึ้มกรุงขณะนี้ เดินทางไปพร้อมกับแดงสายใกล้ชิดอย่าง วีระ มุกสิกพงษ์ จรัลดิษฐาอภิชัย และเหวง โตจิรการ การเดินทางครั้งนี้ ในทางการเมืองไม่อาจมองเป็นอย่าอื่นได้นอกจาก “ เตรียมไปรับงาน” ส่วนจะเป็นงานประเภทไหน สุดแล้วแต่จะคาดการณ์ เพราะระดับเสธ.แดง เป็นที่รับรู้ถึงความแม่นยำในการทำนายเหตุรุนแรงในบ้านเมือง ยิ่งกรณีคนสนิท “ เคทอง” ก็ได้สำแดงความตื่นวิตกให้กับคนกรุงไปแล้วจากกรณีออกวิทยุ เสนอข้อมูลผ่านเวปไซต์ เตือนคนกรุง ระวังระเบิดหลังวันตัดสินคดี รวมถึงกระบวนการจัดยุทธวิธี ในฐานะที่เสธ.แดงเองก็ยอมรับเป็นผู้ฝึกฝนหน่วยรบพระเจ้าตาก นักรบนินจาโรนนิน อะไรทำนองนั้น ขณะที่อดีตสองผู้พิพิพากษาที่เกี่ยวก้อยไปพร้อมกันกับเสธ.แดง ก็น่าเป็นการให้คำปรึกษาหาช่องต่อสู้ทางกฎหมาย และล่าสุดหลังการเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย เมื่อเช้าวันนี้ มานิตย์ ก็ออกมายอมรับได้ไปให้คำปรึกษากฎหมายกับพ.ต.ท.ทักษิณจริงทำนองให้พ.ต.ท.ทักษิณ ร้องเรียนผู้นำนานาชาติ บรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้ สอดรับขับประสานกันไปหมด ล้วนเป็นเรื่องที่รัฐบาล ต้องแกะรอยหาคำตอบ โดยมิอาจนิ่งนอนใจ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: YOTSAWIN ที่ 04 มีนาคม 2553, 14:33:13 สวัสดีครับพี่ตะวัน พี่แอ๊ะ พี่ตุ๋ย
ขอบคุณพี่ตะวัน พี่แอ๊ะ ที่เอาเรื่องดีๆ ที่พวกเราควรจะรู้มาให้อ่าน หมอหงวน เป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งต่อคนไทยทุกคนครับ ขอให้ผู้สืบทอด ได้รับการปรบมือให้ด้วย จิตคารวะครับ emo30:sorry: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: BU_MEE ที่ 04 มีนาคม 2553, 16:37:01 ขอบพระคุณ พี่แอ๊ะ และพี่ตะวันเช่นกันค่ะ
emo30:sorry: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 23:15:02
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มีนาคม 2553, 23:16:06
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 05 มีนาคม 2553, 06:00:19 http://www.youtube.com/watch?v=b8_uqp3sblI หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: YOTSAWIN ที่ 05 มีนาคม 2553, 08:28:01
พอดีงานยุ่งด้วยครับ แต่ก็คิดถึงพี่ๆ น้องๆ ทุกคนครับพี่ โทรคุยกับพี่ยังชินอยู่ว่าการเมืองเปิดหรือยัง เพราะคิดถึงครับ คิดถึงพี่วณิชย์ กับ AJO ด้วย พอไม่มีมุมมองจากพี่น้อง ก็ได้แต่เสพย์ข่าวจากสื่อครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มีนาคม 2553, 14:31:49 ชาว กทม.ทั้งหลาย อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เตรียมรับ ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในบ้านเราให้ดีนะครับ..ด้วยความเป็นห่วง
เจาะข่าวกรองวิเคราะห์!เงื่อนไขปลุกแดงป่วนกรุง ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , โดย...ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว Posttoday: 04 มีนาคม 2553 เวลา 15:05 น. “ฝ่ายรัฐอาจจำเป็นต้องปรับแนวทาง ไม่ควรโหมให้ข่าวจะเอาผิดทั้งแพ่งและอาญากับพ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มเติม เพราะจะเรียกคะแนนสงสารและสร้างอารมณ์ร่วมในการชุมนุมใหญ่ มีคำถามปนความสงสัย กรณีแกนนำคนเสื้อแดงออกมาโหมกระพือจะมีมวลชนล้านคนมาพร้อมรถบิ๊กอัพ รถอีแต๊นแสนคันไหลเป็นลาวาเข้ากรุงเทพเพื่อโค่นล้มรัฐบาล เป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน และใช้ช่องทางใด ก่อนหน้านี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ข้อมูลการจากศูนย์ปฏิบัติการร่วม (ศปร.) ของหน่วยงานความมั่นคง ได้ประเมินความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ถึงเส้นทางการเคลื่อนเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นลักษณะทยอยๆ กันมา มิใช่ยกทัพใหญ่เข้ามาพร้อมกันในวันเดียวกัน การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเเดง เส้นทางในการเคลื่อน ก็พอจะเห็นภาพเบื้องต้น จากการเซ็ทกำลังพลดูแลความสงบเรียบร้อยพร้อมกับการจัดระเบียบจราจร ในพื้นที่ 3 ส่วน กว่า 14 จุด คือ ส่วนนอก ได้แก่ ศาลากลางจังหวัด ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ทางด่วนดอนเมืองโทลเวย์เชื่อมโยงกับเส้นทางถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้า ส่วนกลาง อนุสาวรีย์หลักสี่ ถนนบางนา-ตราด ทุ่งสองห้อง สนามกีฬา ไทย- ญี่ปุ่น ดินแดน ส่วนใน ได้แก่ วงเวียนใหญ่ สนามหลวง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานีรถไฟหัวลำโพง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สวนลุมพินี และ ท่าเรือบางส่วน นั่น เป็นการประเมินเบื้องต้น เพื่อเป็นข้อมูลให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมแผนรับมือ ส่วนการระดมไพร่พลมามากมายขนาดนั้น ทำอย่างไร ประเด็นนี้ดูจะมีคำตอบจากหน่วยข่าวกรองที่ลงไปเกาะติดความเคลื่อนไหวของแกนนำ นักการเมือง ฝ่ายสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนำมาวิเคราะห์เชิงลึกส่งผ่านขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า บทวิเคราะห์ล่าสุด ชี้ให้เห็นการเคลื่อนไหวที่กำลังดำเนินไปด้วยความเข้มข้น นับจากนี้ ข่าวกรองวิเคราะห์ว่า นปช. เร่งรณรงค์ระดมมวลชน รถยนต์ เงินทุนเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ใน กทม. อย่งเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยใช้รูปแบบหลากหลาย อาทิ ในภาคเหนือจัดกิจกรรมย่อยในจังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลาปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในจังหวัด นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น ทั้งนี้ นปช.ส่วนกลางตั้งเป้าอยากได้รถยนต์จังหวัดใหญ่ จังหวัดละ 1,000 คน มวลชนคันละ 12 – 14 คน แต่จนถึงขณะนี้ การสำรวจขั้นต้นอยู่ที่จังหวัดละประมาณ 400 – 500 คัน ทั้งนี้ปัจจัยที่จะมีส่วนส่งเสริมให้ได้จำนวนมวลชนและรถยนต์สูงขึ้นคือ เงิน กับการสนับสนุนของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในพื้นที่ ซึ่งยังไม่มีเต็มที่และปัจจัยสถานการณ์จากนี้ไป อย่างไรก็ดี ในด้านความรู้สึกของมวลชน มีความต้องการไปชุมนุมที่ กทม. ค่อนข้างสูงแนวโน้มด้านอารมณ์อาจสูงกว่าเมษายน 52 เพราะอยากไปช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่า การปลุกมวลชนมาชุมนุมใหญ่ได้ผลขนาดไหน ประเด็นนี้ข่าวกรองวิเคราะห์ว่า การสร้างกระแสและสร้างภาพการชุมนุมใหญ่ตั้งแต่วันที 12 มี.ค. 53 ค่อนข้างได้ผล เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่กำลังวิตกกังวลเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันดังกล่าว ประกอบกับมีเหตุระเบิดธนาคารกรุงเทพด้วย กระแสที่เกิดในสังคมคนไทย รวมทั้งต่างชาติ จึงเป็นไปในทางวิตกค่อนข้างมาก การรุกด้านข้อมูลข่าวสารของ นปช.และผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ หลังวันพิพากษาคดี ตีกลับคืนและมีประสิทธิภาพ ฝ่ายรัฐอาจจำเป็นต้องปรับแนวทาง ไม่ควรโหมให้ข่าวจะเอาผิดทั้งแพ่งและอาญากับ พ.ต.ท.ทักษิณเพิ่มเติมเพราะจะเรียกคะแนนสงสารและสร้างอารมณ์ร่วมในการชุมนุมใหญ่ได้เป็นอย่างดีแต่น่าจะมุ่งเน้นการตอบโต้การบิดเบือนของพ.ต.ท.ทักษิณกับพวก เหมือนอย่างที่หนังสือพิมพ์บางฉบับทำได้ดี รวมทั้งทำให้เห็นการเตรียมการป้องกันการก่อเหตุรุนแรง การรณรงค์ของแกนนำ นปช.บางคนทางวิทยุชุมชน หรือ การปราศรัยโดยเฉพาะนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน วิทยุชุมชนคนรู้ใจ คลื่น 87.75 เมกกะเฮิรทซ์ รายการทางออกประเทศไทย กับ นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล กลุ่มรักษ์เชียงใหม่ 51 บางวันได้พาดพิงหรือดูหมิ่นสถาบันฯ อย่างบิดเบือน จาบจ้วง ท้าทาย ไม่ยำเกรงกฎหมาย และมีลักษณะปลุกเร้าให้คนฟังเชื่อตาม ทั้งสองนำสถาบันฯไปเชื่อมโยงกับคำพิพากษาของศาล รวมทั้งจาบจ้วงว่าใช้ 2 มาตรฐานเพราะไม่ช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ผลการวิเคราะห์เหล่านี้ ดูจะสอดคล้องกับท่าทีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ออกมาแถลงหลังประชุม ครม. ถึงการดำเนินคดีแพ่ง และอาญา กับพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการย้ำแล้วย้ำอีกว่า “ รัฐบาลไม่ใช่คู่กรณีเพื่อไปกดดันกลุ่มใด แต่เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารต้องดำเนินการ เพราะถ้าไม่ดำเนินการก็จะถูกกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” เหมือนนายกฯอภิสิทธิ์ รู้สัญญาณดีว่า เมื่อรัฐบาลขยับลงดาบสองกับพ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของแฟนคลับพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น นายกฯอภิสิทธิ์จึงต้องพยายามบริหารสถานการณ์อย่างรัดกุมโดยเฉพาะการให้ข่าวเกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ คือ นอกจากจะไม่เลือกวิธีเติมเชื้อใส่กองเพลิง ก็ต้องหาทางสกัดไฟไม่ให้ลามไปมากกว่านี้ด้วย เพราะถ้าถลำเกินไป ย่อมเข้าแผนเร่งเร้าแดงทะลักตามที่แกนนำเสื้อแดงวาดฝัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 06 มีนาคม 2553, 05:53:33 (http://img709.imageshack.us/img709/8417/resizeofmgrpdf20100306p.jpg) (http://img709.imageshack.us/img709/8863/resizeofmgrpdf20100306pw.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มีนาคม 2553, 14:23:08 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kyun3i-21070e.jpg)
ความหวัง...ในยามที่บ้านเมืองกำลังปั่นป่วน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:24:06 เนื่องจากวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้เป็นวันสตรีสากล
จึงจะนำความเป็นมา ของวันสำคัญ ของสตรี มาเล่าสู่กันฟัง วันสตรีสากล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี คลาร่า เซทคิน.วันสตรีสากล เป็นวันที่มีการประท้วงของแรงงานหญิง ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบกดขี่ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความสำคัญ วันสตรีสากล มิเพียงแค่การเฉลิมฉลองเหมือนงานประเพณีที่มักทำติดต่อกันทุกปี หากจะเป็นการตระหนักร่วมและให้คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ของผู้ใช้ แรงงานหญิง และสืบทอดเจตนารมย์ที่ต้องการให้ผู้หญิงได้รับการปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย จากความรุนแรง และยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ผู้ใช้แรงงานต้องได้รับการดูแลในด้านสวัสดิการ สุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งผู้หญิงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างให้กียรติและเท่าเทียมในฐานะที่ ผู้หญิงก็เป็นสมาชิกหนึ่งในสังคม ประวัติความเป็นมา ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบ กดขี่ ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความเป็นอยู่ของแรงงานสตรีในเมืองชิคาโก ว่ากันว่าไม่ต่างอะไรจากทาสนิโกรในเงื้อมมือคนผิวขาว เพราะต้องทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง แต่ได้รับค่าแรงานเพียงน้อยนิดส่วนสตรีตั้งครรภ์มักถูกไล่ออก ในที่สุดภายใต้การนำของ คลาร่า เซทคิน ผู้นำกรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าชาวเยอรมันลุกฮือขึ้นสู้ด้วยการเดินขบวนนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 โดยเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานจากวันละ 12-15 ชั่วโมง ให้เหลือวันละ 8 ชัวโมงพร้อมทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการภายในโรงงาน และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้ แม้จะมีหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสตรีทั้งโลก และส่งผลให้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมเริ่มสั่นคลอน แต่อย่างไรก็ตามอีก 3 ปีต่อมา คือ ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 ข้อเรียกร้องของเหล่าบรรดากรรมกรสตรีก็ประสบความสำเร็จ เมื่อตัวแทนสตรีจาก 18 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี โดยให้ลดเวลาทำงานให้เหลือเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และกำหนดให้ค่าแรงงานสตรีเท่าเทียมกับค่าแรงงานชาย อีกทั้งยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย นอกจากนั้นในการประชุมครั้งนั้น ยังได้มีการรับรองข้อเสนอของ คลาร่า เซทคิน ด้วยการประกาศให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากล วันสตรีสากลไม่ได้เป็นเพียงวันที่กลุ่มสตรีทั่วโลกร่วมฉลองกันท่านั้น แต่เป็นวันที่องค์กรสหประชาชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย และอีกหลายประเทศได้กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดประจำชาติของตน กลุ่มสตรีจากทุกทวีปไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือ การเมืองก็ตาม ได้รวมตัวกันเพื่อฉลองวันสำคัญนี้ เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคความยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา ผลจากการตัดสินใจของที่ประชุม ณ กรุงโคเปนเฮเกน ทำให้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1911 ในประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มีประชาชนทั้งหญิงชายมากกว่า 1 ล้านคน เข้าร่วมการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในการทำงาน การเข้ารับการอบรมในวิชาชีพ และให้ยุติการแบ่งแยกในการทำงานในปีถัดมาได้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลเพิ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน และในปี ค.ศ. 1913 มีการจัดชุมนุมวันสตรีสากลในรัสเซียเป็นครั้งแรก ที่นครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก แม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขัดขวางก็ตาม วันสตรีสากลได้จัดขึ้นโดยเชิดชูคำขวัญของขบวนการสันติภาพ ทั้งนี้เพื่อต่อต้านสงครามที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในยุโรปนับตั้งแต่ปีแรกๆ เป็นต้นมา ความสำคัญของการฉลองวันสตรีสากลได้ทวีมากขึ้น โดยมีสตรีในทวีปแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา เริ่มร่วมมือกันเพื่อทบทวนความก้าวหน้าของการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน และเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งพยายามผลักดันให้มีการตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนของสตรีอย่างสมบูรณ์ ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลกที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับบทบาทและสถานภาพสตรีโดยได้มีการดำเนินการทั้งในแง่กฏหมาย นโยบาย มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย คือ เจตนารมณ์ให้มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้ การควบคุมทรัพยากร เพื่อให้หลุดจากการกีดกันต่างๆ ให้สตรีได้มีโอกาสรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม บรรณานุกรม วรนุช อุษณกร. ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2543. แผ่นพับประชาสัมพันธ์วันสตรีสากล สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ "สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว" http://www.women-family.go.th/home.htm ข้อมูลโดย : กลุ่มนักศึกษาฝึกงาน งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:32:15 ผู้ให้กําเนิดวันสตรีสากล
คลาร่า เซทกิ้น (CLARA ZETKIN) ค.ศ.1857-1933 คลาร่า เซทกิ้น ได้รับการขนานนามว่า มารดาแห่งการเคลื่อนไหวสตรีสากล เป็นผู้ให้กําเนิดวันสตรีสากล นักการเมืองหญิงสายมาร์คซิสต์ ชาวเยอรมัน เป็นผู้ริเริ่มวันสตรีสากล ชื่อเดิมชื่อ คลาร่า ไอนส์เนอร์ เกิดที่เมืองไวเดอรูว์ แคว้นแซกโซนี่ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูเมืองไลป์ซิก และพบรักกับเพื่อนนักศึกษาชาวรัสเซียนามว่า ออพซิป เซทกิ้น ต่อมา มีบุตร 2 คน และเป็นหม้ายในปี ค.ศ.1889 ในปี ค.ศ.1884 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democratic party) ต่อมาพรรคโดนยุบ และคลาร่าได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ค.ศ.1907 คลาร่าได้กลับสู่เยอรมันดินแดนมาตุภูมิ พร้อมกับการก่อตั้ง กลุ่มนักสังคมนิยมหญิง และได้ริเริ่มในการเสนอให้กําหนดวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีให้เป็นวันสตรีสากล ค.ศ.1914 ในขณะที่ประเทศเยอรมันกําลังทําสงครามโลกครั้งที่ 1 คลาร่า ได้ร่วมมือกับ โรซ่า ลัมเซมเบอรค์ ร่วมกันรณรงค์ต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 1 ในนามกลุ่ม สปาร์ตาซิสต์ ( *กลุ่มสปาร์ตาซิสต์ (spatarcist) เป็นกลุ่มกรรมกรในเยอรมันที่ประท้วงรัฐบาลเยอรมันสมัยนั้น ในการทําสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยความคิดที่ว่า ทหารที่ส่งไปรบก็คือ ประชาชน สงครามเป็นการกระทําที่สนองตัณหาของรัฐบาล แต่ประชาชนมีแต่ต้องสูญเสีย) ค.ศ.1918 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน และได้เป็นผู้แทนในสภาไรซ์สตัก (สภาผู้แทนของเยอรมันยุคนั้น) ค.ศ.1920-1932 สุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายของคลาร่าในสภาเยอรมัน คลาร่าได้กล่าวโจมตี อดอฟ ฮิตเลอร์อย่างรุนแรง และเรียกร้องหาแนวร่วมที่จะช่วยกันต่อต้านพรรคนาซีเยอรมัน ซึ่งกําลังมีบทบาทอย่างสูงในการเมืองเยอรมัน ค.ศ.1933 พรรคนาซีเยอรมันได้ ประสบความสําเร็จในการยึดอํานาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ และให้อํานาจทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านฟูเร่อร์ (ผู้นํา) คลาร่าจึงเป็นหนึ่งในนักการเมืองสายความคิดสังคมนิยม ที่ถูกกวาดล้าง จนต้อง ลี้ภัยการเมืองไปใช้ชีวิตที่รัสเซีย และถึงแก่กรรมในปีเดียวกันนี้ องค์กรในสหประชาชาติที่ทําหน้าที่พิทักษ์สิทธิสตรี (1) คณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี (UNCSW) มีหน้าที่กําหนดแนวทางการยกระดับสถานภาพสตรี ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมวัฒนธรรม และด้านการศึกษา (2) คณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) มีหน้าที่ตรวจสอบว่าประเทศภาคีอนุสัญญาฯปฏิบัติตามข้อกําหนดของอนุสัญญาฯ หรือไม่ - แผนกเพื่อความก้าวหน้าของสตรี ทําหน้าที่เป็นสํานักงานเลขานุการ ดําเนินการวิจัยและทํางานสนับสนุนองค์กรทั้งสองข้างต้น - กองทุนพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNIFEM) ทําหน้าที่สนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในการผสานสตรีในกระบวนการพัฒนา ด้วยวิธีการส่งเสริมกิจกรรมสร้างเสริมรายได้ขนาดย่อม - สถาบันวิจัยและฝึกอบรมระหว่างประเทศเพื่อความก้าวหน้าของสตรี(INSTRAW) เป็นแหล่งให้เงินทุนอุดหนุน และมีหน้าที่ทําวิจัยเพื่อยกระดับวิธีการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการพัฒนา ที่มา http://www.women-family.go.th/scan/women_day1.pdf หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:38:25 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kyy236-bf403a.jpg)
สตรี สู้ๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:40:40 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kyy26c-67c310.jpg)
ผู้ชาย บางคนก็ใจดำ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:42:20 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kyy28w-5b2a82.jpg)
โตขึ้นมา..สู้ๆนะหนู หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:44:16 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kyy2bd-45e84f.jpg)
ทุกวันนี้ สตรียังถูกกดขี่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:45:56 (http://img534.imageshack.us/img534/1879/12412670.jpg)
สู้ต่อไปนะตัวเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 08 มีนาคม 2553, 10:59:20 (http://img710.imageshack.us/img710/8526/mgrpdf20100308page40.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มีนาคม 2553, 10:22:06 งัด กม.ความมั่นคงคุมพระนคร 13 วัน-เกมยื้อโต้ “แม้ว”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2553 00:44 น. งานนี้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายรัฐบาลน่าจะอ่านเกมออกแล้วว่าฝ่ายทักษิณ ก็มีความกดดัน เนื่องจากต้องเผด็จศึกให้ได้ภายในเวลาอันสั้น แต่ขณะเดียวกันหากจะใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างความปั่นป่วน ภาพโดยรวมก็ออกมาว่าต้องเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงแน่ ก็จะยิ่งเสียหาย และหากมีการลงมือจริงไม้เด็ดอีกอย่างหนึ่งที่คาดว่าจะต้องนำมาใช้นั่นคือ การขอถอนประกันบรรดาแกนนำให้กลายเป็นคนนอกกฎหมาย ทุกอย่างก็จะเข้าทางมากขึ้นไปอีก ในที่สุดก็เป็นไปตามความคาดหมายสำหรับการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในกรุงเทพมหานคร และบางพื้นที่เขตปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 11-23 มี.ค.โดยคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.)จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติในวันอังคารที่ 9 มี.ค.นี้ หากติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร จะพบว่ากำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ลบล้างความผิดและได้ทรัพย์สิน อำนาจกลับคืนมาโดยเร็ว ความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นทันทีหลังจากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดทรัพย์จำนวน 4.63 หมื่นล้านบาทจากการทุจริตหลายกระทง และศาลยังได้ชี้ให้เห็นความผิดอื่นๆ ซึ่งจะต้องถูกดำเนินคดีอีกมากมายตามมาทั้งทางแพ่งและอาญา คราวนี้คาดว่าเป็นการทุ่มเทสรรพกำลังมากกว่าทุกครั้ง สังเกตได้จากการรวบรวมทุกกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวพร้อมๆ กัน และหลากหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าต้องการใช้ “ความรุนแรง” เพื่อบีบคั้นให้ฝ่ายรัฐบาลทำตามเงื่อนไขให้ได้ นั่นคือเป้าหมายเฉพาะหน้าต้อง “ยุบสภา” โดยหวังว่าพรรคเพื่อไทยที่ตัวเองเป็นเจ้าของต้องชนะการเลือกตั้งแล้วกลับมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดทั้งหมดและฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วนำฉบับปี 2540 กลับมาใช้ใหม่ อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ การชุมนุมครั้งนี้อาจมีการคาดหวังลึกๆว่าหากมีจำนวนคนเข้าร่วมมากพอก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ซึ่งเป้าหมายคงไม่ใช่หยุดอยู่ที่ “อำมาตย์” ดังที่ ทักษิณ และคนเสื้อแดงพยามสร้างสัญลักษณ์ในการต่อสู้อย่างแน่นอน เพราะในช่วงไม่กี่วันมานี้ในกลุ่มเครือข่ายโดยเฉพาะ “สื่อเสื้อแดง” ต่างออกมาเปิดเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นคืออะไร ดังกรณีลงภาพหน้าปกของนิตยสาร “VOCE OF TAKSIN” ฉบับล่าสุดที่ลงรูป ครุฑพ่าห์ ถูกปิดหน้าแล้วมีข้อความว่า “บ้านที่ดีต้องเริ่มที่พ่อ” ว่าต้องการสื่อให้เห็นอะไรและสื่อถึงใคร!! นาทีนี้เรียกได้ว่าเปิดหน้ากันเต็มตัว ไม่มีอำพรางกันอีกต่อไป ขณะที่ ทักษิณ ก็ได้วิดีโอลิงก์ตามเวทีคนเสื้อแดงที่มีการโหมโรงกันก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่ไปทั่วประเทศ “ปลุกระดม” กันเต็มที่ ทำทุกวิถีทางเพื่อปลุกเร้าให้ชาวบ้านเข้าร่วมให้มากที่สุด อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่ม “ฮาร์ดคอร์” รวมไปถึงกลุ่มที่ติดอาวุธและนิยมความรุนแรงเข้ามาพร้อมๆกัน ซึ่งก็มีทั้งใช้คำพูดข่มขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายที่นั่นที่นี่รวมไปถึงการลงมือก่อเหตุจริง ซึ่งต่อมาก็มีการจับกุม “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล “เคทอง” หรือ พรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ กับพวกรวม 8 คนพร้อมอาวุธอีกจำนวนหนึ่ง โดยคัดค้านการประกันตัว นอกจากนี้ยังมีการจับกุมคนที่ก่อเหตุขว้างปาระเบิดเข้าใส่ธนาคารกรุงเทพสาขาสีลมเมื่อหลายวันก่อน จำนวน 2 คน ซึ่งยอมรับว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มคนเสื้อแดงอีก ความเคลื่อนไหวทั้งสองเหตุการณ์ย่อมเป็นการชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12-14 มีนาคมล้วนส่อไปในทางรุนแรง และแม้ว่าจะสามารถจับกุมคนที่ก่อเหตุขว้างระเบิดและกลุ่มที่ชอบเคลื่อนไหวในแนวทางรุนแรงอย่างกลุ่ม “เสธ.แดง” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์ร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นจะบรรเทาเบาบางลงไป ขณะเดียวกัน หากมองอีกด้านหนึ่ง การประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงของรัฐบาลตั้งแต่วันที 11-23 มี.ค.ในพื้นที่กรุงเทพฯและบางพื้นที่ในเขตปริมณฑล รวมทั้งการเลื่อนเดินทางไปเยือนประเทศออสเตรเลียของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงวันที่ 13-17 มี.ค.อย่างไม่มีกำหนดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้เตรียมมาตรการรับมืออย่างเข้มข้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงประเมินสถานการณ์แล้วว่าบรรยากาศน่าจะตึงเครียดจึงได้งดกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศดังกล่าว หากพิจารณาจากจำนวนวันที่ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 11-23 มี.ค.เป็นเวลาถึง 13 วัน ขณะที่ ฝ่าย ทักษิณ ประกาศว่าจะชุมนุมแบบ “ม้วนเดียวจบ” 12-14 มี.ค. แค่ 3 วัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฝ่ายรัฐบาลได้เตรียมการตั้งรับแบบยืดเยื้อ และอ่านเกมออกว่ายิ่งคนเสื้อแดงชุมนุมนานเท่าไหร่และหากยังไม่อาจล้มรัฐบาลลงได้ ความเบื่อหน่ายของผู้ชุมนุมเองรวมไปถึงคนกรุงเทพฯที่จะเดือดร้อนรำคาญก็จะยิ่งเป็นตัวบั่นทอนกำลังไปโดยปริยาย ประกอบกับในช่วงนี้เป็นช่วงอากาศร้อนจัด การอยู่กลางแดดเป็นเวลานานก็ยิ่งทำให้เกิดอาการอ่อนล้าลงไปเรื่อยๆ งานนี้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายรัฐบาลน่าจะอ่านเกมออกแล้วว่าฝ่ายทักษิณก็มีความกดดัน เนื่องจากต้องเผด็จศึกให้ได้ภายในเวลาอันสั้น แต่ขณะเดียวกันหากจะใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างความปั่นป่วน ภาพโดยรวมก็ออกมาว่าต้องเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงแน่ ก็จะยิ่งเสียหาย และหากมีการลงมือจริงไม้เด็ดอีกอย่างหนึ่งที่คาดว่าจะต้องนำมาใช้นั่นคือ การขอถอนประกันบรรดาแกนนำให้กลายเป็นคนนอกกฎหมาย ทุกอย่างก็จะเข้าทางมากขึ้นไปอีก การงัดกฎหมายความมั่นคงขึ้นมาใช้ควบคุมก็ยิ่งเป็นการเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญยังได้ “เบี้ยเลี้ยง” เป็นกอบเป็นกำ เป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังด้วย ดังนั้น เมื่อประเมินสถานการณ์รอบด้านแล้วเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนในสังกัดทักษิณที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลยังได้เปรียบอยู่หลายขุม เพราะคราวนี้ฝ่าย “บิ๊ก”กองทัพจำเป็นต้องกอดคอกับ อภิสิทธิ์ ต่อไป อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง เพราะถ้าชิ่งไปก่อนก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 10 มีนาคม 2553, 05:03:42 การเมือง ไม่ใช่เรื่องของทุกคน เพราะเมียลูกทักษิณ บินเผ่นหนีไปแล้ว สะพัด "โอ๊ค-เอม-อุ๊งอิ๊ง" เตรียมเผ่นออกนอกประเทศ พรุ่งนี้ ก่อนปฎิบัติการ "แดงนรก" ถล่มเมือง พีอาร์ฮาวคัม ยอมรับ ไปร่วมงานไอทีวีเบอร์ลิน 2010 ที่เยอรมัน โดยสายการบินสวิสแอร์ไลน์ "มาร์ค" ถามเสื้อแดงสู้เพื่อใคร หลัง "โอ๊ค-เอม-อุ๊งอิ๊ง" เดินทางหนีออกนอกประเทศ มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร , นางสาวพิณทองทา ชินวัตร และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ได้เตรียมเดินทางไปต่างประเทศ ในวันพรุ่งนี้ (10 มีนาคม 2553) โดยสายการบินสวิสแอร์ไลน์ ซึ่งคาดว่าจะไปลงที่เมืองซูริค (Zurich) ก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศสาธารณะรัฐเยอรมนี ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร มีแผนที่จะอยู่ที่ฝรั่งเศส และกลับมาเมืองไทยในวันที่ 18 มีนาคม 2553 ส่วนนางสาวพิณทองทา จะเดินทางไปเที่ยวฮ่องกงต่อ และจะกลับมาเมืองไทยวันที่ 21 มีนาคม 2553 รายงานข่าวยังระบุว่า ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท ฮาวคัม เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ได้ยอมรับกับสื่อมวลชนว่า นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา เตรียมเดินทางออกไปต่างประเทศจริง โดยจะไปร่วมงานไอทีวีเบอร์ลิน 2010 ที่เยอรมนี ที่มา: http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9530000033433 (http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9530000033433) บทพิสูจน์ "ไม่มีใครจ้าง กูมาเอง?" (http://img169.imageshack.us/img169/8382/a01i.jpg) (http://img169.imageshack.us/img169/7852/a02f.jpg) (http://img169.imageshack.us/img169/4448/a03n.jpg) "หญิงอ้อ" หอบลูกแผ่นไปฮ่องกงแล้ว "มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยว่า นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะประธาน ส.ส.ภาคอีสาน ร่วมหารือกับ ส.ส.อีสานและแกนนำคนเสื้อแดงสายอีสาน ช่วงหนึ่งได้หารือเตรียมความพร้อมการชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงวันที่ 14 มีนาคม โดย ส.ส.แต่ละคนได้รายงานความเคลื่อนไหวให้ที่ประชุมทราบ ส่วนใหญ่บอกว่ามีความพร้อมอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาตอนนี้คือเงินสนับสนุนค่าใช้จ่าย ที่ต้องอยู่ชุมนุมอย่างน้อย 3 วัน พร้อมกับขอเงินสนับสนุนนายพายัพจำนวน 30 ล้านบาท ทำให้นายพายัพถึงกับตกใจและสอบถามว่าจะเอาไปทำอะไร นายนิสิต สินธุไพร หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงสายอีสาน บอกว่า จะใช้เป็นค่าน้ำมันในการขนคน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร ค่าอำนวยความสะดวก เพราะแต่ละจังหวัดมีค่าน้ำมันแตกต่างกัน เช่น อีสานตอนบน ค่าน้ำมันไป-กลับอยู่ที่ 6,000 บาท แต่ถ้า จ.นครราชสีมา สกลนคร เดินทางมาไม่ไกลมากนัก ค่าน้ำมันไป-กลับต่อคันอยู่ประมาณ 3-4 พันบาท ขณะที่แกนนำระดับนายทุน ตกลงจะช่วยเหลือเพียง 2,000 บาท ส่วนนายพายัพกล่าวเสริมว่า ขอให้ ส.ส.สำรองจ่าย เหมือนเป็นการวัดใจแล้วกัน สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ทำให้แกนนำเสื้อแดงสายอีสานไม่พอใจ พร้อมบอกว่าจะมาเหมาจ่ายไม่ได้ ค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมัน แต่มีทั้งค่าอาหารและค่ายา นายพายัพยังสอบถามถึงเงินกองกลางของคนเสื้อแดงว่าหายไปไหน เหตุใดไม่นำมาใช้จ่ายในศึกครั้งนี้ ที่มา: http://www.thaipost.net/news/100310/19122 (http://www.thaipost.net/news/100310/19122) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 10 มีนาคม 2553, 06:05:19 (http://img297.imageshack.us/img297/4287/mgrpdf20100310page01.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 10 มีนาคม 2553, 10:14:35 อำมาตย์ - ทักษิณ ภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นในสงครามกลางเมือง
ผมเห็นว่า ทั้งอำมาตย์ และ ทักษิณ ต่างก็มีผลประโยชน์ ต่างก็เป็นตัวขัดขวางประชาธิปไตยที่แท้จริง ต่างก็เป็นสิ่งที่ผู้รักประชาธิปไตยจะต้องกำจัด หรือ จำกัด ให้อยู่ในแนวประชาธิปไตยให้ได้ ในความเห็นของผม ทักษิณใช้เงินในการสร้างข้อมูลเท็จขึ้นอย่างมหาศาล อำมาตย์อาจจะเลวสัก ๓ แต่ถูกปั่นข้อมูลให้เลวเป็น ๑๐ ทักษิณ เลว ๑๑ แต่ถูกปั่นข้อมูลให้ดูเลวเพียง ๑ (เช่นสร้างวาทกรรมว่า ใครๆ ก็โกง แต่โกงแล้วยังแบ่งให้ประชาชน) จะกำจัดใครก่อนดี จากโครงสร้างอำนาจและแนวทางทำธุรกิจ อำมาตย์จะค่อยๆเสื่อมอำนาจไปตามยุค และตามเทคโนโลยีข่าวสารที่ทันสมัยขึ้น ส่วนที่อยู่ได้ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมมากขึ้น (ซึ่งทุกวันก็เป็นเช่นนี้อยู่) การใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างในอดีตทุกวันนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด (อันนี้ก็เป็นคุโณปการจากคนเสื้อแดงเป็นสำคัญ) ส่วนทักษิณ ถ้ากลับมาได้ก็จะใช้บทเรียนที่ผ่านมากระชับอำนาจเบ็ดเสร็จมากขึ้น จะมีการผูกขาดมากขึ้นทั้งทางธุรกิจ และเส้นสายในวงราชการ วงการสื่อ ผู้ที่เห็นต่าง จะไม่มีช่องให้หายใจและต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รัฐตำรวจกำจัดฝ่ายตรงข้าม ทักษิณจะผูกขาดทรัพยากรทุกอย่างไปอีกเป็นชั่วอายุคน ......... พอจะคิดออกหรือยังครับ ว่าสังคมไทยควรจะกำจัดใครก่อน - หลัง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 10 มีนาคม 2553, 10:20:32 แต่คนไทยยังมีรสนิยมทางการเมืองแบบละครน้ำเน่าอยู่
คือเชียร์ฝ่ายใดก็จะเห็นว่าฝ่ายนั้นเหมือนนางเองละครที่ตนชื่นชอบ บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีที่ติ คนดูก็น้ำตาไหลไปกับการตกระกำลำบากของนางเอก ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นนังตัวอิจฉา เลวไปซะทั้งหมด (เคยได้ยินแม่ค้าตลาดสดไล่ชี้หน้าด่า-ขู่เอาเปลือกทุเรียนตบนักแสดงตัวอิจฉาที่ไปซื้อของในตลาดไหมครับ คนเสื้อแดงก็อย่างไหนอย่างนั้นเลย) ไม่ได้วิเคราะห์จากความเป็นจริง ภาพมันก็เลยออกมาแบบนี้ คุยกันไม่รู้เรื่องเสียที หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 10 มีนาคม 2553, 10:29:21 ทักษิณ เริ่มรู้สึกรักพี่น้องคนยากคนจนตั้งแต่เมื่อไร
คนที่มีจิตใจสาธารณะ สนใจปัญหาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาความยากจน ความไม่เป็นธรรมในสังคม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักวิชาการ คนเอ็นจีโอ ศิลปินเพื่อชีวิต การแสดงออกก็มักจะมีแต่ในวัยหนุ่มสาว ออกมาเป็นผมงานด้านงานเขียน, ปาฐกถา, ดนตรี, การเข้าร่วมต่อสู้ผลักดันทางนโยบาย(ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด) แต่ช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ๑๔ ตุลา ๑๖, ๖ ตุลา ๑๙, พถษภาทมิฬ ๓๕ บทบาททักษิณอยู่ตรงไหนครับ (อ้อว่าไม่ได้ เห็นไปซบบิ๊กจ๊อดอยู่หลังเกิด รสช.) ขณะที่ปัญญาชนต่อสู้ล้มตายกันไปนับร้อยนับพันมาตลอดยุคสมัย คุณทักษิณมาเริ่มรักประชาชนคนยากคนจนเอาก็อีตอนต้องการคะแนนเสียงนี่เอง เพราะคะแนนเสียงนำมาซึ่งอำนาจ แล้วก็พัฒนาเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ Warren Buffet เศรษฐีอันดับ ๒ ของโลก บริจาคทรัพย์สิน ๘๐ เปอร์เซนต์ของตนเอง ให้มูลนิธิบิลเกท เพื่อนำไปช่วยคนด้อยโอกาสทั่วโลก แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างสงบและพอเพียง ลองคิด ลองเทียบกันดูก็แล้วกันครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 10 มีนาคม 2553, 20:53:46 ยังมีคนโง่ให้เค้าหลอก แล้วก็มีคนฉลาดที่ได้ประโยชน์
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 10 มีนาคม 2553, 21:45:19 ศาลให้ครอบครัวเดินทางออกนอกประเทศแล้วจ้า .. จุดหมายปลายทางอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์และฮ่องกง emo48:)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: demagogue ที่ 11 มีนาคม 2553, 00:34:37 ไม่ไหวหรอกค่ะ... จะให้ไปตากแดดหน้าดำ อึสว้มตู้ ยัดข้าวกล่อง น้ำไม่ได้อาบ แล้วก็ใส่เสื้ออยูี่่สีเดียว แล้วยังให้แค่วันละ ๕๐๐ หลบร้อนไปยุโรปแล้วฮ่ะ....จะเที่ยวให้ทั่วยกเว้นอังกฤษ ยึดเงินพ่อตู ห้ามพ่อตูเข้าเมือง ยังไม่พอ หนำซ้ำยังให้ทูตมาฉีกหน้าถึงพรรคพ่อตูอีก..จำไว้เลย ยังไงก็ขอให้คนเสื้อแดง สู้ ๆๆๆๆๆๆๆ สู้ตายค่ะ ช่วยกันเอาป๊ะกลับเมืองไทยให้ได้นะคะ จะเที่ยวเผื่อค่ะ อ๊งเอ๊ง วิตตอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 11 มีนาคม 2553, 10:11:30 เจ้าภาพบินหนีไปหมดแล้ว ปล่อยให้ผู้มาร่วมงาน ตายแทน ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นกรู้ ยังเผ่นหนีไปสิงคโปร์ "มาร์ค" เย้ย "แม้ว" ทิ้งแดงรับเคราะห์ (http://img693.imageshack.us/img693/239/mgrpdf20100311page01.jpg) (http://img408.imageshack.us/img408/8922/mgrpdf20100311page04.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:15:23 (http://img294.imageshack.us/img294/6818/dfdfdfdfa.jpg) ที่มา: นสพ.แนวหน้า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:21:17 เสื้อแดงสู้ ๆ สู้เพื่อทักษิณและบริวาร
แต่เสื้อแดงตายหมด 5 5 5 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:26:12 วันเสาร์ที่ผ่านมามีคนมาชวนชาวบ้านแถวบ้านผม....เขาบอกว่า เขาสู้เพื่อประชาธิปไตยหรอกครับ ไม่ใช่เพื่อทักกี้สักหน่อย....
แต่น่าสงสารนะครับ ขับรถออกจากหมู่บ้านแทบไม่ทัน..... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:36:20 จ่ายกันสุดๆ หลายพันล้านบาทปลุกม็อบ แฉ “ทักษิณ” ใช้ 3 ช่องทาง! ส่งท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดง
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 11 มีนาคม 2553 09:21 น. - เปิดเส้นทาง “ทุน” หลายพันล้านหนุนม็อบเสื้อแดงชุมนุมครั้งนี้ - “ทักษิณ” ใช้ 3 ช่องทางแจกจ่ายเงินถึงมือม็อบจริงๆ - สั่งห้ามหักหัวคิว หวังดึงคนชุมนุมนับแสนนับล้าน - เมื่อ “เงินถึง” ก็ต้อง “ใจถึง” ใครสามารถวินาศกรรมรับรางวัลตอบแทน - ฟันธง รัฐประหารเมื่อใดฉุดเศรษฐกิจประเทศถอยหลังไปอีก 3 ปี? คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2553 โดยให้ยึดทรัพย์ทรัพย์พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 46,373.69 ล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินที่เหลืออีก 3 หมื่นล้านบาท ยังคงอยู่ในกระบวนการของการดำเนินการทางภาษีและตรวจสอบรายการต่างๆ แม้ว่าในวันดังกล่าวเดิมเคยคาดการณ์กันว่าน่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาชุมนุมกันครั้งใหญ่ เนื่องจากคดีดังกล่าวมีความสำคัญมาก เนื่องจากวงเงินที่ถูกอายัดไว้เมื่อครั้งขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กจากสิงคโปร์มีมูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้านบาท แต่ทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้เลื่อนชุมนุมและกำหนดวันชุมนุมใหญ่ระหว่าง 12-14 มีนาคม 2553 แทน คดียึดทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาถูกยกระดับให้เป็นคดีที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นคดีที่มีวงเงินที่พิพากษาให้มีการยึดทรัพย์นักการเมืองที่สูงที่สุด ขณะที่เจ้าของเงินได้แสดงความไม่เห็นด้วยในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด กระแสข่าวก่อนหน้านี้ได้มีข่าวลือกันว่าหากใครช่วยให้คดีดังกล่าวรอดพ้นจากการถูกยึดทรัพย์ผู้ที่ช่วยเหลือจะได้รับผลตอบแทนอย่างงาม การตีความในครั้งนั้นทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าหากเกิดการยึดทรัพย์ก้อนนี้แล้ว ทักษิณ ชินวัตร จะถึงขั้นหมดตัว แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วจะพบว่าเงินก้อนดังกล่าวถูกอายัดไว้หลังจากที่มีการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ช่วงระยะเวลา 3 ปีเศษที่เงินถูกแช่แข็ง ทักษิณ ชินวัตร ต้องอาศัยอยู่ในต่างประเทศ การใช้ชีวิตของทักษิณและครอบครัวก็ยังคงมีความสะดวกสบายไม่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากนี้ยังมีการทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากนั้นก็ได้ขายออกไป รวมถึงการซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อใช้เดินทางไปประเทศต่างๆ ซื้ออสังหาริมทรัพย์สุดหรูในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีข่าวออกมาว่าประเทศอังกฤษได้อายัดเงินราว 1.4 แสนล้านบาทของทักษิณไว้ แต่ข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่ภายในประเทศกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินเกมด้วยการชุมนุมครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้แกนนำชาวปักษ์ใต้ทั้ง 3 คนอย่างวีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่สามารถดึงเอาคนจากภาคเหนือและอีสานซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทยและจังหวัดอื่นๆ เข้ามาร่วมชุมนุมได้ทุกครั้ง มีการจัดตั้งสถานีดาวเทียมดีทีวี ภายหลังเปลี่ยนเป็นพีเพิลแชลแนล หรือการประกาศว่าจะมีการตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม 100 ช่อง แต่สุดท้ายก็นำไปฝากไว้กับช่องของคนเสื้อแดงในบางรายการ รวมถึงสถานีโทรทัศน์ Voice TV ของพานทองแท้ ชินวัตร เม็ดเงินที่ต้องส่งไปช่วยเหลือทีมงานในประเทศเพื่อให้ช่วยขับเคลื่อน เรียกร้องให้ทักษิณกลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้งย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย ดังนั้นเงินที่ถูกยึด 4.6 หมื่นล้านบาทสำหรับทักษิณดูจะเป็นเรื่องเล็กมาก เพราะเงินที่ต้องใช้ขับเคลื่อนเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้กับรัฐบาลก็ยังคงส่งเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคำปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของแกนนำคนเสื้อแดงว่าไม่ได้รับเงินสนับสนุน แต่หากพิจารณาจากการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดง ในการระดมทุนเพื่อนำมาใช้จ่ายสำหรับการชุมนุมด้วยวิธีจัดโต๊ะจีนเพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายครั้งที่ผ่านมา “เงินมหาศาล” ขับเคลื่อนการชุมนุม ผู้ที่คร่ำหวอดกับการชุมนุมกล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมแต่ละครั้งต้องมีเรื่องของค่าใช้จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าเงินที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายนั้นมาด้วยวิธีใด หากเป็นการหามาอย่างเปิดเผยมีการประกาศถึงยอดบริจาคทุกครั้ง รวมถึงการสรุปยอดในแต่ละวัน ย่อมช่วยขจัดข้อสงสัยของผู้คนได้ แต่หากมียอดบริจาคน้อยแต่ยังสามารถจัดการชุมนุมได้อย่างต่อเนื่องนั้นย่อมจะต้องมีผู้สนับสนุนจากส่วนอื่นเข้ามาให้ความช่วยเหลือ หากเทียบการชุมนุมของกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง จะพบความแตกต่างกันตั้งแต่กลุ่มของคนที่เข้าร่วมชุมนุม เสื้อแดงเป็นของกลุ่มชนชั้นกลาง มีกำลังทรัพย์พร้อมที่จะบริจาคให้ค่อนข้างสูง ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงเป็นกลุ่มของผู้มีรายได้ไม่สูงนัก เงินบริจาคจึงมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นต้องใช้การหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาสนับสนุนการชุมนุม วิธีการที่ง่ายและรวดเร็วคือต้องมีคนที่มีกำลังทรัพย์มากเข้ามาสนับสนุน เมื่อพิจารณาจากเงินบริจาคให้พรรคการเมืองของพรรคเพื่อไทยจะพบว่า ในแต่ละเดือนนั้นจะมีผู้บริจาคเงินให้พรรคในจำนวนน้อยรายแต่ยอดบริจาคค่อนข้างสูง อีกทั้งรายชื่อผู้บริจาคไม่พบว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นการหักเงินเดือนของ ส.ส. และผู้บริหารพรรครวมถึงรัฐมนตรี ดังนั้น เงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงน่าจะได้แรงสนับสนุนทางการเงินจากส.ส.ภายในพรรคไม่มากนัก ตรงนี้จึงตีความกันว่าน่าจะเป็นการอุดหนุนมาจากอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวยากต่อการหาหลักฐาน เพราะคงไม่มีใครอยากให้กระบวนการใต้ดินอย่างนี้ถูกเปิดเผยออกมา “ไม่มีลูกจ้างคนใดที่พร้อมจะทุ่มเท นำเอาเงินส่วนตัวของตัวเองมาใช้เพื่อการต่อสู้ให้กับคนคนหนึ่งกลับมามีอำนาจอีกครั้ง โดยที่หนทางในการต่อสู้นั้นยาวนานและยากต่อการได้รับชัยชนะ ดังนั้นการทำหน้าที่เป็นลูกจ้างรับค่าแรงเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม ย่อมเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด” แม้ว่าในช่วงนี้จะมีเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาวทักษิณ ชินวัตร เข้ามาช่วยระดมทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันในการเดินทางมาร่วมชุมนุม โดยตั้งเป้าให้ได้ 10 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มียอดบริจาคจากผู้มีฐานะทางภาคเหนือเข้ามา 6 ล้านบาทแล้ว แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดนั่นคือเงินที่เข้ามาสนับสนุนจะมาจากรายใหญ่ไม่กี่ราย แม้ว่าทางกลุ่มเสื้อแดงจะใช้วิธีการทอดผ้าป่า จัดคอนเสิร์ตหรือให้ชาวบ้านบริจาคเงินกันเองนั้นถือว่าเป็นเงินเพียงส่วนน้อยไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการชุมนุม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:38:31 ระดมคนมากจ่ายมาก
เงินที่ใช้ในการชุมนุมแต่ละครั้งว่าเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ร่วมและกระแสที่เกิดขึ้นในขณะนั้น หากฐานของผู้ร่วมชุมนุมเป็นคนมีฐานะปานกลางขึ้นไป การดึงให้คนเหล่านี้มาชุมนุมด้วยวิธีการเกณฑ์มาคงทำได้ยาก เรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง เพราะคนกลุ่มนี้ติดตามข้อมูลข่าวสารรอบด้านแล้วจึงตัดสินใจ ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมชุมนุมมักจะมาร่วมบริจาคเหมือนกับการซื้อตั๋วดูคอนเสิร์ต แต่กลุ่มที่มีฐานะไม่ดีนัก การที่จะให้พวกเขามาร่วมชุมนุมถือว่าเป็นการเสียโอกาสในการทำมาหากินจึงต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งให้กับเขาเพื่อเป็นการชดเชยรายได้ที่หายไป หากเป็นกลุ่มนี้แกนนำในการชุมนุมจะต้องมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมหากต้องใช้คนจำนวนมากค่าใช้จ่ายก็ต้องสูงตามไปด้วยการเช่ารถเพื่อขนคนเข้าร่วมชุมนุม ต้องมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป หากเป็นรถบัสติดแอร์จะต้องมี 12,000 บาทต่อวัน (รวมค่าน้ำมัน) ถ้าเป็นรถตู้ต้อง 1,800 บาทไม่รวมค่าน้ำมันหรือแก๊ส ใช้กี่คัน กี่วันก็ต้องคูณค่าใช้จ่ายเข้าไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องของค่าอาหารอีกว่าจะเป็นกี่มื้อ รวมถึงค่าเสียโอกาสในการทำงานอีกต่อคนขึ้นอยู่กับหัวหน้าสายว่าจะจ่ายเท่าไหร่ต่อวัน ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายของบรรดาหัวหน้าสายที่รับหน้าที่ระดมคนย่อมต้องมีค่าแรงสูงกว่าหลายเท่า ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการชุมนุมหากต้องการได้คนเข้าร่วมหลักแสนคน คงต้องเตรียมเงินไว้ไม่น้อยกว่าหลักร้อยล้านบาท ยิ่งถ้าหลายวันค่าใช้จ่ายอาจสูงเฉียดพันล้านบาท หลายคนอาจรักทักษิณ แต่จะให้คนต่างจังหวัดที่มีรายได้น้อย คงเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขาควักเงินออกมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการชุมนุมทางการเมือง เว้นแต่มีเจ้าภาพรับผิดชอบเรื่องค่าแรงและโอกาสของการได้เข้ามาเที่ยวกรุงเทพ 3 ช่องทางหาเงินจ่ายม็อบ เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึงวิถีชีวิตของทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวที่ยังคงใช้ชีวิตหรูหราเหมือนปกติ ขณะที่เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทถูกยึด ยังสามารถเดินเกมทางการเมืองด้วยการหนุนกลุ่มคนเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมได้ แสดงว่าเงินของทักษิณยังมีอยู่อีกมหาศาล หากไล่เส้นทางการเงินของทักษิณแม้เงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปจะไม่สามารถนำมาใช้ได้ แต่เงินส่วนที่เหลือที่ใช้เพื่อการดำรงชีวิตหรือใช้เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง นับได้ว่ายังคงมีอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าเงินของทักษิณเหลือน้อยจริงเขาคงไม่กล้าเดินเกมอย่างนี้ ประเมินกันว่าทรัพย์สมบัติของทักษิณ ชินวัตร ยังมีอยู่อีกมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ การที่ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อนำมาใช้เคลื่อนไหวในทางการเมือง น่าจะแบ่งได้ออกเป็น 3 ช่องทางคือเงินที่มาจากตลาดหุ้น จากนักธุรกิจที่ให้การสนับสนุนและจากกลุ่มทุนของพรรค ตลาดหุ้นหาเงินง่าย ไร้หลักฐาน เริ่มจากเงินที่มาจากตลาดหุ้น หลังจากการขายหุ้นชินคอร์ปออกไป คนในครอบครัวของทักษิณยังคงเหลือหุ้นในบริษัท เอสซีแอสเซท จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นในนามบุตรชาย บุตรสาวและพจมาน ชินวัตร เท่านั้น ซึ่งในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทนี้ไม่มีนัยยะใดในทางการเมือง เนื่องจากเป็นการจ่ายปันผลตามปกติ แต่ถ้าใครที่ติดตามคดีซุกหุ้นก่อนหน้านี้จะทราบดีว่าทักษิณ ชินวัตร มักจะใช้วิธีหาตัวแทนจากต่างประเทศเข้าถือหุ้นแทนในนามนอมินี ทำให้ไม่มีใครทราบว่าทักษิณใช้นอมินีถือหุ้นในบริษัทใดบ้าง แต่เป็นที่รู้กันของคนในวงการหุ้นว่าเขายังคงถือหุ้นในบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่เขาเป็นคนแปรรูปเอาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และน่าจะมีการถือหุ้นอยู่ในบริษัทมือถือของตัวเองอีกไม่น้อย หุ้นประเภทนี้จะเป็นหุ้นที่มีรายได้เป็นเงินสด กึ่งผูกขาดมีคู่แข่งน้อย ที่สำคัญคือมีการจ่ายเงินปันผลสูง อย่างกรณีการจ่ายเงินปันผลพิเศษของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เพิ่มอีก 5 บาทต่อหุ้น จากปันผลปกติ 3.30 บาทต่อหุ้น รวมแล้วมีการจ่ายปันผล 8.30 บาทต่อหุ้น โดยเป็นการอนุมัติเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2553 ทำให้กลุ่มเทมาเส็กทั้งเครือได้เงินได้ราว 1.52 หมื่นล้านบาท ที่เหลืออีก 9.41 พันล้านบาทเป็นของผู้ถือหุ้นรายอื่น ซึ่งอาจจะรวมถึงนอมินีที่ถือหุ้นแทนทักษิณอยู่อีกจำนวนหนึ่ง หากยอดถืออยู่แค่ 120 ล้านหุ้นเขาก็รับเงินไป 1 พันล้านบาท ยิ่งถ้าถือในหุ้นตัวอื่นๆ เช่น ปตท.ที่จ่ายปันผลครึ่งหลัง 4.50 บาทต่อหุ้นรวมทั้งปีจ่าย 8.50 บาทต่อหุ้นและยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่มีการจ่ายเงินปันผลดี เงินที่ถูกอายัดไปก็ไม่มีผลทำให้ครอบครัวของเขาเดือดร้อน ไม่เพียงแค่การถือหุ้นแล้วรอรับเงินปันผลนั้นถือว่าเป็นธุรกรรมที่ธรรมดาสำหรับมือบริหารอย่างทักษิณ แต่การหาเงินจากตลาดหุ้นยังสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ เงินปันผลหลัก 1 พันล้านบาทอาจต้องรอถึง 6 เดือน แต่การหาเงินแบบรวดเร็ว 1-3 วันได้ 1 พันล้านบาทก็ทำได้ง่ายดายเช่นกัน สิ่งที่โจษขานกันของคนในวงการหุ้นนั่นคือเมื่อ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยตกไป 10.73 จุด มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 2.19 หมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกและย่านเอเชียปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในวันดังกล่าว แม้ว่าประเทศไทยจะมีเรื่องความกังวลทางการเมือง หรือเรื่องผลกระทบที่จะตามมาหลังคำพิพากษา แต่ก็ไม่น่าจะปรับลดลงรุนแรง สิ่งที่สะท้อนความผิดปกตินั่นคือยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุน วันดังกล่าวนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิสูงถึง 2.29 พันล้านบาท ซึ่งตามปกติหากต่างชาติมีความกังวลในเรื่องเหล่านี้จริงคงมียอดของการขายสุทธิออกมา แต่วันนั้นกลับมีแรงขายออกมาจากนักลงทุนในประเทศ การขายหุ้นของนักลงทุนในประเทศออกมาเท่ากับผู้ขายจะได้รับเงินออกมาไม่เกินวันที่ 10 มีนาคม หากเงินจำนวนดังกล่าวมีการวางแผนเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการชุมนุมก็ถือว่าทันต่อสถานการณ์ที่จะใช้ระหว่าง 12-14 มีนาคม วิธีการนี้จะต้องเป็นความร่วมมือระหว่างกันของผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเป็นการนำเอาส่วนต่างของราคาหุ้นออกมา หลังจากนั้นก็รีบซื้อคืนจนราคาปรับตัวขึ้นทุกอย่างก็อยู่ในสถานะเดิม วิธีการนี้เลือกใช้ได้ทั้งกับหุ้นทุกตัวที่มีสภาพคล่องสูง นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการลงทุนที่ยากต่อการติดตามตรวจสอบอีกนั่นคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคลโดยอาศัยชื่อบุคคลอื่นแทน การใช้กองทุนรวมทำหน้าที่ถือเงินแทนแล้วให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทำหน้าที่บริหารนั้นจะมีความคล่องตัวสูง เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนเปิดที่สามารถทำการซื้อขายได้ทุกวัน หากจำเป็นต้องใช้เงินก็ขายหน่วยลงทุนออกมาได้ ที่ผ่านมามีกลุ่มทุนรายใหญ่ที่ตั้งกองทุนแล้วถือหุ้นใหญ่ โดยอาจทำหน้าที่ในการบริหารพอร์ตการลงทุนเอง เพียงแค่อาศัยชื่อของ บลจ.ว่าเป็นผู้บริหารเท่านั้น วิธีการดังกล่าวถือว่าได้รับความนิยมจากกลุ่มนักการเมือง เนื่องจากสามารถบริหารเงินได้เองหรืออาจมอบหมายให้ทีมบริหารจากบลจ.ช่วยสร้างดอกผลให้ ส่วนนี้ฝ่ายบลจ.ก็ชอบเนื่องจากได้ค่าธรรมเนียมจากการบริหาร ส่วนกองทุนรวมบุคคลตรงนี้ลักษณะการบริหารเงินลงทุนไม่แตกต่างกัน แต่การตรวจสอบจากฝ่ายต่างๆ จะทำได้ง่ายกว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นถือว่าเป็นวิธีการที่แนบเนียนที่สุด เนื่องจากภายใต้เงื่อนไขของการลงทุนรูปแบบนี้ยากต่อการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ดำเนินการ เพราะถือว่าเป็นความลับของลูกค้า หากมีการตรวจสอบหรือเปิดเผยรายชื่อก็จะกระทบกับบรรยายกาศของการลงทุน จึงไม่แปลกที่นักการเมืองส่วนใหญ่มักจะมีฐานของเงินมาจากตลาดหุ้นเกือบทุกพรรคการเมือง ขึ้นอยู่กับสไตล์ของการลงทุนว่าจะเลือกใช้รูปแบบใด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:40:35 เครือข่ายธุรกิจลงขัน [/b]
อีกช่องทางหนึ่งในการหาเงินของทักษิณคือบรรดานักธุรกิจที่ให้การสนับสนุน เนื่องจากหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ย่อมทำให้นักธุรกิจบางรายได้รับผลกระทบตามไปด้วย การสู้ของทักษิณย่อมเป็นทางออกให้ธุรกิจของพวกเขามีโอกาสได้รับผลกระทบน้อยลงหากเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นการสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยรูปแบบต่างๆ ด้วยช่องทางธุรกิจที่เปิดอยู่ วิธีที่แนบเนียนและใช้กันทั่วไปคือการทั่วไปคือการซื้อหรือขายสินค้ากับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศที่ไม่มีการส่งมอบสินค้ากันจริง ส่วนใหญ่จะเลือกทำธุรกรรมประเภทนี้กับคู่ค้าต่างชาติเนื่องจากการตรวจสอบทำได้ยากกว่าคู่ค้าในประเทศ ยิ่งเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายระเบียบการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อช่วยลดปัญหาค่าเงินบาทแข็งและเพื่อช่องทางในการบริหารเงินของผู้ประกอบการไทย จึงทำให้ช่องว่างในการส่งเงินออกนอกประเทศทำได้สะดวกขึ้น เช่น ลงทุนโดยตรงและให้กู้ยืมแก่นิติบุคคลในต่างประเทศจากเดิมไม่เกิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเป็นไม่จำกัดจำนวน หรือให้กู้ยืมแก่บริษัทที่ไม่ใช่บริษัทในเครือโดยไม่ต้องขออนุญาตวงเงินไม่เกิน 50 ล้านเหรีญต่อปี ช่องทางเหล่านี้บรรดานักธุรกิจทราบดีว่า หากต้องการนำเงินไปช่วยเหลือคุณทักษิณแล้ว ขณะนี้สามารถทำได้สะดวกขึ้น รีดจากทุนพรรค-ญาติ ช่องทางการสนับสนุนทางการเงินในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งคือ บรรดานายทุนของพรรค ในส่วนนี้อาจเชื่อมโยงกับนักธุรกิจที่ให้การสนับสนุน ทุนส่วนนี้ประกอบด้วยเครือญาติที่พี่น้องของทักษิณหลายคนเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งกลุ่มวงศ์สวัสดิ์ของเยาวภาและสมชายวงศ์สวัสดิ์ ที่มีหุ้นทั้ง MLINK,WIN และอีกหลายตัวที่มีผู้ร่วมถือหุ้น และยังมีบริษัทจดทะเบียนบางแห่งที่ได้รับประโยชน์ในช่วงที่ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้งานประมูลจากภาครัฐไปหลายงาน รวมถึงเซียนหุ้นอย่างพายัพ ชินวัตร ที่เชี่ยวชาญในด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ กรณีนี้อาจไม่ใช่การนำเอาเงินปันผลของบริษัทมาสนับสนุนโดยตรง เพราะการสั่งจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่ากำไรที่ทำได้จริงย่อมตรวจสอบได้ง่าย การหาส่วนต่างจากราคาหุ้นและการใช้ช่องทางการสั่งซื้อสินค้าหรือนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศแล้วค่อยนำเงินย้อนกลับมาจะยากต่อการติดตามตรวจสอบของจากฝ่ายตรงข้าม ส่วนการนำเงินกลับเข้ามาภายในประเทศนั้นมีวิธีการต่าง ๆ มากมายทั้งการนำเข้ามาตามชายแดนหรือว่าจ้างผู้ให้บริการมืออาชีพจากย่านเยาวราชก็สามารถทำได้ แม้ว่ากลุ่มที่ให้การสนับสนุนของทักษิณทั้งจากนักธุรกิจและนายทุนพรรครวมถึงญาติอาจจะมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องการหวั่นเกรงที่จะถูกตรวจสอบ หรืออาจไม่เต็มใจลงเงินช่วย เนื่องจากเกรงว่าเงินที่ลงไปจะสูญเปล่า แต่เพียงแค่วิธีการแรกที่ทักษิณหาจากตลาดหุ้นก็ทำได้มากพอที่จะนำมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ไม่นับรวมเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกผ่องถ่ายออกไปในช่วงที่เป็นทั้งนักธุรกิจและช่วงที่โดดลงมาเล่นการเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:42:21 หวั่น 'ม็อบแดง'เผาเมือง'!
ศก.ซึมยาว3ปี- '5ด้าน'ทรุดหนัก 'สภาอุตฯ-นักวิชาการ' หวั่นแดงเดือน กระทบเศรษฐกิจทุกด้าน ระบุหากนำไปสู่รัฐประหาร จะทำให้เศรษฐกิจซึมยาวอย่างน้อย 3 ปี ฟากตลาดหุ้น แนะถือหุ้นยาวรอฝุ่นจางค่อยลงทุน... ช่วงวันที่ 12-14 มี.ค.นี้กับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่หมายเผด็จศึกรัฐบาล ซึ่งการชุมนุมใหญ่นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ การค้าและการลงทุนอย่างสูง ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงได้ประกาศระดมมวลชนหลักล้าน และรถปิกอัพในหลักพันคันนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศอย่างสูง ซึ่งบาดแผลความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวีรกรรมคนเสื้อแดงในช่วงเดือนเม.ย.ปี52ที่ได้สร้างภาวะชะงักงันขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจมาแล้ว ดังนั้น ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ จึงสะท้อนมุมมองของบุคคลที่เกี่ยวข้องในแวดวงการเศรษบกิจ และการลงทุน ให้ได้รับทราบดังนี้ ดร.ธนิต โสรัตน์ หวั่นปฏิวัติ อุตฯ ซึมยาว 3 ปี ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลกับสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับกระแสข่าวการใช้ความรุนแรงหรือมือที่ 3 ที่เข้ามาสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย แต่จุดหนึ่งนั้น ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานของสังคมไทยที่ไม่ต้องการความรุนแรงอาจทำให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายไปได้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังพร้อมที่จะอดทนและรอให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติทางการเมืองครั้งนี้ เพราะหากสังคมสามารถผ่านพ้นไปได้จะทำให้ปัจจัยลบทางด้านการลงทุนลดน้อยลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากสถานกาณ์มีแนวแนวโน้มไปในทิศทางลบจากเหตุการณ์ปะทะและบานปลายและนำไปสู่ความรุนแรงแล้ว จุดยุติทางการเมืองที่เฝ้ารอนั้น อาจนำไปสู่วิกฤติรอบใหม่ที่ส่งผลต่อภาคการลงทุนอย่างหนัก อาทิ การทำรัฐประหารเพื่อยุติการใช้ความรุนแรง ซี่งจะทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่กล้าที่จะมาลงทุนในไทยและภาคอุตสาหกรรมจะถอยหลังไปอย่างน้อย 3 ปี โดยเฉพาะโครงการต่างๆที่ภาคเอกชนรอให้รัฐบาลเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันทั้งงบประมาณไทยเข้มแข็ง 2 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาด้วยวงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท รวมถึงร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเช่นกัน ซึ่งมีความสำคัญต่อปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด หากโครงการเหล่านี้ยุติลงจะส่งผลให้ความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมต้องสะดุดไปเป็นระยะเวลานาน “เทียบกับช่วงเดือน เม.ย.ปีที่แล้วไม่ได้เนื่องจากเหตุยังไม่เกิด แต่ถ้าหากมีการใช้ความจนนำไปสู่การทำปฏิวัติ จะค่อนข้างน่ากลัวมาก จุดนี้เองจะทำให้ภาคการค้าการลงทุนถอยหลังไปอย่างน้อย 3 ปี” นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบโดยตรงคงหนีไม่พ้นภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคบริการที่ค่อนข้างเปราะอยู่แล้ว และเพิ่งจะฟื้นตัวได้ไม่นาน ซึงเดิมมีการตั้งเป้ายอดนักเที่ยวอยู่ที่ปีละ 1.7 ล้านคนต่อเดือน หรือ 16 ล้านคนในปี 53 ขณะนี้สถานทูตของหลายประเทศก็จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่ต้องเฝ้าระวังในระดับ 3 (เต็ม 5) หากเกิดเหตุรุนแรงขึ้นหรือแม้ว่าจะสถานการณ์จะยุติแต่แผนการท่องเที่ยวก็จะกระทบอย่างน้อยที่สุดนักท่องเที่ยวจะหายไปราวๆ 3 เดือน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่รองบประมาณในการกระตุ้นจากโครงการไทยเข้มแข็งก็ไม่อาจที่จะเดินหน้าโครงการได้ซึ่งจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมกระเทือนไปหมดทั้งวงจร... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:43:59 กระทบ 5ด้าน- ศก.ชะงัก
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการคลัง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาต่างประเทศเป็นหลัก คือ ถ้าเทียบกับ GDP 100% ไทยพึ่งพาต่างประเทศมากถึง 73% ที่สำคัญคือการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาเที่ยวในเมืองไทย ฉะนั้นหากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน “ถ้าการเมืองไม่แน่นอน ไม่แน่ใจรุนแรงหรือไม่ หรือแค่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดความรุนแรงหรือไม่ เหมือนในขณะนี้ ก็ถือว่ากระทบกับเศรษฐกิจไทยแล้ว เพราะนักลงทุนต่างชาติ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลัวความไม่ชัดเจนมากกว่า ว่าจะออกหัวหรือก้อยไปเลย” โดยในระยะสั้นจะกระทบ 5 ส่วนด้วยกัน ดังนี้ 1.กระทบการท่องเที่ยว ปัจจุบันไทยมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยจำนวน 15 ล้านคนต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นคนยุโรป และเอเชีย แต่เมื่อมีการชุมนุม ธรรมชาติของนักท่องเที่ยวจึงมักจะไม่มาเที่ยวในช่วงนี้ แต่จะรอให้สถานการณ์สงบก่อนค่อยกลับมาเที่ยว หรือไปเที่ยวประเทศอื่นๆแทน “เราเรียกความไม่ปลอดภัยเป็นภาษาวิชาการว่ามีความเสี่ยง ความเสี่ยงในที่นี้จะทำให้ไม่มีใครต้องการเสื่ยงกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด” การชุมนุมที่ยืดเยื้อจึงจะส่งผลต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวของไทย รวมทั้งเกี่ยวโยงไปกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยทั้งหมดด้วย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว บริษัทท่องเที่ยว และสายการบินต่างๆ 2.กระทบบรรยากาศการลงทุน ต้องยอมรับว่ากรณีมาบตาพุด ทำให้ต่างประเทศเกิดความไม่แน่ใจในเรื่องกฎระเบียบการลงทุนของประเทศไทย ซึ่งกระทบบรรยากาศการลงทุนของไทยขณะนี้อยู่แล้ว หากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองขึ้นมาอีก ก็คาดว่านักลงทุนต่างชาติบางส่วนน่าจะหยุดรอดูสถานการณ์ก่อน และบางส่วนน่าจะมีการตัดสินใจไปลงทุนประเทศอื่นแทน เช่นเดิม นักลงทุนต่างชาติสนใจไปลงทุนที่เวียดนามกันมาก แต่ตอนนี้สนใจไปลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซียด้วย 3.กระทบต่อการลงทุนของภาคธุรกิจในประเทศเอง โดยเฉพาะภาคเอกชนที่กำลังจะขยายการลงทุน ขยายกิจการ อาจมีการรอดูสถานการณ์ก่อนในช่วงนี้ 4.กระทบต่อการใช้จ่ายของภาคประชาชน โดยการใช้จ่ายภาคประชาชนเป็นอีกส่วนสำคัญที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย ถ้ามีความไม่ปลอดภัย หรือมีความรุนแรงขึ้น แน่นอนว่าจะมีผลต่อการระมัดระวังการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งสุดท้ายก็จะกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย 5.กระทบตลาดหุ้นไทย เพราะตลาดหุ้นไทยค่อนข้างอ่อนไหว นักลงทุนระยะสั้นมีจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเก็งกำไร เมื่อไม่แน่ใจว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงหรือไม่ อาจจะมีการเทขายหุ้นที่อยู่ในมือออกไป แล้วมีการถือเงินสดแทน รอสถานการณ์สงบค่อยมาลงทุนเพิ่ม ซึ่งการที่ตลาดหุ้นอาจมีการปรับตัวในระยะสั้นนี้ จะมีผลต่อดัชนีปรับตัวลดลงด้วย ถ้าการชุมนุมนำไปสู่การขยายผล อาจจะส่งผลต่อดัชนีที่อาจปรับตัวลดลง 10% ซึ่งเท่ากับราคาหุ้นตก 10% ด้วย ประชาชนที่ถือหุ้น มูลค่าหุ้นก็จะหายไป 10% ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้จ่ายเงินภาคประชาชนอีกทางหนึ่ง เพราะกำลังซื้อหายไปส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดี ประเมินว่าต้องรอดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงด้วย ว่าหากมีการชุมนุมอย่างสงบ คาดว่าจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติรับได้มากที่สุด เพราะการประท้วงเป็นวิถีทางประชาธิปไตยที่ประเทศต่างๆ ก็มีการประท้วงกันเป็นปกติ แต่ต้องมีการชุมนุมที่อยู่ในกรอบในกติกา เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักในระยะเวลาสั้นๆ คือประมาณ 2 สัปดาห์ก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้ แต่หากสถานการณ์การชุมนุมมีการขยายผลไปสู่ความรุนแรง เมื่อรวมกับปัญหามาบตาพุดด้วยแล้ว จะทำให้ต่างชาติไม่มั่นใจในการเข้ามาลงทุนในระยะยาว ซึ่งอย่างเร็วเมื่อเหตุการณ์ความไม่สงบจบลง เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ใน 6เดือน แต่ต้องอาศัยภาครัฐที่ต้องเร่งทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่างชาติอย่างหนักด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:45:36 แนะถือหุ้น รอเหตุการณ์คลี่คลาย
อาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงนี้ถือว่าสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคเอเชีย ส่วนภาวะความกดดันของนักลงทุนต่อการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ รวมทั้งการประกาศพระราชบัญญัติ (พรบ.)ความมั่นคงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเพื่อดูแลสถานการณ์ในระยะนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนมากนักเช่นเดียวกับที่ผ่านมา เนื่องจากประกาศดังกล่าวเป็นเพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง แต่ตลาดหุ้นมักจะตอบรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้วมากกว่า นอกจากนี้จะเห็นได้ว่ามีแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแรงซื้อสุทธิจากต่างชาตินี้มีเข้ามาตั้งแต่ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (26 ก.พ.) และตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีข่าวว่าจะเกิดความรุนแรงของการชุมนุมต่างๆ แต่ก็พบว่าแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติยังมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงภาวะเศรษฐกิจไทยหรือไม่นั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้เห็นได้จากตัวเลขล่าสุด ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่หากปัญหาทางการเมืองไม่มีความชัดเจนต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว อย่างไรก็ดี ยังถือว่าปัจจัยภายในประเทศไม่มีอะไรกระทบตลาดหุ้นไทยได้มากนัก ไม่เหมือนปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะกรณีแผนลดการขาดดุลงบประมาณของกรีซ ที่จะมีในวันที่ 16 มีนาคมนี้ โดยก่อนหน้านี้กรีซได้ออกพันธบัตรรัฐบาล และมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนจำนวนมากนั้น ขณะนี้มีแนวโน้มที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้กับผู้ซื้อพันธบัตร ซึ่งผู้ซื้อพันธบัตรอาจจะต้องเทขายหุ้นที่มีอยู่ในมือ รวมทั้งในตลาดหุ้นไทยด้วย เพื่อนำมาทดแทนการขาดทุนดังกล่าว ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นต่างๆ ต่างจับตากับกรณีนี้มากกว่า และจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากกว่ากรณีการชุมนุมของ นปช. สำหรับนักลงทุนตลาดหุ้นไทย ในการลงทุน แนะนำว่า หากมีหุ้นอยู่ในมือขณะนี้ แนะนำให้ถือ หากจะซื้อเพิ่มก็ต้องรอประเมินสถานการณ์การเมืองก่อน และหากนักลงทุนต้องการเก็งกำไร ก็สามารถเล่นได้ในกรอบ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 716 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 725-730 จุด.... อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศทางการเมืองจะมีแนวโน้มส่อไปในทางความรุนแรง แต่ผู้เกี่ยวข้องในภาคเศรษฐกิจและการลงทุนส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ ยังคงให้โอกาสคนเสื้อแดงในการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมือง ขอเพียงมิให้การชุมนุมครั้งนี้เกิดความรุนแรงและนำพาประเทศไปสู่จุดวิกฤติอย่างการรัฐประหาร พวกเขาก็พร้อมที่จะรอให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไปแม้ว่าจะได้รับผลกระทบบ้างก็ตาม... ************ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:47:12 แจกแจงค่าใช้จ่ายม็อบเสื้อแดง
“แม้ว” ควักวันละ 300 ล้านบาท!? อิจฉาแกนนำ “เสื้อแดง” หลังทักษิณทุ่มไม่อั้นกับการ “จัดขบวนม็อบ” บุกกรุง นักเคลื่อนไหวระบุค่าใช้จ่ายทะลุวันละ 300 ล้านบาท ขณะที่ระดับแกนนำรับแบบเนื้อๆ ด้วยการชักหัวคิว 50:50 “ชาวบ้าน-พระสงฆ์จีวรแดง” รับทรัพย์วันละ 1,000 บาท ชี้ให้จับตากลุ่มที่มีหน้าที่ก่อวินาศกรรม - ปั่นเหตุการณ์ความรุนแรง ระบุกลุ่มนี้ใช้เงินมาก ครั้งเดียวสามารถ “ตั้งตัวได้” แถมรับโดยตรงจาก “”นายใหญ่” การจัดม็อบป่วนประเทศของกลุ่มคนเสื้อแดงในเที่ยวนี้ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการ “ว่าจ้าง” จากเจ้าของเงินซึ่งหลายๆ ฝ่ายได้ออกมามาวิเคราะห์ค่อนข้างจะเป็นไปในแนวทางเดียวกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุ่มงบประมาณในครั้งนี้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้จะกลายเป็น “ขนมหวาน” ให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาสู้เพื่อเขาอีกครั้งหนึ่ง ค่าหัวพุ่ง 1,000 บาท/คน/วัน ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการเครือข่ายประชาชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการจัดม็อบป่วนกรุงของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้นับได้ว่า "นายใหญ่"ลงทุนค่อนข้างมหาศาลเพราะเขาคาดหวังว่าการป่วนครั้งนี้ จะทำให้เกมการเมืองพลิกไปเข้าฝ่ายของเขาเพราะจากการข่าวจากหลายๆสายเชื่อว่าครั้งนี้น่าจะใช้งบประมาณในการจัดม็อบวันละไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท โดยกลุ่มระดับแกนนำทั้งบรรดา ส.ส.กลุ่ม นปช.ในต่างจังหวัดและแกนนำกลุ่มต่างๆได้จัดระบบการจ่ายค่าแรงไว้วันละ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน “กลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะคนในอำเภอ อาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ดได้รวบรวมรายชื่อผู้ที่จะเข้าร่วมการชุมนุมไว้แล้ว และมีการสัญญาว่าจะจ่ายค่าตอบแทนในอัตราที่เท่าๆกันคือชาวบ้านกับพระสงฆ์หัวละ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งจากเดิมนั้นจะจ่ายเพียงวันละ 300 -500 บาทต่อคนต่อวัน โดยเงินจะผ่านมา ส.ส.ในพื้นที่ผ่านต่อไปยังหัวคะแนนในระดับต่างๆ โดยมีการกำชับกันว่าครั้งนี้ห้ามมีการชักหัวคิวเด็ดขาด” จากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ ได้มีการจัดกำลังคนไว้ตามสถานที่ต่างๆ นั้นเขาคงจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นแต่น่าจะมีการเคลื่อนขบวนไปตามสถานที่ต่างๆต่อเนื่องฉะนั้นค่าหัววันละ 300-500 บาทจึงไม่คุ้มกับค่าเหนื่อยซึ่งเมื่อคนที่มาร่วมไม่รู้สึกว่าคุ้มก็จะมีกลุ่มคนบางกลุ่มมาในช่วงเช้าและกลับในช่วงบ่ายทำให้คนลดน้อยลงไปฉะนั้นการใช้จำนวนเงินหลักพันบาทเข้าล่อไว้น่าจะเป็นการบริหารจัดการที่เขาจะใช้ อย่างไรก็ตาม การจัดม็อบในครั้งนี้จะแตกต่างไปจากครั้งที่ผ่านมา คือจะมีการแยกค่าใช้จ่ายออกจากกันอย่างชัดเจนนั่นคือกลุ่มแกนนำที่มีหน้าที่บริหารคนก็จะได้รับเงินส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะผ่านมาทาง ส.ส.โดยแกนนำที่เข้าถึงทักษิณโดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่บ้านเลขที่ 111 เป็นผู้กุมเงินไว้อีกทอดหนึ่ง ส่วนเงินส่วนหนึ่งจะถูกจ่ายผ่าน “คนสนิท” ทักษิณ วึ่งจะมีทั้งแกนนำและคนในครอบครัว เพื่อจ่ายแก่กลุ่มผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ก่อวินาศกรรมและกลุ่มที่จะเป็นหัวหอกในการสร้างความรุนแรง “กลุ่มนี้ไม่รู้ว่ามีเม็ดเงินเข้ากระเป๋าเท่าไหร่แต่รู้ๆ กันว่า เงินจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงาน เช่นหากให้ไปจุดไฟเผาสถานที่ราชการ จะมีราคาหนึ่ง ให้ไปเผาป้องตำรวจจะมีราคาหนึ่ง ซึ่งถ้าใครอยู่ในกลุ่มนี้รับรองได้ว่าเลิกม็อบเขาจะสามารารถตั้งตัวได้อย่างแน่นอน” “ทักษิณ-นายทุน” แยกกันจ่ายแต่รวมกันตี ส่วนแหล่งข่าวที่เคยร่วมจัดม็อบให้พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ไม่มีใครที่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ทักษิณ ชินวัตร หว่านเงินไปกับม็อบครั้งนี้เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่ แต่ความจริงที่ปรากฏจาก “สายข่าว"หลายๆฝ่ายมีข้อมูลตรงกันว่าได้มีการแยกจ่ายเงินในสามรูปแบบคือ 1.จ่ายผ่านบรรดาแกนนำซึ่งทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 100 คน คนละ 200,000-1,000-000 ล้านบาทแล้วแต่ความสำคัญของแกนนำ 2.จ่ายผ่าน ส.ส.ในสังกัดพรรคเพื่อไทย โดยใช้จำนวน ส.ส.กำหนดอัตราการจ่ายโดยมีราคาไม่ต่ำกว่าคนละ 10 ล้านบาท และ ส.ส.เหล่านี้จะกระจายเงินผ่านหัวคะแนนตั้งแต่ระดับจังหวัดไปจนถึงระดับหมู่บ้าน 3.จ่ายผ่านอดีต ส.ส.และผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 111 เพื่อกระจายสู่หัวคะแนนของตัวเอง “ส่วนที่ 3 นี้หลายฝ่ายรู้อยู่แล้วแต่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดคือตอนนี้มีผู้ร่วมลงขันช่วยทักษิณแล้ว ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่คาดว่าจะเสียประโยชน์จากคำพิพากษาของศาลเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเม็ดเงินส่วนนี้จะกระจายไปยังหัวคะแนนของแต่ละคนและเม็ดเงินจากคนกลุ่มนี้ก็มีไม่น้อย” ดังนั้น หากนำเงินส่วนแรก บวกเข้ากับส่วนที่เสียประโยชน์จากคดียึดทรัพย์ จะทำให้อัตราการจ่ายเงินสำหรับม็อบครั้งนี้เพิ่มขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจัดขบวนม็อบในครั้งนี้ถือว่าทักษิณได้ใช้กลยุทธ์ “แยกกันจ่ายรวมกันตี” กล่าวคือเขาได้เปิดโอกาสให้กลุ่มก๊วนต่างๆเข้าถึงตัวได้ง่ายขึ้นเพื่อเป็นการ “สกรีน” ของจริง ของปลอมไปในตัวและสามารถจำกัดอัตราการจ่ายได้ด้วยตัวเองเพราะเดิมนั้นการใช้วิธีแบบเหมาจ่ายทำให้เม็ดเงินที่ลงไปถึงม็อบจริงๆเหลือน้อยทำให้การดึงคนเป็นไปด้วยความลำบากมากขึ้น “เป็นที่รู้กันว่าเดิมนั้นการจัดกระบวนม็อบแต่ละครั้งแกนนำจะหักเป็นค่า “เสี่ยง” เข้ากระเป๋าตัวเองมากน้อยตามความเห็นชอบของแกนนำกลุ่มต่างๆโดยสูงสุดจะมีการหักหัวคิวมากถึง 50:50 ทำให้สังคมได้เห็นความแตกแยกกันเองของแกนนำอันเนื่องมาจากการจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัวอยู่บ่อยๆ” ขณะเดียวกัน การชุมนุมครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณวันละ 300 ล้านบาท หากชุมนุมกี่วันก็คูณด้วยจำนวนวันก็จะเป็นเงินที่นายใหญ่และพรรคพวกต้องจ่ายให้กับม็อบเสื้อแดงครั้งนี้ 3 วันเงินสะพัดทั่วประเทศ ด้าน อวยชัย วะทา นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และประธานสมาพันครูในภาคอีสาน กล่าวว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มม๊อบเสื้อแดงที่จะระดมเข้ากรุงเทพฯในวันที่ 12-14 มีนาคมนั้น คาดว่าจะมีเข้ามามากที่สุดไม่เกิน 1.2 แสนคน จากที่ตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน เนื่องจากรัฐบาลมีการสื่อสารถึงข้อมูลข้อเท็จจริงผ่านสื่อต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมทั้งทีมงานของ เนวิน ชิดชอบ ก็เข้ามาช่วยเรื่องการยับยั้งมวลชนได้มาก รวมทั้งคำพิพากษาของศาลในคดียึดทรัพย์ ก็มีส่วนทำให้ชาวบ้านได้เข้าใจถึงความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบางส่วนก็กลัวความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้ไม้เดินทางขึ้นมาแสดงพลังที่กรุงเทพฯมากตามที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงคาดการณ์ไว้ การจัดม็อบในครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินมหาศาล โดยจะจัดงบให้กับจังหวัดต่างๆของพื้นที่พรรคเพื่อไทยจังหวัดละ 10-15 ล้านบาท เงินจำนวนนี้จะแบ่งเป็นค่าจ้างให้กับชาวบ้านที่เข้าร่วมชุมนุมซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นพวกฮาร์ดคอร์ ที่เป็นกลุ่มชาวบ้านที่เคยผ่านการอบรมจากโรงเรียนการเมืองที่ตั้งโดยกลุ่มเสื้อแดง ตระเวนไปยังตำบลต่างๆ ปลุกระดมให้ลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งพวกนี้จะได้หัวละ 1,000 บาทต่อวัน คาดว่าจะมีประมาณ 2 หมื่นคน กลุ่มที่ 2 จะเป็นชาวบ้านธรรมดา ได้ค่าหัวประมาณ 300-500 บาท ต่อวัน แต่ก็จะถูกหักหัวคิดถึงชาวบ้านไม่เกิน 200 บาท ซึ่งจะเป็นการจ่ายให้ก่อนวันละ 100 บาท ที่เหลือจะให้หลังจากเสร็จงานแล้ว กลุ่มนี้จะมีประมาณ 1 แสนคน โดยเงินในการจ้างคนส่วนนี้ตกวันละไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าพาหนะเดินทาง การเครื่องเสียงจิปาถะต่างๆ โดยในส่วนของค่าอาหารจะให้หัวละ 100 บาทต่อวัน ซึ่งจะต้องใช้เงินอีก 12 ล้านบาทต่อวัน ค่าเครื่องเสียง ค่าบริหารจัดการต่างๆอีกวันละประมาณ 3-5 ล้านบาทต่อวัน ส่วนค่ารถจะให้ค่าน้ำมันกับรถปิคอัพคันละ 3,000 บาทต่อวัน ค่ารถ 6 ล้อ วันละ 5,000 บาทต่อวัน รวมแล้วคาดว่าจะมีรถปิคอัพเข้ากรุงเทพประมาณ 1 หมื่นคัน และรถ 6 ล้ออีกประมาณ 2 พันคัน ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้จะมีประมาณ 40 ล้านบาทต่อวัน รวมแล้วจะมีค่าใช้จ่ายวันละ 127 ล้านบาท ซึ่งถ้ามาชุมนุม 7 วันตามที่คาดไว้ ก็จะใช้เงินเฉียด 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าการชุมนุมครั้งนี้รัฐบาลจะรับมือใหว และจะไม่ยืดเยื้อนานสุดจะไม่เกิน 7 วัน ซึ่งถ้าเกินจากนี้จะไม่สามารถควบคุมมวลชนได้จะเหลือผู้ที่อยู่ชุมนุมยืดเยื้อไม่เกิน 3 หมื่นคน ที่มาด้วยใจอย่างแท้จริง คาดว่าในจำนวนนี้จะมาจากภาคเหนือประมาณ 1 หมื่นคน อีสาน 1 หมื่นคน ที่เหลือมาจากภาคต่างๆอีก 1 หมื่นคน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2553, 11:51:41 หยุดคิดเถอะคนเสื้อแดง ก่อนเข้าร่วมเกมเผาเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มีนาคม 2553 01:21 น. เรื่องมันฟ้อง โดย...กรงเล็บ วันนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูกับทักษิณ แต่ทักษิณต่างหากที่ทำตัวเป็นศัตรูของชาติจากพฤติกรรมเห็นแก่ตัวที่ยอมทำทุกวิถีทาง เพียงเพื่อให้ตัวเองได้รับชัยชนะบนความย่อยยับของชาติบ้านเมือง ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังจมอยู่กับวังวนความขัดแย้งทางความคิด ที่ถูกขยายผลให้กลายเป็นความแตกแยกของคนในชาติ เพียงเพื่อประโยชน์เฉพาะของคนบางกลุ่มอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คำถามที่เรามักจะได้ยินอยู่เสมอคือ ประเทศจะไปรอดไหม หรือไม่ก็จะทำอย่างไรให้ชาติผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ โดยไม่เกิดความสูญเสีย เป็นความกังวลที่อยู่ในใจคนไทยส่วนใหญ่ เป็นความวิตกที่ไม่เกินเลยจากความเป็นจริง แต่สภาพการณ์เช่นนี้คนไทยต้องก้าวข้ามความหวาดกลัวไปสู่การมีสติ และใช้ปัญญาไตร่ตรองถึงต้นเหตุแห่งปัญหาเพื่อจะได้ดับทุกข์ให้ถูกที่ ขบวนการเสื้อสีต่างมิใช่จุดเปลี่ยนที่สร้างความแตกแยกในสังคม อย่างที่หลายคนพยายามยัดเยียดให้เป็นเช่นนั้น เพราะสังคมไทยอยู่เย็นเป็นสุขบนพื้นฐานความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันมาช้านานแล้ว เพิ่งจะถูกจุดชนวนแยกบ้านเมืองออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ก็เมื่อคนเลวขึ้นครองอำนาจ และเริ่มแบ่งแยกประชาชนจากนโยบายขาดจิตสำนึกที่ว่า “...คนนครสวรรค์ให้ความไว้วางใจรัฐบาล เลือกส.ส.รัฐบาลทั้งจังหวัดต้องได้รับสิทธิ์ดูแลเป็นพิเศษก่อน รัฐบาลต้องดูแลคนทั้งประเทศ แต่เนื่องจากเวลาจำกัดต้องเอาเวลาไปให้จังหวัดที่ไว้วางใจเราก่อนเป็นพิเศษ จังหวัดไหนให้ความไว้วางใจน้อยเราก็จะไปทีหลัง จังหวัดไหนให้เราทั้งจังหวัดเราก็จะช่วยพัฒนาเต็มที่” วาทะนี้ไม่เพียงแบ่งแยกประชาชน แต่ยังแฝงไปด้วยการข่มขู่ประชาชนที่อยู่ในปกครองของตัวเองและแอบซ่อนการใช้ภาษีคนทั้งประเทศไปติดสินบนให้คนเลือกตัวเองอีกด้วย ผู้ปกครองที่มีวิธีคิดสองมาตรฐานเช่นนี้หรือ ที่คนเสื้อแดงใฝ่ฝันอยากให้กลับมาปกครองประเทศหรือ ? ลองนั่งนิ่ง ๆ แล้วตั้งสติคิดทบทวนดูให้ดีว่า คุ้มค่ากันหรือไม่ที่จะเอาชาติบ้านเมืองไปแลกกับผู้นำที่ขาดธรรมาภิบาลอย่างนช.ทักษิณ ชินวัตร วันนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูกับทักษิณ แต่ทักษิณต่างหากที่ทำตัวเป็นศัตรูของชาติจากพฤติกรรมเห็นแก่ตัวที่ยอมทำทุกวิถีทาง เพียงเพื่อให้ตัวเองได้รับชัยชนะบนความย่อยยับของชาติบ้านเมือง คนเสื้อแดงเองก็มิใช่ไร้ซึ่งสติปัญญา หากลดทอนทิฐิลงและมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุและผล จะเห็นข้อเท็จจริงว่า ความตกต่ำในชีวิตที่ทักษิณกำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นกงล้อแห่งกรรมที่ตามไล่ล่าเขา หาใช่มีใครถาโถมความคั่งแค้นใส่เขาไม่ ลองพิจารณาพัฒนาการความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ผ่านแกนนำเสื้อแดง จะยิ่งเห็นชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้ไม่เคยมีพี่น้องเสื้อแดง และชาติบ้านเมืองอยู่ในหัวสมอง มีแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง แกนนำเสื้อแดงสมุนทักษิณ ปลุกระดมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา มาวันนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หางโผล่ บอกว่าถ้ารัฐบาลยุบสภาก็เป็นแค่หลักกิโลเมตรแรก แต่การต่อสู้จะยังไม่จบ และไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้ายจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ ความเคลื่อนไหวที่ไต่ระดับจากข้ออ้างล้มอำนาจรัฐ ไปสู่การแบไต๋เผยธาตุแท้ถึงความพยายามจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ มิใช่เพิ่งปรากฏให้เห็นจากคำพูดของณัฐวุฒิเท่านั้น แต่ขบวนการส่งต่อชุดความคิดล้มล้างสถาบันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งสัญญาณสร้างความเปลี่ยนแปลงประเทศให้เหมือน เนปาล เปลี่ยนแปลงประเทศเหมือนประเทศจีนในสมัยของซุนยัดเซน หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงประเทศเหมือนช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ทุกการเปลี่ยนแปลงที่ถูกอ้างถึง ล้วนแต่เป็นการโค่นล้มระบอบพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วจะแก้ตัวว่าไม่คิดหมิ่นหรือล้มล้างเบื้องสูงได้อย่างไร? ถ้ามองกันอย่างเปิดใจกว้าง ความคิด ความเชื่อทางการเมืองของแต่ละคน ไม่ใช่สิ่งที่จะมาตัดสินผิด ถูก เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่การใช้ความรุนแรงและอิงแอบคนเลวเพื่อไปสู่เป้าหมายทางความเชื่อของตัวเองต่างหาก เป็นเรื่องที่มิอาจให้อภัย อุดมการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นเพราะต้องการให้เกิดประโยชน์สุขต่อคนทั้งชาติ มิใช่เพียงเพื่อสานฝันตกค้างให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือแอบอ้างเอาประชาธิปไตยมาฉาบหน้าแล้วใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพียงเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดกลับสู่อำนาจ โดยใช้ชีวิตประชาชนเป็นเครื่องเซ่นสังเวยไปสู่ความสำเร็จ พี่น้องเสื้อแดงแสนซื่อลองตรองดูหน่อยว่า หากวันนี้รัฐบาลต้องล้มครืนลงแล้วพรรคเพื่อไทยเข้ามากุมอำนาจเป็นนอมินีให้ทักษิณอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ระบบของประเทศจะถูกทำลายด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม กัมพูชาจะได้ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรโดยรอบ เราคนไทยยอมที่จะสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นได้หรือ ฯลฯ แต่ถ้าสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทักษิณกลับประเทศคืนสู่อำนาจโดยไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่คนไทยเคยรู้จักรองรับ เพราะเมื่อถึงวันนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะถูกร่างขึ้น เพื่อเอื้อให้ทักษิณกลับสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งแม้จะเป็นผู้ที่เคยถูกตัดสินให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินก็ตาม บ้านดีที่เคยมีพ่อจะอยู่ในสภาพใดยังยากที่จะจินตนาการ แต่สิ่งที่พี่น้องเสื้อแดงควรถามตัวเองให้จงหนัก คือ จริงหรือที่พวกคุณจะมีความสุขกับวัตถุนิยมที่ ทักษิณ มอมเมาไปได้ตลอดรอดฝั่ง จริงหรือที่ประเทศชาติจะอยู่รอดได้ภายใต้การบริหารราชการที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนยอมเอาผลประโยชน์ชาติไปแลกอย่างที่ทักษิณทำ จริงหรือที่บ้านเมืองจะมีมาตรฐานเดียวและได้รับความเป็นธรรมจากคนอย่าง ทักษิณ ที่มีความคิดผิดไม่เป็น แพ้ไม่ได้ ไร้ความละอายต่อบาป จริงหรือว่าชาติจะมีระบบปกครองที่ทันสมัยเป็นสากล เพราะเราปฏิเสธรากเหง้าของบรรพบุรุษที่มีกษัตริย์เป็นนักรบรวบรวมแผ่นดินให้ได้ชี่อว่าเป็น “ชาติ” จริงหรือที่พลังแห่งทศพิศราชธรรมกว่า 60 ปี แห่งการครองราชย์ขององค์พ่อหลวง จะมีคุณค่าน้อยกว่ามายาภาพ 6 ปีของ ทักษิณ วันนี้พี่น้องเสื้อแดงลองทบทวนดูด้วยสติทั้งหมดที่มี แล้วตัดสินใจเดินออกจากเกมเผาบ้านเผาเมืองนี้เสีย หากมีอุดมการณ์ความเชื่อทางการเมืองใดที่ต้องการต่อสู้ ก็ขอให้อยู่บนหนทางที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่ใช้ความรุนแรงและกฎหมู่มาบังคับให้คนทั้งประเทศต้องยอมรับ เพราะเชื่อเถอะว่าคนไทยไม่มีวันยอม! ไม่ว่าการปกครองจะเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบใด คนไทยต้องการผู้ปกครองที่มีความเสียสละ และหัวใจเป็นธรรม ซึ่งทักษิณไม่ใช่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 11 มีนาคม 2553, 15:57:11 (http://img294.imageshack.us/img294/1364/fffr.gif) จาก นสพ. แนวหน้า ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 12 มีนาคม 2553, 02:25:10 http://www.youtube.com/watch?v=Feo3HQ-6_jA พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดวิดีโอลิงค์มายังเวทีคนเสื้อแดง ที่ชุมนุมอยู่ที่หน้าอนุสาวรีย์ย่าโม จ.นครราชสีมา เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 6 มี.ค.53 ว่า "มีคนป่วยที่มารักษา 30 บาทรักษาทุกโรค ติดต่อขออาสาที่จะติดระเบิดพลีชีพเพื่อช่วยผม (พ.ต.ท.ทักษิณ)" นี่คือกลยุทธ์ในการต่อสู้ของทักษิณ คือใช้ความเท็จมาเสนอ เพื่อสร้างภาพสร้างสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง แต่โครงเรื่องนี้มันโกหกไม่เนียน แค่ป่วยก็รีบไปหาหมอก็เพราะกลัวตาย พอหายป่วยแล้วยังจะวิ่งไปหาความตายด้วยการพลีชีพอีก มันน่าขัน นายอดิศร เพียงเกษ ประกาศว่า "ถ้าการชุมนุมครั้งนี้ชนะ ก็จะจับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาแขวนคอที่สนามหลวง" คุณอดิศรต้องการพิพากษาลงโทษ พล.อ.เปรม โดยไม่ตั้งข้อหาว่า พล.อ.เปรมมีความผิดสถานใด และไม่ให้โอกาส พล.อ.เปรมต่อสู้ข้อกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย มันเป็นประชาธิปไตยตรงไหน ที่พวกเสื้อแดงเรียกร้องหาประชาธิปไตย เขาก็จัดให้อยู่แล้ว การจะลงโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ในทุกข้อหาเขาก็เอาไปฟ้องศาล มีคณะผู้พิพากษามีทนายความแก้ต่าง แล้วคุณก็บอกว่าไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่คุณต้องการ คุณต้องการให้มีการจับคนมาแขวนคอได้ตามใจชอบ มันเป็นระบอบเผด็จการที่โหดเหี้ยม จม. ส่วนหนึ่งของคุณ พินิจนันท์ พนม ที่มีมายังคุณสามวา สองศอก นสพ. ไทยโพสท์ http://www.thaipost.net/news/120310/19221 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 12 มีนาคม 2553, 16:01:52 คนปลายซอย โดยเปลว สีเงิน ครับ...ผมรับรู้ได้ถึง "ความตื่นตัว" แทนการ "ตื่นกลัว" ของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานคร ต่อความเหิมเกริม-ย่ามใจของทักษิณที่สั่งสมุนแดงปฏิบัติการ "ยกทัพยึดกรุง" ที่เริ่มตั้งแต่วันนี้ (๑๒ มี.ค.๕๓) เป็นต้นไป เมื่อประเมินขั้นแรกเห็นชัดว่า "ทักษิณแพ้" ด้านมวลชนตั้งแต่ยกแรก ไม่ต้องดูอะไรมากครั้งนี้ "พื้นที่ข่าว" ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ยึด ไม่ใช่ทักษิณเป็นฝ่ายยึดเหมือนครั้งก่อนๆ และนั่นสะท้อนถึงอะไร? สะท้อนถึงแก่นลึกจากใจประชาชนว่า "กูไม่เอามึงแล้ว...ทักษิณ" เพราะทั้งสิ้น-ทั้งปวงในความเป็นตัวมึง พฤติกรรม-สันดานของมึง และความร่ำรวยของมึง ประชาชนทั้งหลาย "รู้เช่นเห็นชาติ" หมดแล้วว่า ส่วนใหญ่มันได้ไปจากการปล้นชาติ-ปล้นประชาชน! และไม่เพียงเท่านั้น เมื่อปล้นได้ไป แทนที่จะสำนึก อย่างน้อยก็ในบุญคุณชาติ แต่ตรงกันข้าม กลับได้กระทำตนเหมือนลูกกล้วยที่ฆ่าต้นกล้วย ใช้เงินที่ได้ไปนั้นหว่านโปรย หลอกล่อ-หลอกใช้ประชาชนให้สวมเสื้อแดงมาล้มบ้าน-ล้มเมือง ด้วยอ้างโง่ๆ ว่า...นี่คือการทวงหาประชาธิปไตย!? ประชาธิปไตยไม่ได้หายไปไหน เมื่อเช้าวานผมดูโทรทัศน์ยังเห็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย (นอมินีทักษิณ) ตั้งกระทู้รุกไล่ไต่ถามนายกฯ อภิสิทธิ์เหยงๆ ก็นี่ไง "ระบบรัฐสภา" อันเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่ประเทศไทยเราก็มีอยู่ เป็นความเสมอภาคทางสังคมที่ให้ตัวแทนประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ "ร่วมบริหารประเทศ" ในฐานะฝ่ายค้าน คอยคาน คอยตรวจสอบการบริหารฝ่ายรัฐบาล เพื่อยังประโยชน์สูงสุดให้เกิดกับประเทศชาติ และประชาชน ชัดว่าประเทศไทยวันนี้ "ประชาธิปไตย" ยังมีอยู่ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ "ความกตัญญูรู้คุณ" ต่อชาติบ้านเมือง และประชาชนของทักษิณ "แดงตัวพ่อ" คนเดียวเท่านั้น! วันนี้...คนไทยหน่ายระอา ไม่เอากะท่านแล้ว ทักษิณเอ๋ย นี่...อ่านนี่ดู ท่านทันสมัยเล่นทวิตเตอร์ ส่วนผมยังโลว์เทคทางอี-เมล์อยู่ เช้าวานเปิดหน้าจอขึ้นมา ก็มีข้อความเด้งผึงเรียงแถวรอท่า อย่างเช่น.... "ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.ทุกวัน เวลา 6 โมงเย็นหลังเพลงชาติในวิทยุกระจายเสียงจบลง ชาว กทม.บนท้องถนนจะร่วมกันบีบแตรยาวเป็นเวลา 1 นาที เพื่อไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของเสื้อแดงในครั้งนี้ รถยนต์หลายแสนคันทั่ว กทม.จะดังขึ้นพร้อมกัน ให้สำนักข่าวทั่วโลกได้เห็นการทำอารยะขัดขืนของชาว กทม.เป็นครั้งแรกของโลก ใครเห็นด้วยโปรดปฏิบัติตามโดยการบีบแตร และส่งต่อแนวคิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางบีบี facebook twitter hi5 หรือเมล์ต่างๆ เดี๋ยวจะไม่ทัน" ผมเป็นคนบ้านนอก แต่อยู่กรุงเทพฯ มา ๕๐ ปี พอจะอนุโลมเรียกเป็น "ชาว กทม." ได้อยู่ ก็พร้อมจะบีบแตรยาว ๑ นาที เป็นการร่วมแสดงพลังต่อต้านการชุมนุมแบบอันธพาล แต่ติดอยู่ตรงว่า "ขับรถไม่เป็น" อย่างหนึ่ง และตอนเย็นไม่ค่อยได้ออกไปทางไหนอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ขอบีบอยู่ในใจและในที่ตั้งก็แล้วกัน ยังมีอีกหลายข้อความที่ไหลเข้ามา ล้วนเป็นข้อความแสดงทัศนะต่อต้านขบวนการแดงของทักษิณ และมีข้อความหนึ่งที่ผมอยากนำมาให้รับทราบกัน "ด้วยสติ" เพื่อความไม่ประมาทและระมัดระวัง ไม่ใช่ให้ตื่นกลัว ดังนี้ครับ เตือนระวังเหตุป่วนเมือง ระวังระเบิด ปืน บริเวณรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดิน รวมถึง 33 จุดอันตราย 1.ศาลฎีกา 2.ศาลอาญา 3.ธนาคารกรุงเทพ สีลม 4.ธนาคารกรุงเทพ นานา 5.ธนาคารกสิกรไทย นานา 6.ธนาคารไทยพาณิชย์ สนง.ใหญ่ 7.พระบรมหาราชวัง 8.รพ.ศิริราช 9.เมเจอร์ฯ รัชโยธิน 10.บิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ 11.เซ็นทรัลเวิลด์ 12.เซ็นทรัล ลาดพร้าว 13.ตลาดพรานนก 14.ตลาดมีนบุรี 15.ตลาดดาวคะนอง 16.ตลาดปัฐวิกรณ์ 17.แยกอรุณอัมรินทร์ 18.แยกร่มเกล้า (สี่แยก) 19.แยกเกษตรนวมินทร์ 20.แยกเกษตรนวมินทร์ ตัดลาดปลาเค้า 21.แยกเกษตรนวมินทร์ ตัดวัดประดิษฐ์มนูธรรม 22.แยกนวมินทร์ 23.แยกนราธิวาสฯ ตัดสีลม 24.แยกสีลมตัดพระรามสี่ (รพ.จุฬาฯ) 25.สี่แยกสะพานควาย 26.สี่แยกคลองเตย 27.ถนนรามคำแหง 28.ถนนรามอินทรา ตัดสุวินทวงศ์ 29.ที่ว่าการ กทม. 30.สวนลุมพินี 31.รร.ปทุมวัน ปริ๊นเซส 32.ช่างกลปทุมวัน และ 33.ช่างกลอุเทนถวาย ครับ...นี่เป็นการแสดงถึง "ความร่วมมือ-ร่วมใจ" ในภาคประชาชนที่ "ทนต่อไปไม่ไหว" กับการกระทำระยำเมืองของคณะทักษิณ และได้ส่งสัญญาณเป็น "สื่อใจ" เชื่อมโยงจากประชาชนถึงประชาชนด้วยกันในสถานการณ์จาก ๑๒ มีนานี้เป็นต้นไป ในภาครัฐ ครั้งนี้รู้สึกว่าได้รับความเข้าใจและร่วมมือจากประชาชนด้วยดี โดยเฉพาะจากการที่รัฐบาลประกาศใช้ "พ.ร.บ.ความมั่นคง" ให้ทหารออกมาร่วมทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองในฐานะ "เจ้าพนักงาน" เหมือนตำรวจ นอกจากไม่มีเสียงคัดค้านแล้ว ตรงกันข้าม กลับมีเสียงสนับสนุนจากทุกฝ่าย แม้กระทั่งฝ่ายสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งปกติการท่องเที่ยวจะอ่อนไหวกับคำว่า "สถานการณ์ไม่ปกติ" เป็นพิเศษ แต่ครั้งนี้ตัวนายกสมาคมเองซึ่งเป็นสุภาพสตรี ท่านออกมาพูดชัดเจน...สนับสนุนรัฐบาลใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่าย "ชุมนุมได้" แต่ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย และต้องไม่ใช้ความรุนแรง! ท่านชื่ออะไรผมจำไม่ได้ น่าจะเป็น "คุณมัยรัตน์ พีระญาณโกเศส" ถ้าผิด-อภัยด้วย ผมขอชมเชยท่านที่มี "ภาวะผู้นำ" ชัดเจนสมกับที่เป็นผู้นำขององค์กรหนึ่ง ในยามที่ผู้ตามสับสน แต่ผู้นำแสดงท่าทีไปซ้าย-ไปขวาชัดแจ้ง อย่างนี้ไปรอด ไปรุ่งแน่ และไม่เพียงแค่พูด ท่านทำด้วย เท่าที่ผมติดตามดู ท่านเป็นทูตสันติ ยกคณะไปหาทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายเสื้อแดง "ชุมนุมได้ แต่อย่าให้เกิดความรุนแรงนอกกรอบกฎหมาย"! ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ นับวันจะเก่ง แสดง "ภาวะผู้นำ" ยามวิกฤติให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าดีนะครับ ถ้าสังคมไทยก้าวผ่านคำว่า "พลังเงียบ" ไปสู่การ "กล้าคิด-กล้าทำ-กล้าแสดงออก" มากขึ้นเท่าไหร่ แทนที่เอะอะก็อ้าง..ธุระไม่ใช่บ้าง..ไม่อยากยุ่งบ้าง...สังคมบ้านเมืองก็จะออกจากวังวนแห่งดินแดน "คนดีหดหัว" สู่จุดหมาย ในความหมาย มิติใหม่ของ "สังคมรวม" ได้ในไม่ช้า!? แต่ก็ใช่ว่าผู้ชายจะไร้เสียซึ่ง "ภาวะผู้นำ" ผมว่านายกฯ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เหมือนคนเล่นของนะ ประเภทสักยันต์เสือเผ่น "หลวงพ่อเปิ่น" วัดบางพระ นครปฐม หรือสักเสือเผ่น สักหนุมาน ยันต์ ๕ แถวอาจารย์หนู อะไรประมาณนั้น คือผมสังเกตเห็นว่า ในภาวะปกติ ท่านก็เนวินลากไป สุเทพลากมา แต่พอมีปัญหาท้าทายภาวะผู้นำ อย่างตอนเมษาเดือดก็ดี และตอนนี้ก็ดี ท่านอภิสิทธิ์แสดงภาวะผู้นำได้สมกับที่เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งการตัดสินใจ ทั้งการตอบโต้ ทั้งการแสดงท่าที ไม่มีกลัว ไม่มีหงอ "เป็นตัวของตัวเอง" ไม่เป็นหนุ่มอีตัน แต่เป็น "ไอ้หนุ่มยางตัน" ใครฟันมา...เด้งผึง แถมเดินหน้าใส่ทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ! นับว่า "ใจถึง" และขลังพอควร ผ่านพิธีปลุกเสกถึง ๒ สมัย ทั้งเสี่ยงเป็น-เสี่ยงตายมาแล้ว ก็ยังบ่ยั่น แต่ครั้งนี้ "อย่าประมาท" ดวงยังไม่ถึงฆาตก็จริง แต่ไม่ควรให้แมลงวันได้ลิ้มเลือด แม้สักหยด! เป็นนิมิตหมายดีอีกอย่าง ผมสังเกตว่า ฝ่ายข้าราชการบ้านเมือง โดยเฉพาะ "ตำรวจ-ทหาร" ทำงาน "ด้วยใจ" เกิน ๖๐% มีการยอมรับในรัฐบาล และศรัทธาในภาวะผู้นำฝ่ายบริหารของนายกฯ อภิสิทธิ์ "ทั้งปากและใจ" มากขึ้น สรุปในภาพรวม คือ ครั้งนี้ประสานงาน เรียกว่า "ทำงานเป็นทีม" กันได้ดี และดูจะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนมั่นใจโดยอัตโนมัติว่า "ทหารจะไม่มักใหญ่" แอบคิดการณ์ไกลไปถึงขั้น ฉวยจังหวะก่อการปฏิวัติ-รัฐประหาร!? สงครามครั้งสุดท้ายของพม่าที่ยกมาตีไทย คือสงคราม ๙ ทัพ เอาเข้าจริงยกมาตีไทยไม่กี่ทัพหรอก เพราะยกมาก็ถูกทัพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" ทรงส่งไปรับมือ ไล่ตีหนีพ่าย บ้างตัดหัวเสียบประจานไว้ ที่เหลือ-เดนตาย กลับพม่าไปแทบไม่ทัน ทัพอื่นๆ ก็คร้ามเขี้ยวไทย หัวหด-ตดไม่ออก ถอนทัพกลับไป ตราบ ๒๒๘ ปี ไม่กล้ามาราวีอีกเลย แล้วนี่...ทักษิณจะทำสงคราม ๑๐ ทัพ "พังบ้าน-พังเมืองตัวเอง" ในยามที่ฝ่ายรัฐ-ฝ่ายราษฎร์ รวมทั้งทหาร-ตำรวจ "ผนึกเป็นหนึ่ง" คิดผิด-คิดใหม่ ก็ยังไม่สายนะ...ทักษิณ! โดย เปลว สีเงิน นสพ. ไทยโพสท์ ที่มา : http://www.thaipost.net/news/120310/19225 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มีนาคม 2553, 16:28:34 ไหน เสื้อแดงบอกว่า ชุมนุมโดยสันติไงครับ
แดงปทุมใช้โทร โข่งตบหัวชาวบ้านกลางถนน หน้าศาลากลาง Pic_70261 กลุ่มเสื้อแดงปทุมฯ ใช้โทรโข่งตบหัวชาวบ้าน หน้าศาลากลาง เหตุไม่พอใจที่ให้เลื่อนรถไฮปาร์ค หลังทำรถติดยาว เผย ไร้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเหลือ ทั้งที่อยู่ในพื้นที่จำนวนมาก... เมื่อ เวลา 12.10 น.วันที่ 12 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ได้เกินเหตุชุลมุนขึ้น ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากคอยดูแลรักษาความสงบอยู่นั้น ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงขับรถกระจายเสียงและมีคนขึ้นไฮปาร์คเชิญชวนชาวบ้านออก มาร่วมชุมนุม ระหว่างนั้นได้มีนายธานินทร์ บุญเกษม อายุ 50 ปี อาชีพรับตกแต่งภายในได้ขับรถยี่ห้ออีซูซุ รุ่นมิวเซเว่น สีดำ หมายเลขทะเบียน ชล 9769 กทม. ขับผ่านซึ่งระหว่างนั้นการจราจรติดขัด ทำให้เกิดการโต้เถียงและมีปากเสียงกับนายสันต์ชัย เพชรประเสริฐ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 221 หมู่บ้านปทุมวิลเลจ ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งกำลังไฮปาร์คอยู่บนรถ ที่จอดอยู่ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ก่อนที่นายสันต์ชัย เพชรประเสริฐ ได้ลงจากรถวิ่งปรี่เข้าไปชกต่อยพร้อมทั้งใช้โทรโข่งที่ใช้พูดฟาดเข้าใส่ร่าง ของนายธานินทร์ ก่อนจะเกิดการปลุกปล้ำชกต่อยกันอยู่ประมาณ 2 นาที ทำให้นายธานินทร์ ถูกตีด้วยโทรโข่งหน้าผากแตกเลือดอาบหน้า จึงได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาห้ามปรามแยกคู่กรณีออกจากกัน นาย ธานินทร์ กล่าวว่า ตนขับรถมาจากจังหวัดนนทบุรี เพื่อไปทำธุระที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ซึ่งการจราจรติดขัดอย่างมากเพราะมีคนเสื้อแดงจอดรถไฮปาร์คอยู่ริมถนน ตนเองจึงได้บอกให้ขยับรถเพราะรถติดมาก จนคนเสื้อแดงไม่พอใจพร้อมทั้งตะโกนด่าตนเองและตรงเข้าทำร้ายร่างกายของตนจน ได้รับบาดเจ็บหน้าผากแตก เลือดไหลอาบ ซึ่งตนคงไม่ยอมความเพราะเป็นการทำร้ายประชาชน อีกทั้งตำรวจที่มีอยู่เป็นจำนวนมากหลายร้อยคน กลับไม่มีตำรวจคนใดเข้ามาช่วยเหลือตนเองแต่อย่างใด ด้าน พ.ต.ท.บัญชา มีเลิศ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุและนำตัวคู่กรณีไปสอบสวนที่ สภ.เมืองปทุม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ไทยรัฐออนไลน์ * โดย ทีมข่าวภูมิภาค * 12 มีนาคม 2553, 15:05 น. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 12 มีนาคม 2553, 16:41:54 บทพิสูจน์ "ไม่มีใครจ้าง กูมาเอง?" ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – แฉจ่ายหัวละ 400-500 บาท เกณฑ์กลุ่มแดงถ่อยโคราช 2,700 คน ร่วมม็อบป่วนชาติยึดกรุง 14 มี.ค. พร้อมกระบะ 162 คัน-รถบรรทุก 6 ล้อ 20 คัน-อีแต๋น 25 คัน และเสบียงอาหาร สัมภาระอยู่ได้ 4 วัน นัดเข้ารวมฝูง ที่ อ.ปากช่อง พรุ่งนี้ (12 มี.ค.) ก่อนบุกยึดกรุง เผยแดงถ่อยภาคอีสาน 19 จังหวัด แบ่งเป็น 6 กลุ่ม 4 เส้นทางนรก เคลื่อนฝูงสู่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ล่าสุด กำหนดจุดรวมพลบริเวณหน้า “เอ้าท์เลท วิลเลจ เขาใหญ่”(http://img169.imageshack.us/img169/8382/a01i.jpg) (http://img169.imageshack.us/img169/7852/a02f.jpg) (http://img169.imageshack.us/img169/4448/a03n.jpg) (http://img683.imageshack.us/img683/6484/500cx.jpg) แฉจ่าย 400-500 ค่าหัวแดงถ่อยโคราช 2,700 คน ร่วมฝูงป่วนชาติยึดกรุง 14 มี.ค. วันนี้ (11 มี.ค.) แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ คนเสื้อแดง จ.นครราชสีมา มีความเคลื่อนไหวระดมมวลชนของกลุ่มตนเองเพื่อเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กรุงเทพฯ 14 มี.ค.นี้ รวมทั้งสิ้นประมาณ 24 กลุ่ม ทั้งที่เป็นกลุ่มของนักการเมือง ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) และ แกนนำกลุ่มเสื้อแดงในแต่ละพื้นที่อำเภอ ประเมินสถานการณ์ล่าสุด พบว่า ทั้ง 24 กลุ่มดังกล่าว จะมียอดรวมผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งสิ้นประมาณ 2,710 คน จำนวนรถยนต์กระบะ 162 คัน, รถบรรทุก 6 ล้อ 20 คัน, รถตู้ 10 คัน, รถเก๋ง 5 คัน และรถยนต์เพื่อการเกษตร หรือ รถอีแต๋น 25 คัน โดยมีกำหนดเดินทางเป็นหมู่คณะไปรวมตัวกันยังจุดนัดหมายที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในวันพรุ่งนี้ (12 มี.ค.) ก่อนเดินทางเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ 14 มี.ค.ที่กรุงเทพฯ ส่วนค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนไหว ผู้เข้าร่วมชุมนุมจะได้ค่าตอบแทน 400-500 บาท/คน/วัน หากนำรถยนต์มาด้วยจะได้ 1,500 บาท/วัน/คัน และพบว่า ได้มีการเตรียมเสบียง สัมภาระสำหรับค้างคืนอยู่ได้ประมาณ 4 วัน สำหรับแนวโน้มการใช้ความรุนแรงนั้น ควรจับตามกลุ่มนักรบทุ่งสัมฤทธิ์ และ การ์ด นปช.ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่เคยได้รับการฝึกมาแล้วมีความชำนาญในการใช้อาวุธ น่าจะมีแนวโน้มใช้ความรุนแรง แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ส่วนการเดินทางของกลุ่มเสื้อแดงภาคอีสานในภาพรวมทั้ง 19 จังหวัดนั้น จะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม 4 สาย โดยกำหนดเดินทางจากพื้นที่ตั้งมุ่งหน้าสู่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พร้อมกันในวันที่ 12 มี.ค. ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 จ.อุดรธานี, หนองคาย และ จ.หนองบัวลำภู กลุ่มที่ 2 จ.สกลนคร, นครพนม, มุกดาหาร กลุ่มที่ 3 จ.ขอนแก่น, กาฬสินธุ์ และ จ.มหาสารคาม ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ร่วมกันเดินทางเป็นสายที่ 1 ไปตาม ถ.มิตรภาพ มุ่งหน้าสู่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กลุ่มที่ 4 จ.ยโสธร, ร้อยเอ็ด และ จ.อำนาจเจริญ เดินทางเป็นสายที่ 2 ตามถนนสายหลักจาก จ.ยโสธร- อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด-อ.พยัฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม-อ.ประทาย จ.นครราชสีมา-ถ.มิตรภาพ ไปยัง อ.ปากช่อง กลุ่มที่ 5 จ.อุบลราชธานี , ศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ เดินทางเป็นสายที่ 3 ตามถนนทางหลวงหมายเลข 24 (สายโชคชัย-เดชอุดม)-อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา-ถ.มิตรภาพ ไปยัง อ.ปากช่อง กลุ่มที่ 6 จ.เลย, ชัยภูมิ จ.นครราชสีมา เดินทางเป็นสายที่ 4 ตามถนนสายหลักจาก จ.เลย-จ.ชัยภูมิ-อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา-ถ.มิตรภาพ ไปยัง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ทั้งนี้ ทุกกลุ่มจะมีธงแดงผืนใหญ่กลุ่มละ 3 ผืน ส่วนแต่ละจังหวัดมีธงแดงผืนเล็กเป็นสัญลักษณ์ พร้อมย้ำให้ทุกจังหวัดทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นข่าวก่อนออกเดินทาง ไม่เช่นนั้นถือว่าล้มเหลว “จุดนัดรวมพลหรือสถานที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงภาคอีสาน ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาระหว่างวันที่ 12-13 มี.ค.นี้ ล่าสุด ได้ข้อยุติอยู่ที่บริเวณหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าส่งออก เอ้าท์เลท วิลเลจ เขาใหญ่ (OUTLET VILLAGE KJAO-YAI) ริม ถ.มิตรภาพ กม.57 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง ซึ่งจะมีการตั้งเวทีปราศรัยถ่ายทอดสดไปยังเวทีกลางในกรุงเทพฯ บริเวณสะพานผ่านฟ้าด้วย โดยมี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ และ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เขต 2 และ เขต 3 พรรคเพื่อไทย รับเป็นผู้ดูแลให้การสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในพื้นที่เป็นหลัก” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว ที่มา : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000034727 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 มีนาคม 2553, 04:58:44 บทพิสูจน์ "ไม่มีใครจ้าง กูมาเอง?" แจกกันจะจะ เสื้อแดงนครพนมรับหัวละสองพันก่อนล่องกรุง นี่คือ ประชาธิปไตย แบบ ทักษิณ ชินวัตร ซื้อกันด้วยเงินครับ http://www.youtube.com/watch?v=izNHIDiBTT8 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 มีนาคม 2553, 06:16:45 (http://img519.imageshack.us/img519/8602/mgrpdf20100313page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 08:26:25 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz758d-9bee2b.jpg)
ใช่แล้ว..ประเทศไทย ไม่ใช่ของ ทักษิณ/ 3เกลอหัวขวด/อริสมันต์/...และพวกเลวๆอีกหลายคน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุ ปาตานี ที่ 13 มีนาคม 2553, 08:31:33
คม ชัด จริงๆ... ครับพี่ตุ๋ย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:21:58 พ่อจ๋า...ลูกยังจำภาพนั้นได้ติดตา
คืนนั้น....ดึกแล้ว....พ่อนอนไม่หลับ พ่อให้คนพาพ่อไปนั่งริมแม่น้ำ... พ่อทอดสายตาไปยังสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ในแววตาของพ่อ..เรียบเฉย..นิ่งดุษฎี แต่ดูเหมือนมีร่องรอยกังวล..ปรากฎอยู่บนใบหน้าของพ่อ ลูกรู้ได้ในใจทันทีว่า..พ่อคงคิดอะไรบางอย่างอยู่ ลูกเคยได้ยินหลวงตาบอกลูกว่า..พ่อของลูกนั้น ไม่ใช่คนธรรมดา...พ่อของลูกมีธรรม 10 ประการ พ่อบำเพ็ญเพียรในศีล ในธรรมตลอดมา..หลวงตายัง.. บอกอีกว่า...ให้ลูกๆทุกคน...จงเป็นคนดี เชื่อฟังพ่อ ลูกคนใดทำได้...ชีวิต..จะประสบแต่..ความสุขความเจริญ หากลูกคนใด..ทำให้พ่อต้องเสียใจ..จงระวังไว้ เพราะนั่น..จะเป็นกรรม..และลูกคนนั้น..จะต้องชดใช้ พ่อเคยย้ำอยู่เสมอว่า..พ่อไม่อาจให้ลูกเป็นคนดีได้ทุกคน แต่ลูกคนไหนที่ไม่ดี..พ่อขอร้องว่า..อย่าให้ลูกคนนั้นดูแลบ้าน เพราะคนไม่ดี...ย่อมปกครองบ้านไม่ได้..เหตุเพราะไร้คุณธรรม ลูกไม่รู้หรอก..ว่าพ่อมีอนาคตังสญาณที่หยั่งรู้อนาคตได้หรือไม่ แต่ลูกมั่นใจในตัวพ่อเสมอมา...ว่า..หากพ่อของลูกคนนี้ยังอยู่ ไม่ว่าใคร..คนไหน..ที่พูดไม่ดี คิดไม่ดี ทำไม่ดี... ไม่ว่า..จะทำต่อตัวพ่อ..หรือลูกคนอื่นที่เขาเคารพพ่อ ลูกคนนั้น..จะพ่ายแพ้ภัยตัวเอง..เสมือนหนึ่งขว้างลูกบอล เข้ากำแพง...ยิ่งแรงเท่าไหร่..มันจะสะท้อนเข้าหาตัวเอง แรงมากเท่านั้น คืนนั้น..หลังจากพ่อกลับจากนั่งเล่นริมแม่น้ำ ลูกนอนหลับ..และฝันดี ฝันว่ามีทวยเทพเทวดา..นับร้อยนับพันมาหาพ่อ พร้อมอวยชัยให้พรพ่อ..ขอให้มีอายุยืนนาน ในฝัน...ลูกยังเห็นแสงฉัพพรรณทรังสีบนตัวพ่อ เปล่งประกาย...เทียบเท่าเหล่าเทวดานั้นทีเดียว พ่อจ๋า...ลูกๆทุกคน ขอบอกพ่อว่า........ บ้านหลังนี้..ตราบที่มีพ่อคนนี้อยู่....... จะไม่มีเภทภัยพาลใดๆมาทำร้ายพ่อหรือคนในบ้านได้ ด้วยเดช..และบุญบารมีของพ่อ..คุ้มครอง ไม่ว่าวันนี้..วันไหน...ชาตินี้..หรือ..ชาติไหน ลูกทุกคน..ขอเกิดเป็นลูกของพ่อทุกชาติไป.. ลูกทุกคนจะรักภักดีต่อพ่อ..เหมือนที่พ่อรักลูกทุกคน ขอพ่อจงเป็นสุขชั่วนิจนิรันดร์ด้วยเถิด..สาธุ กระทู้ การเมือง : ผู้จัดการ ออนไลน์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:28:48 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7m3l-5f1b26.jpg)
รูปนี้ copyมา แต่ไม่รู้เจ้าของครับ ขออนุญาตนำเสนอนะครับ รวมรูปข้างอีกหลายรูปนะครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:29:36 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7m4x-8a47c9.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:32:40 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7ma0-2c04ad.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:33:41 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7mbd-8f3171.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มีนาคม 2553, 14:34:36 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kz7mda-279e89.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 13 มีนาคม 2553, 22:35:07 เศร้าใจ ที่กำลังจะมีคนโดนหลอกอีก...เดี๋ยวนี้มันเล่นกันทาง H5 หรือเฟศบุ๊ค กันแล้ว
หลักการฟังดูเหมือนดี แต่ความจริงหลอกด่ารัฐบาลข้างเดียว พร้อมสนับสนุนให้ไอ้เหลี่ยมและพวกควายแดงบ่อนทำลายสังคม กลายๆ พี่เจี๊ยบ วรรธนา วีรยวรรธนะ นักร้องคนโปรดคนนึงของผม และแฟนเพลงของเค้าหลายๆคน กำลังจะกลายเป็นเหยื่อ...ไปร่วมลงชื่อให้พวกจิ้งจอกห่มหนังแกะ จากที่เคยคุยกับเค้าทางเฟศบุ๊ค(ในฐานะแฟนเพลง) ค่อนข้างมั่นใจว่าเจ๊เค้าไม่ใช่เสื้อแดงแน่นอน แต่ออกแนวอินโนเซนต์ทางการเมืองมากกว่า(แบบพวกริบบิ้นขาวทั่วไป) แม้ผมจะนับถือว่าเค้าเป็นอัจฉริยะด้านดนตรีก็ตาม ปล. ถึงพี่วณิชย์ ปกติคนในห้องผมไม่ค่อยชอบม็อบทั้งสองสีครับ เลยไม่อยากเล่นแรงนัก เอาแค่พอรับทราบ...อีกอย่างคือ ไม่มีใครเป็นเครือข่ายมวลชนอะไรด้วย เขียนเชิงลึกไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณโต้ง(ppornson) มีความรู้เรื่องการเมืองปัจจุบันดีมากครับ แต่เท่าที่สังเกต เค้าจะไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์การเมืองเท่าไหร่ แต่จะว่าไป ไอ้ประวัติศาสตร์นี่แหละบ่อยครั้งมันคือวิชาที่เลวร้ายที่สุด! เพราะมันคือสิ่งที่ถูกบิดเบือนได้ง่ายกว่าปัจจุบันนัก ใครใคร่อยากล้างสมองคนก็เอาไอ้วิชานี้แหละมาใช้ เช่นไอ้สุธาควาย จิ๋มประเสริฐ...ที่ผมค้นคว้ามาทางนี้บ้าง เพื่อที่จะไปตอบโต้ประวัติศาสตร์บิดเบือนของพวกควายแดงโดยเฉพาะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย31 ที่ 13 มีนาคม 2553, 23:20:05 เรื่องเล่าของแม่ค้า
มีคนรู้จักไปซื้อของที่ตลาดแห่งหนึ่งในโคราช เล่าให้ฟังว่า ได้ยินเสียงคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง ไปเดินสุ่มถามแม่ค้าและคนที่ไปซื้อของว่า "รักทักษิณไหม" แม่ค้าคนหนึ่งตอบกลับทันทีว่า "ไม่รักใครหรอก รักในหลวงพระองค์เดียว" คนเสื้อแดงกลุ่มนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ถามใหม่ว่า"อยากไปกินข้าวฟรีที่กรุงเทพฯไหม" คราวนี้แม่ค้าตอบไปว่า"ฉันกินแต่ข้าวที่บ้าน ไม่ไปกินขี้ของใครหรอก" ฟังแล้วสะท้อนใจแทนคนเสื้อแดงจริงๆ หมายเหตุ จริงๆแล้วมีข้อความที่มากกว่านี้ แต่ขอเล่าเพียงย่อๆค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 14 มีนาคม 2553, 23:48:27 ก็มีคนที่งมงายกะทักษิณจริงก็มีไม่น้อยหรอกครับ เป็นเพราะเงินก้เยอะ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: TAE2540 ที่ 15 มีนาคม 2553, 10:22:32
อ่านไปอมยิ้มไป กับแม่ค้าครับ "รักในหลวงพระองค์เดียว" ไม่มีใครเทียบได้ และไม่ควรเทียบพระองค์ท่าน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: TAE2540 ที่ 15 มีนาคม 2553, 10:23:19 เพลง อยากเห็นคนไทย รักกันได้อย่างเดิม ลืมรสชาติของความพ่ายแพ้ จดจำรอยแผล วันที่คนไทยหัวใจสลาย บนทางที่แตกต่างสีที่ทุกคนทำใจไม่ได้ น่าเศร้า ใจที่เห็นคนไทยไม่รักกัน กลับมาทบทวนกันดูสักครั้ง บทเรียนเบื้อง หลังได้สอนอะไรเรามากกว่านั้ น เราลองวางปมปัญหาหันหน้ามาแล้วพูดจากัน หน ทางเดียวจะช่วยให้ผ่านให้พ้นไป *สู่ความสงบสันติสามัคคี ร่วมใจ กันทำความดีถวายพ่อหลวงของไทย หล่อหลอมเป็นใจเดียวกันมาสร้างสรรค์ทางเลื อกกันใหม่ อยากเห็นคนไทยรักกันได้อย่างเดิม เมื่อยามหยาดฝนซาฟ้า ก็จะใส แต่เราจะเห็นสายรุ้งพร่างพรายประกายหลากสี เป็นความแตกต่าง สร้างสรรค์ที่ลงเอยกันด้วย ดีดี เพราะเรามีความรักยึดเหนี่ยวในหัวใจ *,* ผ่าน พ้นมันไปยิ่งรักกันมากกว่าเดิม ที่มา : http://www.weloveking.org/home.php หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2553, 10:34:27 รับม็อบแดง
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 10 มีนาคม 2553 เวลา 23:32 น:นสพ. Posttofay. เทือกเถาเหล่ากอ ตระกูลชินวัตร ต่างเผ่นออกต่างประเทศไปเรียบร้อยแล้ว เป็นการจากลาก่อนวันแดงเดือด คำอ้างที่เกิดขึ้นก็คือ เทือกเถาตระกูลนี้จะไปดูงานที่เยอรมนี เป็นกำหนดการที่วางไว้อยู่แล้ว ไม่ได้หายไปไหน แหม ช่างบังเอิญได้ทุกคราว ใครจะเชื่อก็เชื่อไป ให้เลือกเอาระหว่างจะเป็นคนกินข้าว หรือเป็นควายกินหญ้า ลองย้อนกลับไปดูในอดีต ทุกครั้งที่เสื้อแดงชุมนุม หรือเกิดเหตุที่ส่อเค้าจะวุ่นวาย คนตระกูลชินวัตร เป็นต้องเผ่นไปต่างประเทศทุกคราว ก็ไม่เป็นไร เสื้อแดงจะสู้ จะตายก็ว่าไป แต่ญาติโกโหติกาสปอนเซอร์ใหญ่ไปเรียบร้อย คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อคนฉลาด ยิ่งคนฉลาดแล้วคด ยิ่งอันตราย และศึกแดงครั้งนี้ มันน่าสงสารประเทศเสียจริง เป้าหมายม็อบเพียงเพื่อเงินและอำนาจ บ้านเมืองฉิบหายไม่คิดถึง และคำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ เราจะทำอย่างไรดี คำตอบที่ไม่ยากนักก็คือ ไม่ต้องกลัวม็อบแดง อย่ากลัวจนหยุดใช้จ่าย หยุดลงทุน ฯลฯ ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เจอหน้าเสื้อแดง อย่าด่า อย่าต่อว่า เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน อาจจะแตกต่างความคิด อาจมาเพราะเงินหรือถูกหลอก แต่ยิ้มเข้าไว้ ด้วยเมตตา สงสาร และเห็นใจ พวกเขาไม่ได้ผิดหรอก แต่คนผิดคือผู้ที่ทำให้พวกเขามามากกว่า ทำใจให้ปกติ นี่แหละ คือการช่วยชาติ แม้จะเกิดเหตุความวุ่นวาย แม้จะมีการป่วนเมือง แต่ให้ตั้งสติ อย่าโกรธแค้น เพราะเมื่อมีความเสื่อม สุดท้ายความเสื่อมก็ต้องหายไป หากทุกคนตั้งสติ มองเห็นถึงพิษภัยที่เป็นอยู่ ก็ย่อมกลับไปสู่การฟื้นฟูได้อีก ตบท้ายวันนี้อยากจะพูดถึงภิกษุผู้ทรงศีล ท่านเป็นพระที่มีลูกศิษย์ทั้งประเทศ วาจาเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง พูดทีไรไม่เคยพลาด มีเสียงพูดต่อกันมาว่า ท่านเคยพูดถึงนักการเมืองใหญ่คนหนึ่งว่า เลวกว่าเทวทัต แม้นักการเมืองคนที่ว่าจะร่ำรวยล้นฟ้า แต่บรรดาทรัพย์สินที่ฉ้อฉลเอาไป สุดท้ายต้องคืนแผ่นดินหมด และนักการเมืองคนนี้จะไม่ได้ตายที่แผ่นดินเกิด โดยกลับมาได้เพียงผ้าขาวห่อเดียวเท่านั้น จริงไม่จริง ชีวิตนี้ ได้เห็นแน่นอน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2553, 10:43:51 ก่อนถึงเที่ยงวัน เสื้อแดงแกว่งภายใน บีบพื้นที่นายใหญ่ บล็อกแกนนำ
15 มีนาคม 2553 เวลา 08:50 น.จาก นสพ.POSTTODAY ถึงแม้ฉากหน้าของแกนนำจะแสดงพฤติกรรมให้เห็นถึงความฮึกเหิมมั่นใจล้มรัฐบาลได้สามวันเจ็ดวัน แต่ฉากหลังรับรู้กันแล้วว่า เมื่อนายใหญ่ยังไร้ถิ่นย่อมมีผลต่อการเรียกความมั่นใจในการเดินเกมรุก โดย ทีมข่าวการเมือง วาทะโหมกระพือของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.จนถึงวันนี้ ด้วยการบีบรัฐบาลยุบสภา ถ้าหากไม่ยอมตามข้อเรียกร้องภายในเที่ยงของวันที่ 15 มี.ค. จะยกระดับการเคลื่อนไหวเข้มข้นขึ้น ทำเอาหลายฝ่ายวาดภาพ ถ้ารัฐบาลยืนกรานไม่สนเสียงเรียกร้อง ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเดินเกมยื้อยาว มีหวังประเทศไทยตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัวต่อไป ยิ่งยื้อ ยิ่งลากยาว ไม่ใช่เฉพาะประเทศอยู่ในความอึมครึม แต่ลึกๆแล้ว กระบวนการเคลื่อนไหวภายในแกนนำก็มีความอึมครึมยิ่งกว่า อาการแกว่งภายในหมู่แกนนำ ส่งสัญญาณมานับแต่ก่อนตัดสินใจชุมนุมใหญ่ หลายคนเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับวันเวลาชุมนุมใหญ่ หลายคนรวนเรการบุกครั้งนี้จะชนะหรือไม่ หลายคนหวั่นวิตกว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้าย จะเป็นการปิดฉากอนาคตทางการเคลื่อนไหว แต่ในที่สุดจำต้องตัดสินใจเพราะคำสั่งนายใหญ่สั่งปิดเกม ปฏิบัติการ ตั้งแต่การโหมโรงวันแรกมีสัญญาณไม่สู้ดีส่งถ่ายออกมา ผลการชุมนุมจุดต่างๆในกทม. แม้แกนนำเสื้อแดงจะออกมาโพทนาประสบความสำเร็จ แต่ลึกๆแล้วไม่ใช่ซุ่มเสียงในคีย์เดียวกัน บนข้อเท็จจริง แกนนำบางราย มองว่า มีผู้คนมาร่วมแสดงพลังน้อยกว่าที่คิด แกนนำบางรายออกอาการผวาตกใจกับปฏิกิริยาคนกรุงเทพส่วนใหญ่ปฏิเสธการเคลื่อนไหว ยิ่งเจอสภาพแดงทำร้ายคนเสื้อชมพูที่จ.ปทุมธานี ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์หราสะเทือนใจผู้พบเห็น ประจานกับแนวทางเคลื่อนไหวที่พร่ำบ่นเสมอต้องการยึดสันติวิธี ไม่เน้นความรุนแรง แม้แต่ จตุพร พรหมพันธ์ ยังยอมรับเหตุการณ์คนเสื้อแดงชกต่อยคนใส่เสื้อชมพู กระทบภาพใหญ่คนเสื้อแดงเสียหายได้ แค่การเริ่มต้นไม่สวยหรูอย่างที่คิด อีกประการของความไม่ปกติ โดยหลักของวันตีฆ้องออกศึก ก่อนแกนนำจะประกาศให้ทัพแดงสลายกลับไปพักผ่อน ควรจะโหมปลุกเร้าอารมณ์เล็กน้อย ทว่าผิดคาด ไม่มีเสียงจากนายใหญ่ออกมาปลุกขวัญกำลังใจ ท่ามกลางความฉงนสงสัย ไฉนคลื่นดาวเทียมถึงไม่ถ่ายทอดกลับมาเมืองไทย ไม่แปลกที่จู่ๆมีข่าวจากกระทรวงต่างประเทศ เปิดเผย รัฐบาลยูเออี อัญเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นประเทศ เพราะผิดข้อตกลงที่เคยรับรู้กันว่า ให้อยู่ได้แต่ห้ามใช้เป็นฐานการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เมื่อประจักษ์ชัด พ.ต.ท.ทักษิณกำลังปลุกระดมป่วนเมือง จึงเข้าล็อคต้องออกนอกประเทศ เจอเกมนี้ทักษิณตั้งตัวไม่ติด ตระเวนหาฐานที่มั่นชั่วคราว เพื่อเตรียมส่งคลื่นปลุกเร้าเผด็จศึกรัฐบาล แต่ในเมื่อไม่พร้อมก็ต้องล้มแผน ไม่น่าเชื่อสถานการณ์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่การติดต่อจากทักษิณทุลักทุเล แม้แต่วันที่ 13 มี.ค. เมื่อมวลชนเข้ายึดราชดำเนิน ควรจะมีความยิ่งใหญ่ผ่านวีดีโอลิงก์แต่ในที่สุดกลายเป็นรายการโฟนอินและเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นการโต้ข่าวรัฐบาลยังอยู่ในยูเออี “ ผมไม่ได้โดนยูเออีให้ออกประเทศ แค่กำลังเตรียมตัวไปยุโรปหาบุตรสาว “ คำชี้แจงที่ออกมา สะท้อนถึงความปั่นป่วนในจิตใจ หวั่นไหวต่อการหาถิ่นที่อยู่ มีผลบกระทบต่อการปลุกระดม ถึงแม้ว่าคืนวันที่ 14 มี.ค. จะสามารถตั้งหลักถ่ายทอดวีดีโอลิงก์มาได้แต่ ถ้าพิเคราะห์ถึงการถ่ายทอด พบว่า ติดๆขัดๆ ห้องถ่ายทอดเหมือนอยู่ในโรงแรมเล็กๆ ไม่ใช่สถานที่ในประเทศยูเออี ท่ามกลางกระแสข่าวหลบเข้ามาอยู่แถวชายแดนกัมพูชา ซึ่งยิ่งใกล้ประเทศไทยมากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อทักษิณเท่านั้น ถึงแม้ฉากหน้าของแกนนำจะแสดงพฤติกรรมให้เห็นถึงความฮึกเหิมมั่นใจล้มรัฐบาลได้สามวัน เจ็ดวัน แต่ฉากหลังรับรู้กันแล้วว่า เมื่อนายใหญ่พะวงต่อการตั่งศูนย์บัญชาการ ไร้ถิ่น ย่อมมีผลต่อการเรียกความมั่นใจในการเดินเกมรุกต่อ อย่าลืมจะล้มรัฐบาลวันเดียวหรือยืดเยื้อ นายใหญ่คนเดียวเท่านั้นที่จะชี้ทิศทางมวลชน สภาพกรุงเทพ กลายเป็นลาวาสีแดงเต็มท้องถนนช่างเป็นภาพตื่นตายิ่ง แต่เหนืออื่นใดท่ามกลางปริมาณมวลชนทำให้บางฝ่ายมองว่าเป็นเพียงสีสันต์ทางการเมือง ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง หากใครมองว่านี่คือการต่อสู้ทางการเมือง อาจถูกครึ่งเดียว เพราะอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายรัฐ มองว่า นี่คือการต่อสู้ภัยความมั่นคง ไม่แปลกใจ ที่รัฐงัดแผนความมั่นคงมากมายออกมาดำเนินการ ปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนถูกนำมาใช้ ทั้งมอบความปรารถนาดีเอาน้ำเย็นเข้าลูบคนอีสาน อำนวยความสะดวกหาพื้นที่จอดรถ บริการรถรับส่งผู้ชุมุนม อลุ้มอล่วยไม่ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ปล่อยให้แหกด่านเข้าประชิดถึงพื้นที่ภายในกทม. จัดหา น้ำดื่ม ยารักษาโรคดูแลอย่างดี ??? เหตุทำเช่นนี้เพราะอะไร คำตอบมาจากหลักการต่อสู้ภัยความมั่นคง ไม่ใช่เล็งแต่วิธีสลายการชุมนุมแต่ต้องตัดชนวนใหญ่การเคลื่อนไหวเสียก่อน ปริมาณอาจเป็นปัจจัยสำคัญตามสายตามุมมองต่างประเทศที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ปริมาณอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในมุมมองของการแก้ไขปัญหาความมั่นคง สิ่งที่ฝ่ายมั่นคงวางหลักไว้ เมื่อเป้าหมายใหญ่ถูกสกัดการขับเคลื่อนพลังมวลชนจะเสียศูนย์ ไม่แปลก จึงมีหมายศาลตามจับ “กีร์ ระเบิดขวด” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ไม่แปลกพ.ต.ท.ทักษิณถูกบีบพื้นที่ให้เหลือน้อยลง นานาชาติแหยงที่จะให้ถิ่นพำนักตั้งจานดาวเทียมมาหามวลชน แม้แต่ทูตเยอรมันก็ออกมายืนยันเพื่อสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย หากพบอดีตนายกฯติดคดี จะตะเพิดทันที ยิ่งส่งสัญญาณถึงประเทศอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยบีบพื้นที่พ.ต.ท.ทักษิณไปในตัว ตัวชูโรงถูกบล็อก ลูกน้องถูกดำเนินคดี ยิ่งโอกาสบีบยุบสภาไม่เป็นผล โมเมนตัมย้อนกลับไปกดดันอารมณ์เสื้อแดงให้พลุ้งพล่าง เป็นโอกาสให้รัฐโหมจิตวิทยามวลชน ยึดพื้นที่สื่อ สร้างความเข้าใจอันดีให้สังคม สร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย (ข้อวิจารณ์ว่ารัฐบาลรับเกินไป แต่แท้ที่จริงเป็นการตั้งรับให้มวลชนอ่อนแรงก่อนขยับเกมรุก ใช้ความได้เปรียบทลายความไม่ปกติของเสื้อแดง เพื่อหาทางสร้างความปกติให้บ้านเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2553, 10:54:48 ท่านผู้หญิงวิระยาโผล่่เวทีเสื้อแดงเมื่อคืนนี้
เมื่อคืนที่ผ่านมาเวลา 24.00 น. ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล กรรมการมูลนิธิสายใจไทย ได้เดินทางมาให้กำลังใจผู้ชุมนุมที่เวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.ให้การต้อนรับ โดยใช้เวลาไม่นานก็เดินทางกลับ จากนั้น นายวีระ เปิดเผยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ท่านประกาศตัวเป็นเสื้อแดงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ นปช.มานานแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาที่ชุมนุมด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้มีการโทรศัพท์สอบถามกันเป็นระยะ โดยท่านประสงค์จะช่วยเหลือค่าอาหารแต่ไม่เปิดเผยจำนวนเงิน สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้มีแต่ไพร่ แต่มีหลากหลายชนชั้น จาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ 15 มีค.53 หมายเหตุ: วิริยา ถูกสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวหาว่า อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหาร สนธิ เมือปีที่แล้ว และถูกเปิดโปง กรณีการอมเงิน ขายเสื้อที่อ้างว่า นำรายได้ถวายในวัง แต่ไม่มีเงินถวาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 16 มีนาคม 2553, 05:24:22 http://www.youtube.com/watch?v=OaoVydBD2uU นี่คือคำพูดของ วิระยา ชวกุล "สีแดงโง่ พี่ว่าเค๊าโง่..... พี่ไม่เป็นสีแดง... เพราะสีแดงโง่ สิ่งที่ผ่านๆมาเขาไม่ฉลาด ใช่ม๊ะ เขา get into the trouble .... เท่าที่พี่สัมผัสมา... เขาไม่ฉลาด.." แล้วยัยป้าฉะลาดๆ อย่าง วิระยา ชวกุล ไปขึ้นเวทีคนเสื้อแดง-คนโง่ ทำไม หรือว่ากลัวตกกระแส หรือว่า ก็ไม่ฉลาด ตามพวกเสื้อแดง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 16 มีนาคม 2553, 09:42:03 (http://img294.imageshack.us/img294/4948/lydia04.jpg) สหรัฐอเมริกา ให้เกียรติ ยกระดับ "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นผู้ก่อการร้ายสากล สะพัด! สหรัฐแจ้งเตือนไทย หลังดักฟัง น.ช.ทักษิณสั่งเตรียมก่อวินาศกรรมกรุงเทพฯ ขณะเดินทางไปมอนเตเนโกร เล็งขึ้นแบล็กลิสต์เป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ ชี้ถือเป็นพฤติกรรมก่อการร้ายแล้ว แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า ทางการประเทศสหรัฐอเมริกามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการก่อการร้ายให้แก่ประเทศสมาชิกที่เป็นภาคีแลกเปลี่ยนข่าวกรององค์การสหประชาชาติ จำนวน 190 ประเทศ พบว่า มีการดักฟังโทรศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเดินทางไปยังประเทศมอนเตเนโกร ว่ามีการสั่งการเตรียมวางแผนการก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ ตามการอ้างอิงของเครือข่ายภาคีข่าวกรององค์การสหประชาชาติ แต่ในกรณีนี้อาจจะเป็นเพียงการแจ้งเตือนมายังไทย และขึ้นแบล็กลิสต์เป็นบุคคลไม่พึงประสงค์สำหรับประเทศเขา แหล่งข่าวระบุว่า ตามหลักแล้วไทยมีความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย มีกฎหมายที่เรียกว่า แพทริออต แอคต์ (The USA Patriot Act) หรือ กฎหมายโฮมแลนด์ (Homeland Security) ซึ่งระบุชัดเจนว่า พฤติกรรมใดที่เข้าข่ายการก่อการร้ายตามความเห็นชอบของสภาสูงสหรัฐอเมริกา ภายหลังเกิดเหตุการณ์ 911 หรือเหตุการณ์วินาศกรรมวันที่ 11 กันยายน ซึ่งมีเหตุการณ์คล้ายกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ "การเข้าข่ายการก่อการร้ายนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ให้ถือว่าการวางแผนเตรียมการ หรือโทรศัพท์พูดคุย ส่งอีเมล ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายการก่อการร้ายแล้ว ซึ่งในกฎหมายดังกล่าวมีการระบุคำจำกัดความ" แหล่งข่าวเผยอีกว่า ทางสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานด้านข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพในการดักฟังวิเคราะห์ข่าวกรองต่างๆ และแบ่งปันให้มิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดี และครั้งนี้ถือเป็นการแจ้งเตือนเหตุ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าวเป็นการต่างตอบแทน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ยืนยันได้ยากว่ามีภาวการณ์ดังนั้นหรือไม่ แต่ถือเป็นมารยาทของประเทศที่ได้รับข้อมูลด้านการข่าวที่ต้องรับฟังไว้ "ในทางปฏิบัติหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง การที่เขาแจ้งเตือนมานั้นก็เป็นการให้เราระวังตัว ถ้าเราไม่รับฟัง เขาก็จะไม่มีการแจ้งเตือนมาอีก และถ้าเกิดเหตุขึ้นจริงก็จะทำให้สถานการณ์อยู่ในภาวะควบคุมได้ยาก ทั้งนี้ เป็นไปในลักษณะปฏิเสธ หรือยืนยัน (ดีไนน์ ออร์ คอนเฟิร์ม)" แหล่งข่าวชี้แจงลักษณะการพึ่งพิงด้านข่าวกรองระดับนานาชาติ. ที่มา: http://www.thaipost.net/news/160310/19408 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 17 มีนาคม 2553, 06:50:04 มะกันเตือน "แม้ว" ก่อวินาศกรรม-สัญญาณไร้แผ่นดินซุกหัว!! (http://img140.imageshack.us/img140/3938/041r.png) บอกแล้วว่างานนี้มี “เดิมพันสูง” จึงต้องทุ่มเทกันสุดกำลัง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป้าหมายภายในที่ตัวเองต้องการให้ได้ ส่วนจะได้ผลประการใด หรือจบลงอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะว่าไปแล้วการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในสังกัด ทักษิณ ชินวัตร เริ่มมาปักหลักอยู่ในใจกลางพระนครมาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมาถือว่าได้ก้าวมาถึงจุดสำคัญ เริ่มมีความตึงเครียดขึ้นมาทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่าย ทักษิณ ที่เป็นเจ้าของม็อบกับฝ่ายรัฐบาล อย่างไรก็ดีหลังจากที่มีการสังเกตการชุมนุมผ่านมาจนถึงวันนี้( 17 มี.ค.) สิ่งที่น่าเป็นห่วงกลับกลายเป็นว่าจำนวนคนที่เข้าร่วม “หลุดเป้า” จากที่คุยโม้เอาไว้ว่าจะมากันเป็น “เรือนล้าน” แต่เท่าที่ประมาณหัวได้สูงสุดเพียงแค่ “หลักหมื่น” และนานไปยิ่งร่อยหรอลงเรื่อยๆ ขนาด ทักษิณ ลงทุนปลุกระดมด้วยตัวเอง ทำทุกทางไม่ว่าจะเป็น วีดิโอลิงก์ โฟนอิน ทวิตเตอร์ ส่งข้อความสั้น ฯลฯ แต่มาได้แค่นี้ ถือว่าล้มเหลว ที่สำคัญขณะที่ตัวเองกำลังร้องบอกให้ชาวบ้านออกมาให้มากๆ สู้เข้าไป บุกเข้าไป อยู่นั้นกลับสั่งให้ ลูก-เมีย ญาติพี่น้องใกล้ชิดเผ่นหนีไปต่างประเทศเพื่อเอาตัวรอด ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมาตรการรับมือของฝ่ายรัฐบาลถือว่าเตรียมการได้พร้อมพอสมควร ใช้วิธี “อ่อนสยบแข็ง” อดทนต่อแรงยั่วยุ ไม่ยอมออกมาปะทะ เพียงแต่รักษาพื้นที่เอาไว้อย่างมั่นคง ประกอบการออกทีวีของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชี้แจงประชาชนได้อย่างมีเหตุผล จนสร้างความชอบธรรม อีกทั้งบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลก็มีการประเมินสถานการณ์แล้วยังเห็นว่าสมควรผนึกกำลังกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ตรงกันข้ามกับฝ่าย ทักษิณ ที่นับวันความชอบธรรมกลับลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุม นอกจากนี้ยังต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด จนทำให้มวลชนเกิดอาการอ่อนล้าลงไป และล่าสุดเมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้จำนวนคนลดเหลือแค่ 1-2 หมื่นคนเศษเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือเมื่อจำนวนคนยิ่งน้อย และการชุมนุมที่ประกาศว่ายึดวิธีสันติก็มีแนวโน้มไม่บรรลุผล ไม่สามารถกดดันให้ นายกฯยุบสภา ได้เป็นผลสำเร็จ ก็อาจได้เห็นสัญญาณความรุนแรงตามมา เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่าในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาได้เริ่มรับทราบเหตุการณ์ที่น่าวิตกบางอย่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ จำนวน 3-4 นัดทำให้มีทหารบาดเจ็บสองนาย เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงยกขบวนกดดันนายกฯที่ตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบแห่งชาติ(ศอ.รส.) อยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ถนนพหลโยธินพอดี จากนั้นในวันถัดมากลางดึก ได้เกิดเหตุคนร้ายยิ่งเอ็ม 79 เข้าไปใกล้กับบ้านพักของ ประธานศาลปกครองสูงสุด อักขราทร จุฬารัตน์ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และก่อนหน้านั้นในวันที่ 11-12 มี.ค.ตำรวจก็ได้ทลายโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ทั้งที่ วังน้อยและบางพลีสมุทรปราการ ยึดชิ้นส่วนอาวุธสงครามได้เป็นจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความหวาดวิตกให้กับสังคมเป็นอย่างมาก เพราะจากการวีดิโอลิงก์เข้ามาล่าสุดของ ทักษิณ ก็ได้ปลุกระดมให้ประชาชนไปชุมนุมที่หน้าศาลากลางทั่วประเทศ แม้จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ความหมายก็คือให้ “ยึด” ศาลากลางและสถานที่ราชการสำคัญ ที่น่าสนใจก็คือมีรายงานข่าวจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐที่อ้างว่าได้มาจากการ “ดักฟัง” โทรศัพท์ของทักษิณ ที่สั่งการให้ลูกน้อง “ฮาร์ตคอร์” ก่อวินาศกรรมในเมืองกรุง เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อจลาจล เพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการคือ นิรโทรกรรม ได้เงินที่ถูกยึดไปกลับคืนมา และได้กลับมามีอำนาจอีกรอบ ข่าวการก่อวินาศกรรมดังกล่าวต่อมาได้รับการยืนยันจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและในฐานะ ผอ.ศอ.รส. อย่างไรก็ดีหากพิจารณาอีกด้านหนึ่งอาจข้อโต้แย้งจากฝ่ายตรงข้ามว่านี่คือแผนใส่ร้ายเพื่อทำลายความชอบธรรมฝ่ายตรงกันข้ามก็อาจจะมองได้ แต่สิ่งที่ไม่มองข้ามไปได้เลยก็คือ ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าท่าทีของบรรดาประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ต่าง “แอ๊กชั่น” ล้ำหน้าผิดสังเกต เริ่มตั้งแต่เอกอัครทูตอังกฤษประจำประเทศไทยที่เดินทางไปเตือนห้ามใช้ความรุนแรงถึงพรรคเพื่อไทย ต่อมาก็มีผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศพร้อมเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำไทยเข้าพบ นายกฯที่ทำเนียบฯก่อนการชุมนุมไม่กี่ชั่วโมง และล่าสุดเมื่อมีการอ้างว่า ทักษิณ ไปพบลูกที่เยอรมันก็มีเสียงตอบโต้จากทูตเยอรมันย้ำว่า “ห้ามเข้า”มาตั้งแต่ปีที่แล้ว หากฝ่าฝืนก็จะถูกดำเนินคดี สัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือสหรัฐอาหรับเอมิเรตก็สั่งให้ ทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศแล้ว จนต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ประเทศมอนเตเนโกร ประเทศเกิดใหม่เล็กๆในยุโรปตะวันออก หรือแม้แต่กัมพูชาก็เริ่มมีท่าที่แปลกๆออกมาจาก “ฮุนเซน” ที่สั่งห้ามคนงานกัมพูชาเข้าร่วมม็อบแดง ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากบรรดาประเทศมหาอำนาจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทักษิณ ไม่ได้รับการสนับสนุน ซึ่งจะทำลายความชอบธรรมในการชุมนุมที่เชื่อว่าเขาอยู่เบื้องหลัง สั่งการให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ สหรัฐ อังกฤษ เยอรมัน ผนึกกำลังออกโรงพร้อมกันบอยขอตแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่มีที่ยืน และในที่สุดโอกาสไม่มีแผ่นดินอยู่เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันเมื่อรูปการณ์ออกมาแบบนี้ก็ต้องย้ำว่าน่าเป็นห่วง เพราะอาจทำให้ “บางคน” เกิดอาการคลุ้มคลั่งทำอะไรที่ขาดสติได้ตลอดเวลา ทำนองเมื่อข้าไม่สมหวังเอ็งก็อย่าอยู่อย่างสงบกันอีกเลย ระวังจะออกมาในทำนองนี้ อย่ามองข้ามเป็นอันขาด !! ที่มา http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000037203&#Comment หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 17 มีนาคม 2553, 08:02:43 ทักษิณชินวัตร,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตร,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวั,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวั,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทักษิณ,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,ทักษิณช,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตร,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชินวัตรทัก,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,ทักษิณชิน,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,กินหัว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 17 มีนาคม 2553, 08:37:13 (http://img139.imageshack.us/img139/4773/mgrpdf20100317page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 17 มีนาคม 2553, 09:27:08 http://www.youtube.com/watch?v=vgUCUFJ-QxI หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 17 มีนาคม 2553, 14:29:10 (http://img219.imageshack.us/img219/8798/thailandg.jpg) สื่อนอกกล่าว เป็นนิยายและเป็นยุทธวิธีทางการเมือง ที่น่าขยะแขยง ของนักประท้วงเสื้อแดง ในประเทศไทย Here's a novel (and disgusting) political tactic from Thailand's "red-shirt" protesters: Organizers of the demonstrations in the Thai capital said they're requesting that each protester donate between two and 20 teaspoons of blood - 10 to 100 cubic centimeters - to meet their goal of more than 2,000 pints (1 million cubic centimeters). That would require between 10,000 and 100,000 people - roughly the crowd's peak size - to donate. "The blood will be taken from the body and democratic soul of the Red Shirts," said a protest leader, Natthawut Saikua, referring to the popular name for the protesters. He said they would start recruiting medical staff for the blood drive Tuesday morning. They threatened to pour the blood on Government House if their renewed demand was rejected by 6 p.m. Tuesday (7 a.m. EDT, 1100 GMT). I thought it was going to be hard to top the great Latvian cow head protest of 2009 in stomach-turning outrageousness, but this literal blodbath might do it. The red cross is also complaining about the waste of perfectly good blood. The protesters -- supporters of ousted Thai Prime Minsiter Thaksin Shinawatra -- want current leader Abhisit Vejjajiva to dissolve parliament and hold new elections. Even grosser update: Al Jazeera's Wayne Hay reports that blood isn't the only vile substance the red shirts have turned into a political weapon (HT: Boing Boing): The red shirted supporters of former Prime Minister Thaksin Shinawatra have been busy mixing up a disgusting and smelly concoction of faeces and fermented fish to throw at anyone who might get in their way. What this has to do with reforming the Thai political system, I'm not sure ที่มา : http://blog.foreignpolicy.com/posts/2010/03/15/thailand_there_might_be_blood หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 17 มีนาคม 2553, 21:43:42 ผมเห็นแล้วขยะแขยงเลือดจัง ไร้อารยะสิ้นดี
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2553, 22:18:42 สื่อนอกประเมินม็อบ แดงอยู่ไม่เกิน7วัน ชี้คนลดฮวบเหลือ4หมื่น ไม่เห็นด้วยใช้เลือด-ปฏิกูลประท้วง
สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักยังคงเกาะติดสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนผู้ร่วมชุมนุมลดลงอย่างฮวบฮาบจากที่เคยสูงสุดเกิน กว่า 100,000 คน เหลือเพียงแค่ราว 10,000 คน ทั้งนี้ รอยเตอร์รายงานว่า แม้ภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะทำให้เกิดความกลัวว่าเหตุรุนแรงจะเกิดขึ้นตาม มา แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าเหตุรุนแรงน่าจะเกิดแบบกระจัดกระจาย การปะทะกันใหญ่โตไม่น่าจะเกิดขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าจำนวนผู้ชุมนุมที่ลดลงอย่างรวดเร็วจะกดดัน ให้กลุ่มเสื้อแดงต้องยุติการชุมนุมในอีกไม่นาน ขณะที่วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า นักวิเคราะห์หลายคนเห็นตรงกันว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าจะยืดเยื้ออยู่ได้ เกิน 1 สัปดาห์ ด้านนิตยสารไทม์ส ของสหรัฐอเมริการายงานว่า แม้แต่ในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันยังไม่เห็นด้วยกับวิธีการใช้เลือดในการ ประท้วง บางคนถึงกับระบุว่า ผิดหวังกับมาตรการดังกล่าว และมีบางรายถึงกับระบุว่ามาตรการประท้วงดังกล่าว ตลกและการประท้วงครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องขายขี้หน้าไปในที่สุด ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล สำรวจความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของตนว่า การใช้เลือดและสิ่งปฏิกูลในการประท้วงเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ มีผู้ตอบว่าไม่ถูกต้องมากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ ยังเจาะลึกเรื่องการใช้เลือดและพิธีกรรมในการประท้วงทางการเมือง โดยระบุว่า ไม่เคยมีตัวอย่างปรากฏในการประท้วงร่วมสมัย และเชื่อว่าในที่สุดจะไม่บรรลุผล ในขณะที่สื่ออีกบางฉบับเชื่อว่าเป็นเพียง �ารแสดง�ให้ตื่นเต้นและดึงดูดความสนใจแต่ไร้ประสิทธิภาพ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2553, 22:34:57 อองซานซูจี ยอมโดนกักขัง และไร้อิสรภาพ เพื่ออยู่กับประชาชนของเธอ
แม้กระทั่งสามีเสียชีวิตก็ยังไม่ยอมออกนอกประเทศ คานธี ไม่ครอบครองอะไรเลย คานธี เดินนำหน้าประชาชนเมื่อต้องเผชิญกับทหารอังกฤษ โดนตีก็โดนตีก่อน เนลสัน แมนเดลล่า ยื่นมือให้ตำรวจจับ และถูกกักขังอยู่ 37 ปี โดยไม่หนีไปไหน คนเหล่านี้ที่ถูกอ้างถึงจากคนที่ ณ ตอนนี้ (อดีต) ภรรยา และลูกทั้งหมดหนีไปช้อปปิ้งอยู่ต่างประเทศ ตนเองนั่งจิบกาแฟอยู่ในโรงแรมหรู ปล่อยให้ชาวบ้านและคนต่างจังหวัดเดินทางไกล มาลำบากต่อสู้ให้ --- หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 11:18:04 สื่อนอกเปิดโปง'ทักษิณ'ไม่ได้ถูกชนชั้นนำรังแกอย่างที่กล่าวอ้าง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มีนาคม 2553 03:26 น. ทักษิณ พยายามยั่วยุให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยกทางชนชั้น แต่สื่อมวลชนต่างชาติกลับไม่มองเช่นนั้น เอเจนซี/เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการรายวัน - “สื่อนอก” รายงานการประท้วงของ “เสื้อแดง” โดยชี้ว่าจำนวนคนเข้าร่วมลดลงอย่างฮวบฮาบ และน่าจะหมดน้ำยาโดยเร็ววัน “ชาร์ลส์ คายส์” นักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ศึกษาเรื่องเมืองไทยมากกว่า 50 ปี เปิดโปง “ทักษิณ” ว่าไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของคนที่ถูกรังแกจากชนชั้นนำอย่างที่พยายามกล่าวอ้าง สื่อมวลชนต่างประเทศซึ่งเฝ้าติดตามการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม “เสื้อแดง” เมื่อวานนี้(17)ขณะที่รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ทั้งการไปเทเลือดที่บ้านพักนายกรัฐมนตรี และการประท้วงที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ แต่ก็บอกด้วยว่า จำนวนคนที่เข้าร่วมได้ลดน้อยลงมากจากช่วงวันอาทิตย์ที่มีจำนวนกว่า 1 แสนคน สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียอ้างหน่วยงานเจ้าหน้าที่ระบุว่า เวลานี้เหลือราว 25,000 คน ขณะที่สำนักงานบลูมเบิร์กอ้างอิงประมาณการของตำรวจที่บอกว่าเหลือ 10,000 คน เช่นเดียวกับสำนักข่าวเอเอฟพี ซึ่งรายงานในช่วงบ่ายโมง โดยอ้างตำรวจเช่นกันว่ามีอยู่ 10,000 คน ก่อนที่รายงานข่าวของเอเอฟพีซึ่งอัปเดตเมื่อตอน 2 ทุ่มจะปรับตัวเลขด้วยการระบุว่า ตำรวจกล่าวว่ามีอยู่ 38,000 คน สื่อหลายสำนักยังรายงานเรื่องที่การชุมนุมคราวนี้ไม่ได้กระทบตลาดการเงิน สำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถไต่ขั้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 19 เดือนเมื่อวานนี้ และอ้างความเห็นของ นายจักรกฤษณ์ เจริญเมธาชัย นักวิเคราะห์แห่งบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็กซ์ ที่กล่าวว่า เหตุการณ์ทางการเมืองคราวนี้ไม่ได้ส่งผลทางลบมากมายเหมือนที่คาดหมายกัน และเงินต่างประเทศน่าจะยังไหลเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยต่อไป หากการประท้วงไม่ได้จบลงด้วยความรุนแรง ทางด้านหนังสือพิมพ์โตรอนโตสตาร์ ของแคนาดา ได้หยิบยกความเห็นของนายชาร์ลส์ คายส์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางมานุษยวิทยาและเอเชียศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งให้ความเห็นเรื่องการประท้วงด้วยการเทเลือดว่า “ถือเป็นฉากการแสดงทางการเมืองที่น่าพิศวงดี และก็มีความสำคัญในแง่อารมณ์ความรู้สึกอยู่ลึกๆ” ศาสตราจารย์คายส์ซึ่งศึกษาเรื่องเมืองไทยมากว่า 50 ปีกล่าวว่า การประท้วงดูจะไม่คืบหน้าไปถึงไหน ในสภาพภูมิทัศน์ทางการเมืองอันสลับซับซ้อนน่างุนงงของประเทศไทย เขาชี้ว่า ขณะที่ทักษิณพูดถึงตัวเองว่า เป็นสัญลักษณ์ของคนที่ถูกรังแกจากพวกชนชั้นนำที่ไม่เคยใส่ใจกับประชาธิปไตยและความยุติธรรม ทว่าระหว่างที่ทักษิณครองอำนาจนั้น เขากลับถูกวิจารณ์เรื่องใช้ความรุนแรงในการปราบยาเสพติดและผู้ก่อความไม่สงบจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คน ขณะเดียวกันการทำธุรกิจของครอบครัวของเขาก็ทำให้ผู้คนสงสัย และในที่สุดก็ถูกกล่าวหาว่ากระทำทุจริตคอร์รัปชั่น ศาสตราจารย์คายส์บอกว่า การพูดว่ามีการแบ่งแยกระหว่างชนชั้นนำในเมืองและผู้คนในชนบทที่ไม่มีสิทธิมีเสียงนั้น ก็เป็นเรื่องที่พร่าเลือน กล่าวคือคนจากต่างจังหวัดจำนวนมากได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ หรือไปถึงสิงคโปร์ ไต้หวัน และประเทศอาหรับ แม้พวกเขาจะถือว่าตนเองมีรากเหง้าเป็นชาวนา แต่วิถีชีวิตก็เป็นแบบชนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ ศาสตราจารย์คายส์คาดว่า การประท้วงคราวนี้คงไม่อาจทำให้ทักษิณกลับคืนสู่อำนาจได้ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ขยายสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง การเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายก็อาจนำไปสู่การประนีประนอมกันได้ สำหรับรอยเตอร์ได้เสนอบทวิเคราะห์ที่อ้างความเห็นของนักวิชาการชาวต่างตะวันตก ได้แก่ นายคริส เบเกอร์ ซึ่งเคยเขียนหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับทักษิณไว้หลายเล่ม และนายเฟเดริโก เฟอร์รารา ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ทั้งสองมีความเห็นคล้ายกันว่า การประท้วงคราวนี้สามารถระดมคนได้เกินคาด และความมีระเบียบวินัยก็น่าประท้บใจ โดยนายเบกอร์กล่าวด้วยว่า “ใครก็ตามที่พูดว่าการประท้วงครั้งนี้คือความล้มเหลว ก็กำลังล้อตัวเองเล่นเท่านั้น” อย่างไรก็ดี รอยเตอร์ก็ได้ยกบทวิเคราะห์ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ของไทยฉบับวานนี้(17) ที่ระบุว่า “เสื้อแดง” ขาดการประสานงานกัน และกำลังแตกแยกกันมากขึ้น โดยปัญหานี้จะยิ่งปรากฏชัดเจนเมื่อพวกเขาถอยทัพกลับบ้าน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 18 มีนาคม 2553, 11:25:43 คนมาชุมนุม ตอนนี้มีไม่มาก และมีหลายคนอยากกลับบ้านแล้ว ลูกเมียที่บ้านคิดถึง หรือคิดถึงลูกเมียที่บ้าน
ขอเสนอให้รัฐบาล ชัดรถเมล์ฟรีสายตรง 3 สาย เพื่ออำนวยความสะดวก สะพานผ่านฟ้า ==> หมอชิต สะพานผ่านฟ้า ==> เอกมัย สะพานผ่านฟ้า ==> สายใต้ ไปอย่างเดียว ไม่รับกลับ เพื่อแยกกลุ่มที่มาด้วยข้อมูลที่ผิดๆและคิดได้กลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ส่วนคนที่ยังอยากใช้ชีิวิตแบบนี้ ไม่มีภาระทางบ้าน ก็ปล่อยเขาตามสบาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 11:29:41
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 18 มีนาคม 2553, 11:37:35
ซื้อใจขนาดนั้นเลยหรือครับพี่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2553, 12:20:52
ถูกหรือผิด ในอนาคต คงได้เข้าใจกัน แต่ไอ้พวกที่พาเขามาตก ระกำลำบาก มันน่าประณาม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 18 มีนาคม 2553, 13:01:11 (http://img221.imageshack.us/img221/6287/montenegropassport.jpg) (http://img221.imageshack.us/img221/7766/bbc.jpg) (http://img100.imageshack.us/img100/8556/montenegro02.jpg) ทักษิณ ตัดขาดจากความเป็น "คนไทย" แล้ว ถือพาสปอร์ตประเทศมอนเตนิโกร เดินทางแทน พวกเสื้อแดง รู้บ้างรึปล่าว? นช. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ใช้พาสปอร์ตของประเทศมอนเตนิโกร เดินทางแทนพาสปอร์ตไทย แล้วคนเสื้อแดงจะต่อสู้ไปให้คนต่างด้าว เยี่ยง ทักษิณ ชินวัตร ทำไมกัน สื่อของอังกฤษ BBC ก็ออกข่าวแล้วว่า ทักษิณ เป็นพลเมืองประเทศมอนเตนิโกร เท่ากับเป็นการยอมรับของมันเอง ขณะนี้มันกำลังไปเยี่ยมเยียนประเทศแถบบอลข่าน ในภาพลูกสาวมัน 2 คน อ้างว่าไปดูงานที่เยอรมัน โดนคนไทยที่ไปออกงาน โห่ขับไล่ เลยมาสุมหัวกับพ่อมัน ที่ประเทศมอนเตนิโกร ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป ไชโย ไชโย ไชโย!!! ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย ไชโย!!! ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่คนไทยแล้ว ไชโย!!! มันจะกลับมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่คนไทย และมันก็เป็นทรราชย์ชาติชั่ว ทำลายทำร้ายแม้กระทั่งแผ่นดินเกิด เพราะความละโมบไม่รู้จักพอของมัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 18 มีนาคม 2553, 15:18:20 (http://img221.imageshack.us/img221/7413/svetinikola02.jpg) (http://img233.imageshack.us/img233/5637/svetinikola03.jpg) (http://img233.imageshack.us/img233/8986/svetinikola04.jpg) The Prva Banka CG plans to sell an area of 37,073 square metres of the island along with all the sites located on it after its owner Subotić was late with repaying his debt and continues to be unable to do so, according to the Montenegrin newspaper Vijesti reported today. According to the publication, Subotić bought a part of the island from another Serbian businessman - Nenad Đorđević, in 2007 for around 20 million euro. After the purchase, the former announced he has great investment plans for the place, including the construction of hotels and villas. However, they remained unrealised after he was accused by Serbia for cigarette smuggling. According to the publication, the Sveti Nikola Island, which is also known as Hawaii and is a popular excursion and beach site in the Budva area, is one of Montenegro’s most attractive spots. The first public auction for the property will take place in a Budva branch of the Prva Banka CG on February 16. According to commentators, cited by the publication, the beginning price of 28 million euro for the plot is not high. ปปช. กรุณารับทราบข้อความนี้ ไว้ด้วยนะครับ เกาะ Sveti Nikola แห่งนี้ ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 28 ล้านยูโร ราวๆ 1,236 ล้านบาท นายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยแจ้งทรัพย์สิน หลังจากที่พ้นตำแหน่งไป เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่อยู่ในต่างประเทศ แม้แต่สตางค์แดงเดียว แล้วนายทักษิณ ชินวัตร จะเอาเงินมากมายมหาศาลเหล่านี้จากไหน มาซื้อเกาะที่ว่า หรือว่าซ่อนไว้ในกางเกงใน เงินที่ไปซื้อทีมฟุตบอลแมนซิฯ พอขายทีมฟุตบอลไป ถูกรัฐบาลอังกฤษยึดไว้ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่เคยโวยวาย เพราะพิสูจน์ที่มาของเงินไม่ได้ ก็จะเอามาฟอก ให้เป็นเงินสะอาด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 18 มีนาคม 2553, 22:24:14 Taksin for sales 5 5 5.
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 19 มีนาคม 2553, 10:34:41 (http://img144.imageshack.us/img144/8634/mgrpdf20100319page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2553, 10:52:25 สงครามอะไร
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 18 มีนาคม 2553 เวลา 22:32 น.posttoday online แนวรบใหม่ของคนเสื้อแดงกำลังเกิดขึ้นนั่นคือการตรึงกำลัง ยื้อ ภายหลังจากที่พลาดราวกับโดนตีนตบสลบเหมือด ดันไปรีดเลือดราดเหม็นไปทั่วกรุง ไสยศาสตร์มนตร์ดำที่ตั้งความหวังเอาไว้กลายมาเข้าตัวเสียนี่ แนวรบจึงต้องเปลี่ยนแปลง ใครติดตามแดงตัวพ่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คราวประกาศศึกยืดเยื้อ ก็จะเห็นสัญญาณชัด พ.ต.ท.ทักษิณ จี้ประเด็นสำคัญนั่นคือโจมตีอำมาตย์ ไล่ไปถึงรัฐบาลลงลึกในปัญหาการบริหารประเทศ และคอร์รัปชัน อาทิ การจัดซื้อจีที 200 การซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ ฯลฯ เรียกว่ายกใหม่ ชกได้เข้าเป้า หากเป็นมวย แอนตาซิล คงถึงขั้นแจกเงิน ด้วยเหตุประทับใจลีลา แรมบวม ดูไบ ออกอาวุธจะ-แจ้ง เปิดแผลเหนือคิ้วคู่ชกได้สำเร็จ แหม...ศึกวันแดงเดือดงวดนี้ ถ้าเริ่มต้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นไปที่การบริหารของรัฐบาล ไม่สำแดงอาการไร้สติ ผลมันจะต่างกันเยอะ แต่ก็อีกนั่นแหละ เหมือนกรรมบันดาล กลศึกใหม่ของคนเสื้อแดง ไปๆ มาๆ ทำท่าจะตายตอนจบ จุดชี้เป็น-ตาย อยู่ที่ประเด็นเดียว นั่นคือการประกาศสงครามมหาชนชั้นไพร่ โค่นล้มอำมาตย์ เพราะคำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ใครเป็นไพร่-ใครเป็นอำมาตย์ เพราะ ไพร่ ในปัจจุบันไม่มีแล้ว มีแต่ในอดีต หรือไม่ก็มีแค่ในละครตบจูบ ฉากนางอิจฉาออกมาด่ากัน และฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับไพร่ คนไทยไม่เคยรู้จักศัพท์ อำมาตย์ ตามที่แดงบัญญัติแม้แต่น้อย สิ่งที่คนไทยเข้าใจ...ฝั่งตรงกันข้ามไพร่ ก็มีแต่ฝ่ายเจ้าเท่านั้น เพราะสังคมสมัยโบราณ ไพร่คือคนทั่วไปที่ใช่ทาส แต่มีสังกัดโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าขุนมูลนาย เมื่อแดงประกาศสงครามไพร่ จึงเกิดความสงสัยเป็นที่ยิ่ง แท้จริงแล้ว แดงจะเอาชนะใคร ในฝ่ายตรงข้าม??? นี่แหละ จะตายหยังเขียด เพราะสับสนแปลความได้หลายนัยเหลือเกิน หรือมันจะสะท้อนเบื้องลึกจิตใจ... จริงแท้แล้วแดงต้องการอะไร ? อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน โบราณท่านว่าไว้ อย่าทำเพราะเป็นกรรมหนัก สงครามมหาไพร่ มันไม่ต่างจากการทำกรรมหนักแม้แต่น้อย ดีไม่ดี-งานนี้ถึงขั้นเสียเงินหมดตูดได้ง่ายๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 19 มีนาคม 2553, 15:15:22 ตะวัน.....รูปเธอหล่อมาก มาดดี๊..ดี เหมือนนักกฏหมาย พี่ได้อ่านคอลัมน์ของเปลวสีเงินในไทยโพสต์วันนี้ (19 มีค.) ชอบใจมาก ถึงมากที่สุด...หามาลงหน่อยดิ.... emo48:)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 19 มีนาคม 2553, 15:36:13 จัดให้ไปก่อนครับ พี่อ้อย
เมื่อแดงแปรขบวน"ลับในลวง-ลวงในจริง" * เปลว สีเงิน 19 มีนาคม 2553 - 00:00 ก็โปรดทราบทั่วกันนะครับว่า ขณะนี้ "ทักษิณ ชินวัตร" มีแค่เชื้อชาติไทยเท่านั้น ส่วนสัญชาติ ทักษิณทิ้งสัญชาติไทยไปถือสัญชาติ "มอนเตเนโกร" แล้ว แบบนี้เหลือสิทธิ์แค่กลับเข้ามาติดคุกไทยเท่านั้น แต่หมดสิทธิ์เป็น ส.ส.หรือเป็นนายกฯ ได้อีก เพราะเป็นบุคคลถือ ๒ สัญชาติ แต่สังเกตจากภาพชุดที่เขาโหลดเข้าเว็บไซต์ Thaksinlive.com ให้บรรดาสาวกเสื้อแดงดูวานนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะแค่อวดหรือจงใจเย้ยพวกเสื้อแดงที่เขาหลอกใช้? ทำไมผมจึงว่าอย่างนั้น ก็ดูซี...ดูภาพชุดที่ทักษิณเขาส่งมา เห็นแล้วก็ต้องอิจฉาว่า ใครหนอ...จะมีความสุขกาย-สบายใจล้นเหลือได้เท่าพ่อ-ลูกครอบครัวนี้ เป็นภาพทักษิณกับ ๒ ลูกสาวที่มอนเตเนโกร เดินจูงมืองับโอโซนคาบสมุทรบอลข่าน ฉ่ำสุขหน้าบ้านล้นเหลือ พ่อกำลังชี้โรงแรมที่เพิ่งซื้อมาใหม่อวดลูก และกำลังให้ช่างปรับปรุง-ตกแต่ง ตรงข้ามกับ "ไพร่เสื้อแดง" ของเขาในเมืองไทยเลยมั้ยล่ะ ในขณะที่พวกไพร่แดงกำลังจะเป็น "ปลา ๓ แดด" แถมจมขี้-จมเยี่ยวตัวเองอยู่กลางราชดำเนิน แต่ทักษิณกับครอบครัวเสพสุข-สุดสุข อิงกระไอโอโซนชายทะเล อากาศเย็นเจี๊ยบชื่นฉ่ำใจ ถึงขนาดต้องสวมเสื้อขนสัตว์คลุมขนคน มีผ้าพันคอปล่อยชายพลิ้วลม เอ้า...ไพร่วีระ ไพร่จตุพร ไพร่ณัฐวุฒิ และไพร่ที่เหมือนเห็บเกาะไข่แม้วทั้งหลาย ยกชายแขนเสื้อเช็ดเหงื่อโง่ออกซิ แล้วดู..เห็นภาพชุดล่าสุดจากมอนเตเนโกรกันแล้วใช่มั้ย? เอาขึ้นจอหน้าเวที เอาออกโทรทัศน์ดาวเทียมแดงให้บรรดาชาวบ้านเขาดูกันบ้างซี พี่น้องเสื้อแดงเขาจะได้รู้ว่า...นี่มันหลอกให้กูมาไถนา ให้กินแต่หญ้าแห้ง แต่พวกมันหน้านวลเหมือนทาแป้งน้ำมองเล่ย่ะ พากันไปกินมื้อละหลายหมื่น แต่งตัวชุดละเฉียดแสน เสพสุข-สนุกลืมโลกกันล้นเหลืออย่างนี้เองนี่หว่า!? ทักษิณนั้น ชีวิตเขามีร้อยทางเลือก ไม่ต้องกลับเมืองไทย ด้วยเงินที่โกงพวกเราไปร่ำรวย เขาก็สามารถเอาเงินนั้นไป "ซื้อชีวิตใหม่-ความสุขใหม่" ได้เกือบทุกที่ในโลกไร้อารยะ ฉะนั้น ในใจลึกๆ ของเขาไม่เคยอินังขังขอบกับเมืองไทย และคนไทย เขาพร้อมไปในทุกที่-ที่เงินซื้อได้ สำหรับเมืองไทยแค่ "ตัวเลือก-ตัวเผื่อ" ในเส้นทางไปของเขาเท่านั้น ต่างกับพวกเราที่ต้องอยู่เมืองไทย เพราะพวกเรารักบ้านเมืองไทย และอีกอย่าง...ไม่มีทางให้เลือกไปเหมือนทักษิณ "คนกินเมือง" นี่...ถ้าพวกไพร่-พวกทาสของเขาแพ้พ่ายในเกมชิงบ้าน-ชิงเมือง ทักษิณก็ไม่รู้สึกเสียหายอะไร นอกจากเศษเงินที่หว่านลงไปจ้างพวกไพร่ "ทำลายเมืองไทย" เล็กๆ น้อยๆ บ้างเท่านั้น ทำไมผมจึงว่าเล็กๆ น้อยๆ? ก็เพราะ "เงินส่วนใหญ่" เพื่อจ้างไพร่ทำ "สงครามครั้งสุดท้าย" นี้ ก็มาจากไอ้พวกที่เคยเกาะบารมีทักษิณหากินกันรวยตอนเรืองอำนาจ และยังขยาดว่าถ้าไม่จ่าย ทักษิณกลับมาเมื่อไหร่มันเอาตายเมื่อนั้น ก็เลยต้องควักจ่ายตามแต่จะสั่งมาตามสายโทรศัพท์ นี่...ขยายเวลาทำสงครามไพร่ออกไปไม่มีกำหนด สั่งหัวโจกชุดที่ถูกยุบพรรคออกฉาก ก็คงต้องกัดฟันจ่าย "ซื้อไพร่ทักษิณ" กันต่อไปไม่มีกำหนดอีกเหมือนกัน ก็อยากจะกระซิบไปถึงบรรดาไพร่เสื้อแดงที่มานอนตากแห้ง-ตากเปียกไว้ด้วยว่า ข่าวล่าสุดเขาบอกว่า "นายใหญ่" โทรเข้ามาบัญชาการ เขาตั้งงบทำสงครามยืดเยื้อไว้ วันละ ๑๐๐ ล้าน! ลูกสายใคร-ลูกคิวใคร ก็ควรสนใจไปไต่ถามเรื่องอัตรา "เบี้ยเลี้ยง" ค่าตากแดดหน้าเวทีกันให้ถ้วนถี่หน่อย ระวัง..อย่าให้มีการอม มีการชักหัวคิวกันล่ะ เดี๋ยวลับหลังพวกไพร่ด้วยกันมันจะแอบหยันว่า...ควายทำนาบนหลังควาย ง่ายจริงๆ! "มอนเตเนโกร" น่ะ เป็นประเทศเกิดใหม่ล่าสุดของโลก ตั้งอยู่ในแถบคาบสมุทรบอลข่านทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป เดิมรวมอยู่ในประเทศสังคมนิยม "ยูโกสลาเวีย" ชื่อนี้นักเรียนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้นเหมือนนักเรียนรุ่นเก่า ตอนหลังมารวมอยู่กับประเทศเซอร์เบียที่คงคุ้นชื่อนี้กันดีจากข่าวที่ฆ่าสุม โลกนั่นแหละ และจุดที่น่าสนใจคือ ประเทศนี้เกิดพร้อมกับทักษิณตาย!? คือหมายความว่า มีการลงประชามติแยกมอนเตเนโกรออกจากเซอร์เบียมาตั้งเป็นประเทศใหม่ ประกาศเอกราชเมื่อ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผ่านมา ๓-๔ ปีนี่เอง มีประชากร "ไม่ถึงล้านคน" มีเมืองหลวงชื่อ "พอดกอรีตซา" ๓ มิถุนา ๔๙ เกิดประเทศมอนเตเนโกร ๑๙ กันยา ๔๙ "ห่างกันเพียง ๓ เดือน" ทักษิณ "ตกเก้าอี้" ตายจากอำนาจ!!! และวันนี้ คิดแล้วก็แปลกดี ทักษิณกลับสละสัญชาติไทยไปถือสัญชาติมอนเตเนโกร เป็นการเกิดใหม่-เป็นพลเมืองมอนเตเนโกร ถือพาสปอร์ตมอนเตเนโกร ด้วยการเป็นคนมอนเตเนโกร ไม่ใช่คนไทยของทักษิณ ทำให้เขามีสิทธิ์ใช้พาสปอร์ตวีซ่าเชงเกน เดินทางเข้าไปได้ในยุโรปหลายประเทศที่ตกลงกัน พลเมืองมอนเตเนโกรไม่ถึงล้าน นี่ถ้าทักษิณไปโม้ให้อำมาตย์มอนเตเนโกรฟังว่า เขาสามารถจ้างไพร่ในประเทศไทยใส่เสื้อแดงทีเดียว ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ให้ชุมนุมยึดประเทศไทย ผมว่าพวกอำมาตย์มอนเตฯ คงหนาวจนไข่หดเข้าลำไส้ใหญ่ไปเลย! ทำไมจะไม่หนาวล่ะ ก็ประเทศมอนเตเนโกรมีแค่นั้น ถ้าวันไหนทักษิณอยากจะเลื่อนขั้นจาก "ไพร่ทักษิณ" ขึ้นไปเป็นอำมาตย์มอนเตเนโกรในตำแหน่ง "ประธานาธิบดี" ขึ้นมา ด้วยประชากร ๖-๗ แสนคน จะไปคณนาอะไร ทักษิณปั่นและจ่ายพักเดียว ขี้คร้านจะมี "ควายฝรั่ง" เป็นแสน ล้มเก้าอี้ประธานาธิบดีมาให้ทักษิณ?! นี่มันเริ่มเอาเงินคนไทยไปและเล็ม ซื้อเกาะ ซื้อโรงแรมแล้วมั้ยล่ะ พวกมอนเตฯ ยังไม่รู้ฤทธิ์ ยังหลงเชื่อว่าพลเมืองคนนี้ "รวยแล้วไม่โกง" หารู้ไม่ว่าภาษิตประจำใจชายคนนี้คือ "ที่ไหนมีคนโง่ ที่นั่นคือโอกาสทองของทักษิณ"! เอ้า...กลับมาดูสถานการณ์ทั่วไปบ้าง ได้ยินข่าวน่ายินดีว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ท่านยินดีพบปะพูดจากับ ๓ เกลอ คือไพร่วีระ ไพร่จตุพร และไพร่ณัฐวุฒิ อันเป็นตัวนำกองทัพเสื้อแดงของทักษิณ ส่วนรายละเอียดไม่ต้องพูดถึง เอากรอบใหญ่ กรอบกว้างในหลักการ "การพูดจาคือฟากฝั่ง" เป็นที่ตั้ง แค่นั้นก็ "เห็นฝั่ง" รำไรในความมืดคลุ้มที่คลุมเมืองแล้ว! และเท่าที่ฟัง ฝ่าย ๓ ไพร่ก็มีท่าทีตอบสนองเงื่อนไขนั้นด้วยดี ไม่ต้องลงไปดูรายละเอียด อันเป็นเส้นสายลายกนกที่ฝ่ายไพร่จตุพร หรือไพร่ณัฐวุฒิเขาวาดลีลาเป็นเงื่อนไข เพราะตรงนี้ต้องเข้าใจและเห็นใจ ๓ ไพร่ในฐานะแกนนำม็อบ ด้วยความเป็นผู้นำฝูงชน เขาได้ปลุกเร้าอารมณ์ลูกม็อบจน "ฝันสูง" ถึงยอดมะขามสนามหลวงไปหมดแล้ว ดังนั้น ขืนพูดจาพับเพียบเรียบร้อยกับทางถอย-ทางลงที่ฝ่ายนายกฯ อภิสิทธิ์ยื่นให้ มันก็จะเสียเชิงปลากราย ทำให้ผู้ตามทั้งหลายหมดศรัทธา และรู้สึกถึงความเป็นจริงได้ว่า...๓ ไพร่พามาแพ้แน่แล้ว! สรุปเป็นว่า ในกรอบใหญ่ ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะได้นั่งคุยกัน คุยถึงทางออกของปัญหา จะเฉพาะหน้า หรือถาวร นั่นเป็นอีกเรื่อง เอาแค่ประเด็นแรกคือ ได้มาพบหน้านั่งคุยกัน ก็นับว่าสำเร็จในเชิงสร้างสรรค์ไปขั้นหนึ่งแล้ว ต่อจากนั้น การผูกสัมพันธ์ก็จะพัฒนาไปเองในหลักการว่า... ยุบสภาฯ....เป็นเรื่องของธรรมชาติ! แต่เรื่องของเรา "เรื่องเพื่อบ้าน-เพื่อเมือง" ฝ่ายเสื้อแดง อันหมายรวมฝ่ายค้านด้วย และฝ่ายรัฐบาลจะมีความเห็นในเรื่องยุบสภาฯ ภายใต้กรอบเวลา และเงื่อนไขในเนื้อหา แบบไหน อย่างไร ที่จะพอใจด้วยกันทุกฝ่าย? ตรงนี้ต้องสนใจ แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ผมสังเกตว่าฝ่ายเสื้อแดงมี "ความยุ่งยาก" ในปัญหาภายในของเขาหลายเรื่องอยู่ "วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ" นั้น ผมว่าลึกๆ แล้วอยากให้จบโดยสงบ ด้วยเงื่อนไขได้คุยกันถึงทางออกที่ "ไม่มีใครเสียรังวัด" ตรงข้ามกับนายใหญ่คือทักษิณ ดูจะไม่ต้องการให้จบแบบสันติ ต้องการให้ยืดเยื้อ สร้างความยุ่งยากให้สังคมบ้านเมืองไปเรื่อยๆ แล้วกระแสประชาชนที่เบื่อหน่ายสถานการณ์จะตีกลับไปที่รัฐบาลว่าไร้ ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมืองให้สงบ จากนั้น "มือที่ ๓" จะสอดเข้ามาสร้างความรุนแรงให้เกิดเป็น "ศึก ๒ กระแส" บีบเข้าหาอภิสิทธิ์ให้ต้องคิดตัดสินใจภายในกรอบที่เสื้อแดงกำหนดให้! ต้องไม่ลืมว่า ฝ่ายเสื้อแดงออกมาปูพื้นทางความเข้าใจให้ประชาชนล่วงหน้าแล้วว่า "ขณะนี้เสื้อแดงแตกกัน" นั่นหมายถึงว่า ต่อจากนี้เสื้อแดงกลุ่มไหนไปทำอะไร ฝ่ายแดง ๓ เกลอก็จะปัดความรับผิดชอบได้ว่า "ไม่ใช่แดงไพร่" อย่างในกรณี มีเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งไปป่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ จตุพรบอกว่าเป็น "แดงคนละฝ่าย" ลงท้ายก็จะทำให้กรุงเทพฯ เหมือน ๓ จังหวัดภาคใต้ ไม่รู้กลุ่มไหนต่อกลุ่มไหน ต่างก็อ้างเป็น "หัวหน้าใหญ่" ไม่มีใครขึ้นต่อกัน ด้วยเงื่อนไขนั้น ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่สามารถเจรจากับฝ่ายไหนได้ เพราะขืนตกลงไปกับอีกฝ่าย แต่ก็ยังมีอีกหลายฝ่ายที่จะ "ก่อการต่อไป" นี่...ปัญหา "แดงทั้งแผ่นดิน" ของทักษิณกำลังแปรรูป-แปรขบวนเป็นแบบนี้ เป็นเรื่องที่ฝ่ายรัฐ-ทหาร-ตำรวจ ต้องคิด ต้องคำนึง! คิดได้-คำนึงได้ แต่ไม่ต้อง "หวั่นในอก-ตกในใจ" เตรียมล้างหูรอไว้ดีกว่า คิดว่าอีกไม่ช้า-ไม่นาน อาจมีข่าวสารหรือเหตุการณ์ "ฉับพลันทันด่วน" จากทางไกล จะว่าเป็นที่เซอร์ไพรส์ หรือจะเป็นปัญหาใหม่ "ระหว่างประเทศ" ก็อาจเป็นได้ทั้งนั้น ใครเหนือดวงกว่าใคร...เตรียมใจกันไว้ ระหว่าง "อภิสิทธิ์-ทักษิณ"!? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2553, 20:58:41 ขอบคุณ เจ๊อ้อย ที่ชม และขอบคุณน้องหน่อ ที่ช่วยหาบทความมาลงเผยแพร่ ให้รู้กันโดยทั่วๆกัน
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2553, 21:08:34 ม็อบแดงจะยื้อได้นานแค่ไหน
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 19 มีนาคม 2553 เวลา 11:11 น. ถ้านายใหญ่อดรนทนไม่ไหว เอาให้แตกหัก สั่งแปลนิยามสันติวิธีเป็นความรุนแรง ถึงวันนั้นสถานการณ์จะพลิกกลับมาที่รัฐบาล โดย...ทีมข่าวการเมือง: posttoday “สงครามครั้งสุดท้าย” ตามที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โฆษณาไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก่อร่างสร้างตัวเกลายเป็นชุมนุมใหญ่ ขนทัพรถปิ๊กอัพ ทัพเรือครบครัน ตามคำโพทนาว่ามีมวลชนมาเป็นล้านคน แสดงแสนยานุภาพให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตื่นตะลึงจะได้ถอดใจประกาศยุบสภา แต่พลันพลังแดงทั้งแผ่นดินพุ่งถึงขีดสุด ในวันชุมนุมใหญ่ 14 มี.ค.ตามด้วยวันรุ่งขึ้นเคลื่อนขบวนกดดันหน้ากรมทหารราบที่ 11 ก็ยังไม่สามารถทำให้อภิสิทธิ์สั่นไหว ขณะเดียวกันโดนย้อนศร ด้วยภาพแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลกอดคอแถลงข่าวเสียงดังฟังชัด “ไม่ยุบสภา” จากแรงฮึดกลายเป็นแรงเฉื่อย จำต้องถอยร่นกลับที่ตั้งด้วยความอ่อนแรง สภาพแดงล้านคนกลายเป็น”แดงหลักหมื่นแค่ผ่านฟ้า” เหตุเพราะที่เหลือกระจัดกระจายเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ากลับภูมิลำเนาไปทำนาทำไร่กันต่อไป ยอดผู้คนลดลงอย่างน่าใจหาย ถึงกระนั้นในเมื่อปักธงรบ มีหรือผู้บัญชาเกมจากมอนเตรเนโกร จะยอมพ่ายโดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ การปรับทัพใหม่ จึงเกิดขึ้น เปิดก๊อกรอบสองเบ่งบารมี ขอร้องแกมขู่ ให้ส.ส.เพื่อไทยระดมคนรอบใหม่มาเติมพื้นที่ให้ดูเต็ม ขณะที่ฝ่ายแกนนำสามเกลอ รับลูกปรับยุทธศาสตร์ เชื้อเชิญ ศิลปิน นักการเมือง นักวิชาการสีแดง สลับขึ้นเวทีดึงดูดมวลชน มีการวางตารางกิจกรรมเอ็นเตอร์เทนสลับเปิดพื้นที่ให้ชนชั้นล่างตามคอนเซปต์สงครามไพร่โค่นอำมาตย์ขึ้นเวทีระบายความไม่เป็นธรรมในสังคม พร้อมปรับท้องถนนราชดำเนินตามใบสั่งนายใหญ่ให้เป็นทั้งพื้นที่ชุมชนแออัดระหว่างชนชั้น และเป็นพื้นที่ฟุตบาทขายของ หวังเรียกแขกมาเดินชมนิทรรศการแถมฟังการปราศรัยยามค่ำคืน เรียกได้ว่าสารพัดยุทธวิธิโน้มน้าวเต็มที่ หวังตรึงคนไม่ให้หดหาย ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป้าหมาย ยืดเยื้อให้นานที่สุดกดดันรัฐบาลให้รู้แล้วรู้รอด พิสูจน์ใครอึดได้มากกว่ากัน จังหวะยื้อไปยื้อมา ย่อมอาจมีแผนใต้ดินคอยเขย่ารวมถึงจังหวะมือที่มองไม่เห็นเข้ามาสร้างสถานการณ์ เข้าสู่เงื่อนไขความรุนแรง จะทำให้รัฐบาลยากลำบากต่อการแก้ไขปัญหา เป็นโอกาสเสื้อแดงได้เปรียบ อีกทั้งต้องการให้กระทบการบริหารราชการแผ่นดินสะดุด เฉกเช่น สมัยรัฐบาลสมชาย รัฐบาลสมัคร ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล กลายเป็นครม.พเนจร แต่ใช่ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่รู้ทัน สถานการณ์อย่างนี้ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แผน 1 แผน 2 จึงถูกถ่ายทอดผ่านการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย( ศอ.รส.) ตระเตรียมสถานที่รองรับการบริหารราชการแผ่นดินในกรณีถูกปิดล้อม จริงอยู่แม้จะมีกฎหมายเป็นเครืองมือกำหราบ พึ่งบรรทัดฐานศาลปกครอง หากปิดล้อมสามารถสลายมวลชนได้ตามหลักปฏิบัติสากล ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก แต่รัฐบาลไม่อยากแลกด้วยความรุนแรง ยิ่งยื้อยิ่งเกิดคำถาม กระทบการบริหาราชการแผ่นดินมากขนาดไหน คำตอบกระทบบ้างแต่รัฐบาลก็จะเล่นเกมยื้อกลับด้วยการใช้เวลาสร้างบรรยากาศให้สังคมเห็นว่าการชุมนุมมิได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน มีข้อยืนยันมาแล้วจากนายกฯอภิสิทธิ์ บอกว่า สัปดาห์หน้าจะเข้าทำเนียบรัฐบาล ครม.เดินหน้าทำงานตามปกติ ขณะที่สุเทพ ระบุมีการประชุมครม.ตามปกติ ที่ทำเนียบรัฐบาล จะเกิดขึ้นได้หรือไม่เป็นเรื่องอนาคต แต่การส่งสัญญาณแบบนี้ เพื่อหวังผลทางจิตวิทยาเเรียกความเชื่อมั่นให้หลายฝ่ายเห็น แม้จะมีการชุมนุมทางการเมืองแต่รัฐบาลสามารถทำงานได้ เหมือนเช่นสัญญาณตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อน ว่าบ้านเมืองเป็นปกติ ม็อบเป็นแค่กิจกรรมหนึ่งตามสังคมระบอบประชาธิปไตย เมื่อรัฐบาลพยายามสร้างภาพบวก ย่อมกลายเป็นแรงกดดันกลับไปที่ฝ่ายมวลชนคนเสื้อแดงต้องคอยปรับแผนเคลื่อนไหว แม้จะพยายามเดินเกมให้ละม้ายคล้ายเหมือนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งการวางยุทธวิธีมีกิจกรรมหลากหลาย แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างแตกต่างกัน ไหนจะสภาพยุทธภูมิบริเวณถนนราชดำเนิน นานเข้าจะถูกกดดันจากคนกรุงเทพฯขอใช้เส้นทางสัญจร ขอคืนพื้นที่ทำมาหากิน อีกทั้งสภาพภัยธรรมชาติ ตากแดดเป็นกล้วยปิ้ง เผชิญฝนเสน่หาที่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุขภาพร่างกายร่วงผล็อยรายวัน การบริหารจัดการที่ไม่ทั่วถึงแบบว่าเติมเงินไม่ทั่วฟ้า บั่นทอนจิตใจทยอยเดินทางกลับ เทศกาลตามวันเวลา เป็นอีกปัจจัยให้มวลชนรักษาที่มั่นไม่ติด ล่าสุดการบีบพื้นที่จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยเหตุผลเตรียมจัดงานกาชาดที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งจะเริ่มสร้างซุ้มจัดงานตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.ไปจนถึงต้นเดือนเม.ย ครั้นผ่านงานกาชาดไปแล้ว หากเสื้อแดงยังปักหลักสู้ ต้องมาเจอะเจอเทศกาลสงกรานต์ แน่นอนใครๆก็อยากกลับบ้าน เลือกเล่นน้ำสงกรานต์ถิ่นฐานตัวเองสนุกกว่าปะแป้งบนสะพานผ่านฟ้า ไม่เพียงเท่านั้น กทม.เตรียมใช้พื้นที่ถนนราชดำเนิน สนามหลวง ตรอกข้าวสาร ฯลฯ จัดงานรื่นเริงมหาสงกรานต์ บีบพื้นที่เสื้อแดงไปโดยปริยาย แน่นอน ในเมื่อนายใหญ่ไม่ขอเจรจาผ่านกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต้องการเจรจานิรโทษกรรมตัวเองเท่านั้น การยื้อต่อรองอาจเดินต่อไป คงกัดฟันเปิดมุกใหม่ ให้พี่น้องรักษาพื้นที่ร่วมฉลองสงกรานต์กทม.ไปซะเลย สบช่องอาศัยจังหวะครบรอบ 1 ปี สงกรานต์เลือดเปิดประเด็นทำบุญคนตายที่ยังหาศพไม่เจอย่อมเป็นไปได้ตามสไตล์ถนัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ว่าช่วงสงกรานต์รื่นเริงย่อมมีผลปริมาณผู้ชุมนุมหดหายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม หากผ่านอุปสรรคสงกรานต์ คิดแบบเสื้อแดงมองในแง่ดีไว้ก่อน ไม่ยอมไปไหนตายเป็นตาย คราวนี้ก็จะเจอช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โอกาสอย่างนี้เหลือเวลาไม่มากนักเพราะสภาสมัยสามัญจะปิดกลางเดือนพฤษภาคม ถ้าไม่รืบยื่นซักฟอกในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็หมดโอกาสเพราะเปิดสภาสมัยหน้าเป็นสภาสมัยนิติบัญญัติหมดสิทธิยื่นอภิปรายซักฟอก ขณะเดียวกัน การยื่นญัตติซักฟอกบทบัญญัติรัฐธรรมนูญกำหนดนายกฯไม่มีสิทธิยุบสภา ช่วงเวลานั้น ถ้าเสื้อแดงยืนหยัดเดินต่อ จะเห็นภาพมะรุมมะตุ้มกดดันนอกสภา แต่เรียกร้องให้ยุบสภาเดี่ยวนั้นไม่ได้ ต้องรอจนกว่าการอภิปรายเสร็จสิ้น ท่ามกลางคำถามเสื้อแดงจะลากยาวเล่นเกมนอกสภาขนาบข้างเกมในสภาได้ผลหรือไม่ เอาว่าแบบให้ใจอีกครั้ง อึดได้อึดไป สมมติและสมมติ ผ่านพ้นการอภิปรายไม่เกิดอุบัติเหตุการเมืองในสภา มาว่ากันด้วยเสื้อแดงนอกสภา บรรยากาศอารมณ์คนเมืองแปรเปลี่ยนอีกครั้ง ในเมื่อเกมในสภารัฐบาลผ่านไปได้ อาจมีการปรับปรุงครม. แต่เกมนอกสภายังดื้อไม่ยอมรับ สถานการณ์จะตีกลับจากสังคม มองภาพม็อบแดงเอาแต่ได้ไร้เหตุผล ไม่เป็นผลดีต่อเสื้อแดง และปล่อยเวลานานมากขึ้น ยอดหดหายอีกหลายเท่าตัว ย่อมทำให้รัฐใช้เหตุผลขอคืนพื้นที่ให้คนกรุงเทพฯ ว่าไปแล้วความต้องการให้อึด เดินตามรอยพันธมิตรฯที่ยืดเยื้อได้ถึง 193 วัน จุดน็อคเอาท์ไม่มีทางใดให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ นอกจากทิ้งไพ่ใบสุดท้าย คือเกมหนัก เช่น ปิดสนามบิน หรือวิธีอื่นนอกรูปแบบสันติวิธี ถึงวันนั้นคือคำตอบวันสิ้นสุดของการยื้อ ขึ้นอยู่ว่าเสื้อแดงจะกล้าซ้ำรอยบาปนี้หรือไม่เพราะแม้แต่แกนนำเสื้อแดงก็ยอมรับไม่อยากเลียนแบบพันธมิตรฯ แต่ถ้านายใหญ่อดรนทนไม่ไหว เห็นว่านานเกินไปแล้ว เอาให้แตกหัก สั่งแปลนิยามสันติวิธีเป็นความรุนแรง ถึงวันนั้นสถานการณ์จะพลิกกลับมาที่รัฐบาลจัดการบ้านเมืองให้สงบอย่างชอบธรรม ปิดฉากสงค[/color]รามครั้งสุดท้าย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 20 มีนาคม 2553, 06:44:13 (http://img139.imageshack.us/img139/6765/mgrpdf20100320page09t.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มีนาคม 2553, 09:58:27 นที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:11:09 น. มติชนออนไลน์
พลเมือง "หรูๆ" แห่งมอนเตเนโกร ที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" (ดูแม้ว"ลั้นลา โชว์รูปควง 2ลูกสาว-ลูกชาย ชมธุรกิจโรงแรมหรู ริมทะเลสวย ที่มอนเตเนโกร) สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ไม่น้อย เนื่องเพราะเชื่อกันว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไทยเป็น "แหล่งทุน" รายใหญ่ของการชุมนุมทางการเมืองที่ราชดำเนินในเวลานี้ เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งมอนเตเนโกร แถลงสั้นๆ ว่า อดีตผู้นำไทยอยู่ในมอนเตเนโกร และถือว่าเป็นพลเรือนมอนเตเนโกร จึงไม่อยู่ในอำนาจของสำนักงานตำรวจที่จะดำเนินการใดๆ ได้ ก็เกิดหลายๆ คำถามขึ้นตามมา เอเอฟพี "ฟอลโลว์ อัพ" ข่าวนี้ด้วยการรายงานจากกรุงพ็อดโกริก้า เมืองหลวงของประเทศเกิดใหม่ริมทะเลเอเดรียติค แห่งนี้ว่า นายมิลาน โรเชน รัฐมนตรีต่างประเทศมอนเตเนโกร บอกกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติม ยอมรับว่า ได้รับคำเตือนจากรัฐบาลไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจใช้ดินแดน "ประเทศที่สาม" เพื่อสร้างอิทธิพลต่อผู้ชุมนุมก่อให้เกิด "ความตึงเครียด" เพิ่มมากขึ้นในการชุมนุมทางการเมืองในกรุงเทพฯ "เราจะตอบไปว่า ไม่เพียงเฉพาะในกรณีของมิสเตอร์ชินวัตรเท่านั้น แต่หากมีผู้หนึ่งผู้ใด พยายามจะใช้มอนเตเนโกร เพื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขัดกับผลประโยชน์ของประเทศอื่นๆ ทางการมอนเตเนโกรจะไม่มีวันอนุญาตให้ผู้นั้นกระทำการเช่นนั้น" คำตอบที่ว่านั้น ชัดเจน แต่ไม่กระจ่างชัดว่า การแถลงเปิดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ของสำนักงานตำรวจมอนเตเนโกร เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการประกาศจะ "เดินทางกลับ" ดูไบ ของอดีตผู้นำไทย เป็นเพราะ ถูกขอให้ยุติการใช้มอนเตเนโกร "ปลุกม็อบ" ที่ราชดำเนินหรือไม่? แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามที่เอเอฟพี เคยตั้งคำถามเอาไว้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับสัญชาติเทียบเท่ากับการเป็นพลเรือนมอนเตเนโกร ด้วยเหตุใด? ดีพีเอ สำนักข่าวเยอรมนี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเอาไว้ว่า มอนเตเนโกร เพิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจาก "เซอร์เบีย" ซึ่งมอนเตเนโกรเพิ่งจะแยกตัวออกมา โดยที่เจ้าหน้าที่ของเซอร์เบียกล่าวหาประเทศเล็กๆ แห่งนี้ว่า "อนุญาตให้ผู้หลบหนีความผิดจากประเทศอื่นๆ เข้ามาถือสัญชาติ" เหตุผลที่บรรดาอาชญากรหลบหนีกฎหมายทั้งหลายชอบที่จะใช้สัญชาติ "มอนเตเนกริน" นั้น ดีพีเอบอกเอาไว้ชัดเจนว่า เป็นเพราะ "ภายใต้กฎหมายมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นไปในแบบเดียวกันกับอดีตรัฐต่างๆ ของยูโกสลาเวียเดิม มีบทบัญญัติห้ามไม่ให้ส่งตัวคนในสัญชาติของตนเองไปดำเนินคดีในประเทศอื่น" เพราะเหตุนี้ อาชญากรจำนวนมากถึงใช้มอนเตเนโกร เป็นที่หลบภัยจากกระบวนการยุติธรรมในประเทศอื่น "วีเจสติ" หรือ "เดอะ นิวส์" หนังสือพิมพ์รายวันของมอนเตเนโกร ให้ตัวอย่างเอาไว้ว่า อาทิ "สแตนโค ซูโบติช" ซึ่งทางการอิตาลีและเซอร์เบีย ต้องการตัวในฐานะนัก ค้าของเถื่อนและขายบุหรี่หนีภาษีตัวเอ้ ก็ใช้มอนเตเนโกร เป็นที่หลบลี้หนีการจับกุมตัวของ 2 ประเทศนั้น และ "ซูโบติช" รายนี้นี่เองที่เป็นอดีตเจ้าของ "สเวติ นิโคลา" หรือ "ฮาวายแห่งเอเดรียติค" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเข้าร่วมประมูลซื้อ ข้อมูลจาก "วีเจสติ" ให้ภาพการเดินทางไปยังมอนเตเนโกร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชัดเจน เขาเดินทางถึงที่นั่นเมื่อวันเสาร์ที่ 13 มีนาคม หนึ่งวันหลังจากที่ "เสื้อแดง" เริ่มเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพฯ เครื่องบินส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงจอดที่ท่าอากาศยานทีวัต ในท่ามกลางความโกลาหลของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพราะมีความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ "นอกเครื่องแบบ" ที่นั่น หลังจากมีการแถลงอย่างเป็นทางการของสำนักงานตำรวจมอนเตเนโกร ผู้สื่อข่าวของ "วีเจสติ" รายงานว่า ยังไปพบ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร "ดินเนอร์" อย่างหรู อยู่ที่โรงแรม "แอสโทเรีย" อันเป็นที่พัก ร่วมกับ นางสาวพินทองทา นายพานทองแท้ นางสาวแพทองธาร และที่ขาดไม่ได้คือ คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ ที่วีเจสติอ้างถึงว่าเป็น "ภรรยา" โดยมี "คนไทย" อีกจำนวนหนึ่งร่วมโต๊ะ พร้อมกับมี "บอดี้การ์ด" 2 นาย ยืนอยู่ข้างโต๊ะทั้งสองด้าน ท่ามกลางความแปลกใจของบรรดาผู้สื่อข่าว "เพราะอดีตผู้นำไทย ไม่มีทีท่าว่าจะหลบลี้หนีหน้า" แต่อย่างใด วีเจสติเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเข้าพักใน "เพรสซิเดนท์ สูท" ห้องพักหรูสุดของแอสโทเรีย ซึ่งเป็นที่พัก "ประจำ" ของนายกรัฐมนตรี มิโล ดูคาโนวิช แห่งมอนเตเนโกร โรงแรมหรูแห่งนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่เก่าแก่ที่กำลังมีการฟื้นฟูเรียกกันว่า "บุดวา ริเวียร่า" ตามรายงานข่าวบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณควงคุณหญิงและลูกสาว ออกไปช็อปปิ้งในกรุงพ็อดโกริก้า เมื่อวานนี้ พร้อมทั้งทัวร์ "เดลต้าซิตี้" เป็นการสั่งลา เพราะห้องพักนั่นจองไว้ถึงแค่วันที่ 18 มีนาคม เท่านั้นเอง รายงานของวีเจสติ ยังเปิดเผยถึงเหตุผลการได้รับสิทธิความเป็นพลเมืองมอนเตเนโกร ถือสัญชาติมอนเตเนกรินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาไว้ ด้วยการยกเหตุผลที่ทางการตอบมาบอกไว้ว่า พ.ต.ท. ทักษิณได้รับพาสปอร์ต หมายเลข 138kd3695 ซึ่งจะออกให้เฉพาะผู้ที่ถือสัญชาติมอนเตเนโกรเท่านั้น เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ "มีความสำคัญพิเศษต่อรัฐ ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม กีฬา และผลประโยชน์อื่นๆ แห่งมอนเตเนโกร" วีเจสติเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความหมายในระดับดังกล่าวได้นั้น อาจเป็นเพราะ กำลังร่วมมือกับ "วิคเตอร์ เรสทิส" นักธุรกิจชาวกรีก ทำโครงการฟื้นฟูพื้นที่เก่าแก่ 3 แห่งในบุดวา ที่ประกอบด้วย โรงแรมสเวติ สเตฟาน, ควีน มิโลเซอีร์ และชายหาดอีกหลายแห่ง ซึ่งเรสทิสได้สัมปทานระยะยาว 30 ปี มาตั้งแต่ปี 2007 ที่ผ่านมา หรือไม่ก็ พ.ต.ท.ทักษิณอาจกำลังทำโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะสเวติ นิโคลา ภายใต้การร่วมทุนกับนักลงทุนในท้องถิ่นนั่นเอง "วิคเตอร์ เรสทิส" คือใคร? วีเจสติบอกว่า ชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อแปลกในแวดวงท่องเที่ยวและรีสอร์ทของโลก เพราะเขาคือหุ้นส่วนใหญ่ของ "อามัน รีสอร์ท" เครือข่ายรีสอร์ทระดับโลกที่เป็นบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ แต่เรสทิสเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญ น่าสนใจนะครับ ทุกอย่างวนกลับมาที่ "สิงคโปร์" อีกแล้ว!!! ************** หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 20 มีนาคม หน้า 13 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 20 มีนาคม 2553, 10:53:02 ขอบใจมาก น้องหน่อ ที่หาบทความ มาให้อ่าน วันนี้สงสารคนกรุงเทพจริงๆ รถคงติดมากๆ เมื่อไรมันจะจบสิ้นสักที เมื่อไรกฏกติกาของบ้านเมืองเราจะดูแลคนไทยได้หนอ.......แหม...ไพร่ตัวแม่ หน้าตึงเปรี๊ยะเลยนะเนี้ย emo20:)):)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 20 มีนาคม 2553, 10:55:44 (http://img245.imageshack.us/img245/5351/mgrpdf20100319page40.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 20 มีนาคม 2553, 11:02:27 (http://img89.imageshack.us/img89/3843/mgrpdf20100320page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 20 มีนาคม 2553, 11:25:54 อ่านเพลินเลย .. ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่นำมารวมไว้ให้อ่านในที่เดียวกัน emo49:))
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 20 มีนาคม 2553, 11:30:58 Traffic jam in bangkok now.
Stay at home,news update. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มีนาคม 2553, 21:24:13 ทะเลาะกันแล้วครับ พวกเสื้อแดง..(สันติ )
"สุรชัย" ท้า 3 เกลอสาบานไม่เคยรับตังค์ "แม้ว" ลั่นไม่ได้สักบาท โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มีนาคม 2553 18:42 น. "สุรชัย ซ้ายหลงยุค" รับเสื้อแดงปล่อยข่าวเคืองแกนนำไม่จ่าย 10 ล้านจริง เชื่อหวังดิสเครดิต ยันไม่เคยขอเงินใคร ลั่นเงิน "แม้ว" ไม่เคยได้สักบาท ท้า 3 เกลอสาบานไม่เคยรับตังค์ "นักโทษ" ใช้ เย้ย "วีระ" เคลียร์บัญชีเสื้อแดงเสร็จ อย่าลืมหนี้ค้าง วันนี้ (20 มี.ค.) นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม เปิดเผยถึงกรณีที่มีการปล่อยข่าวภายในกลุ่มเสื้อแดงว่า นายสุรชัย ได้พยายามขอเงินจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการต่อสู้ แต่ไม่ได้จึงทำให้ไม่พอใจแล้วแยกออกมาโจมตีว่า ในเรื่องนี้ตนได้ติดตามข้อมูลแล้วพบว่า เป็นเรื่องที่มีการปล่อยข่าวและพูดกันจริงในกลุ่มเสื้อแดง ทั้งนี้เข้าใจว่าเป็นการพยายามสร้างข่าวเพื่อกลบและดิสเครดิตตนมากกว่า ขอยืนยันว่า ไม่เคยเข้าไปขอเงินใครทั้งสิ้น ถามว่า นายวีระ และเครือญาติ นายจตุพร หรือ นายณัฐวุฒิ มีเงินให้ตนไปขอหรือ และยังกล้าประกาศชัดว่าตั้งแต่สมัยติดคุก 16 ปี ไม่เคยขอเงินใครใช้ และที่เข้ามาต่อสู้นั้นไม่เคยขอเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้แม้แต่บาทเดียว นายวีระ นายจตุพร หรือนายณัฐวุฒิ กล้าพูดกล้าสาบานหรือไม่ว่า ไม่เคยขอเงิน ทักษิณ มาใช้ “เสร็จปิดบัญชีม็อบในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเสร็จแล้ว ขอให้นายวีระช่วยเคลียร์บัญชีหนี้ด้วย อย่าทำเป็นลืมไม่ติดต่อผ่านมายังผมให้ติด ต่อไปยังคุณมาลี ก็ได้ หมายเลขโทรศัพท์คงจะรู้อยู่ ตอนนี้คุณมาลีเป็นที่ปรึกษาพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ คงไม่ต้องย้อนความจำว่าสมัยนั้น นายวีระ เป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาประธานรัฐสภา คือ นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ส่วนคุณมาลี เป็นกรรมการที่ปรึกษา ประธานฯยืมเงินกรรมการคงยังจำได้ 3 ล้าน เกือบสิบปี อย่าลืมดอกเบี้ยด้วย คุณมาลีได้แจ้งมายังผมแล้ว ว่า หากนายวีระ ชำระเกือบ 10 ล้าน จะชำระค่าทวงหนี้ให้ผมราว 6 ล้านบาท ดังนั้นเคลียร์บัญชีม็อบเสร็จแล้ว อย่าลืมเคลียร์หนี้เก่า ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องไปขอเงินคนใกล้ชิดหรือเครือญาติ นายวีระ เฉพาะนายวีระ มาชำระหนี้ผมมีรายได้แล้ว” นายสุรชัย กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มีนาคม 2553, 23:21:05 วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:48:54 น. มติชนออนไลน์
อียู"ติงนายกฯ มอนเตเนโกร อาจอดเป็นสมาชิก ถ้าไม่เลิกหนุนอาชญากรข้ามชาติ สื่อพุ่งเป้าให้สัญชาติ"แม้ว" "อียู" ส่งสัญญาณเตือนนายกฯ มอนเตเนโกร อาจแห้วเป็นสมาชิก ถ้าไม่เลิกหนุน"คอร์รัปชั่น-อาชญากรข้ามชาติ" สื่อมอนเตเนโกรพุ่งเป้าเกี่ยวพันกับการให้สัญชาติ"แม้ว" ทั้งที่ถูกพิพากษาทุจริต สื่อนอกชี้เสื้อแดงดึงคนกทม.เป็นแนวร่วมยาก เว็บไซต์หนังสือพิมพ์รายวันวีเจสติ และหนังสือพิมพ์รายวันพอบเจดาของมอนเตเนโกร ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของนายสเตฟาน ฟูเล กรรมาธิการด้านการขยายสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) ที่กล่าวถึงมอนเตเนโกรซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการขอเข้าเป็นสมาชิกของอียู เมื่อวันที่ 20 มีนาคมว่า หลังจากที่ได้พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรี มิโล ยูคาโนวิช ของมอนเตเนโกรแล้ว เขาพอใจกับความคืบหน้าของมอนเตเนโกร แต่เหนือสิ่งอื่นใดมอนเตเนโกรจะต้องปฏิรูปกฎหมายเพื่อต่อสู้กับการ คอร์รัปชั่นและบรรดาอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มอนเตเนโกรยังต้องปรับปรุง รายงานข่าวของทั้ง 2 ฉบับระบุว่า นายฟูเลเดินทางเข้าพบกับนายกรัฐมนตรียูคาโนวิช เพื่อ "ตักเตือนอย่างเป็นมิตร" ต่อพฤติกรรมของมอนเตเนโกร ที่ยังต้องปรับปรุงหากต้องการเข้าเป็นสมาชิกอียู โดยสื่อทั้ง 2 สำนักต่างยกกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดในข้อหาทุจริตในประเทศไทยและถูกรัฐบาลของอียูหลาย ชาติ เช่น อังกฤษและเยอรมนีสั่งห้ามเข้าประเทศ แต่กลับได้รับสถานะพลเมืองมอนเตเนโกร และเดินทางเข้ามาพำนักในมอนเตเนโกรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการไม่ต่อสู้กับการคอร์รัปชันและอาชญากรข้าม ชาติอย่างจริงจัง รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียูคาโนวิช แสดงอาการโกรธเกรี้ยวและปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณได้รับ สัญชาติมอนเตเนโกร โดยกล่าวว่า "ไม่ใช่คำถามที่ผมจะต้องตอบ คำถามทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ชินวัตรได้มีการตอบไปหมดแล้ว หากคุณถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับผม ผมถึงจะตอบ" ขณะที่ฟูเล กล่าวถึงกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณว่า เขาคุ้นเคยกับกรณีคล้ายๆ กันนี้เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้ยกกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณมาหารือกับนายยูคาโนวิชแต่อย่างใด และระบุว่ายังไม่ต้องการให้ความเห็นกับเรื่องนี้ ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เคลื่อนพลไปบนถนนสายต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ สถานการณ์ทางการเมืองอันร้อนแรงในประเทศไทยเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสถานการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนพลไปบนท้องถนนสายต่างๆทั่วกรุงเทพฯ เพื่อหวังที่จะหาแนวร่วมสนับสนุนจากคนกรุงเทพฯเพื่อร่วมต่อสู้ในสิ่งที่แกน นำกลุ่มเสื้อแดงประกาศว่าเป็นการร่วมกันปลดแอกการแบ่งแยกชนชั้นในประเทศไทย สำนักข่าวเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์ รายงานบรรยากาศการเคลื่อนขบวนพลของผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ที่ถูกระบุว่า กินระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร โดยเอพีระบุว่า ขบวนรถของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีอยู่กว่า 1,000 คัน ได้เคลื่อนขบวนไปตามท้องถนนสายต่างๆ ตลอดทั้งวัน โดยหวังว่าจะสามารถดึงแนวร่วมจากคนกรุงเทพฯให้มาร่วมต่อสู้ในสิ่งที่กลุ่มคน เสื้อแดงเรียกว่า "สงครามชนชั้น" กับรัฐบาลได้ นอกจากนี้ เอพียังนำเสนอแผนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามจะกดดันให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาเพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งใหม่ รวมถึงการที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่าจะนำเลือดที่เหลือไปให้กลุ่มศิลปินใช้ในการวาดรูป เพื่อเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ข้อเขียนของมาร์ติน เพ็ทตี้ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ พาดหัวข่าวว่า ม็อบเสื้อแดงพยายามที่จะเอาชนะใจคนกรุงเทพฯ โดยระบุว่าการเคลื่อนขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปตามท้องถนนสายต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ เป็นความพยายามที่จะดึงคนกรุงเทพฯที่เป็นชนชั้นกลางเข้าเป็นแนวร่วมสนับสนุน และร่วมกันรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลร่วมกันกลุ่มคนเสื้อแดง ข้อเขียนชิ้นนี้ยังอ้างความเห็นของนักเคราะห์หลายคนที่มองว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่ทำให้เกิดความรุนแรงในช่วง 6 วันที่ผ่านมา ทำให้มีผู้คนเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็เชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังจะต้องเผชิญกับการต่อสู้อย่างยากลำบากในการ ที่จะทำให้กลุ่มชนชั้นกลางที่เป็นกำลังขับเคลื่อนทางการเมืองที่สำคัญเข้ามา เป็นแนวร่วมสนับสนุนของกลุ่มคนเสื้อแดง รอยเตอร์อ้างความเห็นของนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวว่า คนส่วนใหญ่เห็นใจกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ต้องการที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สนับสนุนพ .ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีคดีความต่างๆมากมายจากการถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่มิชอบ โดยนายพิชญ์ชี้ว่า "สื่อมวลชนไทยเป็นอุปสรรคของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ให้ภาพว่ากลุ่มคนเสื้อแดง เป็นพวกที่หลับหูหลับตาสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนั่นหมายความหากคุณสนับสนุนพวกเขา เท่ากับว่าคุณยอมรับทักษิณ" ด้าน "ทูเดย์ ออนไลน์" เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ทูเดย์ สื่อสิ่งพิมพ์ชนิดแทบลอยด์ในประเทศสิงคโปร์ ได้นำเสนอข้อเขียนของนายไซมอน เทย์ ประธานสถาบันกิจการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ ที่ให้หัวเรื่องของบทความชิ้นนี้ไว้ว่า "สิ่งที่มากไปกว่าเสื้อแดง" โดยชี้ให้มองถึงปัญหาท้าทายที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังเผชิญนอกเหนือจากการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของม็อบเสื้อแดง โดยระบุว่าความไม่แน่นอนยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แต่มีบางประเด็นที่จะต้องคิดพิจารณาซึ่งอยู่นอกเหนือจากม็อบเสื้อแดง ประการแรกคือ รัฐบาลอภิสิทธิ์มีความยืดหยุ่นในการรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี กว่าที่หลายคนคาดคิด ทั้งๆที่รัฐบาลชุดนี้มีการแบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ แต่รัฐบาลก็สามารถท้าทายคำทำนายที่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะไปไม่รอดได้ง่ายและเร็ว ด้วย นอกจากนี้ แม้นายอภิสิทธิ์อาจจะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีซีอีโอแบบที่พ.ต.ท.ทักษิณทำให้ตนเอง เป็นเช่นนั้น แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลในอดีตปฏิบัติกันมาในการจัดการกับผลประโยชน์ทางอำนาจ ที่แตกต่าง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็เช่นกันที่ใช้อำนาจมากขึ้นในการจัดการกับประเด็นปัญหา ต่างๆ เช่นการสรรหาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อเทียบกับพ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะยังคงได้รับการสนับสนุนในบางพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ แต่เสียงสนับสนุนและสถานะทางการเงินของพ.ต.ท.ทักษิณถูกสั่นคลอน โดยจำนวนผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ลดลงทำให้เกิดความกังขาว่าการรวบรวมกลุ่มคน เสื้อแดงในจำนวนมากในระยะยาวจะยังสามารถทำได้หรือไม่ ประการที่ 2 ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มเสื้อเหลืองขัดแย้งกัน ได้มีกลุ่มที่ไม่สนับสนุนหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดเลยขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยเป็นกลุ่มคนที่ก่อตัวเป็นพลังชนชั้นกลางที่เป็นตัวแปรสำคัญทางความคิด เห็นในสังคมที่ทั้งกลุ่มเสื้อแดงและเสื้อเหลืองจะต้องฟัง กลุ่มคนที่ไม่เลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนี้ส่วนใหญ่ยอมรับคำตัดสินของศาล ในการค้นหาข้อเท็จจริงกรณีการกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่ ไปในทางมิชอบ แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังต้องการเห็นการขยายผลสอบสวนในคดีอื่นๆด้วยและยังเป็น กลุ่มที่ไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงใดๆไม่ว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มผู้สนับสนุน ฝ่ายใด แม้กระทั่งตำรวจและทหาร กลุ่มที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลุ่มนี้ยังมีความเหนื่อยหน่ายที่ประเทศต้องตกอยู่ ในภาวะที่การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอยู่ต่ำกว่าขีดความสามารถในช่วงหลายปีที่ ผ่านมา แม้คนกลุ่มนี้จะไม่ใช่ผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันอย่างแรงกล้า แต่พวกเขาก็ปรารถนาจะให้ประเทศมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจเติบโต คนกลุ่มนี้ยังตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกันในสังคมและความต้องการของคนจน ด้วย ไซมอน เทย์ ระบุว่า ปัจจัยข้างต้นยังนำมาสู่ปัจจัยที่ 3 ที่อยู่นอกเหนือประเด็นเรื่องของเสื้อแดง นั่นคือ ความต้องการธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น โดยได้หยิบยกกรณีของพ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับการสภอ.บันนังสตา จ.ยะลา ที่ถูกคนร้ายซุ่มโจมตีจนเสียชีวิต ซึ่งสำหรับคนไทยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เป็นมากกว่าโศกนาฎกรรมส่วนบุคคล ที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากนำมาสู่ประเด็นคำถามถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในระบบธรรมาภิ บาลและความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลในการดูแลผู้ที่รับใช้ประเทศชาติ กรณีนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าความไม่เที่ยงธรรมยังคงฝังแน่นอยู่ในสังคมไทย ไซมอน เทย์ สรุปทิ้งท้ายว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจจะรอดพ้นจากการเคลื่อนไหวประท้วงครั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่มีทางเลือก เพราะแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะประสบความสำเร็จในการช่วยปูทางให้กลุ่มที่สนับ สนุนพ.ต.ท.ทักษิณได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล แต่กลุ่มคนเสื้อเหลืองก็อาจจะออกมาเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลชุดนี้อีกได้ อย่างไรก็ตาม การอยู่รอดไม่ใช่ความสำเร็จ สิ่งที่ประเทศไทยต้องการคือรัฐบาลที่ไม่เพียงแต่จะอยู่รอดได้เท่านั้น แต่จะต้องบริหารจัดการได้ด้วย ปัญหาความเท่าเทียม ปัญหาภาคใต้ และนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายจะต้องได้รับการจัดการเพื่อเป็นหลัก ประกันความเชื่อมั่นของกลุ่มคนที่ไม่ได้เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คำตัดสินในหลายๆคดีที่ยังค้างคาอยู่ รวมถึงการปิดสนามบินสุวรรณภูมิของม็อบเสื้อเหลืองจะต้องได้รับการสรุปตัดสิน สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาท้าทายที่ไทยกำลังเผชิญ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 21 มีนาคม 2553, 22:05:14 เฮ้อ อยากรู้ใจอภิสิทธิ์จังว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 มีนาคม 2553, 13:21:43 รายงานพิเศษ:ปริศนาใครคืออำมาตย์ 80 กว่าๆ ในความหมายของทักษิณ
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 22 มีนาคม 2553 เวลา 12:24 น.postoday การโจมตี “อำมาตย์”ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ย่อมไม่ได้หมายถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพียงคนเดียว เพราะหลายครั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คำพูดเจาะจงอำมาตย์ที่แตกต่างกันเช่น พวกอำมาตย์ มหาอำมาตย์อำมหิต รวมถึง อำมาตย์อายุกว่า 80 ปี โดย-ทีมข่าวการเมือง ตลอดการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงเพื่อขับไล่รัฐบาลโค่นล้มอำมาตย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีบทบาทอย่างมากในการกดปุ่มกำหนดทิศทางการชุมนุมให้เป็นไปตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบม็อบ การสั่งการให้ทีม “เอ-บี-ซี” ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ตลอดจนแนวรบทุกด้านขึ้นเวทีเสื้อแดงโจมตีรัฐบาลและอำมาตย์ให้เข้มข้นมากขึ้น การจัดหาเสบียงกรัง การสั่งให้เต็มคนจากต่างจังหวัดมาร่วมชุมนุมให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการวีดีโอลิงค์ที่ถือเป็นว่าไฮไลท์สำคัญ เพราะจะเป็นช่วงที่คนเสื้อแดง ตั้งใจฟังมากเป็นพิเศษ จนเกิดภาพนายใหญ่กำลัง “สะกดจิต” มวลชนจนอยู่หมัด เนื้อหาในการวีดีโอลิงค์ตลอดทุกวัน นอกจากพ.ต.ท.ทักษิณ จะโจมตีนายอภิสิทธิ์ทั้งเรื่องการบริหารประเทศ ยังมีการใช้ข้อมูลเท็จมาปลุกระดมมวลชน เช่น คลิปเสียงนายกฯ ช่วงเหตุการณ์เมษาจลาจลที่ได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า เป็นการ “ตัดต่อ” มาใช้ปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงเกลียดชังรัฐบาล ยังมีการให้ความหวังกลุ่มคนเสื้อแดงว่าอย่าเหนื่อย อย่าท้อ รู้ว่าหิว แต่ก็อย่ายอมแพ้ ให้สู้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะใกล้ได้รับชัยชนะแล้ว หรือ การปูดข่าวว่ารัฐบาลจะจับตัวแกนนำในอีก1-2 วัน เพื่อปลุกให้คนเสื้อแดงมาที่ถ.ราชดำเนินกันมากๆ เหนืออื่นใด การวีดีโอลิงค์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ทุกครั้ง จะกล่าวโจมตี “อำมาตย์” อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน แสดงออกจากน้ำเสียงที่แข็งกร้าว บางครั้งก็เลือดแดงฉานขึ้นหน้า ขณะเดียวกัน สามเกลอก็สร้างวาทกรรมให้ “คนเสื้อแดง” เป็น “ไพร่” ในสมัยโบราณที่ถูกขุนนางอำมาตย์กดขี่ เพื่อสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นให้เห็นว่า สงครามของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้ระหว่างมหาชนชั้นระหว่าง “ไพร่กับอำมาตย์” หรือ “ชนชั้นล่างกับชนชั้นสูง” แต่หากดูข้อความที่พ.ต.ท.ทักษิณสื่อถึง “อำมาตย์” มีหลายถ้อยคำ อำมาตย์ในความหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ระบุว่าเป็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเพียงคนเดียว เพราะบางครั้งพ.ต.ท.ทักษิณใช้คำตรงๆ เจาะจงว่า เป็นพล.อ.เปรม ไม่ว่าจะเชิญชวน พล.อ.เปรม ไปพักผ่อนที่มอนเตนิโกบ้าง เพราะวิวสวยจะได้ไม่เครียดเนื่องจากไปสั่งศาล สั่งทหาร และสั่งพันธมิตร บางครั้งก็ใช้คำว่า เป็น “พวกอำมาตย์” ซึ่งก็ย่อมหมายความว่า มีเป็นคณะมากกว่าหนึ่งคน บ้างก็ใช้คำว่า “มหาอำมาตย์ที่อำมหิต” สะท้อนว่า เป็นอำมาตย์เหนืออำมาตย์ที่โหดร้าย อำมหิต หากถอดรหัสดูเนื้อหาการวีดีโอลิงค์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ในแต่ละช่วงที่เป็นไฮไลท์ของการโจมตีอำมาตย์อาจตีความคำว่า “อำมาตย์” ได้ต่างๆนาๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 มีนาคม 2553, 16:53:57 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kzogpa-51b69e.jpg)
โอ...พระเจ้า...นี่คือ ม็อบที่เรียกร้องประชาธิปไตย ชัดสุดๆเลยครับท่านทั้งหลาย วีรบุรุษ ของพวกเสื้อแดง อนาถใจจริงๆ ภาพนี้สดๆร้อน จากสพานผ่านฟ้า เย็นนี้เองครับท่าน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 22 มีนาคม 2553, 17:44:56 ไปเจอมาที่ web ชาวบ้าน ฟังแล้ว ไม่ต้องมีคำบรรยาย
http://www.fwdder.com/player/video/229657/0 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 22 มีนาคม 2553, 18:04:42
ขยี้ตาตัวเอง 2 รอบ .. หยิกตัวเองอีกหลายหน .. emo7:(: โอว มายก็อด .. อีนี่ฉานไม่ได้ฝันไปนะจ๊ะ นายจ๋า .. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 มีนาคม 2553, 18:05:24 อดทนเข้าไว้
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 21 มีนาคม 2553 เวลา 23:39 นposttoday . 7วันเข้าไปแล้ว สำหรับการระดมพลแดงเข้ามาเมืองกรุง เป้าหมายชัดเจน ไม่ต้องแปลอื่นไกล นั่นคือต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ภาพภายนอก เป็นข้อเรียกร้องให้ยุบสภา แต่เบื้องหลังเกมการเมืองมีมากกว่านั้น ทั้งการก่อกวน ยั่วยุ สร้างความรุนแรง ฯลฯ ทว่าไม่ว่าวิธีใด สุดท้ายไม่พ้นการมุ่งหวังให้การเมืองเปลี่ยนแปลง และเลือกตั้งใหม่ เพราะแดงเชื่อว่า หากเลือกตั้ง เพื่อไทยมาแน่ และไพร่ตัวพ่ออย่างทักษิณ ชินวัตร จะเป็นผู้กุมกลไกการเมืองอีกครั้ง อย่าเถียงเลยว่าไม่จริง รัฐบาลนอมินีในอดีตเป็นตัวชี้ชัดเจน ไพร่ทักษิณ ควบคุมรัฐบาลหุ่นกระบอกเยี่ยงไร ดังนั้น ม็อบแดงครั้งนี้ แม้จะมีการโฆษณาชวนเชื่อว่ามาด้วยอุดมการณ์ หาทุนส่งเสียตัวเองเข้ามาเมืองกรุง ฯลฯ แต่มองแล้วมองเล่า ผลสรุปที่ได้ไม่พ้นม็อบแดงมาจากทักษิณ เป็นของทักษิณ และเพื่อทักษิณ ขบวนการแดง จึงไม่ใช่ ประชาธิปไตย แต่เป็น เหลี่ยมไพร่จำบัง ต่างหาก แล้วเราจะทำอย่างไรดี คำตอบก็คือไม่ต้องทำอะไร คนในม็อบแดงมากมายคือคนไทยเหมือนกัน แม้จะแตกต่างที่ความคิด หรือมาด้วยเหตุต่างๆ หากจะมีคนผิด ก็คงพวกหัวโจกต้นตอเท่านั้น ต้องอดทน ให้คิดเสียว่า ม็อบ กับ ประชาธิปไตย คล้ายๆ สิว บน ใบหน้า เป็นเรื่องธรรมชาติ เราจำเป็นต้องอยู่กับม็อบ เหมือนกับร่างกายต้องมีเชื้อโรค สิ่งสำคัญคือต้องประคับประคองร่างกายให้แข็งแรง อย่าให้เกิดโรคแทรกซ้อนคุกคาม ประชาธิปไตยเมืองไทย จำเป็นต้องผ่านการเรียนรู้ครั้งสำคัญ เหมือนร่างกายต้องเผชิญกับเชื้อห่าธนามหาศาล หากผ่านพ้นไปได้เราจะมีภูมิคุ้มกันมากกว่าเดิม การเปลี่ยนถ่ายให้พ้นปรากฏการณ์เหล่านี้ จึงจำเป็นต้องอดทน รัฐบาลอย่าไปยุบสภา จะเกิดเหตุอันใดประชาชนต้องสงบใจเอาไว้ อย่าโกรธแค้น มองไปที่นัยน์ตาล้วนสายเลือดไทยเหมือนกัน เชื่อเถอะ ใครที่คิดหวังจะดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน สร้างสงครามชนชั้น ทำให้เกิดความบาดหมางไม่มีที่สิ้นสุด มันผู้นั้นต้องแพ้ภัยตัวเอง ไม่มีแม้แผ่นดินเกิดกลบหน้า!!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 22 มีนาคม 2553, 18:54:52 วันนี้งานยุ่งตั้งแต่เช้าเลย ..
ทั้งงานด่วนและงานสำคัญนัดหมายมาถึงโต๊ะพร้อม ๆ กัน หัวปั่นตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้า .. บ่ายมีบรรยายให้หลักสูตรผู้กำกับของ สนง.ตำรวจแห่งชาติ ตั้งใจว่า ตอนเย็นจะกลับมาทำงานต่อ .. จะมืดค่ำหน่อยคงไม่เป็นไร ตั้งใจปั่นงานให้เสร็จ ระหว่างเดินทางกลับที่ทำงาน ลูกน้องโทรมาบอกว่า 'พี่ไม่ต้องเข้า office แล้วนะคะ .. ทหาร ตำรวจ ขอให้ออกนอกพื้นที่ให้หมด 100% ภายใน 16.30 น. จะทำการตรวจวัตถุระเบิดค่ะ' โอว .. แม่เจ้า สถานที่ทำงานของพลเรือนไม่เกี่ยวกับความมั่นคง ทหาร ตำรวจ หรือการตรวจสอบใด ๆ ยังโดนด้วยหรือนี่ !! emo19:((: เชื่อแล้วว่า .. การเมืองเป็นเรื่องของทุกคนจริง ๆ จ้า .. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 22 มีนาคม 2553, 20:38:36 เชื่อเถอะ ใครที่คิดหวังจะดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน สร้างสงครามชนชั้น ทำให้เกิดความบาดหมางไม่มีที่สิ้นสุด
มันผู้นั้นต้องแพ้ภัยตัวเอง ไม่มีแม้แผ่นดินเกิดกลบหน้า!!! ผมอยากให้เป้นอย่างนั้นเร็วๆ จังเรื่องจะได้จบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 23 มีนาคม 2553, 05:44:58 (http://img144.imageshack.us/img144/7008/mgrpdf20100322page01.jpg) (http://img405.imageshack.us/img405/4592/mgrpdf20100323page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 23 มีนาคม 2553, 06:00:28 (http://img405.imageshack.us/img405/754/obamark01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 23 มีนาคม 2553, 09:07:11 วิดีโอ แจกเงินคนละ 2 พันบาท ก็เห็นๆ กันมาแล้ว พิสูจน์ "มาด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง" "ไม่มีใครจ้าง กูมาเอง" คราวนี้ ลองมาดูภาพกันจะจะ มีโพ-มีโพยก๊วน กันเลย มิน่า ประท้วงได้แค่ 7 วัน เลยเลิก น่าจะประท้วงสักเดือน จะได้มีการหมุนเวียนของเงินบาป สัก พันล้านบาท (http://img413.imageshack.us/img413/3756/buy1.jpg) (http://img413.imageshack.us/img413/237/buy2.jpg) (http://img413.imageshack.us/img413/7104/buy4.jpg) (http://img413.imageshack.us/img413/9828/buy5.jpg) (http://img413.imageshack.us/img413/6147/buy6.jpg) (http://img155.imageshack.us/img155/1513/buy7.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 มีนาคม 2553, 10:03:03 สื่อนอกคุ้ยวีรกรรมประจาน'แม้ว'-ยันแดงตัวพ่อถูกยูเออีตะเพิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มีนาคม 2553 04:06 น. วอลแตร์ เนตเวิร์ค - สื่อมวลชนสากล ติดตามการชุมนุมของนปช. ถลกหนังแดงตัวพ่อ "ทักษิณ" ประจานใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ปราบปรามมุสลิมและละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีทำสงครามต้านยาเสพติด พร้อมชี้ชัดอดีตนายกรัฐมนตรีไทยรายนี้ถูกขับออกจากดูไบแล้ว ฐานละเมิดสถานะลี้ภัยทางการเมือง เว็บไซต์ วอลแตร์ เนตเวิร์ค (www.voltairenet.org) หรือ Voltaire Network International ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อมวลชนนานาชาติไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รายงานสถานการณ์การเมืองไทยว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีผู้ประท้วงเสื้อแดงนับแสนคนซึ่งเป็นฝักใฝ่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ออกมาชุมนุมกันในเมืองหลวง พร้อมทั้งรวบรวมเลือด 300 ลิตร เทหน้าบ้านพักของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ในรายงานข่าวชิ้นนี้ได้นำเสนอประวัติของ ทักษิณ ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีเจ้าพ่อโทรคมนาคม สร้างและควบคุมจักรวรรดิทางธุรกิจมือถือชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและสายการบินต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม วอลแตร์ เนตเวิร์ค ระบุว่าตลอด 5 ปีที่เขาครอบครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าและหลีกเลี่ยงภาษี ปราบปรามชนกลุ่มน้อยมุสลิม จนมีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 2,000 ราย เขาประกาศทำสงครามยาเสพติดที่คร่าชีวิตพลเรือนไปกว่า 2,500 ศพ ต้องสงสัยว่าวางแผนเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ ทั้งนี้เขาถูกโค่นอำนาจจากรัฐประหารในปี 2006 ระหว่างอยู่ในนิวยอร์ก เพื่อร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เขาถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ในข้อหาฉ้อฉล และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลฎีกาก็มีคำพิพากษายึดทรัพย์ 1,400 ล้านดอลลาร์(4.6 หมื่นล้านบาท) จากทรัพย์สินของครอบครัวชินวัตรให้ตกเป็นของแผ่นดิน สื่อมวลชนแห่งนี้รายงานต่อว่าหลังจากรับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ทักษิณ ก็กลับมาปักหลักในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเมื่อเร็วๆนี้เขาปลุกเร้าผู้สนับสนุนอย่างเผ็ดร้อนให้ลบล้างคำตัดสินของศาล กดดันรัฐบาลให้ลาออกและจัดการเลือกตั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม วอลแตร์ เนตเวิร์ค ระบุว่าจากกรณีที่ใช้ดูไบสั่นคลอนเสถียรของไทย เขาจึงถูกขับไล่จากเอมิเรตส์ ฐานฝ่าฝืนสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง และไม่นานที่ผ่านมาเขาเดินทางไปยังมอนเตเนโกร ประเทศที่เขาได้รับสถานะพลเมืองจากการอนุมัติของนายกรัฐมนตรีมิโล ยูคาโนวิช ทั้งนี้ขณะที่เขาพำนักในมอนเตเนโกร ทักษิณได้ลงทุนในอุตสาหกรรมโรงแรมในพอดกอรีตซา สำหรับมอนเตเนโกร เป็นรัฐในอารักขาของสหภาพยุโรป ใช้เงินสกุลยูโรแต่ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิก ขณะที่ ยูคาโนวิช ถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ยุติธรรมของอิตาลีว่าเป็นหนึ่งในแกนนำองค์กรอาชญากรรมคามอร์ราและดูแลการลักลอบค้าบุหรี่เถื่อนในยุโรป อย่างไรก็ตามเขาไม่ถูกจับกุมเนื่องจากความคุ้มกันทางการทูต [/color] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 มีนาคม 2553, 10:13:58 อันตราย
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 23 มีนาคม 2553 เวลา 08:56 น.posttoday หน้าร้อนนี้มาเร็วกว่าปกติ ยังไม่ทันถึงเดือน เม.ย. คลื่นความร้อนกระจายไปทั่ว กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงานสถานการณ์ภัยแล้ง มีพื้นที่ประสบภัยแล้งกระจายถึง 52 จังหวัด ประชาชนเดือดร้อน 6.4 ล้านคน เป็นจำนวนครัวเรือนถึง 1.7 ล้านครัวเรือน หรือพูดง่ายๆ คนไทย 10% ของทั้งประเทศได้รับผลกระทบภัยแล้งเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โลกทั้งโลกกำลังร้อน แต่ที่เมืองไทย อาจจะร้อนกว่าที่ใดๆ ในโลก แผ่นดินกำลังแตกระแหง ความแห้งปะทุจากชนบทเข้ามาสู่กลางเมือง กลางกรุงเทพมหานคร และความร้อน แล้ง กำลังลามเข้าสู่หัวใจคนไทย หัวใจคนไทยกำลังแตกแยก ทั้งหมดไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่เป็นเพราะทำกันขึ้นมา ความรุ่มร้อนเพราะอากาศ เมื่อมาผสานกับความร้อนในใจ ยิ่งทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะอันตราย ม็อบแดงที่คงอยู่ เริ่มแผ่ซ่าน สร้างความเกลียดชังฝังแน่นในหัวใจ นี่แหละ อันตราย ยิ่งเข้าสู่จุดแห่งการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากเท่าใด คำว่าเหตุผล หรือสติ จะหดหาย เหลือแต่อารมณ์เข้ามาแทนที่ สุดท้ายถูกผิดไม่ต้องสนใจ เหลือแต่พวกกูเท่านั้น เมื่อนั้นอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ เข้าขั้นหน้ามืดเต็มรูปแบบ บ้านเมืองเราเคยแบ่งสี แบ่งแยกอุดมการณ์ทางความคิดครั้งสำคัญเมื่อช่วงปี 2516-2519 ครั้งนั้นเลือดนองแผ่นดิน นิสิต-นักศึกษาต้องหนีเข้าป่า เป็นความแตกแยกที่ต้องใช้เวลานานนับสิบปีถึงเยียวยาได้ ครั้งนี้น่าอันตรายไม่แพ้กัน เมื่อมีการจุดไฟในหัวใจม็อบแดง ประกาศสร้างสงครามประชาชน ภายใต้ชื่อสงครามมหาไพร่ เป็นการสร้างความแบ่งแยกของคนเป็นชนชั้น ตอกลิ่มสร้างภาพในใจว่า กำลังถูกเอาเปรียบ เป็นการสร้างภาพหากทักษิณ ชินวัตร กลับมาวันใดทุกคนจะร่ำรวยทันตาเห็น ขณะที่ทักษิณสำราญอยู่กับโรงแรมแห่งใหม่ ประเทศไทยกลับกำลังสุ่มเสี่ยงจะบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามแย่งชิงอำนาจ สงครามที่ตั้งเป้าระดมคนเรือนหมื่นเรือนแสนเข้ามา เหมาเจ๋อตง เคยกล่าวถึงการทำสงครามประชาชนไว้ว่า สงครามปฏิวัติคือสงครามของมวลชน มีแต่ระดมมวลชนเท่านั้นจึงจะสามารถดำเนินสงครามได้ มีแต่อาศัยมวลชนเท่านั้นจึงจะสามารถดำเนินสงคราม มวลชนเรือนแสนเรือนล้านที่สนับสนุนการปฏิวัติ คือ ผนังทองแดง กำแพงเหล็กอันแท้จริง ที่อะไรก็ไม่สามารถตีให้แตก เมื่อรวบรวมประชาชนเรือนแสนเรือนล้านไว้ และคลี่คลายขยายสงครามปฏิวัติออกไปแล้วก็จะทำลายพวกศัตรูทั้งปวง เราก็จะสามารถยึดประเทศได้ทั้งหมด แหล่งที่มาอันอุดมที่สุดของพลังยิ่งใหญ่แห่งสงครามอยู่ที่หมู่มวลชน จึงเป็นสิ่งน่าคิด ผู้อยู่เบื้องหลังแดงคิดอะไรอยู่ ยิ่งมอง-ยิ่งน่าอันตราย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 23 มีนาคม 2553, 14:46:05 http://www.youtube.com/watch?v=OxFyQ7OIF9k เพลงใหม่ล่าสุด "แม้ว ซังเต" เอ้ย "แม้ว มอนเต" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 มีนาคม 2553, 21:35:18 วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:33:15 น. มติชนออนไลน์
ศอ.รส.ประกาศ 2 ฉบับ ห้ามใช้ 8 เส้นทางคมนาคม-ห้ามก่อความไม่สงบ ถ้าเป็นผู้ชุมนุมงัดคำสั่งศาล ปค.คุม เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มีนาคม พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า ศอ.รส. ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 8 สาย ดังนี้ 1.ถนนนครราชสีมา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ.ถึงแยกสวนรื่นฤดี 2.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกอุภัย 3.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร 4.ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ. ถึงแยกเสาวนีย์ 5.ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่แยกพระรูปรัชกาลที่5 ถึงแยกอู่ทองใน 6.ถนนสวรรคโลก ตั้งแต่แยกเสาวนีย์ ถึงแยกสวรรคโลก 7.ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวรรคโลก ถึงท่าน้ำสามเสน และ8.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงแยกอู่ทองใน ซึ่งคาดว่าใน1-2 วันนี้จะมีการประชุมสภา ซึ่งจะใช้รัฐสภาเป็นสถานที่ประชุม พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า สำหรับฉบับที่ 2 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดม ยุงยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรงหรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่น คงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา อู่ทองใน เขตดุสิต กทม. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการห้ามยานพาหนะเข้าถนนทั้ง 8 สายดังกล่าวและห้ามเข้ารัฐสภา “หากผู้ใดฝ่าฝืน เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลาง เคยมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตามคดีหมายเลขดำที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว” รอง ผบช.น.กล่าว พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า หากฝ่าฝืนทั้งไปปิด ไปล้อม ไปก่อเหตุ ทำให้ประชาชนหวาดกลัวถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ เพราะเมื่อห้ามยานพาหนะ ห้ามคนเข้าไป หากเข้าไปถือว่าผิดกฎหมาย โดยจะมีการนำประกาศข้อบังคับไปปิดตามจุดต่างๆ เพื่อให้รู้ให้เห็นจับต้องได้ กว่า 2,000 แผ่น ส่วนจะห้ามถึงวันใด บช.น.ยังไม่ทราบ อยู่ที่ศอ.รส. โดยมีการเริ่มตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยการห้ามผู้เข้ารัฐสภาเป็นการห้ามผู้อาจมีพฤติกรรมก่อความวุ่นวายขึ้น ด้านพล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ปัญหาการจราจรต้องมีการแก้ไขปัญหารายชั่วโมง ตำรวจต้องทำงานตั้งแต่ดึก สำหรับแยกสำคัญทั้งแยกการเรือน แยกราชวิถี แยกอู่ทองใน แยกเบญจ นั้น พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. (จราจร) จะมีการเปิดขาเข้าบางส่วน และเปิดขาออกช่วงเย็นในเบื้องต้น ส่วนสภาพการจราจรก็จะแก้ไขปัญหาตมห้วงเวลาหากติดอีกก็จะเปิดบางจุด ตามประกาศ พรบ.ความมั่นคง ซึ่งเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่สามารถสามารถอนุญาตได้ สำหรับเรื่องอื่นๆกำลังเข้าจุดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยตำรวจทหารทั้งหมดไม่มีอาวุธ โยตำรวจใช้กำลัง 22 กองร้อยดูแลรัฐสภา โดยในรัฐสภามีกำลังแค่ 3 กองร้อย เตรียมพร้อมเพื่อพร้อมในการชุมนุม โดยสำหรับการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมาข้อมูลจากสันติบาล มียอดสูงสุดที่ 15,500 คน เมื่อถามถึงเหตุระเบิดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า เหตุระเบิดเกิดเวลา 20.30 น. ที่หน้าสำนักงานแขวงการทางธนบุรี พบกระเดื่องระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดเอ็ม 67 โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวกับการเมือง เพราะมี รปภ.ถูกไล่ออก 1 คน และระเบิดที่ป้อมยาม อีกทั้งตรงนั้นเป็นที่ซ่อมทางไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่บังเอิญว่าคนร้ายใช้วัตถุระเบิด โดยจะดูกล้องวงจรปิดและตรวจสอบทั้งหมด ถามว่าจะมีการขอศาลออกหมายจับชายในภาพสเกตซ์ที่ต้องสงสัยเป็นคนร้าย ยิงระเบิดอาร์พีจีที่กระทรวงกลาโหม 2 คนหรือยัง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การสืบสวนคืบหน้าไปมาก ใกล้คว้าคอเสื้อแล้ว โดยเรื่องนี้ต้องถาม น.1 (พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.) ซึ่งน.1 ยืนยันในที่ประชุมว่าไม่ใช่แพะ ของแท้ ส่วนการออกหมายจับยังไม่มี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 24 มีนาคม 2553, 07:43:54 (http://img87.imageshack.us/img87/5472/mgrpdf20100324page01.jpg) (http://img405.imageshack.us/img405/7268/mgrpdf20100324page33.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มีนาคม 2553, 10:18:00 วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:09:40 น. มติชนออนไลน์
อัยการเร่งตร.นำตัว"วีระ-ณัฐวุฒิ-จตุพร"ส่งฟ้องป่วน บ้านสี่เสาฯ พร้อมแนวร่วมนปช.อีก12คน นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ถึงการติดตามตัวนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และแนวร่วมอีก 12 คน ที่ไปชุมนุมก่อความวุ่นวาย หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อค่ำวันที่ 22 กรกฎาคม 2550 ซึ่งอัยการสั่งฟ้องต่อศาลอาญาแล้ว ว่าได้ประสานให้ตำรวจนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อัยการสามารถนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อศาลได้แล้ว 3 ราย คือ นายนพรุจ หรือพรุฒ วรชิตวุฒิกุล แกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 นายวีระศักดิ์ เหมธิลิน และนายวันชัย นาพุทธา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการสูงสุดมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องแกนนำเสื้อแดง 10 คน ประกอบด้วย นายวีระ นายจตุพร นายจักรภพ นายณัฐวุฒิ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นพ.เหวง โตจิราการ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ และนายนพรุจ รวมทั้งผู้ร่วมชุมนุมก่อความวุ่นวายอีก 5 คน ประกอบด้วย นายบรรธง สมคำ ม.ล.วีระยุทธ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา นายศราวุธ หลงเส็ง นายวีระศักดิ์ และนายวันชัย ข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มีนาคม 2553, 14:53:52 คนเสื้อแดงสันติวิธีจริงหรือ?
ประเด็น:เสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ , 23 มีนาคม 2553 เวลา 21:39 น.posttoday online การชุมนุมนับจากนาทีนี้ไปเป็นโอกาสที่ นปช.จะพิสูจน์ตัวเองว่าสันติวิธี อหิงสา ตามที่ประกาศไว้หรือไม่ จะสร้าง ประวัติศาสตร์เลวร้ายซ้ำรอยหรือเปล่า โดย ทีมข่าวการเมือง การชุมนุมของแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้งก่อนหน้านี้และปัจจุบันที่ ยืดเยื้อหลายวัน มีสิ่งหนึ่งที่แกนนำนปช. ทั้ง วีระ มุสิกพงษ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ เหวง โตจิราการ พยายามบอกกับผู้ชุมนุมอยู่เสมอ นั่นคือคำว่า “คนเสื้อแดงจะต่อสู้แบบสันติวิธีและยึดหลักอหิงสา” เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เป็นความพยายามที่แกนนำคนเสื้อแดงจะลบภาพความ รุนแรงของเหตุการณ์เมษาเลือดเมื่อปีที่แล้ว บทเรียนครั้งนั้น แม้จะโยนความผิดเป็นการกระทำของเสื้อแดงปลอม แต่ก็ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ จนต้องยอมรับกับผู้ชุมนุมว่า “พี่ น้องจำได้มั้ย การใช้ความ รุนแรงครั้งนั้น ทำให้เราแพ้อย่างราบคาบ และเราจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” อย่างไรก็ตามกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช.ที่ผ่านมา เริ่มมีคำถามว่า แท้ จริงแล้ว นปช.ยึดสันติวิธีตามที่ประกาศไว้หรือไม่ แม้ในช่วงที่ผ่านมาแกนนำจะพยายามล้างภาพให้ดูดีเช่น หมอเหวง โตจิรการ ตั้งขบวนสันติวิธีไปตรวจค้นอาวุธทหารตำรวจ แต่ก็เป็นภาพที่สวนทางอีกเช่นกัน การสันติวิธีมีสิทธิ์อะไรไปตรวจค้นอาวุธเจ้าหน้าที่ เพราะไม่มีประเทศไหนโลก ให้ประชาชนมีอำนาจบาตรใหญ่ตรวจค้านอาวุธเจ้าหน้าที่รัฐ เว้นเสียแต่เป็นประเทศไร้รัฐ ไร้การศึกษา ไร้กติกา ปกครองด้วยกฎหมู่ ก่อนหน้านี้ ก็มีปรากฎการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้เรียนรู้วิธีการสันติวิธีอย่างเข้าใจถ่องแท้หรือไม่ เริ่มจากการระดมเลือดของผู้ชุมนุมไปราดที่ทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงบ้าน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” วิธีดังกล่าวถือว่าเป็นการชุมนุมอย่างสันติวิธีหรือไม่ เพราะนอกจากการนำเลือดซึ่งถือว่าเป็นขยะติดเชื้อที่สกปรกที่สุด การขว้างปาใส่สถานที่รัฐอาจพอทำเนาในเชิงต่อต้านสัญลักษณ์ แต่การขว้างปาใส่บ้านพักส่วนตัว อาคารสำนักงานเอกชน บุคคล องค์กรล้วนมีสิทธิปกป้องตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีสิทธิที่ผู้อื่นจะไปละเมิด แม้ว่าหลายสำนักจะฟันธงว่าพิธีกรรมดังกล่าว เป็นเรื่อง โหราศาสตร์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า การใช้เลือด ถือว่าเป็น สัญลักษณ์ของการกระตุ้นให้มีความรุนแรง แม้แต่บทวิเคราะห์สื่อไทยและเทศหรือแม้แต่นักสันติวิธี มีความเห็นตรงกัน วิธีดังกล่าวไม่ใช่แนวทางสันติวิธี เพราะถ้าจะลงลึก ก็เป็นวิธีการของ เผ่าพันธุ์ชนป่าที่ไร้อารยะ ประเภทจับคนมาบูชายัญเซ่นสังเวยด้วยเลือดทำนองนั้น ท่ามกลางคำถามว่า ทำไมคนเสื้อแดง ไม่เลือกวิธีการชุมนุมแบบอหิงสาที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อาทิ การอดข้าวประท้วง การ โกนผมประท้วง แต่กลับกลายเป็นว่าสร้างหลักสันติวิธีด้วยการให้ผู้ชุมนุมเดือดร้อนไม่พอยังให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนไปด้วยจากการถูกขว้างปา การจัดคาราวานทัวร์กรุงฯ ของกลุ่มนปช.ที่อ้างว่าเป็นการขอบคุณประชาชนคนกรุงเทพฯ ด้วยการจัดขบวน มอเตอร์ไซด์ 2 หมื่น คัน รถกระบะและรถอื่นอีก 7,000 คัน ตามถนนเส้นหลักของกรุงเทพฯ ทั้ง เพชรบุรี ลาดพร้าว รามคำแหง สีลม เยาวราชฯลฯ จนการจราจร ทั่วกรุงเทพฯเป็นอัมพาต ภาพที่เกิดในวันนั้นแม้ดู เหมือนว่าจะไม่มีเสียงต้าน แต่ความรู้สึกลึกๆของคนที่ต้องใช้ถนนสัญจรในวันนั้นคงไม่ต้องพูดถึงว่าจะ รู้สึกอย่างไร เดือดร้อนแค่ไหน หรือแม้แต่การตระเวนแจกสติ๊กเกอร์ยุบสภา ซึ่งแม้จะเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ แต่กลับภาพที่ปรากฎด้วยการยัดเยียดใส่มือผู้คนที่ไม่ประสงค์จะรับ ครั้นปฏิเสธก็พาลหาเรื่องเอาความ กลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกัน อย่างนี้หรือคือการสร้างสันติวิธีตามที่แกนนำได้เน้นย้ำกับผู้ชุมนุม หันมาพิจารณาคำปราศรัยบนเวทีที่ออกแนว คุกคาม ข่มขู่ หยาบคายบ่อยครั้ง เช่น การที่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ ระเบิด ประกาศบนเวทีหลายครั้งว่าจะเป็นคนเด็ดหัว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยเฉพาะวันที่ นปช.นำ เลือดไปสาดที่บ้านนายกฯ “อริสมันต์”ได้ประกาศว่า “ยังดีที่นายอภิสิทธิ์ไม่อยู่บ้าน ไม่เช่นนั้นจะเข้าไปเลือดหัวนายอภิสิทธิ์มาล้างเท้า” นี่คือสันติวิธีหรือไม่ สำทับด้วย “จตุพร” ที่กล่าวตอบโต้ นาย ทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี ที่ออกมา ตั้งข้อสังเกตว่าเลือดทั้งหมดเป็นเลือดคนหรือไม่ ว่า “ถ้าว่ากันแบบนี้ เดี๋ยวครั้งหน้าจะไปหาเลือดเอาข้างหน้า และตอนนี้ เลือดยังเหลืออีกเยอะ จะไปราดตอนไหน ที่ไหนก็ได้” นี่คือวาทะกรรมสันติวธีหรือไม่ และยังมีการประกาศในทำนองที่ว่าจะ ไล่ล่านายกฯหรือไล่ล่าบุคคลในรัฐบาลในทุกที่ๆ การปิดล้อมสถานที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา เห็นได้ชัดๆจากการตามไปไล่นายอภิสิทธิ์ ทีไปตรวจแม่น้ำโขง ที่จ.อุดรราชธานี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่ม เพื่อนทหารตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประกาศว่า ครั้งหน้าถ้ารัฐบาลยังไม่ยุบ สภา เครือข่ายรถบรรทุกจะมาร่วมปิดเมืองด้วย โดยครั้งนี้จะเอาเฉพาะรถบรรทุกที่ติดแก๊สมาเท่านั้น ยังมินับรวมถึงการใช้คำหยาบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำว่า กู มึง เห้- ห่า ฯลฯ รวมถึงเหตุการณ์ ความรุนแรงที่มีการปาระเบิดในหลายที่ ทั้งที่ สำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ ถนนสีลม การจับ กุมแท็กซี่ที่ปาระเบิดเพลิงเข้าไปภายใน กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) อดีตที่ผ่านมา คำว่า สันติวิธี อาจเป็นคำที่สะกดได้ยากในมวลหมู่คนเสื้อแดง จึงทำให้สร้างสมความรุนแรงบ่อยครั้ง ที่ยังติดตาสังคมอยู่ถึงวันนี้ คือเหตุการณ์เมษาเลือด ที่มีการบุกล้มการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่พัทยา การปิดบ้านเผาเมือง การปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภุมิซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการขนส่งมวลชนของคน กรุงเทพฯ เผารถเมล์ไปเกือบ 60 คัน การใช้รถแก๊ส เปิดวาล์วข่มขู่ประชาชนที่ดินแดง การใช้ระเบิดขวดขว้างปาตามสี่แยกต่างๆ การบุกข่มขู่ประชาชนทั้งที่ชุมชนเพชรบุรี ซอย 7 ชุมชนยางเลิ้ง ฯลฯ ที่คนเสื้อแดงได้สร้างวีรกรรมไว้ จนทำให้คนกรุงเทพฯหวาดหวั่นทุกครั้งที่คนเสื้อแดงประกาศว่าจะมีการเคลื่อนพล รวม ทั้งวีรกรรม “ปิดสภา-ปาหิน-ทุบรถ” เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีการโหวตเลือก นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ซี่งครั้งนั้นมีส.ส.หลายคนได้รับบาด เจ็บ และมีรถยนต์เสียหายจำนวนมาก การปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2551 ที่ถนนราชดำเนินจนเป็นเหตุให้มีการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช การปิด ล้อมทำร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ จ.อุดรธานี การฆ่าพ่อ แกนนำพันธมิตรฯที่จ.เชียงใหม่ การใช้หินขว้างปารถของกองทัพธรรมที่สนามหลวง การบุกบ้านสี่เสาเทเวศน์ ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้จึงเกิดคำถามว่า แท้จริงแล้วคนเสื้อแดงสันติวิธี จริงหรือเปล่า หรือสันติวิธีแต่ปาก สันติวิธีแบบปากว่าตาขยิบ และจะสันติวิธีได้นานแค่ไหน การชุมนุมนับจากนาทีนี้ไปเป็นโอกาสที่ นปช.จะพิสูจน์ตัวเองว่าสันติวิธี อหิงสา ตามที่ประกาศไว้หรือไม่ จะสร้าง ประวัติศาสตร์เลวร้ายซ้ำรอยหรือเปล่า เพราะถ้าสันติ วิธีจริงต้องไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะการท่องจำให้ขึ้นใจ สันติวิธีคือความสงบไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 24 มีนาคม 2553, 21:48:43 วันนี้ นอกจากเสื้อแดงยังมีกางเกงในแดงมาประท้วงหน้ารัฐสภา
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มีนาคม 2553, 22:36:21 เจ็บคออีกแล้วครับท่าน เป็นวันที่3 แล้ว สงสัยเป็นโรค ดูไบ ติดคอแหง๋ๆ
วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16:18:22 น. มติชนออนไลน์ "แม้ว"ทวิตขอโทษ"เสื้อแดง"ป่วยช่วงสำคัญ โยนเจรจารบ.หน้าที่"สามเกลอ" พล่ามเรื่องเดิมไทยเผด็จการอำมาตย์ เมื่อเวลา 15.45 น.วันที่ 24 มีนาคม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิต ผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ระบุ ว่า วันนี้ต้องให้หมอฉีดยาเพื่อจะได้พูดกับพี่น้องได้เร็วๆ ต้องขอโทษเป็นอย่างมาก ที่ดันมาป่วยในช่วงสำคัญอย่างไรก็ขอให้เข้มแข็งผนึกกำลังให้แข็งแรงนะ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ทวิตข้อความถึงการเจรจากับรัฐบาลว่า "มีคนพูดว่าทำไมไม่เจรจา ต้องเรียนว่าเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่ อำนาจของรัฐบาลแล้วก็ยังแย่ได้อีกเขาจึงขอให้ยุบสภา เพราะฉะนั้นการเจรจาหรือไม่เจรจาไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของสามเกลอและคนเสื้อแดงเขา ถึงแม้ว่าผมจะถูกรังแกอย่างเจ็บปวดแต่ยังเทียบไม่ได้กับ ความเสียหายของประเทศ/ประชาชนโดยรวมทต้องตกอยู่ในภาวะที่ประเทศเป็นเผด็จการ อำมาตย์ รัฐบาลเป็นเพียงหุ่นเชิดกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง 2 มาตรฐาน ทหารเตรียมพร้อมปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคที่โลกทั้งโลกเขาพากันไปไกลแล้ว แถมยังมีสื่อสารมวลชนที่เป็นสถานีโปรปากานดามากกว่า" วันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณทวิตข้อความผ่านเว็บบล็อก Twitter.com ว่า "มีคนใช้ facebook ชื่อผม บอกกับคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมให้กลับบ้าน ต้องเรียนว่ามารเยอะจริงๆ มาในรูปแบบต่างๆ จนตามไม่ทัน ขอบอกว่าไม่จริงและขอให้ร่วมสู้" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 25 มีนาคม 2553, 06:37:43 http://www.youtube.com/watch?v=kfw6sZuNqUk http://www.youtube.com/watch?v=ef1JYTQFhdc http://www.youtube.com/watch?v=x9OKeymKmqw http://www.youtube.com/watch?v=0maBdLzLcwk http://www.youtube.com/watch?v=VcaSkhwGgE0 http://www.youtube.com/watch?v=MdTK6vmr26E แฉ ทักษิณ ปลุกม็อบแดง ขู่รัฐบาล คืนเงิน 7 หมื่นล้าน ประกาศลั่น “ไม่ทำตาม... ประเทศไทยฉิบหายแน่ !” มีคำถามมากมายบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร สู้กับใคร? และ สู้เพื่อใคร ? ใครได้ประโยชน์บนการต่อสู้ของทักษิณ ? ประชาชน ได้อะไร และ ประเทศชาติ ได้อะไร ? ข้อสงสัยในความร่ำรวยของทักษิณ ชินวัตร มิได้อยู่ในวงจำกัดแค่คนไทย และในประเทศไทย คนทั้งโลกก็สงสัยว่าจริงๆ แล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีเงินทองมากมายมหาศาลขนาดไหนกันแน่ เพราะขนาดถูกอายัดทรัพย์ทั้งของตนเองและครอบครัว รวมกันกว่า 76,000 ล้านบาท แต่ ทักษิณ ก็ยังใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐีติดอันดับโลก ทั้งๆ ที่ ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด ที่ทักษิณ แจ้งต่อคณะกรรมการป.ป.ช. นั้น ถูกอายัดไว้ ไม่สามารถนำไปใช้ได้แม้แต่บาทเดียว เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว แต่ 3 ปีที่ผ่านมา ทักษิณ สามารถเดินทางไปได้ทุกประเทศทั่วโลก ที่อยากจะไป ด้วย เครื่องบินส่วนตัว พักโรงแรมชั้นหนึ่งคืนละหลายแสนบาท ไม่เพียงแต่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แบบมหาเศรษฐีระดับโลก ทักษิณ ยังทุ่มเงินกว่า 10,000 ล้านบาท ซื้อสโมสรฟุตบอลอาชีพ ในประเทศอังกฤษ และใช้เงินอีกเกือบ 500 ล้านบาท ซื้อคฤหาสน์หลังงามในอังกฤษ ให้ลูกสาวอยู่อย่างสุขสบาย ทั้งๆ ที่เงินทั้งหมดถูกอายัดไว้ เท่านั้นยังไม่พอ ที่ทักษิณ เพิ่งอวดความร่ำรวยของตัวเอง ก็คือ จ่ายเงินซื้อเครื่องบินส่วนตัวอีก 1 ลำ ราคา 1,500 ล้านบาท จ้างฝรั่งเป็นกัปตัน และ แอร์โฮสเตสส่วนตัว ด้วยค่าจ้างเดือนละเกือบ 1 ล้านบาท ยังไม่นับรวมค่าจ้างเลขาสาว 3 คน และ รปภ.อีก 3 คน ไม่มีใครอิจฉาความร่ำรวยของทักษิณ แต่เป็นความสงสัยมากกว่า ว่า ทักษิณ ไปทำอะไรมา จึงร่ำรวยมีเงินทองมากมาย ทั้งๆ ที่ถูกอายัดทรัพย์ทั้งหมด และไปเอาเงินจากที่ไหนมาใช้ เพราะตลอดเวลา 5 ปีที่เป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณบอกว่า ไม่ได้ทำธุรกิจ ประกอบอาชีพใดๆ เลย นอกจากทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทที่ถูกอายัดในประเทศไทย ทักษิณ ยังถูกรัฐบาลอังกฤษอายัดทรัพย์ ไว้อีก 140,000 ล้านบาท ทักษิณ ไม่สามารถชี้แจงได้ว่าเอาเงิน 140,000 ล้าบาท มาจากไหน ได้มาด้วยวิธีการอย่างไร และได้มาตั้งแต่เมื่อไร ทักษิณ จึงถูกถอนวีซ่า ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีก พูดง่ายๆ ก็คือ ทักษิณ เป็นบุคคลที่ประเทศอังกฤษไม่ต้อนรับ ทั้ง ๆที่ก่อนหน้านั้น ทักษิณ ได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ นานกว่า 1 ปี ทำไมท่าทีของรัฐบาลอังกฤษ ที่มีต่อทักษิณ จึงเปลี่ยนไป เพราะ ทักษิณ มีพฤติกรรมไม่ต่างจากอาชญากรเศรษฐกิจรายใหญ่ของโลก ที่ตอบไม่ได้ว่าได้เงินมาอย่างไร เพราะ ประเทศไทย กลับคืนสู่สภาพปกติ มีการปกครองระบอบประชาธิป ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว เพราะ ทักษิณ มีสถานะเป็นนักโทษหนีคุก หนีศาล ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมือง นอกจากจะไม่เป็นที่ปรารถนาของอังกฤษ ทักษิณ ยังถูกบังคับให้ขายหุ้นสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ออกจนหมด และถูกสโมสรลบชื่อออกจากทำเนียบประธานสโมสร ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในวงการฟุตบอลอังกฤษ ทักษิณ โจมตีรัฐบาลอังกฤษ ว่าถูกรัฐบาลไทยแทรกแซง จนไม่กล้าให้วีซ่า และปฏิเสธคำขอเข้าประเทศอังกฤษ ของเขา ในเวลาไล่เลี่ยกัน บริวารของทักษิณ ก็กล่าวหาว่า ราชวงศ์ของไทย ร้องขอให้ราชวงศ์อังกฤษ สั่งห้ามรัฐบาลอังกฤษ ออกวีซ่าให้ทักษิณ การกล่าวหานี้ มีเป้าหมายให้เกิดผลกระทบต่อราชวงศ์และสถาบันพระ มหากษัตริย์ของไทย และ ราชวงศ์ของอังกฤษอย่างร้ายแรง ในสายตาของชาวไทยและชาวโลก วันนี้ ปัญหาของทักษิณ ไม่ได้อยู่เงิน 76,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลไทยอายัด เพราะมีหลักฐานพอเชื่อได้ว่า มีที่มาจากการขายหุ้น ซึ่งหากทักษิณ ไปพิสูจน์ในศาล ก็เชื่อว่าน่าจะได้คืน แต่เงินก้อนใหญ่ 140,000 ล้านบาท ที่อังกฤษอายัดไว้ ต่างหากที่เป็นปัญหา ซึ่งทักษิณ ชี้แจงไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร ใช่เงินของคนไทย ที่ถูกยักย้ายถ่ายเทออกไปจากประเทศไทย หรือ ไม่ ? เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมากที่ คนต่างชาติคนหนึ่ง มาอาศัยอยู่ในอังกฤษ เพียงปีเศษ จะทำธุรกิจได้กำไร มีเงินทองกองอยู่ในอังกฤษ มากกว่า 140,000 ล้านบาท หากไม่โกง หรือ กอบโกยมาจากประเทศอื่น เรื่องแบบนี้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทักษิณ ถูกต้อนจนมุมคาจอโทรทัศน์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี จนต้องสารภาพว่าเขาทำธุรกิจอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิ้น ซึ่งเป็นแหล่งฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นไปได้ไหม ที่เงินจำนวน 140,000 ล้านบาทนี้ ถูกส่งออกจากประเทศไทย ไปฟอกที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น แล้วถูกนำไปซุกซ่อนไว้ในอังกฤษ ในชื่ออื่น ที่ไม่ใช่ ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ก่อนจะเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 วันนี้ สิ่งที่ ทักษิณ ต้องทำ ก่อนที่จะคิดกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเหนือประเทศไทย อย่างที่พูดอยู่ทุกวัน ฝันอยู่ทุกคืน ก็คือ ชี้แจงให้ประชาชน ทราบ 4 เรื่อง ดังนี้ 1. เงินที่งอกขึ้นมาเกือบ 50,000 ล้านบาท ก่อนที่จะเข้ามาทำงานการเมือง ซึ่งแจ้งไว้กับป.ป.ช. ว่ามีอยู่ 25,000 ล้านบาท มาจากที่ไหน ? 2. เงินจำนวน 140,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลอังกฤษ อายัดไว้ มีที่มาอย่างไร 3. เงินมากกว่า 10,000 ล้านบาท ที่ใช้ลงทุนและซ้อทรัพย์สินในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น เอามาจากที่ไหน 4. เงิน 20,000 ล้านบาท หรือราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ทักษิณ บอกกับนักข่าวว่ามีเหลือติดตัวอยู่เท่านี้ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ได้มาอย่างไร หากตอบคำถาม 4 ข้อนี้ไม่ได้ ก็ป่วยการที่จะคิดฝันถึงวันจะกลับมาเป็นผู้มีอำนาจเหนือประเทศไทยอีกครั้ง เพราะวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ ตาสว่างแล้ว ตาสว่างพอที่จะมองเห็นว่า ทักษิณ วางแผนปลุกระดมคนเสื้อแดง ก่อความไม่สงบในประเทศไทย แล้วใช้เป็นเงื่อนไขบีบบังคับให้รัฐบาลต้องคืนเงิน 76,000 ล้านบาทที่อายัดไว้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ที่มาของเงินในศาล เปรียบกันง่ายๆ วันนี้ ทักษิณ จับประเทศไทย และประชาชนเป็นตัวประกัน ข่มขู่ให้คืนเงิน 76,000 ล้านบาท คืน หากไม่ทำตามที่เขาต้องการ ประเทศไทย ต้องฉิบหาย …. คนไทย ต้องล่มจม “เมื่อข้าอยู่ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใคร หน้าไหน จะอยู่อย่างสงบ” นี่คือ ประกาศิตของทักษิณ ก่อนเคลื่อนพลใหญ่ 8 เมษายน นี้ คำถามก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ จะยอมให้ทักษิณ และ สมุน กระทำทารุณกรรมต่อประเทศไทย หรือไม่ ? ที่มา: http://iamtaey.multiply.com/journal/item/24/24 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 25 มีนาคม 2553, 16:18:37 ศิลปินนักต่อสู้เพื่อชีวิต วสันต์ สิทธิเขตต์ ได้รับเชิญไปแสดงภาพเขียน กว่า 20 ประเทศ จัดงานแสดงภาพเขียน 10 Evil Scenes of Thai Politic ระหว่างวันที่ 11 มีนาคม - 3 เมษายน 2553 นี้ ณ Number ๑ Gallery, B26 สีลมแกลเลอรี่พลาซ่า ถนนสีลม 19 สอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-630-3381, 081-414-4004, 083-445-8333
เข้าชมงานฟรี ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู โอกาสดีๆเช่นนี้ พลาดไม่ได้ (http://img143.imageshack.us/img143/3290/resizeofsitthiket13.jpg) (http://img143.imageshack.us/img143/6497/sitthiket12.jpg) http://www.number1gallery.com/ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 27 มีนาคม 2553, 20:39:23 ตอนนี้ ผมมี Add เฟสบุ๊ค ของคุณวสันต์ สิทธิเขตต์ ด้วยแหละครับ... emo28:win:
(http://img88.imageshack.us/img88/7302/p1040654.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 21:41:49
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 21:43:41 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/kzy3iy-2e930e.jpg)
ชุมชน เสื้อขาว กทม. ออกโรงแล้วครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2553, 22:17:58 เพื่อนเปี๊ยก..นายแม่นมากเลย
วันนี้ มี ระเบิดลง 2 ลูก ที่ช่อง5& ช่อง11 มีทหารบาดเจ็บ หลายราย และอาการสาหัสด้วย ไม่รู้ว่า จะมีระเบิดลง อีก กี่ลูกกันแน่ ทักษิณมันเลวจริงๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 27 มีนาคม 2553, 22:23:28 http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=18955&p=307846
โอ้ววว...พวกริบบิ้นขาวทุกท่านครับ ควายแดงมันแอบเอาสโลแกน เอาโลโก้ของพวกท่านไปหากินหาผลประโยชน์ซะแล้ว ท่านจะยอมได้ไง? (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/812/32812/images/politic/red22.jpg) หมายเหตุ > มหิงสา เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่ง สกุลเดียวกับสัตว์บ้านที่ชาวนาเอาไว้ไถนา แต่มหิงสาจะดุร้ายกว่ามาก http://www.skn.ac.th/skl/project/nara89/buff-1.htm หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มีนาคม 2553, 19:49:40 เป็นเรื่องน่ารู้นะครับรู้แล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนที่มีมันสมองดีๆ มันช่างเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงปานนี้
เสียดายข้าวแดงแกงร้อนของประชาชนที่ส่งเสียให้เขาเรียนมาได้สูงถึงขนาดนี้จริงๆ หมอเหวง แฉ ทักษิณ ขายทรัพยากรสำคัญที่สุดในโลก โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 กุมภาพันธ์ 2549 23:36 น. นพ.เหวง แฉหมดเปลือก ทักษิณ ขายทรัพยากรสำคัญ แร่โปแตซ ซึ่งปัจจุบันแทบจะมีอยู่แห่งเดียวในโลกที่ภาคอีสาน ให้กับต่างชาติกว่า 1 พันล้านตัน หลังจากขายอธิปไตย 5 ด้าน จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์ไปแล้ว นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวอภิปรายบนเวที เอาคืนประเทศไทย ว่า ถ้าเราไม่ไล่ทักษิณออกไป ประเทศไทยจะเสียทรัพยากรสำคัญแห่งเดียวในโลกไป นั่นคือ แร่โปแตซ ที่ภาคอีสานออกไป ซึ่งในโลกมี 3 แห่ง คือ ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งใช้หมดไปแล้ว ที่ประเทศรัสเซียก็กำลังจะใกล้หมด และสุดท้ายเหลือที่อยู่อุดมสมบูรณ์ที่สุดอยู่ที่ประเทศไทย แล้วอย่างนี้พี่น้องประชาชนชาวไทยจะยอมให้ทักษิณขายออกไปอีกหรือ เดิมร! ัฐบาลเก่ าขายแร่โปแตซให้ต่างชาติแค่ 111 ล้านตัน แต่ทักษิณขายให้เพิ่มเป็นกว่า 1,000 ล้านตัน ซึ่งขี้เกลือของแร่โปแตซ 111 ล้านตัน หากนำมากองจากตรงนี้จะยาวไปถึงวัดพระแก้ว ความสูงขึ้นไปถึง 500 เมตร ลองนึกดูขี้เกลือจะปลิวไปทำให้ดินภาคอีสานเค็มขนาดไหน แต่ทักษิณขายให้ถึง 1,000 ล้านตัน เป็นเวลา 75 ปี แล้วจะเป็นอย่างไร นี่จึงเป็นอีกผลที่เราต้องมาไล่ทักษิณ นพ.เหวง กล่าวต่อว่า นี่คือสิ่งที่ประชาชนจะต้องรับรู้ หลังจากทักษิณได้ขายอธิปไตย 5 อย่างของไทยออกไป กับการขายหุ้นชินฯ นั่นคือ ดาวเทียมซึ่งแต่ละประเทศมีตำแหน่งเพียงแห่งเดียว แต่ทักษิณก็ขายออกไป โทรศัพท์มือถือของเอไอเอส ที่ปัจจุบันมีกว่า 22 ล้านเลขหมาย ต่อไปสิงคโปร์มันจะดักฟังเสียงคนไทยหมด เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งสำคัญมากที่สุดในโลก เพราะปัจจุบันมันแทรกเข้าไปทุกชีวิตของประชาชน สายการบินที่เป็นอำนาจอธิปไตยเหนือน่านฟ้า และยังมีสถานีโทรทัศน์ ที่ทุนข้ามชาติเขาแย่งกันจะเป็นตาย แต่ทักษิณขายออกไปหมด เรื่องเหล่านี้จึงบอกได้ว่านายกฯ ขายชาติ ขายอธิปไตย 5 ด้าน แล้วจะอธิบายกับประชาชนอย่างไร นพ.เหวง กล่าวว่า เรื่องที่สองที่ทักษิณโกหก ซึ่งขอท้าให้ฟ้องได้เลย และตนจะขอสู้ถึงที่สุด โดยมีหลักฐานวันที่ 31 ก.ค.2547 ขณะที่ทักษิณโฆษณาว่าใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด โดยทักษิณให้คำมั่นสัญญาและแปลเป็นภาษาอังกฤษ จะแก้กฎหมาย 11 ขายชาติ แต่ถึงวันนี้ทำหรือยัง ทักษิณจึงเป็นคนที่โกหก และพี่น้องไล่ พล.อ.สุจินดา เพราะอะไร ก็เพราะโกหกใช่ไหม เราจึงต้องไล่ทักษิณออกไปเช่นกัน สำหรับเรื่องที่ 3 เป็นความก้าวหน้าของการเมืองไทย ไม่เคยได้มาเพราะการร้องขอเลย มันได้มาเพราะการต่อสู้ของประชาชน พี่น้องชาวไทยเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อไม่รู้เท่าไหร่ ในการไล่เผด็จการทหาร แต่ปรากฏว่าขณะนี้เรากับเจอเผด็จการนายทุน ซึ่งเราก็ต้องไล่เผด็จการนายทุนออกไป แต่ไม่ใช่ไล่เผด็จการนายทุน เพื่อให้เผด็จการอย่างอื่นเข้ามา เพราะฉะนั้น เราต้องสู้ให้ประชาธิปไตยที่เป็นของปวงชน เพื่อให้อำนาจการเมืองตกสู่ประชาชนอย่างแท้จริง หมอ 2 หัว ? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 28 มีนาคม 2553, 20:08:51 วันนี้นายกได้ใจประชาชนไปเยอะเลยครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มีนาคม 2553, 20:52:43 จริงด้วยน้องตุ๋ย...นี่เลยรายละเอียดที่ว่า นายกฯชนะคะแนน เพราะไม่อยากน็อค( เพราะเรียนที่อังกฤษนานไปหน่อย)
หมอตุลย์” เปรียบมวยโต๊ะเจรจา ชี้ไฟต์นี้ไม่มีน็อก “มาร์ค” ชนะคะแนน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 มีนาคม 2553 17:48 น. นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ “หมอตุลย์” เปรียบมวยโต๊ะเจรจานายกฯ-3 เกลอหัวขวด ชม “วีระ” ลดดีกรีลง สมกับการมาเจรจา ระบุ “มาร์ค” ชักม้าเลียบค่าย เน้นตั้งรับเป็นหลัก แง้มประโยคเด็ด “3 คนพูดให้นายกฯ ฟัง แต่นายกฯ อธิบายให้คนทั้งประเทศฟัง” เชื่องานนี้ไม่มีชนะน็อก แต่ “มาร์ค” ชนะคะแนน กรรมการคือประชาชน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยความรู้สึกหลังการฟังการเปิดโต๊ะเจรจาหาข้อยุติความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและฝ่ายรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, นายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ในฐานะหัวหน้าวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ในขณะที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ส่งนายวีระ มุสิกพงศ์, นพ.เหวง โตจิราการ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นตัวแทนเข้าเจรจากับฟากรัฐบาล โดย นพ.ตุลย์ เปิดเผยว่า หลังจากตั้งใจฟังการเจรจาในครั้งนี้ ผ่านการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ พบว่า ประการแรกที่รู้สึก คือ การปรับท่าทีของนายวีระ ที่ถือว่าทำได้ดี และน่าชมเชย ในการลดระดับความรุนแรงในการพูด ที่ถือว่าสุขุมและเหมาะสมในระดับการเจรจาเช่นนี้ แต่สำหรับ นายจตุพร เพียงแค่อ้าปากทุกคนก็ทราบแล้วว่าสิ่งที่พูดออกมานั้น ไม่เป็นความจริง “งานนี้ต้องชม คุณวีระ ที่นิ่งขึ้น และท่าทีเบาลงจากที่เคยไฮด์ปาร์กบนเวที แต่ คุณจตุพร นั้นแค่อ้าปากก็ทราบเลยว่าพูดผิด เพียงประโยคแรกเลยนะครับที่เขาพูดออกมา เดี๋ยวลองรีเพลย์เทปดูก็ได้ ที่คุณจตุพร พูดว่า ... “ผมเองเป็นคนเสนอไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ...” ซึ่งพูดแค่นี้ก็ทราบแล้วว่าไม่จริง” นพ.ตุลย์ ได้แสดงความคิดเห็นถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรี ว่า ค่อนข้างนิ่งและมีสมาธิมาก ทำให้ระดับความน่าเชื่อถือของฝั่งรัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายคนเสื้อแดง แต่ก็ติงว่าท่าทีเป็นไปแบบค่อนข้างตั้งรับมากกว่า จะเป็นฝ่ายรุกหรือตั้งคำถามอะไร แต่จะเน้นไปในทางการอธิบายให้ความกระจ่างเพื่อสร้างความเข้าใจมากกว่า “ถ้าผมเป็นคุณอภิสิทธิ์ ผมจะถามให้ชัดๆ ไปเลยว่า จะให้ยุบสภาทำไม ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรหากยุบสภา เอาให้ชัดๆ ไปเลย เพราะที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีความชัดเจนจากกลุ่มเสื้อแดงเลยว่า ยุบสภาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป บอกแต่ว่าคืนอำนาจให้ประชาชน แต่มันต้องให้ชัดว่ายุบเพื่อใคร ยุบแล้วใครจะมา ผมว่าคุณอภิสิทธิ์ชักม้าเลียบค่ายไปหน่อย คือเน้นอธิบาย ไม่โยนหินถามทาง คือ อาจจะเล่นไพ่เกทับไม่เป็น” อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ตุลย์ ได้คาดการณ์ว่า ผลจากการเจรจาในครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นในเชิงรูปธรรม และเชื่อว่า คนเสื้อแดงจะชุมนุมกันต่อไป และเชื่อว่า ฝ่ายรัฐบาลจะไม่ยุบสภาตามที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้อง แต่ประชาชนจะเข้าใจรัฐบาลมากขึ้น “ความฉลาดของคุณอภิสิทธิ์ คือ คุณ 3 คนจากกลุ่มเสื้อแดงเขามาพูดให้แค่นายกฯ ฟัง แต่ขณะนี้นายกฯ ไม่ได้พูดให้คุณ 3 คนนั้นฟัง แต่พูดให้คนทั้งประเทศฟัง ผมเชื่อว่า ตอนนี้คนทั้งประเทศดูอยู่ ไม่ว่าจะเสื้อสีอะไรก็ตาม ผมเชื่อว่าเจรจาครั้งนี้จะไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลย ไม่มีการชนะน็อก แต่คุณอภิสิทธิ์ชนะคะแนน กรรมการที่ให้คะแนนคือประชาชน” นพ.ตุลย์ ทิ้งท้าย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 28 มีนาคม 2553, 21:17:02 ทำให้เห็น gap ชัดเจนมากขึ้น .. เอาอีกค่ะ เจรจาอีก .. และอีก .. และอีก .. emo48:)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 28 มีนาคม 2553, 22:06:15 งานหน้าจะกล้าไปอีกหรอ เมื่อได้ sms บอกว่าทักษิณชมหมอโหวง ชมไปได้ไง จะเจรจาหรือจะเลคเจอร์ ก้ไม่รู้ น้ำท่วมไปหมด
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 28 มีนาคม 2553, 22:12:09
เขาเป็น ดร. นะคะ .. (หมายถึงหมอ) .. ย่อมไม่ธรรมดา emo48:) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 29 มีนาคม 2553, 01:08:51
ตอนที่มันออกมาไล่ คมช.กับขิงแก่ ตอนนั้นเหตุผลยังพอฟังได้ ว่าไม่ชอบรัฐประหาร... แต่ตอนนี้ รัฐธรรมนูญก็ผ่านการโหวตมาแล้ว ทั้งรัฐบาล รัฐสภา ก็มาตามกลไกรัฐธรรมนูญทุกอย่าง ยังจะแถอะไรอีกล่ะ?...นอกจาก อยากดัง อยากโชว์พาว หรือไม่ก็ หิวเงินแม้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 29 มีนาคม 2553, 01:10:12 (http://photos-e.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc3/hs410.snc3/24796_391835325101_704360101_3557623_6770889_n.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 29 มีนาคม 2553, 07:58:44 (http://img180.imageshack.us/img180/5334/mgrpdf20100329page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มีนาคม 2553, 09:36:32 ไม่จบแน่นอน
28 มีนาคม 2553 เวลา 23:00 น.posttoday ไม่ผิดความคาดหมายเท่าใดนักที่ผลการเจรจาระหว่าง แกนนำเสื้อแดง กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะจบลงด้วยข้อสรุปที่ไม่มีข้อสรุป แม้ว่า 2 ฝ่ายจะเออ ออ ห่อหมกเหมือนกัน ทำนองการยุบสภาฯ เป็นทางเลือกดีสุดของบ้านเมือง แต่เงื่อนไขและกรอบเวลาการยุบสภาฯ มันแตกต่างกันประมาณสองหมื่นเจ็ดพันสามร้อยลี้ เสื้อแดงต้องการให้ยุบสภาฯ ทันที ต่อมาก็ขยายเป็น 15 วัน ขณะที่อภิสิทธิ์ไม่มีกรอบเวลา แต่มีเงื่อนไขตรงที่การยุบสภาฯ ต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันและสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง แน่นอน การเจรจาทางการเมืองโดยเฉพาะประเด็นสำคัญอย่างการยุบสภาฯ ไม่อาจจะยุติได้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่ว่าจะเจรจาอีกกี่ครั้งก็รับประกัน ไม่สำเร็จ ตราบใดที่ แดงตัวพ่อ-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รอไม่ได้และต้องการให้ยุบสภาฯ เร็วที่สุด อย่าปฏิเสธเลย การกระทำของแดงไม่ได้ก่อเกิดจากทักษิณ ไปย้อนดูอดีตได้ นับตั้งแต่ก่อตั้งแดง หากไม่ได้แรงอัดฉีดจากทักษิณมีหรือจะสำแดงเดชจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งเฉพาะล่าสุดที่แดงทำท่าจะพ่ายแพ้หลังการสาดเลือดแบบวิปริต ก็เป็นทักษิณอีกที่พลิกเกม และสั่งการให้บรรดา สส.เพื่อไทย และเครือข่ายขึ้นเวทีแดง หากปฏิเสธก็ต้องเรียกว่าหน้าของพวกเพ่ๆ ระดับถนนยางมะตอยเสริมเหล็ก เพราะทุกอย่างมีการบันทึกเป็นทั้งภาพ เสียง และตัวหนังสือเป็นหลักฐานให้รุ่นลูกหลานเจ็ดชั่วโคตรได้รู้ว่าใครหน้าไหนที่มันเคยเอาล่อเอาเถิดเผาบ้านเผาเมือง เมื่อแดงตัวพ่อ ยืนยัน นั่งยัน ต้องเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเจรจาก็เป็นเพียงพิธีกรรมคั่นเวลา เหมือนนั่งดูรายการโต้วาทีอย่างไรไม่ผิดเพี้ยน ใครจะตั้งความหวังอย่างไรก็แล้วแต่ ศึกครั้งนี้ไม่ได้จบลงที่โต๊ะเจรจาอย่างที่เห็น ตราบใดเงื่อนไขความสำเร็จ-ล้มเหลว ยังอิงอยู่กับแดงตัวพ่อ โถ... ก็ลงทุนขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ได้อย่างหวัง ก็ถึงขั้นกดปุ่มบรรลัยแน่นอน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มีนาคม 2553, 09:57:20 วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:58:51 น. มติชนออนไลน์
วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ลักไก่ยิงดาวเทียม"ไอพีสตาร์" กับคำถามถึง 5 อจ.นิติ มธ.ฯกรณี"ซุกหุ้น" โดยประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ในคดียึดทรัพย์กว่า 46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเนื่องจากร่ำรวยผิดปกติซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา ประเด็นที่เป็น"หัวใจ"ของ คำพิพากษาคือ การศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร( ณ ป้อมเพชร) ภรรยา "ซุกหุ้น"หรือยังคงถือไว้ซึ่งหุ้น"บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือชินคอร์ป จำนวน 1,419 ล้านหุ้น ในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย เพราะประเด็นดังกล่าว ได้นำไปสู่ประเด็นการ วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปซึ่งเป็น บริษัทของตนเอง และเป็นประเด็นสำคัญที่บ่งบอก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมที่ฉ้อฉล ปกปิดข้อเท็จจริงในเรื่องทรัพย์สินต่อสาธารณะหรือไม่ แม้ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์จนสิ้นสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ในการใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ก็ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า การที่บุคคลซึ่ง ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่จงใจปกปิดการถือครองทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท มีวัตถุประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่ สมควรหรือไม่ที่จะดำรงตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหาร เพราะการ กระทำดังกล่าวฝืนต่อข้อห้ามในทางกฎหมายและจริยธรรมอย่างแจ้งชัด แต่น่าเสียดายที่นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และคณะ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว วินิจฉัยในประเด็นนี้ไม่ถึง 10 บรรทัดโดยอ้างว่า ไม่มีนัยสำคัญใดๆต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดี ว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ดังนี้ "ปัญหาหลักประการหนึ่งที่เป็นฐานแห่งโครงสร้างของคำพิพากษาศาล ฎีกาฯในคดีนี้ คือ ปัญหาว่าผู้ถูกกล่าวหา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิง พจมาน ชินวัตร ถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ปโดยให้ผู้อื่นถือแทนหรือไม่ โดยศาลฎีกาฯเห็นว่ามีการถือหุ้นแทนกัน คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าการวินิจฉัยเรื่องการครองไว้ซึ่งหุ้นในบริษัทชิน คอร์ป จะต้องพิจารณาทั้งในทางรูปแบบและเนื้อหาประกอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโอนหุ้นให้กับญาติใกล้ชิด เช่น บุตร หรือบิดามารดา ในกรณีที่ไม่สามารถจะวินิจฉัยลงไปให้ชัดเจนได้ ย่อมจะต้องถือเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องตรากฎหมายห้ามเสียให้ชัดเจน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาการแยกแยะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อสิทธิใน ทรัพย์สินของบุคคลอย่างสำคัญ อย่างไรก็ตามเมื่อ คณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้วประเด็นว่ามีการ ถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญใดๆต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดีว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ตลอดจนกรณีการกู้เงินของรัฐบาลสหภาพพม่าจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า แห่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ " การไม่ยอมวิเคราะห์ประเด็นนี้โดยละเอียด(เหมือนเรื่องอื่นๆ)อาจทำให้ สาธารณชนเข้าใจได้ว่า คณาจารย์กลุ่มนี้กระทำไป โดยอคติ เมื่อเห็นว่า เรื่องที่เป็นโทษกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับละเลยที่จะกล่าวอ้างถึง ในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ 1 ใน 5 พฤติการณ์ที่ศาลฎีกาฯเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปคือ โครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศของบริษัทไทยคมในเครือชินคอร์ป แบ่งออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ 1.กรณีอนุมัติให้ยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน 2.กรณีอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 เรื่องการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป ในบริษัท ไทยคม จากที่ต้องถือครองหุ้นไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 40 3.กรณีอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจากการที่ดาวเทียมไทยคม 3 เกิดความเสียหาย จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ข้อเท็จจริง โครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศนี้ มีบริษัท ชินคอร์ป เป็นผู้รับสัมปทาน ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ลงวันที่ 1 กันยายน 2534 โดยนายนุกูล ประจวบเหมาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กับบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำกัด(ต่อมาเปลี่ยนเป็นชินคอร์ป) โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท หนึ่ง กรณีอนุมัติให้ยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน การอนุมัติดาวเทียมไอพีสตาร์ซึ่งตามสัญญาสัมปทานกำหนดให้ส่งดาวเทียม สำรองขึ้นสู่อวกาศ เพื่อให้เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536 บริษัทไทยคมได้จัดส่งดาวเทียมหลัก คือดาวเทียมไทยคม 1 ต่อมาวันที่ 7 ตุลาคม 2537 ได้จัดส่งดาวเทียมสำรอง คือดาวเทียมไทยคม 2 และวันที่ 16 เมษายน 2540 จัดส่งดาวเทียมหลักคือ ดาวเทียมไทยคม 3 กระทรวงคมนาคม ซึ่งดูแลโครงการดาวเทียมอยู่ในขณะนั้น อนุมัติให้มีการจัดสร้างดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 คือดาวเทียมไทยคม 4 แต่เมื่อถึงกำหนดที่จะต้องจัดส่งขึ้นสู่อวกาศนั้น บริษัทผู้รับสัมปทานได้ขอเลื่อนกำหนดหลายครั้ง ต่อมาบริษัทได้ขอแก้ข้อกำหนดทางด้านเทคนิคขอเปลี่ยนคุณสมบัติ"ดาวเทียมไทยคม 4"เป็น"ไอพีสตาร์" เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว มีการจัดส่งดาวเทียมดวงนี้ขึ้นสู่อวกาศในวงโคจร เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2548 แต่ตามข้อกำหนดประกาศแข่งขันสัมปทานดาวเทียมสื่อสารฯกำหนดวัตถุ ประสงค์เพื่อใช้สำหรับการสื่อสารภายในประเทศไว้อย่างชัดเจน และกำหนดให้มีดาวเทียมหลัก และระบบดาวเทียมสำรอง รวม 4 ดวง ประเด็นการวินิจฉัย การอนุมัติให้ยิงและส่งเสริมการลงทุนดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 1.การดำเนินการ เป็นการกระทำที่เป็นการลัดขั้นตอนในการปฏิบัติราชการในลักษณะที่รวบรัดและ รีบเร่ง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดปกติวิสัย หลังจากบริษัทผู้รับสัมปทานได้ร้องขอเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติดาวเทียม ไทยคม 4 เป็นดาวเทียมไอพีสตาร์ กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมไปรษณีย์โทรเลข ศึกษาข้อมูลทางเทคนิคของดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งมีความเห็นว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมหลักดวงใหม่ไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง(ของดาวเทียม ไทยคม 3)ที่จะจัดสร้างแทนดาวเทียมไทยคม 4 แต่อย่างใดซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายใน ประเทศ ครั้งที่ 1/2545 ที่แต่งตั้งขึ้นตามสัญญาสัมปทาน( วันที่ 29 สิงหาคม2545) มีมติว่า เป็นดาวเทียมหลักดวงใหม่เช่นเดียวกับความเห็นของกรมไปรษณีย์โทรเลข ต่อมาเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการประสานงานครั้งที่ 2/2545 (วันที่ 10 กันยายน 2545 )ปรากฏว่า มีการขอแก้ไขมติครั้งที่ 1/2545 ข้างต้น เป็นว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นดาวเทียมดวงหลักหรือสำรอง ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ต้องมีการทำแผนสำรอง และคุณสมบัติดาวเทียมไอพีสตาร์นั้นต้องไม่ด้อยไปกว่าดาวเทียมดวงอื่น และเป็นไปตามสัญญาแล้ว ซึ่งเท่ากับมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงและอนุมัติให้ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาว เทียมสำรองได้ตามที่บริษัทผู้รับสัมปทานร้องขอ ครั้นเมื่อมีการทำหนังสือเสนอขออนุมัติต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ทั้งที่ยังไม่ได้มีการรับรองรายงานการประชุมทั้ง 2 ครั้งโดย เลขานุการคณะกรรมการประสานงานฯใช้วิธีทำหนังสือเวียนไปยังคณะกรรมการประสาน งานเพื่อขอให้รับรองรายงานการประชุมทั้ง 2 ครั้ง และกำหนดไว้ว่า ขอให้แก้ไขภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2545 โดยมิได้มีการประชุมคณะกรรมการประสานงานเพื่อลงมติ ในวันเดียวกันนั้น กระทรวงคมนาคมมีหนังสือแจ้งบริษัทไทยคมว่า ได้อนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์แล้ว 2. นำโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ มูลค่า 16,543 ล้านบาท ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการฯเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 ทั้งๆที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนบริษัทชินคอร์ป เป็นผู้ที่ยื่นแข่งขัน รวมทั้งเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้รับสัมปทานด้วยวาจา ต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2547 บริษัทผู้รับสัมปทานได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์ 3. เมื่อดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ทำให้ความมั่นคงในการสือสารดาวเทียมของชาติต้องเสียหายจากการที่ไม่ มีดาวเทียมไทยคม 4 เพื่อเป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ได้ทั้งดวง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน 4.บริษัทชินคอร์ป และบริษัทไทยคม ไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาสัมปทาน จึงไม่มีภาระที่จะต้องใช้เงินทุน หรือระดมทุน โดยการกู้ยืมเงินเพื่อเพิ่มทุน เพื่อนำเงินมาลงทุนในการส่งดาวเทียมไทยคม 4 เป็นมูลค่าถึง 4,000 ล้านบาท ในทางกลับกัน ภาครัฐก็ต้องเสียหายจากการที่ไม่ได้รับมอบทรัพย์สินตามสัญญาสัมปทาน คือดาวเทียมไทยคม 4 มูลค่า 4,000 ล้านบาทเช่นกัน 5. เป็นโครงการใหม่ที่อยู่นอกกรอบสัญญาสัมปทาน และจะต้องเปิดให้มีการประมูลแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ทั้งในด้านการบริหารงาน และอัตราการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่รัฐ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นโครงการที่ได้ให้บริการสื่อสารระหว่างประเทศถึงร้อยละ 94 แต่บริการในประเทศเพียงอัตราร้อยละ 6 จึงเป็นดาวเทียมหลักที่จัดสร้างขึ้นเพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศเป็นหลัก ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อสื่อสารภายในประเทศตามวัตถุประสงค์ของสัญญาสัมปทาน การอนุมัติให้จัดสร้างดาวเทียมไอพีสตาร์จึงเป็นเรื่องที่ อยู่นอกกรอบแห่งสัญญา 6.หากมีเปิดให้มีการประมูลแข่งขันกันใหม่โดย ให้ผู้ประกอบการรายอื่นได้มีโอกาสยื่นข้อเสนอเพื่อแข่งขันกันจะมีมูลค่า โครงการเป็นเงินถึง 16,543.8 ล้านบาท เป็นรายได้เข้ารัฐ สอง กรณีอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป ในบริษัท ไทยคม จากร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่ร้อยละ 40 1. นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปที่ต้องถือในบริษัทไทยคมจากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 โดยไม่มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เป็นการอนุมัติโดยมิชอบ ทั้งที่ๆสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในบริษัทไทยคม เป็นนัยสำคัญประการหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้บริษัทชินคอร์ปได้ รับสัมปทาน 2.การลดสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัทไทยคมซึ่ง ต้องลงทุน สูงในดาวเทียมไอพีสตาร์สูงถึง 16,543.8 ล้านบาท ทำให้บริษัทชินคอร์ปไม่ต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 84,706,801 หุ้น เป็นเงิน 1,296,014,055 บาท แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ และการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงประมาณร้อยละ 11 ย่อมเป็นผลให้บริษัทชินคอร์ปได้รับเงินลงทุนคืนจากการโอนขายหุ้นจำนวนดัง กล่าวออกไป 3.การลดสัดส่วนดังกล่าวมีผลเป็นการลดทอนความ เชื่อมั่น และความมั่นใจในการดำเนินการโครงการดาวเทียมของบริษัทชิน คอร์ป ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ด เสร็จเด็ดขาดได้ สาม กรณีอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหม 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ 1. การที่นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีไอซีที อนุมัติให้บริษัทผู้รับสัมปทาน นำวงเงินบางส่วนจากค่าสินไหมทดแทนความเสียหายของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐฯ(จากทั้งหมด33,028,960 ดอลลาร์สหรัฐ)ไปเช่าดาวเทียมของต่างประเทศ เพื่อใช้ทดแทนช่องสัญญาณเดิมของไทยคม 3 และใช้เป็นสำรอง เป็นการขัดต่อสัญญาสัมปทาน เพราะตามสัญญาสัมปทานกำหนดให้บริษัท รีบซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหาย หรือจัดการหาทรัพย์สินทดแทนทรัพย์สินที่สูญหายโดยทันที เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และกระทรวงผู้ให้สัมปทานจะมอบเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากบริษัทประกัน ภัยให้ และถ้าค่าซ่อมแซมหรือราคาทรัพย์สินที่จัดหามีราคาสูงกว่าเงินค่าสินไหมทดแทน บริษัทผู้รับสัมปทานตกลงเป็นผู้รับผิดชอบ จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด ดังนั้น เมื่อดาวเทียมไทยคม 3 เกิดความเสียหายบางส่วน บริษัทผู้รับสัมปทานจะต้องดำเนินการซ่อมแซมแล้วจึงมารับค่าสินไหมทดแทน จากกระทรวงไอซีที แต่ถ้าเกิดความเสียหายทั้งดวงจนไม่สามารถที่จะใช้งาน หรือดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทจะต้องจัดสร้างดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นทดแทน แล้วจึงรับเงินค่าสินไหมทดแทนจากทางกระทรวงผู้ให้สัมปทาน 2. การกระทำดังกล่าวทำให้ บริษัทชินคอร์ปและบริษัทไทยคมไม่ต้องใช้เงินทุนของตนเอง หรือไม่ต้องระดมทุน โดยกู้ยืมเงินหรือเพิ่มทุนเพื่อดำเนินการซ่อมแซมดาวเทียมไทยคม 3 หรือจัดสร้างดาวเทียมดวงใหม่ทดแทนดวงที่เสียหาย ตามสัญญาสัมปทานมูลค่า 4,000 ล้านบาท และยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงผู้ให้สัมปทาน 3.ในทางกลับกัน ทำให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ เนื่องจากทรัพย์สินที่ทำประกันภัยเป็นของรัฐ ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวรัฐจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลและคงไว้เป็นหลักประกัน ความมั่นคง หากเกิดกรณีไม่สามารถซ่อมแซมหรือจัดหาทรัพย์สินทดแทนเพื่อใช้ดำเนินการต่อไป ได้อย่างต่อเนื่อง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มีนาคม 2553, 21:55:42 ภาคธุรกิจ-เอกชนค้านยุบสภา หวั่นทำเศรษฐกิจชะงัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2553 17:25 น. นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนรู้สึกเป็นห่วงหากมีการยุบสภา เพราะบ้านเมืองและธุรกิจจะหยุดชะงัก เพราะกระบวนการต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง ต้องใช้เวลาหลายเดือน ควรทอดเวลายุบสภาออกไปให้เศรษฐกิจได้มีเวลาตั้งตัว และหวังว่าการเจรจาในเย็นวันนี้จะมีทางออกให้ประชาชนและนักธุรกิจได้ ส่วนตลาดหุ้นที่ลดลงกว่า 7.46 จุด วันนี้ เป็นเพียงการพักฐาน ไม่ได้เป็นผลจากเรื่องการเมือง ขณะที่กระทรวงการคลังประเมินว่า หากมีการยุบสภา ไม่มีรัฐบาลในการขับเคลื่อนงบประมาณปี 2554 อาจจะมีผลกระทบรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจหดตัวถึง 1.8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์จุดยืน ไม่ต้องการให้ยุบสภา เพราะไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมในช่วงนี้ ซึ่งอย่างช้าปลายปีหน้าก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนตามวาระอยู่แล้ว แต่หากจะยุบสภาควรตกลงกติการัฐธรรมนูญที่ชัดเจนก่อน โดยต้องผ่านการทำประชามติ และต้องไม่เป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล แต่ต้องเป็นประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม ขณะที่อาสาสมัครพัฒนาสังคม (อพม.) กว่า 1,000 คน ได้รวมตัวอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีนำความสงบ สามัคคี มาสู่สังคมโดยเร็ว และสนับสนุนการปฏิบัติงานของรัฐบาล รวมถึงมุ่งหวังให้ดำเนินการจัดสวัสดิการแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือกลุ่มผู้ประสบปัญหาทางสังคม ขอให้แก้ไขปัญหาสังคมเพื่อผู้ด้อยโอกาส และดูแลคนยากคนจนในทุกพื้นที่ด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 30 มีนาคม 2553, 16:26:59 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269932898&grpid=02&catid=no
(http://www.matichon.co.th/online/2010/03/12699328981269932953l.jpg) แดงเชียงรายกลับจากชุมนุมใหญ่รถชนต้นไม้ดับคาที่4 สาหัสอีก2 สงสัยรัฐบาลหรือพวกอมาตย์ จะปลอมตัวเป็นต้นไม้ขวางทางรถพวกนี้แน่ๆเลย หรือไม่ก็เล่นของ เสกต้นไม้มาขวางทางรถของพวกแดง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 30 มีนาคม 2553, 17:23:12 ผมเพิ่งอ่านข่าวว่าเขาจะกลับบ้่านเพื่อไปทำธุระ แล้วจะกลับมาอีก
ตอนนี้ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวท่านด้วย ไม่รู้ว่าคนที่เป็นแกนนำจะเสนอหน้าช่วยเหลืออะไรได้บ้างที่ต้องมาเสียชีวิตในหน้าที่อย่างนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มีนาคม 2553, 20:17:53 มรณานุสติ นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 30 มีนาคม 2553, 21:55:28 เฮ้อ เมื่อไรจาจบ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มีนาคม 2553, 22:06:40 ทักษิณาธิปไตย
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 30 มีนาคม 2553 เวลา 07:32 น.posttoday ข้อเสนอของแดง ต้องการให้ยุบสภาภายใต้เหตุผลรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของระบอบอำมาตยาธิปไตย หนทางที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยในสายตาแดงก็คือเลือกตั้งใหม่เท่านั้น แต่สิ่งที่แดงไม่ได้พูดก็คือ ภายหลังการเลือกตั้งเมืองไทยจะกลับเข้าสู่ระบอบทักษิณาธิปไตยอีกหรือเปล่า นั่นคืออำนาจมาจากทักษิณ เป็นของทักษิณ และเพื่อทักษิณ เพราะหากเกิดการเลือกตั้งวันใด แดงก็มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะ อันเนื่องจากบารมีและน้ำเลี้ยงของทักษิณ ขั้วอำนาจการเมืองจะเปลี่ยนกลับไปสู่คณะทักษิณาธิปไตย แล้วเมืองไทยก็จะวนไปยังปัญหาเดิมๆ อีก แดงกล้ารับปากหรือไม่ว่า หากชนะเลือกตั้งจะไม่ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร อาทิ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศเพื่อทำให้ทักษิณไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนดังทุกวันนี้ แดงกล้ารับปากหรือไม่ว่า จะไม่เคลื่อนไหวนิรโทษกรรม แก้รัฐธรรมนูญ หรือใช้อำนาจรัฐหรืออำนาจนิติบัญญัติเพื่อประโยชน์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมแก่ทักษิณ เหล่านี้แดงไม่เคยพูด เพราะเนื้อในแดงและเพื่อไทย ล้วนแต่แดงแจ๋กระทำเพื่อทักษิณ ตามวิถีทักษิณาธิปไตยโดยแท้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยากปฏิเสธ ในอดีตระบอบทักษิณาธิปไตย สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองมากมาย แต่หากมองที่บรรทัดสุดท้ายจะได้รับคำตอบ ระบอบทักษิณาธิปไตย เหมาะกับเมืองไทยหรือเปล่า เพราะทักษิณาธิปไตย ผู้ได้ประโยชน์ท้ายสุดไม่ใช่ประชาชน นับตั้งแต่ด้านเศรษฐกิจ เนื้อคำใหญ่สุดอยู่ในปากเครือข่ายทักษิณาธิปไตย ขณะที่รากหญ้าได้แค่เศษเนื้อข้างเขียงเพื่อสร้างฐานคะแนนนิยม และที่บ้านเมืองแตกแยกจวนเจียนจะเป็นสงครามการเมือง รากเหง้ามาจากอำมาตยาธิปไตย หรือทักษิณาธิปไตยกันแน่ ทั้งหมดยังไม่นับขบวนการความเคลื่อนไหวที่กระทบกระเทือนสถาบันหลักของประเทศอย่างรุนแรง ดังนั้น ตราบใดที่ทักษิณาธิปไตยสร้างความคลางแคลงไม่สิ้นสุด การยุบสภาที่จะนำไปสู่การสถาปนาทักษิณาธิปไตยอีกครั้งจึงไม่ใช่ทางออก แต่มันเป็นเส้นทางอันตรายอย่างยิ่งสำหรับบ้านเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 31 มีนาคม 2553, 13:59:23 (http://img100.imageshack.us/img100/2887/nwonewthaicut1.gif) ขออภัยที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 31 มีนาคม 2553, 14:45:27 จะปราบซาตาน ต้องมีอิทธิฤทธิ์แรงพอกัน
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 31 มีนาคม 2553, 20:48:03 ใครนะที่มีอาถรรพ์หมายเลข 6 น้องเหลิม
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มีนาคม 2553, 21:23:43 ประชาชนผู้รักความสงบสันติ - คัดค้านการยุบสภาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม -
ไม่เห็นด้วยกับการแก้ธรรมนูญเพื่อฟอกคนผิด ขอเชิญประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่ยึดมั่นในความสันติ ต้องการให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและปลอดภัย ภายใต้การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 14.00 น. ขอให้ทุกท่านสวมเสื้อสีชมพู (หากไม่สะดวกก็สามารถสวมใส่ได้ทุกสี แต่ขอความกรุณางดเว้นสีแดง) ขอให้ทุกท่านไปรวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาลตั้งแต่เวลา 13.30 น. และเราทุกคนจะร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ในเวลา 14.30 น. ใช้เวลาในการทำพิธีประมาณ 20 นาที โดยจะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปภายนอกบริเวณมหาวิทยาลัย วัตถุประสงค์สำคัญในการร่วมตัวครั้งนี้คือ · เพื่อแสดงให้สาธารณะชนเห็นชัดว่าพวกเราทุกคนล้วนยึดมั่นในหลักความสงบสันติ ไม่ต้องการให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้กฏหมู่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศชาติและประชาชน · เรียกร้องให้คนกลุ่มหนึ่งยุติการยึดครองพื้นผิวการจราจรของกรุงเทพและยุติการกระทำใดๆ ที่ใช้คนผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯเป็นตัวประกันทางการเมือง · ไม่ต้องการให้มีการกระทำใดๆที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ · คัดค้านข้อเรียกร้องให้ยุบสภาในสภาวการณ์ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการใช้กฏหมู่บีบบังคับให้ยุบสภา โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและประชาชนส่วนร่วม · คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกคนทำผิดกฏหมายให้กลายเป็นคนถูกกฏหมาย หมายเหตุ กรุณาช่วยกันเผยแพร่ข่าวนี้ไปยังกลุ่มของท่านให้มากที่สุด และเพื่อเป็นการแสดงกลุ่มของท่านให้ชัดเจน โปรดกรุณาทำป้ายโปสเตอร์ขนาดกลางเพื่อระบุกลุ่มของท่านในระหว่างการร่วมชุมนุมด้วย หรือหากประสงค์จะทำป้ายเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ แต่หากกลุ่มใดไม่สะดวกที่จะทำป้ายก็สามารถไปร่วมชุมนุมเพื่อแสดงเจตนา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 01 เมษายน 2553, 07:27:37 "ยุบ" หรือ "ไม่ยุบ" สภา โหวตได้ที่นี่ ได้เพียงคนละ 1 เสียง ต้องใส่หมายเลขบัตรประชาชนด้วย www.siamza.com/event/vote2/index.php หรือที่เวปของ สุทธิชัย หยุ่น http://twtpoll.com/r/7x21tj หมายเหตุ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ถ้าให้โหวตผ่านระบบอินเตอร์เน็ท แทบจะไม่ต้องโหวต ก็พอจะทราบผลล่วงหน้าได้เลยว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ ไม่มีภูมิปัญญา หรือคนแก่ ที่ใช้อินเตอร์เน็ทไม่เป็น หรือพวกคนเสื้อแดง ซึ่งเราๆท่านๆก็ทราบกันดีว่าเป็นใคร โหวตผ่านระบบอินเตอร์เน็ทแบบนี้ แพ้แน่นอนครับ เพราะฉะนั้น นักวิชาเกิน 155 คน พวกมหาลัยสองยาม ที่เสนอให้รัฐบาลยุบสภานั้น กรุณาเอาเท้าไปก่ายหน้าผาก คิดแทนสมองเถอะครับ เสียดายคนพวกนี้ ที่อุตส่าห์เรียนจบระบบด๊อก มาจากต่างประเทศ บ้าง ในประเทศบ้าง เก่งแต่เรียนหนังสือ เก่งแต่ข้อสอบ บนกระดาษ แต่ชีวิตจริง สอบตกทุกวิชา ถ้าเป็นอาจารย์มหาลัย ลาออกมาเถอะครับ ไปเลี้ยงกระบือดีกว่า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 01 เมษายน 2553, 09:23:51 (http://img227.imageshack.us/img227/5131/thaksin.gif) เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ Date: April 1 ,2010 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 เมษายน 2553, 18:14:42 ภาค ปชช.รวมตัว 2 เม.ย.ร้องเสื้อแดงหยุดหมิ่นเบื้องสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 เมษายน 2553 17:43 น. น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชน กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (2 เม.ย.) เครือข่ายนักวิชาการ นักธุรกิจภาคประชาชน และชุมชนกว่า 5,000 คน จะสวมเสื้อสีชมพูมารวมตัวกันที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่เวลา 13.30 น. เพื่อร่วมกล่าวคำปฏิญาณและแสดงความจงรักภักดี รักชาติ พร้อมประกาศจุดยืนถึงการรักษาสิทธิ์ความเป็นไทย เป็นประชาธิปไตยอย่างเท่าเทียม ไม่ต้องการให้คนกลุ่มไหนใช้กฎหมู่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ยุติการกระทำใดๆ ที่ใช้คนในกรุงเทพมหานครเป็นตัวประกันทางการเมือง รวมทั้งเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงหยุดพฤติกรรมการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยที่จะยุบสภา เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงไม่พอใจการรวมตัวครั้งนี้ และขู่จะบุกไปที่จุฬาฯ ผู้ประสานงานเครือข่ายยืนยันว่า การรวมตัวกันไม่ได้เป็นสีใดสีหนึ่ง เชื่อว่า คนเสื้อแดงจะเข้าใจถึงการแสดงออกของประชาชนกลุ่มอื่นๆ ซึ่งหากมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น สังคมจะเป็นผู้ตัดสิน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 เมษายน 2553, 18:22:22 ผวา! “เลือดไพร่” พบเอดส์-ไวรัสบีอื้อ แฉ “คุณโสฯ” ใกล้ม็อบรับแขกเพิ่ม 4 เท่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 เมษายน 2553 15:21 น. ผวา! ผลตรวจ “เลือดไพร่แดง” เทสถานที่ต่างๆ พบเชื้อเอดส์ ไวรัสตับอักเสบทั้งบีและซีเพียบ แฉมี “เลือดหมู” ปนด้วย ด้านแพทยสภาชี้ผู้ได้รับความเสียหายที่อาจติดเอดส์ และติดไวรัสตับอักเสบ ฟ้องร้องได้ กร้าวหมอที่เจาะเลือดต้องรับผิดชอบ เมื่อเวลา 13.15 น.ที่รัฐสภา กลุ่มพี่น้องมหิดล นำโดย นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ได้ยื่นหนังสือต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เพื่อขอให้นายกฯออกมาตรการดูแลประชาชน ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อ จากการเทเลือดไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง โดยมี นายอิสรา สุนทรวัฒน์ รองเลขาธิการนายกฯ เป็นผู้รับแทน นพ.กุศล กล่าวว่า จากการเก็บตัวอย่างเลือดมาตรวจยังห้องเล็ปโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่มีการเทไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุม พบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง 3 ชนิด คือ 1.เชื้อไวรัสตับอักเสบบี 2.เชื้อไวรัสตับอักเสบซี และ 3.เชื้อไวรัสเอชไอวี หรือเชื้อไวรัสเอดส์ ที่อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปกติ โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีค่าการติดเชื้อถึง 1 ล้านหน่วย ไวรัสตับอักเสบซี มีค่าการติดเชื้อ 5 หมื่นกว่าหน่วย ขณะที่เชื้อไวรัสเอดส์ มีค่าติดเชื้อประมาณ 113 หน่วย ซึ่งเชื้อทั้งหมดในทางการแพทย์ หากมีเพียง 40 หน่วยก็สามารถติดเชื้อได้แล้ว ทางกลุ่มพี่น้องมหิดล จึงเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่เข้าไปร่วมชุมนุมในช่วงที่มีการเทเลือดในสถานที่ต่างๆ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมบางคนอาจมีบาดแผลที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่าย นพ.กุศลกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จากการตรวจผลดีเอ็นเอในห้องแล็บ ยังพบว่าเลือดที่ดำเนินการเททิ้งในสถานที่ต่างๆ มีส่วนผสมของเลือดหมูและเลือดคนผสมกันด้วย ทั้งนี้ กลุ่มพี่น้องมหิดลยังได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีแ ละรมว.สาธารณสุข เรื่องการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงในกลุ่มประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมของคนเสื้อแดง มีเนื้อหาว่า “...การชุมนุมของคนเสื้อแดงได้เกิดเหตุการณ์นำเลือดสดๆ ไปราด และสาดตามสถานที่สาธารณะหลายแห่งรวมทั้งบริเวณหน้าบ้านนายกฯ ทางกลุ่มพี่น้องมหิดลซึ่งเป็นบุคคลากรด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขอีกหลายด้าน ได้เฝ้าติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วงในสุขภาพของพี่น้องร่วมชาติทุกฝ่าย รวมทั้งได้นำตัวอย่างของเลือดที่เก็บมาจากสถานที่ดังกล่าวไปตรวจอย่างละเอียดแล้ว จากการตรวจสอบพบว่า มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงหลายชนิด ได้แก่ โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ประกอบด้วย รวมทั้งมีรายงานทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับผู้หญิงบริการที่ประกอบอาชีพอยู่ใกล้บริเวณสถานที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีจำนวนครั้งของการให้บริการค้าประเวณีแก่ลูกค้าเพื่มขึ้นประมาณ 3-4 เท่าตัวต่อวัน จากหลักฐานดังกล่าว กลุ่มพี่น้องมหิดลจึงมีความวิตกกังวลถึงความเป็นไปได้ในการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงดังกล่าว เรากลุ่มพี่น้องมหืดลจึงมีมติร่วมกันขอประฌามการใช้วิธีการสาดเลือด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าจะอ้างว่่า เป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรงและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้น เป็นสิ่งที่ผู้รับผิดชอบหรือแกนนำไม่มีความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยต่อร่างกายของเพื่อนร่วมชาติ อนึ่ง เพื่อความปลอดภัยในระยะยาวของพี่้น้องร่วมชาติ กลุ่มพี่น้องมหิดลขอเสนอมาตรการดังต่อไปนี้ 1.ขอให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น กรมควบคุมโรค เข้าพบแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อชี้แจงถึงผลการตรวจพบเชื้อต่างๆ ในเลือดของผู้ชุมนุม ตลอดจนให้ความรู้เกี่ยวกับการระบาดของโรคร้ายแรง และขอความร่วมมือในการตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อเพื่อการเฝ้าระวังและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ 2.ขอให้หน่วยงานของ กทม.เข้าไปจัดการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ชุมนุมตลอดจนการจัดการด้านสุขอนามัยของสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตัวดูแลสุขอนามัยของผู้ร่วมชุมนุมเพื่อไม่ให้ มีการเแพร่กระจายของโรคติดต่อต่างๆ กลุ่มพี่น้องมหิดลมีความเคารพในเหตุผลของทุกฝ่าย ได้แก่ ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงและรัฐบาล แต่ด้วยความตระหนักถึงสุขภถาพและความปลอดภัยของสังคมโดยรวม จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการป้องกันการเแพร่กระจายของโรคร้ายแรงดังกล่าว...” ในขณะที่ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มแพทย์ออกมาระบุว่า ผลการตรวจเลือดที่กลุ่มเสื้อแดงนำมาเทที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลและหน้าบ้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปรากฏว่าพบทั้งเลือดหมู เลือดวัว และมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ร่วมถึงเชื้อเอชไอวีนั้น ว่า ยังไม่ทราบเรื่องว่า แพทย์กลุ่มใดเป็นผู้ตรวจพิสูจน์เลือดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากพบว่าเลือดมีเชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบจริง ถือเป็นอันตรายต่อบุคคลที่ไปเจาะเลือดและผู้ที่มีแผลที่อาจถูกเลือดกระเด็นใส่ โดยจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การประชุมของแพทยสภาเพื่อพิจารณาในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ การจะเจาะเลือดจะต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าเจาะเลือดเพื่ออะไรและนำไปใช้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากกการกระทำครั้งนี้ สามารถมาฟ้องร้องดำเนินคดีได้ เมื่อถามว่า ใครจะเป็นรับผิดชอบหากตรวจสอบพบว่าติดโรคตับอักเสบบี และซี และติดเชื้อเอชไอวี นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า คงต้องดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เจาะเลือด รวมถึงผู้ที่เทและสาดเลือดแต่ไม่ทราบว่า มีแพทย์ร่วมกระทำการด้วยหรือไม่ เป็นใครบ้าง ซึ่งจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 01 เมษายน 2553, 20:58:29
กลอนเต็มๆคือแบบนี้ครับ พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา พฤษภ แปลว่า วัว & กาสร แปลว่า ควาย ครับ... ดูให้ดีครับ > ผมจงใจใช้สีอะไรเน้น emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) ปล.คนบางจำพวก เป็นพลเมืองดีๆไม่ชอบ อยากกลับไปเป็น ไพร่สถุน! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 01 เมษายน 2553, 21:03:42
มีทั้งเลือดหมู เลือดวัว???.....ทีแรกนึกว่าเป็นเลือดควายเสียอีก ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 เมษายน 2553, 21:17:55 รวบมือทำเว็บ นปช.ยูเอสเอ โพสต์หมิ่นเบื้องสูงถ่ายสดผ่านทีวีแดง
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 1 เมษายน 2553 19:36 น. ตำรวจสอบสวนกลาง บุกจับผู้ทำเว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ ใช้ห้องพักคอนโด ซอยวัดศรีบุญเรือง จัดรายการ “ทางออกประเทศไทย” มีข้อความดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์อันเป็นเท็จ ถ่ายทอดสดผ่านทีวีเสื้อแดง สารภาพทำผิดจริง ตำรวจเตรียมขยายผลจับผู้ร่วมขบวนการที่เหลืออีก 2-3 คน เวลา 17.30 น.วันนี้ (1 เม.ย.) พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นำหมายจับศาลอาญาเลขที่ 767/2553 ลงวันที่ 1 เม.ย.เข้าจับกุม นายธันย์ฐวุฒิ หรือ หนุ่ม ทวีวโรดมกุล อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/90 ม.1 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่ห้องพักเลขที่ 803 อาคารอัสสกานต์คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่เลขที่ 19/50 อาคาร 9 ซอยรามคำแหง 107 หรือซอยวัดศรีบุญเรือง ถนนสุขาภิบาล 3 แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กทม. พล.ต.ท.ไถง เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ พบว่า ในรายการ “ทางออกประเทศไทย” มีข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์อันเป็นเท็จ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เผยแพร่ในเว็บไซต์ www.norporchorusa.com และ www.norporchorusa2.com และถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์เพื่อประชาชน พีเพิลชาแนล ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 ถนนลาดพร้าว แขวงและเขตวังทองหลาง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท.จึงทำการสืบสวนเส้นทางจราจรคอมพิวเตอร์จนพบว่า ห้องพักดังกล่าวเป็นจุดเผยแพร่ และนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบเว็บไซต์ จึงได้ขออนุมัติหมายค้น และหมายจับจากศาลอาญา เพื่อเข้าจับกุมทำการจับกุมผู้ต้องหาทันที พล.ต.ท.ไถง กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้นำข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่จริง โดยผู้ต้องหามีอาชีพรับออกแบบเว็บไซต์ และเป็นผู้ทำเว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ มานาน 5 เดือนแล้ว โดยมีตำแหน่งเป็นแอดมินผู้ดูแลเว็บไซต์ ใช้ชื่อนามแฝงในเว็บ ว่า “เรดอีเกิ้ล” หรืออินทรีแดง นอกจากนี้ ยังมีผู้เกี่ยวข้องกับการนำข้อความดังกล่าวเผยแพร่อยู่อีกประมาณ 2-3 คน และกำลังขยายผลเพิ่มเติมอีก 2-3 จุด แต่ที่เกิดเหตุเป็นจุดใช้สำหรับการเผยแพร่ “เว็บหมิ่นประมาทส่วนใหญ่จะมีการจดทะเบียนในต่างประเทศ แต่ก็มีบางเว็บที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบและกำลังจะขยายผลจับกุม แต่เหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าแน่นอน” พล.ต.ท.ไถงกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในความผิดฐาน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือเป็นผู้ให้บริการ จงใจ สนับสนุน หรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดดังกล่าวข้างต้นในระบบคอมพิวเตอร์เช่นว่านั้น และควบคุมผู้ต้องหาและของกลางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 01 เมษายน 2553, 21:51:53 สมน้ำหน้ามัน! ต้องให้มันโดนรุมอัดถั่วในคุก!
ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกควายแดง จะมีแนวร่วมในเมืองนอกมากมายอะไร มันทำเวบหลอกๆ มาเลียนแบบกลุ่มพันธมิตรในต่างแดน เสียมากกว่า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 01 เมษายน 2553, 21:53:32 สมน้ำหน้าด้วย
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 02 เมษายน 2553, 08:17:18 (http://img227.imageshack.us/img227/3002/resizeofcu06.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 02 เมษายน 2553, 16:55:41 (http://img181.imageshack.us/img181/7476/cu001.jpg) (http://img181.imageshack.us/img181/6971/cu000.jpg) (http://img227.imageshack.us/img227/7531/cu008.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 02 เมษายน 2553, 21:41:28 พวกจุฬาหลายคนที่เป็นสาวกลัทธิไอ้แว่นจานบิน อยากรู้แมร่งจะยังชาบูชาบูพวกควายแดงอยู่อีกมั้ย?
รวมทั้งไอ้อาจม สุธาควาย จิ๋มประเสริฐ ด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 02 เมษายน 2553, 21:42:17 เสียดายไม่ได้อยู่กรุงเทพไม่งั้นจะไปร่วมด้วย
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 02 เมษายน 2553, 22:53:40 @@@ ยอดเยี่ยม กระเทียมดอง @@@
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 02 เมษายน 2553, 23:03:31 รูปนี้ ก็ขำดี
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 03 เมษายน 2553, 02:10:37 (http://img215.imageshack.us/img215/2529/mgrpdf20100403page14.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุ ปาตานี ที่ 03 เมษายน 2553, 10:54:53 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l0a878-0b2832.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 เมษายน 2553, 14:02:09 (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l0ago7-973c17.jpg)
พระ-นาง ในภาพยนต์เรื่องใหม่ ตามล่า นช.ตั้กกี้..สุดขอบฟ้า เปิดกล้อง ที่ ดุสิตธานี สวนลุม 2/4/10 เวลา 14.00น. โปรดอดใจรอชม...เร็วๆนี้ 555555 ( คุณญานี..เธอน่ารักมา้กๆๆ..เธอมาร่วมในงาน จามจุรีรักชาติ) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวหน่อ เมืองพลาญ ที่ 03 เมษายน 2553, 14:19:53 พี่ตะวันก็หล่อไม่เบานะครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 03 เมษายน 2553, 15:13:07 น้องเขาคงหมายถึง หล่อแบบอ้วนนะครับพี่ตะวัน emo26:D
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 03 เมษายน 2553, 18:18:17
โฮะ โฮะ .. หัวเราะแบบ Santa Clause .. เพราะรายนั้น 'ไม่เบา' แน่นอน emo20:)):) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 เมษายน 2553, 19:27:32
รับบทเสี่ย มันต้องมีน้ำมีเนื้อหน่วย นะน้อง หน่อ แต่เมื่อวาน ผอมไปหลายขีด เจอ แดดร้อนเข้าไป เหงื่อหยด ติ๋งๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 เมษายน 2553, 19:28:59
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: TAE2540 ที่ 03 เมษายน 2553, 19:32:20
ไม่อ้วนหรอกพี่ สมส่วนเป็นไปตามวัย ว่าแต่ สีเขียวอ่านย๊าก ยาก ต้องไฮไลท์อ่าน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 03 เมษายน 2553, 21:32:43 ช่ายแล้วสีเขียวพี่ตะวันเห็นมาหลายห้องแล้วอ่านไม่ได้ต้องทำไฮไลท์
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 เมษายน 2553, 21:42:51
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 03 เมษายน 2553, 21:51:01 ดูท่าท่านายกจะเป็นมะเขือเผาซะแล้วมั้ง
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 04 เมษายน 2553, 20:32:44 ทีแรกนึกว่าพี่ตะวันจะรับแสดงบทเป็นไอ้เหลี่ยม ส่วนเจ๊ตุ๊กรับบทเป็นอีอ้อ... emo47
พวกนี้ไม่กล้ายอมรับว่าทฤษฎีที่ตัวเองเคยโปรโมตมา > มันผิด...เลยต้องแถ เอาข้างเข้าถูต่อไป พวกนี้เคยนำเสนอว่า ลัทธิความเชื่อในเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดมวลชนคลั่ง ตอน 6 ตุลา 19 แต่ตอนนี้ ผมเห็นแล้วเต็มๆ ว่าทฤษฎีนั้น เหลวไหล ไร้สาระ! พันธมิตรเสื้อเหลือง ก็โปรโมต"ชาติ ศาสน์ กษัตริย์"เหมือนกัน ไม่เห็นว่าจะทำให้ใครฆ่ากันตรงไหน? กลุ่มสีชมพู ก็ไม่เห็นว่าจะคลุ้มคลั่งไปสร้างความเดือดร้อนกับใคร แต่กลุ่มเสื้อแดงนี่สิ มีหลายตัวพยายามจะยั่วยุให้คนอื่นเค้าคลั่ง ด้วยการส่งคนบางกลุ่มมาจาบจ้วงสถาบันฯ แต่ก็ไม่เห็นว่าใครเค้าจะมาไล่ทำร้ายพวกมัน(แบบขวาพิฆาตซ้าย19)เลย ตรงข้าม พวกมันนั่นแหละที่คลั่งซะเอง ทฤษฎี ความเชื่อใดๆ มันก็ไม่สำคัญเท่าแนวทางของบุคคลที่เอามาปลุกระดมหรอก พวกนักวิชาการสวะ! แม้แต่หลักการประชาธิปไตย ถ้าคนมันจะเอามาปลุกระดมให้คลั่ง มันก็ยังทำได้ เฉกเช่นสามเกลอหัวหน่าวนั่นแล! คนเอาดาบมาแทงคน ผู้ฆ่าคือคน...ไม่ใช่ดาบ! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 04 เมษายน 2553, 22:44:56 “แดง-ยูเอสเอ” งานกร่อย วางบิลแม้วพันคน ของจริงมาแค่ 20 (http://img215.imageshack.us/img215/6484/dangusa.jpg) วานนี้ (3 เม.ย.) ตามเวลาในนครลอสแองเจลิส (แอลเอ) สหรัฐอเมริกา กลุ่มคนไทยในแอลเอได้ร่วมสังเกตการณ์การนัดชุมนุมของกลุ่ม นปช.ยูเอสเอ ที่บริเวณหน้าสถานกงสุลไทย เลขที่ 611 N.Larchmont Blvd. ซึ่งในตอนแรกมีการประกาศไว้ว่าจะนัดชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงในแอลเอไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคนในเวลา 10.00-12.00 น. อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัดหมายกลุ่มคนไทยในแอลเอที่ไปติดตามสถานการณ์การชุมนุมก็รายงานว่า เมื่อถึงเวลานัดกลับมีจำนวนผู้มาชุมนุมเพียง 15-20 คนเท่านั้น อนึ่ง ในช่วงหลายปีมานี้ กลุ่ม นปช.ในสหรัฐอเมริกาถือเป็นแหล่งกบดานของกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มแดงสยามที่ต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศ และหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ โดยคนกลุ่มนี้ได้ผลิตและเผยแพร่ข้อความและภาพที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างรุนแรงมาโดยต่อเนื่อง ที่มา : http://www.oknation.net/blog/Tip2/2010/04/04/entry-2 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 เมษายน 2553, 08:04:58 "ไพร่แดง"รุมทำร้าย พนง.รถสุขา กทม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 เมษายน 2553 18:54 น. นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขอเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมโดยสงบสันติตามกรอบของกฎหมาย และขอวิงวอนว่าอย่าใช้กำลังทำร้ายข้าราชการและลูกจ้างของ กทม.ที่เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 3 เมษายน มีพนักงานรถสุขาของ กทม. จำนวน 7 คน ถูกรุมทำร้ายร่างกายที่บริเวณแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งขณะนี้ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.ท้องที่แล้ว นายพรเทพ กล่าวว่า ภายหลังทราบว่าเจ้าหน้าที่ประจำรถสุขาถูกทำร้าย กทม.จึงมีคำสั่งให้ถอนรถสุขาเคลื่อนที่ออกจากบริเวณที่ชุมนุมย่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศทั้งหมด เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ยกเว้นส้วมน็อคดาวน์เท่านั้นที่ กทม.ยังคงตั้งไว้ให้บริการแก่ผู้ชุมนุม รวมทั้งได้จัดรถบรรทุกน้ำคอยอำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ นายพรเทพ กล่าวอีกว่า หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ผิดปกติขอให้รีบโทรแจ้งมายังสายด่วน กทม. 1555 เพื่อจะได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 เมษายน 2553, 16:09:46 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 5 เมษายน 2553 01:00ฑิฆัมพร ศรีจันทร์ ยุทธการทำลายตัวเอง โดย : จับกระแส ปกติผมไม่ได้ข้องแวะที่จะขีดๆ เขียนๆ เรื่องการเมืองมากนัก ด้วยเหตุว่ามีผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้ หรือกูรูมากมาย ที่สันทัดจัดเจนในการวิเคราะห์ความเป็นมาและเป็นไปของเหตุการณ์บ้านเมืองมากกว่า แต่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 20 วัน ทำให้อดที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่ได้ กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนพลนับหมื่นบุกยึดท้องถนนราชดำเนิน ปิดแยกผ่านฟ้า ก่อนที่จะเคลื่อนพลไปตามที่ต่างๆ เพื่อรณรงค์ให้คนกรุงเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเขา ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กลุ่มคนเสื้อแดงมาด้วยวาทกรรมการต่อสู้ทางชนชั้น อำมาตย์กับไพร่ มาด้วยการต่อสู้ว่าด้วยเรื่องสองมาตรฐาน ด้วยความรู้สึกของชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐอยู่แล้ว ผสมกับการสุมไฟของนายใหญ่ ที่ยังครองใจชาวรากหญ้า ประเด็นจึงถูกจุดติดในช่วงเริ่มต้น การเคลื่อนพลตามที่ต่างๆ แม้ว่าคนกรุงส่วนใหญ่จะวางเฉย แม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ส่งเสียงปฏิเสธ ซึ่งเป็นปกติธรรมชาติของชาวเมืองหลวง ที่มักจะวางเฉย เย็นชาทุกเรื่องราว ตราบใดที่เรื่องราวไม่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับตนจริงๆ จะไม่ค่อยมีการแสดงออก อาจจะมีบ่นกันไปบ้าง ทางสังคมออนไลน์ เสียเป็นส่วนใหญ่ ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง คละเคล้ากันไป การชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงเริ่มต้น จึงไม่เสียแต้มมากนักในสายตาคนกรุง แน่นอนเสียงของพวกเขาส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง เพราะเห็นว่าความรุนแรง ส่งผลกระทบกระเทือนไปทั่ว จึงเทใจสนับสนุนยุติความขัดแย้งด้วยการเจรจา แต่ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวของกลุ่มแกนนำบางคนบนโต๊ะเจรจา ไม่มีท่าทีลดราวาศอก ดึงดันจะเรียกร้องเอาตามความคิดเห็นตัวเองให้ได้ โดยไม่มีท่าทีผ่อนปรนใดๆ ประกอบกับการเคลื่อนพลไปบุกยึดสี่แยกราชประสงค์ อันเป็นจุดสำคัญของภาคธุรกิจ มีห้างร้านน้อยใหญ่มากมายในบริเวณนั้น ที่ทำมาหากินโดยสุจริต ยอดขายรวมกันหลายร้อยล้านบาทต่อวัน ต้องปิดตัวลงไปและยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า จะกลับมาเปิดใหม่ได้เมื่อไหร่ เพราะไม่มีใครแน่ใจและให้หลักประกันได้ว่า จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หากเปิดดำเนินการทำมาค้าขายตามปกติ (หากเกิดเหตุการณ์มิชอบขึ้น แกนนำจะปฏิเสธและบอกว่าแดงเทียม) ต้องไม่ลืมว่านอกจากรัฐและกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงแล้ว ยังมีมือที่สาม สี่ ห้า มือที่มากมาย รอเติมเชื้อไฟสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ การเคลื่อนพลยึดสี่แยกราชประสงค์ จุดกึ่งกลางเมืองใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจ กระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงให้แก่ภาคธุรกิจ กระทบวิถีชีวิตการทำมาหากินของคนจำนวนมาก ส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศ ไม่ได้น้อยไปกว่าการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ กระทำได้ แต่ต้องเป็นไปภายใต้เคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เคารพผู้ที่มีความเห็นที่แตกต่าง แต่การชุมนุมของคนเสื้อแดง กำลังเดินสวนไปในเส้นทางนี้ ความชอบธรรมในการเรียกร้องของผู้ชุมนุมกำลังหมดลงไปเรื่อยๆ การกำหนดยุทธการเคลื่อนไหวของแกนนำเสื้อแดง กำลังเดินไปสู่หนทางทำลายตัวเอง กลุ่มคนเสื้อแดงขีดเส้นและนับถอยหลังรอวัน "อภิสิทธิ์" ยุบสภา ด้านหนึ่งคนเมืองหลวงก็เริ่มหมดความอดทนและนับถอยหลังบ้างแล้ว นับถอยหลัง เมื่อไหร่รัฐบาลจะจัดการให้ผู้คนในบ้านนี้ เมืองนี้ เคารพกฎหมาย ถ้า อภิสิทธิ์ ทำไม่ได้ บางทีเขาอาจจะลุกขึ้นมาจัดการเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 05 เมษายน 2553, 16:14:22 กลอนเด็ดจาก Manager ไม่ทราบว่าใครแต่ง แต่อ่านแล้วสะใจจริงๆ emo26:D
เลือดไพร่มันไร้ค่า เพราะหลั่งมาจากความถ่อย หลั่งเล็กผสมน้อย กับเลือดร้อยเดรัจฉาน เลือดหมูและเลือดวัว ซื้อถ้วนทั่วจากชาวบ้าน คลุกเคล้าผสมผสาน เอามาราดให้เปรอะไป หลั่งเลือดชโลมดิน แล้วเล่นลิ้นว่าเลือดไหล เลือดชั่วที่หลั่งไป เลือดจัญไรละเลงกรุง หลั่งเลือดลงแกลลอน ตกตะกอนเป็นกระบุง ทั้งหมดก็เพื่อมุ่ง ผลาญรัฐไทยให้ระทวย ผสมโรงแล้วโหวงเหวง คิดเอาเองทำเอารวย ขี้ตู่ก็เข้าช่วย เหมือนคนป่วยศรีธัญญา นักโทษวิปลาส หมายเอื้อมอาจโค่นราชา ฟ้าดินจะก่นด่า แช่งเข่นฆ่าพวกทรยศ รวมเลือดเหล่าเสื้อแดง รวมเลือดแห่งคนกบฎ รวมเลือดคนคิดคด เลือดคนโฉดคนจัญไร เก็บเลือดในตัวเถิด ยามเกิดถูกกุดหัวไซร เลือดจะได้มีไหล ให้พุ่งไกลล้างแผ่นดิน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 05 เมษายน 2553, 16:17:45 อีกกลอนหนึ่ง แรงไม่แพ้กัน...
(http://mblog.manager.co.th/uploads/3500/images/red1.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 05 เมษายน 2553, 18:15:57 @ บอกหน่อยได้ไหม...ใครกันเล่า
สร้างเงื่อนปมบ่มเร้าสิ่งร้ายร้าย ให้ลามรุกปลุกปั่นภยันตราย แพร่กระจายไปทุกหย่อมองคาพยพ เป็นมะเร็งเนื้อร้ายเข้าส่ายแทรก สอดชำแรกสิ่งเลวร้ายร่ายบรรจบ ให้กัดเถือเนื้อดี สี่ขั้นครบ ใครเล่ากลบเกลื่อนปัญหาปล่อยคาไว้ ขั้นหนึ่ง--พึงตระหนักให้รักษา สุดสับสนอลหม่า มากสงสัย แสนหงุดหงิดงุนงง ยากปลงใจ มะเร็งในอารมณ์บ่มมานาน ขั้นสอง--ต้องเร่งรักษาพลัน ทำแผ่นดินเดือดลั่น ร้อนระร่าน ความระอุทะลุฟ้า ร้อนระราน มะเร็งสังคมพล่านเพียบพิษภัย ขั้นสาม--ตามตำรารักษายาก เพราะพวกกากเดนคนยังล้นไหล รวมขั้ว-ข้าง สร้างก๊วน ปั่นป่วนไป มะเร็งการเมืองในน้ำเน่านั้น ขั้นสี่--รักษาไปก็ไม่พ้น ยิ่งดิ้นรน ยิ่งรวบรัดได้หฤหรรษ์ ยิ่งจิตขุ่น ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งร่นวัน มะเร็งที่ไข่ไม่ขัน นั้นของใคร?! ที่มา http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000047188 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 เมษายน 2553, 22:30:04 ศอ.รส.แจงยิบยันศาลไฟเขียวจัดการแดงหลังแกนนำบิดเบือนคำสั่งบนเวที
05 เมษายน 2553 เวลา 21:59 น. ศอ.รส.ส่งธาริตแจงคำสั่งศาลแพ่ง7ประเด็นยันรัฐมีอำนาจตามกม.มั่นคง ไล่แดงพ้นแยกราชประสงค์เตรียมรับมือการเคลื่อนขบวนไป11เส้นทางต้องห้ามพรุ่งนี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอสวนคดีพิเศษ ในฐานะผู้แทนกระทรวงยุติธรรม กล่าวแถลงข่าวในนามศอ.รส. กรณีแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงกล่าวบนเวทีปราศรัยโดยมีการบิดเบือนคำพิพากษาของศาลแพ่ง ว่า เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน กระทรวงยุติธรรม ขอชี้แจง7 ประเด็นสำคัญในคำสั่งของศาลแพ่งดังนี้ว่า 1.คำสั่งศาลแพ่งที่ออกมาดังกล่าวไม่ใช่เป็นการร้องขอฝ่ายเดียวของรัฐบาล แต่มีผู้ร้องคัดค้านคือแกนนำกลุ่มนปช.จึงมีคู่ความทั้งสองฝ่าย 2.คำสั่งของศาลแพ่ง ได้พิเคราะห์คำร้องจากสำนวนของอัยการ คำคัดค้าน และนำพยานหลักฐานเข้าไต่สวน ซึ่งศาลได้ประมวลจากข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงรับฟังได้ว่าไม่ใช่เป็นการพิเคราะห์จากคำขอฝ่ายเดียว 3.คำสั่งของศาลแพ่งได้พิจารณาจากการนำสืบทั้งในข้อเท็จจริง และข้อกฏหมาย 4.คำสั่งของศาลแพ่งระบุชัดเจนว่าการชุมนุมของนปช.ที่แยกราชประสงค์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกม. 5.คำสั่งของศาลแพ่ง ระบุว่า กอ.รมน.มีอำนาจทั้งปวงในการควบคุมสถานการณ์ที่อาจให้ก่อความไม่สงบ ยืนยันว่ารัฐบาลมีอำนาจตามกฏหมาย ป้องกันฟื้นฟูแก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง 6.คำสั่งของศาลแพ่งระบุว่า บรรดาข้อกำหนด และประกาศต่างๆที่ออกมามีสภาบังคับใช้ในตัวย่อมดำเนินการได้ทันที และ7.ผู้ฝ่าฝืนย่อมมีโทษตามกฎหมายและศาลได้รองรับการบังคับโทษตามประกาศดังกล่าว นายธาริต กล่าวต่อว่า ศาลจึงมีคำสั่งให้สามารถดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทันทีไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลอีก และไม่ได้หมายความว่าคำสั่งดังกล่าวของศาลแพ่งเป็นการรองรับว่าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงดำเนินการโดยชอบด้วยกฏหมาย ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 20.50 น. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี และพ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงหลังกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กลุ่มคนเสื้อแดง นำคำพิพากษาศาลแพ่งไปบิดเบือนบนเวทีปราศรัย สร้างความเข้าใจผิดให้ผู้ชุมนุม พ.อ.สรรเสริญ แถลงว่าการประชุมวันนี้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการรายงานว่าพื้นที่แยกราชประสงค์ มีจำนวนผู้ชุมนุมลดน้อยลงกว่าเมื่อวันที่ 4 เม.ย. เหลือ16,500-17,500 คนเพราะใกล้เทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับศอ.รส.ได้แจกเอกสารข้อห้ามการชุมนุม ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเข้าใจสถานการณ์และสภาพโดยรวมส่วนหนึ่งจึงกลับบ้าน นายสาทิตย์ แถลงว่า จากคำพิพากษาศาลแพ่งอาจเกิดข้อความสื่อสารในกลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความสับสน และมีคำถามโดยทั่วไปว่าคำสั่งยกคำร้องมีผลอย่างไรเพราะมีการไปบิดเบือนว่าคำสั่งของศาลแพ่งไปรองรับการชุมนุมว่าชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ เป้ามหมายการบังคับมใช้กฎหมายเป็นขั้นตอน เช่นเดียวกับวันพรุ่งนี้ที่นปช.จะเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทาง11 เส้น ซึ่งศอรส.มีอำนาจสกัดกั้น ระงับยับยั้งไม่ให้กระทำผิดเพราะกระทำการขัดต่อกฎหมาย ซึ่งจะประชุมซักซ้อมไม่ให้นปช.กระทำผิดกฎหมายต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 06 เมษายน 2553, 16:31:41 (http://img405.imageshack.us/img405/4320/mgrpdf20100406page01.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 06 เมษายน 2553, 16:34:48 (http://img339.imageshack.us/img339/711/mgrpdf20100406page36.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 เมษายน 2553, 09:48:26 หมดอารมณ์ แล้ว พี่น้องเอ๋ย
เจออภิสิทธ์ หน่อมแหน้ม ตัวพ่อเข้า ไร้อารมณ์ จริงๆ เล่นกับโจร ยังจะมารำยี่เกอยู่ ก็ตามสบายแล้วกัน ผมขอกราบลาก่อน คราวหน้าก็จะไม่เลือกแล้ว ปชป. เชิญงี่เง่า ตามสบายละครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 07 เมษายน 2553, 14:32:49 http://www.youtube.com/watch?v=qNgGlzLwvxo คนเร่ร่อนที่อาศัยสนามหลวงเผย ถูกจ้างไปร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงครั้งละ 200 บาท หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 07 เมษายน 2553, 15:03:28
“แดง-ยูเอสเอ” งานกร่อย วางบิลแม้วพันคน ของจริงมาแค่ 20 สู้อันนี้ไม่ได้ ฮากว่ากันครับ ที่สกลนคร... เกณฑ์คนไม่ได้ เกณฑ์ควายมาแทนครับ http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=441490 4 เมษา. 2553 15:53 น. ที่หน้าศาลากลาง ถนนศูนย์ราชการ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร นายสมบัติ แสนหล้า นายศักดา ดวงสุภา แกนนำชมรมนายฮ้อยวัวสกลนครนำแนวร่วมประมาณ 50 คน พร้อมด้วยรถบรรทุก 6 ล้อ และรถกระบะ ที่บรรทุกโค-กระบือมาเต็มหลังรถ กว่า 20 คัน ออกมาปิดถนนศูนย์ราชการ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสกลนครมีการกล่าวปราศรัยโจมตีการบริหารประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมกลุ่มทหารที่รับใช้อำมาตย์ โดยมีรถเครื่องขยายเสียง ของ นายนิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสกลนคร เขต 1 พรรคเพื่อไทยเข้าร่วม พร้อมได้แห่ขบวนรถขนโค-กระบือไปรอบเขตเทศบาลเมืองสกลนครเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรียุบสภาทันที คืนอำนาจให้ประชาชน ขับไล่อำมาตย์ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ได้มาซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันทรงมีพระมหากษัติรย์เป็นประมุข ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. (กลุ่มเสื้อแดง) ที่มีการชุมนุมในเรียกร้องบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และสี่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ โดยตลอดเส้นทางที่ขบวนรถชมรมนายฮ้อยวัวสกลนครได้แห่ไปนั้น เริ่มต้นจากการปิดถนนหน้าศูนย์ราชการ และเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายสุขเกษม วนซ้ายออกไปตามเส้นทางถนนรัฐพัฒนา มุ่งหน้าไปทางบ้านธาตุนาเวงและตำบลท่าแร่ อ.เมืองได้มีการนำป้ายข้อความเรียกร้อง ขับไล่อำมาตย์ เรียกร้องการยุบสภา ติดไว้ด้านข้างตัวรถ พร้อมกับแจกใบปลิว เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของประชาชนขั้นพื้นฐาน กระทั่งเวลา15.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้แยกย้ายกันไป โดยตลอดการชุมนุมและขบวนแห่ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.เมืองสกลนคร และ จนท.อส ได้เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยประมาณ 30 นาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย 14 ที่ 08 เมษายน 2553, 09:01:33 ตอนนี้ ตะวัน หรือ เสรี คงกำลังเดินทางนำคณะทัวร์ไปนิวซีแลนด์ ปล่อยให้พี่ๆน้องๆร้อนตับแตก ด้วยอากาศและการเมือง..เฮ้อ..รีบกลับมานะจ๊ะ emo28:win:
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: สมชาย17 ที่ 08 เมษายน 2553, 09:29:56
โชคดีที่ ไม่ได้เป็น นายก เลยได้เที่ยว ถ้าเป็น นายก ไปไหนไม่ได้แน่ๆ ต้องปักหลัก ดูแลสถานการณ์ emo19:((: ผมขอรดน้ำใส่ พี่อ้อย แก้ ร้อนตับแตก แล้วกันนะ พี่อ้อย นะคร้าบบ emo6::)) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 08 เมษายน 2553, 14:14:13 303 คณาจารย์แถลงค้านยุบสภา ประณามม็อบป่วน จี้ใช้กฎหมายฟัน (http://img140.imageshack.us/img140/8096/62441300.jpg) (http://img140.imageshack.us/img140/993/23817149.jpg) (http://img143.imageshack.us/img143/4138/65681816.jpg) (http://img143.imageshack.us/img143/4046/81802453.jpg) วันนี้ (8 เม.ย.) ที่ห้องประชุมชั้น 7 ตึกอเนกประสงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มนักวิชาการนำโดย ศ.นพ.ประมวล วีรุตมเสน คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร. สุรชัย ศิริไกร, รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมกันแถลงข่าวในนามกลุ่มนักวิชาการที่ยืนยันความถูกต้องต่อสังคม เพื่อคัดค้านความรุนแรงที่ไร้สติ ต่อต้านการยุบสภาที่ไร้เหตุผล เร่งปฏิรูปการเมือง เพื่อเป็นทางออกต่อสังคม พร้อมนำรายชื่อคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ รวม 303 คน ร่วมแถลงข่าว โดยทั้งหมดขอประกาศจุดยืนในสถานการณ์การเมืองที่วิกฤตของสังคมไทยในขณะนี้ว่า 1.การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การกระทำผิดกฎหมาย ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสาธารณะ การใช้ความรุนแรงข่มขู่ และสร้างความรู้สึกหวาดกลัวแก่ประชาชน เป็นสิ่งที่สังคมสมควรประณาม 2.ข้อเรียกร้องเพื่อให้เกิดการยุบสภา เป็นข้อเรียกร้องที่ปราศจากเหตุผลอันควร การกล่าวอ้างถึงสังคมที่ไม่สงบ จนเป็นเหตุต้องยุบสภา เป็นการส่งเสริมให้เกิดแบบอย่างในการใช้กำลังรุนแรง และการกะเกณฑ์คนมาสร้างความเสียหาย เพื่อหวังผลในเชิงการเมือง จึงเป็นเรื่องรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับฟัง หรือต้องเจรจาด้วยแต่อย่างใด 3.การรักษากฎหมายและสร้างสังคมให้คืนสู่ปกติสุขโดยเร็ว เป็นหน้าที่ที่รัฐต้องเร่งรีบดำเนินการ ก่อนที่บ้านเมืองจะเสียหายไปมากกว่านี้ 4.การปฏิรูปทางการเมืองและสังคม โดยระดมความเห็นจากทุกภาคส่วนมามองปัญหาที่เกิดขึ้น และร่วมกันออกแบบกลไกเพื่อการปฏิรูปการเมืองและสังคม ถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และต้องทำด้วยความจริงใจ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลตั้งใจจะแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน โดยรายชื่อนักวิชาการทั้ง 303 คน ประกอบด้วย 1.ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ราชบัณฑิต 2.ศาสตราจารย์ นพ.ประมวล วีรุตมเสน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3.ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ 4.ศาสตราจารย์ ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5.ศาสตราจารย์ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ 6.ศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย ศิริไกร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7.ศาสตราจารย์ ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 8.ศาสตราจารย์ นพ.ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 9.ศาสตราจารย์ ดร.สุมาลี สังข์ศรี สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 10.ศาตราจารย์ ศักดา ศิริพันธ์ อดีตคณบดี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11.ศาสตราจารย์ นพ.ประสิทธิ์ ฟูตระกูล ภาควิชากุมาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 12.ศาสตราจารย์ พญ.นริสา ฟูตระกูล ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13.ศาสตราจารย์ ดร.สุจริต เพียรชอบ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 14.ศาสตราจารย์ ดร.วรศักดิ์ เพียรชอบ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 15.ศาสตราจารย์ นพ.วสันต์ สุเมธกุล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 16.ศาสตราจารย์ ดร.ปิยะนาถ บุนนาค คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17.ศาสตราจารย์ ดร.อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 18.รองศาสตราจารย์ สมชัย ศรีสุทธิยากร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 19.รองศาสตราจารย์ ไว จามรมาน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 20.รองศาสตราจารย์ หริรักษ์ สูตะบุตร รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 21.รองศาสตราจารย์ นพ. เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 22.รองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 23.รองศาสตราจารย์ สุรัตน์ โหราชัยกุล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 24.รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ กังสนันท์ คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 25.รองศาสตราจารย์ พวงแก้ว ปุณยกนก คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 26.รองศาสตราจารย์ นพ.บรรยง ภักดีกิจเจริญ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 27.รองศาสตราจารย์ นพ.ชาครีย์ กิติยากร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 28.รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยาณี คูณมี คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 29.รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย อุตสาหจิต คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 30.รองศาสตราจารย์ ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 31.รองศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 32.รองศาสตราจารย์ นพ.สุพจน์ ศรีมหาโชตะ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 33.รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อตระกูล ยมนาค นักวิชาการอิสระ 34.รองศาสตราจารย์ ทญ.พนมพร วานิชชานนท์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 35.รองศาสตราจารย์ ทญ.สุขนิภา วงศ์ทองศรี คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 36.รองศาสตราจารย์ ทญ.อารีย์ เจนกิตติวงศ์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 37.รองศาสตราจารย์ ดร.รัตน์ เสรีนิราศ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 38.รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ถิ่นเคารพ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 39.รองศาสตราจารย์ ปัญญารักษ์ งามศรีตระกูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ 40.รองศาสตราจารย์ ทพ.ดร.วีระ เลิศจิราการ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 41.รองศาสตราจารย์ สุรีย์ สมประดีกุล คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล 42.รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา แก้วเทพ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 43.รองศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 44.รองศาสตราจารย์ ดร.ยุบล เบ็ญจรงค์กิจ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 45.รองศาสตราจารย์ ดร.สราวุธ อนันตชาติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 46.รองศาสตราจารย์ กรรณิการ์ อัศวดรเดชา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 47.รองศาสตราจารย์ พัชนี เชยจรรยา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 48.รองศาสตราจารย์ รุ่งนภา พิตรปรีชา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 49.รองศาสตราจารย์ พรรณี ชิโนรส คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 50.รองศาสตราจารย์ สุชาดา ศิริพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 51.รองศาสตราจารย์ บุศบรรณ ณ สงขลา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 52.รองศาสตราจารย์ ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 53.รองศาสตราจารย์ เมตตา วิวัฒนานุกูล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 54.รองศาสตราจารย์ อวยชัย พานิช คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 55.รองศาสตราจารย์ ปัทมวดี จารุวร คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 56.รองศาสตราจารย์ รักศานต์ วิวัฒน์สินอุดม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 57.รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ปั้นเหน่งเพ็ชร์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 58.รองศาสตราจารย์ ดร.จีระ ประทีป สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 59.รองศาสตราจารย์ สุขุมาลย์ ชำนิจ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 60.รองศาสตราจารย์ ดร.รสคนธ์ รัตนเสริมพงษ์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 61.รองศาสตราจารย์ ดร.เทพศักดิ์ บุณยรัตพันธุ์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 62.รองศาสตราจารย์ ปิยะนุช โปตะวณิช สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 63.รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศิวะเดชาเทพ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 64.รองศาสตราจารย์ พูนสุข เวชวิฐาน สาขาวิชามนุษยนิเวศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 65.รองศาสตราจารย์ ดร.ชยาพร วัฒนศิริ สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 66.รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ คงสม สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 67.รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา จิตตลดากร สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 68.รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 69.รองศาสตราจารย์ ดร.ธิติพัฒน์ เอี่ยมนิรันดร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 70.รองศาสตราจารย์ ธิดา โมสิกรัตน์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 71.รองศาสตราจารย์ สมัครสมร ภักดีเทวา สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 72.รองศาสตราจารย์ เรือเอกหญิงปรียา หิรัญประดิษฐ์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 73.รองศาสตราจารย์ ดร.สาคร บุญดาว สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 74.รองศาสตราจารย์ ดร.จิตรา วีรบุรีนนท์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 75.รองศาสตราจารย์ สุณี ภู่สีม่วง สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 76.รองศาสตราจารย์ ณัฏฐพร พิมพายน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 77.รองศาสตราจารย์ ดร.นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 78.รองศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ รุ่งเรืองกลกิจ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 79.รองศาสตราจารย์ นพพร โทณะวณิก สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 80.รองศาสตราจารย์ วราภรณ์ อุปลาคม สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 81.รองศาสตราจารย์ วิศิษฐ์ศักดิ์ แป้นสัมฤทธิ์ สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 82.รองศาสตราจารย์ ดร.สุทธิวรรณ ตันติรจนาวงศ์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 83.รองศาสตราจารย์ ดร.ศศิกาญจน์ ทวิสุวรรณ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 84.รองศาสตราจารย์ ดร.ประภาพรรณ เอี่ยมสุภาษิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 85.รองศาสตราจารย์ ดร.ประจวบจิตร คำจัตุรัส สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 86.รองศาสตราจารย์ อุษาวดี จันทรสนธิ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 87.รองศาสตราจารย์ ดร.หฤษฎี ภัทรดิลก สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 88.รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา โพธิ์ดี สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 89.รองศาสตราจารย์ ลัดดา พิศาลบุตร สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 90.รองศาสตราจารย์ ดร.เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 91.รองศาสตราจารย์ ดร.พงศ์พันธุ์ เธียรหิรัญ สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 92.รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริลักษณ์ วงส์พิเชษฐ สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 93.รองศาสตราจารย์ สมเกียรติ จันทร์ไพแสง สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 94.รองศาสตราจารย์ มาลี สุรเชษฐ สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 95.รองศาสตราจารย์ ดร.วาริณี เอี่ยมสวัสดิกุล สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 96.รองศาสตราจารย์ ดร.ศรีนวล สถิตวิทยานันท์ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 97.รองศาสตราจารย์ บุญทิพย์ สิริธรังศรี สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 98.รองศาสตราจารย์ กรองกาญจน์ ศิริภักดี สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 99.รองศาสตราจารย์ อนัญญา สิทธิอำนวย สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 100.รองศาสตราจารย์ มาลี ล้ำสกุล สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 101.รองศาสตราจารย์ ดร.น้ำทิพย์ วิภาวิน สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 102.รองศาสตราจารย์ ชำนาญ เชาวกีรติพงศ์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 103.รองศาสตราจารย์ ดร.นิตยา เพ็ญศิรินภา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 104.รองศาสตราจารย์ ดร.พรทิพย์ เกยุรานนท์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 105.รองศาสตราจารย์ สุรเดช ประดิษฐบาทุกา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 106.รองศาสตราจารย์ สราวุธ สุธรรมาสา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 107.รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริศักดิ์ สุนทรไชย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 108.รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 109.รองศาสตราจารย์ ศิริศักดิ์ ศุภมนตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 110.รองศาสตราจารย์ ประภาศรี พงศ์ธนาพาณิช สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 111.รองศาสตราจารย์ ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์ สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 112.รองศาสตราจารย์ ชนินาฏ ลีดส์ สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 113.รองศาสตราจารย์ ไพบูรณ์ คะเชนทรพรรค์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 114.รองศาสตราจารย์ จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 115.รองศาสตราจารย์ เกศรา อัศดามงคล มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 116.รองศาสตราจารย์ ไพโรจน์ จงบัญญัติเจริญ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 117.รองศาสตราจารย์ พรรณจิตต์ นิลกำแหง คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 118.รองศาสตราจารย์ พรรัตน์ดำรุง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 119.Associate Prof. Dr. Ariya Aruninta จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 120.Assocciate Prof. Sorawit Narupiti คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 121.รองศาสตราจารย์ ดร.กรรณิการ์ สัจกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 122.รองศาสตราจารย์ ม.ล. ไขสิริ ปราโมช คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 123.รองศาสตราจารย์ ดร.จรูญศรี มาดิลกโกวิท คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 124.รองศาสตราจารย์ ดร.ชนิตา รักษ์พลเมือง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 125.รองศาสตราจารย์ ดร.สำลี ทองธิว คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 126.รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช สุชีวะ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 127.รองศาสตราจารย์ ดร.วีระ สัจกุล อาศรมศิลป์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 128.รองศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญศิริ เจริญพจน์ ภาควิชาภาษาฝรั่งเศส คณะอักษรศาสตร์ ม. ศิลปากร 129.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 130.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 131.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รจิต วัฒนสินธุ์ อดีตอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 132.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทวี สุรฤทธิกุล สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 133.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เมธาวุฒิ พีรพรวิทูร คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม. ธรรมศาสตร์ 134.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา ผลประเสริฐ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 135.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดจิต เจนนพกาญจน์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 136.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอมอร จารุรังษี สาขาวิชามนุษยนิเวศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 137.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปัณฉัตร หมอยาดี สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 138. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กาญจนา ใจกว้าง สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 139.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาสมา สุทธิพงศ์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 140.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภวัต เจียมจิณณวัตร สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 141.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ. ภากร จันทนมัฏฐะ อายุรแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ม. มหิดล 142.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ โอฬาร พรหมาลิขิต มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 143.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิชิต ลีละศิธร มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 144.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิทย์ วราวิทย์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 145.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมัญญา ทิศาวิภาต มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 146.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 147.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.กอปรชุษณ์ ตยัคคานนท์ คณะแพทย์ศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ 148.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.กำธร มาลาธรรม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 149.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ไขศรี ภักดิ์สุขเจริญ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 150.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ กุสุมาวลี คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ 151.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณาณัฏฐ์ธัญ วงศ์บ้านดู่ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 152.ผู้ช่วยศาตราจารย์ เมธา เสรีธนาวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 153.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ม.ล.วิฏาราธร จิรประวัติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 154.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนม คลี่ฉายา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 155.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นภวรรณ ตันติเวชกุล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 156.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุทธยา สมสุข คณะบริหารธุรกิจ ม.เทคโนโลยีราชมงคล พระนคร 157.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทญ.ดร. อรนาฏ อัมพรอร่ามเวทย์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 158.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทญ.พัชรา พิพัฒนโกวิท คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 159.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทพ.ดร.กิตต ต.รุ่งเรือง คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 160.ผู้ช่วยศาสตราจาย์ ทญ.ดร.รัชนี อัมพรอร่ามเวทย์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 161.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ จตุรงค์ จงสถิตย์ไพบูลย์ คณะแพทยศาสตร์ ม. สงขลานครินทร์ 162.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดวงเดือน รัตนะมงคลกุล คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ 163.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิรังรอง รามสูต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 164.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณรงค์ ขำวิจิตร คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 165.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นราธิป ศรีราม สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 166.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ส่งเสริม หอมกลิ่น สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 167.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรรณพ จีนะวัฒน์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 168.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อารี ชีวเกษมสุข สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 169.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กฤติกา จิวาลักษณ์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 170.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรสา ปานขาว สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 171.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปองสิน วิเศษศิริ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 172.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กัลยา ปริปัญญาพร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 173.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทร์ทรงกลด คชเสนี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 174.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชื่นชนก โควินท์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 175.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พันธ์ศักดิ์ พลสารัมย์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 176.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อำไพ ตีรณสาร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 177.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันทิพา หลาบบุญเลิศ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 178.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอมอร นิรัญราช ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร 179.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เยาวดี พัฒโนทัย ภาควิชาภาษาฝรั่งเศส คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร 180.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กิตติ ศิริวัฒน์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ ม.ศรีนครินทร์วิโรฒ 181.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พญ. สินี ดิษฐบรรจง คณะแพทย์ศาสตร์ ม.มหิดล 182.DR. Simant Prakoonwit University of Reading, UK. 183.ดร.จิณดิษฐ์ ละออปักษิณ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 184.ดร.ชนิตา รักษ์พลเมือง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 185.ดร.ฤดีรัตน์ ชุษณะโชติ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 186.ดร.เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 187.ดร.พรสิริ ปุณเกษม คณะบัญชี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 188.ดร.ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 189.ดร.อนุชิต ล้ำยอดมรรคผล คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 190.ดร.ญาติ กฤษณังกูร อดีตอาจารย์ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย 191.ดร.สุทธิลักษณ์ หวังสันติธรรม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 192.ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 193.ดร.จิรบุณย์ ทัศนบรรจง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 194.ดร.โสภาวรรณ บุญนิมิตร คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 195.ดร.ศรเนตร อารีโสภณพิเชษฐ์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 196.ดร.อุบลวรรณ หงษ์วิทยากร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 197.ดร.ม.ร.ว. รุจยา อาภากร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 198.ดร.พรรณี ชีวินศิริวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 199.ดร.พูลทรัพย์ วิรุฬหกุล อดีตนักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ กรมประมง 200.ดร.ไกร ตั้งสง่า นักวิชาการอิสระ 201.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 202.นพ.อาคม นงนุช คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 203.นพ.ชาครีย์ จักรพันธุ์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 204.นพ. ธนพจน์ จันทร์นุ่ม คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 205.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 206.พญ.แสงศุลี ธรรมไกรสร คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 207.พญ.มนฑรัตน์ จินดา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 208.พญ.วรรณี เกศมาลาศิริ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ 209.พญ.พรพรรณ ศรีพรสวรรค์ คณะแพทย์ศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ 210.พญ.กนิษฐา กิจสมบัติ รพ.ชลประทาน มศว. 211.พญ.กชพร วงษ์สุวรรณ รพ.ชลประทาน มศว. 212.Dr. Panpim Cheaupalakit International College มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ 213.Ajarn Malin Dejtisak International College มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ 214.Ajarn Theerapong Subsupanwong International College มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ 215.อาจารย์ คมสันต์ โพธิ์คง สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 216.อาจารย์ ณัฏศิษฏ์ ใจสะอาด สาขาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 217.อาจารย์ อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 218.อาจารย์ ยอดชาย ชูศรี นักวิชาการอิสระ 219.อาจารย์ รจเรข รุจนเวช คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 220.อาจารย์ ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ 221.อาจารย์ อรทัย วารีสอาด คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ 222.อาจารย์ ดังกมล ณ ป้อมเพชร 223.อาจารย์ นายแพทย์ ชัชชัย ปรีชาไว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 224.อาจารย์ พญ. สุภวรรณ เลาหศิริวงศ์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 225.อาจารย์ บุณฑรี วานิชวัฒนรำลึก มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 226.อาจารย์ วรรณพร อิศวิลานนท์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 227.อาจารย์ อรศิริ อมรวิทยาชาญ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 228.อาจารย์ ชัยพฤกษ์ กุสุมาพรรณโญ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 229.อาจารย์ พัชนี ภาษิตชาคริต มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 230.อาจารย์ สุธีร์ รัตนะมงคลกุล มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 231.อาจารย์ อรพิน ธนพันธุ์พาณิชย์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 232.อาจารย์ ไพโรจน์ ฉัตรานุกูลชัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ 233.อาจารย์ กฤช วีรกุล คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน 234.อาจารย์ พรชัย อั้นขาว ม.เทคโนโลยีราชมงคล พระนคร 235.อาจารย์ ดนุวัส สาคริก วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต 236.อาจารย์ จารุวรรณ เอกวัลลภ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล 237.อาจารย์ ใจชนก ภาคอัต คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 238.อาจารย์ ภัทรกิติ์ โกมลกิติ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 239.อาจารย์ จิราภรณ์ ภัทราภานุภัทร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 240.อาจารย์ วิเชียร กระภูฤทธิ์ นักวิชาการอิสระ 241.อาจารย์ นฤภัทร ตั้งมั่นคงวรกูล นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ม.ศรีนครินทรวิโรฒ 242.อาจารย์ จิตต์ภิญญา ชุมสาย ณ อยุธยา นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ม.ศรีนครินทรวิ โรฒ 243.อาจารย์ บุณฑริกา สุวรรณวิบูลย์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล 244.อาจารย์ พัชรินทร์ ปิงเมืองแก้ว มหาวิทยาลัยนเรศวร 245.อาจารย์ ศิริลักษณ์ สุตันไชยนันท์ Media Production Department จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 246.อาจารย์ พรรษาสิริ กุหลาบ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 247.อาจารย์ มานพ แย้มอุทัย คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 248.อาจารย์ มรรยาท อัครจันทโชติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 249.อาจารย์ พักตร์พิไล คุปตะวาทิน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 250.อาจารย์ วิไลรักษ์ สันติกุล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 251.อาจารย์ สมิทธิ์ บุญชุติมา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 252.อาจารย์ ธีรดา จงกลรัตนาภรณ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 253.อาจารย์ ปรีดา อัครจันทโชติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 254.อาจารย์ สุกัญญา สมไพบูลย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 255.อาจารย์ ประภัสสร จันทร์สถิตย์พร คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 256.อาจารย์ เต็มสิทธิ์ ศิริพานิช คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 257.อาจารย์ วราภัสสร์ รังสิยวัฒน์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 258.อาจารย์ ไศลทิพย์ จารุภูมิ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 259.Mr. James Haft หลักสูตรนานาชาติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 260.อาจารย์ สิริพิชญ์ วรรณภาส สาขาวิชามนุษยนิเวศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 261.อาจารย์ จรีพร โชติวิบูลย์ทรัพย์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 262.อาจารย์ ดร.สมเกียรติ วัฒนาพงษากุล สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 263.อาจารย์ วสันต์ รัตนโภคา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 264.อาจารย์ ดร.นรินทร์ทิพย์ ทองศรี สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 265.อาจารย์ อิงอร ไชยเยศ สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 266.อาจารย์ วิลาวัลย์ ศิลปศร สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 267.อาจารย์ บุณฑริกา นันทา สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 268.อาจารย์ ปิลันธนา แป้นปลื้ม สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 269.อาจารย์ กิตติ ลี้สยาม สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 270.อาจารย์ อดิศักดิ์ สุมาลี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 271.อาจารย์ กุลธิดา บรรจงศิริ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 272.อาจารย์ ดร.ช่อทิพย์ บรมธนรัตน์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 273.อาจารย์ อรวรรณ น้อยวัฒน์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 274.อาจารย์ วุฒิ วุฒิธรรมเวช สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 275.อาจารย์ พวงพกา กิจจานนท์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 276.อาจารย์ กิตติพงษ์ เกียรติวัชรชัย สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 277.อาจารย์ วนิดา ลิวนานนท์ชัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 278.อาจารย์ รณชิต จินะดิษฐ์ อาจารย์พิเศษ คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล 279.อาจารย์ ศาสตรา โตอ่อน คณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต 280.อาจารย์ ศรันยา เสี่ยงอารมณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 281.อาจารย์ สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 282.นางปาณัสกร นวลวัฒน์ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 283.KANYA PITTAYAWAT คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 284.นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ 285.นายภราเดช พยัฆวิเชียร นักวิชาการอิสระ เลขาธิการมูลนิธิใบไม้เขียว 286.พลตรีหญิง อุษณีย์ เกษมสันต์ ณ อยุธยา นักวิชาการอิสระ 287.นายอาทิตย์ กระภูฤทธิ์ นักวิชาการสาธารณสุข รพ.สงขลา 288.นางรัตติกร เอกษมานนท์ ข้าราชการบำนาญ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 289.นางพรทิพย์ โภไคยอุดม สำนักงานจัดการศึกษาทั่วไป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 290.นายณรงค์ ช่อนาม วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ 291.นางสาว สิณะตา ศรีสวาท ฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 292.Chusak Kongmanee หัวหน้าฝ่ายประมวลข้อมูล สำนักทะเบียน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 293.นายวรชัย สิงหฤกษ์ นักวิชาการอิสระ 294.นายชรัตน์ สินธุสอาด นักวิชาการอิสระ 295.นายจุมพล หมอยาดี นักวิชาการอิสระ 296.นายสาธิต มัลลิกะมาส นักวิชาการอิสระ 297.นางอัญญมณี มัลลิกะมาส นักวิชาการอิสระ 298.นางรัชนีวลัย ภัทรกมล นักวิชาการอิสระ 299.นางวรรณวิไล เชาว์ธาดาพงศ์ นักวิชาการอิสระ 300.นางสาวบุษราคัม เพชรคล้าย นักวิชาการอิสระ 301.นางปองศิริ ยูวะเวส นักวิชาการอิสระ 302.นายสุชาติ เกตุนุติ นักวิชาการอิสระ ที่มา: http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000048942 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 10 เมษายน 2553, 05:56:31 (http://img89.imageshack.us/img89/3923/mgrpdf20100410page15r.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 10 เมษายน 2553, 16:17:03 เมื่อปี 2552 หลังจากเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น เมื่อเช้ามืดวันนี้้ที่สามเหลี่ยมดินแดง ไม่ว่าจะดังมาจากปืนของใคร จากคนเสื้อแดงหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าสลาย การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่ออกอาละวาดป่วนบ้านป่วนเมือง ก่อการจลาจลยึดพื้นที่ต่างๆในกทม. ทำให้เกิดการสูญเสียมีผู้บาดเจ็บ เข้ารักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ไหนคุณทักษิณบอกว่า คุณจะออกมานำคนเสื้อแดงบนถนน เมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น วันนี้ ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณ อย่าว่าแต่ตัวคุณเลย ครอบครัวคุณที่อยู่ในกรุงเทพ พวกเขาหนีไปเมืองนอก เอาตัวรอดยกครัวหมดแล้ว ปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดง เผชิญชะตากรรมบนท้องถนน ที่ไม่รู้ว่าจะถูกทางการสลาย การชุมนุมวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=424825 เสียงปืน ดังขึ้นอีกแล้ว วันนี้ 10 เมษายน 2553 ยังไม่เห็นเงาหัวของ ไพร่มูลเมือง ทักษิณ ชินวัตร ญาติพี่น้องทักษิณ สมชาย-ซาละเปา หายหัวไปไหนหมด? โอ๊ค-เอม-อิ๊ง-หญิงอ้อ หายหัวไปไหน ไปช๊อปอยู่ที่ไหน? ปล่อยให้เสื้อแดง ที่ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นไพร่ ไปตายแทน (http://img88.imageshack.us/img88/2870/heref.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 10 เมษายน 2553, 22:31:23 ความถ่อยวันนี้...
(http://www.thaipost.net/sites/default/files/photos/10-P1-A_1.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 10 เมษายน 2553, 22:42:06 ควายแดงซ่าส์ ปาระเบิดขวด
(http://forum.serithai.net/download/file.php?id=5537) สื่อช่อง 3 มันรายงานแต่เรื่องที่มีควายแดงบาดเจ็บ ทั้งที่ความจริงฝ่ายทหารก็บาดเจ็บไปหลายคนเหมือนกันก่อนหน้านี้ http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=20024 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 10 เมษายน 2553, 23:25:22 ทำมาย ม่ายจับพจมาน เป็นตัวประกันบ้าง 5 5 5
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/l0o5ns-881cf9.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 10 เมษายน 2553, 23:45:25
emo30:sorry: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 11 เมษายน 2553, 02:46:18 ตายแล้ว 15 ศพ เป็นนายทหาร 4 นาย ประชาชนอีก 11 ราย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บล่าสุด 678 ราย ซึ่งตัวเลขผู้บาดเจ็บยังคงมีมาเรื่อยๆ ที่มา: http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000050439 (http://img145.imageshack.us/img145/2102/redshirt.gif) เสียงปืนนัดแรกก็ดังแล้ว ดังแล้ว ดังอีก ดังต้ังแต่ปีที่แล้ว 2552 10 เมษายน 2553 เสียงปืนก็ดังอีก ตอนนี้คนตายแล้ว 15 ศพ เจ็บ 678 ราย เจ้ามูลเมือง ยังไม่ยอมกลับมานำทัพ สักที อ้อ-โอ๊ค-เอม-อุ๊งอิ๊ง ก็หายหัวไปช๊อปปิ้ง ที่ต่างประเทศกันหมด สมชาย เวสท์อินน์ - ซาละเปา - พายัพ - ชัยสิทธิ์ -น้องปู ก็หายหัวมุดรูกันหมด ปล่อยให้ลูกจ้างเสื้อแดง ไปตายแทน (http://img89.imageshack.us/img89/2757/aaa291107104029.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 12 เมษายน 2553, 14:24:40 เนื่องในวันปีใหม่ 13 เมษา 2553 ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ชาวซีมะโด่งทุกท่านประสบความเร็จและ ความสุขตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 12 เมษายน 2553, 14:28:31 เมืองไทย สังคมไทย มีนักวิชาการเกินและสื่อเมินชนมากเกินไป
ออกความเห็นแต่ละที เด็กยังหัวเราะ 5 5 5 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 12 เมษายน 2553, 15:49:11 ลองดูข้อมูลจากลิงค์นี้ประกอบด้วยก็ดีครับ(เพิ่งไปเจอมาไม่นาน)
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=20151 มีความเป็นไปได้สูง ที่มันจะลอบสังหารพวกเดียวกัน ให้เข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือทหารครับ! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 12 เมษายน 2553, 15:53:26 ขอก็อปปี้จากเวบนั้นเอามาลงเลยละกันครับ...จะได้เห็นกันจะจะ
(http://www.pixnice.com/upload/files/nimmthtfnmik1dxudono.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/files/2hovnjzvhktnyjlgykhn.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/files/ywmykym4nwmwogy2nfww.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/files/jymwzzjzymrgy2kwmvmu.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/files/mmntnlzyy5yltteh4do2.jpg) 1.ทหารน่าจะอยู่ฝั่งทางเดียวกับลูกศร 2.คนที่ถูกยิงน่าจะถูกยิงจากข้างหลัง เพราะล้มลงแบบหงายหลังลง 3.แผลโดนยิงที่หน้าผากแม่นสุดๆ เหมือนเล็งไม่ไกล 4.กล้องที่ถ่ายเหมือนจงใจ(แค่เดานะ) คล้ายจงใจเก็บหลักฐาน เพราะเหยื่อเป็นคนที่ไม่ขยับไปไหน เล็งง่าย 5.และถ้าวิถีกระสุนยิงแนวราบ คงไม่มาโดนคนที่อยู่ตรงกลาง แต่น่าจะยิงมาจากด้านบน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 12 เมษายน 2553, 16:32:40 http://www.youtube.com/watch?v=g6p1YP3wUzI
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 12 เมษายน 2553, 19:31:22 http://forum.serithai.net/download/file.php?id=5589
http://www.uppic.org/image.php?id=8251_4BC2FC49&jpg หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 เมษายน 2553, 05:42:12 ไอ้โม่ง ปิดหน้าคนนี้เป็นใคร ทำไม ถึงถืออาวุธปืน M-16 อุปกรณ์พร้อม ที่มา: http://fightorwaittogetkill.wordpress.com/ (http://img215.imageshack.us/img215/5618/redshirtsniper.jpg) (http://img72.imageshack.us/img72/5114/redshirt02.jpg) (http://img100.imageshack.us/img100/9219/redshirtsoldier.jpg) http://fightorwaittogetkill.wordpress.com/ ใครส่งพลทหาร สุขปัญญา คดชวาน้อย จากกองพันราบที่ 1 ปลอมเป็นภิกษุ เข้ามาร่วมกับเสื้อแดงต้องการที่จะสร้างสถานการณ์ให้รุนแรง ใครอยู่เบื้องหลัง? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 14 เมษายน 2553, 11:22:15 บทความเก่าจากมติชน ไม่ทราบว่าเคยมีใครโพสไปรึยังนะครับ...
เมื่อ"ใจ อึ๊งภากรณ์" ถูก"น็อค"คาเวที"ออกซ์ฟอร์ด" โดย นงนุช สิงหเดชะ อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็ควรกล่าวถึง กรณีนายใจ อึ๊งภากรณ์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งหลบหนีคดีไปยังอังกฤษ ได้ไปโผล่ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในโอกาสที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและศิษย์เก่าออกซ์ฟอร์ด ไปกล่าวปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ตามคำเชิญของเจ้าภาพ ซึ่งเป้าหมายของนายใจก็คงหวังจะใช้เวทีนี้โจมตีประเทศไทยเรื่องกฎหมายหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ และคงหวังฉีกหน้านายอภิสิทธิ์ หลังกล่าวปาฐกถาเสร็จ เป็นช่วงเปิดให้ถาม (การกล่าวปาฐกถาและการถาม-ตอบ ใช้ภาษาอังกฤษ) ปรากฏว่านายใจ ซึ่งใส่เสื้อแดงแปร๊ดพร้อมตีนตบอีก 1 อัน มานั่งฟังอยู่ด้วย ก็ได้ถามเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า "ก่อนอื่นคุณต้องเคลียร์ข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อนว่า การดำเนินคดีกับผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ได้เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้เท่านั้น แต่หลายคดีก็ถูกดำเนินการโดยรัฐบาลก่อนคือรัฐบาลทักษิณ เช่นกรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข การดำเนินคดีก็เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน ตอนที่คุณทักษิณอยู่ในอำนาจผมก็ถูกเขาฟ้องด้วยคดีหมิ่นประมาทเช่นกัน ถ้าคุณต้องการเป็นประชาธิปไตยคุณต้องเคารพกฎหมาย กรณีของคุณที่ถูกดำเนินคดีนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะคุณวิจารณ์การรัฐประหาร แต่คุณถูกดำเนินคดีเพราะข้อกล่าวหาแบบเฉพาะเจาะจงที่คุณกล่าวหาสถาบัน กษัตริย์ ดังนั้น คุณต้องเคลียร์ข้อมูลตรงนี้ให้ถูกต้อง อย่าพยายามก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" คำตอบของนายอภิสิทธิ์มีต่อไปว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่จำเป็นว่าจะแสดงถึงความไม่มีประชาธิปไตยเสมอไป เพราะในประเทศยุโรปบางแห่งที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) ก็มีกฎหมายลักษณะนี้เช่นกัน ถ้าคุณกล่าวหาคนอื่นในลักษณะเดียวกันนี้คุณก็ต้องถูกฟ้อง ผมเองก็ถูกนักการเมืองหลายคนในรัฐบาลที่แล้วฟ้องร้องเมื่อไปวิจารณ์เขา กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ลักษณะ เดียวกับที่กฎหมายหมิ่นประมาท (libel law) มีไว้เพื่อปกป้องบุคคลธรรมดา ความแตกต่างก็คือว่าสถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่เป็นกลาง อยู่เหนือการฝักใฝ่ทางการเมือง (above partisan) เป็นสถาบันที่คนไทยเคารพรักเทิดทูนและเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงของประเทศ" อภิสิทธิ์อธิบายต่อไปว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ได้ต้องการให้สถาบันกษัตริย์เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องประชาชนด้วยตนเอง ดังนั้น เมื่อมีการหมิ่นประมาทเกิดขึ้น การดำเนินคดีจะต้องทำผ่านตำรวจ มีหลายคนที่ถูกดำเนินคดีลักษณะนี้แต่หลายคนเขาอยู่ต่อสู้คดีไม่ได้หนีหายไป ไหน ผมเองเมื่อถูกใครฟ้องก็ไม่หนีไปไหน (เมื่อพูดถึงตอนนี้นายใจได้ตะโกนสวนขึ้นมาว่า ผมก็ไม่ได้หนี นายอภิสิทธิ์ก็ตอบว่า ผมก็ไม่ได้พูดว่าคุณหนี ทำให้ผู้ฟังปรบมือเสียงดังพร้อมกับหัวเราะ เนื่องจากคงขำนายใจที่อ้างว่าไม่ได้หนีแล้วทำไมมานั่งอยู่ที่นี่) นายกรัฐมนตรีเคลียร์ข้อข้องใจของนายใจต่อไปว่า "คุณไม่ควรมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น คุณต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทยและต่อสู้ภายใต้กฎหมายไทยเช่นเดียวกับคนไทยคน อื่นๆ ผมเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ดูแลเรื่องการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกใช้ไปในทางมิชอบและมีความยุติธรรม ผมกำลังหารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าหนทางใดจะดีที่สุดในการบังคับใช้ กฎหมายนี้" นายอภิสิทธิ์ตบท้ายว่า "สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า กรุณาเลิกดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง ควรรักษาสถาบันนี้ที่คนไทยเคารพเทิดทูนให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง หากคุณมีปัญหากับผมให้มาถกเถียงกับผมโดยตรง แต่โปรดอย่าดึงสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง" เมื่อกล่าวจบผู้ฟังในห้องประชุมปรบมือเสียงดังอย่างยาวนานให้กับนาย อภิสิทธิ์ และมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนอย่างถูกใจว่า yes หากจะสรุปผลการชกครั้งนี้ คงต้องบอกว่า คนอายุ 54 ปี (แต่ใจเด็ก) อย่างนายใจ แพ้ (น็อค) เหตุผลของคนอายุย่าง 45 ปีอย่างนายอภิสิทธิ์ กลับมาที่ประเทศไทยกันบ้าง นักวิชาการหัวเสรีสุดขั้วบางคน ใช้ตรรกะแบบแปลกๆ เอาสีข้างเข้าถู อ้างว่าความจงรักภักดีที่พสกนิกรมีต่อสถาบันกษัตริย์นั้นเกิดจากพระมหา กรุณาธิคุณ ความศรัทธาและจงรักภักดีไม่สามารถใช้กฎหมายมาบังคับข่มขู่ พยายามอ้างว่าการพยายามทำลายสถาบันกษัตริย์ไม่มีอยู่จริงเป็นแค่เรื่องแต่ง ขึ้นมาให้ดูน่ากลัวเหมือนแต่งเรื่องผีขึ้นมาหลอกเด็ก พยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงแถลงการณ์สยามแดงของนายใจ ถูกต้องที่ว่าความจงรักภักดีและศรัทธา ไม่สามารถใช้กฎหมายมาบังคับข่มขู่ ถูกต้องที่ว่าใครจะจงรักภักดีและศรัทธาต่อบุคคลใด สถาบันใดเป็นเรื่องที่บังคับไม่ได้ แต่สิ่งที่นักวิชาการคนนี้แกล้งไม่กล่าวถึงก็คือว่าการหมิ่นประมาทกับการ จงรักภักดีเป็นคนละเรื่อง ความจงรักภักดีเป็นความรู้สึกภายใน ไม่มีกฎหมายใดจะบังคับขืนใจได้อยู่แล้ว แต่หากมีการกระทำหมิ่นประมาทใส่ร้ายก็ต้องถูกลงโทษ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงไม่ใช่กฎหมายที่บังคับให้จงรักภักดี นักวิชาการสีแดงบางคนยังตั้งหน้าตั้งตาจะให้เลิกกฎหมายปกป้องสถาบัน กษัตริย์ โดยที่ไม่ยอมนึกบ้างว่าคนธรรมดายังมีกฎหมายหมิ่นประมาทคุ้มครอง แล้วทำไมสถาบันกษัตริย์จึงจะมีกฎหมายคุ้มครองในเรื่องเดียวกันนี้ไม่ได้ คุณทักษิณเองก็ฟ้องหมิ่นประมาทใครพร่ำเพรื่อไปหมด สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าเป็นนายกฯที่ฟ้องสื่อมากที่สุด เรียกค่าเสียหายทีไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ไม่เห็นนักวิชาการคนนี้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาทบ้าง การออกมาเดือดเนื้อร้อนใจเรื่อง กม.หมิ่นพระบรมเดชานุภาพเฉพาะช่วงนี้ของนักวิชาการกลุ่มนี้ มองอย่างไรก็ไม่พ้นการปกป้องกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีการจาบจ้วงสถาบันทั้งในเชิงสัญลักษณ์และแบบเปิดเผย ถ้าหากนักวิชาการเหล่านี้ที่อ้างว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการกลั่นแกล้งทางการเมือง ถามว่ากฎหมายอื่นไม่มีช่องโหว่ให้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองเช่นนั้นหรือ อย่างกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่สมัยหนึ่งรัฐบาลยุคทักษิณ มีการส่งเจ้าหน้าที่ ปปง.ไปตรวจสอบบัญชีและฐานะทางการเงินของบุคคลที่อยู่ตรงข้ามฝ่ายรัฐบาลอย่าง กว้างขวาง ไม่เว้นแม้แต่นักข่าว ทำไมนักวิชาการกลุ่มนี้ไม่เห็นรณรงค์ให้เลิกกฎหมาย ปปง. ส่วนข้อแนะนำของนักวิชาการบางคนที่ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้แจ้งความ ดำเนินคดีเองนั้น ก็พึงตระหนักว่าสมควรหรือไม่ ที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์เป็นโจทก์ฟ้องร้องประชาชน ด้วยตัวเอง จะเป็นการทำให้สถาบันมัวหมองเพราะดึงเอาสถาบันลงมาเป็นคู่ความกับประชาชนโดย ตรงหรือไม่ การตรากฎหมายที่ผ่านมา หลายฝ่ายคงคิดประเด็นนี้ดีแล้วจึงไม่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ สถาบันกษัตริย์เป็นผู้ฟ้องร้องโดยตรง วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11352 มติชนรายวัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 15 เมษายน 2553, 11:19:46 พลังเสื้อชมพูเยี่ยมทหารบาดเจ็บ (http://img100.imageshack.us/img100/3826/021z.gif) (http://img100.imageshack.us/img100/9342/023a.gif) (http://img153.imageshack.us/img153/5658/022t.gif) (http://img153.imageshack.us/img153/7660/012g.gif) (http://img100.imageshack.us/img100/9550/014d.gif) (http://img153.imageshack.us/img153/4567/016n.gif) (http://img80.imageshack.us/img80/6560/017tw.gif) (http://img80.imageshack.us/img80/7052/018e.gif) (http://img80.imageshack.us/img80/3176/020b.gif) (http://img80.imageshack.us/img80/7058/0201.gif) ที่มา: http://www.naewna.com/news.asp?ID=207418 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 21 เมษายน 2553, 21:22:27 (http://img402.imageshack.us/img402/5005/buffalobridge.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 เมษายน 2553, 22:49:06 เศร้าใจ จริงๆ
รัฐบาลบอกว่า ไม่ทำร้ายประชาชน( ที่มันเป็นพวกเดียวกับพวกก่อการร้าย) แต่..ปล่อยให้ ประชาชนที่บริสุทธิ์ และออกมาเรียกร้องสิทธ์ของตนเอง ถูกทำร้าย บาดเจ็บและล้มตาย ไปให้พ้นเถอะ..รัฐบาลเฮ็งซวย...... emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( emo5:( หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 23 เมษายน 2553, 13:21:43 ไร้ประสิทธิภาพจริงๆครับ!
ข้างหนึ่งก็ถ่อยสุดขั้ว อีกข้างก็ไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 23 เมษายน 2553, 21:50:31 เหอะๆๆ ผมเคยไปสีลมไม่กี่ครั้ง จำแผนผังบริเวณนั้นไม่ค่อยได้เหมือนกันอ่ะครับ...
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=21118 (http://forum.serithai.net/download/file.php?id=5894) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 เมษายน 2553, 11:11:19 คำปฏิญาณ
รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ 26 เมษายน 2553 เวลา 06:00 น. น่าคิดมาก กับข่าวการที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก ระดับนายพลประจำเดือน เม.ย. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะตามที่แถลงอย่างเป็นทางการ พล.อ.อนุพงษ์ พูดในที่ประชุมถึงขั้นตอนวัตถุประสงค์ของคนที่ทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองมี 2 ประการ คือ การต้องการเข้าสู่ศูนย์อำนาจแห่งการเมือง และเพื่อต้องการล้มล้างสถาบันอันเป็นที่รัก การแถลงวันนั้น ทหารระบุว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นหน้าที่หลักและสูงสุดที่ทุกหน่วยในกองทัพบกได้ยึดถือไม่ว่าจะมีเหตุอันใดถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่จะปกป้องและเทิดทูนสถาบัน นี่แหละ ท่าทีที่ชัดเจนของ ผบ.ทบ. เป็นครั้งแรกๆ ก็ว่าได้ หลังเกิดม็อบแดง แต่คำถามก็คือ เมื่อรู้แล้ว จะทำอย่างไรต่อไป หรือจะเป็น ท.ทหาร อดทน ให้ทุกคนช่วยกันทนเข้าไว้ เพราะงานนี้ เหมือนกับเปิดหน้าว่ากันจะจะแล้ว ปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมือง มีปมความต้องการล้มล้างสถาบันหลัก ทหารพูดออกมาเอง แล้วทหาร จะทำอย่างไร ทหารจะใช้เวลาขนาดไหน ดำเนินการกับสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสถาบันหลักของชาติ อย่าลืม คำที่ทหารทุกคนกล่าว ในพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนฯ วันกองทัพไทย ข้าพเจ้า ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการทหารเป็นอันขาด นี่แหละ คือสิ่งที่ทหารหาญประกาศก้องทุกปี และขอย้ำคำสัตย์ปฏิญาณอีกครั้งหนึ่ง...ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทหารหาญทั้งหลายกระทำดังคำปฏิญาณเต็มกำลังแล้วหรือยัง??? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 27 เมษายน 2553, 14:53:51 (http://img185.imageshack.us/img185/9809/13148676.jpg) ที่มา: นสพ. ผู้จัดการ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 28 เมษายน 2553, 13:54:28 (http://img408.imageshack.us/img408/3974/19151789.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 28 เมษายน 2553, 18:11:02 ใครเคยคิดว่า พวกมันไม่มีอำนาจรัฐในมือ น่าจะปลอดภัยกว่าตอนที่มันมีอำนาจรัฐในมือ?
ผมว่าตอนนี้ต้องเปลี่ยนมุมมองซะแล้ว!!! เพราะตอนที่พวกมันเป็นรัฐบาลเอง มันอยู่ในที่แจ้ง... พันธมิตร รวมทั้งประชาชนกลุ่มอื่นๆ สามารถเคลื่อนไหวเพื่อต่อกรกับพวกมันได้โดยตรง มันทำอะไร วางแผนอะไร > สามารถสืบได้ง่ายกว่า ปชป.ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่หนุนกระแสตามน้ำ ก็พอแล้ว... แต่ตอนนี้ตรงข้าม ปชป.ต้องมาเป็นหน้าเสื่อเอง...ในฐานะหน้าที่ของรัฐบาล! พันธมิตร หรือคนกลุ่มอื่นๆที่เกลียดไอ้แม้ว ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก เหมือนตอนที่ออกมาไล่มันจากเก้าอี้ เพราะเขามีมุมมองว่า อาจจะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้น รัฐบาลนี้ จะจัดการ"กบฏ"ได้ลำบากขึ้น แต่แล้ว รัฐบาลนี้ ก็มีดีแค่"นั่งเก้าอี้ขัดตาทัพ"กับพวกไอ้เหลี่ยม เท่านั้นเอง จริงๆ !!! ไม่มีปัญญาจัดการ ศัตรูของประเทศ ได้เลย! พวกไอ้เหลี่ยม มันแค่หาจังหวะเดินเกมใต้ดินอย่างเดียว รัฐบาลก็ไม่มีปัญญาจัดการได้! สถานการณ์แบบนี้ พวกมันได้เปรียบเต็มๆ! แค่ใช้พวกแตงโม มะเขือเทศ คอยอำนวยความสะดวกให้ กบฏ ก็พอแล้ว! ซ้ำร้าย รัฐบาลนี้ ยังไม่มีปัญญาคุ้มกัน"มวลชน" ที่สนับสนุนพวก ปชป.เอง ได้ด้วยซ้ำ!!! emo35:() หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤษภาคม 2553, 10:29:58 ชัดเจน!"พัฒนี ศิริวัฒนี"ตำรวจสีแดง
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 6 พฤษภาคม 2553 08:18 น. ผู้จัดการออนไลน์ 00...ชัดยิ่งกว่าชัด สำหรับ "พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี" ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ที่ถูก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักงาน ผบ.ตร.โดยให้ พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร รอง ผบช.ภ.4 รักษาราชการแทนโดยไม่มีกำหนด ทั้งนี้ อ้างเหตุผลในคำสั่งว่า เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ ตามคำสั่ง ตร.ที่ 233/2553 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 เหตุผลที่ว่า เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ จะเป็นเพราะ พล.ต.ต.พัฒนี ไม่สามารถควบคุม และแก้ปัญหาการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปล่อยให้เข้ายึดขบวนรถไฟบรรทุกยุทโธปกรณ์ของทหารที่จะเดินทางไปปฏิบัติ ภารกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กรณีปล่อยให้คนเสื้อแดงปิดทางเข้าออกท่าอากาศยานขอนแก่น เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี เข้าพบมวลชนในท้องที่ หรือไม่ เรื่องนี้ "ปทีป ตันประเสริฐ"ย่อมรู้ดี แต่สำหรับ"พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี"หรือ "พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์"เขาคือ คนคนเดียวกัน ที่ทำการเปลี่ยนทั้งชื่อ และนามสกุล หลัง"ทักษิณ ชินวัตร"เพื่อนรักหมดอำนาจลง ความเดิม"ประพัฒน์ ศิริวัฒน์"นรต.27 รุ่นน้องทักษิณ 1 ปี เขาคือเพื่อนซี้ของทักษิณ ที่มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ทักษิณ เริ่มทำธุรกิจ ครั้งหนึ่งสมัย "ประพัฒน์ ศิริวัฒน์"นั่ง ผกก.สืบสวนภาค 6 จ.ขอนแก่น เขามีรอยด่างด้วยถูกข้อกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการปล้นเงินสหประชา ชาติ ที่ส่งไปช่วยเหลือประเทศลาว จนมีการร้องเรียนกับรัฐบาลไทย สุดท้ายมีการสืบสวนสอบสวนและ กรมตำรวจ ในขณะนั้น ลงโทษทางวินัย ด้วยการสั่งพักราชการ ส่วนการดำเนินคดีอาญา ผู้ที่ต้องรับโทษคือ คนขับรถของ ผกก"ประพัฒน์ ศิริวัฒน์"ที่ขณะนี้ ยังชดใช้กรรมแทนนายอยู่ในคุก ทันทีที่"ทักษิณ ชินวัตร"เข้าสู่อำนาจแบบเบ็ตเสร็จ ได้มีการช่วยเหลือ"ประพัฒน์ ศิริวัฒน์"กลับมาผงาดในราชการตำรวจอีกครั้ง ทำให้เติบโตในชีวิตตำรวจมาอย่างต่อเนื่อง โดยตำแหน่งที่ถือว่า เข้ามาทำงานให้กับรัฐบาล"ทักษิณ"ในขณะนั้น คือปี 2548 ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ คุมพื้นที่"เนวินบุรี"ครั้ง"เนวิน ชิดชอบ"ยังรับใช้ทักษิณ หลังยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ก็ถูกคำสั่งย้ายเข้ากรุ เป็นผบก.ประจำสง.ผบ.ตร.พร้อมกับตำรวจระบอบทักษิณ อีกจำนวนมาก ต่อมาต้นปี 2550 พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์ ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบก.กต.5 จต.(ดูแลภาคใต้) มาถึงยุครัฐบาลนอมินีทักษิณ"สมัคร สุนทรเวช"พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์ ได้นั่ง ผบก.ภ.จว.ชุมพร ต่อมา 17 เม.ย.2551 ก.ตร."สมัคร สุนทรเวช"ทำการย้ายล้างบางเด็ก"เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส"โดยย้าน พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์ จาก ผบก.ภ.จว.ชุมพร ไปเป็น ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ดูแลพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ โดยที่การโยกย้ายครั้งนั้น ได้ทำพร้อมกับการดึงญาติและเพื่อนทักษิณคือ"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์(นอร.16)ข้าราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระดับ 10 กลับมาดำรงตำแหน่ง รอง.ผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร และ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ (นรต.26)ข้าราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระดับ 9 กลับมาเป็น ผช.ผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร หลังจากคุมพื้นที่ขอนแก่น "พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์" เปลี่ยนชื่อเป็น"พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี" เพื่อล้างภาพเพื่อนรักทักษิณ แต่พฤติการณ์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ปฎิบัติราชการตำรวจช่วยเหลือพวกของตนเองมาตลอดเวลา ดังนั้นการสั่งเด้ง"พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี"ออกจากพื้นที่ จึงถือเป็นคำสั่งที่ถูกต้อง และ"ปทีป"น่าจะทำตั้งนานแล้ว 00..."มีข้อมูลสำคัญว่า ที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)รับผิดชอบคดีก่อการร้าย ชื่อย่อ "ภ."มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุม เพราะภรรยาเป็นคนจ่ายเงินสนับสนุนการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์" นั่นคือระเบิดเวลาที่ "สาธิต ปิตุเตชะ" กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ได้วางไว้ที่ สตช.รอ"พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ"รรท.ผบ.ตร.เข้าตรวจพิสูจน์หลักฐาน ว่าข้อกล่าวหา เมียนายพล ภ.เป็นจริง หรือ เท็จ วันนี้ชัดเจน นายพล ภ.ที่ถูกกล่าวถึงเขาคือ "พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา" ที่ปรึกษา (สบ 10)นายตำรวจผู้ไม่สังกัดฝ่าย และพร้อมที่จะไปอยู่กับฝ่ายชนะ เพื่อก้าวสู่อำนาจชีวิตสีกากี สำหรับข้อกล่าวหาครั้งนี้.....ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ได้บอกผ่านกระบอกเสียง ตร.อย่าง"พงศพัศ พงษ์เจริญ" ผช.ผบ.ตร.โดยยืนยันว่าทั้งตัวเอง และ ภรรยา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม วันนี้"ภาณุพงษ์"ยังไม่ได้ออกมาพูดจากปากของตัวเอง และก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์ทำการชี้แจงข้อเท็จจริง แต่สำหรับข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พูดกันให้แซดว่า ภรรยา ภาณุพงษ์ แดงแจ๋ ครับผม!!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤษภาคม 2553, 10:32:43 แขยง M79! “ไกรศักดิ์” หวั่นตายคาไมโครโฟนเวทีหาเสียง หากเลือกตั้งตาม “เรดแมป” ลั่นอาจสละสิทธิ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2553 23:59 น. วานนี้ (5 พ.ค.) นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้รับผิดชอบดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ให้ทัศนะกรณีที่เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ประกาศแผนปรองดองแห่งชาติโดยยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ และยื่นเงื่อนไขการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พ.ย. 2553 หรือที่เรียกว่าสั้นๆ ว่าโรดแมป โดยระบุว่าแผนดังกล่าวเป็นข้อจำกัดที่สะท้อนความด้อยประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และสะท้อนว่ากองทัพไม่ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้เห็นว่าแม้จะสามารถยุติความรุนแรง การนองเลือดและการรัฐประหารได้ แต่ก็ทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวแสดงความกังวลด้วยว่า การหาเสียงเลือกตั้งในช่วงก่อนวันที่ 14 พ.ย. อาจจะเกิดความรุนแรงได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานเนื่องจากความขัดแย้งได้กระจายตัวไปทั่ว “ผมไม่มั่นใจว่าระหว่างการหาเสียงจะยังมีความรุนแรงอยู่อีกหรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่ความขัดแย้งกระจายอยู่ทั่วไป หากทีมหาเสียงของประชาธิปัตย์ไปปราศรัยที่จังหวัดอุบลราชธานี อาจจะมีระเบิดเอ็ม 79 มาเป็นเวที ทำให้คนของพรรคตายคาไมโครโฟนก็เป็นได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมจะขอสละสิทธิ์ไม่ลงเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องขอดูท่าทีแกนนำคนเสื้อแดงก่อนว่า นอกจากจะรับโรดแมปของนายกฯ และจะให้การรับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงระหว่างการหาเสียงอีก นอกจากนี้คนที่มีหมายจับจะต้องยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย” รองหัวหน้าพรรคผู้รับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสานกล่าวและว่ารัฐต้องจัดการเรื่องการก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรงก่อน และตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด "เลือกตั้งก็หนีไม่พ้นความรุนแรงอีก สมมติผมมีรายการที่จะต้องปราศรัยที่อุดรฯ ขอนแก่นหรืออะไรอย่างนี้ ถ้าขึ้นไปแล้วโดนเอ็ม 79 ตายทั้งคณะเลย ถ้าบอกว่าอย่างนี้ร้ายแรงมาก ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพราะไม่รู้ว่าวิถีกระสุนมาจากไหน ... มันตายกันหมดแล้วบนเวที เรื่องอะไรผมจะไปหาเสียงล่ะ ถ้าเขายังคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะใช้ความรุนแรงอยู่อย่างนี้ ผมว่ามันไปไม่รอดหรอก ใครเขาจะไปหาเสียงล่ะ" นอกจากนี้นายไกรศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า หากแกนนำคนเสื้อแดงที่ใช้ความรุนแรงยังลอยนวลอยู่อย่างนี้ตนและพรรคพวกก็คงไม่ไร้สติขนาดเอาชีวิตไปเสี่ยงหาเสียงเลือกตั้ง ต่อมา นายไกรศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีประกาศโรดแมปเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมว่า ตนเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลยังทำงานไม่มากพอ โดยเฉพาะนโยบายเรื่องที่ดิน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน และการจัดตั้งศาลสำหรับคนจนขึ้นมา ทั้งนี้สิ่งที่ตนอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่สุดในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็คือ คือแก้ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยเฉพาะการสะสางเหตุการณ์ฆ่าตัดตอน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยตั้งคณะกรรมการที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน เพื่อหาที่มาของผู้เสียชีวิตตามนโยบายปราบปรามยาเสพติด จำนวน 2,800 คน แต่ปรากฏว่ายังทำงานไม่เสร็จคณะกรรมการดังกล่าวก็หมดอายุไป ทั้งที่พบว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 400 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ที่เหลือเป็นผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตจากฝีมือเจ้าหน้าที่ที่ต้องการทำเป้าตามนโยบายเท่านั้น นายไกรศักดิ์กล่าวด้ยว่า เดิมที นายกฯมีนโยบายว่าจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำงานต่อ แต่ที่ผ่านมามัวแต่แก้ปัญหาการเมืองมากจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น จึงอยากเรียกร้องให้หันมาสนใจเรื่องนี้ด้วย ต่อมาหลังจากที่สำนักข่าวต่างๆ ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของนายไกรศกัดิ์ นายยุทธพันธ์ มีชัย เลขานุการส่วนตัวนายไกรศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพิ่มเติมว่าว่านายไกรศักดิ์ ไม่ได้มีเจตนาที่จะสละสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ได้ยื่นข้อเสนอในเชิงหลักการไปยังแกนนำ นปช.ว่าจะมีหลักประกันอะไรว่าระหว่างการเลือกตั้งจะไม่มีการใช้ความรุนแรง หรือมีการยิงเอ็ม 79 กันอีกเพราะถ้ายังหยุดความรุนแรงไม่ได้แล้วยังเดินหน้าปราศรัยหาเสียงก็เท่ากับพาคนไปตาย บรรยากาศเช่นนั้นไม่ควรมีการเลือกตั้ง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 19 พฤษภาคม 2553, 21:46:09 http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=23615
ไอ่ใจหมา เอ๋งพาขย้อน ยังไม่เลิกซ่าส์ครับท่าน... emo49:)) เสียชื่อ อดีตปรมาจารย์ป๋วย จริงๆ... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 20 พฤษภาคม 2553, 01:44:55 http://www.youtube.com/watch?v=ELNZFcYbYsM ไอ้เต้น ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ประกาศให้เผา ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 20 พฤษภาคม 2553, 17:58:36 พวกแดงกาฬสินธุ์ ที่อยากจะถอนสัญชาติไทยน่ะ...ผมอยากรู้ว่า?
ถ้ามันถอนได้จริงๆ > ผมมีสิทธิ์กระทืบมันตาย โดยไม่ผิดกฏหมาย มั้ยครับ! ในเมื่อไม่มีบัตร ไม่มีสัญชาติ ก็ไม่ควรจะมีสิทธิ์ในฐานะ ประชาชน คนหนึ่ง แต่เป็นได้แค่ หมาขี้เรื้อน ตัวหนึ่งเท่านั้น... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 21 พฤษภาคม 2553, 17:16:12 แล้วพวกสื่อส่วนใหญ่ทางทีวี ที่ชอบโปรโมตแนวคิด คนไทยรักกัน? สามัคคีกัน?
ไม่ใช้ความรุนแรง! ผมสงสัยว่าทำไมผมต้องยอมรับเรื่องชาตินิยมพรรค์นี้ด้วยวะ? มันไม่ใช่สัจจะนิรันดร์สักหน่อย กะไอ้แค่มนุษย์ที่บังเอิญมาอาศัยในเขตแดนเดียวกัน ที่มนุษย์สมมติขึ้นมา วันไหนมันจะทำร้ายเรา มารุกรานพื้นที่ส่วนตัวของเรา เมื่อนั้นมันก็มีฐานะเป็นศัตรูของเราเท่านั้นเอง จะให้ท่องคาถาบ้าบอทำซากอะไร? งี่เง่าฉิบ! เพราะคนกลุ่มอื่นๆเอาแต่กลัว หรือไม่ก็หน่อมแน้ม เอาแต่ท่องคาถารู้รักสามัคคี หรือเปล่า? เลยทำให้รู้สึกวาไม่มีความชอบธรรมที่จะตอบโต้ เลยกลายเป็นว่า คนถ่อยก็สามารถแสดงความถ่อยได้ตามใจชอบ เพราะคำว่า สามัคคี ไม่เคยอยู่ในหัวมันแต่แรกแล้ว... ถ้าชุมชนต่างๆ สัก 50% กล้าออกมาลุยกับพวกมัน แบบ รามคำแหง ล่ะก็...ผมว่าขบวนการของพวกมันจะอยู่ไม่ได้ เพราะพวกนี้เอง ไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ อย่างที่เข้าใจ...ไม่น่าจะถึง 1 ใน 10 ของคนทั้งประเทศด้วยซ้ำไป! เพียงแต่เสียงส่วนใหญ่ เลือกที่จะเงียบ หรือไม่ก็ล่าถอย ไอ้ปริญญา น่ะ...ตัวงี่เง่าเลย ไม่รู้อะไรแล้วเสือกมาพ่น ทำเป็นสะอื้นว่าทำไมคนไทยต้องทำร้ายกัน ผมฟังแล้ว โคตรเกลียดขี้หน้าสุดๆ ไม่ต่างกับฟังพวกแกนนำเสื้อแดงเลยว่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kittiwit Pk ที่ 21 พฤษภาคม 2553, 19:04:14 ขออนุญาตโพสต์หน่อยครับ
http://www.youtube.com/watch?v=B6QpK-8sjmY หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤษภาคม 2553, 20:23:00 เพิ่งกลับมา ไปต่างประเทศหลายสิบวัน
เศร้าใจมากเลย พวกเลวๆมันทำได้อย่างไรนะ ชั่วร้ายมากเลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 29 พฤษภาคม 2553, 14:01:54 ใครว่า "ประชาธิปไตย" กินไม่ได้? ใครว่า "ประชาธิปไตย" ไม่มีตัวตน? ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คนเสื้อแดง พิสูจน์มาให้เห็นแล้ว (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image001-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image002-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image003-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image004-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image005-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image006-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image007-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image008-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image009-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image010-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image011-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image012-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image014-1.jpg) (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/image015-1.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 29 พฤษภาคม 2553, 20:21:44 บทความหนึ่งจาก เวบบอร์ดเสรีไทย
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=15105 อ้างจาก: อิทรายุธ วิเคราะห์ คนเสื้อแดง(3)กลุ่มพลังที่เป็นแค่ถั่วงอกทางการเมือง Postby อิทรายุธ » Wed Nov 18, 2009 2:54 pm มวลชนพื้นฐานของเสื้อแดงเป็นกลุ่มพลังแบบใดในทางการเมือง? มวลชนพื้น ฐานเหล่านี้เดิมทีคือผู้หลับไหลทางการเมือง ไม่เคยตระหนักถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากไปกว่าการเลือกตั้งสองนาที เสร็จ ตลอดระยะเวลายาวนานของการพัฒนาประเทศ ตามแบบแผนการพัฒนายุคใหม่ คนเหล่านี้ถูกกีดกันออกจากการพัฒนา ถูกเอาเปรียบ ถูกสูบดึงทรัพยากร แต่ไม่ค่อยได้รับผลการพัฒนาอย่างยุติธรรม เราอาจกล่าวได้ว่าเขาคือ เบี้ยล่างของกระบวนการพัฒนาตลอดมา มาบัดนี้เขาเกิดตื่นตัวทางการ เมืองขึ้นมาแล้ว จากประชาชนที่หลับไหล ขาดการมีส่วนร่วม(passive) มาเป็นประชาชนที่ตื่นและอยากมีส่วนร่วม(active) จำนวนของประชาชนกลุ่มนี้มีหลายล้าน มองในแง่หนึ่งสำหระบประเทศ การที่มีประชนจำนวนมากขนาดนี้ตื่นตัวมาขอมส่วนร่วมทางการเมือง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่...... แต่....เขาหลับไหลมานาน ขาดการสั่งสมข้อมูลความรู้ จึงมีอาการของคนเพิ่งตื่น ที่งัวเงียและขี้โมโห และที่เขาตื่นนั้นจริงๆแล้วก็เป็นเพราะถูกสถานการณ์ถีบให้ตื่นมากกว่าจะตื่น เอง การรับรู้แรกๆของเขาหลังจากเพิ่งตื่น คือเขาพบว่าตลอดเวลาของการพัฒนาชาติ เขาถูกเอาเปรียบ เขาไม่ได้รับผล เขาตกเป็นเบี้ยล่าง นี่ยิ่งกระตุ้นอารมณ์โกรธแค้น เกลียดชัง จนไม่อาจคุมสติอยู่ได้ เมื่อสติไม่มา ปัญญาจึงหายหมด เปรียบเทียบไป แล้ว พวกเขาเหมือนคนที่ถูกหลอกให้อดหิวมานาน ถูกทำให้เข้าใจว่าเขาไม่มีสิทธิในอาหารหม้อใหญ่ของชาติ ทั้งๆที่วัตถุดิบในการปรุงนั้นบางทีก็ไปเอามาจากบ้านของเขาเอง มาบัดนี้เขาเกิดรู้ขึ้นมาแล้วว่าเขามีส่วนเป็นเจ้าของหม้อข้าวด้วยคนหนึ่ง จึงกระโจนเข้าใส่อาหาร ด้วยอาการของคนโมโหหิว มิใยที่พันธมิตรเสื้อเหลืองจะเตือนด้วยความหวังดีว่าอาหารนั้นเจือปนยาพิษ เขากลับโกรธด้วยอารมณ์แบบก่องข้าวน้อยจะฆ่าเพื่อน หาว่าพันธมิตรจะมาขวางให้เขาหมดสิทธิ ขณะเดียวกัน พลันที่เขาตื่นตัวขึ้นมา ขอมีส่วนร่วม ก็มีพวกชั่วร้ายที่คอยยุแยง ปลุกปั่นให้เขาก่อคงามรุนแรง ด้วยคนชั่วพวกนั้นรู้ดีว่า ไม่ยากอะไรเลยกับการปั่นให้คนโมโหหิวเกิดการคลั่ง และพวกชั่วเล็งเห็นผลแล้วว่าจะใช้ประโยชน์จากพวกเพิ่งตื่นนี้อย่างไร เพราะพวกนี้นั่นเองที่กอบโกยเอาอาหารของชาติไปมากที่สุด และคิดจะปันแค่เศษอาหารเล็กๆน้อยๆให้พวกเพิ่งตื่นเท่านั้น ฝ่าย พันธมิตรนั้นเล่ารู้ดีและรู้ทันพวกชั่ว จึงพยายามเตือนพวกเพิ่งตื่น กลับได้รับความเกลียดชังเป็นการตอบแทน พันธมิตรพยายามเสนอหนทางที่ได้ผลและยั่งยืนสำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ในชาติ แต่ก็ถูกพวกชั่วปลุกปั่นพวกเพิ่งตื่นว่าพันธมิตรจะขวางให้พวกเพิ่งตืนอดหิว ต่อไป ดังนั้นในฐานะกลุ่มพลังทางการเมือง แท้จริงแล้วหากไม่ถูกปลุกปั่นโดยพวกชั่ว ที่ผลิตสารพัดความเท็จมาเห่กล่อม การตื่นขึ้นของคนเสื้อแดงก็จะเป็นต้นทุนที่ดีของชาติได้ในระยะยาว เพราะประชาชนที่ตื่นตัวย่อมดีกว่าประชาชนที่หลับไหล แต่เมื่อถูกวิชามารของพวกชั่วเข้าครอบงำ พวกเขาจึงกลายเป็นซอมบี้ที่คลุ้มคลั่งแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา กลุ่ม พลังอันเป็นถั่วงอกทางการเมือง ที่น่าจะเติบโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแก่ประเทศได้ จึงกลายเป็นกลุ่มพลังที่ทำลายชาติ แทนที่จะสร้างชาติ อย่างน่าเสียดาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กรกฎาคม 2553, 21:47:38 มีบทความที่ดี ที่วิเคราะห์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม อยากให้ได้อ่านกัน
เขียนโดยนักวิชาการที่ถือว่า เป็นฝ่ายสนับสนุนเสื้อแดง และเป็็นคนเดือนตุลาคนหนึ่ง ที่มีความคิดความอ่านที่มีเหตูมีผล วันที่ 01 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:00:00 น. มติชนออนไลน์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: วิพากษ์ "คลื่น" การเคลื่อนไหว 3 "ระลอก" ของ "เสื้อแดง" หมายเหตุ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนวิเคราะห์และวิพากษ์ขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงลงใน เว็บบอร์ดแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา มติชนออนไลน์เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่ออีกครั้ง ณ ที่นี้ "คลื่น" การเคลื่อนไหว 3 "ระลอก" ของ "เสื้อแดง" ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการอภิปรายถกเถียง ในแง่ทิศทาง จังหวะก้าว ความผิดพลาด ฯลฯ พิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่นอนว่า นี่ไม่ใช่การมี "สุขภาพดี" ของขบวนการทางการเมือง และขบวนการนี้ ขึ้นต่อการตัดสินใจ และกำหนดของกลุ่มคนเล็กน้อยเพียงหยิบมือเดียว [1] ระลอกที่ 1 22 กรกฎาคม 2550 นี่คือช่วง "ก่อนประวัติ ศาสตร์" (pre-history) ของขบวนการเสื้อแดง การก่อรูปขึ้นจากการยุบพรรคไทยรักไทย การเข้าแทนที่ (take-over) การเคลื่อนไหวต้านรัฐประหารของกลุ่มย่อยอื่นๆที่ดำเนินไปก่อนหน้านั้น (โดยเฉพาะของ "คนวันเสาร์", รองลงมาคือ "เครือข่าย 19 กันยา" และ "พลเมืองภิวัฒน์" ก่อนหน้านั้น "พีทีวี" จัดชุมนุม 2-3 ครั้ง แต่ประเด็นไม่แหลมคมอะไร เช่น ไม่ยอมชูประเด็น เปรม เลย เป็นต้น) แต่แล้ว ไม่ถึง 2 เดือนดี (ต้นมิถุนายน ถึง 22 กรกฎาคม) ก็ "ลงเอย" ด้วยการไปปะทะหน้าบ้านเปรม (ซึ่งความจริง หลีกเลี่ยงได้) และที่ irony (ตลกร้าย) คือ ขณะที่กลุ่มย่อยก่อนหน้านี้ เคลื่อนไหวมา ครึ่งปีกว่า ไม่เคยถึงขั้นปะทะ กลุ่ม พีทีวี เคลื่อนไหวเพียงเดือนเศษ ก็ลงเอยที่ปะทะ ผลคือ เกิดการชะงักชั่วคราว และ "ถอย" ลงชั่วคราวระดับหนึ่ง แกนนำถูกจับครั้งแรก และการชุมนุมยุติไป พอดีมีการเคลื่อนไหวเรื่องรับรองรัฐธรรมนูญ ก็เลยกลายเป็นการรณรงค์ในเรื่องนั้นแทน การลงมติรัฐธรรมนูญแพ้ แต่พอดีเลือกตั้งชนะ ขบวนการเคลื่อนไหวมวลชนจึงหายไป (มีออกมาในรูปรายการทีวี "ความจริงวันนี้" แทนบางส่วน) [2] ระลอกที่ 2 เมษายน 2552 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ครั้งแรกของ "เสื้อแดง" โดยตรง (เกิด ตุลาคม 2551 ในท่ามกลางกระแสชุมนุมพันธมิตร และกรณี "น้องโบว์") ชุมนุมใหญ่สิ้นปี 2551 และเริ่มรณรงค์ มีนาคม 2552 ตามจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ทักษิณ ประกาศเปิดโปง เปรม (และ ปีย์ ฯลฯ) โดยตรง เป็นครั้งแรก "เสียงตบมือกึกก้อง" ให้กับการปราศรัยของจักรภพ, ก่อแก้ว แต่ลงเอย ที่ สงกรานต์ 2552 ที่แกนนำถูกจับอีก และการชุมนุมถูกสลายไป พร้อมการตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองจากกรณีพัทยา มหาดไทย ยึดรถเมล์ รถน้ำมัน ในกรุงเทพ ฯลฯ เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2552 มีการปรากฏตัวรณรงค์ใหม่อีก แต่คราวนี้ กลายเป็นเรื่อง "ล่าลายชื่อถวายฎีกา" ซึ่งเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำในช่วง ตุลาคม, ธันวาคม และ มีนาคม-เมษายน แล้ว ถือเป็นการ "ก้าวถอยหลัง" อย่างเห็นได้ชัด [3] ระลอกที่ 3 มีนาคม - พฤษภาคม 2553 คราวนี้ ลงเอย ด้วยการถูกปราบหนักหน่วง และเสียหายทางการเมือง หนักหน่วง ยิ่งกว่า ระลอกที่ 2 หลายเท่า (ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคนตาย ที่ผมยืนยันว่า คือการพ่ายแพ้ที่สำคัญที่สุด) เครือข่าย กลไกต่างๆ ที่สะสมขึ้นมาในระยะ 2 ปีเศษ ถูกทำลายเกือบหมด (ทีวี, วิทยุชุมชน, นิตยสาร ฯลฯ) ขณะนี้ ยังบอกได้ยากว่า จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้หรือไม่ การเคลื่อนไหวที่แต่ละระลอก ลงเอยด้วยการแพ้ ด้วยการตกเป็นฝ่ายรับ และด้วยความเสียหาย (ที่มากขึ้นกว่าครั้งก่อน) เช่นนี้ ถ้าเป็นขบวนการทางการเมือง ที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ในประเทศอื่น (หรือในประเทศในอดีต) คงตามมาด้วยการอภิปราย ถกเถียง อย่างกว้างขวาง ถึงประเด็นทิศทาง จังหวะก้าว ความผิดพลาด ฯลฯ แล้ว แต่ปรากฏว่า ไม่มีเลย บรรดากองเชียร์เสื้อแดง มักจะภูมิใจว่า ขบวนการของตนเป็นขบวนการ"ประชาธิปไตย" เรียกว่าเป็นขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองในลักษณะ "โครงสร้าง" หรือในลักษณะ "ระบอบ" เลยทีเดียว (โค่น "ระบอบอำมาตย์" เป็นต้น) แต่มีขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมลักษณะนี้ ในประเทศไหนหรือ ที่ช่าง อับจน ยากไร้ ในแง่ของการถกเถียงกันภายใน (internal debate) เกี่ยวกับเรื่องทิศทาง จังหวะก้าว ยุทธวิธี ความผิดพลาด ฯลฯ อย่างขบวนการเสื้อแดง ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา? ทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่า การเคลื่อนไหวแต่ละระลอก ล้วนลงเอยที่การล้ม หรือ ถอยหลัง ในเวลาสั้นๆ หลังการเคลื่อนไหวเสมอ เอาตัวอย่างง่ายๆ อย่างกรณี ยื่นฎีกา เห็นได้ชัดว่า เป็นอะไรบางอย่างที่ "เป็นปัญหา" แน่ (problematic) แต่มีการอภิปราย ถกเถียงหรือ? โดยเฉพาะในแง่ของภาพรวม ต่อการต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย เอาเข้าจริงแล้ว การกำหนดกรณีอย่าง ถวายฎีกา หรือแม้แต่ กรณีเรื่อง "ยุบสภา" ครั้งล่าสุด (ไม่ต้องพูดถึงในเชิงยุทธวิธี ที่มุ่ง "ชน" การยึดราชประสงค์ การไม่ยอมลง ไม่ยอมเจรจา เป็นต้น) เป็นผลมาจากการระดม กลั่นกรอง ขึ้นมาจาก การถกเถียงภายในของขบวนการ ของมวลชน และคนสนับสนุนทั้งหลาย ฯลฯ หรือมาจากการกำหนด ของคนไม่กี่คน พูดง่ายๆคือ ของคนไม่กี่คนบรรดาที่ใกล้ชิดกับทักษิณ? บรรดากองเชียร์เสื้อแดง มักจะไม่พอใจ เมื่อถูกพวกผู้จัดการ พวก "อำมาตย์" โจมตีว่า เป็น "ขบวนการเพื่อทักษิณ" โดยพยายามโต้แย้งว่า มวลชน หรือ เสื้อแดง ได้ "ก้าวข้าม" "ก้าวพ้น" ทักษิณ ไปแล้ว (แม้แต่ทักษิณเอง ก็ออกมาพูดเช่นนี้) หลังๆ บรรดานักวิชาการที่หันมาเชียร์เสื้อแดงกันมากขึ้นก็พยายามอธิบายทำนองเดียว กัน ด้วยการยกเรื่อง "ความเปลี่ยนแปลงในชนบทไทย" ฯลฯ มาสนับสนุน แต่ถามจริงๆว่า มีขบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง- สังคม ที่ไหน ที่มีลักษณะอับจน ในแง่ของชีวิตทางภูมิปัญญาภายใน (internal intellectual life) ในแง่ของการขาดแคลนการดีเบต (อภิปราย) ในเรื่องทิศทาง จังหวะก้าว ความผิดพลาด อย่างเด่นชัดมากๆ อย่างที่เสื้อแดงเป็นอยู่ในระยะ 2-3 ปีมานี้? มีขบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง- สังคม ที่อ้างเป้าหมายใหญ่โต (โค่น "ระบอบอำมาตย์") ขนาดนี้ แต่ยังขึ้นต่อ การตัดสินใจ ในแง่ทิศทาง ประเด็น จังหวะก้าว ของคนเพียงไม่กี่คน หรือกระทั่ง ผูกติดอยู่กับ คนๆเดียว (ทักษิณ) ในระดับที่มากขนาดนี้? ทั้งหมดนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นลักษณะ "การมีสุขภาพดี" (healthy) ของขบวนการ แต่อย่างใด การพ่ายแพ้ครั้งหลังสุดนี้ เป็นการพ่ายแพ้ที่รุนแรง และเสียหายอย่างมาก (เฉพาะเรื่องชีวิตคนเรื่องเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้) โดยไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น (วันยุบสภาตามที่เรียกร้อง) แต่ยังเสียหายในแง่กลไกต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น อีกมหาศาล (ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์) ถ้าพ่ายแพ้ และเสียหายถึงขั้นนี้ แล้วยังไม่สามารถ "ก่อให้เกิด" (generate) การอภิปราย แสวงหา สรุป ในแง่ความผิดพลาด ในแง่แนวทาง ทิศทาง ไปถึงในแง่บุคคลากรอีก (คือยังคง อับจนในเรื่องเหล่านี้อีก เช่นที่ผ่านๆมา) ปล. สำหรับ ผู้ที่คิดจะโต้แย้ง ในส่วนที่ผมเขียนถึงขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ "สุขภาพดี" ในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ขึ้นต่อผู้นำคนเดียว แบบกรณี เสื้อแดง กับทักษิณ ว่า แล้วในกรณีรัสเซีย หรือ จีน ล่ะ? ขอตอบว่า ทั้งความสำเร็จของการปฏิวัติรัสเซีย และการปฏิวัติจีน หาได้ ขึ้นต่อ หรือผูกติดกับ เลนิน หรือ เหมา ในลักษณะที่ถูกโฆษณาภายหลังปฏิวัติแล้ว แต่อย่างใด และที่สำคัญ ขอให้ดูว่า เวลาพูดถึง การนำของเลนิน หรือ ของเหมา หมายถึงอะไร? ในขบวนปฏิวัติของประเทศเหล่านั้น ก่อนการปฏิวัติสำเร็จ ที่สำคัญคือ งานเขียนเป็นร้อยๆชิ้นของคนเหล่านี้ คือ การนำในเชิงความคิด ในเชิงไอเดียต่างๆ ทักษิณ นี่มีงานเขียนอะไร หรือ แม้แต่ สปีช (คำกล่าวสุนทรพจน์) ก็ได้ ที่เรียกได้ว่า มีลักษณะมีเนื้อหาในเชิงนำทางด้านความคิด จริงๆ? มีงานเขียน หรือ สปีช ใด ที่อธิบาย อภิปราย ในแง่จุดมุ่งหมาย วิธีการ ยุทธวิธีการต่อสู้ สรุปข้อผิดพลาด ฯลฯ อย่างที่เห็นเต็มไปหมดในงานเขียนของเลนิน หรือของ เหมา? คือ ยิ่งเปรียบเทียบ ก็น่าจะยิ่งเห็นปัญหา "ความอับจนทางภูมิปัญญา" ที่กล่าวถึงในกระทู้[/color]ได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2553, 12:10:24 ข้อความข้างล่างนี้ไม่มีลิ้งค์ ถ้าเวบมาสเตอร์เห็นว่าไม่สมควรก็ลบไปได้เลย
แต่ที่นำเสนอหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนตาดำๆที่ไม่รู้อิโหนอิเหน่กับเขา จะซวยเปล่าๆ เพื่อนๆ ได้รับเมลส่งต่อมา ให้ระวังนะ อยู่บ้านปลอดภัยสุด บอกลูกบอกหลาน ด้วยล่ะ คำเตือนนี้ดูไม่น่าจะเป็นจริงได้เลย แต่ระวังไว้ก็ดี บ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นจ้ะ จริงเท็จไม่รู้ ระวังหน่อยก็ดี โปรดใช้ วิจารณญาณ ในการตามข่าว แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ช่วงนี้อย่ากลับดึก งดการพบปะเพื่อนฝูง อยู่กะครอบครัวซะนะ และอย่าลืม แจ้ง พ่อแม่ของแต่ละท่าน ด้วยล่ะ สูงวัยกันแล้ว เดี๋ยววิ่งหลบระเบิด กันไม่ทัน เตือนด่วน!!! ได้รับการ confirm แล้ว นักรบชุดดำชุด 2 ออกมาแล้ว หลัง 18.00 น. จะมีงานใหญ่ . . . ระเบิดจุดสำคัญ เผาเมือง ดับไฟ และยิงฆ่าประชาชนทั่วไป ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับสถานการ์ณทางการเมืองแล้ว ได้รับคำสั่งมาให้ยิงทิ้งทุกคนที่เดินถนน หลัง 18.00 น. อย่าออกจากบ้านนะ . . ช่วยเตือนต่อด่วน!!! ยืนยันแล้ว กองกำลังผสมว้าแดง + ไทยใหญ่ กระเหรี่ยง เขมร 2,000 นาย กำลังเข้า กทม. ชื่อ หน่วยรบ "โรนิน" ที่เสธ. แดง เคยไปฝึกไว้ กำลังเดินทางเข้า กทม. ช่วยกันแจ้งด้วยครับ "จริงเท็จประการใด ช่วยออกมาบอก มาเตือนด้วยนะครับ" ผู้ชุมนุมโกรธแค้นแกนนำ เผาบ้าน เผาเมือง เพราะอยู่ดีๆ ก็ไปมอบตัว เงินก็ไม่ยอมจ่าย อุตส่าห์มานั่งตากแดดตากฝนอยู่ 2 เดือน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2553, 21:38:01 'ประสงค์'ปูด'ทักษิณ-ฮุนเซน'รวมหัวป่วนไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ อดีตเลขาธิการสมช. ระบุผู้นำเขมรปลุกกระแส"วันแห่งความโกรธ" 2-3สัปดาห์หน้าชายแดนอาจเกิดเหตุรุนแรงพร้อมๆ เกิดเหตุร้ายในเมืองไทย นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เปิดเผยกับ"สำนักข่าวเนชั่น" ถึงกระแสข่าวลอบสังหารผู้นำรัฐบาล ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง ไม่อาจประมาทได้ ตนตรวจสอบข่าวจากหลายแหล่งยืนยันตรงกันว่าขณะนี้หัวโจกฮาร์ดคอร์ที่มีอาวุธ มีกระสุนปืน ราว 1,500 คน ยังกระจายตัวอยู่ในกทม.ต่างจังหวัด และกัมพูชา พร้อมจะใช้ความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ส่วนที่จับได้เป็นแค่ผู้ปฏิบัติหางแถว สำหรับเป้าหมายมี 2 ส่วน คือ สาธารณูปโภคของประชาชน เพื่อทำลายขวัญประชาชน สร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในสังคมเหมือน 3 จังหวัดภาคใต้ และลอบสังหารบุคคลสำคัญในฝ่ายการเมืองหรือผู้นำขององค์กรอิสระที่เขาเชื่อว่าไปทำร้ายคนเสื้อแดง ขบวนการนี้มีการประชุมกันหลายแห่ง รวมทั้งในกัมพูชาที่มีผู้นำเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายจักรภพ เพ็ญแข เข้าออก มีสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาให้การสนับสนุนสร้างบ้านพักรับรองให้อยู่อย่างสะดวกสบาย "ตั้งแต่ผมรับผิดชอบงานความมั่นคงของบ้านเมืองมา ยังไม่เคยเห็นยุคไหนการข่าวแย่ขนาดนี้ สถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลต้องเน้นยุทธศาสตร์ความมั่นคงในการดูแลความปลอดภัยของประชาชน ไม่ใช่แค่รับโทรศัพท์สนุกสนานไปวันๆ เหมือนเด็กเล่นขายของ ฝ่ายความมั่นคงต้องจับตางานวันแห่งความโกรธแค้นที่ทางกัมพูชาปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นในหมู่คนเขมร อาจก่อความรุนแรงขึ้นบริเวณชายแดนใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีการนัดหมายก่อการพร้อมกับประเทศไทย เพื่อให้กำลังตำรวจทหารเกิดความสับสนไม่สามารถป้องกันภัยได้ มีอดีตทหารชั้นผู้ใหญ่ร่วมมือกับตำรวจบางเป็นผู้วางแผน และยังใช้งานคนเสื้อดำที่เคยก่อการในช่วงม็อบ ขอเตือนว่ากรณีระเบิดรถเข็นเงาะที่พรรคภูมิใจไทยเป็นแค่ก่อกวนเล็กน้อย แต่ของจริงกำลังเกิดขึ้น" อดีตนักการข่าวกล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 กรกฎาคม 2553, 09:38:00 ชีวิตแก้วมีแต่ตู่นำ..แก้วเดินก้าวตาม ๆ ตู่เดิน
โดย บัณรส บัวคลี่ 28 มิถุนายน 2553 13:36 น. Manager online เพื่อน ๆ เรียก “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ว่า “แก้ว” ตั้งแต่เรียนหนังสือที่พังงา-ภูเก็ต ประวัติชีวิตของก่อแก้วน่าทึ่งมาก เป็นเด็กเรียนดีระดับที่สอบคณิตศาสตร์ได้อันดับหนึ่งของภาคใต้เมื่อปี 2526 และนำมาสู่การได้รับรางวัลพระราชทานประจำปีการศึกษา 2526 ซึ่งในปีนั้นนักเรียนทั้งจังหวัดภูเก็ตได้รับ 4 คน เป็นของเทศบาลปลูกปัญญา 1 (ประถม) สตรีภูเก็ต 2 และที่เหลือ 1 เป็นของนายก่อแก้ว พิกุลทองจากภูเก็ตวิทยาลัยซึ่งนำมาปลาบปลื้มมาสู่พี่น้องในตระกูลพิกุลทองอย่างสูง ตระกูลพิกุลทองเป็นตระกูลใหญ่ พื้นเพหลักอยู่ที่ ต.กะไหล อ.ตะกั่วทุ่ง พังงา ปัจจุบันมีผู้ใช้นามสกุลนี้หลักร้อย ต.กะไหล มีชื่อเสียงในการผลิตพุงปลา และพุงปลาแห้ง (ไตปลาในภาษากลาง) ปรากฏคนในตระกูลนี้หลายคนที่ยึดอาชีพนี้ที่ ต.กะไหลในปัจจุบัน ก็เป็นแบบเดียวกับตระกูล ‘ดามาพงษ์’ ตระกูลใหญ่แห่งบ้านหนองโดน อ.จัตุรัส ชัยภูมิที่เคยมีการสำรวจสำมะโนผู้ใช้ตระกูลนี้ในเขตอำเภอร่วมครึ่งร้อย หรือตระกูล ‘เอ่งฉ้วน’ แห่งกระบี่ที่มีผู้ใช้นามสกุลนี้จำนวนมากเป็นร้อย ดังนั้นผู้ที่ใช้นามสกุลพิกุลทองในพังงา-ภูเก็ตปัจจุบันอาจจะไม่เกี่ยวข้องในทางการเมืองกับก่อแก้วเลยก็มี อ.ตะกั่วทุ่งอยู่ติดภูเก็ตที่เจริญกว่ากันมาก แต่ในยุค 2524-26 การเดินทางไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน เดินทางด้วยรถสองแถวไม้แบบพื้นถิ่น(เหมือนในหนังเรื่องสะพานรักสารสิน) ก็ใช้เวลาค่อนวัน ก่อแก้วจากบ้านมาเรียนที่ตัวจังหวัดภูเก็ตอย่างตั้งใจ แบบเจียมเนื้อเจียมถ่อมและด้วยความเก่งด้านคณิตศาสตร์จึงกลายเป็นความภาคภูมิใจของโรงเรียนในยุคนั้น ก่อแก้ว เรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่ลาดกระบังจบด้วยคะแนนเกียรตินิยม และก็ต่อ MBA ที่ม.กรุงเทพต่อจากนั้นทำงานที่บริษัทน้ำมันคาลเท็กซ์อยู่ 6 ปี เขาใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องวงการน้ำมันจนถึงปี 2536 จึงลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองประเภทงานก่อสร้าง ทำแท็งค์ เคเบิ้ล ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำมัน ระหว่างการออกมาเป็นนักธุรกิจเจ้าของกิจการระหว่าง 2536-2545 นี่เองที่เขาต้องไปเจอกับบุคคลจากหลากหลายวงการ การเป็นเจ้าของกิจการรับจ้างของไทยย่อมหนีไม่พ้นวังวนเครือข่ายข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ-ผู้มีอำนาจทางการเมือง ก่อแก้วได้รู้จักกับ ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ ในช่วงดังกล่าว ตู่-จตุพร กับ แก้ว-ก่อแก้ว เกิดปีเดียวกัน 2508 จะด้วยชะตากรรมฉันท์ใดก็ไม่ทราบที่เด็กเรียนเก่งระดับที่ 1 ภาคจบการศึกษาอย่างรวดเร็วจากป.ตรีจนจบป.โทภายใน 5 ปี กับนักศึกษาโค่งเรียนยังไงก็ไม่ยอมจบ 12 ปีถึงกลายเป็นคู่ซี้ปึ๊กนัดดื่มกินกันเสมอ ร้านประจำของก๊วนนี้อยู่แถวคลองประปา-สามเสน ! ตู่-จตุพรทำงานในทีมของอ้วน-ภูมิธรรมในยุคก่อตั้งพรรคและอ้วน-ภูมิธรรมก็ส่งตู่ให้ทำงานในทีมรมต.ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ตู่ได้ดิบได้ดีในพรรคหลังจากนั้นจึงได้แนะนำแก้ว-ก่อแก้วให้ อ้วน-ภูมิธรรมรู้จัก แก้ว-ก่อแก้ว ร่วมทีมหาเสียงไทยรักไทยส่วนที่ต้องไปจัดการงานล่วงหน้ากับ ตู่-จตุพร ในช่วงปลาย 2547 และเมื่ออ้วน-ภูมิธรรม ได้เป็นรมช.คมนาคมในสมัยทักษิณ 2 ก่อแก้ว จึงได้อวยตำแหน่งเป็นรักษาการ ผ.อ.รสพ. เส้นทางการเมืองของก่อแก้วจึงไม่อาจปฏิเสธภาพการอยู่ในขบวนของ ตู่-จตุพร และ อ้วน-ภูมิธรรม ก่อแก้วโตอย่างรวดเร็วหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. เพราะผูกอยู่กับการเคลื่อนไหวของสามเกลอ และเขาถูกผลักดันให้ลงส.ส.มาก่อนหน้านี้แล้ว หาใช่เพิ่งครั้งนี้ไม่ หลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ เนวินแยกตัวมาตั้งพรรคภูมิใจไทย ก่อแก้วแม้จะมีภารกิจสร้างเครือข่ายแดงในภูเก็ต-พังงา แต่ก็ถูกวางตัวให้ลงส.ส. เขตหลักสี่-บางซื่อ แทนศุภมาศ อิศรภักดีที่ตามเนวินไปอยู่ภูมิใจไทยตั้งแต่ปลายปี 52 เป็นต้นมาก่อแก้วลงพื้นที่หลักสี่ถี่ขึ้น แต่ก็ต้องเปลี่ยนแปลงกะทันหันเพราะ “ตู่” ดันให้ลงสมัครเขต 6 แทนณัฐวุฒิที่ติดปัญหาคุณสมบัติ ชีวิตของก่อแก้ว นับจากนี้จึงต้องขึ้นเขาลงห้วยไปตามที่ตู่-จตุพรกำหนด ขนาดที่ตู่กำหนดเองแล้วว่าเขาจะเป็นแม่ทัพหาเสียงในพื้นที่ให้กับก่อแก้วแทน ชีวิตของก่อแก้วที่ผูกอยู่กับขบวนสามเกลอและตู่-จตุพรเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่เป็นนักเรียนเรียบร้อยสมองไวขยันขันแข็ง ครั้นพอจบออกมาเขามีหัวทางธุรกิจและมุมมองการทำมาหากินที่เพื่อนฝูงยอมรับ แต่เมื่อต้องมาเป็นแกนนำมวลชนตั้งแต่ยุค นปช. 2 ต่อเนื่องมาถึงคนเสื้อแดง เขาเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองต่อไป ตอนที่แดงใกล้แตก ก่อแก้วอยู่ในกลุ่มอยากลงอยากจบในระดับเดียวกับ วีระ-จาตุรนต์-วิสา แต่ก็ถูกเหตุการณ์ลากให้ตกกะไดพลอยโจนไปอยู่กับ “ตู่-จตุพร” ชะตาคนเป็นเฉกนี้เอง “แก้ว-ตู่” เหมือนเป็นคู่บุญคู่กรรมที่ถูกกำหนดไว้ ! จากที่เคยเป็นเด็กเรียบร้อยเรียนดีระดับที่ได้รับรางวัลพระราชทานเป็นเกียรติยศให้กับตระกูล “พิกุลทอง” แต่ชะตาก็ผกผันให้ก่อแก้วถูกออกหมายจับจากตำรวจสภ.อ.แม่ริม เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อ 22 มีนาคม 2552 ก่อนหน้าเมษาเลือดแค่เดือนเดียว มีการจัดงานความจริงวันนี้สัญจรครั้งสำคัญของภาคเหนือระดมมากันหลายจังหวัด วันนั้นเวทีแดงขึ้นป้ายใหญ่ในแคมเปญ “Red in the land” นอกจากทักษิณโฟนอินแล้วยังระดมคนสำคัญเสื้อแดงทั้งสมชาย วงศ์สวัสดิ์ขึ้นเวทีใกล้ ๆทุ่ม และยังมีจักรภพ เพ็ญแข วรพล พรหมิกบุตร เหวง-วิสา ส.ส.เหนือเกือบทั้งหมด ฯลฯ บรรยากาศฮึกเหิมแบบแดง ๆ จนทำให้ก่อแก้วที่ขึ้นเวทีตอนประมาณใกล้ 5 ทุ่มหลุดพูดถ้อยคำที่หมิ่นเหม่ออกมาในทำนองที่ว่า “ปลดรูปบุคคลสำคัญ” จนกลายเป็นการถูกออกหมายจับดังที่กล่าว ก่อแก้ววันนี้ถูกการเมืองจูงไปไกลจากชีวิตนักธุรกิจเล็ก ๆ ที่พออยู่พอกินประสบความสำเร็จที่พึงมีเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน กลายเป็นนักการเมืองที่เดินไปตามเส้นทางที่เพื่อนตู่กำหนด คดีความรุงรัง ก่อแก้วมีลูกน้อยเพิ่งเกิด เขาแต่งงานกับสาวสวยจากย่านเยาวราชแถวโรงแรมใกล้ ๆ สาทรเมื่อสองปีกว่า ๆ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าแก้วแต่งกับลูกสาวร้านทองเยาวราช แต่คนที่รู้ดีบอกว่าธุรกิจของครอบครัวภรรยาขายของเล่นในซอยตั้งโต๊ะกัง ในรายละเอียดของครอบครัวอย่าไปรู้เลยเพราะเขาไม่เกี่ยว เสียดายอย่างเดียวที่ชีวิตหอมหวานครอบครัวเพิ่งแต่งงานและเพิ่งมีลูกน้อยก็พลอยถูกการเมืองเข้ามารุกราน การแข่งขัน ส.ส.เขต 6 รอบนี้ไม่ใช่พรรคการเมืองส่งคนเหมาะสมแข่งบนสนามเลือกตั้ง แต่หากเป็นแกนนำม็อบสายเหยี่ยวคนสำคัญผลักดันเกมภายใต้ความเห็นชอบของนายใหญ่ที่จนตรอกเต็มไปด้วยความคั่งแค้นอยากเอาคืน การเลือกตั้งรอบนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงระเบิด และคดีก่อวินาศกรรมรวมถึงบรรยากาศของการพยายามปลุกอารมณ์มวลชนท้องถนนอีกครั้ง ชีวิตของก่อแก้วที่เคยถูกวางตัวให้ลง ส.ส.เขตหลักสี่-บางซื่อ ก็ถูกคู่กรรมตู่-จตุพรขีดให้ใหม่แข่งในสนามที่ไม่ใช่ท้องทุ่งแสนแสบไอ้ขวัญ-อีเรียมเคยลงเล่น แต่เป็นพื้นที่ชานกรุงที่มีบ้านจัดสรรหนาแน่นเป็นลำดับ ผลการเลือกตั้งไทยรักไทยเมื่อ 10 ปีก่อนคงเอามาวัดอะไรไม่ได้กับเขต 6 ในปัจจุบัน เพราะหากมีชาวกรุงเทพฯออกจากบ้านมาเกิน 70% เหมือนเมื่อปี’50 พรรคเพื่อไทยจะลำบากเต็มกลืน และที่สำคัญอารมณ์ของคนกรุงฯในวันนี้คงไม่อยากเห็นเสียงการรณรงค์เลือกตั้งประสานกับเสียงระเบิดซาเล้งขายเงาะที่หน้าบ้านของพวกเขา ความดื้อดึงของตู่-จตุพรเมื่อเดือนพฤษภาคมทำให้เพื่อนร่วมแนวอย่าง วิสา คัญทัพเขียนระบายออกมาทำนองว่าขบวนแดงถูกคนหนุ่มดื้อรั้นประเมินกำลังตัวเองผิดชักนำให้พังพินาศ และจตุพรคนที่ทำให้ขบวนแดงพังพินาศคนนี้ ก็กำลังนำก่อแก้ว พิกุลทองและพรรคเพื่อไทยทั้งพรรคสู่สนามการช่วงชิงที่ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดาอีกครั้ง ในวันนี้ชีวิตแก้วมีแต่ตู่นำ..แก้วได้แต่เดินก้าวตาม ๆ ตู่เดิน... เขามาไกลจากตะกั่วทุ่งจนยากหวนกลับแล้วจริง ๆ ! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กรกฎาคม 2553, 18:54:06 วันที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 05:09:09 น. มติชนออนไลน์
แกะรอย นายทุนทีวีดาวเทียมใหม่เพื่อไทย กก.บริษัทใกล้ชิด “ทักษิณ” โยง"เสี่ยโป๋"แก๊งออฟโฟร์ยุค“สมัคร" แกะขุมข่ายทีวีดาวเทียมใหม่ พรรคเพื่อไทย พบกรรมการบริษัทใกล้ชิด“ทักษิณ” เคยอยู่ก๊วนเดียวกับ“เสี่ยโป๋”แก๊งออฟโฟร์ยุครัฐบาล“สมัคร” ภาย หลังจาก “พีเพิลแชนแนล (พีทีวี)” ทีวีดาว เทียมของคนเสื้อแดงถูกปิดตายโดยคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน (ศอฉ.) ตั้งแต่ช่วงการชุมนุนโค่นรัฐบาลในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ล่าสุด พรรคเพื่อไทยได้ผุดทีวีดาวเทียมช่องใหม่เรียบร้อยแล้วโดยใช้ชื่อว่า “เอเชีย อัพเดต” นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ว่า เอเชีย อัพเดต เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องใหม่ที่จะเปิดขึ้นแทน พี ทีวี เป็นของบริษัท เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ตั้งอยู่ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลลาดพร้าว ขณะที่สถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนลอยู่ชั้นที่ 6 ช่องใหม่นี้จะออกอากาศผ่านดาวเทียม รับชมได้ผ่านจานรับสัญญาณดาวเทียมทุกชนิดที่เคยได้รับชมพีเพิลแชนแนลได้ โดยจูนเครื่องรับสัญญาณไปที่ความถี่ 3690 H และซิมโบเรตที่ 03333 เริ่มออกอากาศในวันเดียวกันนี้ ผู้ดำเนินรายการ ประกอบด้วย นาย จิรายุ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ นายการุณ โหสกุล (ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย) น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ และ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 “มติชนออ นไลน์”ตรวจสอบ ข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด จดทะเบียนวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ทุนจด ทะเบียน 5 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 2539 อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 ถนนลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ มีกรรมการ 2 คนคือ 1.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีความใกล้ชิดกับแกนนำพรรค พท. และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 2.นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล อดีตคณะทำงานวิชาการและนโยบายพรรคพลังประชาชน (พปช.) จากการตรวจสอบพบว่า นายวิมลเคยทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชื่อ บริษัท คอนโซลิเดทไวร์ จำกัด (ชื่อเดิม บริษัท คอนโซลิเดทเท็คโน จำกัด) และ ธุรกิจให้คำปรึกษาชื่อ บริษัท ยูเนียนไทย ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทั้งนี้ บริษัท คอนโซลิเดทไวร์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 8 กรกฎาคม 2530 ทุนจดทะเบียน 7.5 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 555 อาคารรสาทาวเวอร์ ชั้น 12 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มี นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส. ยโสธรพรรคเพื่อไทย และคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการ ร่วม กับ นาย บุญไชย คำบุญเรือง นางสุจิตรา วัชรจิตติภัณฑ์ นายประภาส ธิติวรเวศม์ และ นายกัมปนาท ละม้ายอินทร์ เลิกกิจการในปี 2542 ส่วน บริษัท ยูเนียนไทย ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 8 มีนาคม 2527 ทุน จดทะเบียน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 16 ซอยเทพประสิทธิ์ ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพฯ โดยเป็นกรรมการรว่มกับ นายธีรพล นพรัมภา (เสี่ยโป๋) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัย นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยถูกจัดอยู่ในแก๊งออฟโฟร์ ร่วมกับ นายเนวิน ชิดชอบ นอก จากนี้นายธีรพลเคยทำธุรกิจเช่าซื้อร่วมกับนายโชติศักดิ์ อาสภวิริยะ (เสี่ยกบ) อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด และ นางนฤมล กัลยาณมิตร บริษัท ดิศดี จำกัด นี่คือขุมข่ายของทีวีดาว เทียมใหม่พรรคเพื่อไทย ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรต้องติดตามกันต่อไป .......... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 06 กรกฎาคม 2553, 21:37:52
ยอมรับว่า บทความนี้ ไอ้หงอกเขียนได้เข้าท่าครับ... กร๊ากกกก.... แม้ว่าบทความอื่นๆอีกหลายบทความของมัน ก่อนหน้านี้...จะเป็นแค่ขยะ ก็ตาม emo7:(: โดยเฉพาะเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถาบันฯ เนี่ย...โคตรมั่วและสตรอเบอรี่ได้ใจ ชอบอวดโง่โชว์ควายอยู่ประจำ http://serithai.net/phpbb3/viewtopic.php?f=2&t=5237 http://serithai.net/phpbb3/viewtopic.php?f=2&t=4411 http://serithai.net/phpbb3/viewtopic.php?f=2&t=12170 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 06 กรกฎาคม 2553, 21:49:40 โอ๊ย ช่วยด้วย...ผมโดนอะไรบางอย่าง บล็อกไม่ให้เข้ามาอ่านหรือเม้นต์กระทู้การเมืองได้ครับ... emo21:):):
(แต่ยังอ่านกระทู้อื่นได้ตามปกติ) อันนี้เลยลองเปลี่ยนเครื่องใหม่เพื่อโพสข้อความครับ แต่ตอนนี้สนใจดูบอลโลกมากกว่าครับ อย่างน้อยก็เปลี่ยนอิริยาบทของเราได้บ้าง emo26:D หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กรกฎาคม 2553, 22:40:58
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กรกฎาคม 2553, 10:10:38 กษิตเยือนเยอรมนี ถกมอนเตเนโกร-เจอเสื้อแดงราวี
06 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:50 น. ระหว่างการพบปะคนไทย ณ สถานทูตไทยในเยอรมนี ในครั้งนี้ได้มีกลุ่มคนไทยในเยอรมนีที่เป็นคนเสื้อแดงราว 10 คน ได้มาถือป้ายประท้วง นายกษิต บริเวณหน้าสถานทูต โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์Posttoday online ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค. นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ มีภารกิจเดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ พร้อมกับใช้โอกาสนี้ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของไทยด้วย ทั้งนี้ นายกษิต ได้หารือกับ นายมิลาน โรเซน รมว.ต่างประเทศ มอนเตเนโกร ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน โดยนายกษิต แถลงว่า ได้มีการหารือหลายประเด็นตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบทวิภาคี รวมไปถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้หนังสือเดินทางมอนเตเนโกร ซึ่งในประเด็นนี้ต่างฝ่ายเห็นว่าไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ มอนเตเนโกรยังยินดีให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยผ่านทางตำรวจสากลในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ “ส่วนหนังสือเดินทางที่ออกให้อดีตฯ นายกฯ ก็เป็นเรื่องที่มอนเตเนโกรสามารถดำเนินการได้ แต่ย่อมอดคิดไม่ได้ว่ากระทบต่อเรา ซึ่งมอนเตเนโกรทราบดีว่าการที่ประเทศจะเข้าเป็นสมาชิกอียูได้ต้องมีศักดิ์ศรี มีความน่าเชื่อถือ แต่เขาก็ได้ยืนยันกฎเกณฑ์ของเขา รวมถึงได้อธิบายว่าอดีตนายกฯ ของไทยยังไม่ได้เข้าไปลงทุนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ” นายกษิต กล่าว อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา นายกษิต ได้พบกับกลุ่มคนไทยในเยอรมนี ประมาณ 50 คน ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน โดยนายกษิต กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่เลือกปฏิบัติ แต่มีสิทธิในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปกป้องความปลอดภัยและระบอบประชาธิปไตย ที่ผ่านมามีการสร้างลัทธิความเกลียดชัง มีคนไทยไม่กี่คนที่ต้องการฆ่าคนไทยอย่างเลือดเย็น แล้วโยนบาปให้คนอื่น ขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่จะขจัดปัญหาคอร์รัปชัน ทั้งนี้ ระหว่างการพบปะคนไทย ณ สถานทูตไทยในครั้งนี้ได้มีกลุ่มคนไทยในเยอรมนีที่เป็นคนเสื้อแดงราว 10 คน ได้มาถือป้ายประท้วง นายกษิต บริเวณหน้าสถานทูตด้วยการนำแผ่นผ้าเขียนข้อความโจมตีนายกษิต ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่ได้เป็นรัฐมนตรี และระหว่างการหารือกันในห้องประชุมได้มีกลุ่ม|คนเสื้อแดงอย่างน้อย 3 คนที่แสดงตัวได้ร่วมพบปะพูดคุยถึงปัญหาการใช้ชีวิตในเยอรมนีกับ นายกษิต ในห้องประชุมด้วย หญิงไทยเสื้อแดงรายหนึ่งถามนายกษิตว่า ที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเลว แต่ในสมัยรัฐบาลชุดนี้ประเทศมีแต่ถอยหลังลงคลอง ยาเสพติดเต็มไปหมด และยังมีสองมาตรฐานในการดำเนินคดี นายกษิต ตอบว่า รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนมากมาย เช่น เรียนฟรี 15 ปี ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำ มีการประกันราคาข้าว ช่วยเงินคนชรา 500 บาท และอาสาสมัคร 600 บาทต่อเดือน ปัญหายาเสพติดก็มีการแก้ไข แต่ใช้วิธีการแก้ไม่เหมือนรัฐบาลในอดีตที่ถูกโจมตีอย่างมาก ขณะที่หญิงเสื้อแดงอีกรายได้ย้อนนายกษิตอีกว่า ไม่มีทหารที่ไหนในโลกฆ่าประชาชน ซึ่งนายกษิตได้ตอบโต้ทันทีว่า ไม่จริง ที่ยูเครน จอร์เจีย และที่อื่นๆ ในโลกก็มีการบังคับใช้กฎหมาย อย่าเชื่อแต่ความคิดตัวเอง ในประเทศอียูก็มีทุกปี มีทั่วโลก โดยตอนนี้ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีนายคณิต ณ นคร เป็นประธา[/color]น หญิงรายนี้แย้งสวนขึ้นทันทีว่า คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเป็นคนของรัฐบาลทั้งสิ้น นายกษิต กล่าวว่า เป็นการคิดไปเอง ทั่วโลกกำลังจับตาการดำเนินการของรัฐบาล ฉะนั้นจะต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน ให้เกิดความโปร่งใส เพราะทั่วโลกกำลังจับตาอยู่ ไม่ใช่ดูจากตาคุณคนเดียว ระหว่างที่สถานการณ์การซักถามเป็นไปด้วยความตึงเครียดได้มีกลุ่มคนไทยที่เหลือลุกขึ้นกล่าวว่า “กษิตสู้ๆ” ทำให้ผู้เข้าร่วมตบมือกันลั่นห้อง ในตอนท้ายกลุ่มคนเสื้อแดงได้พยายามแทรกคำถามเพื่อโจมตีนายกษิตและรัฐบาลอีก ทำให้นายกษิตถึงกับตัดบทว่า “ขอเถอะ อย่ามาตอแยกับผมเลย” ในที่สุดเจ้าหน้าที่สถานทูตจึงขอให้ถามเป็นคำถามสุดท้ายและยุติการหารือเพื่อรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 กรกฎาคม 2553, 10:43:03 ซีเอ็นเอ็นไล่บรรณาธิการออกหลังชมผู้ก่อการร้าย
09 กรกฎาคม 2553 เวลา 07:05 น.posttoday ซีเอ็นเอ็นไล่ นาง ออคตาเวีย นัสเซฮร์ บรรณาธิการอาวุโสโต๊ะข่าวตะวันออกกลางออกจากงานหลังจากที่เธอได้เขียนข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่าเธอให้การเคารพอย่างสูงต่อ นายโมฮัมเหม็ด ฮุสเซ็น ฟัดลัลเลาะห์ ผู้นำมุสลิมชีอะชาวเลบานอนซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที 4 กรกฎาคม ตรงกับวันชาติสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่า นาย ฟัดลัลเลาะห์มีความสัมพันธ์กับกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ที่สหรัฐขึ้นบัญชีก่อการร้าย ในข้อความทวิตเตอร์ของ ออคตาเวีย เขียนไว้ว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ได้ข่าวถึงการสูญเสีย ซายอิด โมฮัมเหม็ด ฮุสเซ็น ฟัดลัลเลาะห์ เขาเป็นหนึ่งในผู้นำเฮซบอลเลาะห์ที่ฉันให้การเคารพอย่างยิ่ง” “ฟัดลัลเลาะห์ เป็นผู้กล้าเหนือพรมแดนที่ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย เป็นชีวิตที่ฉันไม่สามารถบรรยายได้ในทวิตสั้นๆ นั้น เป็นเรื่องราวที่ฉันเสียใจอย่างสุดซึ้ง” ออคตาเวียกล่าว ทั้งนี้ ในจดหมายเวียน ของ ปารา โคซาวี รองประธานอาวุโสของซีเอ็นเอ็น ได้ระบุว่า “ณ จุดนี้ เราต่างเชื่อว่า ความน่าเชื่อถือของเธอในฐานะบรรณาธิการอาวุโสกิจการตะวันออกกลางนั้นจะยังคงได้รับการยอมรับต่อไป ในฐานะที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน และเป็นมิตรสหาย เราจะคิดถึง ออคตาเวียทุกวัน” ในจดหมายเวียนของ โคซาวี ระบุด้วยว่า ออคตาเวีย ได้ยอมรับผิดอย่างเต็มที่ ซึ่งเธอบอกว่า เธอไม่ควรจะเขียนข้อความเช่นนั้นออกไปโดยที่ไม่มีบริบทแวดล้อมใดๆ” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กรกฎาคม 2553, 10:18:46 นที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:31:31 น. มติชนออนไลน์
ไอเอ็มเอฟเตือนชาติเอเชียรับมือ"วิกฤตหนี้ยุโรป" ระวังเงินทุนไหลเข้าอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะฟองสบู่ !! กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอ ฟเตือนผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจในเอเชียให้เตรียมรับมือวิกฤตที่อาจหนักหน่วง ขึ้นจากปัญหาการเงินโลก อาทิ วิกฤตหนี้ในยุโรป เอเอฟพีรายงานว่า โดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟกล่าวว่า "ผู้วางนโยบายต้องจับตามองผลกระทบด้านลบอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลพวงจากปัญหาหนี้ท่วมในยูโรโซนซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้า เอเชียจำนวนมากจนอาจเกิดภาวะฟองสบู่ได้" อย่างไรก็ตามสเตราส์-คาห์นมองว่า ไม่น่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำซ้ำสอง เพราะตอนนี้เศรษฐกิจโลกอยู่เป็นเส้นทางการฟื้นตัว และชี้ว่าเอเชียเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังประชาคมโลกหลุด พ้นจากหายนะทางเศรษฐกิจครั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าในปีนี้เอเชียจะเติบโต 7.5% เทียบกับอัตรา 4.6% ของทั้งโลก แต่เนื่องจากมีแนวโน้มว่าสถานการณ์ตกต่ำในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอาจกินเวลายาวนานกว่าที่คาดไว้ ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟจึงกระตุ้นในประเทศแถบตะวันออกเร่งเพิ่มการลงทุนและการ บริโภคในประเทศเพื่อทดแทนการพึ่งพาการส่งออก เขาย้ำว่า "ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในเอเชียควรเป็นไปเพื่อสนับสนุนตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแหล่งที่ สองให้เป็นไปอย่างยั่งยืน" ซึ่งรวมถึงเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็งที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายใน ประเทศ โครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพเพื่อสนับสนุนการลงทุนภาคครัวเรือน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กรกฎาคม 2553, 10:38:08 ตอบโจทย์!เช็คบิลพันธมิตรฯ "สมยศ"ทำเพื่อใคร?สนองใคร?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 12 กรกฎาคม 2553 22:56 น. ตอบโจทย์ พันธมิตรฯ กับ "พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง" สีกากีผู้มีอำนาจ วาสนาขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ โดยการก้าวจากเป็นนายตำรวจติดตามรับใช้"มนตรี พงษ์พานิช"สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดสอยห้อยตามจน "มนตรี พงษ์พานิช" จบชีวิตด้วยโรคร้าย ก่อน "มนตรี" จะเสียชีวิตลงได้ฝากฝัง "สมยศ" ให้ติดตาม "พี่ห้อย เนวิน ชิดชอบ" ตั้งแต่สมัยมียศเพียง "พ.ต.ต." จน "สมยศ" เติบใหญ่ไต่ระดับขึ้นเป็นนายพล จากแบ็กกราวนด์พอสังเขปกับการก้าวเดินในหน้าที่ทางราชการ ที่อยู่คู่กับนักการเมืองมาโดยตลอด "สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง" ตำรวจสีน้ำเงินผู้นี้ยังมีความสนิทสนมและได้รับความไว้วางใจจาก"พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ"ผบ.ตร. สมัยนั้น ให้ดูแลเช็คบิล เกี่ยวกับคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หากเปรียบเทียบการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งเริ่มเรียกร้องความชอบธรรม ให้ประเทศเข้าสู่เส้นทางการเมืองรูปแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งจุดแตกหักที่เกิดขึ้นกับพันธมิตรฯคือ การที่รัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" นายกรัฐมนตรีผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เยี่ยงกายเข้าไปนั่งบริหารงานภายในทำเนียบรัฐบาลเลย ได้สั่งการให้มีการสลายการชุมนุมพันธมิตรฯเมื่อ 7 ตุลา 2551 จนต้องเสียเลือด เนื้อ ชีวิต แขนขาขาด กันจำนวนมาก แถมแกนนำบางคนถูกยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ให้ทั้งๆที่เมื่อการสลายชุมนุมเบ็ดเสร็จ ส่งผลให้รัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผงาดนั่งบริหารประเทศจวบจนถึงวันนี้ ควบคู่ไปกับ "เนวิน ชิดชอบ" ผู้ซึ่งถูกสั่งเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ยังคงมีบทบาทและเป็นฟันเฟืองตัวสำคัญในการขับเคลื่อน และเป็นเงาคอยสั่งงานภายใต้รัฐบาลชุดนี้ เมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่ประชาชนทั้งประเทศไม่อาจลืมเลือนไปได้กับการที่แกนนำ นปช.นำผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ออกมาเคลื่อนไหว ยึดหัวหาดแหล่งธุรกิจหัวใจหลักของประเทศมีการซ่องสุ่มอาวุธ ยุทรโธปกรณ์ดั่งยกสนามรบมาไว้ใจกลางเมืองหลวง จนเกิดวินาศกรรมก่อจราจลเผาบ้านเผาเมือง นำไปสู่การจับกุมแกนนำ นปช.ได้บางส่วนในข้อหาหนักผู้ก่อการร้าย กับเหตุที่ประชาชนมือเปล่า ถือมือตบขึ้นเวทีปราศรัยเรียกร้องประชาธิปไตยของ พันธมิตรฯ แล้ว มันห่างไกลกันเหลือเกินกับข้อหาก่อการร้าย และข้อหาซ่องโจร ไม่แตกต่าง และไม่ผิดแปลกไปมากกว่านี้แล้ว หากจะฟันธงให้มองทะลุเกมหักขา แผนเจาะสกัดเส้นเลือดใหญ่หวังผลให้พรรคการเมืองใหม่ ซึ่งทุกคนทราบเป็นนัยอยู่แล้วว่าเป็นของพันธมิตรฯ จะต้องลงเป็นคู่แข่งหน้าใหม่ที่จะแย่งชิงคะแนนจากสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป ดังนั้นไม่น่าตกใจ แต่กลับมองว่าเป็นเหตุพิลึกที่ "สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง" ผู้ใต้บังคับบัญชาของ "เนวิน ชิดชอบ" แบบพฤตินัย จะออกมาสร้างกระแสกดดันออกหมายเรียกพันธมิตรฯในช่วงนี้ ภาพตำรวจสีน้ำเงินฉายความเป็นตัวตนชัดเจน หากย้อนลำดับเหตุการณ์ที่จงใจ หรือ บังเอิญ เกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฯในช่วงนี้ เริ่มกันตั้งแต่ 10 ก.ย. 51 ก่อนเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่วัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้นได้ลงนามคำสั่งเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมหน้าสนามบินดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากเดิม พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร.มาเป็น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้ามารับผิดชอบคดีแทน สำหรับการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เป็นการดำเนินการวันเดียวกับ ที่ พล.ต.อ.พัชรวาท มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. แถลงโต้ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. 17 ก.ย. 51 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เดินหน้าทำภารกิจตามที่นายมอบหมาย โดยเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนของ บช.น. บช.ภ.1 และ บช.ก.ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกจากที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สมยศ รับหน้าที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนแทน พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผช.ผบ.ตร.การประชุมครั้งนั้น"สมยศ" อ้างว่า เพื่อตรวจสอบสำนวนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมีการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหา โดยเขาพูดว่า ตามปกติแล้วข้อกล่าวหาซึ่งอัตราโทษในการกระทำความผิดในลักษณะนี้ ก็สามารถขออนุมัติศาลเพื่อขอหมายจับได้เลย ซึ่งขณะนี้สำนวนคดีได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆไปแล้วกว่า 80-90% 25 ก.ย. 51 พนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง และ สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ ได้นำแฟ้มสำนวนคดีพันธมิตรฯจำนวน 42 แฟ้มมามอบให้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โดย "สมยศ"พูดภายหลังรับสำนวนว่า จะมีการพิจารณาออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรฯ ครั้งที่ 2 ให้มารับทราบข้อกล่าวหาเป็น 2 ส่วนไม่รวมกันทีเดียวเหมือนครั้งที่ผ่านมา และพิจารณาทยอยเรียกคราวละ 3-5 คน ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนของ สน.ดอนเมือง และสภ.ราชาเทวะ ซึ่งความเห็นตรงนี้ถือเป็นความเห็นเดิมของคณะทำงานที่มี พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มออกหมายเรียกในต้นเดือนตุลาคม 2551 8 ก.ค.52 ที่กองปราบปราม พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรฯหลังจากเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 52 พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ได้ลงนามมีความเห็นสั่งการให้พนักงานสอบสวน ดำเนินการกับผู้ต้องหาทั้งหมดไปตามขั้นตอนของกฎหมาย สำหรับคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 52 คณะพนักงานสอบสวนได้เปิดเกมรุก โดยนำความเห็นและนำสำนวนการสอบสวนที่มีจำนวนเอกสารมากกว่า 10 กล่องใหญ่ เดินทางไปยังที่ศาลอาญา ถ.รัชดาฯเพื่อหมายมั่นไปขออนุมัติศาล ออกหมายจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด โดยจำนวนผู้ต้องหาที่พนักงานสอบสวน จะขออนุมัติออกหมายจับกุมร่วมกันทั้ง 2 คดี นั้นมีด้วยกันทั้งหมด 113 คน แต่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนที่เดินทางไปรอที่ศาล กลับต้องรออยู่จนกระทั่งหมดเวลาการทำการของศาล ทำให้ต้องเดินทางกลับ โดยมีรายงานว่า เหตุที่ทำให้ต้องรอ เนื่องจากว่าไม่มีคำสั่งจากทางผู้บังคัญชาระดับสูง ให้เสนอหมายจับ ตามที่"พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง"ต้องการ 2 ก.พ. 53 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประชุมพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว ที่กองปราบปราม โดยที่ประชุมได้นำผลการตรวจหลักฐาน ซึ่งมีทั้งภาพจากแผ่นซีดี, ภาพถ่าย และข้อมูลหลักฐานจากสื่อมวลชน บันทึกการสอบปากคำพยาน บันทึกของพนักงานสอบสวน พยานเอกสาร พยานวัตถุ มาร่วมตรวจสอบกับข้อกฏหมายต่างๆ เพื่อดูความสมบูรณ์ของสำนวนทั้งหมด 11 ก.ค.53 ภายหลังจาก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ได้ลงนามมีความเห็นสั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรฯดำเนินการกับผู้ต้องหาตามขั้นตอน และเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ประชุมคณะพนักงานสอบสวน พร้อมได้มีคำสั่งออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม รวม 79 คน โดยพนักงานสอบสวนได้แบ่งผู้ถูกกล่าวหาออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก คือ ผู้ถูกกล่าวหาที่พนักงานสอบสวนชุดเดิมได้ออกหมายเรียกเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว แต่ยังไม่มารับทราบข้อกล่าวหา กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีโทษเกิน 3 ปี โดยมีลำดับการเข้ารายงานตัว ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. - 6 ก.ย.เริ่มช่วงเช้าเวลา 09.30 น. ช่วงบ่ายเริ่มเวลา 13.00 น. วันนี้แม้"พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง"จะออกมายืนยันว่า การออกหมายเรียก 79 พันธมิตรฯเป็นการทำหน้าที่ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ที่ลงนามสั่งการ และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองก็ตามที แต่จากพฤติการณ์ข้างต้นที่กล่าวมา ถือว่ามีคำตอบอยู่ในตัวของมันเองแล้วว่า"สมยศ พุมพันธุ์ม่วง"ทำเพื่อใคร? สนองใคร? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 กรกฎาคม 2553, 10:55:19 ผลงานชิ้นโบว์แดงของตำรวจไทย.ใจท่านเหี้ยมหาญ (แค่ขึ้นไปร้องเพลง ก็เป็นผู้ก่อการร้าย..ผลงานท่าเยี่ยมจริงๆๆ)
จอย” ร้องไห้ถูกยัดเยียดข้อหาชุมนุม แฟนโวยป้องสถาบันแต่ถูกผู้ใหญ่ที่ศรัทธารังแก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2553 00:04 น. “แม็ค” แฟน “จอย ศิริลักษณ์” เผยนางเอกสาวร้องไห้ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาชุมนุมที่สนามบิน พ้อเอาชื่อเสียงหน้าที่การงานปกป้องสถาบัน แถมยังเป็นหนี้หัวโต แต่กลับถูกผู้ใหญ่ที่เคยศรัทธารังแก บอกอีกฝ่ายสบายใจได้แฟนสาวไม่คิดเล่นการเมือง แม้จะถูกหลายที่ทาบก็ตาม เกี่ยวกับกรณีที่นางเอกสาว “จอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค” ได้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีพันธมิตรฯ แล้วถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ในข้อหาชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง รวมทั้งข้อหาการก่อการร้าย และข้อหาซ่องโจรนั้น ต่อมานางเอกสาวได้เขียนข้อความตอบแฟนๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจผ่านทวิตเตอร์เป็นจำนวนมากว่า พร้อมจะสู้เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ผิด โดยจะให้ “แม็ค วินัย วัฒนราษฎร์” แฟนหนุ่มดูแลเรื่องกฎหมาย หากมีใครหมิ่นประมาทเธอในเรื่องดังกล่าวผ่านหนังสือพิมพ์หรืออินเทอร์เน็ต ด้านฝ่ายชายเองก็ให้ความช่วยเหลือแฟนสาวเต็มที่ โดยขอร้องแฟนๆ ผ่านทวิตเตอร์เช่นกันว่า หากใครพบเห็นข้อความกล่าวหา “จอย” ทั้งจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซท์ รวมทั้งคอมเม้นท์ในเว็บ ขอให้ส่งมาให้ตนดู นอกจากนั้น “แม็ค” ยังได้เขียนระบายอารมณ์แทนแฟนสาวว่า มีคนเสนอเงินและทาบทามให้ “จอย” เล่นการเมืองมากมาย แต่แฟนสาวปฏิเสธ อีกทั้งยังพูดถึงผู้ใหญ่ที่เคยศรัทธามาทำร้าย “จอย” กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้หายไปหมด “จอยจะไม่เลือกข้าง หรือทำอะไรด้วยอารมณ์และความโกรธ ผมขอให้คนที่ผมเคยศรัทธา จงวางใจได้ แต่ความรู้สึกดีๆ มันคงไม่เหลืออีกแล้ว เข้าปีที่ 7 แล้วที่เราคบกัน มีเรื่องมากมายที่ผมเห็นมาตลอด มีคนเสนอเงินให้ ทาบทาม แต่เธอปฏิเสธทุกครั้ง ไม่ได้มีแต่คุณหรอกไม่ต้องทำร้ายกันขนาดนี้ก็ได้ เธอไม่เล่นหรอกการเมือง เธอไม่ไปแข่งกับพวกคุณหรอก ตราบใดที่มันยังสกปรกโสมมอยู่” “เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ เธอทิ้งมันมาตลอด คุณอยากรู้มั้ยนางเอกคนนึงในวงการบ้านเรา มีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ตั้งแต่เธอออกไปปกป้องสถาบัน แล้วคุณรู้มั้ยเธอมีหนี้อยู่เท่าไหร่ หนี้เพราะเชื่อคนที่เธอไว้ใจไง คนที่เธอเคารพ ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ แต่เธอก็ยังสู้ และไม่เคยขายตัว และจิตวิญญาณของตัวเองให้กับใคร ยังศรัทธาและเชื่อในความดีที่ทำ เธอไม่เคยทำให้ตัวเองน่าสงสาร หรือเศร้าเสียใจให้ใครเห็น ทั้งๆที่ในใจเธอ คงท้อและเหนื่อยมากๆ” “ผมอยากขอ ในฐานะปชช.คนนึง ขอให้พวกคุณเล่นการเมืองแบบใสสะอาดซะที อย่าเอาความบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนนึง ไปเป็นเหยื่อ ปชช.สู้เพื่อพวกคุณมามากแล้ว แลกมาด้วยชีวิตและน้ำตา ไม่ต้องเอาเงินมาให้พวกเรา ไม่ต้องมาชมเรา ขอแค่คุณทำในสิ่งที่ถูกต้องแค่นั้นเอง คุณอายเหรอ ที่จะบอกว่าเคยคุยกับเรา รู้จักเรา หรือเคยมีอุดมการณ์เดียวกับเรา เคยร่วมกันออกมาปกป้องสถาบันกับเรา อะไรที่ทำให้อุดมการณ์ของคุณเปลี่ยนไป ถึงกับทำร้ายเพื่อนได้ เพราะอำนาจเหรอ หรือเพราะคุณกลัวอะไร” “ผมจะเช็ดน้ำตาให้เธอ และจะพาเธอ ออกไปสู้โลกแห่งความเป็นจริง จะเดินอยู่ข้างๆเธอ ไม่ว่าเธอจะถูกยัดเยียดให้เป็นอะไร ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้จอยครับ ข่าวนี้ผมว่าจอยก็แย่แล้ว ขอบคุณครับที่นายกมาตอกย้ำอีก ด่าสักคำไม่เคยออกจากปากจอย ละเอียดแล้วหรอ หมดคำพูดแล้วครับ... จุกอก” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 15 กรกฎาคม 2553, 00:24:26
จะเอากลุ่มผู้ก่อการของอาหรับ อย่างพวก บินลาเดน ไปเทียบไอ้เหลี่ยมนั่น คงไม่สมควรเท่าไหร่ ลุงบินลาเดน เค้าร้ายกับเครือข่ายของอเมริกาก็จริง...แต่เค้าไม่เคยเผาบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แบบที่ไอ่เหลี่ยมมันทำ ครับ ฮิตเลอร์ก็เช่นกัน เขาโหดเหี้ยมกับชาวยิว รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็เพื่ออำนาจของชาวประเทศเค้าเอง เวลาแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ยังมีศักดิ์ศรีพอที่จะยอมตาย โดยไม่เรียกร้องความเห็นใจจากศัตรู ..ต่างกับไอ้หน้าตัวเมีย อย่างไอ่เหลี่ยมและสามเกลอ... *ที่ตอนแรกเสือกหาญกล้าว่าจะประกาศสงคราม! แต่พอตัวเองแพ้ เสือกมาอ้างสิทธิมนุษยชน? ขอความเห็นใจจากฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ทั้งที่พวกตัวไปท้าชนเขาก่อน... หน้าด้านหน้าทน ชนิดว่าฮิตเลอร์ หรือสตาลิน หรือพลพตแห่งเขมรแดง ยังไม่หน้ามึนพอที่จะทำแบบนี้เลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 กรกฎาคม 2553, 11:24:37
ใช่แล้ว ตอนอยู่บนเวที บอกว่าขอตายบนถนน ไม่ทันไร ขอใช้สิทธิ สส.คุ้มครอง ไอ้คางคกตาขาว ขี้ขลาดจริงๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 กรกฎาคม 2553, 11:30:00 แผนเบื้องลึก ขุมทรัพย์เขาพระวิหาร
manerger online 15 กค. 2010 เป็นเรื่องที่คารังคาซังมานาน สำหรับปัญหาบริเวณเขาพระวิหาร และการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย 1 ในเรื่อง ซึ่งเป็นที่มาเหตุความขัดแย้งคือ “ผลประโยชน์” เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งกลุ่มนักการเมือง และนักธุรกิจกลุ่มนายทุนได้วางแผนฮุบพื้นที่ขุมทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องจากบริเวณนี้กันอย่างมีขั้นตอน โดยพื้นที่ซึ่งกลุ่มผู้มีประโยน์เหล่านี้ร่วมมือกับเขมรหวังยึดพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ ใน 7 จังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไล่ตั้งแต่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้วจันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นผลจากการใช้แผนที่ตามแบบฝรั่งเศสวัดจากมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่รัฐบาลยุคทักษิณฉวยโอกาสต่อยอดตอนที่รัฐบาลชุดชวน หลีกภัย ไปลงนามไว้ ที่สำคัญ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเสียดินแดนเท่านั้น เพราะหากมองในแง่มุมเศรษฐกิจ นั่นหมายถึงมูลค่าทางการค้าชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าการเกษตรที่มีมูลค่ามากมาย โดยปี 2552 มูลค่าการค้าระหว่างไทย - กัมพูชามีถึ 56,578.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่งออก 53,918.4 นำเข้า 2,660 ล้านบาท และ 5 อันดับแรกที่มีการส่งออกสูงสุดคือ สระแก้ว ตราด จันทบุรี สุรินทร์ และตราด การค้าตลอดแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี เพราะมีหลายจุดจะมีแผนการพัฒนา เช่น บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชาช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีการค้าขายและประชาชนไปมาหาสู่กันจำนวนมาก แต่ยังขาดความสะดวก ศุลกากร, ตรวจคนเข้าเมือง ต่างมีความเห็นตรงกันว่าจะทำให้บริเวณนี้มีความสะดวกมากขึ้น และมีการจัดระเบียบกันใหม่ทั้งหมด ไม่เพียงการเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ จากกรณีพิพาทครั้งนี้ หมายถึง การยึดพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว แนวปราสาท โบราณสถานต่างๆ โดยสร้างแนวการท่องเที่ยวจากเขาพระวิหารเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงไปยังชายแดนหลายจังหวัดดังกล่าว นอกจากนั้นยังกินพื้นที่ป่าสงวนอุทยานแห่งชาติ พื้นที่อุทยานเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งมีแหล่งแก๊สธรรมชาติระหว่างไทยกับเขมรอยู่ 2 จุด ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ ที่หมายปองมาครอบครองของนักธุรกิจ-นักการเมือง ผลประโยชน์มหาศาลที่ได้หากยึดพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ ดูจากความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซนกับทักษิณ ซึ่งรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในยุทธศาสตร์ของโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ได้มีการสำรวจพลังงานทั่ว ซึ่งในทะเลของประเทศไทยมีอยู่ 2 จุด คือจุดที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับเขมรในอ่าวไทย และอีกจุดหนึ่งก็คือ แอ่งปัตตานี จากผลประโยชน์ทางพลังงานนี่เอง ทำให้ปฎิบัติการยึดพื้นที่ของเขมรเริ่มขึ้นเมื่อฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการเจรจากับฝรั่ง โดยมีทักษิณร่วมมือกับโมฮัมหมัด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์ร็อดส์ ซึ่งทักษิณเคยพาไปดูพื้นที่ในทะเล เพราะโมฮัมหมัด อัล ฟาเยด อยากจะมาลงทุนที่นั่น ขณะที่ข้อมูลบางส่วนจากข้อเขียน ในนิตยสาร ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ เรื่อง “ 25 กรกฎาคม 53 วันฉลองเส้นเขตแดนกัมพูชากับการสูญเสียดินแดนไทย!!” ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ทำให้รัฐบาลไทยส่งสัญญาณยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ประการหนึ่ง่ทหาร ข้าราชการ และนักการเมืองบางส่วนก็ได้รับประโยชน์ทำมาหากินกับฝ่ายกัมพูชาทั้งการค้าสินค้าหนีภาษี สินค้าลักขโมย บ่อนการพนัน การรับเหมาก่อสร้างถนน และการขายสิ่งปลูกสร้างให้กับชาวกัมพูชาเป็นอีกประการหนึ่ง ผลประโยชน์ทางด้านพลังงานแสดงให้เห็นจากปรากฏการณ์ วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ จะมียักษ์ใหญ่เชฟรอนของอเมริกา ทั้งซีนูกของจีน และโทเทลสัญชาติฝรั่งเศส 3 มหาอำนาจทางด้านพลังงาน ซึ่งมีตัวแทนอยู่ในคณะกรรมการ 7 ชาติที่จะเข้าไปเสนอแผนบริหารจัดการกับพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารหากกัมพูชาได้รับอนุมัติเป็นมรดกโลกครั้งนี้ด้วย เพราะผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยนั้นยั่วยวนให้มหาอำนาจพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ในอ่าวไทยมากที่สุด เกมการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่รอบในฐานะเป็นมรดกโลกจึงเกิดขึ้นเป็นฉากแรก ขณะที่มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก เขาพระวิหารดอทเน็ต ที่กล่าวในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของ ทักษิณ ชินวัตร กับฮุน เซน ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี2551 พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าทักษิณจะลงทุนธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะการเช่าเกาะกง อย่างไรก็ตามข้อมูลซึ่งโยงใยจากความสัมพันธ์ของ ทักษิณ กับบริษัทที่ทำธุรกิจพลังงาน เพิร์ล ออยล์ ที่มีกลุ่มทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ และ แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่(ประเทศไทย)ที่ทักษิณพยายามชักชวนเข้าไปลงทุนในกัมพูชา รวมทั้งนำบริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือPTTEPI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งทักษิณและเครือข่าย มีหุ้นได้ไปร่วมทุนกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในกัมพูชา ขอรับสัมปทานจากกัมพูชาในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ ในบล็อก B หรือที่ PTTEPI ตั้งรหัสโครงการว่า โครงการ G9/43 และปรากฏด้วยว่า PTTEPI มีความสัมพันธ์ในการลงทุนกับเพิร์ล ออยล์ ในที่สุด ข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลในเชิงประชาสัมพันธ์ของ Te Duong Tara ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority เมื่อต้นปี พ.ศ. 2549 และมีข้อมูลประกอบที่น่าสนใจอีกด้วยว่า Te Duong Tara ผู้อำนวยการ องค์กรที่คล้ายปตท. ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ตั้งขึ้นมาคนนี้ เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม และตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ก็ถูกชาวบ้านและนักลงทุนต่างชาติตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มมากกว่าประเทศชาติ *************** หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 กรกฎาคม 2553, 22:59:17 [color=#ff2700]รวบมือขวา “เสธ.แดง” ชุดดำยิงถล่มแฟลตลุมพินี แฉ เสธ.แดงสั่งการ!
[/color] โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 15 กรกฎาคม 2553 13:31 น.manager online ตร.191 ตามรวบตัว “หรั่ง เทวรัตน์” อดีตมือขวา “เสธ.แดง” ถึงห้องพักในโรงแรมตัวเมืองลพบุรี หลังหนีเตลิดถึงกัมพูชา จนทนลำบากไม่ไหวต้องหนีมากบดานในโรงแรมดังกล่าว ก่อนจะถูกจับตัวได้ เจ้าตัวสารภาพติดตามเสธ.แดงมาหลายปี ทั้งยังเป็นครูฝึกนักรบพระเจ้าตาก รับเป็นหนึ่งในทีมเสื้อดำยิงเอ็ม 79 ถล่มแฟลต สน.ลุมพินี และยิง ตร.2 นายดับคาด่านศาลาแดง แฉเหตุการณ์ทั้งหมด “เสธ.แดง” เป็นผู้สั่งการ เผยเป็นผู้ต้องหาอันดับที่ 1 ที่ทางดีเอสไอต้องการตัวมากที่สุด วันนี้ (15 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ต.ธนพล สนเทศ ผบก.สปพ. พ.ต.อ.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบก.สปพ. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1053/2553 ลงวันที่ 19 พ.ค.53 ข้อหาก่อการร้ายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และเป็นอดีตมือขวาของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ภายในโรงแรมฟอร์ยู ห้องหมายเลข 17 ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี หลังจากสืบทราบว่าผู้ต้องหาได้เดินทางเข้ามากบดานที่โรงแรมดังกล่าว จากนั้นได้ควบคุมตัวมาสอบสวนที่ บก.สปพ.ท่ามกลางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายที่คุ้มกันดูแลความปลอดภัย โดยมี พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดื รอง ผบช.น.ร่วมทำการสอบปากคำด้วย พล.ต.ต.ธนพลเปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากผู้ต้องหาได้ถูกออกหมายจับด้วยกัน 3 คดี ประกอบด้วย หมายจับข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หมายจับข้อหาก่อการร้าย และหมายจับข้อหาทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนหาเบาะแสของคนร้าย เพื่อจับกุมตัวมาดำเนินคดี โดยสืบทราบว่าหลังจากก่อเหตุผู้ต้องหาได้หลบหนีไปกบดานที่ประเทศกัมพูชา แต่หลังจากที่เสธ.แดงเสียชีวิต ผู้ต้องหาได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย เพราะทนความลำบากไม่ไหว จากนั้นได้หลบหนีไปยังที่ต่างๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก จนกระทั่งมีการสืบทราบว่าผู้ต้องหาได้เข้ามาพักภายในโรงแรมดังกล่าว จึงนำกำลังเข้าจับกุม ด้าน พ.ต.อ.ภาณุรัตน์กล่าวว่า จากการสอบสวนคาดว่าผู้ต้องหาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงต่างๆ ในหลายพื้นที่ที่เกิดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ เพราะมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ และได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี โดยหลังจากนี้หากสอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จากการสอบสวน นายสุรชัยให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นผู้ติดตามเสธ.แดงมานานหลายปี พร้อมทั้งเป็นครูฝึกกลุ่มนักรบพระเจ้าตากให้เสธ.แดง มา 3 ปี แล้ว และเป็นหนึ่งในทีมงานคนเสื้อดำก่อเหตุยิงเอ็ม 79 เข้าไปในแฟลตเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา และยังเป็นคนที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงใส่ตำรวจที่ตั้งด่านรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณแยกศาลาแดงจนเสียชีวิต 2 นาย เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เสธ.แดง เป็นผู้สั่งการ แต่ไม่ขอเปิดเผยว่ามีผู้ร่วมขบวนการกี่คน นอกจากนี้ เสธ.แดงยังเคยพาตนและกลุ่มคนเสื้อดำทั้งหมดไปฝึกการใช้อาวุธและยุทธวิธีการ รบ รวมทั้งการสลับเปลี่ยนซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ประเทศไต้หวันด้วย มีรายงานข่าวว่า นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 25 ปี เป็นผู้ต้องหาอันดับ 1 ที่ทางดีเอสไอต้องการตัวมากที่สุด โดยนายสุรชัยได้เดินทางกลับจากประเทศกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา และรวมตัวกับกลุ่มลูกน้องของเสธ.แดง จากนั้นได้มีการติดต่อกับภรรยาว่าพักอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ ในจังหวัดลพบุรี และจะโอนเงินมาให้หลังจากที่เสร็จงานใหญ่ เจ้าหน้าที่จึงวางแผนนำกำลังเข้าจับกุมตัวได้ในที่สุด สำหรับงานใหญ่ที่ผู้ต้องหารับมานั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารนายอำนาจ ศิริชัย อายุ 58 ปี นายก อบจ.จังหวัดนครสวรรค์ เนื่องจากวันเกิดเหตุจุดที่นายสุรชัยอยู่ห่างจากจุดที่นายก อบจ.นครสวรรค์ ถูกยิงเพียง 30 กิโลเมตร นอกจากนี้ ผู้ต้องหากำลังจะรับงานใหญ่ให้ลอบสังหารบุคคลสำคัญของประเทศ โดยได้รับการช่วยเหลือจากนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดลพบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนขยายผลต่อไป ต่อมา เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ดีเอสไอ พล.ต.ต.ธนพล สนเทศ ผบก.สายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (ตปพ.) พร้อมชุดอรินทราช 26 ควบคุมนำตัวนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย มาส่งให้ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ท่ามกลางการอารักขาความปลอดภัยของเข้มงวด จากนั้นพนักงานสอบสวนคดีก่อการดีเอสไอได้นำตัวเข้าห้องสอบสวนทันที ทั้งนี้ พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า นายสุรชัย หรือหรั่ง เป็นผู้ต้องหาตามคดีพิเศษที่ 18 /2553 เป็นคดีหลักเกี่ยวกับการก่อการร้าย น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในหลายพื้นที่ จากการสืบสวนสอบสวนหลังจากนี้จะทำให้เห็นภาพร่วมของการก่อการร้ายชัดเจนขึ้น เบื้องต้นในวันที่ 16 ก.ค. ดีเอสไอจะควบคุมตัวไปฝากขังต่อศาลอาญา พร้อมคัดค้านการประกัน เพื่อส่งตัวผู้ต้องหาไปควบคุมในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 กรกฎาคม 2553, 20:49:14 ป.ป.ช.ตบหน้าไข่แม้ว ยกร้องกราวรูด “กษิต-ประดิษฐ์-ปู่จิ้น-บุญจง” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กรกฎาคม 2553 18:39 น. ป.ป.ช.ยกคำร้อง “ชวรัตน์-บุญจง” โยกย้าย “พีรพล” เข้ากรุ ยันทำตามมติ ครม.และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พร้อมเก็บใส่ลิ้นชักคำร้อง “ประดิษฐ์” ซุกเงินเงินบริจาคพรรคการเมือง ตบหน้าไข่แม้ว ทะลึ่ง ยื่น “กษิต” ขึ้นเวทีปราศรัยชี้แจงข้อเท็จจริงบนเวทีพันธมิตรฯ เหตุเกิดก่อนเป็น รมต. วันนี้ (16 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.กล่าวคำร้องขอให้ถอน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รับมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกจากตำแหน่งกรณีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากข้อกล่าวหาว่า นายชวรัตน์ และ นายบุญจง เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งโยกย้าย นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำและเห็นชอบให้แต่งตั้ง นายวิชัย ศรีขวัญ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ว่า เป็นการกระทำโดยมิชอบตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวน ครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 ม.ค.52 อนุมัติ นายพีรพล ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามความในมาตรา 11(4) ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการบริหารแผ่นดิน พ.ศ.2534 และเป็นไปตามระเบียบข้าราชการพลเรือน จึงถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายข้าราชการพลเรือนครบถ้วนถูกต้อง นายกล้านรงค์ กล่าวต่อว่า และการแต่งตั้ง นายวิชัย ให้มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ตามข้อเสนอกระทรวง ที่ครม.มีติเมื่อวันที่ 3 มี.ค.เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 57 ดังนั้น การกระทำของนายชวรัตน์จึงไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการ พ.ศ.2551 แต่อย่างใด ส่วนข้อกล่าวหาว่า นายชวรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจ ให้เจ้าหน้าที่ของพรรค นำใบสมัครสมาชิกพรรคไปแจกจ่ายประชาชนเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคขณะที่เดินทางไปปฏิบัติราชการที่จ.อุดรธานี ในตำแหน่งรับมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 20 ก.พ.52 และได้มีการจัดซุ้มของแต่ละส่วนราชการ โดยมีนายอุทัย แสนแก้ว ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทยได้จัดสถานที่ให้ประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยพลการของนายอุทัย และเมื่อทราบข้อได้สั่งระงับการกระดังกล่าวและทำลายใบสมัครทันที ซึ่งรวมถึง จึงไม่ถือว่านายชวรัตน์แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งรับมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงข้อกล่าวหานายชวรัตน์ และ นายบุญจง สั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นโอนเงินที่เหลือจ่ายจากเงินอุดหนุนทั่วไปตามแผนงานโครงการที่ไม่มีข้อผูกผัน ให้เอามาจ่ายที่กรมการปกครองท้องถิ่น จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ปรากฏว่า กรมสงเสริมการปกครองท้องถิ่นจะแจ้งให้องค์กรปกครองท้องถิ่นทราบ เพื่อทำการเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินอุดหนุน ซึ่งขณะนั้นขั้นตอนจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองเป็นผู้พิจารณา ไม่มีรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง เมื่อคณะกรรมการกลั่นกรองอนุมัติเงินอุดหนุนโครงการที่เสนอ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะโอนเงินไปให้เพื่อดำเนินการ ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นงบประมาณที่เหลือจ่ายอยู่ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และคณะกรรมการสามารถอนุมัติวงเงินเท่าที่ใช้จ่ายจริง ซึ่งการไต่สวนไม่ปรากฏว่า นายชวรัตน์ และ นายบุญจง ได้ไปสั่งการแต่อย่างใด นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงกรณีการกล่าวหา นายบุญจง ร่วมกับคณะทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นประธาน สั่งชะลอการส่งรายละเอียดโครงการขออนุมัติงบประมาณการก่อสร้างอาคารเรียน จำนวน 1,517 ล้านบาท กับโครงการก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1,237 ล้านบาท เรื่องนี้ข้อเท็จจริง ปรากฏว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ปรับรายละเอียดโครงการและพื้นที่เป้าหมายภายในวงเงิน ที่ได้อนุมัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ เพื่อรับงบประมาณจากสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสำนักงบประมาณ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า นายบุญจงและนายศักดิสยาม ไม่ได้สั่งให้ชะลอการส่งรายละเอียดโครงการทั้ง 2 โครงการแต่อย่างใด นายกล้านรงค์ กล่าวถึงข้อกล่าวหาแทรกแซงการจัดสรรงบประมาณ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรปกครองท้องถิ่นซึ่งมีกว่า 3,000 โครงการ โดยให้ไปขอความเห็นชอบจาก นายศักดิ์สยาม และ นายบุญจง ก่อนทั้งที่โครงการเหล่านั้น พร้อมเสนอให้คณะกรรมกลั่นกรอง ซึ่งข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ปรากฏว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก้องค์กรปกครองท้องถิ่นการดำเนินการ เกี่ยวกับเงินอุดหนุนดังกล่าวไม่มีรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงไม่ปรากฏว่า นายชวรัตน์ และ นายบุญจง ได้เข้าแทรกแซงการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรท้องถิ่นในส่วนของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่กล่าวหา นายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงยกคำร้อง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกจากตำแหน่งกรณีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ว่า จากข้อกล่าวหาว่า นายประดิษฐ์ ปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยการรับเงินบริจาคสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้รับบริจาคจากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า นายประดิษฐ์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.51 และการกล่าวหาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อ 2547 และ 2548 ที่ยังเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง นายประดิษฐ์ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงใด และไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะกรรม ป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป นอกจากนี้ นายกล้านรงค์ ยังกล่าวว่าที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติยกคำร้องขอให้ถอน นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกจากตำแหน่งกรณีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากข้อกล่าวหาที่ นายกษิต ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งข้อเท็จจริง ปรากฏว่า นายกษิต ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.51 และการกล่าวหาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 25 พ.ย.- 3 ธ.ค.51 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว นายกษิต มิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใด จึงไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้นจึงไม่ถูกถอดถอดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ได้ นายกล้านรงค์ กล่าวถึงกรณี นายกษิต ถูกกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านสร้างถนนรุกล้ำเข้ามาในดินแดนประเทศไทย จากข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ประเทศกัมพูชาได้สร้างถนนขึ้นสู่ทางขึ้นปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ.2546 ซึ่งกระทรวงต่างประเทศของไทยได้ประท้วงรัฐบาลกัมพูชาเรื่อยมา และเมื่อ นายกษิต เข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ได้อนุมัติให้ประท้วงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 มี.ค.เพื่อรักษาสิทธิของไทย จึงไม่ถือว่านายกษิตไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาว่าข้อกล่าวาไม่มีมูล จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 กรกฎาคม 2553, 21:53:11 พท.เผชิญคลื่นใต้น้ำ สลัดแอก-ชิงการนำ
16 กรกฎาคม 2553 เวลา 08:52 น. เมื่อโอกาสกำลังมาถึงจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดย...ทีมข่าวการเมือง บิ๊กเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคของอภิสิทธิ์จะถูกยุบแน่ไม่เกินปีนี้ และจะเกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง “อำนาจรัฐ” อาจพลิกขั้วกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ความวุ่นวายในพรรคเพื่อไทยจึงระเบิดขึ้น ไม่ใช่แค่ “แนวโน้มโอกาส” ที่อาจมีการเปลี่ยนขั้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมจัดทัพ ปรับองค์กรเตรียมรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในภายในปีครึ่งนี้ ลูกพรรคเพื่อไทยจึงออกโรงกดดันคณะผู้บริหารให้มีการปรับโครงสร้างพรรคครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเก้าอี้หัวหน้าพรรคที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีความชัดเจน ไม่ใช่ให้ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” สวมบท “หน้าม้านอมินี” เป็นหัวหน้าพรรคจนถึงใกล้เลือกตั้ง เหตุผลที่ต้องการให้มี “หัวหน้าพรรค” ก็เพื่อให้มี “ผู้นำตัวจริง” นำทัพลงพื้นที่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อที่ประชาชนจะได้รู้ว่าใครจะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ในขั้วเสื้อแดง และให้เห็นว่าในฐานะเป็นพรรคอันดับหนึ่งมีความพร้อมที่จะบริหารประเทศ แต่ลึกๆ คือความเคลื่อนไหวของ สส.แต่ละมุ้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่ามือวางเก้าอี้นายกฯ ขณะนี้ไม่ว่า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ใครจะได้เป็นตัวจริง พรรคเพื่อไทยตั้งแท่นรอเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง วันนี้ความฝันกำลังเดินทางมาถึง นานสุดไม่เกินปีครึ่งจากนี้ที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหญ่ เนื่องจากสภาจะครบวาระ 4 ปี ปลายเดือน ธ.ค. ทุกความเคลื่อนไหวในพรรคเพื่อไทยจึงอลหม่าน วุ่นวาย ภายในเต็มไปด้วยระลอกคลื่นที่รุนแรง แม้แต่น้องทักษิณ “พายัพ ชินวัตร” ก็ยังถูกกระแทกจนเกือบจมน้ำ เมื่อบรรดา สส.รุ่นดึกภาคอีสานไม่พอใจ “น้องนายใหญ่” ที่ดำเนินมาตรการรัดเข็มขัด ตัดท่อน้ำเลี้ยง ให้ สส.ใช้เงินตัวเองไปก่อน และโหนกระแสทักษิณ รวมทั้งกรณี “ศพ” จากเหตุการณ์ชุมนุมมาใช้หาเสียง สนิมเนื้อในแตกสะเก็ด กระทั่งในงานสัมมนา สส.ภาคอีสานเพื่อเคลียร์ใจระหว่างพายัพกับลูกพรรคภาคอีสาน บรรดาคีย์แมนถิ่นที่ราบสูงของเพื่อไทยนำโดย สส.กลุ่มอีสานพัฒนา ยังก่อหวอดเป็นคลื่นใต้น้ำประท้วงพายัพ และคุณตุ๋ย “ถุงเงิน” จากค่ายจีเน็ต ล็อบบี้ สส.ที่เป็นแกนนำจังหวัดไม่ให้เข้าร่วมประชุมเพื่อตอบโต้ หลังจากอีกฝั่งขู่ว่าใครไม่เข้าร่วมจะถูกขึ้นบัญชีดำไม่จ่ายเงินเดือนให้ อีกด้าน สส.อีสานบีบให้พายัพกระจายอำนาจการบริหารพรรค โดยกดดันให้ปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ผ่าอีสานออกเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย อีสานเหนือ อีสานใต้ อีสานกลาง อีสานตะวันออก ทุกกลุ่มจังหวัดจะมีหัวหน้ากลุ่มเพื่อถ่วงดุล ไม่ให้ใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในภาคอีสาน ป้องกันการเล่นพรรครักพวก ดึงก๊วนตัวเองมาลงสมัคร สส. แต่ระดับน้องทักษิณ ฤาจะยอมให้ลูกพรรคมากดดัน “การสัมมนาครั้งนี้ ถ้ามีการโต้แย้งที่มีเหตุผล ถือเป็นสิ่งที่ดี แต่การโต้แย้งที่ปราศจากทิศทาง เป็นการทำลายความสามัคคี” พายัพ กล่าวตอนหนึ่ง ก่อนจะยืนยันว่าจะยังไม่อัดฉีดท่อน้ำเลี้ยง “เวลาต้นไม้กำลังออกดอกออกผล สังเกตได้ว่าต้นไม้ก็จะถูกความกดดันสารพัด ขาดน้ำ ปุ๋ย แสดงว่าต้นไม้ของท่านทักษิณที่กำลังปลูกไว้กำลังจะเจริญงอกงาม ออกดอกออกผลอันยิ่งใหญ่ ท่านไม่ต้องตกใจ ถ้าเราใช้น้ำ ปุ๋ย ต้นไม้ของเราจะไม่ออกดอกออกผล นี่คือความกดดันทุกด้าน ที่สำคัญในการต่อสู้กับความสำเร็จไม่ใช่เงินทอง อำนาจ แต่เป็นความจริงใจตั้งใจ สามัคคีที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน” ปัญหาภาคอีสานที่ระส่ำหนัก จนบรรดาบิ๊กๆ หัวใจแดงทั้งหลายอดห่วงไม่ได้ว่า ถ้าไม่รีบจัดการปัญหาก็อาจเปิดช่องให้ เนวิน ชิดชอบ แห่งภูมิใจไทย ที่กำลังทุ่มทุนอัดฉีดงบประมาณใส่ภาคอีสานไม่ยั้งช่วงชิงที่นั่งไปได้ เพราะภาคอีสานถือเป็นพื้นที่ชี้ขาด ใครยึดที่นั่งได้โอกาสเป็นรัฐบาลในอนาคตสูง ความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยจึงบั่นทอนความสามัคคี โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือ ตำแหน่งหัวหน้าพรรค แน่นอนเก้าอี้ตัวนี้ใครได้เป็นย่อมหมายถึงโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่แค่เอื้อม ยิ่งนานวัน ในพรรคยิ่งแบ่งชัดออกเป็น 2 กลุ่มความคิด เป็น 2 กลุ่มที่หนุน “มิ่งขวัญ” กับ “บิ๊กเหลิม” “มิ่งขวัญ” ได้ยาดีจากซีกชินวัตร ด้วยจุดเด่นเรื่องภาพลักษณ์ใสซื่อ ไม่เกี่ยวข้องทุจริตคอร์รัปชัน ประนีประนอม ได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจ เคยเป็นผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ทั้งโตโยต้า อสมท สมัยเป็น รมว.พาณิชย์ ก็ปั่นราคาข้าวถูกใจชาวนามาแล้ว แรงหนุนส่วนใหญ่นอกจากชินวัตรแล้ว ยังได้ก๊วนหญิงหน่อยจาก กทม. กลุ่ม สส.เหนือ และกลุ่มอีสานพัฒนาบางส่วน แต่จุดอ่อนของมิ่งขวัญก็คือ บุคลิกที่เป็นจุดแข็งตัวเอง นั่นคือการประนีประนอมมากเกินไปจนถูกมองว่าอ่อนปวกเปียก ไม่มีภาวะผู้นำ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม มีจุดเด่นกับการเรียกมวลชนได้ดี ดังที่ “ประเกียรติ นาสิมมา” ฝ่ายกฎหมายพรรคซึ่งสนับสนุนมิ่งขวัญ อธิบายตัวตนบิ๊กเหลิมไว้ว่า “ท่านเป็นนิวเคลียสที่สามารถดึงคนมาร่วมฟังการปราศรัย แต่ท่านอาจจะขาดการสนับสนุนจากสังคมหลายภาคส่วน” ซึ่งจุดอ่อนของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็เช่นกันคือ จุดแข็งที่เป็นเหมือนแกงเผ็ด ซึ่งจะทำให้บรรยากาศบ้านเมืองในยุคที่เข้าสู่การปรองดองสมานฉันท์ หาก ร.ต.อ.เฉลิม ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ สังคมก็จะระอุไปด้วยการตอบโต้ ความขัดแย้ง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน โครงสร้างของพรรคที่เป็นเหมือน “บริษัท เพื่อไทย” มีคนในตระกูลคอยดูแลกงสีไม่ให้ลูกพรรคมีอำนาจมาก กลัวจะเสียอำนาจการปกครอง ซึ่งอดีตบิ๊ก “ไทยรักไทยพลังประชาชนเพื่อไทย” เคยเสนอว่า หากจะให้พรรคเป็น “สถาบันทางการเมือง” เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ ต้องปรับระบบใหม่ให้สมาชิกพรรคมีอำนาจตัดสินใจ จะสำเร็จแค่ไหน แต่สำหรับคนชินวัตรบอกว่ายังไม่จำเป็น ไว้รอใกล้เลือกตั้งก่อน เพราะถ้าตัดสินใจเลือกใครในวินาทีนี้ก็อาจทำให้บิ๊กบางคนผิดหวังจนกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงทำลายพรรคตัวเอง เพราะเวลานี้พรรคเพื่อไทยก็ทะเลาะ หงุดหงิด ไม่พอใจข้ามกลุ่มเป็นปัญหาสารพัดอยู่แล้ว จะมาเพิ่มปัญหาใหญ่อีกทำไม โดยเฉพาะปมสำคัญระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม กับ มิ่งขวัญ ที่ทั้งคู่ก็ไม่ญาติดีกันอยู่แล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 กรกฎาคม 2553, 10:22:26 จีนกับอินเดียกำลัง ลุยสร้าง 'กึ๋น' รุ่นใหม่
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ประเทศไหนจะก้าวหน้าอย่างยั่งยืนได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือการอวดอ้างการเป็น "ศูนย์" นั่น "ศูนย์" นี่เท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษา และการสร้างโรงเรียนประถม ตลอดไปถึงมหาวิทยาลัยให้ได้มาตรฐานอย่างยิ่ง คือ หนทางแห่งความสำเร็จนั้นๆ ประโยคนี้ผมไม่ได้พูดเอง หากแต่ คือ นายริชาร์ด เลวิน อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเยล อันโด่งดังของสหรัฐ ที่ผมต้องนำมาเล่าขานต่อ เพราะ นายเลวิน บอกว่าประเทศที่กำลังมุ่งหน้า สร้างมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานระดับโลก (world-class universities) นั้น ไม่ได้อยู่ที่อเมริกาหรือยุโรป หากแต่จีนกับอินเดียต่างหากที่กำลังทำทุกอย่าง เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น เราอาจจะมองข้ามจีนและอินเดีย ในเรื่องการศึกษา เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับตัวเลขอัตราเติบโต ทางเศรษฐกิจของสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การเติบใหญ่ปีละ 7-12% ซึ่งทำให้เห็นว่าทั้งมะกันและยุโรปกำลังจะกลายเป็น "โลกเก่า" ขณะที่สองประเทศยักษ์ใหญ่ใกล้บ้านเรานี้ กำลังจะกลายเป็น "โลกใหม่" ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตของมนุษย์โลก แต่ที่ทำให้ผมต้องสนใจยิ่งกว่าปกติ คือ การยอมรับของอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเยล ที่บอกว่าจีนกำลังประกาศตนเป็นสถาบันแห่งการศึกษาระดับโลกด้วย อย่างน้อยมหาวิทยาลัยจีน 9 แห่ง ที่เข้าข่าย "หัวกะทิ" และได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงจากรัฐบาลกลาง จีนเรียกมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำของเขา ว่า C9 มะกันเรียกว่าเป็น Ivy League ของจีน อินเดียก็เดินหน้าสร้างคนมีคุณภาพระดับสากล ผ่านการศึกษาด้วยคำประกาศ จากกระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ว่า จะสร้างมหาวิทยาลัยระดับ "world class" ทั้งหมด 14 แห่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยเยล บอกว่า ประเทศเอเชียอื่นก็ไม่ยอมหยุดนิ่งในเรื่องนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์กำลังเตรียมก่อตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งใหม่ เพื่อเน้นการสอนด้านเทคโนโลยี และการออกแบบ นอกเหนือจากคณะศิลปะแบบอเมริกัน ที่เป็นส่วนใหญ่ของ National University ของเขาอยู่แล้ว แน่นอนว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมะกันคนนี้ จับตาความเคลื่อนไหวของจีนในเรื่องการศึกษา ระดับมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด เขาได้ยิน เจียงเจ๋อหมิน ผู้นำจีน ประกาศเมื่อปี 1998 ในวันครบรอบ 100 ปีของ "มหาวิทยาลัยปักกิ่ง" (เป่ยต้า) ว่า รัฐบาลกลางจะทุ่มงบประมาณครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับมหาวิทยาลัยของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พูดแล้วก็ทำจริง เพราะตรวจสอบตัวเลขของปี 2006 แล้ว ปรากฏว่างบประมาณด้านการศึกษาระดับสูงเท่ากับ 1.5% ของผลผลิตมวลรวม หรือ GDP ของประเทศ เท่ากับเพิ่มงบประมาณด้านนี้ 300% เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนหน้านี้ ผลที่ตามมานั้นทำเอานักการศึกษาตะวันตกต้องทึ่งกับความรวดเร็วและมุ่งมั่นของจีน เพราะเมื่อทุ่มงบประมาณและบุคลากรอย่างจริงจังเช่นนี้แล้ว ภาพใหม่ของระบบการศึกษาก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน จำนวนสถาบันการศึกษาระดับสูงของจีนเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว จาก 1,022 แห่ง เป็น 2,263 แห่ง ที่สำคัญกว่า นั่นคือ จำนวนนักศึกษาที่เข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว...จาก 1 ล้านคน ในปี 1997 กระโดดไปถึง 5.5 ล้านคน ในปี 2007 อัตราก้าวกระโดดที่ให้คนรุ่นหนุ่มสาว สามารถได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย อย่างเป็นกิจจะลักษณะเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม วันนี้ จำนวนเด็กจากระดับมัธยมเข้าสู่มหาวิทยาลัยของจีนสูงที่สุดในโลกแล้ว แต่หากนับเป็นสัดส่วนร้อยละแล้ว จีน ยังจะต้องปรับปรุงเพิ่มเติมอีกมาก เพราะแม้จะเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างคึกคักแล้ว ก็ยังน้อยกว่าของประเทศพัฒนาอื่นในแง่เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่ต้องการจะเรียนมหาวิทยาลัยกับที่เข้าได้จริงๆ เพราะสัดส่วนวันนี้ของจีนอยู่ที่ 23% เท่านั้น เปรียบกับของญี่ปุ่นที่ 58% และ 59% ของอังกฤษ หรือ 82% ของสหรัฐ อินเดียก็กำลังเอาจริงเอาจัง กับการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แม้จะไม่คึกคักและน่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับของจีน แต่ก็ลุยไปข้างหน้า โดยไม่ยอมแพ้ใครเหมือนกัน ต้องไม่ลืมว่าอินเดีย เป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในอีก 20 ปีข้างหน้า อินเดียอาจจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุดในโลก โดยแซงหน้าประเทศจีนค่อนข้างแน่นอน และภายในปี 2050 (อีก 40 ปีข้างหน้า) หากสามารถรักษาอัตราเติบโตได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจของอินเดียจะเป็นเบอร์สองรองจากจีนเท่านั้น และหากจะสามารถรักษาความร้อนแรง ของการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ได้นั้น รัฐมนตรีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ชื่อ คาปิล สิบัล ประกาศตั้งเป้าเอาไว้ว่า สัดส่วนของนักเรียนจากมัธยมที่จะก้าวเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยนั้น จะต้องเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 30% ในสิบปีข้างหน้า ในทางปฏิบัติ แปลว่าจะมีนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น 40 ล้านคนในสิบปีข้างหน้า ริชาร์ด เลวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเยล ของสหรัฐ เขียนไว้ใน Foreign Affairs ว่า "นี่เป็นเป้าที่ค่อนข้างจะท้าทาย แต่แม้หากจะทำได้แค่ครึ่งเดียวของตัวเลขนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจยิ่ง" เฉพาะตัวเลขก็ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับความจริงที่ว่า มหาวิทยาลัยในเอเชียเหล่านี้ กำลังจะท้าทายมหาวิทยาลัยในตะวันตกในแง่การ "ความเป็นเลิศทางวิชาการ" ด้วย ผมเริ่มจะเชื่อจริงๆ แล้วครับว่าศตวรรษใหม่นี้ จะเป็น "ศตวรรษแห่งเอเชีย" ที่โลกตะวันตกต้องตะลึงใน "กึ๋น" ของคนเอเชีย ที่ผมห่วงก็ตรงที่ว่า "กึ๋นไทย" เราจะก้าวทันประเทศอื่นในเอเชียหรือเปล่าเท่านั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 กรกฎาคม 2553, 09:16:32 ชำแหละก๊วน“กระบังลมเน็ตเวิร์ก” ตุ๋ย จีเน็ต“เพื่อนหญิงอ้อ”โผล่ป่วนเมือง-เผาไทยกระเพื่อม!!
โดย นกหวีด 19 กรกฎาคม 2553 00:21 น. manerger Online การก่อหวอดของ ส.ส.ภาคอีสาน ในพรรคเพื่อไทย ที่รวมตัวขับไล่นายพายัพ ชินวัตร น้องชายของนักโทษทักษิณ ออกจากประธานคณะกรรมการภาคอีสาน รวมทั้งส่งเสียงตั้งแง่กีดกัน“นายทุนหญิง”คนใหม่ที่เข้ามา ไม่ใช่เหตุปั่นป่วนครั้งแรกในพรรคการเมืองแห่งนี้ พรรคที่เป็น เสมือนบริษัทการเมือง ที่ใช้เงินใช้ทุนหว่านคนเข้ามารวมตัวทำงานการเมืองด้วยวัตถุประสงค์ของคนๆ เดียวคือ “ทักษิณ” เมื่อวันนี้นายใหญ่ตัวจริง ต้องระเห็จระเหเร่ร่อน ถึงมีทุนมหาศาลแต่ก็เสี่ยงล่มสลาย ไม่มั่นใจที่ยึดผู้คนไม่ให้แตกกระสานซ่านเซ็น ด้วยเพราะมีข้อจำกัดในหลายเรื่อง ทั้งการขาด“แม่ ทัพตัวจริง”ที่จะเข้ามากุมสภาพ ดูแลก๊กก๊วนการเมืองในพรรค เพราะหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ก็เป็นเพียงเจว็ด ร่างทรงที่อยากจะถอนตัวเต็มที่ เพราะไม่ได้มีอำนาจสิทธิขาดใดๆ จึงเกิดการแย่ง ชิงการนำภายในมาโดยตลอด โดยในระดับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เวลานี้มีหลายรายที่มุ่งหวังและฝันเฟื่องให้ทักษิณเรียกใช้เป็น “ร่างทรง” เพื่อจะได้ลุ้น“ครั้งหนึ่งในชีวิต”กับเก้าอี้นายกฯ เหมือนที่นายสมัคร สุนทรเวช ที่ไม่เคยคิดฝันและได้รับมาก่อน ทั้งพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พ.อ.อภิวันท์ วิรยะชัย วิทยา บูรณะศิริ และอีกหลายราย เป็นตัวเลือกที่จะขึ้นมาทำหน้าที่ร่างทรง แม้แต่ส.ส.ดาดๆ เพียงโชว์ผลงานให้เข้าตา ก็เชื่อกันว่าตัวเองได้ลุ้น รวมทั้งเครือญาติทักษิณเอง ทั้งพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร กับพายัพ ชินวัตร ก็แสดงตัวขอมีเอี่ยวหลายครั้ง แคนดิเดตผู้นำ ร่างทรงชุดนี้ ต่างก็ช่วงชิงกันทุกรูปแบบเพื่อให้“ถูกเลือก” สกัด กั้นคู่แข่งทุกวิถีทาง ปล่อยข่าวกับสื่อเพื่อทำลายอีกฝ่าย และเป็นเพราะทักษิณไม่สามารถชี้ให้ใครมาสวมหัวโขนตรงนี้ ทำ ให้การบริหารงานภายในพรรคการเมืองแห่งนี้พิกลและพิการ แม้แต่หัวหน้า พรรค ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯยังหาไม่ได้ พรรคเพื่อไทย วันนี้จึงเกิดกลุ่ม เกิดก๊วน เกิดก๊กสารพัด และไม่มีใครฟังใคร นอกจากฟัง “น้ำเลี้ยง”เพียงอย่างเดียว แม้แต่ทีมเศรษฐกิจพรรค ทั้งดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร และนายโอฬาร ไชยประวัติ ที่เคยถูกวางตัวเป็นนอมินียังอยู่ไม่ได้ ขณะที่มืองาน ด้านเศรษฐกิจที่เหลืออยู่น้อยนิด ก็ยังเปิดศึกฟัดกันไม่รู้จบสิ้น เช่นกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ขับไล่นายมิ่งขวัญ ออกจากทีมเศรษฐกิจ ก็เป็นปัญหาที่ทักษิณต้องรีบไกล่เกลี่ย ไม่เท่านั้น ปมสำคัญคือการก่อเกิดของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. ที่ทักษิณทุ่มน้ำหนักการสนับสนุน เลือกเดินแนวรบด้านมวลชนมากกว่างานฝ่ายค้านในสภาฯ จน เกิดปัญหาขบเหลี่ยมปีนเกลียว ระหว่าง แกนนำเสื้อแดงหัวขวดทั้งหลาย กับส.ส.และคนภายในพรรค อย่างไรก็ดี เหตุการณ์การรวมตัวของกลุ่มส.ส.อีสาน ไม่ว่าจะเป็นอีสานพัฒนา กลุ่มอุบลฯ กลุ่มศรีสะเกษ กลุ่มโคราช ที่ออกมาฟาดงวงฟาดงา ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่นายพายัพ แต่ยังหมายรวมถึงการออกมาแสดงบทบาท เพื่อให้เจ้าของพรรคตัวจริงรับรู้ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญไปกับงานมวลชนม็อบเสื้อแดง สุดท้ายถึงจะเล่นแรงถึงขั้นเผาบ้านเผาเมืองก่อการร้ายก็ล้มเหลวและกำลัง ระส่ำระสายในวันนี้ ดังนั้นกลุ่ม ส.ส.อีสาน จึงต้องการให้ทักษิณ ทบทวนความผิดพลาดกับม็อบแดง แล้วกลับมาดูแลเอาใจใส่คนในพรรค และงานในพรรคให้มากขึ้น โดยเฉพาะเสียง สะท้อนที่ชัดเจน กับการ “ทวงทางไกล”โดยผู้แทนฯคนยากจากจ.ลพบุรี สุชาติ ลายน้ำเงิน ที่บ่นเรื่อง “น้ำเลี้ยง”ที่ได้จากต้นสังกัด ในระดับเพียง 5หมื่นบาทต่อเดือน ไม่เพียงพอใช้จ่าย เป็น แรงกระเพื่อมที่ทักษิณรับรู้ และพยายามสยบแรงกระเพื่อมนั้นในการโฟนอินเข้ามาในงานสัมมนาส.ส.พรรคเพื่อไทย ครั้งล่าสุด ที่มีทั้งไกล่เกลี่ยรอยร้าวในทีมเศรษฐกิจ ทั้งขู่ส.ส.อีสานที่รวมตัวก่อหวอด และปลอบประโลมสร้างความมั่นใจว่ายังมีโอกาสกลับประเทศ และรับปากจะตอบแทนผู้ที่จงรักภักดี กระนั้นก็ดี เพราะมาแต่ “ลมปาก” และเป็นเพียง“สัญญาใจ” สิ่งที่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยต้องการมากกว่านั้น โดยเฉพาะในช่วงมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ในช่วงกระแสพรรคซบเซา เสียงสนับสนุนทักษิณเสื่อมถอย เพราะงานเผาบ้านเผาเมืองของม็อบเสื้อแดงล้มเหลว “สาย พันธุ์การเมือง”จะอยู่ได้ ย่อมต้องมี“น้ำเลี้ยงอัดฉีด” ถึงจะมีเรี่ยวแรงต่อสู้ โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อนักโทษชายหนีคดี หัวหน้าขบวนการก่อการร้าย ที่ต้องมีค่าจ้างค่าตัว ค่าความเสี่ยงที่สมน้ำสมเนื้อ ขณะที่พายัพ ชินวัตร ที่ทักษิณส่งมาให้ดูแลลูกทีมภาคอีสาน นอกจากไม่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแล “ท่อจ่าย”เต็มที่ เหมือนเช่น ปู -ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคนในพรรคก็รู้กันดี นายใหญ่-นายหญิงไม่โปรดปรานน้องชายรายนี้เท่าใด แม้แต่ยุคทักษิณเฟื่องฟู ธุรกิจของ“พายัพ”ยังย่ำแย่ ถึงขึ้นถูกศาลสั่งล้มละลายมาแล้ว เมื่อมาดูแล อีสาน ก็เหมือนมาแต่ในนาม ขณะที่น้ำเลี้ยงเสบียงกรัง ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง “ตัวแทนนายห้าง”มาเอง แต่กลับมาพูดเปรียบเปรย ว่าอยู่ในพรรคที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ทักษิณปลูกไว้ การจะผลิดอกออกผลเต็มที่ บางครั้งก็ต้องลดปุ๋ยลดน้ำ สรุปได้ ว่า“กระแสดี ต้องยอมอด” เมื่อน้อง ทักษิณประกาศปิดท่อปิดก๊อกกันล่วงหน้าเช่นนี้ ส.ส.จึงต้องดาหน้าออกมาทวงถามไปถึงต้นท่อในต่างแดน ขณะเดียวกันพายัพเองก็แสดงเข้ามาบงการส.ส.อีสานเองแล้ว ยังดึงกลุ่มทุนใหม่ที่ยัง “ควักน้อย” แต่อยากจะ“เป็นใหญ่” จึงเกิดแรงต่อต้านขึ้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในการเมืองสูตรคณิตศาสตร์ การเจรจาต่อรองเป็นสิ่งสำคัญ หากพูดกันได้ ก็คงไม่คิดแปรพักตร์ อย่างที่มีกระแสข่าวจะพลิกขั้ว หรือแหกค่ายไปอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดินกลุ่มพินิจ-ไพโรจน์ ถึงที่สุดหาก พายัพ โดยเฉพาะนายทุนใหม่อย่าง “เจ๊ตุ๋ย”วิยดี สุตะวงศ์ ที่พยายามเข้ามามีบทบาทดูแลทุกข์สุขลูกทีมอีสานมากกว่าที่เคยช่วยเรื่อง เบี้ยเลี้ยงยิบย่อย หรือจัดทัวร์พาบรรดาผู้แทนฯไพร่ไปเยี่ยมนายใหญ่ในต่างแดน เคลียร์ได้ไม่ ยาก สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า “เงินนะมีมั้ย”?? ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจกว่าแรงกระเพื่อมของส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย ต่อน้องชายนายใหญ่ และนายทุนใหม่ ที่จะเข้ามาดูแลและเก็บสแปร์จำนวนเสียงไว้หนุนแลกเก้าอี้ในอนาคต ชื่อของ “เจ๊ตุ๋ย”วิยดี สุตะวงศ์ ที่ว่าเข้ามาเป็นเจ๊สั่งลุย นำทีมส.ส.อีสาน มีปูมประวัติที่มาน่าพินิจพิเคราะห์ กางบัญชีดำของ ศอฉ. 83รายชื่อที่ถูกตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงิน พบว่า มีชื่อของ“เจ๊ตุ๋ย-วิยดี” ติดอยู่ในแบล็กลิสต์ โดยพบว่า มียอดเงินหมุนเวียนการทำธุรกรรม281ล้านบาท เป็นการฝากเงิน142ล้านบาท และถอน139ล้านบาทและยังพบว่ามีการใช้บัตรเครดิตที่ดูไบ และประเทศกัมพูชา หลายครั้ง สำหรับที่มาที่ ไปนักธุรกิจหญิงรายนี้ มาจากเครือข่ายบริษัทมือถือแบรนด์ท้องถิ่นยี่ห้อดัง G-Net ที่มีนายฑัศ เชาวนเสถียร เป็นผู้บริหารบริษัท และนายฑัศก็ติดแบล็กลิสต์ศอฉ. เช่นกัน และไม่ใช่ เรื่องน่าแปลกใจ ที่“เจ๊ตุ๋ย” หรือ “วิยดี”เข้ามายุ่มย่ามในพรรคเพื่อไทย เพราะก่อนหน้านี้รายนี้ก็คือสมาชิกกลุ่มเพื่อน “เซนต์โยเซฟคอนแวนต์” ของคุณหญิงพจมาน ในชุดเดียวกับ ดวงฤทัย กศิโสภา ซิมตระกูล หรือ “เจ๊แดง” ที่ส.ส.ในพรรคทักษิณ-พจมาน รู้จักกันดี รวมทั้ง2เพื่อน ตัวจักรสำคัญ พนิดา ปัญจบุตร-จุฑารัตน์ เมนะเศวต ที่ปรากฏชื่อเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจุฑารัตน์ ก็เป็นอีกชื่อในบัญชีดำน้ำ-เลี้ยงแดง กลุ่มเพื่อนของ “คุณหญิงอ้อ”เหล่านี้ถูกดึงเข้ามาช่วยงาน ทั้งในภาคธุรกิจของเครือชินวัตร ที่ยังมีอีกหลายรายยังปักหลักอยู่ที่เครือชินวัตร รวมทั้ง ในบริษัทการเมืองของทักษิณ-พจมาน ตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย เช่นเดียวกับ เลขาฯส่วนตัวเจ๊กระบังลม แจง-กาญจนาภา หงส์เหิน ที่ ร่วมเกมซุกหุ้น ร่วมติดชนักอยู่ จากความเคลื่อน ไหวของ“เจ๊ตุ๋ย”ในกลุ่มส.ส.ภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งผองเพื่อน“เซนต์โยฯคอนเน็กชั่น” ของคุณหญิงพจมาน ในบริบทต่างๆทางการเมือง นอกจากสนับสนุนเรื่องเงิน บริจาคเข้าพรรคของ “เพื่อนอ้อ”ในฉากหน้า ก็มีข้อมูลทาง ลับว่า น้ำเลี้ยงที่ต่อสายมาจากแดนไกล “เพื่อนพจมาน”กลายเป็น “ท่อพัก-หัวจ่าย”ในประเทศไทย หรือเป็นตู้เอทีเอ็มแอ๊ดวานซ์ล่วงหน้าได้ในยามฉุกเฉิน ต้องต่อท่ออัดฉีดไปยังกลุ่มคนเสื้อแดง ในท้ายที่สุดกับเหตุการณ์ความปั่นป่วนในพรรคเพื่อ ไทย “คุณตุ๋ย วิยดี”จะถอนตัว หรือได้รับคำสั่งให้ทุ่มอัดฉีดอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ระส่ำระสาย หรือไม่ก็ตาม แต่ ณ วันนี้ สะท้อนภาพได้ชัดเจนแล้วว่า “เซนต์โยคอนเน็กชั่น” เครือข่าย“พจมานเน็กเวิร์ก” เข้ามามีช่วยงานระบอบทักษิณ และนั่นก็หมาย ความว่า“คุณหญิงพจมาน” ที่ถึงแม้ว่าจะหย่าจากสามี เปลี่ยนไปใช้นามสกุล ณ ป้อมเพชร์ หรือดามาพงศ์ก็ตาม ก็ยังร่วมรู้เห็นในทุกเรื่องกับ“นักโทษทักษิณ” เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และม็อบคนเสื้อแดงเผาบ้านผลาญเมือง! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2553, 09:32:54 วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:20:10 น. มติชนออนไลน์
"แม้ว"สั่ง"เพ้ง"ยึดอีสาน ตัด"น้องในไส้"ออกจากสารบบ ส.ส.เพื่อไทยรับแกนนำพรรคเรียกเช็คใจซบ ภท.หรือไม่ "ทักษิณ" สั่ง "เพ้ง" ยึดอีสานตัด "พายัพ" แต่รอกล่อมน้องชายก่อน เพื่อไทยรับแกนนำพรรคเรียก ส.ส.เช็คใจ หวั่น ชิ่งซบภูมิใจไทย ส.ส.ร้อยเอ็ดโวยเพื่อนเนวินปั่นข่าวเรียกร้องความสนใจ ยันลงเลือกตั้งเพื่อทไยไม่เปลี่ยน นายนิรมิต สุจารี ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ถึงกระแสข่าวที่ออกมาว่า ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน บางส่วนได้ไปร่วมกิจกรรมกับ พรรคภูมิใจไทยและเตรียมตัวย้ายไปร่วมงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีชื่อนายนิรมิต และนายชูวิทย์ (กุ่ย) พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี รวมอยู่ด้วย ว่า สำหรับตนนั้นวันนี้ยังเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อไทยทุกอย่างและในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยังจะลง สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย จริงอยู่ที่ตนเคยเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน และนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย เคยเป็นพี่เลี้ยงตนในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วและดูแลตนมาตลอดเวลาที่อยู่ พรรคพลังประชาชน แต่เมื่อนายเนวิน และกลุ่มเพื่อนเนวิน แยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ แม้จะมีการมาชักชวนตน ตนและส.ส.ภาคอีสานส่วนใหญ่ก็ไม่ไปด้วย และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อหรือไปร่วมกิจกรรมกันเลย นายนิรมิต กล่าวว่า ความจริงชื่อของตนไม่น่าสงสัยเลยว่าจะไปอยู่พรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะชาวบ้าน ที่ก่อนหน้านี้อาจจะมีการสอบถามกันบ้างว่าจะอยู่พรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่ปัจจุบันไม่มีใครถามแล้ว เพราะตนเป็นแกนนำชาวบ้านต่อสู้ในนามของคนเสื้อแดง และยังถูกหมายจับของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งน่ายืนยันได้ว่าตนพร้อมที่จะต่อสู้กับพรรค และที่ผ่านมาในช่วงปลายปี 2552 แกนนำพรรคเพื่อไทย จะเรียก ส.ส.ภาคอีสาน บางส่วนไปสอบถามถึงจุดยืนทางการเมืองและการไปร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทย แต่ก็ไม่เคยมีชื่อตนถูกเรียกไปเลย ดังนั้นข่าวที่ออกมานี้น่าจะเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยต้องการสร้างกระแสการ เมืองให้มีคนสนใจเข้าพรรค เนื่องจากขณะนี้พรรคภูมิใจไทยกำลังต้องการ ส.ส.เข้าพรรค อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างพรรค ภายหลัง ส.ส.ภาคอีสาน ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้แกนนำพรรคแก้ไขปัญหา ส.ส.ภาคอีสานขาดความอบอุ่น และกำลังถูกดึงไปร่วมงานการเมืองกับพรรคคู่แข่งว่า ล่าสุดได้รับสัญญาณจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงการปรับโครงสร้างพรรคแล้ว โดยในส่วนของตัวหัวหน้าพรรคที่กลุ่มอีสานพัฒนา เสนอให้มีการแต่งตั้ง ส.ส.เป็นหัวหน้าพรรคนั้นจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีแนวโน้มว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังต้องการให้พรรคเพื่อไทย คงรูปแบบการไม่ใช้ ส.ส.เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อป้องกันการถูกยุบพรรค ไปจนถึงช่วงของการเลือกตั้ง โดยพรรคเพื่อไทยจะลงเลือกตั้งโดยไม่ชูหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะเสนอ ส.ส.ที่เหมาะสมคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ส่วนตำแหน่งประธานภาคอีสาน ซึ่ง ส.ส.ภาคอีสาน 2 กลุ่มคือกลุ่มอีสานพัฒนาของนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ต้องการให้ปลดนายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานออกจากตำแหน่งแล้วให้นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล หัวหน้ากลุ่มพิจิตร แกนนำคนสนิทพ.ต.ท.ทักษิณ มาดูแลแทนนั้น เบื้องต้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แจ้งกับนายพงษ์ศักดิ์ แล้วว่าจะมอบหมายให้มาช่วยดูแลภาคอีสานแทนนายพายัพ แต่นายพงษ์ศักดิ์ ยังห่วงว่า การเข้าไปดูแลภาคอีสานจะทำให้เกิดการผิดใจกับนายพายัพ จึงขอให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับนายพายัพ ให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะเปิดตัวอีกครั้ง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 กรกฎาคม 2553, 13:50:16 ผู้เชี่ยวชาญชี้อ๊อฟไม่หมิ่น
21 กรกฎาคม 2553 เวลา 19:11 น.posttoday ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยชี้พงศ์พัฒน์ไม่ผิดหมิ่นสถาบันคนไทยเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่าพ่อถือเป็นการแสดงความผูกผันและจงรักภักดี ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย กล่าวว่า กรณีที่นายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “พ่อ”ในงานวันนาฏราช ไม่ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยสิ้นเชิง เพราะนายพงพัฒน์ไม่ใช่คนไทยคนแรกที่เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า“พ่อ” และการที่คนไทยเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่าพ่อ ถือว่าเป็นความใกล้ชิด เป็นการแสดงความผูกพัน ความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแสดงออกถึงความเคารพยกย่องถวายพระเกียรติ ดร.อนันต์ ยังเห็นว่า การพูดนายพงพัฒน์ เพื่อต้องการสะท้อนให้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดไม่ประสงค์ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การพูดจึงเป็นการใช้คำเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความประทับใจเท่านั้น “ผมเชื่อว่ามีคนไทยอีกไม่น้อยที่เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อ ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณพ่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อาจจะเรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อเหมือนกัน เอกสารและหนังสือหลายเล่มก็เขียนคำว่าพ่อ ซึ่งหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้กระทั่งวีซีดีที่จัดทำโดยสำนักพระราชวังชุดบ้านของพ่อ หากตำรวจจะรักษามาตรฐานการทำงาน ก็จะต้องรับฟ้องและดำเนินคดีกับคนไทยทั้งประเทศที่เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพ่อ”ดร.อนันต์ กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 กรกฎาคม 2553, 13:58:54 ยุคตกต่ำของนักวิชาการไทย?
โดย : ทศพร โชคชัยผล กรุงเทพธุรกิจ ในระหว่างเกิดความขัดแย้งทางการเมือง"อย่างเข้มข้น" เมื่อการเมืองกลับมาอยู่"บนท้องถนน" และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกินเวลายาวนานหลายปี จึงเกิดคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย บัดนี้ คงมีคำอธิบายและคำตอบกันพอสมควร จากคนในวงการต่างๆ แต่จะสามารถให้คำตอบเป็นที่น่าพอใจหรือไม่นั้น ก็ยังคงมีประเด็นที่ถกเถียงกันต่อไปได้อีกมาก แต่ในระหว่างที่เกิดความขัดแย้ง ผมได้มีโอกาสพบปะกับบรรดาผู้รู้-นักวิชาการ ทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ซึ่งมักจะถามคนเหล่านี้แถมท้ายการพูดคุยไปด้วยว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการวิชาการไทย เพราะนักวิชาการหลายคน ทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ประกาศตนอย่างชัดเจนมากว่าอยู่ฝ่ายไหน บางคนเข้าไปเคลื่อนไหวโดยตรงกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในครั้งนี้ ทำให้สถานะทางวิชาการเริ่มถูกตั้งคำถามขึ้นมาอย่าง"แหลมคม" ว่าอยู่ตรงไหน เสื้อเหลืองก็มีนักวิชาการเสื้อเหลือง เสื้อแดงก็มีนักวิชาการเสื้อแดง ต่างฝ่ายต่างประณามกันว่า"ห่วย" "ใช้ไม่ได้" บางคนถึงกับไม่ขอร่วมเวทีอภิปราย โดยอ้างว่าทัศนคติทางการเมือง"ต่างกัน" ซึ่งไม่เพียงแต่แวดวงวิชาการด้วยกันเท่านั้น คนทั่วๆไปที่สนใจการเมือง ก็มักจะตั้งคำถามกับนักวิชาการบางคนอีกด้วย บางครั้งก็"ด่า"อย่างสาดเสียเทเสีย จนไม่มีสภาพเหลืออยู่ก็ว่าได้ ผมเคยถาม นิธิ เอียวศรีวงษ์ ในคำถามเดียวกันว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสักครึ่งปีมาแล้ว ท่านบอกว่าเกิดจาก"ความอ่อนทางวิชาการ"ของวงการวิชาการบ้านเรา ทำให้เกิดอาการ"แกว่ง"ตามกระแส ส่วนหนึ่งของ"ความอ่อน"ก็คือนักวิชาการบ้านเราไม่ค่อยจะทำงาน"วิจัย"กัน ทำให้ "นัก"ต่างๆที่มีอยู่นั้น ก็ไม่ได้เก่งจริงตามสาขาของตัวเอง จึงมักมีพวกชอบโดดข้าม"อาณาบริเวณ"ที่ตัวเองรู้จริงบ่อยครั้ง คำอธิบายจากอาจารย์นิธิ ผมก็ยังรู้สึกว่าขาดๆเกินๆยังไงก็ไม่ทราบได้ เรียกว่ายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ต่อมาผมก็มักจะพูดถึงนักวิชาการที่ออกทีวีหรือเวทีสัมมนาว่าสิ่งที่พูดออกมานั้น จาก"ความรู้"ด้วยการวิจัยหรือมีข้อมูล หรือเป็นประเภท"ความเห็น" แต่ก็ไม่ได้เกี่ยว่าเขา/เธอ จะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง แต่ผมสะดุดใจมากมาจากงานแปลของเว็บ "ประชาไท" ชิ้นหนึ่ง ชื่อว่า ทำไมบทบาทของปัญญาชนสาธารณะจึงเสื่อมถอยลง? ของ เบน แอนเดอร์สัน ( http://www.prachatai3.info/journal/2010/07/30286) ทำให้ความสงสัยหลายๆอย่างหายไปได้บ้าง ซึ่งเป็นงานแปลจาก ปาฐกถาเพื่อฉลองวาระครบรอบ 10 ปีโครงการ Public Intellectuals Project ของ Nippon Foundation ที่มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila, 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ใครสนใจรายละเอียด ลองเข้าไปหาอ่านดูเอาเอง แต่ที่ผมคิดว่า"แสบที่สุด" ก็ตรงตัวอย่างที่ยกมา เมื่อ เบน แอนเดอร์สัน เล่าว่า "ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง สองสามปีก่อน ผมไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯให้อาจารย์และนักศึกษาราว 300 คนฟัง ในระหว่างการบรรยายนั้น ผมกล่าวยืดยาวพอควรเกี่ยวกับอัจฉริยะแท้จริงคนแรกที่ประเทศไทยผลิตขึ้นมานับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 นั่นคือ นักสร้างภาพยนตร์ชั้นยอดอย่างอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัลที่เมืองคานส์ในช่วงเวลาแค่สามปี อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายทั่วทั้งโลกภาพยนตร์ด้วย ในตอนท้าย ผมถามผู้ฟังว่าใครเคยได้ยินชื่ออภิชาติพงศ์ขอให้ยกมือขึ้น มีคนยกมือประมาณ 10 คน เป็นนักศึกษาทั้งหมด มีกี่คนที่เคยดูภาพยนตร์ของเขา? มีประมาณ 6 คน นักศึกษาทั้งหมดเช่นกัน ชั่วขณะนั้นเองที่ผมตระหนักถึงการปิดหูปิดตาตัวเองอย่างโง่เขลาของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งคงดูแต่หนังฮอลลีวู้ด และความหยิ่งจองหองของพวกเขา ก็นักสร้างภาพยนตร์ไม่มีปริญญามหาวิทยาลัยน่ะสิ!" อันที่จริง เบน แอนเดอร์สัน ได้อธิบายเปรียบเทียบหลายประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตามหัวข้อปาฐกถา ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจทั้งสิ้น ว่าทำไมบทบาทของปัญญาชนสาธารณะจึงเสื่อมถอยลง? เขายังกล่าวถึงปัญญาชนอีกว่า "ในอุษาคเนย์นั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีรายได้ต่ำ จึงต้องหาทางออกด้วยการรับงานโครงการวิจัยของรัฐที่ไร้ประโยชน์ หาลำไพ่พิเศษด้วยการสอนที่มหาวิทยาลัยอื่น เก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์และอาศัยช่องทางต่างๆ ในสื่อมวลชน เช่น เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ ทำรายการทีวี ฯลฯ อาจารย์เหล่านี้จึงมักละเลยหรือไม่สนใจนักศึกษา หรือไม่ก็ปฏิบัติต่อนักศึกษาแบบราชการ นักวิชาการจำนวนไม่น้อยไม่ยอมสอนหนังสือเลย แต่เลือกไปกินตำแหน่งในสถาบันวิจัยที่แทบไม่มีผลงานใดๆ นี่คือเหตุผลที่นักศึกษาเก่งๆ จำนวนมากมักศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองและดูแคลนอาจารย์เพียงในนามเหล่านี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักวิชาการหลายคนจึงแสวงหาความสำเร็จด้วยการเข้าข้างชนชั้นนำทางการเมือง หรือไม่ก็แข่งขันแย่งชิงทุนจากหน่วยงานต่างๆ ของประเทศร่ำรวย ซึ่งก็มีวาระแฝงเร้[/color]นของตนเอง" ไม่ว่าจะเป็น"ความอ่อน" หรือ "ปิดหูปิดตาตัวเองอย่างโง่เขลา" แต่ที่แน่ๆ นักวิชาการไทยวันนี้ เปิด"ตัวตน"สู่สาธารณะผ่าน"สื่อ"อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อเปิดสู่สาธารณะแบบที่นักวิชาการทั้งสองท่านกล่าวไว้ ท่านผู้อ่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในยุคที่"ความรู้"สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านสื่อยุคใหม่ อีกทั้ง ในยุคสังคมสุดขั้วเช่นนี้ นักวิชาการย่อมต้องเผชิญกับ"ปัญหา"มากเป็นเท่าตัว เพราะมักจะถูกจับ"ป้ายสี"และให้"เลือกข้าง"ทันทีที่เอยปากพูด หากไม่เรียกว่ายุคตกต่ำของวิชาการไทย จะเรียกว่าอะไร? [/b] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 22 กรกฎาคม 2553, 20:29:31 ไปอ่านไอ้ข่าวนี่มา แล้วโคตรฉุนเลยครับ!!!
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9530000100407
ลิ่วล้อแม้วชง > ตำรวยมะเขือเทศรับ !!! มันไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องสถาบันฯ หากใครปกป้อง มันก็จะพยายามยัดข้อหาเรื่องหมิ่นเหม่ฯให้ แต่กับไอ้เห้มาร์ค v11(ไม่อยากเอ่ยชื่อมันเลย) พาดพิงเห็นๆ! พวกตำรวยหัวขวดพวกนี้ กลับเอาหูไปนา เอาตาไปไร่! มันน่าให้ไอ้ปื๊ดยิงตายให้หมดกรมฯจริงๆเลย!!! emo5:( หมายเหตุ > ถ้างั้น เพลงที่ป๋าเบิร์ดร้อง ก็ต้องโดนไปหลายเพลงแล้วสิ! เช่น ต้นไม้ของพ่อ ฯลฯ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 กรกฎาคม 2553, 09:32:27 หน้าแตกหมอไม่รับเย็บไปแล้ว ไอ้นวย
ต้องกลับลำ 180 องศา ไปเลย แย่มาก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 กรกฎาคม 2553, 09:38:26 อยากจะอ้วกแตก ข้อยสิจะฮาก...น้ำเน่ายุงหึ่ง เลยไอ้พวกนี้
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:24:07 น. มติชนออนไลน์ "เหลิม"กอด"มิ่งขวัญ" กลมดิกต่อหน้าสื่อ สร้างภาพ-โต้ข่าว"เกาเหลา"ชิงหัวหน้าพรรค "มิ่ง"เขินห้ามลงรูป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อบ่ายวันที่ 21 กรกฏาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) หลังการสัมมนาพรรคเพื่อไทย ในช่วงบ่ายเสร็จสิ้น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้มาพูดคุยกับสื่อมวลชน ที่ห้องสื่อมวลชน ชั้น 1 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย แต่ไม่นานนัก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เดินลงมาที่ห้องสื่อมวลชนพร้อมกัน และเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เห็นนายมิ่งขวัญ ซึ่งถือว่า ทั้งคู่ ได้อยู่ร่วมกันต่อหน้าสื่อเป้นครั้งแรก หลังจากมีข่าวว่า ทั้งสองคนเกาเหลากันด้วยเรื่องแคนิดเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มานับปี โดย ร.ต.อ.เฉลิม ได้โผเข้ากอดนายมิ่งขวัญ ทันที และขอให้สื่อถ่ายรูปไว้ด้วย ขณะที่นายมิ่งขวัญมีอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด และพยายามบอกปัดการถ่ายรูปว่า “นี่นายอย่าถ่ายนะๆ ” แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่สนใจ กอดนายมิ่งขวัญแน่น จากนั้นทั้งคู่ได้แซวกันไปมา โดย ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งเคยระบุว่า นายมิ่งขวัญเป็นนักรบห้องแอร์ได้หยอกนายมิ่งขวัญว่า ออกจากห้องแอร์มาได้แล้ว นายมิ่งขวัญก็ตอบกลับว่า หากออกไปกลัวว่า จะมีคนในพรรคตกงานกันหลายคน ร.ต.อ.เฉลิมจึงชวนนายมิ่งขวัญให้ไปงานสัมมนาพรรคที่หนองคายด้วยกัน แต่นายมิ่งขวัญปฏิเสธว่า “ต้องอยู่ทำงานให้พรรคที่กรุงเทพ และเพิ่งไปประชุม ส.ก.ที่พัทยามา” จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม จึงผละจากนายมิ่งขวัญเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่นายมิ่งขวัญได้แซว ร.ต.อ.เฉลิม ถึงเสื้อ “รักประเทศไทย” สีน้ำเงินที่ ร.ต.อ.เฉลิม ใส่ว่า “ไหนๆ ถามหน่อยสิ รักประเทศไทยมากไม๊” จน ร.ต.อ.เฉลิม หันมายิ้ม ซึ่งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เดินทางกลับไปแล้ว นายมิ่งขวัญได้ร้องด้วยน้ำเสียงเขินอายว่า “พวกนายเล่นอะไรกันเนี่ย” และขอกับสื่อมวลชนว่า อย่านำรูปที่ถ่ายระหว่างที่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม กอด ไปเผยแพร่ทั้งในหนังสือพิมพ์ หรือเฟซบุ๊ค แม้แต่ภาพเดียว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 กรกฎาคม 2553, 10:54:35 ศาสตราจารย์ออสซี่ชำแหละ‘เสื้อแดง’แพ้เพราะคนเลิกหนุน หลังเน้นสู้รุนแรง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กรกฎาคม 2553 20:41 น. เซ็นทรัลเวิลด์ ในสภาพที่ถูกเผาไหม้ไม่เหลือซาก จากการวางเพลิงย่านราชประสงค์ของพวก “เสื้อแดง” อีสต์ เอเชีย ฟอรั่ม - ศาสตราจารย์ออสเตรเลีย เขียนบทความวิเคราะห์ความล้มเหลวของ “เสื้อแดง” ชี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลกลุ่มนี้ชูธงต่อสู้ด้วยหลัก “อหิงสา” แต่กลับเต็มไปด้วยความรุนแรง จึงล้มเหลวไม่สามารถระดมมวลชนจำนวนมากเข้ามาสนับสนุน ดร.ปีเตอร์ วอรร์ (Peter Warr) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University หรือ ANU) ซึ่งคร่ำหวอดเกาะติดสถานการณ์ประเทศไทยด้วยงานวิเคราะห์วิจัยจำนวนมาก ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ใหม่เอี่ยมในหัวข้อ “อัปราชัยแห่งประชาธิปไตยไทย” หรือ The destruction of Thai democracy ซึ่งได้รับการเผยแพร่บนบนเว็บไซต์ของอีสต์ เอเชีย ฟอรั่ม (www.eastasiaforum.org) เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม บทความนี้รอธิบายปรากฏการณ์สังคมไทยในช่วงความล้มเหลวแห่งกระบวนการต่อต้านรัฐบาลของกลุ่ม“คนเสื้อแดง” ได้เป็นอย่างคมคาย ชูธงอหิงสา แต่มากด้วยความรุนแรงจึงล้มเหลวในการระดมมวลชนหนุน บทความของดร.วอร์ เปิดเรื่องว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม ไม่นานก่อนที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงยอมมอบตัวแก่กองกำลังของรัฐบาลไทย นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำผู้อื้อฉาวในแนวทางการต่อสู้ด้วยความรุนแรง ผู้ซึ่งเลือกที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับนั้น ในวันนั้นเขาสวมใส่เสื้อยืดรูปท่านมหาตมะ คานธี ผู้เป็นบิดาแห่งแนวทางการต่อสู้ด้วยหลักอหิงสา “อันเป็นหลักการเชิงการเมืองที่ผู้นำกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งอริสมันต์ด้วย ยังไม่สามารถซึมซับความคิดนี้ได้” ดร.วอร์ยังชี้ต่อไปว่า “การจะถอดถอนรัฐบาลซึ่งหยั่งรากลงได้อย่างมั่นคงเช่นในกรณีของประเทศไทยนั้น การลุกฮือขึ้นสู้โดยมวลชน ต้องกระทำให้ได้ในสองสิ่ง คือ การดึงความสนับสนุนจากมวลชนในปริมาณมหาศาลจริงๆ และการที่จะต้องไม่ใช้ความรุนแรง แต่คนเสื้อแดงได้ล้มเหลวไปในทั้งสองประการนี้” ศาสตราจารย์แห่งเอเอ็นยูวิเคราะห์สาเหตุแห่งความล้มเหลวของแกนนำคน เสื้อแดง โดยตั้งประเด็นว่าการชี้จุดบกพร่องของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการจัดการกับความ ทุกข์ยากทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ อีกทั้งการตั้งคำถามไปที่ความชอบธรรมในการได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ นั้น ต้องถือว่ามีประเด็นอยู่ กระนั้นก็ตาม กลุ่มเสื้อแดงไม่มีทางจะขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้โดยการเผชิญหน้าทางกายภาพ ในเมื่อมีศักยภาพเป็นรองไปหมดไม่ว่าจะในแง่ของจำนวนคนที่เข้าร่วม และอาวุธที่จะใช้ต่อสู้ ขณะที่แกนนำเสื้อแดงไม่สามารถระดมคนเป็นล้านไปยึดกุมถนนหนทางต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ดั่งที่ประกาศไว้ จำนวนคนที่เข้าร่วมเท่าที่มีอยู่ก็นับแต่จะทยอยน้อยลงในท่ามกลางความรุนแรง ที่ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ นั้น ดร.วอรร์ชี้ว่าอย่างน้อยแกนนำเสื้อแดงก็ต้องไปดึงบุคลากรในแวดวงตำรวจและ ทหารจำนวนมหาศาลให้ตีจากรัฐบาล กับให้ขัดขืนคำสั่งของรัฐหากมีการตัดสินใจปราบปรามกวาดล้างการประท้วง แต่จะทำได้เช่นนั้น ขบวนการเสื้อแดงก็ต้องประสบความสำเร็จในการระดมคนไทยที่ยังขอตามดูห่างๆ ให้เข้าร่วมกระบวนได้อย่างล้นหลาม ซึ่งการณ์ปรากฏว่าแกนนำเสื้อแดงล้มเหลวในการสร้างปัจจัยเอื้อเหล่านี้ในทุก ทาง ต่อสู้เอาแต่ได้ ไม่ใส่ใจคนรากหญ้ามวลชนถอนถอยตีจากขอไม่เอาด้วย ในการนี้ ศาสตรจารย์วอร์อธิบายว่าต้นเหตุใหญ่ของความล้มเหลวคือ การที่ไม่หนักแน่นอยู่ในแนวทางไม่ใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะในยามที่ขบวนการคนเสื้อแดงสร้างความเดือดร้อนและขัดขวางการดำรงชีพ ตามปกติของผู้คนในกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนที่สำคัญประการหนึ่งคือ การคุกคามต่อสิทธิในการสัญจรด้วยระบบขนส่งมวลชนและการได้รับบริการสาธารณะ โดยผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนระดับแถวหน้าคือ คนยากคนจนซึ่งมีแทบจะไม่มีทางบรรเทาปัญหาได้เลย ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้มีอยู่ว่า คนยากคนจนเหล่านี้นั่นเองที่เป็นพันธมิตรหลักผู้ทรงพลังของขบวนการเสื้อแดง “ผมอยู่ในกรุงเทพฯ เกือบตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ไปยุติลงในค่ำคืนของวันที่ 19 พฤษภาคม” ดร.วอรร์เล่าเพื่อย้ำว่าข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ของตน เป็นข้อมูลปฐมภูมิ โดยเฉพาะในประเด็นที่ได้รับรู้มาว่า “ความเห็นของผู้คนที่อาศัยในกรุงเทพฯ สังเกตเห็นได้ว่าต่อต้านผู้ประท้วงแรงมากขึ้น แม้กระทั่งในหมู่คนขายอาหารริมถนนที่เคยตบมือเชียร์ขบวนรถของคนเสื้อแดงใน ช่วงแรกๆ” แกนนำเสื้อแดงแสดงให้เห็นว่าไม่ใส่ใจกับความทุกข์ยากที่พวกตนสร้าง ให้แก่ชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในกรุงเทพฯ ดร.วอรร์ชี้ประเด็นไว้ และระบุว่ามันส่งผลสะท้อนในทางบั่นทอนแรงสนับสนุนที่ขบวนการควรต้องดึงออกมา จากประชาชนให้ได้ และมันเป็นการเจริญรอยตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มเสื้อเหลืองที่พวกแกน นำเสื้อแดงโจมตีมาตลอด และนอกจากที่กลุ่มเสื้อแดงจะเจริญรอยตามแล้ว ยังดำเนินการด้วยวิธีที่รุนแรงกว่ากันอย่างมหาศาล คนเสื้อแดงก่อจลาจลระหว่างชุมนุมในกรุงเทพฯเมื่อเดือนพฤษภาคม ‘กองกำลังเสื้อดำ’จุดบอดการต่อสู้แนวเสื้อแดง กลุ่มชนที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงนั้น ประกอบด้วย 3 กลุ่มใหญ่ ซึ่งล้วนแต่มีวาระส่วนตัวที่ต่างๆ กันไป ดร.วอรร์ตั้งข้อสังเกตนี้ขึ้นมา พร้อมให้อรรถาธิบายว่า กลุ่มใหญ่สุดคือคนชนบทที่ไม่นิยมความรุนแรงอย่างแท้จริงและไม่มีการ นำอาวุธมาใช้ ผู้คนเหล่านี้มีทั้งผู้ชรา สตรี และเด็ก และตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงก่อนใครเพื่อน กลุ่มที่สองคือคนหนุ่มสาวเลือดร้อนในวัย 30 ปีลงมา ซึ่งคึกคักไปด้วยอาวุธทำเอง รวมถึงระเบิดเพลิง กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มชายลึกลับในชุดดำปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด พกพาอาวุธครบมือ และเป็นกลุ่มชนที่ได้รับการฝึกปรือในการใช้อาวุธมาเป็นอย่างดี โดยอาจเป็นหรือเคยเป็นบุคลากรในแวดวงทหารและตำรวจ “ในบรรดาเสื้อดำมากันจากหลายกลุ่ม แต่ดูว่าพวกนี้ประกอบด้วยนักฆ่ามืออาชีพ เพื่อดำเนินการตามใบสั่งของใครบางคน ซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยมุ่งให้มีการสังหารทหารและตำรวจ และหนึ่งในเป้าหมายของคนเสื้อดำนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระตุ้นให้ความ รุนแรงขยายวงกว้าง ด้วยหวังว่าจะทำลายเสถียรภาพและลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” ตอนหนึ่งของบทวิเคราะห์ระบุไว้อย่างนี้ และอธิบายผลกระทบจากยุทธศาสตร์การใช้บริการของคนเสื้อดำว่า “เป็นความล้มเหลวของฝ่ายนำในขบวนการเสื้อแดง ที่ปล่อยให้คนต่างขั้วทั้งสามกลุ่มนี้อยู่ร่วมกัน ในเมื่อความเคลื่อนไหวของทีมงานชายนิรนามชุดดำยังเดินหน้าอย่างอุกอาจ ย่อมหมายถึงว่าในท้ายที่สุดแล้วรัฐย่อมไม่มีทางเลือกอื่น หากจะต้องดำเนินการหยุดยั้งปฏิบัติการของคนเหล่านี้” เสื้อแดงยิ่งสู้ยิ่งหลุดห่างมวลชนถูกมองเป็นขบวนการน่าสะพรึงกลัว นอกจากนั้น ศาสตราจารย์แห่งเอเอ็นยูชี้ด้วยว่า มันยังหมายถึงว่าผู้ประท้วงเสียสิ่งที่สำคัญคือคะแนนเห็นใจจากคนกรุงเทพฯ พร้อมกับลิดรอนโอกาสที่จะสามารถดึงบุคลากรในแวดวงทหารตำรวจให้เทใจไปสนับ สนุนพวกตนเป็นจำนวนมากๆ ในอันที่จะก่อกระแสอารยะขัดขืนที่แท้จริงขึ้นมาเล่นงานและโค่นล้มรัฐบาล คนเสื้อแดงจุดไฟเผาร้านค้าใกล้สถานที่ประท้วง หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม ในเวลาเดียวกัน ได้มีการวิเคราะห์โดยนำประเด็นภราดรภาพแห่งชาวอีสาน/ชาวอีสานมาใช้อธิบายภาพ ของคลื่นสัมพันธ์ทางใจได้อย่างน่าสนใจว่า อันที่จริง ในบรรดาคนกลุ่มใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่เป็นคนยากจนและผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำนั้น มีจำนวนมหาศาลที่เป็นลูกหลานของคนอีสานกับคนเหนือซึ่งอพยพหนีความข้นแค้น เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ ในการนี้ คนเหล่านี้น่าจะถูกดึงเข้าร่วมกับชาวเสื้อแดงอีสานและเหนือที่เคลื่อน ไหวอย่างคึกคักในขบวนการโค่นล้นรัฐ แต่น่าเสียดายว่า ขณะที่การชุมนุมประท้วงลากยาวไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นจุดจบนั้น “ความขัดเคืองและความกลัวต่อพวกเสื้อแดงฮาร์ดคอร์และแทคติกส์ของคน เสื้อแดง ได้เข้าไปแทนทีความเห็นใจที่ผู้คนมากมายเคยให้แก่ขบวนการในช่วงก่อนๆ พวกเขาเรียกคนเสื้อแดงว่า ม็อบ ซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษที่พวกเขารับไปใช้ติดปากทั้งๆ ที่พวกเขาแทบไม่รู้จักศัพท์แสงใดๆ ในภาษาอังกฤษเลย” ศาสตรจารย์วอรร์เปิดประเด็นไว้อย่างนั้น โดยอธิบายนัยของคำว่า ม็อบว่า เป็นคำที่คนระดับรากหญ้าเคยใช้เรียกผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งใช้เสื้อ เหลืองเป็นสัญลักษณ์กลุ่มในปลายปี 2008 “คนกรุงเทพฯ หันมากลัวม็อบเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ และปรากฏว่าปฏิบัติการไล่เผา ปล้นสะดม และทำลายสถานที่ต่างๆ อย่างมากมายในค่ำวันที่ 19 พฤษภาคม แสดงให้เห็นว่า ความกลัวดังกล่าวมิใช่ว่าจะไร้มูลฐาน” บทวิเคราะห์อัปราชัยแห่งประชาธิปไตยไทย ชำแหละขบวนการเสื้อแดงอย่างตรงไปตรงมาทีเดียว แม้จะดึงทหารตำรวจสู่แนวร่วมก็เหลว หันไปตรวจสอบโอกาสดึงแนวร่วมจากในด้านของทหารตำรวจบ้าง ศาสตราจารย์แห่งเอเอ็นยูชี้ว่า อันที่จริงแล้ว บุคลากรในแวดวงทหารตำรวจที่ถูกระดมจากภาคเหนือและภาคอีสาน มีจำนวนมากมาย ในช่วงต้นของความขัดแย้งนั้น ยังพอมีโอกาสบ้างที่บุคคลเหล่านี้จะค่อยๆ เทใจไปร่วมอยู่ในขบวนการเสื้อแดงได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการคมกระสุนของกลุ่มชายนิรนามชุดดำ ที่เล่นงานทหารไทยซึ่งพกพาแค่โล่และไม้กระบองไปดำเนินปฏิบัติการขอคืน พื้นที่จากขบวนการเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน ได้ทำลายโอกาสตรงนี้ ดร.วอรร์วิเคราะห์ไว้อย่างนั้น พร้อมกับให้อรรถาธิบายความล้มเหลวของกลุ่มเสื้อแดงด้วยปัจจัยวิกฤตผู้นำ - “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นเอง ‘ทักษิณ’ผู้นำตัวพ่อ-อีกปัจจัยความล้มเหลว การวิเคราะห์ใน The destruction of Thai democracy ระบุเปิดประเด็นปัจจัยความล้มเหลวของขบวนการเสื้อแดงไปสู่ประเด็นผู้นำ โดยชี้ว่า โชคร้ายที่เสื้อแดงไม่มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ทางจริยธรรมอย่างมหาตมะ คานธี ฐานะของทักษิณในขบวนการก็เต็มไปด้วยความเคลือบคลุม ตามข้อมูลของทางการ ทักษิณเป็นนายทุนหลักของการประท้วง ในช่วงต้นพฤษภาคม ฝ่ายรัฐบาลเสนอโร้ดแมปเพื่อสันติภาพเพื่อให้ผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อแดงยุติการ บั่นทอนกรุงเทพฯ เหตุการณ์เดินหน้าเสมือนว่าจะสรุปจบได้อย่างดี แต่แล้วก็ลือกันว่าทักษิณสั่งแกนนำเสื้อแดงให้ถอนจากการเจรจา เพราะรัฐบาลมิได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ใดๆ แก่ทักษิณ โดยเฉพาะ การคืนพาสปอร์ต และการให้นิรโทษกรรมแก่ข้อหาคดีอาชญากรรมต่างๆ “เท่าที่ผมทราบ ในการกล่าวต่อสาธารณชนครั้งต่างๆ ทักษิณไม่เคยเรียกร้องชัดๆ ตรงๆ ให้ผู้ติดตามเขา ยึดมั่นในแนวทางไร้ความรุนแรง ... ยุคที่เขาเป็นรัฐบาลก็เต็มไปด้วยภาพของการโกงเลือกตั้ง การกดขี่เสรีภาพสื่อมวลชน การทำร้ายและสังหารคู่ต่อสู้ทางการเมือง อีกทั้งการรณรงค์สังหารหมู่ผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรและค้ายาเสพติด และอื่นๆ อีกมากมายที่รวมขมวดลงเป็นภาพความละโมภโทสันของบุคคลอย่างไร้ขอบจำกัด” ต่อไปข้างหน้าจะอย่างไรดี? ขบวนการต่อสู้ของเสื้อแดงอยู่ในภาวะพ่ายแพ้ แต่ความทุกข์ยากของพวกเขาต้องไม่ถูกละเลย ทั้งนี้ เป็นการดีที่ว่า ขณะนี้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเป็นการเดินหน้าในประเด็นของการปรองดอง ซึ่งรัฐบาลต้องให้คำมั่นแก่การจัดเลือกตั้ง และต้องเคารพต่อผลการเลือกตั้ง แม้ฝ่ายสนับสนุนทักษิณเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง พร้อมกันนั้น การขับเคลื่อนเพื่อให้มีการแก้ปัญหาความทุกข์ยากอันแท้จริงของชนชาวรากหญ้า ที่เข้ามาสวมใส่เสื้อแดงอยู่ระยะหนึ่ง เป็นไปอย่างเอาจริง มิใช่แค่ทำไปแค่นๆ เพื่อเอาตัวรอดเชิงการเมืองไปวันๆ แบบแค่ประคองไม่ให้ความรุนแรงปะทุตัวขึ้นใหม่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 กรกฎาคม 2553, 22:18:55 มือขวาเสธ.แดงในคืนมื้อสุดท้าย?
27 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:22 น. ภาพบุคคลรายนี้ ผุดขึ้นอีกครั้งเพราะพฤติกรรมแปลกๆเป็นจุดสนใจ เนื่องจากทีมการ์ดคุ้มกันเสธ.แดง นับสิบคนที่สวมชุดดำ มีรายนี้เท่านั้นจะควบมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ห่างๆ และที่สำคัญคือการสะพายเป้ โดยมีวัตถุชนิดหนึ่งอยู่ภายในจนตุงขึ้นมาโดดเด่น โดย ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว การเอาจริงเอาจังของกรมสอบสวนดคีพิเศษหรือดีเอสไอ ในการกระชากหน้ากากขบวนการก่อการร้ายสังหารเจ้าหน้าที่ทหาร ประชาชน ในช่วงเหตุการณ์เมษา-พฤษาเดือด ทำให้หลายคนลุ้นเอาใจช่วยนำคนผิดมาลงโทษให้ได้ ประเด็นหนึ่งที่ใกล้สาวถึงผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการเผาบ้านเผาเมือง เห็นจะเป็น การจับกุม นายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ” หรั่ง” โดยจากการสืบสวนสอบสวน พบพยานหลักฐานมัดแน่น ทำให้เจ้าหน้าที่มั่นใจสรุปสำนวนส่งฟ้องภายในสิ้นเดือนนี้ แต่ขณะเดียวกัน ดูเหมือนการจับกุมนายหรั่ง ทำให้ฝ่ายหนึ่งยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ซึ่งถ้ามองในแง่ดีก็เป็นไปตามหลักของการใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อตกเป็นผู้ต้องหาย่อมมีสิทธิจะได้รับการตั้งทนายต่อสู้คดี เหรียญมีสองด้าน เมื่อมองในแง่ดีแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งทางการเมืองไม่อาจปฏิเสธได้เลย ย่อมมีเสียงวิจารณ์เหมือนกันว่า ความพยายามของกลุ่มบุคคลในการหาทางช่วยเหลือนายหรั่ง เพื่อหวังตัดตอนไม่ให้ขยายผลคดีไปถึงบุคคลระดับบิ๊กก็เป็นได้ สิ่งที่ตอกย้ำเข้ามาอีก เห็นจะเป็นกรณี จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช. ผู้ได้เอกสิทธิ์เหนือเอกบุรุษ ใช้ความเป็น ส.ส.คุ้มครองไม่ต้องถูกคุมขังเหมือนผู้ต้องหาคดีป่วนเมืองรายอื่น ออกมาวิเคราะห์ตามแบบฉบับตรงข้ามรัฐบาลทุกเรื่อง ว่า นายหรั่งไม่ใช่มือขวาเสธแดง แต่เสธ.แดงน่าจะเป็นมือขวานายหรั่ง หรือล่าสุดโจมตีไปถึงหลังบ้านอธิบดีดีเอสไอเพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือต่อตัวอธิบดีดีเอสไอ แม้แต่ ทนายความเสื้อแดง ที่พยายามช่วยว่าความ ถึงขั้นเข้าไปพบนายหรั่ง แล้วออกมาบอกกับสื่อมวลชนว่า นายหรั่งไม่ใช่มือขวา มือขวาตัวจริงพรรคเพื่อไทยจะนำมาเปิดโปงเร็วๆนี้ จนสร้างความสับสนให้สื่อมวลชน แต่จนแล้วจนรอดกลับลำชี้แจงสื่อในวันรุ่งขึ้น ไม่มีมือขวาเสธ.แดง เป็นแค่การพูดเล่นกับสื่อเท่านั้น จนล่าสุดพรรคเพื่อไทยกระโดดเข้ามาดูแลปกป้องครอบอครัวนายหรั่ง ไม่ให้ข้อมูลกับดีเอสไอจนถูกตั้งข้อสังเกต มีอะไรลึกล้ำกว่านี้หรือไม่ที่เกรงจะไปกระทบถึง “มือมืดตัวพ่อ”แล้วจะสะเทือนไปทั้งองคาพยพ ผิดแผกแตกต่างจากคดีอ้อ-อ้าย ผู้ต้องหาบึ้มพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกลอยแพ แถมซ้ำเติมว่าไม่ใช่พวกแดงแท้ ภาพเปรียบเทียบบุคคลหน้าเหมือนสุรชัย ซึ่งถูกถ่ายได้ระหว่างการชุมนุม นปช.ที่ราชประสงค์ กับภาพสุรชัยที่ถ่ายหลังถูกจับกุม แม้มีขบวนการทำให้สังคมเกิดความสับสน อย่างไรก็ตามแต่ ความลับไม่มีในโลก ความจริงเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น เมื่อทีมข่าวโพสต์ทูเดย์เฝ้าติดตามเรื่องนี้ เกิดความทรงจำแล่นเข้าสมองทันทีหลังการจับนายหรั่งได้เป็นผลสำเร็จ เพราะทำให้นึกถึงบุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงเย็นแห่งความสลดของวันที่ 13 พ.ค. 53 เขาคนนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในช่วงเวลาที่ทีมข่าวได้นัดหมายพล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง สัมภาษณ์เปิดใจ ก่อนสองชั่วโมงที่นักรบป่าคอนกรีตจะถูกลอบยิง เขาคนนั้นทำหน้าที่ยืนเฝ้าระวังคุ้มกันความปลอดภัยให้เสธ.แดงอยู่ห่างๆ อีกทั้งขณะที่ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์กำลังนั่งรับประทานอาหารที่บริเวณเต้นท์นปช.จันทบุรีเยื้องโรงภาพยนต์สยาม เขาคนเดียวกันนี้ก็ไม่คาดคิดเหมือนกับทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ว่า นั่นคืออาหารมื้อสุดท้ายที่อยู่ร่วมรับประทานกับเสธ.แดง เหตุที่ภาพบุคคลรายนี้ ผุดขึ้นอีกครั้งเพราะพฤติกรรมแปลกๆเป็นจุดสนใจ เนื่องจากทีมการ์ดคุ้มกันเสธ.แดง นับสิบคนที่สวมชุดดำ มีรายนี้เท่านั้นจะควบมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ห่างๆ และที่สำคัญคือการสะพายเป้ โดยมีวัตถุชนิดหนึ่งอยู่ภายในจนตุงขึ้นมาโดดเด่น เป้ใบนี้เหมือนสมบัติสุดหวง ที่ไม่ยอมออกห่างกาย ทำให้เราต้องบอกช่างภาพโพสต์ทูเดย์ นอกจากเก็บแต่ภาพสัมภาษณ์เสธ.แดง ให้กดชัตเตอร์บุคคลรายนี้ไว้ด้วย … แทบไม่น่าเชื่อ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น หลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับตัวนายหรั่งมาได้ โดยที่ฝ่ายหนึ่งออกมาปฏิเสธทำนอง เสธ.แดงไม่มีคนแบบนี้เป็นมือขวา แต่ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ ขอบอก ใบหน้านายหรั่งดูช่างคลับคล้ายคลับคลาบุคคลที่ทีมข่าวบันทึกภาพไว้ ตั้งแต่ รอยแผลเป็นบริเวณคางด้านซ้าย ตรงกับภาพของสื่อมวลชนทั่วไปบันทึกได้ล่าสุด โดยที่นายหรั่งนำปลาสเตอร์ปกปิดอะไรบนคางด้านซ้าย ครั้นสังเกตบริเวณแขนซ้าย-ขวา นายหรั่งมีใจตรงกันกับบุคคลที่ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์บันทึกภาพอีกเช่นกัน เพราะเป็นรอยสักเกิดขึ้นบริเวณเดียวกัน จริงอยู่อาจมีคนบอกว่า ใครๆสามารถสักบริเวณแขนเหมือนกันได้ แต่เพ่งพิจารณา ลักษณะรอยสักช่างเป็นลักษณะเดียวกันเป๊ะ เพื่อการันตีความคุ้นเคย ภายหลังเสธ.แดงถูกยิง นักรบชุดดำเริ่มสับสนเพราะไร้ผู้นำตามแนวชายแดน ทำให้เราต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นเขาคนเดียวกันนี้ นั่งมอเตอร์ไซค์ยามค่ำคืนผลุบเข้าผลุบออกมานั่งพักอยู่บริเวณหลังเวทีแยกราชประสงค์ร่วมกับทีมการ์ดภายใต้การนำของ อารี ไกรนารา ซึ่งเคยตกเป็นข่าวระหองระแหงกับฝ่ายเสธ.แดงถึงขั้นยกพวกท้าทายกัน ก่อนวันที่เสธ.แดงถูกลอบยิง และที่จดจำได้ขึ้นใจ ก็คือ เป้น่าสงสัยใบนั้น ยังมีวัตถุตุงเด่นติดตัวไม่ห่างหาย หลังการมอบตัวของแกนนำนปช.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราเห็นหน้าอารี ไกรนารา ครั้งสุดท้าย ก่อนจะเล่นบทนินจาหายวับไปกับหมายจับ และเช่นกัน ไม่เห็นเขาคนนั้นซึ่งมีใบหน้า รูปร่าง ละม้ายคล้ายเหมือน นายหรั่งอีกเลย ???? ไม่ว่าคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จะออกมายืนยัน นายหรั่งไม่ใช่มือขวาเสธ.แดง ไม่มีนายนี้อยู่ร่วมทีมชุดดำ หรือปฏิเสธว่านายหรั่งไม่ใช่ครูฝึกนักรบพระเจ้าตาก ไม่เคยมีวีรกรรมยิงเอ็ม 79 ถล่มสถานที่ต่างๆ ก็คงต้องเป็นเรื่องที่กระบวนการยุติธรรมจะพิสูจน์ออกมา แต่สำหรับผู้อยู่ในเหตุการณ์ค่ำคืนแห่งความระทึกราชประสงค์ บุคคลที่เราจับตาด้วยพฤติกรรมผิดสังเกตจากเป้น่าสงสัย เขาดูละม้ายคล้ายเหมือนนายหรั่งเสียเหลือเกิน แม้ฝ่ายหนึ่งพยายามบอกว่าไม่ใช่ แต่ฝ่ายที่มั่นใจในพยานหลักฐาน เขาก็มีสิทธิที่จะบอกว่า นี่แหละใช่เลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กรกฎาคม 2553, 10:45:56 ยูเนสโกหนุนไทย-เขมรเจรจาพระวิหาร
28 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:02 น. | เปิดอ่าน 1,408 | ความคิดเห็น 23 ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกเรียกร้องให้ไทย-กัมพูชามีการร่วมหารือเรื่องการคุ้มครองปราสาทพระวิหาร ระบุการคุ้มครองมรดกโลกเป็นการสร้างสันติภาพ เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ไอรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เรียกร้องให้มีการหารือในการคุ้มครองปราสาทพระวิหาร และเน้นย้ำถึงบทบาทของอนุสัญญามรดกโลกปีพ.ศ. 2515 ในฐานะสื่อกลางเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไอรินา โบโกวา แสดงความคิดเห็นหลังการประท้วงหน้าสำนักงานองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงบราซีเลีย (ประเทศบราซิล) เพื่อพิจารณาการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในปีพ.ศ. 2551 ในการพบปะกับตัวแทนจากทั้งประเทศไทยและกัมพูชา โบโกวาได้เน้นย้ำถึงความห่วงใยที่คณะกรรมการมรดกโลกมี นั่นคือการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกโลกด้วยความเคารพและปราศจากอคติ ที่มีต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศสมาชิก หรือต่อการอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอาณาเขต "การคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของพวกเรา หมายความถึงการสร้างสันติภาพ ความเคารพ และความสามัคคี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจขององค์การยูเนสโก นี่คือความรับผิดชอบหลักที่มีความเข้าใจตรงกัน คือการให้มรดกโลกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ การร่วมหารือ และความปรองดองซึ่งกันและกัน" โบโกวา กล่าว คลิ๊กชมจดหมายข่าวฉบับภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ยูเนสโกได้ที่นี่ http://www.unescobkk.org/information/news-display/article/director-general-of-unesco-calls-for-dialogue-in-safeguarding-the-temple-of-preah-vihear/ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กรกฎาคม 2553, 10:53:02 ผ่าอินไซค์ครม.อธิปไตยชาติสำคัญกว่ามรดกโลก
เรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็นเซทีฟ การแสดงจุดยืนอธิปไตยสำคัญที่สุด ถ้าแลกระหว่างอธิปไตยกับมรดกโลกเราไม่เอามรดกโลก โดย...ทีมข่าวการเมืองposstoday online 29 กค 53 สถานการณ์แนวชายแดนต่อกรณีกัมพูชาเสนอยูเนสโกให้มีมติรับรองปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาตามมา ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 28 ก.ค. เป็นไปด้วยความตรึงเครียดยาวนานกว่า 40 นาที ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แจ้งที่ประชุมครม.ว่าขณะนี้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปประชุมคณะ กรรมการมรดกโลกที่บราซิล นายสุวิทย์ได้รายงานตรงถึงตนเองตลอดเวลานับแต่ออกเดินทางไปที่บราซิล โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกัมพูชา "นายสุวิทย์ได้แจ้งกับผมว่า มีความรู้สึกว่าเราจะแพ้ เนื่องจากตามข้อกำหนดกัมพูชา ต้องมีการส่งเอกสารให้ไทยก่อน 6 เดือน แต่กลับไม่ส่ง ที่สำคัญมีการแนบแผนที่ 1: 200,000 ตร.กม. โดยเขาเสนอพื้นที่ด้านทิศใต้ ทิศตะวันออก ซึ่งถ้าดูจากแผนที่ พื้นที่พิพาทด้านทิศเหนือ ตะวันตก แบ่งตามสันปันน้ำเป็นพื้นที่ของเรา ดังนั้นเราจึงไม่ยอมรับแผนที่ของเขา แต่เขาใช้วิธีว่า ให้ไทยช่วยดูแลร่วมกับกัมพูชา จึงเป็นประเด็นว่า ถ้ายูเนสโกประกาศเป็นมรดกโลกจะกันอาณาเขตที่เป็นข้อพิพาทหรือไม่ ผมเห็นว่า เวลานี้จึงไม่เห็นควรให้เป็นมรดกโลกแต่ควรมาคุยกันเรื่องแผนที่ การปักปันให้เรียบร้อยก่อน"นายกฯกล่าว นายกฯ กล่าวว่า นายสุวิทย์ ได้รายงานด้วยว่า กัมพูชาเดินทางไปล็อบบี้ชาติสมาชิกก่อนประเทศไทย และได้บอกกับตนว่าท่าทีของไทยเรื่องนี้ควรที่ไทยจะถอนตัวออกจาก ที่ประชุม แต่อยากขอความเห็นจากที่ประชุมครม.ก่อน หลัง จากนายอภิสิทธิ์แจ้งเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแต่ละคนแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็มีรัฐมนตรีหลายคนแสดงความคิดเห็นเช่นนายนิพิฐ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรมที่บอกว่าการตัดสินใจเรื่องนี้รัฐบาลต้องทำให้ไทยได้ประโยชน์ สูงสุด ขณะที่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวเสนอว่าประเทศไทยต้องมีความระมัดระวังในการพิจารณาและหาทางออกเรื่องนี้ ส่วนนายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม แสดงทัศนะไว้ว่าเท่าที่ได้ติดตามเรื่องคิดว่ากัมพูชาไม่ได้ต้องการให้ปราสาทพระ วิหารเป็นมรดกโลกแต่วัตถุประสงค์ที่กัมพูชาต้องการคือดินแดนที่เป็นปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชามากกว่า และไม่แน่ใจในท่าทีของยูเนสโกเนื่องจากไม่ตอบสนองหรือยืนข้างประเทศไทย และเรื่องนี้ถึงท้ายที่สุดเราต้องยึดหลักอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รายงาน แจ้งด้วยว่าจากนั้นนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศแสดงความเห็นว่าองค์กรระหว่างประเทศไม่ค่อยให้ความเป็นธรรม กับไทย ไม่โปร่งใส จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งซึ่งโดยปกติแล้วเรื่องแบบนี้ต้องพิจารณาให้เสร็จ สิ้นเสียก่อนถึงค่อยนำเสนอแผนการบริหารพื้นที่ แต่การที่ไทยจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาคียูเนโกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อทำหนังสือไปแล้วต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีกว่าที่การถอนตัวดังกล่าวจะ มีผล อีกทั้งเรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ ต้องนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จากนั้นนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เสนอว่ารัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องอธิปไตยของประเทศโดยเฉพาะอธิปไตย ดินแดนประเทศ "เรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็นเซทีฟ การแสดงจุดยืนอธิปไตยสำคัญที่สุด ถ้าแลกระหว่างอธิปไตยกับมรดกโลกเราไม่เอามรดกโลก"นายไชยยศ กล่าวเสียงหนักแน่น หลัง อภิปรายกันอย่างหนัก แสดงความคิดเห็นกันหลายคน ที่ประชุมจึงเสนอแนวคิดให้ไทยถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกของยูเนโกเสียเลย และในการประชุมที่บราซิลก็ควรที่ไทยจะต้องเปลี่ยนที่นั่งจากผู้เข้าร่วม ประชุมมาเป็นผู้สังเกตการณ์แทนหรือให้วอล์คเอาท์เพื่อแสดงการประท้วง หรือไม่ร่วมโหวตใดๆ แต่ถ้าหากประเทศไทยจะประกาศถอนตัวหรือจะอยู่ต่อ ก็ควรต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าจะร่วมกิจกรรมกับยูเนสโกต่อหรือจะถอนตัวออกมา เลย แต่รัฐมนตรีหลายคนก็ท้วงว่าถ้าไม่ถอนตัวแต่ยังคงรักษาสิทธิในที่ประชุมของยู เนสโกอยู่ ก็ยังมีสิทธิในการแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนข้อพิพาทอยู่ จากนั้นนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง จึงถามในที่ประชุมว่าการถอนตัวหรือคงอยู่ในการเป็นภาคียูเนสโกมีผลดีหรือผล เสียอย่างไร อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อที่ประชุมด้วยว่า นายสุวิทย์จะเช็คเสียงที่ประชุมครั้งสุดท้าย ขณะเดียวกันยังมีสิทธิ์ที่จะอ่านแถลงท่าทีก่อน โดยแสดงจุดยืนอธิปไตยของไทยเหนือดินแดน และยูเนสโกไม่ควรทำให้เกิดความแตกแยก เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย ซึ่งถ้าหากเขายืนยันประชุมต่อ ก็จะให้นายสุวิทย์ดูเหตุการณ์ตรงนั้นว่าเราจะชนะหรือแพ้ ถ้าสูสีให้ลงมติ แต่ถ้าเห็นว่าหากลงคะแนนแพ้แน่ ก็ให้วอล์คเอาท์ แล้วให้บุคลากรของเรานั่งสังเกตการณ์ จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปว่าเรื่องนี้ทางออกมีสามแนวทางที่รัฐบาลยึดถือคือมติครม.ยังคงยืนยันว่า ไม่ยอมรับและคัดค้านแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารของกัมพูชา แต่ว่าการที่จะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรจะประชุมต่อหรือจะวอล์คเอาท์อยู่ที่ ดุลยพินิจของนายสุวิทย์ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย และไทยจะพิจารณาทบทวนการเป็นภาคีของยูเนสโก และภายในวันนี้ครม.จะต้องแจ้งท่าทีและความจำนงของรัฐบาลไปยังสำนักงานยูเนส โกที่ฝรั่งเศสและบราซิลภายในคืนนี้ นอกจากนี้นาย อภิสิทธิ์ยังได้สั่งให้นายกษิต ภิรมย์ ทำหนังสืออย่างเป็นทางการในนามกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแสดงท่าทีดังกล่าว ไปยังการประชุมยูเนโกที่บราซิลรวมถึงสำนักงานที่ฝรั่งเศล ว่ารัฐบาลไทยไม่ยอมรับกับแผนพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารของกัมพูชา ด้วยเหตุว่าหากยูเนโกให้การยอมรับแผนดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง ความตระหนกกับคนในประเทศอย่างมากและยูเนสโกไม่ควรทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 กรกฎาคม 2553, 09:19:20 วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 05:56:11 น. มติชนออนไลน์
คนไทยได้เฮ!คกก.มรดกโลกมีมติไม่พิจารณาแผนพัฒนาพระวิหาร เลื่อนไปปีหน้า "สุวิทย์"หน้าบาน"มาร์ค"โทรยินดี ด่วน!! คณะกก.มรดกโลกมีมติยังไม่พิจารณาแผนพัฒนาปราสาทพระวิหาร ให้เลื่อนไปประชุมปีหน้าที่บาห์เรน เพราะไทย-เขมรยังขัดแย้งกันอยู่ "สุวิทย์"ขอบคุณคนไทยทุกคน ทุกหน่วยงาน ภาคส่วน เผย"มาร์ค"โทรยินดีแต่เช้า ไม่ได้นอนทั้งคืน ที่ประชุมมรดกโลกที่บราซิล มีมติเลื่อนแผนการบริหารจัดการพระวิหารในการประชุมปีหน้า หลังล็อบบี้ไทย-เขมรไม่สำเร็จ รายงานข่าวล่าสุด เมื่อเวลา 05.30 น. เช้ามืดวันที่ 30 กรกฏาคม (เวลาประเทศไทย) ระบุว่า ประชุม คณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล มีมติให้เลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการ พื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร มรดกโลกของกัมพูชาออกไป เป็นปีหน้าที่ประเทศบาห์เรน หลังจากที่ ตัวแทนของกรรมการมรดกโลกได้พยายามเจรจากับตัวแทนของไทย กับกัมพูชา นอกรอบให้ได้ข้อยุติก่อน โดยมีประชุมทีละฝ่าย่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงมีมติให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน ต่อมาเมื่อเวลา 06.15 น. วันที่ 30 ก.ค. นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางทีวีช่อง 3 ถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล มีมติให้เลื่อน การพิจารณาแผนการจัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออกไปในการประชุมปี 2554 ที่ประเทศบาห์เรน ว่า ในเรื่องดังกล่าวตนต้องขอขอบคุณคนไทยทุกคน จากทุกภาค ทุกหน่วยงาน นักวิชาการ รวมถึงทีมงานทุกคน ที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้ ทางคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยก่อนหน้านี้ ทั้งตน และทางทีมงานที่เกี่ยวข้องซึ่งทุกคนได้แบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แม่ทัพน้อย เจ้ากรมแผนที่ทหาร ฯลฯ รวมถึงหน่วยงานภาคประชาชน และคนไทยทุกคนได้ร่วมการคัดค้านเรื่องดังกล่าวกันอย่างเข้มข้น ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เป็นกำลังใจให้ รวมถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายกฯ ก้ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีเช่นกัน ทั้งที่เมื่อคืนนี้ ท่านไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะติดตามข่าวสารกันตลอด ทั้งนี้ นายสุวิทย์ กล่าวว่า สำหรับมติดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และต่อจากนี้ ท่างทีมงานก็จะได้เตรียมหลักฐานและเอกสารเพื่อดำเนินการในการต่อสู่เพื่อไม่ ให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารต่อไปอย่างที่ ทำกันมาตลอด ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ต่างก็เริ่มเข้าใจประเทสไทยได้ดีขึ้น ว่า เราเป็นประเทศรักสันติ รวมถึงประธานคกก.มรดกโลกก็สนับสนุนการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อให้ความขัดแแย้งได้รับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล แจ้งว่า นายสุวิทย์อยู่ระหว่างเจรจาให้คณะกรรมการมรดกโลกดึงวาระการพิจารณาแผนการ จัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออก วันที่ 29 กรกฎาคม เวลาประมาณ 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศบราซิล ซึ่งตรงกับ 19.00 น. ในเวลาประเทศไทย จะประชุมบูโร (กรรมการบริหาร) ดังนั้น จะใช้โอกาสนี้พยายามเจรจาเพื่อดึงวาระดังกล่าวออกจากการพิจารณาอีกครั้ง แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 28 กรกฎคม ตามเวลาท้องถิ่น นายสุวิทย์เจรจานอกรอบกับนายซกอาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และหารือเกี่ยวกับแผนบริหารการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเอกอัครราชทูตบราซิลเป็นผู้ดำเนินการให้เจรจา บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที นายซกอานแจ้งกับคณะฝ่ายไทยว่าได้ยอมให้ไทยมามากแล้ว และชี้แจงว่า แผนบริหารไม่ได้นำเขตแดนด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหารมาเป็นส่วนหนึ่งของ พื้นที่บริหารจัดการ แต่คณะผู้แทนไทยแย้งว่าทางทิศตะวันออก (ด้านบันไดหัก) ยังไม่ได้กันพื้นที่ และยังมีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนอยู่ ดังนั้น ประชาชนไทยคงรับไม่ได้ นอกจากนี้ ยังพูดคุยเนื้อหาในเอกสารรายงานสภาพการอนุรักษ์ ซึ่งทางไทยรับไม่ได้ใน 2 ข้อ แต่ทางกัมพูชายืนยันว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะกัมพูชามีโครงการต่างๆ ในพื้นที่ และมีระยะดำเนินการ 2 ปี ในที่สุดการเจรจาก็สิ้นสุดลงโดยไม่สามารถตกลงกันได้ แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการตอบโต้ของคณะผู้แทนไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นต้องถอนตัวจากที่ประชุม หรือลาออกจากคณะกรรมการมรดกโลก และสมาชิกภาคีอนุสัญญาฯ แต่มาตรการตอบโต้จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก คือ ไม่ยอมรับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร และไม่ยอมรับรายงานสภาพการอนุรักษ์ที่กัมพูชาจะเสนอต่อที่ประชุม หากที่ประชุมยังยืนยันจะพิจารณาวาระดังกล่าว คณะผู้แทนไทยจะออกแถลงการณ์ตำหนิและประณามการทำงานของฝ่ายเลขานุการคณะ กรรมการมรดกโลกที่ฝ่าฝืน และละเว้นกฎการประชุมกรณียินยอมให้กัมพูชาเสนอแผนการบริหารจัดการ ซึ่งตามข้อกำหนดจะต้องเสนอก่อนการประชุม 6 สัปดาห์ แต่กัมพูชากลับส่งและแจกในที่ประชุมตอนเวลา 15.00 น. วันที่ 27 กรกฎาคม เท่ากับยื่นเอกสารก่อนการประชุมไม่ถึง 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ การออกแถลงการณ์เพื่อต้องการให้บันทึกไว้ในที่ประชุม เพื่อเป็นหลักฐานว่าทางการไทยไม่ยอมรับแผนดังกล่าว แต่หากยังไม่เป็นผลผู้แทนไทยจะเดินออกจากที่ประชุมทันที หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 กรกฎาคม 2553, 13:14:04 เลวได้ใจครับพี่น้อง ทนายของตักขี้
ทนายทักษิณ ประณามรบ.ไทย ทำตัวอันธพาล 30 กรกฎาคม 2553 เวลา 10:19 น. โร เบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เผยแพร่บทความผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว โจมตีรัฐบาลไทย ระบุ กำลังทำตัวเป็น "อันธพาล"แสดงพฤติกรรม"ขู่เข็ญคุกคาม" อย่างโจ่งแจ้งต่อประชาคมโลก กรณีขู่วอล์คเอาต์ ออกจากเวทีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล โร เบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวแคนาดา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เผยแพร่บทความชิ้นล่าสุดผ่านทางเว็บไซต์ส่วนตัว โจมตีรัฐบาลไทย ชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า กำลังทำตัวเป็น "อันธพาล"และแสดงพฤติกรรม"ขู่เข็ญคุกคาม" อย่างโจ่งแจ้งต่อประชาคมโลกในกรณีที่ออกมาขู่จะ "วอล์คเอาต์" ออกจากเวทีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่บราซิล หากไม่สามารถขัดขวางคณะกรรมการชุดดังกล่าวให้ยุติการพิจารณาแผนการบริหาร จัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชาได้ อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นเจ้าของ สำนักงานกฎหมายระดับโลก "อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีร็อฟฟ์" กล่าวประณามท่าทีของรัฐบาลไทยต่อกรณีปราสาทพระวิหารผ่านทางเว็บไซต์ว่า เป็นท่าทีที่ประเทศ ซึ่งเป็นสมาชิกที่ดีของประชาคมโลกไม่สมควรกระทำและเป็นพฤติกรรมที่แสดงออก ถึงความไม่เคารพกติกาสากลระหว่างประเทศ พร้อมชี้ว่ารัฐบาลไทยกำลังเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาทางการเมืองของตัวเอง ด้วยการสร้างเรื่องโกหกให้เกิดสงครามเทียมกับกัมพูชาแทน ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ กำลังร่วมมือกับกลุ่มคนเสื้อเหลือง" ต่อสู้เรื่องปราสาทพระวิหาร ทั้งๆ ที่โบราณสถานเก่าแก่แห่งนี้เป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมของกัมพูชา และ ยังมีที่ตั้งอยู่ใน"เขตแดนของกัมพูชา" ชัดเจน พร้อมแสดงความข้องใจถึงท่าทีของรัฐบาลไทยที่พยายามขัดขวางการ ดำเนินการใดๆ ของฝ่ายกัมพูชาในการบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร โดย"ไม่แยแส"ต่อคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ที่ตัดสินให้ปราสาทแห่งนี้ตก "เป็นของกัมพูชาโดยชอบธรรม" นอกจากนี้ อัมสเตอร์ดัม ยังกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ กำลังเปิดทางให้กลุ่มคนเสื้อเหลืองออกมาก่อความวุ่นวาย และ ยั่วยุให้เกิดการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งที่ในเวลานี้ยังคงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ห้ามการชุมนุมใดๆ เกินกว่า 5 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นว่ารัฐบาลไทยและกฎหมายของไทย มี "2 มาตรฐาน"อย่างชัดเจน ตอนท้ายของบทความ ยังกล่าวหารัฐบาลอภิสิทธิ์ว่า กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพ และ ทำตัวเป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ จากความพยายามในการเปิดศึกกับประเทศเพื่อนบ้านของตัวเองอย่างกัมพูชาในขณะนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 กรกฎาคม 2553, 22:55:48 อภิวันท์ ด่ากราดอำมาตย์ทำลายทรท.ยันพท.
30 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:16 น.posttoday รองประธานสภา ปราศรัยดุ ด่ากราดอำมาตย์ ทำลายทรท.ยันพท. เวลา 19.30 น. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ปราศรัยที่ตลาดนัดจตุจักร จ.ลำพูนว่า วันนี้มีข่าวดี นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช. ได้รับการประกันตัวชั่วคราว แต่เขาห้ามออกนอกกทม.และห้ามออกมาพบกับพี่น้องเสื้อแดง นับว่าเป็นข่าวร้าย ซึ่งในวันพรุ่งนี้แกนนำอีก 12 คน ก็จะขอยื่นประกันตัว แต่ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะซวยกว่าเพราะบ้านอยู่นนทบุรี ซึ่งเขาจะห้ามออกกทม. ก็เพิ่งเคยพบเห็นประกันตัวที่ห้ามออกนอกกทม.และอย่างนี้จะไปไหนได้ “วันนี้กูไม่เอาคนหน้าหล่อ เอาแต่คนหน้าเหลี่ยม คนหน้าหล่อใจคออำมหิต แต่คนหน้าเหลี่ยมเขารักประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพราะ อำมาตย์มันเอาเรื่อง มีบุรุษสูงไม่ปรากฎเพศแน่ชัด อาละวาดแล้ว ยุให้ปฏิวัติ ผมเรียกมันว่าขันทีเฒ่าที่มาทำลายทักษิณ พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย แต่กูจะไม่ยอมมึงอีกแล้ว วันนี้เราอยู่ในรัฐบาลภายใต้อุ้งตีนอำมาตย์ และได้เผด็จการซ่อนรูปที่พม่ายังกลัวไม่ให้เข้าประเทศเพราะกลัวจะติดเชื้อ และได้รัฐบาลเด็กๆ ที่ทำอะไรไม่เป็น พ.อ.อภิวันท์ ปราศรัยอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนว่า ผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาลนี้มีเพียงเรื่องหมีแพนด่าหรือ “ไอ้หมีหน้าฮ๊าก” รัฐบาลไอ้มาร์คเป็นประชาธิปไตยแดกได้ เพราะมันทุจริต ต่างจากประชาธิปไตยยุคทักษิณที่กินได้ เช็คช่วยชาติเป็นเช็คชาติชั่ว ชุมชนพอเพียงก็เป็น ชุมชนแพงเพียบ เรือเหาะซื้อมาไม่ทันไร ก็รั่วแล้ว มากล่าวหาเรื่องท่อน้ำเลี้ยง แต่ตรวจสอบก็ไม่เจอเสียที เจอก็แต่ท่อน้ำเชื้อ ซึ่งใช้การไม่ได้แล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 สิงหาคม 2553, 09:59:05 ทำไม?ส.ส.ต้องขายตัว
โดย : เฉลา กาญจนา kanchanatuk@hotmail.com ช่วงนี้อากาศแปรปรวนพอๆ กับคนการเมืองที่ความคิดเริ่มแปรปรวน...รวนเร หาโอกาสจังหวะคิดย้ายพรรคกัน "อุตลุด" ฉะนั้น จึงไม่แปลก นับจากนี้ไป "ตลาดนัด" ช้อป ส.ส.จะกลับมาคึกคักอีกรอบ ข่าวซื้อตัว ส.ส.ช่วงนี้หนาหูขึ้นทุกวัน...เรื่องนี้ให้ดีต้องฟังหูไว้หู เพราะในทางการเมืองคงไม่มีพรรคไหนที่เลือกลงทุน ทุ่มเงินซื้อตัวล่วงหน้า ทั้งที่ยังไม่รู้อนาคต วันเวลาเลือกตั้งที่แน่นอน อย่างมากทำได้แค่ "จีบๆ" หรือไม่ก็สัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่ เป็นยาหอมล่วงหน้า แต่ถ้าถึงขั้นทุ่มเงิน 20-30 ล้านบาท เพื่อซื้อ ส.ส.ตั้งแต่วันนี้บอกได้เลยว่าแค่ "ราคาคุย" ตัวอย่างเห็นชัดๆ ที่พรรคภูมิใจไทยของ "เสี่ยเนวิน ชิดชอบ" ตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นพรรคการเมืองดาวรุ่ง ที่เพียบพร้อมทั้ง "ทุนทรัพย์และอำนาจ" อย่างโดดเด่น ทำเอา ส.ส.จากหลายพรรคเริ่มอ่อนไหว เอนเอียง เข้าคิวรอ ส่วนจะยั่งยืนถาวรแค่ไหน คงเป็นเรื่องอนาคต ต้องรอพิสูจน์เมื่อถึงวันเลือกตั้งจริง แม้ 2 วันที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยจะชิงโอกาสเปิดตัว ดูด ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา 6 คน แต่ "กลุ่มชลบุรี" ของ "สนธยา คุณปลื้ม" น่าจะยังอยู่ในอาการจดๆ จ่อๆ รายหลังแว่วๆ มาว่าเริ่มมีการทำสำรวจความนิยมจากคนในพื้นที่แล้ว ผลที่ออกมา "ยังไม่ปลื้ม" ฉะนั้นจึงไม่แน่ใจว่า ตอนจบกลุ่มชลบุรีจะคิดอย่างไร เมื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่เขาเรียกว่า "ส.ส.ขายตัว" ก็คงหนีไม่พ้น "เงิน" ที่เป็นแรงดึงดูดเวลานี้ เพราะ ส.ส.ก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ถ้าจะอยู่กับพรรคที่มี "ค่าหัวต่ำ" ย่อมเป็นปัญหาแน่นอน การเป็น ส.ส.มันคืออาชีพๆ หนึ่ง ในเมื่อต้นสังกัด "ลดเงินเดือน" ด้วยการตัดโน่นตัดนี่ ฉะนั้นบรรยากาศการกระเสือกกระสนหาที่อยู่ใหม่จึงเป็นเรื่องปกติละครับท่าน จากการตรวจสอบ ค่าหัวรายเดือน ส.ส.แต่ละพรรค จะไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามฐานะ พรรคเล็ก ไม่เกิน 10 คน ค่าหัวรายเดือนเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 200,000 บาทต่อเดือน พรรคกลางๆ อยู่ที่ 70,000-100,000 บาทต่อคนต่อเดือน ถ้าพรรคใหญ่ระดับต้นๆ อยู่ที่ 50,000-70,000 บาท สถานการณ์วันนี้ พรรคเล็กจะจ่ายค่าหัวรายเดือนสูงกว่าพรรคใหญ่ ถ้าเป็นพรรคใหญ่ที่มั่นคง อัตราค่าหัวรายเดือนของ ส.ส.จะไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก แม้กระทั่งตัว ส.ส.เอง แต่ถ้าเป็นพรรคใหญ่ ที่อยู่ในอาการแพแตกประเภท "หัวขาด" แถมค่าหัวรายเดือนลดลง โอกาสตีจากหรือหาที่ซุกหัวใหม่จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าคำนวณคร่าวๆ ค่าหัวรายเดือน ส.ส.เฉลี่ยที่คนละ 100,000 บาท ตามรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ รวมเบ็ดเสร็จ 480 คน จะเห็นว่าภาระที่พรรคการเมืองต้องจ่ายให้ลูกพรรคปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 576 ล้านบาท หากรวมรายจ่ายอื่นๆ เชื่อไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หากเป็นการเลือกตั้งค่าใช้จ่ายต่อหัวของผู้สมัคร ส.ส. จะสูงกว่าที่ปรากฏอีกหลายเท่าตัว โดยเฉพาะพรรคเล็ก หลายพรรคบอกตรงกันว่า ต้องใช้เงินเฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 60-80 ล้านบาท อัตราที่ว่านี้ส่วนใหญ่สอบผ่าน แต่สำหรับพรรคใหญ่ ค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ที่ 30-40 ล้านบาท เงิน ส.ส.ทั้งที่เป็นค่าหัวรายเดือนและค่าใช้จ่ายเลือกตั้งจะเห็นว่าสูงอย่างน่าแปลกใจ และนับวันจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจะเห็นว่า วันนี้มีพรรคการเมืองบางพรรคหันมาใช้วิธี "เกทับด้วยเงิน" ยิ่งไปกว่านี้ ทุกวันนี้เริ่มมีแกนนำบางพรรค "ไดเร็คเซล" เข้าหา ส.ส.ยื่นข้อเสนอแบบ "ลดแลกแจกแถม" เพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ส.ในสังกัด ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เห็นการใช้จ่ายเงินของ ส.ส.แต่ละคน รู้สึกใจหายแทน ทำให้คิดต่อไปว่า แต่ละพรรคที่ลงทุนกับการเลือกตั้งครั้งละเป็นพันๆ ล้านบาทอย่างนี้ แล้วคิดจะ "ถอนทุนคืน" กันขนาดไหน ผลกรรมที่ตามมาสำหรับประเทศไทย มันถึงไม่ค่อยเจริญอย่างที่เห็นๆ ละครับพี่น้อง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือปัญหาคอร์รัปชัน ที่นับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 สิงหาคม 2553, 09:58:24 วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:24:07 น. มติชนออนไลน์
มติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา103ต่อ4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์"แม้ว-พวก"4.6หมื่นล. คดียุติตกเป็นของแผ่นดิน มติ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 103 เสียง ไม่รับอุทธรณ์ยึดทรัยพ์ 4.6 หมื่นล้าน ครอบครัวชินวัตร ชี้ไร้พยานหลักฐานใหม่ คดียุติตกเป็นของแผ่นดิน ตามคำพิพากษา "กรณ์"บอกเงินเข้าคลังหมดแล้ว ที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา มีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และพวก จำนวน 46,373,687,454.70 บาท ด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 เสียง เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นที่ ทนายพ.ต.ท.ทักษิณยื่นอุทธรณ์มาจำนวน 5 ประเด็นนั้นไม่มีหลักฐานใหม่แต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ ที่ศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 ส.ค. นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกาเป็นประธานประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา เพื่อพิจารณาอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก รวม 22 คน ผู้คัดค้าน เรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน (ชั้นพิจารณาอุทธรณ์) ว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ การประชุมครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 142 คน มาประชุมเพียง 119 คน ขาดประชุม 23 คน เนื่องจากบางคนป่วย บางคนลากิจล่วงหน้า เป็นต้น จึงมีมติเสียงข้างมากดังนี้ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 103 เสียง (จากยอด 119 เสียง) เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 4 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง กรณีของ คุณหญิงพจมาน ผู้คัดค้านที่ 1 เห็นควรไม่รับอุทธรณ์ 101 เสียง เห็นควรให้รับ 4 เสียง ส่วนกรณี นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สมควรรับอุทธรณ์ 99 คน เห็นควร 2 เสียง ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมใหญ่ลงมติไม่รับอุทธรณ์ ถือเป็นการสิ้นสุดกระบวนการคดีเป็นอันยุติ โดยทรัพย์สินทั้งหมด 46,373 ล้านบาท จะตกเป็นของแผ่นดิน นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะต้องรอดูรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุผล ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติเสียงข้างมากที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว โดยขณะนี้ ทีมทนายความยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ อนึ่ง ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)และเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.70 ล้านบาท ในชื่อบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ นายพานทองแท้ น.ส.แพทองธาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมา ศาลฎีกาได้ออกแถลงการณ์ว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้น และเงินปันผลหุ้นของ บริษัท ชินคอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373,678,454.70 บาท พร้อมดอกผล เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคาร ส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2553 ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และเมื่อวันที่ 27 เม.ย.2553 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เลือกองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ 5 คน ประกอบด้วย นายพีรพล พิชยวัฒน์ รองประธานศาลฎีกา นายสมศักดิ์ จันทรา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา และนายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา โดยองค์คณะผู้พิพากษา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ได้ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณา ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้วมีมติว่า อุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 278 วรรค 3 ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์อุทธรณ์พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ข้อ 3 - 6 จึงไม่รับไว้พิจารณา "กรณ์"บอกเงินเข้าคลังหมดแล้ว ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้ติดตามเงินทั้งหมดโอนเข้ามาอยู่ในคลังแล้ว ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมที่จะต้องทำอีก ถือว่าเป็นรายได้สมทบที่จะสามารถนำมาใช้ในการสร้างความเข้มแข็งของประเทศได้ เพราะถือว่าเป็นเงินของประชาชนตั้งแต่ต้นจึงกลับคืนมาเป็นของประชาชน จะมีการดำเนินการตามขั้นตอน ถือว่าเป็นการเสริมเงินคงคลัง ส่วนที่ศาลมีมติชัดเจนว่าไม่พิจารณาการยื่นอุทธรณ์ถือว่าจบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 สิงหาคม 2553, 20:27:03 'น้องเดียร์'เปลี่ยนข้างเป็น”แดง”หวังแก้แค้น 'บูรพาพยัคฆ์'
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 13 สิงหาคม 2553 22:26 น. ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังการจากไปของ 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แกนนำเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกลอบยิงกลางที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ที่ราชประสงค์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมา นอกจาก 'กองกำลัง' ของเสธ.แดง ส่วนหนึ่งจะจะย้ายไปอยู่ในสังกัดของ 'พลเอก ส.' และส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่กับ 'เสธ.อ.' แล้ว สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่คาดฝันก็คือ 'น้องเดียร์' ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวสุดที่รักของเสธ.แดง ซึ่งก่อนหน้าที่นี้เคยร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมทั้งประกาศตัวผ่านสื่อหลายฉบับว่าเป็น 'เสื้อเหลือง' ก็ตัดสินใจพลิกขั้วประกาศตัวเป็น 'เสื้อแดง' และยืนยันที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของ เสธ.แดงผู้เป็นพ่อด้วยการนั่งเก้าอี้ 'หัวหน้าพรรคขัตติยะธรรม' พรรคการเมืองสีแดงที่พ่อของเธอเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น อีกทั้งยังประกาศที่ยืนเคียงข้าง 'พรรคเพื่อไทย' ที่เธอเคยออกมาร่วมเดินขบวนขับไล่อีกด้วย จึงมีคำถามตามมาว่าเป็นไปได้อย่างไรที่คนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนอุดมการณ์แบบพลิกขั้วเปลี่ยนข้าง ชนิดพลิกจากขาวเป็นดำ จากเทพเป็นมาร จากพันธมิตรฯผู้รักชาติ ปกป้องสถาบัน ไปเป็น 'คนเสื้อแดง' ซึ่งมีอุดมการณ์อย่างเดียวคือที่ยินดีทำทุกอย่างเพื่อ 'นายใหญ่' แม้ว่าจะต้องทำลายประเทศชาติและชีวิตคนไทยด้วยกันเองก็ตาม อะไร? ที่ทำให้ 'น้องเดียร์' เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ หรือว่านี่คือ 'ตัวจริง' ของเธอ จากการวิเคราะห์และประมวลข้อมูลใน 'เบื้องลึก' จากกลุ่มคนที่คลุกคลีกับครอบครัวของเสธ.แดง ก็พอสรุปได้ว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ น.ส.ขัตติยา ตัดสินใจหันมายืนอยู่ฝั่งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยก็เพราะเธอเชื่อว่า การ 'ตาย' ! ของเสธ.แดงนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังและสั่งให้สไนเปอร์ปลิดชีพพ่อของเธอกลางวงล้อมคนเสื้อแดงก็คือ 'บิ๊กทหารสายบูรพาพยัคฆ์' ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค้ำบัลลังก์รัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่ในขณะนี้ ดังนั้น วิธีเดียวที่เธอจะสางบัญชีแค้นในครั้งนี้ได้ก็คือการเลือกยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ 'บูรพาพยัคฆ์' นั่นคือ 'กลุ่มเสื้อแดง' และ 'พรรคเพื่อไทย' ซึ่งเป็นกลุ่มมีพาวเวอร์มากพอที่จะเล่นงานบรรดานายทหารใหญ่ในกองทัพ ขณะที่พรรคเพื่อไทย และบรรดา 'บิ๊กทหาร' ในเครือข่ายเสื้อแดงต่างก็ยินดีอ้าแขนรับสมาชิกใหม่อย่างน้องเดียร์เพราะถือว่าศึกครั้งนี้มี 'ศัตรู' คนเดียวกัน โดยเฉพาะ 'พลเอก ส.' นายทหารนอกราชการที่เข้าเล่นการเมืองและได้ตำแหน่งใหญ่ในยุคของ 'นายใหญ่' ที่อาสาเข้ามาดูแลเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ในสังกัดของเสธ.แดงแทน พล.ต.ขัตติยะผู้ล่วงลับนั้น ก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากน้องเดียร์เช่นกัน เนื่องจาก พลเอก ส. นั้นเป็นรุ่นที่ที่ความสนิมสนมและทำงานเชื่อมโยงกับกลุ่มของเสธ.แดงมาตลอด และยังเป็นนายทหารรุ่นที่ร่วมรบมาด้วยกันกับ เสธ.แดง เขาจึงแค้นแทนน้องรักถึงขนาดปวารณาตัวว่า นอกจากจะสานงานฮาร์ดคอร์ต่อจากเสธ.แดง แล้วหากสบโอกาส งานนี้มี 'เอาคืน' อย่างแน่นอน และหากดูจากศักยภาพของ พลเอก ส. แล้วก็ต้องถือว่าเป็น 'มาเฟียทหาร' มีเครือข่ายขุมกำลังที่น่ากลัวคนหนึ่งทีเดียว เพราะเหตุ 'ระเบิด'! ล่าสุดที่หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ และที่หน้าบริษัทคิงพาวเวอร์ ซอยรางน้ำ ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและถึงขั้นเสียชีวิตนั้น จากการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคงก็พบว่ามีชื่อ พลเอก ส. เป็นหนึ่งในผู้บงการ ส่วนตัวน้องเดียร์นั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์ทั้งในด้านการเมืองและประสบการณ์การด้านรบเหมือนกับเสธ.แดงผู้เป็นพ่อ มีเพียงความรู้ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งถือว่าไม่ประโยชน์อันใดใน 'ปฏิบัติการใต้ดิน' ตามแนวทางของเสธ.แดง ซึ่งไม่สนใจต่อกฎหมายหรือความถูกผิดใดๆ แต่การที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ลูกสาว' ของเสธ.แดงก็มีผลในเชิงจิตวิทยาที่สามารถดึงมวลชนที่เคยคลั่งไคล้แนวทางฮาร์ดคอร์ของเสธ.แดงได้ไม่น้อยทีเดียว และการประกาศตัวที่จะสืบสาน'พรรคขัตติยะธรรม'ต่อจากเสธ.แดง โดยปฏิบัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทย หรืออีกนัยหนึ่งคือการเป็นศูนย์สาขาทำหน้าที่ระดมพลคนเสื้อแดงเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวตามคำสั่ง 'นายใหญ่' นั้น ก็ถือว่าน้องเดียร์เดินมาถูกทาง เพราะหากดูจากเสียงตอบรับจากบรรดาแฟนคลับของเสธ.แดงแล้วก็เชื่อได้ว่าหากเธอมีแบคอัพที่ดีจากผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ประสิทธิภาพในการระดมพลของน้องเดียร์นั้นอาจจะไม่แตกต่างจากเสธ.แดงผู้พ่อเท่าใดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัด นับตั้งแต่วันที่จัดงานศพให้เสธ.แดงก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างน้องเดียร์และระดับแกนนำเสื้อแดงที่มีบทบาทบนเวทีนั้นคงไม่ดีนัก เนื่องจากในวันงานเสธ.แดงนั้นน้องเดียร์หาได้ให้ความสนใจหรือแม้แต่ชายตามองบรรดาแกนนำเสื้อแดงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับ จตุพร พรหมพันธุ์ , พร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย หรือระดับรองๆ ลงไป ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าในการชุมชุมเสื้อแดงในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมานั้น แกนนำเสื้อแดงเหล่านี้มีความขัดแย้งกับเสธ.แดง แกนนำเสื้อแดง'สายเหยี่ยว' อย่างชัดเจน ถึงกับประกาศตัดเป็นตัดตายกันเลยทีเดียว ดังนั้นกลุ่มก๊วนในพรรคเพื่อไทยที่จะให้การสนับสนุนเสธ.แดงจึงมีเพียง พลเอก ส. และนายทหารกลุ่มเตรียมสิบที่เข้าสังกัดพรรคไทยเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเสธ.แดงก็เป็นเลือดนายทหารเหมือนกันเท่านั้น และเมื่อดูจากก้าวแรกในการขับเคลื่อนทางการเมืองของน้องเดียร์แล้วก็นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะนอกจากจะประกาศตัวเพื่อเรียกคะแนนจากแฟนคลับเสธ.แดงแล้ว เธอยังได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะกับบรรดาแฟนคลับของพ่อ พร้อมทั้งชักชวนให้กลุ่มคนรักเสธ.แดงสมัครเป็นสมาชิกพรรคขัตติยะธธรม นอกจากนั้นยังได้จัดตั้งศูนย์สาขาของพรรคขัตติยะธรรมขึ้นมาแล้วถึง 4 แห่ง คือที่ จ.เชียงใหม่ จ.อำนาจเจริญ จ.ชลบุรี จ.พังงา และเตรียมที่จะจัดตั้งสาขาเพิ่มอีกแห่งคือที่ จ.ยะลา ซึ่งต้องยอมรับว่าแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะที่เชียงใหม่และอำนาจเจริญนั้นต่างก็เป็นถิ่นเสื้อแดง จึงไม่ยากที่จะปักธงพรรคขัตติยะธรรมซึ่งถือเป็นสาขาหนึ่งของพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ 'น้องเดียร์' จะหลงลืมไปก็คือ พฤติกรรมที่ผ่านมาของเสธ.แดง ซึ่งอาจนำไปสู่สาเหตุการตายของของนายทหารฮาร์ดคอร์ผู้นี้ น้องเดียร์คงลืมไปว่า ขณะที่ 'พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม' รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่2 รักษาพระองค์ หนึ่งในนายทหารฝีมือดีของบูรพาพยัคฆ์ถูก 'ล็อกเป้ายิง' กลางวงล้อมนายหาร ขณะทำปฏิบัติการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงบริเวณสี่แยกคอกวัว ก็ปรากฏภาพ 'ชายชุดดำ' ซึ่งถูกระบุว่าเป็นกองกำลังของเสธ.แดง อยู่บริเวณนั้นด้วย ยังไม่นับร่วมการยิง M79 เข้าถล่มพันธมิตรฯซึ่งชุมนุมด้วยสองมือเปล่าอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเสธ.แดงอ้างว่าเป็นฝีมือของ 'นักรบชุดดำ' เด็กในสังกัดของเขา ดังนั้น การที่ เสธ.แดง ถูกลอบยิง ขณะที่ยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง อาจจะเป็นเคราะห์กรรมที่ตามมาสนองเสธ.แดงก็เป็นได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 สิงหาคม 2553, 14:40:39 วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:25:54 น. มติชนออนไลน์
อดัม คาเฮน ไขปริศนา" Power and Love" เราจะออกจากนรก(ความขัดแย้ง)ได้อย่างไร ? 13-17 สิงหาคม ศกนี้ อดัม คาเฮน ผู้เขียน หนังสือเรื่อง Power and Love และหนังสือ Solving Tough Problems เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมสัมมนา เรื่อง เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน : ถอดบทเรียนแก้ปัญหาความขัดแย้งแอฟริกาใต้ โคลัมเบียและที่อื่นๆ ไม่บ่อยครั้งนักที่ จะได้เจอนักสันติวิธีระดับโลก ตัวเป็นๆ ยิ่งสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งทางสังคม จากความแตกแยกทางความคิด นำไปสู่กระบวนการสร้างความขัดแย้งในระดับประเทศ จนเสี่ยงต่อการพาประเทศก้าวเข้าสู่ความขัดแย้งขั้นรุนแรงในอนาคต ...บางทีการมาถึงของ อดัม คาเฮน อาจทำให้ คนไทยคิดอะไรได้มากขึ้น(ก็ได้ ) จากประสบการณ์ของ อดัม คาเฮน ที่ได้เข้าไปช่วยหาทางออกแบบสันติวิธีให้กับปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรง ซับซ้อนและชะงักงันที่สุดหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่แอฟริกาใต้ (ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคแบ่งแยกสีผิว) ที่โคลัมเบีย (ในช่วงสงครามการเมือง) ที่อาร์เจนตินา (ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ) รวมประสบการณ์ที่มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวคละเคล้ากันไป ทำให้คาเฮนมองเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้ปัญหาถึงทางตัน และวิธีการที่ทำให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาหาทางออกร่วมกันอย่างได้ผลโดยปราศจาก ความรุนแรง ไม่ว่าปัญหานั้นจะมีรากฐานของปมปัญหามาจากสิ่งใด กระบวนการ Scenarios ที่ อดัม คาเฮนใช้ในการหาทางออก ทำให้ทุกฝ่ายสามารถมองข้าม วิกฤตเฉพาะหน้า และมองความเป็นไปได้ต่างๆ ในอนาคต จากหนังสือ Solving Tough Problems หรือ วิธีสร้างปาฏิหารย์เมื่อถึงทางตัน คาเฮนได้ผสมผสาน ทฤษฏี หลักการ วิธีการ เครื่องมือ และประสบการณ์เข้าด้วยกันแล้วถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของเรื่องราวจากการเดิน ทางไปทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือผู้นำต่างๆ ให้สามารถหาหนทางออกให้กับปัญหาที่แก้ไขได้ยากที่สุดของพวกเขาเอง ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นภาพและสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาที่ถึง ทางตันของเราได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในระดับครอบครัว ชุมชน องค์กร ประเทศ หรือแม้แต่ระดับโลกก็ตาม ล่าสุด หนังสือ Power and Love เป็นหนังสือเล่มที่สองต่อจาก Solving Tough Problems และเล่มล่าสุดของ อดัม โดยกล่าวถึง การแก้ปัญหาสังคมและความขัดแย้งที่มักจะลงเอยด้วย ความรุนแรง หรือไม่ก็การเจรจาที่ไม่รู้จบ หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามที่ว่า ทำไมคนบางกลุ่มสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ยุ่งยากได้อย่างง่ายดาย แต่บางคนกลับล้มลุกคลุกคลาน ล้มแล้วล้มอีก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่โดยแท้ที่จริงแล้ว สองตัวแปรที่ชักใยอยู่เบื้องหลังการแก้ปัญหาก็คือ Power (desire to achieve) และ Love (urge to unite) ที่มิได้ขัดแย้งแต่ควรส่งเสริมซึ่งกันและกันนั่นเอง อดัม คาเฮน เป็นหุ้นส่วนของบริษัท Reos Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกระบวนการประสานงานเพื่อแก้ปัญหาสังคม และ เป็นสมาชิกของสถาบัน Institute for Science, Innovation and Society ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Said Business School แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด อดัม ยังเป็นผู้จัด ผู้ออกแบบ และผู้ประสานงานชั้นนำของกระบวนการต่างๆ ร่วมกับผู้นำในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อแสวงหาทางออกให้กับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดที่สังคมต้องเผชิญ อดัม ทำงานในโครงการเหล่านี้กว่า 50ประเทศทั่วโลก มีโอกาสร่วมงานและพบปะกับผู้นำจากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารธุรกิจและนักการเมือง, ผู้นำ กองทัพและผู้นำกองกำลังติดอาวุธ, ข้าราชการและสมาชิกสภาพแรงงาน, นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมและเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ไป จนถึงนักบวช และศิลปิน ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 อดัม เป็นหัวหน้าแผนกวางแผนล่วงหน้าด้านสังคม การเมืองเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ของบริษัท รอยัล ดัทช์ เชล ในกรุงลอนดอน ก่อนหน้านี้เคยทำงานในตำแหน่งนักวิจัยและวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ให้กับบริษัท Pacific Gas and Electric Company ในซานฟรานซิสโก รวมถึงองค์กรเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (OECD) ในกรุงปารีส อดัม เคยร่วมงานกับสถาบัน International Institute for Applied Systems Analysis ในกรุงเวียนนา สถาบัน Institute for Energy Economics ในกรุงโตเกียว และร่วมงานกับสถาบันการศึกษาชั้นนำหลายแห่งเช่นมหาวิทยาลัยในมณฑลบริติช โคลัมเบีย ของแคนาดา มหาวิทยาลัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐ ในนครโตรอนโต จนถึงมหาวิทยาลัยในแอฟริกาใต้ ในปี 1991 และ 1992 อดัมเป็นผู้ประสานงานในโครงการ Mont Fleur Scenario Project เพื่อช่วยสร้างความปรองดองให้กับชาวแอฟริกาใต้ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคม ประชาธิปไตย ภายหลังการสิ้นสุดของยุคแบ่งแยกสีผิว หลังจากนั้น อดัมมีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการวิวาทะระหว่างภาคส่วนต่างๆ หลายครั้งในหลายพื้นที่ของโลก และยังเป็นสมาชิกของกระบวนการเสวนาของผู้นำธุรกิจที่จัดขั้นโดยสถาบัน Aspen Institute เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมาธิการว่าด้วยโลกาภิวัฒน์ สมาชิกของเครือข่าย Global Business Network และ Global Leadership Network สมาชิกของ Society for Organizational Learning และ World Academy of Art and Science อดัมจบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้านฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลับแมคกิล ในนครมอลทรีออล ประเทศแคนาดา และปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์พลังงานและทรัพยากรจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิ ฟอร์เนีย (เบิร์กเลย์) และปริญญาโทด้านพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์จากมหาวิทยาลัยแบสไทร์ ในนครซีแอทเติล นอกจากนี้ ยังศึกษาด้านกระบวนการเจรจาจากฮาร์วาร์ด ลอว์ สกูล อดัมสมรสกับโดโรธี คาเฮน และพำนักพร้อมกับครอบครัวที่นครเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ และมอนทรีออล ในแคนาดา --------------- โปรแกรม สัมมนาเราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน : ถอดบทเรียนแก้ปัญหาความขัดแย้งแอฟริกาใต้ โคลัมเบียและที่อื่นๆโดย อดัม คาเฮน กำหนดการ วันที่ 16 สิงหาคม 2553 ห้องเพียงพูณ บุนนาค อาคารพฤกษชาติพระทรงชัย สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร 12.30 – 13.00 น. ลงทะเบียนสื่อมวลชน 13.00 – 13.30 น. อดัม คาเฮน เปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด Power and Love 13.30 – 14.00 น. ถาม – ตอบ โดย อดัมคาเฮน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- อาคารพฤกษชาติพระทรงชัย สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร 13.00 – 14.00 น. ลงทะเบียนผู้ร่วมงาน 14.00 – 15.30 น. ถอดบทเรียนแก้ปัญหาความขัดแย้งแอฟริกาใต้ โคลัมเบีย และที่อื่นๆ โดย อดัม คาเฮน และ สตีฟ แอ๊ดคินสัน 15.30 – 15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง 15.45 – 16.30 น. เสวนาแลกเปลี่ยนในขั้นตอนและวิธีการใช้ Scenarios เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตสังคม กำหนดการ วันที่ 17 สิงหาคม 2553 ห้องประชุม ชั้น 3 ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 9.30 – 11.30 น. การประชุมความร่วมมือ การขับเคลื่อนการส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลาน กับ อดัม คาเฮน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 16 สิงหาคม 2553, 22:59:28 ใครสร้าง เขาพระวิหาร > คำตอบคือ ขอมครับ เป็นชนเผ่าที่สาบสูญ หาใช่เผ่าเดียวกับเขมรในปัจจุบันไม่
ดังนั้นข้ออ้างสั่วๆว่าชาวเขมรสมัยโบราณสร้างเขาพระวิหาร และเขาพระวิหาร(รวมทั้งเชิงเขา)จึงควรเป็นของ(ประเทศ)เขมรนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่มั่วนิ่ม (จริงๆ แม้แต่ นครวัดนครธม ชนพื้นเมืองในเขมรเองก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีอยู่ จนกระทั่งฝรั่งเศสไปพบเข้ากลางป่าเขา เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง) ข้อเท็จจริงอีกอย่างคือ ไอ้ฮุนเซ็น มันก็ไม่ใช่คนเชื้อสายเขมรแท้ๆโดยกำเนิดด้วย! เป็นลูกครึ่งเวียดนามอพยพต่ะหาก แต่อาศัยหาแนวร่วมทางการเมืองเก่ง เลยได้เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศเขมร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 สิงหาคม 2553, 09:36:58 เป็นไงไม่รู้..เมื่อเป็นฝ่ายค้านก็ขยันขันแข็ง ที่จะปกป้องดินแดน
พอเป็นรัฐบาล ก็เหมือนกันทุกคน แย่จริงๆนักการเมืองไทย มันห่วยแตกจริงๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 สิงหาคม 2553, 09:16:54 วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:58:43 น. มติชนออนไลน์
"อดัม คาเฮน"แนะตั้ง กก.แก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทย ภาคส่วนต่างๆ รับลูกเอาด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 9.30 น. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดเสวนาหัวข้อ "การขับเคลื่อนการส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลาน กับอดัม คาเฮน" โดยมีบุคคลสำคัญและองค์กร 9 องค์กรต่างๆ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เช่น นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมม, นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา, นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายนิกร จํานง กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรชาติไทยพัฒนา และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายอดัม ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการประสานงานเพื่อแก้ปัญหาสังคม สมาชิกสถาบันเพื่อวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและสังคม แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้ ตนไม่ได้พยายามทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องของเมืองไทย แต่จะมาพูดถึงกระบวนการแก้ปัญหาทางสังคมที่ตนเองถนัด ทั้งนี้ จากการเดินทางเยือนประเทศไทยในรอบนี้ ตนได้พบปะกับคนไทยจำนวนมากที่พูดถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่าท่านต่างๆ มีทรรศนะที่แตกต่างกันออกไปและมีการแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ทั้งการแบ่งขั้วที่ใช้เหตุผลและการแบ่งขั้วด้วยอารมณ์ที่รุนแรง แต่ในแง่ดีคือสังคมไทยยังมีความพยายามที่จะคุยกันเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่ยอมรับว่ามีปัญหาและพยายามที่จะพูดคุย นายอดัม กล่าวต่อว่า ตนมีแนวทางเสริมที่อยากเสนอในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเมืองไทย ซึ่งเรียกกว่า "การสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคต" ซึ่ง เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลมาแล้วในหลายประเทศและหลายความขัดแย้ง เช่น ในประเทศแอฟริกาใต้ หรือประเทศอาร์เจนติน่า การสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคต หรือ Scenarios สามารถคาดการณ์ผลลัพท์ได้ 5 ประการ คือ 1.การที่สามารถหาจุดเข้าใจร่วมกันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย 2.ความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม 3.การสร้างความเชื่อใจ ความชัดเจนและพันธะในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน 4.ผลในทางปฏิบัติในการสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคต ที่ริเริ่มร่วมกันจากหลายภาคส่วน และ 5.ผลลัพธ์ในระยะยาว เป็นการเพิ่มความสามารถของสังคมไทยในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน "ส่วนกระบวนการสร้างสถานการณ์จำลองในอนาคตนั้น มีอยู่ 3 ขั้นตอนหลัก คือ 1.การจัดการประชุม ซึ่งหมายถึงการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มต่างๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างทีมขับเคลื่อนกระบวนการนี้ โดยการสร้างพื้นที่ให้คนมาเจอกันและมาทำงานร่วมกัน 2.การร่วมสร้างสถานการณ์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อดูเป็นทางเลือกและความเป็นไปได้ว่า แนวทางไหนคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทยในอนาคต ควรเกิดจากการพูดคุยกับการอย่างเปิดอกและพูดถึงเรื่องที่เป็นความจริงต่อกัน และ 3.การนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างอนาคต โดยการนำทางเลือกที่ดีที่สุดดังกล่าวมาเริ่มปฏิบัติจริง โดยการมีส่วนร่วมจากกลุ่มต่างๆ และควรรับฟังข้อเสนอแนะที่หลากหลาย นอกจากนี้ จุดสำคัญในขั้นตอนที่ 3 คือการตั้งกองทุนริเริ่ม เพื่อที่จะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างแท้จริง" นายอดัม กล่าวและว่า กระบวนการทั้งหมดนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเวลา 18 เดือน และเราควรเริ่มกระบวนการในทันที หลังจากที่นายอดัมได้พูดถึงกระบวนการข้างต้น เสร็จสิ้นแล้ว ก็มีการเปิดเวทีให้ทุกภาคส่วนที่มาร่วมฟังแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง จนได้ข้อสรุปกันในวงเสวนาว่า จะมีการเดินหน้าขับเคลื่อนกระบวนการนี้ให้เป็นจริงต่อไป จากนั้น จึงได้มีการถามความสมัครใจในการร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อผลักดันกระบวนการนี้ ซึ่งปรากฎว่ามีหลายภาคส่วนร่วมเสนอตัวเป็นคณะกรรมการด้วย ดร.สุมิท แช่มประสิทธิ์ เลขาธิการสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวภายหลังการเสวนาว่า กระบวนการในวันนี้เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่เราจัดมาหลายวันก่อนหน้านี้ โดยในช่วง 3 วันแรกเราได้พบปะกับบุคคลและกลุ่มต่างๆ ถึง 30 กลุ่ม เมื่อวันก่อนก็มีการจัดสัมมนา ซึ่งมีคนเข้าร่วมประมาณ 250 คน มีการเล่าเทคนิค ประสบการณ์ต่างๆ ของนายอดัม วันนี้เลยนำมาสู่การสรุปเป็นโฟกัสกรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรและบุคคลที่ได้เจอมาจากหลายวันก่อนหน้านี้ เมื่อมีการถามทุกคนว่าจะมาร่วมด้วยช่วยกันไหม ข้อสรุปที่ออกมาคือวิธีของนายอดัมถือเป็นหนึ่งในหลายวิธีในการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งของสังคมไทยในปัจจุบัน "วันนี้เราก็ได้ทีมขึ้นมาทีมหนึ่ง เป็นออแกนไนซ์ซิ่งทีม ในการร่วมคิดร่วมทำ ต่อไปคงมีการหารือกันภายในทีมนี้ เพื่อกำหนดกระบวนการผลักดันการสร้างสถานการณ์จำลองในอนาตต่อไป ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในการเสวนาครั้งนี้ เห็นควรว่าต้องผลักดันต่อไป" ดร.สุมิท กล่าว ข่าวล่าสุด ในหมวดเดียวกัน โภคิน พลกุล เปิดใจครั้งแรก “ถ้าเราคิดเอาชนะคนอื่น ไม่มีวันได้ชัยชนะ และยิ่งแพ้ตัวเองไปทุกวัน" เปิดมุมมอง "มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" "การเมืองบนท้องถนน" จากการศึกษาของนศ.ป.เอกชาวอิตาลี "เซ็นทรัล"ลงทุนไม่ยั้ง ทุ่มอีกกว่า 4 พันล้าน ผุดห้างบิ๊กบึ้มที่สุราษฎร์ - พิษณุโลก ช่วยจ้างงานอื้อ ! ชวาลา 34 ปี ...ตำนานไม่มีวันตาย ห้างหุ้นส่วน ไม่จำกัดความสุข "อดัม คาเฮน"แนะตั้ง กก.แก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทย ภาคส่วนต่างๆ รับลูกเอาด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 สิงหาคม 2553, 13:14:00 ฟังฝรั่งพูดแก้ความขัดแย้ง : คนไทยก็รู้..แต่ปัญหาคือการปฏิบัติ
โดย : ทศพร โชคชัยผล กรุงเทพธุรกิจ 18สค.2010 'อดัม คาเฮน' ฝรั่งที่สนใจเรื่องความขัดแย้ง เสนอทางออกให้กับสังคมไทย เป็นข้อเสนอที่น่ารับฟังจริงหรือ? เขาเป็นใครและมาทำไม เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา หลายๆองค์กรได้ร่วมจัดงานเสวนา "เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน ถอดบทเรียนการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ในแอฟริกาใต้ โคลัมเบีย และที่อื่นๆ" หรือ "Scenario to shape the future" โดย นายอดัม คาเฮน ผู้ที่มีประสบการณ์ในการร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งในหลายประเทศเช่นแอฟริกาใต้ โคลัมเบีย และกัวเตมาลา โดยสรุปแล้ว แต่ละประเทศต่างก็มีวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างกันไป ขึ้นกับเงื่อนไขของแต่ละประเทศ นายอดัม ออกตัวเมื่อกล่าวถึงความขัดแย้งในประเทศไทยว่ามาถึงประเทศไทยเพียงสี่วัน ไม่มีเวลาเพียงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างชัดแจ้ง คงไม่เหมาะที่จะวิเคราะห์หรือให้คำแนะนำทั้งหมด เขาบอกว่าจากประสบการณ์จากที่อื่นๆ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความซับซ้อนในหลายๆด้าน และเพิ่มพูนขึ้นมา จนถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเหลืองหรือแดง แต่เป็นเรื่องความหลากหลาย เราต้องเข้าใจเรื่องตัวปัญหา ซึ่งความขัดแย้งระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คุมกำลัง ผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการมาแก้ปัญหาได้ง่ายๆ แต่ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา "วิธีแก้ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือปราบปรามใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องพยายามสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการรัฐ โดยใช้ความรัก แต่ความรักก็ไม่ใช่แค่ยื่นดอกกุหลาบ แต่ต้องมีความรักเชิงสมานฉันท์ สร้างความเชื่อมโยง จะบรรเทาประเด็นต่างๆได้ไม่น้อย ยังต้องสร้างเอกภาพ ยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น" เขาบอกว่าขณะนี้ประเทศไทยยังมีความไม่สมดุลระหว่างการใช้อำนาจกับความรัก ในระหว่างเปิดตัวหนังสือของตัวเองที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และมองว่าประเทศไทยใช้อำนาจมากกว่าความรัก "แต่ทางแก้จะไม่ใช่การการลดอำนาจ แต่ต้องเป็นการเพิ่มความรักขึ้นมา เรื่องการแก้ปัญหาในประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คนไทยรู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องมาพูดเรื่องง่ายๆอีกครั้ง" จากเนื้อหาที่นายอดัมพยายามหยิบมาเป็นประเด็น เพื่อเสนอแนะทางออกให้กับความขัดแย้งในสังคมไทย เมื่อถามหลายคนที่ได้ฟังมา ก็รู้สึกว่า"ไม่มีอะไรใหม่" แต่ก็ช่วยจุดประกายให้คนมาใส่ใจอีกครั้ง หลังจากทำท่า"หายไปกับสายลม" ก่อนหน้านี้คนไทยหลายคนก็เคยพูดทำนองเดียวกันและใช้วิธีเดียวกันกับที่นายอดัมพยายามจัด"เวิร์คช็อป"เพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง อาทิ แนวคิดในการแก้ปัญหาของน.พ.ประเวศ วะสี ที่เรียกร้องให้ยึดหลัก"การให้อภัย" และ"การมีส่วนร่วม" ซึ่งก็ไม่ต่างจาก"ความรัก"ของนายอดัม เพียงแต่น.พ.ประเวศ มีฐานความคิดจากสังคมวัฒนธรรมตะวันออก และใช้ศัพท์แสงในเชิงพุทธศาสนา ส่วนนายอดัมนั้นเข้าใจว่า"ความรัก"เป็นฐานแนวคิดจากศาสนาคริสต์(บางคนที่นิยมฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจอาจรู้สึกตื่นเต้นกว่า) น.พ.ประเวศก็ย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า"อำนาจ"ไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้ เพราะเมื่อไรที่หลงกับอำนาจ ก็เท่ากับว่าพาตัวเองและสังคมตกสู่"หลุมดำ" หรือแม้แต่หลัก"สานเสวนา"ของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่พยามก่อตั้งเครื่อข่ายสานเสวนาเพื่อสันติ ซึ่งก็ใช้แนวคิด "dialogue"(เป็นต้นกำเนิดของวิธีการเวิร์คช็อปในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง) ก็ไม่ต่างจากนายอดัมพยายามทำอยู่ในขณะนี้ ที่เดินสายรับฟังความเห็นและจัดเวิร์คช็อปเพื่อหาทางแก้"ปม"ขัดแย้ง ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่เข้าไปร่วมเวทีด้วย ก็เห็นว่าวิธีการของนายอดัมก็ไม่ต่างกับที่กำลังพยายามทำกันอยู่ในขณะนี้ (แต่นายอดัมจะรู้หรือไม่ว่าจุดอ่อนของวิธีการทำเวิร์คช็อปแก้ปัญหาความขัดแย้ง สามารถใช้ได้ดีในระดับองค์กรเท่านั้น อย่างเช่นตัวอย่างอันลือลั่นที่มีการนำมาใช้ในบริษัทเชล แต่วิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับการแก้ปัญหาระดับประเทศ ที่มีความซับซ้อนกว่ามาก) ปัญหาก็คือเมื่อคนไทยพูดแล้ว ไม่ค่อยจะมีใครใส่ใจเท่าไรนัก เพราะที่ผ่านมา แทบทุกคนล้วนถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เมื่อพูดอะไรหรือเสนออะไรมักจะไม่มีใครฟัง หากไม่"เข้าข้าง"ตัวเอง แน่นอนว่าปัญญาชนหลายคนอาจนั่งหัวเราะนายอดัม ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยเสียเลย และมองความขัดแย้งในสังคมแบบ"ตื้นๆ" ทั้งๆที่ตัวเองก็ยอมรับว่ามีความซับซ้อน แต่ข้อเสนอของนายอดัมก็น่ารับฟัง แม้คนที่มองอะไรๆก็มีลักษณะเฉพาะ"ทางวัฒนธรรม"ไปหมด อาจจะวิจารณ์ว่า"ฝรั่งคนนี้จะไปรู้อะไร มันจึงเสนอไอเดียกว้างๆนามธรรม ให้ไปคิดฟุ้งซ่านกันเอาเอง" (อันที่จริง ผมก็อดสงสัยที่มาที่ไปของงานนี้ไม่ได้ว่าใครเป็นต้นคิด และมีเป้าหมายใดกันแน่ แต่ที่รู้มานายอดัมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเหมือนที่เราพยายามอยากให้เป็น ยังมีข้อสงสัยอีกมากที่กล่าวอ้างกัน อีกทั้งเขาก็ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของฝรั่ง ซึ่งในช่วงหลังก็มีองค์กรลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อรองรับความขัดแย้งในโลกที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นการเข้าไปช่วยแก้ปัญหา หรือค้นคว้าวิจัยด้วยอาศัยเงินทุนจากการบริจาค หรือรัฐบาลบางประเทศเจียดเงินมาให้ แถมงานนี้มีการแถลงข่าวเปิดตัวหนังสืออีกต่างหาก... ผู้อ่านค้นคว้าด้วยตัวเองได้ในเว็บไซต์ แล้วอาจนั่งอมยิ้มเล็กน้อย) บางที การมองอะไรๆก็มีความ"ซับซ้อนยุ่งยาก"ไปหมด ก็อาจเป็นดาบสองคมก็ได้ ด้านหนึ่ง ทำให้เรามีความรอบคอบและลึกซึ้ง แต่อีกด้านหนึ่ง ทำให้เราไม่รู้จะทำอะไรกันดี นายอดัมถึงบอกว่า"ขอพูดเรื่องง่ายๆอีกครั้ง" หากเปรียบเทียบข้อเสนอของนายอดัมกับปัญญาชนที่เป็นคนไทย หรือแม้แต่นักเคลื่อนไหวต่างๆแล้ว อาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไร"เซอร์ไพร์" ในด้านความลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมการเมือง คนไทยจำนวนมากก็มีความรู้ความเข้าใจมากกว่า หรือในแง่ความเข้าใจลักษณะคนไทย นายอดัมก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้ อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลก็ตั้งคณะกรรมการเพื่อ"สมานฉันท์" "ปฏิรูปประเทศ" หรือ อื่นๆอีกมาก เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ซึ้งล้วนแต่เป็น"ผู้รู้"และมี"ประสบการณ์ทั้งสิ้น ปัญหาของสังคมไทยขณะนี้ จึงไม่ใช่เรื่อง"ความรู้" "วิธีการ" "แนวทางปฏิบัติ" ฯลฯ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราฟังกันแทบทุกวันอยู่แล้ว เรา"รู้และพูด"กันมากพอแล้ว เหลือแต่"ปฏิบัติ"เท่านั้น ที่เรายังไม่กระทำ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 สิงหาคม 2553, 11:23:18 วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:36:00 น. มติชนออนไลน์
จากมหา′ลัยแดกด่วน ถึงการศึกษาคุณภาพต่ำ วันก่อน ผมคุยกับอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ได้ความว่า ตอนนี้ มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งกำลังกระอักเลือด เพราะโดนมหาวิทยาลัยของรัฐแย่งตลาดอย่างดุเดือด ผลสืบเนื่องจากเมื่อมหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบ ทำให้ต้องมุ่งหาเงินเป็นการใหญ่ วิธีการหาเงินที่ง่ายที่สุดคือ การเปิดหลักสูตร เปิดตลาดใหม่ ๆ ในย่านทำเลดี ๆ ว่าแล้ว มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดก็บุกกรุงเทพฯ โดยแห่มาเช่าอาคารกลางกรุงเทพฯชั้นใน ยิ่งอยู่บนเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้า ยิ่งดูดนักศึกษาได้เยอะดี หลายสิบมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดใหม่ แจ้งเกิดใหม่ กลางกรุงเทพฯ เปิดหลักสูตรคล้าย ๆ กันหมด ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรปริญญาเอก หลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต เอ็มบีเอ สำหรับนักบริหาร หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต และอื่น ๆ อีกมากมาย เดิมตลาดปริญญาโท เอ็มบีเอ ปริญญาเอก ยุคหนึ่งเป็นตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน แต่วันนี้ มหาวิทยาลัยของรัฐ โดยเฉพาะจากต่างจังหวัด เข้ามาแย่งชิงเค้กถึงกลางกรุงเทพฯ โดยใช้กลยุทธ์ตัดราคา บางแห่งให้คำมั่นสัญญาว่า จ่ายครบจบแน่ คราวนี้เลยสนุกกันใหญ่ สอดคล้องกับ อาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่เคยเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันการหาลำไพ่พิเศษด้วยการรับจ้างสอนนั้น กระทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการพิเศษภาคค่ำในทุกระดับ ตั้งแต่ปริญญาตรี โท เอก ซึ่งเก็บค่าหน่วยกิตแพง ๆ มาจ่ายค่าสอนอัตรา "ตลาด" จนกระทั่งเกิดคำขวัญว่า "จ่ายครบจบแน่" หรือ "Mac University" (มหา′ลัยแดกด่วน) หรือ "การทำไร่เลื่อนลอย" อาจารย์อภิชาตหมายถึง มหาวิทยาลัยพากันไปเช่าตึก เปิดศูนย์ เปิดสาขาสอนในที่ที่มี "ตลาด" เช่น ย่านกลางเมือง หรือหัวเมืองต่าง ๆ จนกระทั่ง "ตลาดหมด" ก็ปิดตัวไปเปิดที่อื่น ๆ ต่อไป "ไม่แปลกเลยที่ประสบการณ์ส่วนตัวของผมเคยพบว่า งานเขียนของนักศึกษาปริญญาเอกบางคน มีคุณภาพต่ำกว่างานของนักศึกษาปริญญาตรีภาคปกติที่ผมสอนเสียอีก" ดร.อภิชาต อาจารย์เงินเดือนหลักหมื่นที่ไม่กระโดดเข้าไปขุดทองเช่นอาจารย์ชื่อดังที่ เดินสาย ทำมาหาเงินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ผมเคยสำรวจค่าตอบแทนของอาจารย์ "คิวทอง" พบว่า โดยเฉลี่ยจะได้ 3 ชั่วโมง 6 พันบาท หรือชั่วโมงละ 2 พันบาท หรือมากกว่านั้นเป็นหลักหมื่น อาจารย์กลุ่มนี้ก็จะสอนไปทุกมหาวิทยาลัย ในยุคที่ชนชั้นกลางหิวกระหายปริญญา อาจารย์ชื่อดังที่สอนเอ็มบีเอ เคยเปิดสมุดนัดให้ผมดู พบว่าหมายนัดแน่น ยิ่งกว่าดารานักร้องชื่อดัง ไม่เคยมีเวลาว่างช่วงเย็น จดค่ำ 3 ทุ่ม ช่วงเสาร์อาทิตย์ ต้องเดินสาย นั่งเครื่องบินไปสอนเป็นว่าเล่น ทุกเที่ยวบินเช้าวันเสาร์อาทิตย์ที่สนามบินดอนเมือง จะพบอาจารย์ชื่อดังแทบจะเดินชนกัน อาจารย์หลายคนจะใช้เครื่องมือทำมาหากินชุดเดียว สอนได้ทั่วประเทศ คือ "power point" ที่ลงทุนทำครั้งเดียว แต่ใช้สอนได้นานเกินคุ้ม หลังจากเลกเชอร์ 3 ชั่วโมง สอนเสร็จก็รับค่าตอบแทน แล้วโบกมือ อวยพรให้ลูกค้าโชคดี มีความสุข ผมไม่แน่ใจว่านอกจากกระดาษหนึ่งแผ่นแล้ว คนเรียนได้อะไรกลับไป เพราะวิทยานิพนธ์ หรือสารนิพนธ์ ก็ลอกกันไปลอกกันมา ถามว่าคนเรียนปริญญาโท หรือปริญญาเอก อ่านหนังสือจบถึง 10 เล่มหรือไม่ ยังน่าสงสัย นักการเมืองชื่อดัง คนที่คุยว่าจบปริญญาเอก ผมฟังการให้สัมภาษณ์แล้ว ไม่พบวิธีคิดแบบปัญญาชนเลย เรื่องอย่างนี้ผมไม่โทษลูกค้า ผมโทษพวกอาจารย์มากกว่า (ครับ) เหลียวมาดูการศึกษาในระบบโรงเรียนยิ่งน่าห่วง จนทำให้ผมเชื่อว่า สังคมไทยไม่มีอนาคตเท่าไร หลายเดือนก่อน ผมพบงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยที่บอกว่า ยิ่งรัฐบาลทุ่มงบประมาณด้านการศึกษามากเท่าใด เม็ดเงินส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ยิ่งตกกับกลุ่มชนชั้นกลาง คนรวยที่มีโอกาส และมีข่าวสารครบถ้วน เด็กลูกชาวบ้านจริง ๆ ที่จะผ่านจากโรงเรียนไปสู่มหาวิทยาลัยของรัฐแทบไม่มี เด็กผู้ชายก็เสียคน หล่นหายไปจากเส้นทางการศึกษา เด็กที่คว้าโอกาสทางการศึกษา ล้วนมาจากครอบครัวที่มีฐานะ เด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่ไปกวาดรางวัลโอลิมปิกวิชาการ เด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่คว้าทุนการศึกษาที่ดีที่สุดของประเทศนี้ เด็กกลุ่มนี้คือนักศึกษาในคณะที่คะแนนสูงที่สุดของมหาวิทยาลัยชั้นยอดของ ประเทศที่ชิงเก้าอี้กันเพียงไม่กี่พันคน แต่ปัญหาคือคนเก่งที่เป็นระดับครีมที่สุดในสังคมไทย วันหนึ่งก็ต้องไปเจอกับกุ๊ยที่ถูกเขี่ยออกจากระบบ บนถนน ถ้าใครพลาดก็โดนอีกฝ่ายหนึ่งกำจัด...ผมไม่พูดเรื่องการเมือง ไม่ใช่ความผิดของ "คนเก่ง" ไม่ใช่เป็นความผิดของ "กุ๊ย" แต่เป็นเพราะพวกเราร่วมกันสร้างระบบเลว ๆ นี้ขึ้นมา ด้วยมือของพวกเราเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 สิงหาคม 2553, 10:39:04 ความเห็นกฤษฎีกาอัปยศ อุ้ม “พัชรวาท” ของจริงหรือไม่ ?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2553 08:45 น. กลับมามีความหวังขึ้นอีกครั้ง กับความพยายามดิ้นหนีบ่วงกรรมของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่กระทำชั่วอย่างร้ายแรงเนื่องจากใช้กำลัง ตำรวจปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 51 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.แจ้งข้อหาเอาผิดทั้งอาญาและวินัย และ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีคำสั่งให้ปลดพัชรวาทออกจากราชการเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 52 เมื่อมีรายงานข่าวเปิดเผยความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 2 ที่รับเรื่องหารือจากนายกฯอภิสิทธิ์ว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 224/2552 ลงโทษปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ออกจากราชการตามมติที่คณะกรรมการป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ต่อมาพล.ต.อ.พัชรวาท ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ ก.ตร. ตามมาตรา 105(2) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เมื่อ ก.ตร.ได้มีมติแล้ว และสำนักงานก.ตร. ได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาตามมาตรา72(1)แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่ง ชาติฯ จึงมีหน้าที่ต้องยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 224/2552 เพื่อดำเนินการตามมติ ก.ตร.โดยไม่อาจใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นได้ ความเห็นกฤษฎีกาที่ปรากฏในรายงานข่าวชิ้นนี้เป็นคำตัดสินที่ส่งผล เป็นคุณ อย่าง มากแก่พัชรวาท ด้วยที่ยึดเอามติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร.คือความถูกต้องของ เรื่องทั้งหมด มิหนำซ้ำยังระบุว่า นายกฯอภิสิทธิ์มีหน้าที่ต้องยกเลิกคำสั่งปลดพัชรวาทสถานเดียว จะบิดพลิ้วเป็นอย่างอื่น หรือไม่ทำเลยก็เห็นจะไม่ได้ แต่ปัญหามีอยู่ที่ว่า ความเห็นของกฤษฎีกาดังกล่าวเป็น “ของจริง” หรือว่าเป็นรายงานข่าวที่เลื่อนลอยถูกปล่อยออกมาผ่านสื่อที่รับงานมาทำ เพื่อความพยายามช่วยให้พัชรวาทหลุดจากมลทินข้อหาฆ่าประชาชน เหตุชวนสงสัยว่าข่าวชิ้นนี้มี น้ำหนักเป็นของปลอมมากกว่าจริง ก็เนื่องจากเป็นรายงานข่าวที่ไม่มีตัวตนของคนให้ข่าวแล้วยังอ้างแหล่งที่มา จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งประเด็นแหล่งที่มาของข่าวไม่น่าจะเป็นไปได้จึงมีพิรุธให้คิด เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะโผล่ที่สตช.ได้ หากกฤษฎีกาจะส่งคำหารือสรุปให้แล้ว ก็ต้องส่งให้สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ส่งเรื่องไปถาม ไม่ใช่ส่งไปให้สตช.ที่ไม่ใช่ผู้ส่งคำร้องขอ เว้นแต่กฤษฎีกาจะทะลึ่งแกล้งส่งจดหมายผิดซอง ทั้งนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า ยังไม่เห็นเรื่องและได้สอบถามเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าส่งมาหรือยัง สิ่งที่ให้กฤษฎีกาตีความเป็นการถามย้ำอีกครั้ง เพราะที่ตอบมาครั้งแรก เป็นคนละประเด็นกับที่ถามไป แต่ครั้งที่สองยังไม่ทราบว่า คำตอบเป็นอย่างไร โดยครั้งที่สองถามว่า กรณีการดำเนินการตามมติ ก.ตร.แต่มติดังกล่าวเป็นการพลิกคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยไปแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นและเทียบเคียงกันได้กับ ก.พ.และบอกว่า บรรทัดฐานต้องยึดตาม ป.ป.ช.กรณีเช่นนี้จะต้องปฏิบัติอย่างไร เรื่องรัฐธรรมนูญว่าเป็นอย่างไร คน ถามยังไม่ได้รับเรื่อง ก็เลยไม่รู้ว่าความเห็นของกฤษฎีกาออกมาว่าอย่างไร แต่ยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับประเด็นที่ปรากฎในข่าวไม่ใช่ประเด็นที่ได้สอบถาม ไป ส่วนที่ถามไปนั้นอยากรู้ว่ามติก.ตร.พลิกคำวินิจฉัยของป.ป.ช. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไว้แล้วกับเรื่องที่คณะกรรมการข้าราชการพล เรือนหรือก.พ.มีมติให้นายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตอธิบดีกรมประชาชนสัมพันธ์กลับเข้ารับราชการหลังจากที่ป.ป.ช.ชี้มูลความ ผิด ในความผิดทุจริตต่อหน้าที่ และถูกปลดออกไปก่อนหน้านั้น จนกลายเป็นเรื่องขัดกันของอำนาจระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยศาลรธน.ชี้ว่ามติก.พ.จะกลับคำตัดสินของป.ป.ช.ไม่ได้ ก็เป็นกรณีที่เทียบเคียงกับมติก.ตร.ที่ให้รับพล.ต.อ.พัชรวาทกลับรับราชการ ในเรื่องทำนองเดียวกันนี้กฤษฎีกาจะว่าอย่างไร เพื่อหาข้อยุติที่จะเป็นบรรทัดฐานตามหลักนิติธรรมต่อไป ความพยายามดิ้นหนีบ่วงกรรมอันเกิดจากการกระทำชั่วอย่างร้ายแรง พล.ต.อ.พัชรวาทได้เห็นช่องทางที่จะทำให้ตนเองรอดพ้นได้ คือใช้ก.ตร.เป็นเครื่องฟอกความผิดให้ โดยที่ก่อนหน้านั้น พัชรวาทได้นำเรื่องไปฟ้องต่อศาลปกครองแต่ศาลปกครองรับคำฟ้องไว้พิจารณาไม่ ได้ เพราะพัชรวาทต้องดำเนินเรื่องให้เป็นที่ยุติในองค์กรเสียก่อน ที่สุดเรื่องก็มาจบที่ก.ตร.ที่พัชรวาทสามารถเข้าครอบงำให้มติก.ตร.ออกมาตาม ที่เขาต้องการได้ จึงเป็นที่มาของมติก.ตร.เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 52 ที่ให้ยกโทษแก่พัชรวาท และให้กลับเข้ารับราชการ และที่ประชุมก.ตร.เมื่อวันที่ 15 ม.ค.53 ก็ยืนยันมติครั้งแรก อุ้มพัชรวาทต่อพร้อมกับนายตำรวจที่มีความผิดเช่นเดียวกันอีก 2 นาย คือพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น. และพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภาดรศักดิ์ ผบก.จ.อุดรธานี จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกับกลุ่มนปช. โดยก.ตร.ส่งเรื่องให้นายกฯอภิสิทธิ์นำเข้าครม.ส่งศาลรธน.วินิจฉัยตาม รัฐ ธรรมนูญมาตรา 214 เนื่องจากมติก.ตร.ต้องให้ครม.มีมติเห็นชอบก.ตร. และเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญขัดแย้งกับมติป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กร อิสระ จึงเข้าข่ายความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่องค์กรตามรธน. แต่นายกฯอภิสิทธิ์ยืนยันความเห็นเดิมว่า ก.ตร.ไม่สามารถมีมติให้นายตำรวจทั้งสามนายกลับเข้ารับราชการได้ เพราะขัดแย้งกับป.ป.ช. เพราะเคยมีคำวินิจัยของศาลรธน.ว่า ก.พ.ไม่สามารถมีมติให้อดีตอธิบดีกรมประชาฯกลับเข้ารับราชการได้เพราะขัดแย้ง กับมติของป.ป.ช.ที่ระบุ ความผิดวินัยร้ายแรงต้องไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น นอกจากผู้บังคับบัญชาต้องลงโทษตามฐานความผิดที่คณะกรรมการป.ป.ช.มี มติแล้ว การอุทธรณ์การลงโทษดังกล่าว ตามมาตรา 96 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 ระบุว่า อุทธรณ์ได้แค่ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น กล่าวคือ สามารถอุทธรณ์ให้ลดระดับการลงโทษได้ เช่นจากไล่ออกเป็นปลดออกในกรณีที่มีความผิดทางวินัยร้ายแรง ไม่สามารถอุทธรณ์ฐานความผิดได้ แต่ก.ตร.กลับรับอุทธรณ์พล.ต.อ.พัชรวาทโดยฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้ ความ พยายามดิ้นรนเพื่อตัวเองของ พล.ต.อ.พัชรวาท โดยใช้ก.ตร.เป็นเครื่องฟอกผิด เริ่มที่ยื่นอุทธรณ์ต่อ อนุก.ตร.ชุดที่ “พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์” (เพื่อนร่วมรุ่น) เป็นประธาน ซึ่งมีมติในวันที่ 24 ธันวาคม 2552 พลิกมติ ปปช. ให้ 3 นายพลตำรวจกลับเข้ารับราชการ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในฐานะประธาน ก.ตร.ก็สนองพระเดชพระคุณได้ทันอกทันใจเบรรจุผลการประชุมของ อนุก.ตร.ชุดดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร.ในวันที่ 30 ธันวาคม 2552 จนเป็นที่มาของมติ ก.ตร.อัปยศ ทั้ง ๆ ที่ทางออกตามระบบของเรื่องนี้มีอยู่แล้ว คือ เมื่อนายพลตำรวจทั้งสามคนถูกชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. ก็เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องพิจารณาสั่งโทษภายใน 30 วันนับจากได้รับเรื่องจาก ป.ป.ช. โดยทั้งสามกรณีผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาโทษไปแล้วคือ ปลดออก ขั้นตอนต่อไปหากเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไปยื่นอุทธรณ์ต่อ อนุ ก.ตร.อุทธรณ์ ซึ่งตามอำนาจหน้าที่อนุกรรมการชุดดังกล่าวก็ต้องยกอุทธรณ์ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการโต้แย้งข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. มีเพียงแค่ใช้ดุลพินิจในการลดโทษเท่านั้น ในเมื่อทั้งสามกรณีนี้ผู้บังคับบัญชาได้ลงโทษขั้นต่ำสุดไปแล้วคือ ปลดออก จึงไม่เหลือเหตุให้ อนุ ก.ตร.พิจารณาได้อีก อันจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นายพลตำรวจทั้ง 3 คน สามารถนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไปได้ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แต่ทั้ง 3 นายพลตำรวจกลับไม่เลือกเดิน เป็นเพราะอะไร เพราะคิดว่าอุ้มกันเองใน ก.ตร.มันง่ายกว่าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาลปกครอง เพราะมั่นใจว่าคุมเกมฝ่ายการเมืองได้เพราะ “สุเทพ-เนวิน” หนุนหลัง กรณีนี้คงเป็นบทสรุปของสัจธรรมที่ว่า “คนดีจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อรักษาระบบและความถูกต้อง แต่คนจัญไรพร้อมที่จะทำลายระบบเพื่อประโยชน์ของตัวเอง” สำหรับกรณีก.พ.มีมติให้รับนายวีรพลกลับเข้ารับราชการสวนมติป. ป.ช.นั้น คำ พิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่มี นายนพดล เฮงเจริญ ตุลาการศาลปกกครองสูงสุด เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน ซึ่งได้มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ว่า ก.พ.ไม่มีอำนาจพลิกมติ ป.ป.ช. แต่ศาลปกครองสามารถดำเนินการได้ ซึ่งในการไต่สวนข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.ว่า นายวีรพล มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตในโครงการเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมประชา สัมพันธ์ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต่อไปนี้เป็นข้อความส่วนหนึ่งของคำพิพากษาดังกล่าว “ ศาลเห็นว่า กรณีนี้การที่นายวีรพล (ดวงสูงเนิน) ยื่นอุทธรณ์มติป.ป.ช.และคำสั่งไล่ออกจากราชการของ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีต่อ ก.พ.และ ก.พ. วินิจฉัยว่านายวีรพลกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ถือว่าก.พ.ได้ ใช้อำนาจหน้าที่ล่วงล้ำ กระทบกระเทือนอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญรับรองว่าเป็นอำนาจของป.ป.ช. ไว้เป็นการเฉพาะ โดยพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงใหม่แล้วเปลี่ยนฐานความคิด เพื่อกำหนดโทษใหม่ จึงไม่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ. ป.ป.ช. 42 ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 2/2546 แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันการพิจารณาพิพากษาคดี ของตุลาการศาลปกครองกลาง ซึ่งมีอิสระในการพิจารณาอรรถคดีและตรวจสอบ แสวงหาข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสม” ปรากฏการณ์ จากคำพิพากษานี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับการพิจารณาคดีของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ข้าราชการถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงว่า หน่วยงานเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ก.พ. หรือ กตร. ไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงฐานความผิดที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลไปแล้ว ทำได้เพียงแค่ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่ ปปช.ชี้มูลไปเท่านั้น รวมทั้งความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาที่จะตอบข้อหารือของนายกฯ อภิสิทธิ์ก็จะต้องยึด แนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองเป็นบรรทัดฐาน เว้นแต่เนติบริกรจะใช้เหลี่ยมคูหาช่องทางอุ้มพล.ต.อ.พัชรวาท หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 สิงหาคม 2553, 12:35:47 วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:56:05 น. มติชนออนไลน์
ป.ป.ช.โยนมาร์คตัดสินใจปมกฤษฎีกาให้ยกเลิกคำสั่งไล่ออกพัชรวาท นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนคดีสั่งสลายการชุมนุมผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กล่าววันที่ 26 สิงหาคมถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ยกเลิกคำสั่งไล่ออก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ออกจากตำแหน่ง ภายหลัง ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดทางวินัยร้ายแรงจากคดีดังกล่าวว่า ขอศึกษาก่อนว่ารายละเอียดของการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นอย่างไร เพราะทราบผ่านสื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีว่าจะปฏิบัติตามมติของ ป.ป.ช. หรือตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายกรัฐมนตรีปฏิบัติตามมติของ ก.ตร.ต่อไป ป.ป.ช.จะไม่เป็นเสือกระดาษหรือเพราะหน่วยงานราชการต่างๆ สามารถกลับมติของ ป.ป.ช.ได้ นายวิชากล่าวว่า มติของ ป.ป.ช.มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งนายอภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎหมาย น่าจะเข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 สิงหาคม 2553, 20:01:54 ประทิน” มึน!! ตร.แจ้งป่วนสนามบินแต่ไม่มีหลักฐาน รอดูสั่งฟ้องหรือไม่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2553 16:36 น. อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เผยหลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีชุมนุมสนามบิน รับขอดูพยานหลักฐานทำใช้เวลาสอบนาน สุดงง!! โดนก่อความวุ่นวาย แต่ถามหาหลักฐานไม่พบ รอดูสั่งฟ้องหรือไม่ ชี้ “สมยศ” จ่อถูกฟ้องกลับสมควรแล้ว สอนน้องๆ จะตั้งข้อกล่าวหาต้องรวบหลักฐานให้ปรากฏก่อน วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ASTVผู้จัดการออนไลน์ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ให้สัมภาษณ์ถึงการที่เข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากรณีการชุมนุมที่สนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยว่า บรรยากาศทั่วไปก็ดีไม่มีอะไร พนักงานสอบสวนก็ทำหน้าที่ดี จะขอเช็กดูอะไรเขาก็ให้ดู ซึ่งเป็นไปตามสิทธิทางกฏหมายของเรา ส่วนที่ใช้เวลารับทราบข้อกล่าวหาเป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมงนั้น เพื่อให้พนักงานสอบสวนได้แสดงหลักฐาน พยานต่างๆตามข้อเท็จจริง และข้อกล่าวหา เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะให้พนักงานสอบสวนแสดงได้ ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญา “เจ้าหน้าที่อ้างว่า ผมไปชุมนุมเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 เขาก็เอาภาพถ่ายของเอเอสทีวีมาให้ดู ผมก็บอกว่าไปจริง พูดอย่างนี้จริง แต่นอกจากข้อกล่าวหานี้มันไม่มีนี่ ทั้งคดีก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมก็ถามว่าก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตรงไหน แล้วมีหลักฐานพยานหรือไม่ว่าผมไปชุมนุม หรือเดินขบวนกับเขามา มันมีไหม ก็ไม่มี แต่ผมไปขึ้นเวทีแค่ครั้งเดียว กลับมีข้อกล่าวหาทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง แล้วผมเป็นคนสั่งการในการชุมนุมตรงไหนมั้ย มันก็ไม่มีพยานหลักฐานอะไร เมื่อสอบถามไปยังพนักงานสอบสวน เขาก็ไม่มีหลักฐานในข้อกล่าวหาดังกล่าว บอกว่าไม่มีบ้าง ไม่พบบ้าง” พล.ต.อ.ประทินกล่าว พล.ต.อ.ประทินกล่าวต่อว่า หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าทางพนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ทั้งที่ปรากฏว่ามันไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีพฤติการณ์ดังกล่าวตามที่เขากล่าวหา เขาจะดำเนินการยังไงต่อไป ซึ่งเมื่อเขารวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้นแล้วก็มีอำนาจที่พิจารณาว่าพอที่จะฟ้อง หรือไม่ ส่วนกรณีที่แกนนำพันธมิตรฯ จะทำการฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนนั้น ก็แล้วแต่ว่าแกนนำแต่ละท่านหรือผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนจะเอายังไง ถ้าสมมุติว่ามันไม่มีพยานหลักฐานต่างๆ มันก็สมควรแล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นมติของที่ประชุม ตนก็ถามว่ามติที่ประชุมนี่มันเป็นข้อเท็จจริงหรืออย่างไีร ทำไมมติถึงออกมาเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ขณะที่ช่วงที่มีการสอบสวนนั้น พล.ต.ท.สมยศไม่ได้อยู่ในห้องสอบสวนด้วย มีเพียงพนักงานสอบสวนยศ พ.ต.อ.กับ ร.ต.ท.อีกคนมาบันทึกปากคำ อย่างไรก็ตาม อดีตอธิบดีกรมตำรวจยังตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ใน คดีดังกล่าวด้วยว่า ตนเห็นว่าการที่พนักงาน หรือหัวหน้าพนักงานสอบสวนจะกล่าวหาว่าผู้ใดกระทำความผิด หรือว่าการกระทำที่มีมูลความผิด มันต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ปรากฏเสียก่อน อย่างกรณีของตนพยานหลักฐานมันก็ไม่ปรากฏ ตนขึ้นไปพูดทักทายประชาชนประมาณ 5 นาที ได้ แล้วก็ไม่ได้พูดยุยงปลุกปั่นอะไรเลย ตนก็ยังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประทินถูกดำเนินคดีดังกล่าวในข้อหา 1.มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ 2.เข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข หรือโดยไม่มีเหตุอันควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในอาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนัก งานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิห้ามมิให้เข้าไป ได้ไล่ให้ออก โดยใช้กำลังประทุษร้าย และโดยมีอาวุธ หรือร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป 3.ทำลาย หรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้ บริการการบินพลเรือน หรือต่ออากาศยานที่ไม่อยู่ในระหว่างบริการและแยู่ในท่าอากาศยานนั้น หรือทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ทั้งนี้ โดยใช้กลอุปกรณ์ วัตถุ หรืออาวุธใดๆ และการกระทำนั้นเป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่า อากาศยานนั้น 4.กระทำด้วยประการใดๆ ให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่การจราจร 5.กระทำด้วยประการใดๆ ให้การสื่อสารสาธารณะ ทางไปรษณีย์ขัดข้อง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 สิงหาคม 2553, 09:54:55 คนกรุงเบื่อม็อบ สั่งสอนเพื่อไทย
31 สิงหาคม 2553 Post today online ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.) เล่นเอาช็อกพรรคเพื่อไทย เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ยึดเก้าอี้ถล่มทลายครองใจคนกรุง โดย...ทีมข่าวการเมือง โดย สก. 50 เขต ประชาธิปัตย์กวาดไป 45 คน เพื่อไทย 15 คน และผู้สมัครอิสระ 1 คน ขณะที่ สข. 36 เขต จำนวน 259 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์กวาด 210 คน เพื่อไทย 39 คน อิสระ 7 คน ส่วนยอดผู้มาใช้สิทธิบางตา สก.อยู่ที่ 41.15% สข.มีผู้มาใช้สิทธิ 42.04% ผลการเลือกตั้ง สก.สข. แม้เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น มิใช่การเลือกตั้งระดับชาติอย่าง สส. แต่ก็สะท้อนอารมณ์คนกรุง และวัดกระแสของแต่ละพรรคได้ดี โดยเฉพาะหลังสมรภูมิ “ราชดำเนินราชประสงค์” ของ “ม็อบเสื้อแดง” ที่สร้างความสูญเสียสองฝ่าย ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 70 กว่าคน พร้อมกับการเผาบ้านเผาเมือง!! ฝ่ายเพื่อไทยอ้างกระแสเสื้อแดงว่า ประชาชนไม่เอารัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน ขณะที่เพื่อไทยก็ติดภาพใช้ความรุนแรง พ่วงโดนคดีก่อการร้ายต่างฝ่ายที่เป็นคู่กรณีมีจุดแข็งและจุดอ่อนกับผลของเหตุการณ์ชุมนุมทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ผลพวงจากม็อบแดงที่ใช้สมรภูมิกรุงเทพฯ เป็นสนามรบ สถานการณ์การเมืองที่ยังอึมครึมขณะนี้ล้วนมีความเกี่ยวพันกับการเลือกตั้ง สก.สข.อย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่จึงเป็นความพ่ายแพ้ราบคาบของเพื่อไทยที่เป็นผลจากการผูกติดม็อบเสื้อแดง เป็นบทเรียนอีกครั้งที่ต้องนำมาทบทวนว่า การใช้การเมืองนอกสภาเพื่อขับไล่รัฐบาล ยึดอำนาจรัฐจนเกิดความรุนแรงขึ้น ไม่เฉพาะพรรคจะสูญเสียคะแนนนิยม ดีไม่ดีอาจถึงขั้นพังทั้งพรรค บิ๊กเพื่อไทยประเมินตั้งแต่แรกว่า การเลือกตั้ง สก.จะถูกกระแส “ม็อบแดง” พัดจนทำให้พรรคได้รับผลกระทบ วิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค สส.กทม. พรรคเพื่อไทย วิเคราะห์ก่อนผลออกว่า พรรคจะได้ สก.มากกว่าเดิม 5 ที่นั่ง หรือจาก 15 เป็น 20 ที่สุดได้เท่าเดิม 15 คน แม้จะออกมาปลอบประโลมว่าพรรคไม่แพ้ และไม่ชนะ ทุกอย่างเท่าทุน แต่ในทางการเมือง การที่เพื่อไทยไม่สามารถกวาดที่นั่งมาได้เพิ่ม ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับหนึ่งในสภา ย่อมแสดงว่ากระแสพรรคไม่ได้ดีขึ้น แต่อาศัยฐานจัดตั้งที่เหนียวแน่นของพรรคที่มีประมาณ 3 แสนคนในกรุงเทพฯ ที่สำคัญ เขตที่เพื่อไทยเอาชนะไม่ได้ ไม่ใช่พรรคอื่นหรือกลุ่มอิสระที่ได้ไป แต่กลับเป็นพรรคประชาธิปัตย์ คู่แข่งเบอร์หนึ่งที่คว้าไป 15 คนของเพื่อไทยที่ได้มาล้วนเป็น สก.ชุดเก่าแทบทุกคน ที่สร้างผลงานในพื้นที่มาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ฐานเสียงคนชั้นกลางซึ่งไม่เอาม็อบเสื้อแดง สก.เพื่อไทยที่แหวกออกจากหลุมดำม็อบมาได้ก็อาศัยจุดแข็งของผู้สมัครล้วนๆ สก.เก่าของเพื่อไทยบางเขตถึงขั้นไม่กล้าระบุชื่อพรรคในป้ายหาเสียงเพราะกลัวคนกรุงต่อต้าน ส่วนชานกรุงรอบนอก ฐานเสียงคนชั้นล่าง พรรคเพื่อไทยกวาดที่นั่งเป็นส่วนใหญ่ เช่น ดอนเมือง ลาดกระบัง หนองจอก คันนายาว มีนบุรี ก็เพราะได้กระแสพรรคบวกกับตัวผู้สมัครควบคู่กัน ก่อนหน้านี้ วิชาญ ยอมรับว่าเพื่อไทยเป็นรองประชาธิปัตย์หลายช่วง ปมหนึ่งนอกจากความได้เปรียบของประชาธิปัตย์ที่เป็นทั้งรัฐบาลและมีผู้ว่าฯ กทม.อยู่ฝ่ายอำนาจรัฐ บวกกับกระแสในเมืองที่วูบวาบ อ่อนไหว ก็ไม่ได้เป็นใจให้เพื่อไทย เพราะผู้คนยังสยองกับภาพม็อบแดงเผาเมืองอยู่ ใน 100% ของการตัดสินใจคนกรุง วิชาญ วิเคราะห์ว่า 50% เป็นกระแสพรรค ที่เหลือ 25% เป็นตัวผู้สมัคร อีก 25% เป็นเทคนิคการหาเสียงของผู้สมัครแต่ละราย นั่นหมายความว่า ทัศนคติในการเลือกไม่ได้มองว่าเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เน้นแต่ตัวผู้สมัคร หรือภารกิจหน้าที่ของ สก. ที่ต้องเลือกไปถ่วงดุลพรรคประชาธิปัตย์ ตรวจสอบงบ กทม. 6 หมื่นล้านบาท ที่บริหารโดยผู้ว่าฯ กทม. แต่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์การเมืองร้อนแรง และครั้งนี้คนกรุงได้รับผลกระทบเต็มๆ จากม็อบเสื้อแดง กระทบต่อการดำเนินชีวิต ต่อการจราจร การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง สำคัญสุดคือความรุนแรงจนบ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนดังสงครามกลางเมือง ปัจจัยเหล่านี้จึงมีผลต่อการเลือกตั้งทุกระดับใน กทม. ไม่ว่า สข. หรือ สก. ผู้ว่าฯ กทม. กระทั่ง สส. เพราะนี่เป็นการเลือกโดยอิงพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคนั้น และคนกรุงเองก็อยู่ในศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารรอบตัวตลอด กลุ่มที่ไม่ได้เป็นฐานจัดตั้งพรรคใดซึ่งคาดว่ามีประมาณ 50% จึงหย่อนบัตรเลือกตั้งเพื่อแสดงจุดยืนบางอย่างต่อพรรคการเมือง และต่อเหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ น่าสนใจ เพราะการ “ไม่ชนะ” ของเพื่อไทยครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก หลังเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต ก่อนหน้านี้มีการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกเลือก สข. 14 เขต เมื่อ 2 เดือนก่อน ประชาธิปัตย์กวาดยกทีม 10 เขต ขณะที่เพื่อไทยได้เพียง 3 เขต ถัดมาเป็นการเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 6 กทม. พื้นที่ชานเมืองฐานเสียงของเพื่อไทยล้วนๆ ประชาธิปัตย์โดย พนิช วิกิตเศรษฐ์ ก็ชนะก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายจากเพื่อไทยด้วยคะแนน 9.6 หมื่นต่อ 8.1 หมื่นคะแนน 3 ครั้ง ประชาธิปัตย์ชนะหมด เพราะคนกรุงเบื่อม็อบ เบื่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับม็อบแดงและเพื่อไทย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 กันยายน 2553, 20:06:27 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:49:52 น. มติชนออนไลน์
"ศุภชัย" ดิ้นแจง "ที่ปรึกษา รมว.วท." ปัดลอกวิทยานิพนธ์ฝรั่ง ท้าจุฬาฯแน่จริงไม่ต้องรอรีถอดปริญญาได้เลย ผอ.สนช.ปัดลอกวิทยานิพนธ์ฝรั่ง แจง"ที่ปรึกษารมว.วท."เรื่องเก่า ท้า"จุฬาฯ"แน่จริงไม่ต้องหารือกฤษฎีกาถอดถอนปริญญาได้เลย เล็งศาลฟ้องศาลปค.พิจารณา "วีระชัย"ลั่นเป็นเรื่องจริยธรรม ไม่มีมวยล้ม ขอเวลา 1-2วันหาข้อสรุป อุนกก.ส่งเสริมคุณธรรมฯ ถกวางเกณฑ์ล้อมคอกก็อปผลงานวิชาการ 28 ก.ย. ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร(กวฉ.) สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย มีคำวินิจฉัยที่ สค 112/2553 ให้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลสรุปการสอบสวนเบื้องต้นพร้อมทั้งสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องให้แก่ นายวิลเลี่ยม วีล เอลลิตส์ ที่ร้องเรียนกล่าวหานายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) อดีตนิสิตระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าส่อทุจริตทางวิชาการ คัดลอกผลงานทางวิชาการในการทำวิทยาพินธ์ปริญญาเอก ซึ่งขณะนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ระหว่างการทำหนังสือหารือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีอำนาจเพิกถอนการอนุมัติให้ปริญญาบัตรหรือไม่ นั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 กันยายน นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่เคยลงโทษถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการใคร อันเนื่องจากการคัดลอกผลงานทางวิชาการเพื่อเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ หรือเพื่อทำปริญญาเอกมาก่อน ส่วนเรื่องร้องเรียน มีร้องเรียนมาที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เพียงกรณีของนายศุภชัย ส่วนกรณีอื่น ยังไม่มีมูล อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสกอ.ยังไม่มีเคยมีเกณฑ์กลางว่ากรณีคัดลอกผลงานทาง วิชาการจะมีผิดจรรยาบรรณอย่างไร กรณีคัดลอกผลงานต่างประเทศ ฝรั่งจะฟ้องร้อง แต่กรณีคัดลอกผลงานของคนไทยกันเอง ยังไม่เคยพูดถึงความผิดกัน "ซึ่งในวันที่ 28 กันยายน เวลา 13.30 น. คณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมทางวิชาการในระบบอุดมศึกษา มีผมเป็นประธาน จะพิจารณาเรื่อง Plagiarism (การโจรกรรมทางวรรณกรรม หรือ การขโมยความคิด) เป็นครั้งแรก ที่สกอ. โดยจะพิจารณาว่าการดึงข้อมูลมาใช้กี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะเรียกว่าคัดลอกซึ่งใน ต่างประเทศเหมือนกันแค่เป็นประโยค เขายังไม่ยอม หรือกรณีที่คัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยให้ชื่อเครดิต จะถือว่าเป็นการคัดลอกหรือไม่เพราะบางสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ แม้จะให้ชื่ออ้างอิง เขายังไม่ยอม ขณะที่บางสาขา การดึงมาอ้างอิงโดยให้เครดิตไม่ถือเป็นการคัดลอก เนื่องจากที่ผ่านมาคำว่าการคัดลอกผลงาน มีความหมายกว้างมาก จึงต้องมาพิจารณาขอบเขตกัน รวมถึงจะพิจารณาด้วยว่าจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร"นพ.กำจรกล่าวและว่า จะต้องพัฒนาซอฟท์แวร์เหมือนอย่างต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งในต่างประเทศใช้ซอฟท์แวร์นานแล้วในการตรวจสอบประโยคที่เหมือนกัน อีกทั้งจะต้องพิจารณาด้วยว่าความผิดดังกล่าวจะนำไปสู่การชะลอ ระยับหรือถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการด้วยหรือไม่ ซึ่งตนยังตอบไม่ได้ ต้องรอผลการหารือของคณะอนุกรรมการฯ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว จึงจะนำเสนอคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป นพ.กำจร กล่าวอีกว่า อำนาจถอดถอดตำแหน่งทางวิชาการหรือดอกเตอร์ เป็นของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งที่ผ่านมา ก.พ.อ.ยังไม่มีการเกณฑ์กลางพิจารณาเรื่องการคัดลอกผลงานทางวิชาการ เมื่อไม่มีเกณฑ์กลาง จึงเป็นไปได้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำเรื่องถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอหารือว่ามีอำนาจในการเพิกถอน การอนุมัติให้ปริญญาบัตรหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามกรณีที่จะถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการ “ศาตราจารย์” จะต้องเสนอสกอ.เพื่อทำเรื่องทูลเกล้าฯ เพราะเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีการเสนอถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการแต่อย่างใด และเท่าที่ทราบตำแหน่งทางวิชาการอื่นๆยังไม่เคยมีสภามหาวิทยาลัยใดดำเนินการ ถอดถอนอันด้วย ด้าน นายสุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าคงให้ความเห็นอะไรไม่ได้เพราะต้องรอกระบวนการการพิจารณาจากสภา มหาวิทยาลัยจุฬาฯ ซึ่งตนไม่ทราบว่าในวันที่ 30กันยายนนี้ ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยจุฬาฯ จะนำเรื่องนี้พิจารณาหรือไม่ โดยปกติแล้วการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ของทางมหาวิทยาลัยและคณะวิทยาศาสตร์ก็มี มาตรฐานและความเข้มเข้นมากอยู่แล้ว และที่ผ่านยังไม่เคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งในอดีตเทคโนโลยียังไม่มากอาจารย์จะตรวจข้อมูลจากหนังสือในห้องสมุดและ ความรู้ของอาจารย์แต่ละท่าน แต่ปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีมีค่อนข้างทันสมัยทำให้ต้องตรวจสอบความถูกต้องของ วิทยานิพนธ์มากยิ่งขึ้น รายงานข่าวแจ้งว่าในวันที่ 30 กันยายน เวลา 14.00น.ที่อาคารจามจุรี 4 จะมีการประชุมสภามหาวิทยาลัยจุฬาฯ ในวาระประชุมปกติไม่ได้กำหนดวาระพิจารณากรณีการร้องเรียนเรื่องการคัดลอกผล งานทางวิชาการของนายศุภชัย แต่อาจจะเสนอเป็นวาระจรให้ที่ประชุมพิจารณา รายงานข่าวจากแจ้งว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ส่งสรุปผลสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายวิลเลี่ยมร้องเรียนนายศุภชัยลอกเลียน ผลงานทางวิชาการ ตามคำสั่งของ กวฉ. ให้กับนายวิลเลี่ยมแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ในบันทึกสรุปผลการสอบสวนตอนท้ายระบุว่า คณะกรรมการสอบสวนฯได้รวบรวมพยานเอกสารโดยติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ เอกสารที่ถูกอ้างอิงเพื่อรวบรวมเอกสารต้นฉบับมาใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณา และสอบสวนพยานบุคคล ได้แก่ ผู้ร้องเรียน ผู้ถูกร้องเรียน คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ และพยานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภายนอกแล้ว มีความเห็นว่า แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเอกสารวิชาการที่ผู้ร้องเรียนกล่าว อ้างว่าเป็นของตนนั้น เป็นผลงานของผู้ร้องเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นผลงานของผู้ถูกร้องเรียนหรือไม่ก็ตาม แต่วิทยานิพนธ์ของผู้ถูกร้องเรียนได้คัดลอกงานวิชาการจากเอกสารจำนวน 4 ฉบับ ซึ่งเป็นงานเขียนของกลุ่มบุคคลในปริมาณงานที่มาก" ผลสอบระบุต่อไปว่า "ถึงแม้ว่าผู้ร้องเรียนจะได้อ้างอิงเอกสารบางรายการไว้ในบรรณานุกรมของวิทยา นิพนธ์ก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการลอกเลียนวรรณกรรมโดยมิชอบ (Plagiarism) ไม่ว่าจะเป็นการลอกวรรณกรรมของตนเอง (Self-Plagiarism) หรือเป็นการลอกวรรณกรรมของผู้อื่น (Plagiarism) หรือโดยผู้อื่นเป็นเจ้าของผลงานร่วม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้างต้นนี้ต้องใช้ พิจารณาในส่วนของการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิต ซึ่งเป็นอำนาจของสภามหาวิทยาลัย และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุด" อนึ่ง สำหรับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว มี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ เป็นประธาน ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา ,รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย ,นพ.กิตติศักดิ์ กุลวิชิต และนางนฤมล กิจไพศาลรัตนา เป็นกรรมการ เมื่อเวลา 15.00 น.วันเดียวกัน นายศุภชัย เข้าพบนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประมาณ 15 นาที เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง นายศุภชัย เปิดเผยว่า เรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นหลายปีแล้ว ซึ่งได้ฟ้องร้องนายวิลเลี่ยม คู่กรณีทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อให้มีการพิสูจน์ว่าได้ลอกผลงานวิทยานิพนธ์ของนายวิลเลี่ยมจริงหรือไม่ ส่วนผลสอบสวนข้อเท็จจริงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ถ้าทำผิดจริงขอท้าให้จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ถอดถอนปริญญา โดยไม่ต้องไปปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เสียเวลา ซึ่งหากจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการจริงจะฟ้องร้องศาลปกครอง เพื่อให้พิสูจน์ความถูกผิด หากผลสรุปว่าผิดจริง จะขอถอนปริญญาเอง ด้านนายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า วท.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องจริยธรรมระดับสูงของบุคลากรในหน่วยงานรัฐ ได้เรียก น.ส.สุจินดา โชติพานิช ปลัด วท. เข้าหารือแล้ว และจะทำหนังสือถึงคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ (บอร์ด สนช.) เพื่อหารือในเรื่องข้อกฎหมายต่อไป เนื่องจาก สนช.แม้จะสังกัด วท. แต่เป็นองค์การมหาชน การดำเนินงานต่างๆ ต้องใช้เวลา แต่คาดว่าจะไม่เกิน 1 – 2 วันนี้ ที่จะหารือกัน เพื่อหาข้อสรุป เนื่องจากขณะนี้จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย มีผลสอบสวนออกมาในเบื้องต้นแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีมวยล้มเด็ดขาด เมื่อถามว่า หากผลสอบสวนของจุฬาลงการณืมหาวิยาลัย ชี้ชัดว่านายศุภชัยลอกผลงานทางวิชาการจริง จะมีผลต่อทางนิติกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำมาก่อนหน้านี้หรือไม่ นายวีระชัย กล่าวว่า การถูกกล่าวหาว่า คงไม่สามารถตอบได้ต้องให้ข้อสรุปออกมาก่อน ด้าน น.ส.สุจินดา กล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกว่านี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กันยายน 2553, 09:35:47 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 23:59:59 น. มติชนออนไลน์
เปิดผลสอบจุฬาฯคดีลอกวิทยานิพนธ์ของ "ศุภชัย หล่อโลหการ" ระบุชัดเข้าข่ายลอกเลียนวรรณกรรมโดยมิชอบ !! สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงจากรายงานการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ตามคำสั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลับ ที่ 2422/2552 ลงวันที่ 3 กรกฎาคมคม 2552 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก Mr.William Wyn Ellis ว่า นายศุภชัย หล่อโลหการ อดีตนิสิตระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาเมื่อปีการศึกษา 2550 ได้ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้ร้องเรียนเพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งของวิทยา นิพนธ์ของตนโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา ทำให้ผู้ร้องเรียนได้รับความเสียหาย ซึ่งมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้คณะวิทยาศาสตร์และบัณฑิตวิทยาลัยร่วมกัน พิจารณาข้อเท็จจริงกรณีนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว ต่อมาผู้ร้องเรียนได้มีหนังสือร้องเรียนเพิ่มเติมไปที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้มหาวิทยาลัยเพิกถอนการอนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตของนายศุภชัย หล่อโลหการ โดยอ้างว่าคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการเพื่ออนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับนายศุภ ชัย หล่อโลหการ ทั้งที่ผู้ร้องเรียนได้มีหนังสือถึงมหาวิทยาลัยเพื่อโต้แย้งสิทธิ์ในผลงาน ทางวิชาการไว้ก่อนแล้ว และเรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการหาข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและชัดเจน มหาวิทยาลัยจึงได้มีคำสั่ง ลับ ที่ 2422/2552 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีนี้ ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ เป็นประธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย อาจารย์ นายแพทย์กิตติศักดิ์ กุลวิชิต และนางนฤมล กิจไพศาลรัตนา เป็นกรรมการ ขอบเขตในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการฯ คือการรวบรวมข้อเท็จจริงที่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น คือ ประเด็นเรื่องการคัดลอกผลงานวิชาการ และประเด็นเรื่องการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิต ในประเด็นเรื่องการคัดลอกผลงานทางวิชาการ นั้น เป็นการพิสูจน์ผลงานวิชาการของผู้ถูกร้องเรียนว่ามีการคัดลอกผลงานทาง วิชาการของบุคคลอื่นหรือไม่ โดยพิจารณาวิทยานิพนธ์ของผู้ถูกร้องเรียนเรื่อง "Establishment of Thailand′s National Organic Agriculture strategies : A Case Study in Organic Asparagus Production" (2007) เปรียบเทียบกับเอกสารวิชาการจำนวน 4 ฉบับ และไม่ครอบคลุมถึงประเด็นความเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในผลงานต่าง ๆ ที่ถูกอ้างว่ามีการลอกเลียน เนื่องจากเป็นประเด็นที่ต้องไปพิสูจน์ในศาลยุติธรรม ส่วนประเด็นเรื่องการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตนั้น เป็นอำนาจของสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัณญัติิจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2551 ที่จะพิจารณาตัดสินโดยอาจพิจารณาจากรายงานการสอบข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการ สอบสวนฯ จะได้ทำขึ้นจากการสอบสวนครั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้รวบรวมพยานเอกสารโดยติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารที่ถูกอ้างอิง เพื่อรวบรวมเอกสารต้นฉบับมาใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณา และสอบสวนพยานบุคคล ได้แก่ ผู้ร้องเรียน ผู้ถูกร้องเรียน คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ และพยานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภายนอกแล้ว มีความ เห็นว่า แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเอกสารวิชาการที่ผู้ร้องเรียนกล่าว อ้างว่าเป็นของตนนั้น เป็นผลงานของผู้ร้องเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นผลงานของผู้ถูกร้องเรียนหรือไม่ก็ตาม แต่วิทยานิพนธ์ของผู้ถูกร้องเรียนได้มีการคัดลอกงานวิชาการจากเอกสารจำนวน 4 ฉบับซึ่งเป็นงานเขียนของกลุ่มบุคคลในปริมาณงานที่มาก ถึงแม้ว่าผู้ถูกร้องเรียนจะได้ทำการอ้างอิงเอกสารบางรายการไว้ในบรรณานุกรม ของวิทยานิพนธ์ก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการลอกเลียนวรรณกรรมโดยมิชอบ (Plagiarism) ไม่ว่าจะเป็นการลอกวรรณกรรมของตนเอง (Self-Plagiarism) หรือเป็นการลอกวรรณกรรมของผู้อื่น (Plagiarism) หรือโดยผู้อื่นเป็นเจ้าของผลงานร่วม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวข้างต้นนี้ต้อง ใช้พิจารณาในส่วนของการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิต ซึ่งเป็นอำนาจของสภามหาวิทยาลัยดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุด อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง "ศุภชัย" ดิ้นแจง "ที่ปรึกษา รมว.วท." ปัดลอกวิทยานิพนธ์ฝรั่ง ท้าจุฬาฯแน่จริงไม่ต้องรอรีถอดปริญญาได้เลย จุฬาฯหารือกฤษฎีกาถอนปริญญา "ดอกเตอร์"ศุภชัย หล่อโลหการ ผอ.สนช.หลังสรุปคดีกล่าวหาลอกวิทยานินพธ์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 28 กันยายน 2553, 15:41:07 ตามมาอ่านแล้วพี่ตะวัน
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กันยายน 2553, 10:27:29 เนวิน-สุเทพจักทัพ 48 ผู้ว่าฯ เตรียมรับมือเลือกตั้ง
29 กันยายน 2553 posttoday.com ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นหัวโต๊ะการประชุม ได้อนุมัติการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 48 ตำแหน่ง ตามที่ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รมว.มหาดไทย เป็นผู้เสนอ โดยมี “มานิตวัฒนเสน” ปลัดกระทรวง เป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง ก่อนที่จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทั้งที่ธรรมเนียมปฏิบัติต้องให้ปลัดกระทรวงคนใหม่เข้ามาแต่งตั้ง โดย.....ทีมข่าวการเมือง ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นหัวโต๊ะการประชุม ได้อนุมัติการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 48 ตำแหน่ง ตามที่ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รมว.มหาดไทย เป็นผู้เสนอ โดยมี “มานิตวัฒนเสน” ปลัดกระทรวง เป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง ก่อนที่จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทั้งที่ธรรมเนียมปฏิบัติต้องให้ปลัดกระทรวงคนใหม่เข้ามาแต่งตั้ง แต่ปรากฏว่า “มงคล สุระสัจจะ” ยังมีปัญหาเพราะถูกร้องปมทุจริตการเช่าคอมพิวเตอร์ โดยการแต่งตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบเพราะเพิ่งมีการสอบวิสัยทัศน์รองผู้ว่าฯ เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ย.เท่านั้น แต่ฝ่ายการเมืองได้เร่งรีบทำให้เสร็จสิ้น เพราะสัปดาห์นี้ถือเป็นสุดท้ายของปีงบประมาณ หากล่วงเลยไปอาจเกิดปัญหาได้ และเป็นไปตามคาดเมื่อพบว่าการแต่งตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้ ไม่ต่างจากการแต่งตั้งครั้งอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เพราะทั้งพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ล้วนแล้วแต่มีการผลักดันคนใกล้ชิดของตัวเองลงในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานเสียงของตัวเองเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะการเตรียมการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เห็นได้ชัดเจนจากผู้ว่าฯ สายพรรคภูมิใจไทย ที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมือง ทั้งนายเนวิน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ต่างได้ดิบได้ดีไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ในพื้นที่เป้าหมายที่ภูมิใจไทยต้องการปักธงให้ได้โดยเฉพาะในพื้นที่อีสาน โดยส่ง “ระพี ผ่องบุพกิจ” ผู้ว่าฯ สุรินทร์ ที่ย้ายไปผู้ว่าฯ นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่เกรดเอ ในภาคอีสาน เพราะมี สส.มากเป็นอันดับ 2 รองจาก กทม. และเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันทางการเมืองสูง ซึ่ง “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย เจ้าของพื้นที่กำลังถูกกดดันในพื้นที่อย่างหนักจากการแย่งชิงพื้นที่นี้ ทั้งจาก “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” พรรคเพื่อแผ่นดิน และ “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” ของพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ ยังมีการดันให้ “ธานี สามารถกิจ” สิงห์แดง รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เดียวกับ “ศักดิ์สยาม” ที่ขยับจากรองผู้ว่าฯ ชลบุรี มาเป็นผู้ว่าฯ ปทุมธานี โดยปีที่ผ่านมา “ธานี” ได้เข้ามาเป็นคณะทำงานของ “ศักดิ์สยาม” จนถือว่าเป็นมือขวาของ “ศักดิ์สยาม” เลยทีเดียว อีกทั้งปทุมธานียังเป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในภาคกลางด้วย รวมถึง “สุทธิพงษ์จุลเจริญ” สิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานของ “ศักดิ์สยาม” อีกคน รองผู้ว่าฯ นครนายก ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าฯ นครนายก เช่นกัน นอกจากนี้ ฝ่ายการเมืองของพรรคภูมิใจยังได้ผลักดันคนสนิทลงในพื้นที่ที่ขนาดใหญ่ที่หวังว่าจะปักหลักให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ด้วยการแต่งตั้ง “เสริม ไชยณรงค์” รองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานที่มั่นของพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งการแต่งตั้ง“สุรพล สายพันธ์” จากรองผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ไปเป็นผู้ว่าฯ อุบลราชธานี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ “สุพล ฟองงาม” สส.อุบลฯ พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อาจจะทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกระเพื่อมอีกก็ได้ การแต่งตั้ง “สมชัย หทยะตันติ” ผู้ว่าฯพิจิตร ไปเป็นผู้ว่าฯ เชียงราย พื้นที่ของ “สัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์” แกนนำพรรคภูมิใจไทย ภาคเหนือ การย้าย “เริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี” จากผู้ว่าฯ กาญจนบุรี ไปเป็นผู้ว่าฯ นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ของ “ศุภชัย โพธิ์สุ” รมช.เกษตรและสหกรณ์ รวมถึง “สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต” ผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู ไปเป็นผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ ขณะที่ “สมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ” จากผู้ว่าฯ สกลนคร ไปเป็นผู้ว่าฯ ขอนแก่น พื้นที่ของนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ สส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย “กิตติ ทรัพย์วิสุทธิ์” รองผู้ว่าฯ ราชบุรี ขึ้นไปเป็นผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา พื้นที่ของ “สุชาติ ตันเจริญ” และ “วิชิต ชาตไพสิฐ” รักษาการผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ไปเป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี พื้นที่ของนายสนธยา คุณปลื้ม ที่มีข่าวว่าจะมาเป็นหัวหน้าทีมภาคตะวันออกของพรรคภูมิใจไทย และมีการโยก “เสนีย์ จิตตเกษม” ผู้ว่าฯ ชลบุรี ไปเป็นผู้ว่าฯ น่าน เพราะมีข่าวไม่กินเส้นกับ “สนธยา” ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์ก็ไม่น้อยหน้า โดยการทำโผนาทีสุดท้ายที่อาคารสิริภิญโญ ช่วงดึกวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่าน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ได้ส่งตัวแทนเพื่อนำโผผู้ว่าฯ โควตาพรรคประชาธิปัตย์ให้กับ “เนวิน” เพื่อฝากฝังคนของตัวเองลงพื้นที่ทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก อาทิ “ธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล” รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต ขยับไปเป็นผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี เพื่อวางเกมการเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ “ธีระยุทธ” เคยเป็นอดีตนายอำเภอเกาะสมุย ทำให้มีความใกล้ชิดกับ “สุเทพ” เป็นอย่างมาก รวมถึง “ธำรง เจริญกุล” รองผู้ว่าฯ สงขลา ไปเป็นผู้ว่าฯ พังงา ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน “ตรี อัครเดชา” รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต เป็นผู้ว่าฯ ภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ของ “อัญชลี วานิช เทพบุตร” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ธวัชชัย เทอดเผ่าไทย” จากผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ ไปเป็นผู้ว่าฯ ระยอง พื้นที่ของ “สาธิต ปิตุเตชะ” สส.พรรคประชาธิปัตย์ด้วย นอกจากนี้ อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา คือการย้ายผู้ว่าฯ เพื่อไปดูแลและควบคุมมวลชนฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะในรัฐบาลชุดนี้ที่รัฐต้องควบคุมการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากการแต่งตั้ง “ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล” ผู้ว่าฯ นครปฐม ที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง โดยหวังว่าจะให้ “ม.ล.ปนัดดา” ผู้ว่าฯ ราชสกุล ผู้นี้ซึ่งแสดงตัวปกป้องสถาบันมาโดยตลอด น่าจะปราบคนเสื้อแดงได้ รวมถึงการย้าย “พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ไปเป็นผู้ว่าฯ อุดรธานี เพราะต้องการให้ไปคุมเสื้อแดงเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามกับผู้ว่าฯ ในพื้นที่สีแดงที่ผลงานไม่เข้าตาต่างถูกเด้งเข้ามาเป็นผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทยกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น “ศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์” ผู้ว่าฯ ลำบาง “ปรีชา บุตรศรี” ผู้ว่าฯ ปทุมธานี “ธวัชชัย ฟักอังกูร” ผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด และ “วันชัย สุทธิวรชัย” ผู้ว่าฯ ชัยภูมิ ที่ต้องเข้ามาตบยุงที่สำนักผู้ตรวจฯ เพราะไม่สามารถตอบสนองฝ่ายการเมืองได้ อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งครั้งนี้ฝ่ายการเมืองไม่ต้องการให้ถูกวิจารณ์ว่าเอาแต่พวกสิงห์แดง รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้ถูกโจมตีได้ ทำให้โผครั้งนี้มีการผสมกันไปทั้งสิงห์แดง สิงห์ดำ (รัฐศาสตร์ จุฬาฯ) สิงห์ทอง รัฐศาสตร์ รามคำแหง และสิงห์ขาว รัฐศาสตร์ เชียงใหม่ และที่สำคัญทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดว่า การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าฯ ครั้งนี้ ภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ต่างวินวินด้วยกันทั้งคู่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 กันยายน 2553, 22:02:46 วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:30:44 น. มติชนออนไลน์
แกะรอยผู้ว่าฯเมืองชล เพื่อนเรียนรัฐศาสตร์"พระปราโมทย์"สรุป "สวนสันติธรรม"ไม่ผิดก่อนย้าย3วัน นอกจากพระปราโมทย์ ปราโมชโช (สันตยากร) เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีเพื่อนร่วมรุ่นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ (รุ่น 24) ซึ่งล้วนเป็นคนดัง ไม่ว่านายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปี 2518 หรือ นายอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ ผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นักรัฐศาสตร์และนักกฎหมาย อาทิ กฤต ไกรจิตติ , กิตติ แก้วทับทิม , เกษม คมสัตย์ธรรม ,ทินกร ตันติวนิช ,ธนวัฒน์ เนติโพธิ์ ,ธนวิทย์ สิงหเสนี , ธีรพจน์ จรูญศรี , นวนิต สิงหเสนี , นุชนารถ วะสีนนท์ , ปาริชาติ จันทรางศุ , ไพบูลย์ จันทรางศุ , มยุรี อนุมานราชธน , รจนี อาชวานันทกุล , วันทนีย์ กัลยาณมิตร - บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด วัส ติงสมิตร - ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง , วิชช์ จีระแพทย์ สำนักอัยการสูงสุด , วีระนารถ วีระไวทยะ และ อุษา ตันติเวชกุล ล่าสุด"มติชนออนไลน์" ตรวจสอบพบว่า นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่น 24 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯกับพระปราโมทย์ด้วยเหมือนกัน โดยในหนังสือทำเนียบรุ่นระบุว่านายเสนีย์เลขที่ 261 ส่วนเลขที่ 116 นายเสนีย์เป็นคนอำเภอพนัสนิคม ชลบุรี ประวัติรับราชการเคยรักษาการในตำแหน่งนายอำเภอปากชม จังหวัดเลย ,นายอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี , นายอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี , นายอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ,นายอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี,ผู้อำนวยการส่วนกิจกรรมมวลชน สำนักงานประสานงานมวลชน กรมการปกครอง , ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ( เลื่อนระดับ 9 ) 2542 ,รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ , รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 และผู้ว่าฯชลบุรี ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ย้ายไปเป็นผู้ว่าฯน่าน พร้อมผูว่าฯคนอื่น 47 ตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 วันเดียวกันที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้โยกย้าย นายเสนีย์ก็ออกมาเปิดเผยผลการสอบสวนพระปราโมทย์ โดยมีนายยุติศักดิ์ เอกอัคร นายอำเภอศรีราชา ประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ไม่พบว่าเจ้าสำนักสวนสวนสันติธรรมฉ้อฉลและหลอกลวงประชาชน ส่วนแม่ชีอรนุช สันตยาก อดีตภรรยานั้นได้ทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับยกที่ดินหากสวนสันติธรรมได้รับการ พิจารณาให้เป็นวัดไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเงินรายได้นั้นมาจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค พระไม่ได้หยิบเงินแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าแม่ชีอรนุชถือบัญชีก็ตาม แต่มีผู้ตรวจสอบบัญชี จากพยานหลักฐานดังกล่าวไม่เข้าข่ายฉ้อฉลตามที่ร้องเรียน ส่วนกรณีอวดอุตริมนุสธรรม ขอให้สำนักพุทธศาสนาตรวจสอบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 ตุลาคม 2553, 18:18:50 วันที่ 04 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:02:52 น. มติชนออนไลน์
เปิดบันทึกถ้อยคำ"ธาริต"พยานคดียุบ ปชป. พิรุธ"ทวี สอดส่อง"วางแผนสร้างเรื่อง-ตั้งวอร์รูมช่วย นปช. บันทึกถ้อยคำ "ธาริต เพ็งดิษฐ์" พยานคดียุบพรรค ฝ่าย ปชป. งัดพิรุธคำสั่งการของ "ทวี สอดส่อง" พร้อมระบุเป็นการวางแผน สร้างเรื่องให้เกิดคดียุบพรรค ดิสเครดิตซ้ำอดีตบิ๊กดีเอสไอดอดตั้งวอร์รูมช่วย นปช.ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยื่นคำ ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีการใช้เงินจากกองทุนเพื่อ พัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ว่า ว่า บันทึกถ้อยคำของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จำนวน 5 หน้ากระดาษ ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ระบุความว่าเมื่อตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอได้ 3 เดือน ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอกลุ่มหนึ่งกลั่นแกล้ง สร้างเรื่อง และสร้างพยานเท็จเกี่ยวกับการเสนอยุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และคดีเกี่ยวกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) จึงได้ตรวจสอบพบข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2551 ส.ต.อ.ทชภณ พรหมจันทร์ ได้ทำหนังสือร้องทุกข์ต่อพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้น โดยมีสาระสำคัญว่า ปชป.กระทำทุจริตรับเงินจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และขอให้ดำเนินคดีกับปชป. ทั้งนี้พ.ต.อ.ทวี ย่อมทราบดีว่า เรื่องที่ร้องเรียนไม่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ พ.ต.อ.ทวีจะต้องสั่งไม่รับดำเนินการโดยแจ้งให้ผู้ร้องรับทราบหรืออาจให้ส่ง เรื่องไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นข้อมูล เพราะเรื่องนี้เป็นความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองแต่พ.ต.อ.ทวี กลับมอบให้พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผบ.สำนักกิจการระหว่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่าง ประเทศ เป็นหัวหน้าคดีตรวจสอบ บันทึกถ้อยคำระบุด้วยว่า การสั่งการดังกล่าวพ.ต.อ.ทวี จึงไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้ไม่เป็นคดีพิเศษตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษและไม่มีการร้องขอ ให้มีมติรับเป็นคดีพิเศษ จึงรับไว้ดำเนินการไม่ได้ นอกจากนี้การสั่งการดังกล่าวเป็นพิรุธมาก เพราะมีการสั่งการมายังตน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดีดีเอสไอ โดยสั่งให้จ่ายเรื่องให้กับพ.ต.อ.สุชาติ จึงเป็นการบังคับให้ตนต้องจ่ายเรื่องให้พ.ต.อ.สุชาติ เท่านั้น โดยไม่สามารถใช้ดุลยพินิจจ่ายคดีไปให้บุคคลอื่นที่เหมาะสมได้ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับขอบข่ายงานของสำนักกิจการระหว่าง ประเทศฯ การสั่งเจาะจงเช่นนี้เพราะต้องการให้พ.ต.อ.สุชาติเป็นผู้รับทำเรื่องนี้เท่า นั้น ต่อมาวันที่ 24 มิ.ย. 2551 พ.ต.อ.ทวี มีคำสั่งที่ 217/2551 แต่งตั้งพ.ต.อ.สุชาติ เป็นหัวหน้าคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเหตุผลในการออกคำสั่งอ้างว่าเป็นความผิดตามมาตรา 21 วรรค 1 ซึ่งไม่ถูกต้องไม่ตรงกับเรื่องที่ส.ต.อ.ทชภณ ร้องทุกข์ แต่เป็นการออกคำสั่งเพราะเกรงว่าคำสั่งจะไม่ชอบ หลังจากมีการออกคำสั่งแล้วแม้จะระบุให้ตนกำกับดูแล แต่ในความเป็นจริงคณะตรวจสอบชุดที่พ.ต.อ.สุชาติ เป็นหัวหน้าไม่เคยรายงานหรือหารือใด ๆ กับตนแม้แต่ครั้งเดียว แต่จะรายงานตรงกับพ.ต.อ.ทวี เท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2551 พ.ต.อ.ทวี ได้นำเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยกล่าวอ้างว่าเป็นคดีความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่มีการพูดถึงความผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง การนำเสนอข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมจึงเป็นการบิดเบือนรูปคดีให้กลายเป็น เรื่องความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และเป็นการลวงให้กคพ. สำคัญผิดจนที่ประชุมมีมติเห็นชอบ หากที่ประชุมรู้ความจริงตามที่ส.ต.อ.ทชภณ ร้องทุกข์จะไม่มีมติเห็นชอบแน่นอน เพราะไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ อย่างไรก็ตาม เมื่อที่กคพ.มีมติเห็นชอบย่อมผูกพันให้ดีเอสไอต้องดำเนินการเฉพาะความผิด ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เท่านั้น ไม่มีอำนาจไปดำเนินคดีตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมกคพ. ตนได้ทำเรื่องเสนอต่อพ.ต.อ.ทวี เพื่อขอให้พ.ต.อ.ทวี สั่งมอบหมายคดีที่ผ่านความเห็นชอบจากกคพ. ซึ่งจะเห็นข้อพิรุธได้ว่าในทุก ๆ เรื่องพ.ต.อ.ทวี จะเขียนด้วยลายมือ โดยเรื่องใดมอบหมายให้รองอธิบดีจะเขียนว่ารองฯสพ. 1 หรือรองฯสพ. 2 ซึ่งหมายความว่ารองอธิบดีฯจะใช้ดุลยพินิจมอบหมายนั่นเอง แต่พอมาถึงเรื่องที่ 6 คือคดีนี้พ.ต.อ.ทวี กลับเขียนว่ารองฯ สพ. 1 มอบ ผบ.สตท.ซึ่งคือพ.ต.อ.สุชาติ จึงเป็นการเจาะจงล็อคกันไว้ รองอธิบดีไม่มีสิทธิใช้ดุลยพินิจเหมือนเรื่องอื่น บันทึกถ้อยคำระบุอีกว่า การที่พ.ต.อ.สุชาติอ้างว่าการสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับคดีพรรคการเมืองเป็น เรื่องที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เป็นข้ออ้างที่ผิดเพราะการเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันต้องตีความอย่างแคบตามหลัก การในกฎหมายอาญา โดยเฉพาะต้องไม่ใช่คดีความผิดที่อยู่ในอำนาจขององค์กรอื่น ดังนั้น พ.ต.อ.สุชาติ และคณะเจาะจงเข้าทำคดีนี้ทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ มีเจตนาแอบแฝงไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2551 พ.ต.อ.ทวี ออกคำสั่งที่ 528/2551 ยกเลิกคำสั่งที่ 371/2551 แล้วแต่งตั้งพ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยมอบรองอธิบดีคือพ.ต.อ.สุชาติ ให้กำกับดูแล จึงเป็นความจงใจของพ.ต.อ.ทวี ที่ต้องการให้พ.ต.อ.สุชาติ ดำเนินการเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ โดยไม่ให้มีการกำกับควบคุมจากรองอธิบดี การกระทำของพ.ต.อ.ทวี พ.ต.อ.สุชาติ และพ.ต.ท.วรชัย จึงเป็นการร่วมกับวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของการเป็นหน่วยงานด้านการสอบสวนถักทอ บิดเบือน และสร้างเรื่องมุ่งหมายดำเนินคดีนี้ ทั้งที่ไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ แต่ตกแต่งเรื่องจนกคพ.ผิดหลงมีมติเห็นชอบให้สอบสวน และอาศัยช่องทางจากมติกคพ. สอบสวนความผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง โดยไม่ทำคดีตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ให้แล้วเสร็จ หลังจากตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอระยะหนึ่งพ.ต.ท.วรชัยกับคณะได้ขอลา ออกจากการเป็นพนักงานสอบสวน ตนจึงแต่งตั้งพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดี จนสอบสวนแล้วเสร็จและมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามความผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ต่อมาตนได้ทราบเรื่องว่าพ.ต.อ.สุชาติ มาเบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยนำเทปบันทึกเสียงมามอบให้ศาลจึงได้ตรวจสอบใน สำนวนคดีแต่ไม่พบเทปบันทึกเสียงเก็บรวบรวมไว้ในบันทึกการสอบสวน การกระทำของพ.ต.อ.สุชาติจึงไม่ถูกต้องตามหลักปฏิบัติของพนักงานสอบสวนซึ่งจะ ต้องรวบรวมพยานหลักฐานไว้ในสำนวนจะนำไปเก็บไว้เป็นการส่วนตัวไม่ได้ นอกจากนี้ตนยังได้รับทราบข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่าพ.ต.อ.ทวี และพ.ต.อ.สุชาติได้เข้าไปแนะนำในด้านการปฏิบัติการณ์และข้อชี้แนะต่าง ๆ ในลักษณะวอร์รูมที่ทำการของนปช.และพรรคเพื่อไทยในช่วงเหตุการณ์ในช่วง เหตุการณ์ความไม่สงบเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากพ.ต.อ.ทวี และพ.ต.อ.สุชาติ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีและรองอธิบดีในสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลและ เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าบุคคลทั้งสองมีความใกล้ชิดกับอย่างมากกับบุคคลที่ เป็นแกนนำหลักระดับสูงของพรรคเพื่อไทยมาช้านานจวบจนปัจจุบัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 ตุลาคม 2553, 13:27:48 นักวิชาการไล่ส่ง กทช.3G ลาออกพ่วงรับผิดชอบ 80 ล.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 ตุลาคม 2553 09:16 น. กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล อาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ทิ่ม กทช.แสดงความรับผิดชอบประมูล 3G ล่ม ผลาญงบไปกว่า 80 ล้านบาทแบบสูญเปล่า ชี้แค่ขอโทษไม่พอ กทช.เจ้าของเรื่องต้องยืดอกลาออกและรับผิดชอบเม็ดเงินที่เสียหาย ด้าน กทช.มึนทำงานไม่ถูก ส่งเรื่องถามศาลปกครองสูงสุด 3 ประเด็น ดร.ประชา คุณธรรมดี อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะกลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล (Policy Watch) แถลงข่าวครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “เราควรเรียนรู้อะไรจากเรื่อง 3G” ว่าการดำเนินการเตรียมการประมูล 3G ที่ยกเลิกไปเพราะศาลปกครองวินิจฉัยว่าคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่มีอำนาจ ขณะที่มีการใช้จ่ายงบประมาณไปมากกว่า 80 ล้านบาทนั้น ที่ผ่านมา กทช.ยังขาดความรับผิดชอบเท่าที่ควร และการออกมาขอโทษของกทช.ที่ผ่านมาไม่เพียงพอซึ่งความรับผิดชอบอาจจะทำได้โดยการรับผิดชอบตัวเงินที่เกิดขึ้นไปเลย และรับผิดชอบในหน้าที่โดย กทช.ที่ดูแลเรื่อง 3G โดยเฉพาะควรลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นการรับผิดชอบ หากต่อไปศาลตัดสินว่า กทช.มีอำนาจวันนั้นก็จะได้รับการเยียวยาเอง “งบประมาณที่หมดไปกับการดำเนินการประมูล 3G ที่ทราบกันมากกว่า 80 ล้านบาทนั้นกทช.ควรจะแสดงความรับผิดชอบในแง่ตัวเงินที่มีความเสียหาย และ กทช.ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงควรลาออกเพราะถือเป็นการทำงานที่ผิดพลาด แค่ขอโทษไม่เพียงพอ และถือเป็นการทำงานแบบไร้หลักธรรมาภิบาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า กทช.ไร้การบริการความเสี่ยงที่ดี เพราะที่ผ่านมามีการทวงถามเรื่องอำนาจของ กทช.จากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาตลอดแต่กทช.ก็ไม่ได้พยายามหาความชัดเจนเรื่องนี้ก่อนเดินหน้าผลักดันการประมูล” อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยที่ กทช.จะลาออกยกชุดเพราะจะทำให้เกิดสุญญากาศแก่วงการโทรคมนาคม เพราะ กทช.มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ 1.หน้าที่การกำหนดนโยบาย ซึ่งหน้าที่ส่วนนี้ควรจะงดดำเนินการ และควรรอคณะกรรมการ กสทช.ชุดใหม่ 2.หน้าที่การกำกับดูแลซึ่งที่ผ่านมากทช.ไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหลือ กทช.ควรเข้าไปดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการคงสิทธิเลขหมาย (นัมเบอร์พอร์บิลิตี้) ที่มีการพูดถึงมากว่า 5 ปีแต่ยังผลักดันไม่สำเร็จ และโครงการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ที่ดำเนินการกันมา 15 ปี แต่บริการโทรคมนาคมไทยยังไม่ทั่วถึงในปัจจุบัน ดร.ประชากล่าวต่อว่า กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล มีข้อเสนอ 3ข้อ ที่รัฐบาลควรพิจารณาจากการเรียนรู้เรื่อง 3G ที่ผ่านมาคือ ข้อเสนอที่1รัฐบาลควรใช้ระยะเวลาที่เหลืออีก1 ปี ก่อนมีกสทช.เข้ามาเดินหน้าจัดประมูล 3G หรือ 4G และเร่งผลักดันการแปรสัญญาสัมปทานเป็นใบอนุญาต พร้อมทั้งมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้ประกอบการรายใหม่โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นผู้ให้บริการไทย เพราะเป็นการพัฒนากิจการโทรคมนาคมทั้งระบบและแก้ต้นเหตุความวุ่นวาย รวมทั้งยังเป็นการสร้างการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมรองรับการเกิดเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยฝีมือของรัฐบาล เพราะเร่งดำเนินการเรื่องนี้ดีกว่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเฉยๆ “ในส่วนการปรับปรุงความถี่เดิมให้บริการ 3G นั้นเห็นว่าไม่มีโอกาสสำเร็จเพราะระยะเวลาของอายุสัญญาสัมปทานที่เหลือ3-8 ปีเหลือน้อยเกินไปเอกชนจึงเห็นว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน” ส่วนข้อเสนอที่ 2 กทช.สมควรเดินหน้าเรื่องคงสิทธิเลขหมายและแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบระหว่างผู้ให้บริการด้วยกัน หรือ ผู้ให้บริการกับผู้บริโภคในประเด็นต่างๆ ให้สำเร็จก่อนหมดวาระ และกทช.สมควรเผยแพร่ข้อเท็จจริงกรณีจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศในการดำเนินการจัดประมูล 3G ที่ใช้ไปมากว่า 10 ล้านบาทให้สาธารณะชนรับทราบ ข้อเสนอที่ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมควรมีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะให้กับประชาชนในแง่มุมต่างๆและสนับสนุนการขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และสร้างแหล่งข้อมูล ในส่วนการแต่งตั้ง กสทช. เห็นว่าไม่ควรจะมีจำนวนมากนักเพราะจะเป็นแหล่งรวมของตัวแทนผลประโยชน์ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศล่าช้าออกไป และควรเลือกบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 ตุลาคม 2553, 11:22:27 ถึงเวบมาสเตอร์ ข้อความนี้เป็นเมลที่ส่งมาให้อ่านกันทั่วๆ
คิดว่ามีประโยชน์ ต่อคนไทยมาก อย่าโกรธ อย่าเกลียดคนเขียน เพราะทั้งหมดที่เขาเขียนมาเป็นความจริง ที่เราต้องยอมรับ และหาทางแก้ไข จดหมายถึงนาย อ่าน...โปรดส่งต่อด้วยเพื่อประเทศชาติของเรา อ่านแล้วจะเป็นลม ช่วยคิดให้หน่อยว่าคนเขียนฝีมือแบบนี้คือใครกันแน่ ไทยหรือฝรั่ง. ทำไม่เค้าว่าเราได้ถูกต้องแล้วก็เจ็บแสบได้ขนาดนี้ เหมือนถูกคนตบหน้าจนช้ำแดงก่ำไปหมดหรือเหมือนถูกกระทืบจมกองอยู่ที่พื้นก็เป็นไปได้. ต้องยอมรับว่าคนเขียนเขาเรียนรู้คนไทยแล้วก็ประเทศของเราได้ชัดเจนด้วยความชำนาญจริงๆ ต้องให้แน่ใจว่าเราต้องส่งให้คนไทยเพื่อนของเราได้อ่านให้มากที่สุด จดหมายถึงนาย “ จดหมายถึงนาย ” ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ในแวดวงการทูตและแวดวงของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหายากยุคสมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรงแต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่บรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา ผมเห็น ว่าเป็นข้อเขียนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นเตือนทุกคนให้ตระหนักถึงพิษภัยที่เรากำลังเผชิญอยู่เผื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกันหรือแก้ไขให้ดีขึ้น ในยุคนักธุรกิจครองเมืองจึงได้นำลงมาไว้ใสคอลัมน์นี้ ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลังไปยังนาย คือ บริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือ บางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า ในโอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่าควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุด ในระยะยาวข้าพเจ้าขอสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้ นายที่รัก ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ 20 ปีแล้วนั้นข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อเสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้ ภาพรวมของประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้นฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของชนชาตินี้ แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภาและประชาชนส่วนหนึ่งได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่างๆ จำนวนมากรวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า “ ทำได้ตามใจคือไทยแท้ ” ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย ในทางกายภาพ กรุงเทพฯเป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพฯแต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยาซึ่งควรเป็นบทเรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ก็ไม่เป็นหรือเป็นไม่ได้ ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้ การรุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้ แม้แต่หน่วยงานราชการถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพอย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยงานราชการตลอดกาลแก้ไม่ได้ ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็กๆ ที่เราควรเข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาสและก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปกครองคนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม จริยธรรม ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มีการค้าประเวณี และยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ทั่วหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ในวัด ซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทย ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญลักษณ์สุดยอดของความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน เห็นได้จากการที่กลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลยผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้ เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลงอย่างมากเพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยเจตนาในทางทุจริตจริงๆ และโดยสถานการณ์บังคับ ส่วนผู้นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดยสิ้นเชิงดังจะเห็นได้ชัดในแวดวงการเมือง สังคมไทยยังคง “ ยอมรับนับถือ ” นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประวัติไม่สะอาดหรือพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคมให้เกียรติอย่างมากกลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในวงการผู้พิพากษาก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองอยู่เนืองๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้น ที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจัง มีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่เรียนในกรุงเทพฯกลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับระเบียบปฏิบัติต่างๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่องๆ หนึ่งอาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับและให้อำนาจบุคคลต่างๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง ตัวอย่างที่ดีก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น สำนักงานการบริหารราชการแผ่นดินนายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้องรับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่างๆ เป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวงก็อ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีมักจะกล่าวว่า “ เราจะป้องกันมิให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ” โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบตามกฎหมายจริงๆ เลย และเมื่อมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือเกิน นักกฎหมายก็จะตอบด้วยความภูมิใจว่า “ เพื่อกระจายอำนาจและให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ ” ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมาถึงระเบียบจุกจิกสารพัดเรื่องในหน่วยงานราชการหนึ่งๆ ได้กลายเป็น “ ต้นทุน ” ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ทั้งๆ ที่ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อนๆ จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคมแม้ว่ากาลเวลาผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน ในทางวัฒนธรรม อะไรเล่าคือ วัฒนธรรมไทย เมื่อข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยเขาจะพาเราไปดูการฟ้อนรำที่ซ้ำๆ กัน ดูผ้าไหม ดูวัด และพาไปทานอาหารไทย เขาจะพาเราไปเที่ยวดูช้าง และชาวเขา ดูเรือในแม่น้ำและการพิธีต่างๆ มวยไทยและตลาดน้ำ เราได้ดูพระพุทธรูป ปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีต แต่พวกเขาไม่เคยพาเราไปดูวัฒนธรรมในการศึกษาหาความรู้ของคนไทย วัฒนธรรมในการผลิตสินค้าและการให้บริการของคนไทย การคิดค้นสิ่งใหม่ประดิษฐกรรมและศิลปกรรม ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบวัฒนธรรมที่ดีงามมากในธุรกิจของไทยและยิ่งพบเห็นได้ยากในระบบราชการของไทยซึ่งเน้นความเป็นเจ้าขุนมูลนายและสายสัมพันธ์มากกว่าการมีวัฒนธรรมที่สร้างจิตสำนึกต่อสังคม คนไทยไม่สามารถชี้ให้เห็นวัฒนธรรมของพวกเขาในส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถอธิบายให้น่าฟังได้ในระดับนามธรรม ความไร้ระเบียบทางกายภาพและทางศีลธรรม-จริยธรรม และความไร้ระเบียบทางกฎหมายและวัฒนธรรม ที่สรุปไว้ข้างต้นนี้นับว่าเป็นข้อดีสำหรับเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีอำนาจ เพราะแสดงให้เห็นว่าคนไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอและเด็กก็อ่อนแอ คนมีความรู้ก็อ่อนแอและคนไม่มีความรู้ก็อ่อนแอ คนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็อ่อนแอทั้งสิ้น นับเป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วที่คนไทยไม่มีผู้นำที่สามารถและเสียสละอย่างแท้จริง (ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์) อันสะท้อนกลับมาที่ลักษณะประจำชาติของคนไทยเอง นายท่าน ! สังคมไทยเป็นสังคมที่ผุกร่อนมากแล้วรอวันแตกสลายลง เหมือนหินกับปูนซึ่งถูกน้ำกรดกัดกร่อนทุกวัน ในวันหนึ่งข้างหน้าก็จะไม่มีอะไรให้เห็นเป็นแก่นสารเลย นายควรที่จะพอใจว่ารัฐบาลข้ามชาติ รวมทั้งมาเฟียต่างๆ ของเราชาวต่างชาติเพียงแต่ใช้กุศโลบายอันแยบยลอย่างเงียบๆ หลอกล่อให้คนไทยหลงอยู่ในความฝันว่าตนมีสติปัญญาเพียงพอแล้วโดยการเลียนแบบฝรั่งก็ใช้ได้ ความไร้ระเบียบจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในทุกด้าน สังคมไทยในที่สุดจะตั้งอยู่ได้ด้วยประชาชนที่อ่อนแออย่างหลวมๆ เพียงอย่างเดียว ไม่มีจุดเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับอำนาจรัฐและอิทธิพลทางจิตใจของผู้นำทางการเมือง สังคม สถาบันหรือศาสนาใดๆ เมื่อนั้นเราจะบังคับเอาประเทศไทยเป็นทาสอย่างง่ายดาย เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น สิ่งที่เป็นเวทย์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวต่างชาติจะใช้สะกดผู้นำของชาติไทยก็คือ จงหลอกล่อให้พวกเขาหลงใหลเข้าใจว่าพวกเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยทางการค้าและการลงทุนอันเสรีในกฎเกณฑ์ที่เรานั่นเองเป็นผู้คิดค้นขึ้น เราจะต้องสะกดให้เขาเชื่อว่าเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และมนุษยธรรมต่างๆ รวมทั้งมาตรฐานอันสูงส่งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูงของการลูบหน้าปะจมูกหรือมือถือสากปากถือศีลของชนชาติเราเป็นอันขาด ชาติเล็กๆ ที่น่าสงสารชาตินี้ย่อมอยู่ในอุ้งมือของเราเป็นแน่แท้ แม้คนอยากจะลุกขึ้นสู้ แต่พวกเขาก็มีแต่ความรักชาติเท่านั้น ไม่มีระเบียบวินัยและพลังภายในของสังคม อันเป็นจิตวิญญาณของชาติที่แท้จริงซึ่งจะผลักดันให้ต่อสู้ได้สำเร็จเลย “ สิ่งที่พึงระวัง ” เราชาวต่างชาติจะต้องระวังย่างก้าวของเราบางประการเพื่อมิให้การครอบงำอย่างเงียบๆ นี้สะดุดหยุดลง ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดต่อนายดังนี้ 1. อย่าให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังหวังพึ่งหัวหน้าฝูงและสิ่งที่มีอำนาจ เขายังไม่หวังพึ่งพาตนเองมากนัก หากสังคมไทยได้ผู้นำที่เสียสละ พวกเขาจะกลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังเช่นที่ปรากฏมาทุกยุคในประวัติศาสตร์ชาติไทย สิ่งที่เราควรทำคือ ส่งสัญญาณสนับสนุนผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากแม่พิมพ์ ( mold ) แบบเก่าของไทย เช่น นาย ช. นาย ก. นาย บ. ฯลฯ หรือผู้ที่แสวงประโยชน์สูงสุดจากการเมือง คนพวกนี้จะช่วยให้เราชาวต่างชาติใช้เวทย์มนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนที่ผ่านๆ มา 2. อย่าให้ผู้นำของไทยคิดออกนอกแนวโลกาภิวัฒน์ เพราะโลกาภิวัฒน์คือเวทย์มนต์ของเรา จงทำให้พวกเขาหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าโลกาภิวัตน์ที่ถูกต้อง คือ การเอาใจท้องถิ่น (localization of globalization) เพื่อว่าเขาจะได้แคลงใจสงสัยน้อยลง จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าปัญหาต่างๆ ของพวกเขานั้น จะพึ่งพากลไกของรัฐไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพานักคิดแก้ปัญหาอิสระในนามผู้เชี่ยวชาญและเอ็นจีโอบางแห่งที่เราสนับสนุนอยู่ จงจูงมือพวกเขา จงจูงใจพวกเขาและให้อามิสแกพวกเขา ทำให้เขารู้สึกว่าภาคประชาชนเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามอำนาจรัฐ พวกเขาจะเกลียดชัง พวกเขาจะเคียดแค้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ความก้าวหน้าของเรา ขณะเดียวกัน เราเองจะต้องสนับสนุนให้อำนาจรัฐพัฒนาประเทศไปในแนวทางที่ประชาชนเกลียดชังมากขึ้นทีละน้อย โดยแสร้งทำเป็นว่าอย่าช่วยเหลืออย่างจริงใจ 3. จงเร่งให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เมื่อพวกเขาหลงเชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้น นิสัยประจำชาติของพวกเขาจะพลุ่งพล่าน พวกเขาจะลืมตัวสร้างความไร้ระเบียบมากขึ้นเป็นทวีคูณ เริ่มจากการเมืองระดับชาติ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ลงมาจนถึงการเมืองท้องถิ่น พระ ตำรวจ ชาวบ้าน พวกเขาจะรีบเร่งออกกฎหมายต่างๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ทราบว่าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะใช้กฎหมายใด ในกรณีใดเมื่อใด พวกเขาจะย่อหย่อนต่อวินัยทางเศรษฐกิจ การคลัง และการเงิน พวกเขาจะเมินเฉยต่อศีลธรรม-จริยธรรม จะฟุ้งเฟ้อ ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอเพื่อให้เราชาวต่างชาตินิยมชมชอบ ดังนั้นพลวัตทางเศรษฐกิจเพราะความเชื่อผิดๆ ว่าทุกอย่างดีขึ้นจะนำไปสู่จิตวิญญาณของชาติที่เป็นอัมพาตหนักกว่าเดิมในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของพวกเราชาวต่างชาติอย่างแท้จริง 4. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้แคบขึ้นเรื่อยๆ ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับเทคนิคต่างๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูงๆ มาให้จนลืมไปว่าการสร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง e-mail เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าตอไปคำว่า “ ชาติ ” จะไม่มี เพราะ internet ได้ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม “ ความรักชาติ ” และแรงปรารถนาที่จะ “ สร้างชาติ ” เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนงเช่นเสรีชนอื่นๆ อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา “ คิดอย่างมีจินตนาการ ” อย่าให้พวกเขา “ คิดได้ ” มากๆ หรือ “ อยากคิด ” มากๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย “ คิดสู้ ” จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเลคโทรนิคเป็นสำคัญ 5. หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ระบบราชการไทย เพราะระบบราชการไทยนั้นล้าหลังมาก และเป็นทั้งอุปสรรค์ต่อการพัฒนาประเทศพร้อมๆ กับเป็นเชื้อโรคที่กัดกินสังคมไทยโดยส่วนรวมมากขึ้นทุกที ระบบราชการไทยเต็มไปด้วยความกดดันทำลายทรัพยากรบุคคล เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และความไร้สำนึกต่อสังคม ทำให้ระบบราชการไทยเป็นมหามิตรของเราชาวต่างชาติ อย่าชี้จุดอ่อนของเขา อย่าวิพากษ์วิจารณ์ ปล่อยให้มันเป็นบ่อนทำลายคนไทยทั้งทางกายและทางจิตใจ ทุกลมหายใจของชีวิตจนกว่าจะหมดลม เมื่อไม่วิพากษ์วิจารณ์ มหามิตรของเราก็จะทำงานอย่างขะมักเขม้นโดยหลงเชื่อว่าตนนั้นดีเลิศประเสริฐที่สุดในชาติ มีความชอบธรรมที่จะเขมือบงบประมาณแผ่นดินมากขึ้นเรื่อยๆ จนชาติไทยทั้งชาติเป็นอัมพาตเพราะมะเร็งร้ายนี้ อย่าลืมว่าเฟืองตัวใหญ่ ที่ขึ้นสนิมเขรอะย่อมทำให้จักรกลทั้งหมดสามารถหยุดหมุนได้ เราชาวต่างชาติไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย นั่งยิ้มให้มหามิตรของเรา และยื่นหัตถ์แห่งมัจจุมิตรแก่พวกเขา จนกว่าเวลาจะมาถึง 6. จงนำรายงานฉบับนี้ให้คนไทยอ่านเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของพวกเขา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพวกผู้นำจะตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไมว่า “ เพิ่งได้รับเอกสาร ขอเวลาให้เราแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาก่อน ” ส่วนคนไทยทั่วไปจะตอบว่า “ ไม่เป็นไร ” แล้วหัวเราะเห็นฟันขาว นายท่านจงตระเตรียมเครื่องปรุงรสให้พร้อมเพื่อลิ้มรสเนื้ออันโอชะจากแผ่นดินไทย รายงานของข้าพเจ้าฉบับนี้มีเพียงเท่านี้ หากรัฐบาล บริษัทข้ามชาติและมาเฟียของเราวางแผนเข้ามาผูกมิตรกับคนไทยโดยมีเป้าหมายเช่นว่านั้นแล้ว ข้าพเจ้ารับรองว่าคนไทยจะภาคภูมิใจในการผูกมิตรกับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักและไม่ชอบคิดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พวกเขาชอบการยกยอปอปั้น หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและใช้ชีวิตตามสบาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: BU_KA ที่ 06 ตุลาคม 2553, 23:21:43 มาจองอ่านค่ะ เด๋วหาไม่เจอ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 08 ตุลาคม 2553, 21:01:07
ก่อนมีการเลือกตั้ง เห็นพวกพรรคเพื่อควาย มันเขียนป้ายโฆษณาว่า ขอเสียงไปคานอำนาจ เพราะตอนนี้ ปชป.ได้ฐานอำนาจผู้ว่าและ สส.ไปแล้ว? โฮะๆๆ > อย่างพวกเอ็ง มีคุณค่าพอที่จะ"คานอำนาจ"กับใคร ด้วยเหรองัย(วะ)? emo35:() ถ้าต้องคานอำนาจ ด้วยการเอา กลิ่นขี้ มากลบ กลิ่นเยี่ยว > ผมขอนั่งดมเยี่ยวต่อไปยังจะดีกว่า...สาธุ! emo28:win: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 ตุลาคม 2553, 11:48:36 "เมธี"ท้าต่อย"จตุพร"
12 ตุลาคม 2553 posttoday online เมธี ดาราเสื้อแดง เข้าพบ ธาริต ร้องถอนประกัน "จตุพร" อ้าง โทรข่มขู่พยาน ท้าต่อยอย่าลอบกัด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องขอให้ถอนประกันนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุว่านายจตุพรโทรศัพท์มาข่มขู่พยานที่อยู่ในการคุ้มครอง พร้อมทั้งแฉว่าแกนนำคนเสื้อแดงโกงเงินบริจาคผู้เสียชีวิต 628 ล้าน ขณะนี้คนโกงหนีไปมาเลเซียแล้ว หากนายจตุพรแน่จริงก็ท้าต่อยกันดีกว่าอย่ามาลอบกัด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 ตุลาคม 2553, 11:54:54 การเมือง
วันที่ 12 ตุลาคม 2553 11:16 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "เมธี"ร้องดีเอสไอถอนประกัน "จตุพร" เหตุโทรศัพท์มาข่มขู่ แฉแกนนำแดงอมเงิน 68 ล้าน หนีไปกบดานมาเลเซีย ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) วันที่ 12 ต.ค. นายเมธี อมรวุฒิกุล พยานคดีก่อการร้าย เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องเรียนกรณีถูกนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. โทรศัพท์ข่มขู่ให้เลิกเป็นพยานในคดีก่อการร้าย โดยใช้เวลาเข้าพบประมาณ 15 นาที จากนั้นนายเมธี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยอ้างว่าถูกนายจตุพรโทรศัพท์ข่มขู่ทำร้าย บอกว่าทรยศคนเสื้อแดง นายเมธีจึงต้องการให้ดีเอสไอร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ถอนประกันนายจตุพร นายเมธี กล่าวว่า ที่ผ่านมานายจตุพรไม่เคยดูแลคนเสื้อแดง เวลาที่ถูกจับหรือเดือดร้อน รวมทั้งเวลาเคลื่อนไหวในจุดต่างๆ โดยนายเมธีได้เล่าถึงเหตุการณ์บุกสถานีไทยคมว่านายจตุพรคอยแต่สั่งการอยู่บนรถ และพาคนเสื้อแดงไปสู่ความหายนะ ส่วนเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่สี่แยกคอกวัว นายจตุพรก็ไม่มาร่วมกับคนเสื้อแดง แต่กลับอยู่ที่เวทีราชประสงค์ กรณีเงินบริจาคของคนเสื้อแดง จำนวน 68 ล้านบาทซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องรู้เรื่องเงินบริจาคทั้งหมด 3 คน รวมถึงนายจตุพรก็รู้เห็น แต่ขณะนี้ เงินทั้งหมดถูกโกง โดยคนที่เก็บเงินไว้ได้หนีไปอยู่ประเทศมาเลเซียแล้ว คนเสื้อแดงต่างก็รู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้โกงก็ควรเอาหลักฐานมาพิสูจน์ เปิดเผยกัน ไม่ใช่ให้ญาติเป็นผู้เก็บเงินแล้วหลบหนีไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการแถลงข่าวของนายเมธี นายเมธีได้ท้าให้นายจตุพรออกมาต่อสู้กันตัวต่อตัว โดยใช้ถ้อยคำว่ากล่าวเปรียบเทียบนายจตุพรอย่างรุนแรง และยังบอกให้นายจตุพรไปดูแลภรรยาหลวงของตนเอง โดยระบุว่านายจตุพรมีสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ภรรยาที่ชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งมีคนเสื้อแดงเห็น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ตุลาคม 2553, 09:59:35 วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:01:03 น. มติชนออนไลน์
ตุลาการศาลรธน.ข้องใจจนท.มือมืดถ่ายคลิปให้"เพื่อไทย"ได้ไง "วิรัช"ซัด"พ"เลขาฯปธ.ศาลรธน.ร่วมจัดฉาก "วสันต์" เผยตุลาการแค่ถกจะแจ้งความ "จตุพร" หมิ่นศาลหรือไม่ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถอนตัวจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) นำคลิปวีดีโอกล่าวหาว่า นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ยุบ ปชป.มาเปิดเผยว่า ที่มีคลิปภาพและเสียงของตุลาการพูดกันในห้องประชุมและมีเสียงตนด้วยนั้น เป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างการอภิปรายเท่านั้นในประเด็นว่า จะแจ้งความดำเนินคดีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือไม่ เนื่องจากนายจตุพรได้ออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่าถ้าศาลไม่ทำตามใบสั่งก็จะยุบ พรรคไปนานแล้ว เท่ากับว่าเป็นการกล่าวหาว่าศาลตัดสินตามใบสั่งทำให้เข้าลักษณะดูหมิ่นศาล ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเรื่องนี้กระทบองค์กรไม่ได้กระทบต่อตัวตุลาการ จึงหารือกันในที่ประชุมด้วยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วทางสำนักงานโดยเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญควร จะแจ้งความหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเลขาธิการ และขณะนี้ก็ยังไม่แจ้งความเลย จึงขอถามว่าเรื่องที่นายจตุพรออกมาพูดเป็นเรื่องเสียหายต่อองค์กรหรือไม่ ปัดถกสืบพยานยุบพรรคยันลุกออกห้องทันที ผู้ สื่อข่าวถามว่า แต่ในคลิปเสียงมีการพูดคุยกันของตุลาการว่า จะนำพยานศาลมาสืบเพิ่มเติ่มหรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า ในช่วงนี้การสนทนากันของศาลนั้นตนไม่ได้อยู่ในห้องประชุมแล้ว เพราะเมื่อถึงวาระที่มีการหารือเรื่องคดียุบพรรคแล้วตนและนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ลุกเดินออกจากห้องประชุมทันที เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องเนื่องจากได้ถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีไปแล้ว จึงไม่ทราบว่าในห้องประชุมมีการพูดอย่างไรหรือจะสืบพยานอย่างไร ถามเลขาฯปธ.ศาลสั่งตุลาการได้ไหม งง "พท." ได้คลิป เมื่อ ถามว่า 1ในคลิปภาพและเสียงปรากฎภาพของผู้ที่ลักษณะคล้ายกับนายพสิษฐ์สนทนาเรื่องคดี ยุบพรรคกับทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ด้วย นายวสันต์ กล่าวว่า "ผมไม่เข้าใจเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญว่าทำทำไม แล้วตัวเลขานุการประธานศาลสั่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ (นายชัช ชลวร) ได้ไหม หรือว่าประธานศาลใช้ไป ต้องถามว่าเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญสั่งตุลาการได้หรือไม่ เพราะเรื่องนี้ผมจำได้ในช่วงผมเป็นผู้พิพากษา ทางอธิบดีศาลก็มาสั่งผมไม่ได้ แต่เขา(พรรคประชาธิปัตย์)อาจเข้าใจว่าเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญใหญ่ เหลือเกินก็เป็นได้" เมื่อถามว่า คลิปที่เผยแพร่ในช่วงคดียุบพรรคถือเป็นการกดดันและดิสเครดิตศาลใช่หรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า น่าจะเป็นการดิสเครดิตศาล เพราะ ที่สำคัญต้องถามก่อนว่าใครเป็นผู้ถ่ายคลิปนี้แล้วนำไปเผยแพร่ แล้วคลิปดังกล่าวไปอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยได้อย่างไรนี่คือเรื่องสำคัญ กว่า ในฐานะที่ตนเป็นเพียงบอร์ดก็แล้วแต่ผู้มีอำนาจจะว่า อย่างไรต้องไปถามประธานศาลรัฐธรรมนูญเองเรื่องนี้ผมไม่เกี่ยวข้อง" "วิรัช"รับอยู่ในคลิปจริง อ้างถูก"พ"จับมือเพื่อไทย ลวงเข้าเกม ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมชี้แจงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) นำคลิปวีดีโอกล่าวหาว่า ตนล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ยุบ ปชป.มาเปิดเผยว่า สมาชิก ปชป.ทุกคนยึดมั่นคำขวัญประจำพรรคว่า "สัจจํ เว อมตวาจา" คือการพูดความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเฉพาะข้อหาว่าไ ปล็อบบี้ตุลาการ นายวิรัชกล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากการคบคิดวางแผนชั่วร้ายอย่างเป็นกระบวนการ โดยมี พท.ผู้เขียนบท เพื่อให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดมุ่งสู่การทำลายล้างสถาบันองคมนตรี ที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน ทำลาย ปชป. และกระบวนการยุติธรรม เป็นกระบวนการชั่วช้าสามานย์ นายวิรัช กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยในคลิปที่ 2 มีภาพบุคคล 3 คน คือตน นาย “พ.พาน” และนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรซึ่งตนเป็นประธานกรรมาธิการฯอยู่ โดยนายวรวุฒิ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักศึกสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระรดับสูง (ปปร.13) ซึ่งมีสมาชิกพรรคเพื่อไทย อาทิ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น และร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ ลูกเลี้ยงพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ร่วมเรียนด้วย "เหตุการณ์เริ่มจากนาย “พ” ได้ติดต่อมาทางนายวรวุฒิว่า อยากขอพบกับผม เพื่อจะได้มีการพูดคุยและรับประทานอาหาร ที่ร้านอาหารฟู้ดดี้ ในซอยหมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ย่านประชาชื่น เวลา 14.00 น. ของวันที่ 7 ต.ค.ซึ่งผมเห็นว่านาย “พ.พาน” เป็นเลขานุการประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยมารยาทด้วยความเกรงใจ และอยากทราบว่า ต้องการคุยเรื่องอะไร จึงต้องไปพบเป็นการส่วนตัว โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ใหญ่อย่างนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ รวมถึงคณะทำงานทีมกฎหมายคนอื่นๆ รับทราบ "ในการพบกับนาย “พ.พาน” มีกระบวนการวางแผนตั้งกล้องแอบถ่าย โดยตอนแรกคนชื่อ “พ.พาน” หันหลังให้กล้อง ทำให้บังไม่สามารถเห็นภาพผมได้ชัด จึงย้ายที่มานั่งที่หัวโต๊ะ เนื่องจากเขารูมุมกล้องตั้งไว้ เป็นกล้องขนาดเล็ก แต่ผมไม่ได้สังเกต ทำให้ภาพจับภาพผมได้ชัด ถือว่า เป็นกระบวนการชั่วจริง ๆ และในการพูดคุย นาย “พ.พาน” ก็จะใช้คำถามที่เป็นคำถามนำ"นายวิรัชกล่าว (ดู คลิปตอนที่ 2 ในYoutube) นายวิรัช กล่าวว่า โชคดีที่มีคลิปตอนที่ 3-5 ซึ่งเป็นการแอบถ่ายในห้องทำงานของตุลาการทั้ง 7 คน จึงแสดงว่า การทำแบบเป็นกระบวนการจริงๆ และลองคิดดูว่า ใครแอบถ่ายคลิปดังกล่าว ซึ่งต้องดูว่า ใครที่สามารถเข้าไปห้องทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ คำตอบคือเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนเชื่อว่า นาย “พ.พาน” เข้าไปได้แน่นอน เพราะกระบวนการศาล มีขั้นตอนเข้มงวดมาก ก่อนจะเข้าไปได้ต้องมีการลงชื่อ แลกบัตร ฝากอุปกรณ์ทั้งมือถือและอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย ไม่สามารถเอาเข้าไปได้ไม่ว่าจะเป็นใคร ยกเว้นนาย “พ.พาน” ที่อยู่นอกเหนือหลักเกณฑ์กติกา สามารถนำอุปกรณ์มือถือไฮเทคทั้งหลายเข้าไปได้เพียงคนเดียว ซึ่งสามารถตรวจสอบจากกล้องซีซีทีวีของศาลได้ หากศาลอนุญาต นายวิรัชกล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์กรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมายฯ เคยถูกนาย “พ.พาน” เรียกให้นายทศพลไปรับเอกสารที่ศาล และมีการถ่ายภาพไว้ ทำให้วันนี้นายทศพลต้องเจ็บช้ำกับเรื่องเหล่านี้ แต่เชื่อว่า การกระทำของนาย “พ.พาน” ที่ร่วมมือกับ พท.เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับตุลาการทั้ง 7 คน แต่ก็แปลกใจที่คนอย่างนาย “พ.พาน” มีความรู้ดี หน้าที่การงานดี แต่ไม่น่าเชื่อว่า จะวิ่งเข้ากองไฟเพื่อเป็นดาวลูกไก่และฮาราคีรี ฆ่าตัวตาย งานนี้ไม่ธรรมดา การแลกด้วยชีวิตราชการ ตนคิดแบบบ้านๆ ว่า คงได้ไม่น้อย น่าจะจำนวนมาก และขอภาวนาให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ที่คนพท.จะคิดวิธีการสกปรกมาใช้กับกระบวนการยุติธรรม นายวิรัช กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าตนจะไปล็อบบี้ เพื่อให้มีการสืบพยานเพิ่มเติมนั้น ตามระบบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ เลขานุการศาลรัฐธรรมนูญ หรือเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจกำหนดพยานกี่คน และในการพิจารณาคดียุบพรรค เช่น การยุบพรรคไทยรักไทย คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ จะเรียกพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต. )และนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานอนุคณะกรรมการสอบสวน มาให้การต่อศาล นายวิรัชกล่าวว่า ดังนั้นในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ เมื่อมีการเรียกนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ ประธานคณะกรรมการสอบสวนของ กกต.มาให้การแล้ว ขั้นต่อไปก็อาจจะเรียกนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.มาให้ข้อมูลด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการไปให้ล็อบบี้ให้มีการเรียกนายอภิชาต มาให้การแต่อย่างใด ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์เคารพกติกา ไม่เคยล่วงละเมิดอำนาจศาล ศาลเห็นอย่างไรเราก็ว่าตามนั้น นายวิรัชกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีคลิปที่ พล.อ.เปรม นั่งอยู่กับนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยพยายามเบี่ยงเบนว่า พล.อ.เปรม มาล็อบบี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง เป็นการเขียนและทำขึ้นเอง นายวิรัชกล่าวว่า อย่าง ไรก็ตามเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีคลิปเผยแพร่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เคยขู่ว่า จะเปิดคลิปเปิดเกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่าเตรียมการไว้แล้ว เพียงแต่รออะไรมาต่ออีกนิด แล้วก็เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อนำมาผสมกัน ถือว่ายิ่งกว่ากดดันศาล แต่เป็นการทำลายระบบยุติธรรมประเทศไทย ทำลายสถาบันสำคัญและทำลายระบบพรรคการเมือง นายวิรัช กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่คิดว่าจะฟ้องร้องกับนาย “พ.พาน” เพราะนาย “พ.พาน” เป็นเจ้าหน้าที่ศาล จึงเป็นเรื่องของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการภายในเอง และไม่คิดจะปลดนายวรวุฒิ ออกจากที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าได้กระทำความผิด ทั้งนี้มั่นใจว่า ปดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อคดียุบพรรค เพราะการสืบพยานที่ผ่านมา มั่นใจว่า เราทำงานได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งตนไม่คิดจะต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกจากทีมกฎหมายของพรรคเพราะไม่ได้ทำ ความผิด และจะเดินทางไปร่วมสืบพยานในศาลรัฐธรรมนูญในวันจันทร์ที่ 18 ต.ค.ด้วย ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนได้รายงานให้นายชวน และนายกรัฐมนตรีทราบแล้ว โดยนายกฯ ให้ตนแถลงตามความจริงที่เกิดขึ้น ทนาย ปชป.ขำคลิปฉาว บอกมุขตื้น-คนทำประจานตัวเอง นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความจากสำนักกฎหมาย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ผู้ว่าความคดียุบปชป.กล่าวถึงกรณีที่พท.นำคลิปวีดีโอสมาชิกปชป.ล็อบบี้ไม่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคมาเปิดเผยว่า เป็นวิธีการตื้นๆ ที่สำคัญผู้จัดทำยังประจานตัวเอง เนื่องจากมีการขยับเก้าอี้ให้เห็นหน้านายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ปชป.ชัดเจน แถมในคลิปที่ 3-5 ยังถ่ายในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ หากไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งระดับสูงจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อดูเนื้อหาในคลิป ก็ไม่มีคำพูดใด ที่เป็นการล็อบบี้แม้แต่คำเดียว สำหรับการไต่สวนพยานวันที่ 18 ต.ค.หากศาลรัฐธรรมนูญไม่เรียกพยานมาไต่สวนเพิ่มเติม ก็จะนัดวันยื่นคำแถลงปิดคดี และนัดวันอ่านคำพิพากษา นายบัณฑิตกล่าวว่า กรณีที่มีข่าวจะมีการเรียกว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายเบียนพรรคการเมือง มาไต่สวนเพิ่มเติม ไม่ทราบว่าจะเรียกมาได้อย่างไร เพราะทั้งปชป.และกกต.ไม่ได้ระบุชื่อนายอภิชาตไว้ในบัญชีพยาน แถมถึงศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกนายอภิชาตมาไต่สวนก็ไม่แน่ว่าประธานกกต.จะมาหรือ ไม่ เพราะสามารถยื่นเอกสารมาชี้แจงเหมือนกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงและ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ได้ แต่ถ้านายอภิชาตมาจริง ก็เป็นเรื่องดี ตนจะได้ซักถามด้วยตัวเอง (ดู คลิปคดียุบพรรคตอนที่ 2ในYoutube) "พร้อมพงศ์"เปิดคลิปล็อบบี้ตอน2แฉ!ทีมกม.ปชป.คุยเลขาฯปธ.ศาลรธน. ที่พรรคเพื่อไทย วันเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้นำคลิปวิดีโอที่อ้างว่า เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเป็นคลิปเดียวกับที่แพร่หลายในเว็บไซต์ Youtube ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นตอนที่ 2 โดยมีภาพของชาย 3 คน นั่งรับประทานอาหารและร่วมพูดคุย นายพร้อมพงศ์ ระบุว่า ชายคนหนึ่งในภาพคือ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กำลังคุยอยู่กับนายพิสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหาในคลิปคำพูดพาดพิงถึง นายชวน หลีกภัย หัวหน้าทีมทนายความต่อสู้คดียุบพรรค และผู้ใหญ่ของฝ่ายศาล ทั้งนี้ ยังพบว่ามีความพยายามนำประธาน กกต. มาสื่อเป็นพยานด้วย ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ เผยว่า เรื่องคลิปที่เกิดขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทย มีข้อสงสัยว่า ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายจะรู้เห็นเช่นเดียวกันกับกรณี นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่รับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ศาล นอกเวลาทำการด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ตุลาคม 2553, 10:26:43 แผนสกัด 'อภิชาติ' กุญแจสำคัญ ปชป.ชนะฟาวล์ยุบพรรค
18 ตุลาคม 2553 posttoday online ยิ่งใกล้ปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แรงกดดันที่มีต่อศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมหาศาล โดย...ทีมข่าวการเมือง ยิ่งใกล้ปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แรงกดดันที่มีต่อศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมหาศาล เพราะคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ของประชาธิปัตย์มีเดิมพันที่สูงยิ่ง ไม่เฉพาะเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ และชะตากรรมของพรรคเก่าแก่ 64 ปีของประเทศ ที่อาจปิดฉากพร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคที่จะต้องเว้นวรรค 5 ปี แต่รวมถึงการคงอำนาจของขั้วไม่เอาทักษิณ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกกดดันอย่างหนักจากกระแส “สองมาตรฐาน” เมื่อพรรคเพื่อไทย ออกมาปลุกตลอดว่า ถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์แสดงว่า บ้านนี้เมืองนี้ยังมีระบบสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด หลังศาลรัฐธรรมนูญเปิดศาลให้ผู้ร้อง คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ถูกร้อง พรรคประชาธิปัตย์นำพยานมาเบิกความไต่สวนเป็นเวลาร่วม 2 เดือน วันนี้จะเป็นนัดสุดท้ายที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เตรียมเบิกความพร้อมพยาน 3 ปากของฟากประชาธิปัตย์ ตามขั้นตอน เมื่อไต่สวนพยานสองฝ่ายเสร็จ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าจะเรียกพยานรายใดมาเบิกความเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเล็ง “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งที่เคยลงมติยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามปฏิทินคาดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเชิญอภิชาตมาเบิกความปลายเดือน ต.ค. หรือต้นเดือน พ.ย. จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายต้องเขียนคำแถลงปิดคดีอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่ศาลธรรมนูญจะมีคำตัดสินคดียุบพรรค คาดว่าไม่เกินเดือน พ.ย. หรือต้นเดือน ธ.ค. สถานการณ์การเมืองช่วงปลายปี 2553 จึงจะเข้าจุดเดือดฉลองรับปีใหม่อีกครั้ง โค้งสุดท้ายนี้จึงปรากฏคลิปร้อน ที่ออกมา“แฉ–โจมตี” ทำลายความน่าเชื่อถือศาลรัฐธรรมนูญ ว่ามีการวิ่งเต้นคดีจากคนของพรรคประชาธิปัตย์และคนใกล้ตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ และคลิปภาพการประชุมภายในศาลรัฐธรรมนูญที่ “เจ้าหน้าที่ศาลมะเขือเทศ” แอบเป็นไส้ศึกอัดไว้ถึงสามครั้ง “จตุพร พรหมพันธุ์พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” นำร่องขู่เปิดโปงคลิปฉาวหลายสัปดาห์ก่อนว่า ถ้าเปิดเมื่อไรจะเสื่อมถึงจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแน่ จนที่สุด คลิปร้อนนี้ก็แพร่หลายในเว็บไซต์เสื้อแดง ราวกับนัดแนะให้ออกมาพอดีในวันไต่สวนนัดสุดท้าย คลิปแบ่งเป็น 5 ตอน พร้อมคำอธิบายสรุป และยังมีการถอด “บทบรรยาย” ลักษณะเลือกถอดบางตอน ไม่ถอดบางตอน ทว่าคำอธิบาย เช่น ตอนแรกที่เป็นภาพนิ่งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นั่งพูดคุยร่วมกับบุคคลสำคัญ เช่น สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ มีการเขียนจับโยงโดยไม่มีมูล ป้ายสี พล.อ.เปรม เข้ามาสั่งการคดียุบพรรค ดังที่ระบุว่า “ตอน 1 เปรมได้พบและปรึกษาหารือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยประชาธิปัตย์ไม่ให้ถูกยุบโดยรับปากประธาน หากผ่านวิกฤตนี้ได้จะเสนอชื่อทูลเกล้าฯ ถวายให้เป็นองคมนตรี” แต่บางคลิปก็เป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจง เพราะมีภาพ วิรัช ร่มเย็น สส.ระนอง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นั่งพูดคุยกับ พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งหารือถึงการดึงอภิชาตมาเป็นพยานศาลรัฐธรรมนูญ ส่วน 3 คลิปที่เหลือ เป็นภาพการประชุมภายในของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื้อหาโดยรวม ต้องการดึงอภิชาตมาเป็นพยานศาล และกำหนดวันนัดเบิกความ และวันตัดสินคดีหุ้น สส.ที่ยังค้างอยู่ รวมถึงระดมความเห็นว่า จะฟ้องโฆษกพรรคเพื่อไทย และจตุพรที่ปูดคลิปกระทบศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพื่อปกป้ององค์กรศาล แต่ทั้ง 5 ตอน ไม่มีเนื้อหาการเสนอแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เหมือนกรณีถุงขนมสินบน 2 ล้านบาทของทนายความทักษิณที่อื้อฉาวครั้งนั้น ที่หนักสุดคือ การหารือของ สส.พรรคประชาธิปัตย์กับเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ ถึงข้อคิดเห็นในการดึงอภิชาตมาเป็นพยาน เพื่อเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต่อมา วิรัช แถลงยอมรับว่า เป็นภาพเขาจริง แต่เป็นการวางแผนชั่วร้ายอย่างเป็นกระบวนการ โดยมีเครือข่ายพรรคสีแดงเป็นผู้เขียนบท ฟังขึ้นหรือไม่ สังคมเป็นฝ่ายตัดสิน... ทว่า คำถามสำคัญ คือ อภิชาตมีความสำคัญอย่างไรกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องการขอเบิกตัวมาเป็นพยานคนสำคัญ เพื่อเป็นข้อมูลกดปุ่มตัดสินคดีนี้ เพราะประเด็นที่ประชาธิปัตย์ต่อสู้หลักใหญ่มี 2 เรื่อง คือ อำนาจของผู้ฟ้องที่เป็นปมปัญหา คือ กกต. กลัดกระดุมผิดเม็ดแรก เม็ดต่อมาก็ผิดหมด... และประเด็นข้อเท็จจริงปมเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท และการใช้เงินบริจาค 258 ล้านบาท เมื่อดู พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2550 มาตรา 95 ระบุว่า หากพบว่าพรรคการเมืองใดกระทำผิดกฎหมาย ก็ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของ กกต. เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค แต่ในทางกลับกัน ถ้านายทะเบียนฯ เห็นว่าพรรคการเมืองนั้นไม่มีความผิดก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ อสส. หรือขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต. สำหรับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต.เคยมีมติเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2552 หลังที่ประชุมพิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการทั้งสองคดี โดย “สุทธิพล ทวีชัยการ” เลขาธิการสำนักงาน กกต. แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเสียงข้างมาก ให้เป็นดุลพินิจของอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนฯ ที่จะพิจารณาส่งคำร้องยุบพรรคนี้ไปยัง อสส.หรือไม่ สรุปคือ อำนาจชี้ขาดอยู่ที่อภิชาตเพียงผู้เดียว และอภิชาตก็ได้ใช้อำนาจในฐานะนายทะเบียนฯ ตามกฎหมายและตามมติของ กกต.ขณะนั้น ชี้ขาดให้ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำผิดตามผลการสอบของคณะอนุไต่สวน กกต. คดียุบพรรคประชาธิปัตย์จบบริบูรณ์ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว แต่การชุมนุมใหญ่ของม็อบเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าได้ใช้ประเด็นยุบพรรคมาเป็นเงื่อนไขต่อรองเพื่อสลายการชุมนุม แกนนำเสื้อแดงยังได้ยกพลไปกดดัน กกต.ถึงที่ทำการ พร้อมขู่จะบุกไปเผาบ้านอภิชาต ทำให้เจ้าตัวเครียดต้องเข้าโรงพยาบาล ต่อมาประธาน กกต. ยอมลดแรงกดดัน เปลี่ยนใจรื้อฟื้นคดียุบพรรคโดยนำกลับมาหารือในที่ประชุม กกต.ใหม่ เพื่อให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์โดยหวังจะให้บ้านเมืองสงบ จนวันที่ 12 เม.ย. 2553 ที่ประชุม กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ในประเด็นเงินบริจาค 258 ล้านบาท เสนอ อสส.เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ซึ่งเสียงข้างน้อยหนึ่งเสียงก็คือ อภิชาต ส่วนประเด็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท กกต.มีมติ 5 ต่อ 0 เสียงให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ พลันที่ กกต.มีมติตรงกับคำขอเสื้อแดง “วีระมุสิกพงศ์” ประธานเสื้อแดง ถึงลั่นกับผู้ชุมนุมว่า นี่คือชัยชนะของประชาธิปไตย และอาจพิจารณายุติการชุมนุม ขณะที่หลายภาคส่วนในสังคม เชื่อว่ามติ กกต. เซ่นพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเปิดรูระบายคลายวิกฤตม็อบลง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่... ทั้งหมด นักกฎหมายมองว่า คดีนี้ประชาธิปัตย์มีโอกาสชนะจาก ปม กกต.ไม่มีอำนาจฟ้องคดี แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ผู้เปิดประเด็นคดียุบพรรค ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ ยอมรับตรงๆ ถึงช่องโหว่ที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะคดี คือ กรณีนายทะเบียนฯ มีความเห็นแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผิด หรือ นัยหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะชนะฟาวล์ ขณะที่คนในพรรคเพื่อไทยก็รู้ถึงจุดอ่อนคดีนี้ แต่ต้องออกมาสร้างกระแสว่ามีการล็อบบี้ช่วยเหลือ และตอกย้ำความเป็นสองมาตรฐานว่า พรรคอื่นถูกยุบหมด มีแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่โดนยุบพรรคเดียว เพราะกระแส “สองมาตรฐาน” เป็นวาทกรรมที่พรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงจะใช้ในการหาเสียงเรียกคะแนน สร้างความเคียดแค้นให้กับคนเสื้อแดง “อภิชาต” จึงมีความสำคัญต่อพรรคประชาธิปัตย์ยิ่ง พอๆ กับที่พรรคเสื้อแดง ต้องสกัดและโจมตีทุกวิถีทางว่าวางแผนช่วยเหลือกัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 21 ตุลาคม 2553, 06:05:57 (http://img219.imageshack.us/img219/6798/securedownload2.gif) (http://img100.imageshack.us/img100/9062/securedownload3p.jpg) "ใครว่า ตูหลับฟะ แค่งีบไปเฉยๆ ได้ยินเสียงกน อะปล่าว ก็ปล่าว เฉยๆนะ" สภาพของ รมต. และ สส. ผู้ทรงเกือก แห่งรัฐบาลไทบ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นี่คือ ตย. อันดีงาม ที่เยาวชนไทย คือจะดูไว้เอา เป็นเยี่ยงอย่าง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2553, 10:39:49 วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 07:19:19 น. มติชนออนไลน์
แกะรอย ณัฐวุฒิ-จตุพร-จักรภพ-วีระ โอนหุ้นโทรทัศน์แดง"PTV"2บริษัท40ล้านอุตลุตช่วงปี2550 ให้ใครบ้าง? แม้ว่า "เขาพลายดำรีสอร์ท" ใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช (แหล่งพักพิกของนายจตุพร พรมหพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ) ไม่มีชื่อของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถือครองแม้แต่หุ้นเดียว กระนั้น มี 2 บริษัทที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.เหล่านี้ร่วมกันถือหุ้น นั่นคือ บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด หรือทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงเมื่อ 2 ปีก่อน ประการสำคัญหากเจาะลึกพบว่าทั้ง 2 บริษัทมีการผ่องถ่ายหุ้นอุตลุตกว่า 40 ล้านบาท กล่าวคือ 1.บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2545 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น 7 คน ประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 15,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายอนกูล ก้องกูล นายชนินทร์ หวันกะมา คนละ 10,000 หุ้น นายวุฒิไกร ทองอ่อน 2,000 หุ้น นายเชิดศักดิ์ พงศ์เวตร และนายสาวธัญรัตน์ พุทธสุข คนละ 1,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท (ดูตารางประกอบ) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549 (ยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายวีระ มุสิกพงศ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ โดยนายณัฐวุฒิถือ 20,000 หุ้น นายจตุพร 10,000 หุ้น นายวีระ 10,000 หุ้น ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร คนละ 2,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ วันที่ 18 มกราคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 45 ล้านบาท (จาก 5 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท) นายณัฐวุฒิได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 200,000 หุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท) นายจตุพร 100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท) นายวีระ 100,000 หุ้น ขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ได้เพิ่มสัดส่วนเป็นคนละ 25,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ วันที่ 4 มิถุนายน 2550 นายจักรภพ เพ็ญแข ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เป็นครั้งแรก โดยได้รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิ จำนวน 100,000 หุ้น เท่ากับ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร นายวีระ และ นายจักรภพ ถือหุ้นเท่ากับคนละ 100,000 หุ้น (มูลค่าคนละ 10 ล้านบาท) ส่วนที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ถือครองหุ้นจำนวนเท่าเดิม คนละ 25,000 หุ้น วันที่ 31 ตุลาคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 100,000 หุ้น รวม 200,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 75,000 หุ้น) นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 75,000 หุ้น) นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 90,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 115,000 หุ้น) และ นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์ 10,000 หุ้น (นายอุกฤษฏฺ์ เข้ามาถือเป็นครั้งแรก อยู่บ้านเลขที่ 126 หมู่ที่ 3 ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช) ส่วนนายวีระ และ นายจักรภพ ถือครองหุ้นเท่าเดิมคนละ 100,000 หุ้น วันที่ 15 มกราคม 2551 (รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯวันที่ 6 ก.พ.2551 นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯกำกับสื่อของรัฐ) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 คนคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้น 100,000 หุ้นไปให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 6 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทั้งหมด วันที่ 11 กันยายน 2551 (รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯวันที่ 25 ก.ย.2551) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นจาก 100,000 หุ้น เหลือ 20,000 หุ้น อีก 80,000 หุ้นได้โอนไปให้ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้นายนิรันดร์เพิ่มสัดส่วนจาก 115,000 หุ้น เป็น 195,000 หุ้น วันที่ 6 กรกฎาคม 2552 (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯวันที่ 22 ธ.ค.2551) บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ซึ่งมีนายวีระ เป็นกรรมการ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40 ล้านบาท (จาก 50 ล้านบาทเป็น 90 ล้านบาท) แบ่งเป็น 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีการกระจายให้ผู้ถือหุ้น 7 คน นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น นายสุชาติ ประเสริฐศรี จาก 100,000 หุ้น เพิ่มเป็น 180,000 หุ้น นายวีระ มุสิกพงศ์ จาก 20,000 หุ้น เพิ่มเป็น 36,000 หุ้น นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 195,000 หุ้น เพิ่มเป็น 351,000 หุ้น นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร จาก 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 45,000 หุ้น นายอุกฤษก์ ชลสินธุ์ จาก 10,000 หุ้น เพิ่มเป็น 18,000 หุ้น 2. บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2550 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท วัน ที่ 4 มิถุนายน 2550 มีผู้ถือหุ้น 8 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนละ 10,000 หุ้น นายนิรันดร์ แก่นยะมูล นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่าคนละ 2,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 100 บาท มีนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 10,000 หุ้น รวม 20,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล จำนวน 10,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้น เป็น 12,500 หุ้น) นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า คนละ 5,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้นเป็น 7,500 หุ้น) วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 นายวีระได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 รายคือขอเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ใหม่คือนายนิรันดร์ แก่นยะมูล ซึ่งที่ถือ 12,500 หุ้น ลดเหลือ 11,500 หุ้น อีก 1,000 หุ้นโอนให้ให้นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์ วันที่ 31 มกราคม 2551 นายวีระ ได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น1 รายคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้นให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี ทั้งหมด วันที่ 11 กันยายน 2551 นายวีระได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือ 2,000 หุ้น ที่เหลือ 8,000 หุ้น ได้โอนไปให้นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้มนายนิรันดร์มีสัดส่วนจาก 11,500 หุ้นเป็น 19,500 หุ้น กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2552 หุ้นของนายนิรันดร์ แก่นยะกูล จำนวน 8000 หุ้น ได้โอนกลับมาให้นายวีระเหมือนเดิม ทำให้นายวีระมีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10,000 หุ้น กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ นาย ณัฐวุฒิถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 200,000 หุ้น (ขณะเพิ่มทุนในช่วงปี 2550 และยังไม่โอนให้บุคคลอื่น) มูลค่า 20 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมมูลค่า 21 ล้านบาท นาย จตุพร ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท นาย จักรภพ เพ็ญแข ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ช่วงปี 2550 (รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิวันที่ 4 มิถุนายน 2550) จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท , บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท นาย วีระ มุสิกพงศ์ ถือครอง บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท กล่าวเฉพาะนายณัฐวุฒิ ในช่วงนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ มีตำแหน่งเป็นรองโฆษรัฐบาล บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ(ป.ป.ช.) มิได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่ใครทราบว่านายณัฐวุฒิแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่ ขณะ ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินฝาก 2,599,939 บาท หนี้สิน เงินกู้ 2,750,112 บาท นายจักรภพ เพ็ญแข ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ระบุว่าทรัพย์สิน 10.3 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินสดและเงินฝาก 1.1 ล้านบาท หนี้สิน 1.7 ล้านบาท จาก ข้อมูลดังกล่าวย่อมต้องเกิดคำถามทันทีนอกจาก"ที่มา"ของเงินลงทุน 40-50 ล้านบาทของนายณัฐวุฒิ นายจตุพร และเครือข่ายแล้ว เงินที่ได้จากการขายหุ้น (ถ้าขาย) หายไปอย่างพิสดารได้อย่างไร? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2553, 16:58:34 คุยกับแพะ
"รัตนา เหรียญโมรา" บนเส้นทางต่อสู้ รอพบนายกฯ เรียกค่าเยียวยา 99 ล้าน.. ดิฉันอยากเห็นเขาตาย!!! วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 11:41:09 น. ต้นพฤศจิกายน หลังลมหนาวมาเยือนกรุงเทพ ป้ารัตนา เหรียญโมรา ได้แวะมาเยือน”มติชนออนไลน์” เพื่อบอกเล่า เรื่องราวการต่อสู้ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา อย่างมีความหวัง แตกต่างจากหลายปีก่อนที่เธอดูเศร้าหมอง หดหู่ และไร้ความหวัง “รัตนา เหรียญโมรา” ตกเป็นจำเลยในข้อหาฆาตกรรม นายแพทย์ สุรนารถ เหรียญโมรา ผู้เป็นสามีเมื่อปี พ.ศ.2530 ครั้งนั้น ศพของสามีของเธอ ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย เธออ้างว่า ถูกพลตำรวจโท ชลอ เกิดเทศ หัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว บังคับให้รับสารภาพว่า ร่วมมือกับชู้ คือนายภาคย์ มาดีสรรค์ ฆ่าสามีตัวเอง นับจากตกเป็นผู้ต้องหา ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปทันที จากชีวิตที่สุขสบายพร้อมครอบครัวที่อบอุ่น ก็เปลี่ยนเป็นขุมนรก การต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ดำเนินไปอย่างเนิ่นช้าและไม่มีข่าวดี ต้นทุนต่อสู้คดีในศาล ได้ทำให้เธอตกเป็นหนี้ธนาคาร ไม่นับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เธอป่วยหนักถึง 10 ครั้ง สิ้นเงินในการรักษาตัวเองมากกว่า 5 ล้านบาท โรครุมเร้า เธอตลอด 23 ปีคือ โรคเครียด “เมื่อก่อนมีรถเบนซ์ มีบ้านหลังใหญ่โต วันนี้ ไม่มีอะไรแล้ว นอกจากจิตใจที่ต่อสู้ และกำลังใจจากครอบครัวและเพื่อนๆ ที่เข้าใจ” บนเส้นทาง การต่อสู้ของ “รัตนา เหรียญโมรา” เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การพึ่งศาลยุติธรรม แต่เธอใช้วิธีร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ผ่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผ่านกระทรวงยุติธรรม ผ่านกรรมาธิการหลายชุด และผ่านทุกช่องทางที่เธอ คิดว่า ช่วยเธอได้ แล้วข่าวดีก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ชัยชนะในชั้นศาล รวมถึงนายตำรวจคู่กรณีของเธอคือ “ชลอ เกิดเทศ”ถูกพิพากษาประหารชีวิต ถูกถอดยศ และถูกถอดเครื่องราชย์ “ดิฉันอยากเห็นเขาตาย” นางรัตนา เหรียญโมรา กล่าว ล่าสุด นายวรินทร์ เทียมจรัส สมาชิกวุฒิสภาและทนายความสิทธิมนุษย์ชน ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอ เพื่อเรียกคืนความเป็นธรรม และที่สำคัญคือ การล้างมลทิน และการเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจ โอกาสที่เธอรอคอยมากที่สุดคือ การได้พบ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการนัดหมาย เมื่อถามเธอว่า ค่าชดเชยเยียวยา แค่ไหนถึงเพียงพอ เธอตอบว่า “ ชีวิต ที่รอคอยความสำเร็จมานาน การเยียวยาและความเสียหายของธุรกิจในเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 500-600 ล้านบาท หายทางรัฐบาลช่วยเยียวยา ฉันต้องการเรียกร้องเพียง 99 ล้านบาท แลกกับสิ่งที่ฉันสูญเสียไปอย่างไม่มีวันหวนคืน” “หากได้รับค่าเยียวยา ก็จะนำไปทดแทนผู้ที่มีพระคุณ ที่คอยช่วยเหลือในการดำเนินคดี และส่วนหนึ่งก็จะมอบให้กับมูลนิธิต่างๆ” การต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมของ “รัตนา เหรียญโมรา” เป็นตัวอย่างคดีที่ใช้เวลาเดินทางยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ แต่ท้ายที่สุด เธอ จะได้รับการเยียวยาหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ !!!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2553, 17:00:18 คุยกับแพะ 2..
"ส.ว.วรินทร์"ยอมรับเยียวยา คดีแพะ"รัตนา"ฆ่าสามีไม่ง่าย คดีขาดอายุความ วอนนายกฯไล่บี้หาคนรับผิดชอบ วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 16:24:18 น. จากกรณีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของนางรัตนา เหรียญโมรา ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา หลังตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าสามีของตนเอง ต่อมาศาลฎีกาได้ตัดสินยกฟ้อง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่นางรัตนา ต้องการให้มีการเยียวยาและชดเชยความเสียหายที่ตนเองตกเป็นแพะในกระบวนการ ยุติธรรมอาญา ล่าสุด นายวรินทร์ เทียมจรัส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และทนายความด้านสิทธิมนุษยชน รับปากว่าจะให้ความช่วยเหลือ นางรัตนา เพื่อให้ได้รับการเยียวยาตามกระบวนการยุติธรรม " กระบวนการทางศาลในขณะนี้ถือว่าจบแล้ว แต่สิ่งที่จะต้องต่อสู้ก็คือกระบวนการยุติธรรม โดยเรียกร้องไปยังนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งขณะนี้ได้ส่งต่อไปยังนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและชดเชยต่อไป " ส่วนช่องทางในการเยียวยานางรัตนาที่ทำได้ก็มีอยู่ 2 ทาง อันแรกก็คือ กระบวนการยุติธรรมที่กำลังหาลู่ทางทางกฎหมายว่าจะทำอย่างไรให้การต่อสู้คดี โดยไม่มีเงื่อนไขของอายุความ เนื่องจากว่าคดีหมดอายุความมานานแล้ว อยากจะให้กฎหมายเป็นตัวรองรับ หรือมีหลักการทางด้านกฎหมายเข้ามารองรับ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเสนอแนวคิด อย่างน้อยมีการร่างกฎหมายเพิ่มเข้ามา หรือให้หน่วยงานเอ็นจีโอเข้ามาช่วย ทั้งนี้หน่วยงานเอ็นจีโออาจเข้ามาช่วยได้น้อย เพราะว่าไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านกฎหมาย อีกช่องทางหนึ่งก็จะต้องเป็นการเยียวยาทางด้านจิตใจ คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด หรือเปิดพื้นที่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม นอกจากนี้ นายวรินทร์ยังกล่าวอีกว่า การเข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนก็เป็นช่องทางหนึ่ง เพื่อสร้างกระแสในด้านสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามการให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายก็ยังคงต้องรอตามขั้นตอนต่อ ไป แต่ถ้านายกฯอภิสิทธิ์จะสั่งการให้ใครเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนี้จะคืบ หน้าได้มากกว่าที่เป็นอยู่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2553, 10:49:36 ผู้ดี “บิ๊กบอสแสนสิริ”ฉาว โดนร้องบังคับใส่ "เสื้อหน้าแม้ว"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤศจิกายน 2553 00:50 น. ไม่เคยมีชื่อติดในแบล็กลิสต์เป็นเครือข่ายท่อน้ำเลี้ยงแดง แต่พฤติกรรมของ เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กบอสแห่งแสนสิริ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ กลับแสดงออกชัดเจน ชนิดเกินพอดีในการสนับสนุนนักโทษหนีคุกอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ราวกับตกภาษาไทยโดยเฉพาะการสะกดคำว่า “แยกแยะ” ไม่เป็น ก่อนแดงเผาเมืองในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา บิ๊กบอสแสนสิริรายนี้ลงทุนทำเสื้อแดง สกรีนรูปทักษิณไว้ด้านหน้าไปตระเวนแจกผู้คนในสนามราชกรีฑาสโมสร หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ สปอร์ตคลับ ตั้งแต่เมื่อตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนมีเสียงครหาว่าเสื้อแดงหน้าทักษิณที่คนในสนามราชกรีฑาสโมสรไม่ต้องการ ล้นทะลักไปอยู่แถวสี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ถนนเศรษฐกิจของไทยถูกจับเป็นตัวประกัน จนนำไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง เศรษฐา ทวีสิน ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลราชกรีฑาสโมสรโปโลคลับ ซึ่งเศรษฐานั่งควบเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลของสโมสรผู้ดีกรุงเทพฯ ทั้ง 3 ทีมคือ ทีมเอ ทีมบี และทีมเวทเทรัน ที่มีนักเตะอายุเกินกว่า40 ปีขึ้นไป มาถึงวันนี้เสื้อแดงสกรีนภาพคนหนีคุกกลับมาหลอกหลอนนักฟุตบอลอีกครั้ง จากฝีมือของเจ้าเก่ารายเดิม โดยปรับเปลี่ยนวิธีการกระจายเสื้อแดงทักษิณ จากการแจกมาเป็น “การยัดเยียด” แทน จนกลายเป็นที่มาของเสียงครหาว่า คนอย่าง เศรษฐา สะกดคำว่า “แยกแยะ” ไม่เป็นดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น เพราะไม่เพียงเอาเรื่องการเมืองมาปะปนกับกีฬา แต่ยังมีความคิดและพฤติกรรมเผด็จการบีบบังคับให้ลูกทีมฟุตบอลต้องใส่เสื้อแดงหน้านักโทษ ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากนักกีฬาฟุตบอลในทีม โดยทุกคน (ยกเว้นลูกน้องเศรษฐา) ปฏิเสธที่จะใส่เสื้อที่ทั้งสี และภาพล้วนเป็นกาลกิณีต่อชาติบ้านเมือง และแสดงความไม่พอใจร้องเรียนไปยังกรรมการโปโลคลับ เกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของ เศรษฐา จนมีการโทรศัพท์แจ้งเตือนไปยังเจ้าตัว เพื่อให้หยุดการกระทำดังกล่าว แต่แทนที่ เศรษฐา จะได้คิด เขากลับฟาดงวงฟาดงาหนักขึ้น พาลพาโลจนเกิดวิวาทะเข้าขั้นทะเลาะกับลูกทีมฟุตบอลอย่างดุเดือด “ผมเอาเสื้อมาแจกมันผิดตรงไหน” เศรษฐา ถามลูกทีมฟุตบอลอย่างหัวเสีย ขณะที่ลูกทีมฟุตบอลประสานเสียงตอบว่า “ผิด” “จะผิดได้ยังไง ผมเห็นหลายคนก็เอาเสื้อเหลืองมาแจก” “ก็ตอนที่เขาแจกเสื้อ ไม่ว่าสีอะไรก็ตาม มันไม่มีเหตุเผาบ้านเผาเมือง ยึดราชประสงค์ ทำลายเศรษฐกิจชาติ จนบ้านเมืองเสียหาย แล้วตอนนี้อยากให้ประเทศชาติกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกหรือ เราเป็นทีมฟุตบอล นี่เป็นกีฬาอย่าเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง” เจอเข้าดอกนี้ เศรษฐา ถึงกับอึ้ง เถียงไม่ออก แต่ยังแถต่อพร้อมแสดงพฤติกรรมต่ำที่ไม่น่าเชื่อว่าบิ๊กบอสแห่งแสนสิริจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ “คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร” เมื่อปากพูดจบ ก็ทำหน้าบึ้งตึงพร้อมกับมีน้ำลายกระจายใส่หน้าคู่สนทนาต่อหน้าสักขีพยานจำนวนมาก ก่อนที่ เศรษฐา จะเดินจากไปอย่างหัวเสีย เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่ร่ำลืออย่างมากในหมู่ไฮโซที่เป็นสมาชิกโปโลคลับ และเริ่มมีคำถามมากขึ้นว่า สโมสรที่ได้ชื่อว่ามีแต่ไฮโซ และผู้ดีเป็นสมาชิกนั้นควรจะมีการสกรีนพฤติกรรมและวุฒิภาวะของคนที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกมากกว่าการใช้คุณสมบัติเรื่อง “เงินถึง” อย่างเดียวหรือไม่ เพราะสังคมไทยที่เลวร้ายอยุ่ทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากการไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี ให้การยอมรับคนที่เงินมากกว่า “ความดี” ซึ่งโปโลคลับ น่าจะได้ลองทบทวนดูว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นค่านิยมยกย่องคนดีมากกว่าเงินมาใช้หรือไม่ ใครมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ควรถูกขับออกไป หากทำได้เช่นนี้ก็จะถือเป็นมาตรการทางสังคมที่จะส่งผลกดดันทำให้ไม่ว่าใครก็ตาม ต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น สังคมไทยจะได้ไม่ต้องจมปลักอยู่กับยุค “ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน” ดูเหมือนว่า เศรษฐา จะรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้น จึงพยายามปรับพฤติกรรมยอมถอย เอ่ยปากขอโทษลูกทีมฟุตบอล เพราะเกรงว่าจะถูกโหวตไล่ออกจากการเป็นหัวหน้าทีม ซึ่งคงจะเสียหน้ายิ่งกว่าแจกเสื้อนักโทษแล้วไม่มีคนเอา มีคำแนะนำถึง เศรษฐา ว่า หากรักทักษิณเข้าเส้นขนาดนี้ น่าจะเปลี่ยนชื่อบริษัทแสนสิริเป็น “แดงสิริ” เสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จะได้วัดกันไปเลยว่า ที่วางเป้าหมายทางธุรกิจหวังขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น จะได้ตามหวัง หรือจะพังพาบ เพราะผู้คนเขาจะบอยคอตไม่ซื้อบ้านที่สร้างจากน้ำมือคนหนุนแดงเผาเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 18 พฤศจิกายน 2553, 13:32:05 ผมในฐานะเด็กพละคนนึง ขอสาปแช่งคนที่เอากีฬามาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อหวังผลทางการเมือง ให้มันชิบหาย ไม่ได้ผุดได้เกิดครับ...
แต่ต้องแยกนะครับ นักการเมืองมาสนับสนุนกีฬา เป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 18 พฤศจิกายน 2553, 21:51:39 ขอมาแฉย้อนหลัง พฤติกรรมบางอย่างของ อ้ายหน้าหมู ซะบ้าง
ตอนแรกสุด อ้ายหน้าหมู แสดงท่าทีว่า ข้อความของกระผมไม่เหมาะสม ไม่อยากให้ด่ากัน กระผมก็ยืนยันว่าต้องเปิดโปง ไอ้ทักกี้ แต่ไม่ได้สนับสนุนให้ใครไปทำร้ายกัน จนอ้ายหน้าหมู หลุดข้อความที่แสดงถึงสันดานออกมา บอกว่าใครทำผิดกฏหมายด้วยการบุกรุกสถานที่ราชการ ต้องยิงให้ตาย เพราะมันผิดกฏหมาย??? โอ้โฮ เมพขิงๆ ถ้างั้นกฏหมายคงไม่ต้องมีกำหนดโทษไว้หลายระดับแล้น สมมติว่าอ้ายหน้าหมูไปสนับสนุนการพนันบอล อ้ายหน้าหมูก็สมควรถูกยิงให้ตายเช่นกัน เพราะมันผิดกฏหมาย ฮิฮิฮิ พอมีคนไปตอบประเด็นนี้ ว่าความคิดแบบนี้มันเลวร้าย อ้ายหน้าหมูก็เบี่ยงประเด็น หันมาหาว่าทำไมตอนเสื้อแดงโดนสลายม็อบ พวกผมไม่ไปเรียกร้องให้แดง เหมือนที่เรียกร้องให้เหลืองบ้าง??? คำตอบง่ายๆคือ ไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องไปเรียกร้อง เพราะผมไม่ได้เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของพวกมัน...เป็นหน้าที่ของแกนนำเสื้อแดง ที่ต้องไปฟ้องร้องกันเองตามหลักฐาน ผมไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามไม่ให้พวกมันฟ้องร้องเช่นกัน (ผมไม่ได้ไปตอบคำถามมัน เพราะเชื่อว่าหมูคงจะฟังภาษาคนม่ะรู้เรื่องแน่ๆ) ต่อมา อ้ายหน้าหมูก็เปลี่ยนท่าที ไปตั้งกระทู้ใหม่ แรกๆก็พยายามชักแม่น้ำทั้ง 5 บอกว่าด่ากันไม่ดี มาหาทางแก้ด้วยกันดีกว่า แต่ผมไม่เข้าไปตอบกระทู้นั้น ผมก็เขียนวิจารณ์อ้ายทักกี้และสมุนต่อไป ตามที่มีข้อมูล...และแล้วอ้ายหน้าหมูก็เริ่มเปลี่ยนท่าที ในกระทู้นั้น หันมาเขียนวิจารณ์ ปชป.ด่าสนธิ วิจารณ์องคมนตรี อยากเอาเป็นเอาตาย?(ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าการด่ากันไม่ดี?) แสดงถึงการไม่มีจุดยืนที่แท้จริง แล้วยังมีหน้ามาทำเป็นธรรมะธรรมโม บอกให้คนอื่นที่เขียนวิจารณ์พวกทักกี้ ไปนั่งสงบจิต ทำสมาธิเสียอีกแน่ะ? อุ๊บ๊ะ...เนียนจริงๆว่ะ ช่วงหลังๆ อ้ายหน้าหมูเลยชวนคนอื่นเข้ามาคุยนอกเรื่อง ในกระทู้วิจารณ์ทักกี้ เช่น ดูหนัง ดูบอล ตามหาคนหาย ฯลฯ แต่ผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก...แต่พอต่อมา พี่วณิชย์ตั้งกระทู้เอารูปล้อเลียนทักกี้มาโชว์บ้าง อ้ายหน้าหมูก็เข้าไปวิจารณ์ว่ากระทู้นี้นอกเรื่องไปจากปรัชญาการเมือง เอาดิ? ตัวเองนอกเรื่องได้ แต่ห้ามคนอื่นนอกเรื่องนะ? จนกระทั่งต่อมา อ้ายหน้าหมูเอาโปสเตอร์หนังเรื่อง จักรพรรดิ์องค์สุดท้าย มาโพสไว้ในหัวข้อการเมือง แสดงเจตนา??? พอถูกถามกลับ ถึงเจตนา มันก็ลบคอมเมนต์ตัวเองหายไปเฉยๆ นี่แหละสันดาน อ้ายหน้าหมู! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2553, 12:53:01 น้องโอ เปิดโปงได้อย่างชัดเจน ถึงพฤติกรรมที่แย่ๆ ของไอ้หน้าหมู
โดยเฉพาะสันดานที่ชั่วช้า ที่ บอกว่าใครทำผิดกฏหมายด้วยการบุกรุกสถานที่ราชการ ต้องยิงให้ตาย เพราะมันผิดกฏหมาย นั้น ผมรับไม่ได้จริงๆ จึงเขียนไล่ให้มันออกไปจากหน้าการเมือง แต่มันบอกว่า มีสิทธิ์จะเข้ามาได้ ผมจึงเฝดหายไปจากหน้านี้ไประยะหนึ่ง ไม่อยากสังฆกรรมกับพวกเลวๆ... ตอนที่เกิดวิกฤต ในเวบหอ มีการย้ายเซอบเว่อร์ ออกจากที่เก่า และมีการปิดหน้า การเมือง มันกะดี้กะด๊า คุยกันในกลุ่มมันว่า..เราชนะแล้ว.... นี่แหละ คือพฤติกรรมของเขาล่ะ..ไอ้หน้าหมู...ฮ่วยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 พฤศจิกายน 2553, 22:18:40 “มาร์ค” แก้ไขรธน. “หมกเม็ด” เจตนามิชอบ !?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤศจิกายน 2553 23:49 น. งเจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลดลใจอะไรมิทราบที่ทำให้ ส.ว.สรรหา คำนูณ สิทธิสมาน ไปค้นพบว่าในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ผลักดันโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใน มาตรา 190 ที่เกี่ยวกับหนังสือสัญญาต้องผ่านการรับรองจากที่ประชุมรัฐสภาก่อน โดยไปพบว่ามีการไปแก้ไขถ้อยคำที่เป็นสาระสำคัญที่อาจทำให้มีการตีความไปว่า “หนังสือสัญญา” ที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยออกไปจากเงื่อนไขข้อบังคับปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัด นั่นก็หมายความว่า ต่อไปนี้ หนังสือสัญญา ที่รัฐบาลไปเจรจากับต่างประเทศที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต จะไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นทั้งในและนอกสภา และหากกล่าวให้แคบกว่านี้ก็คือมันจะส่งผลครอบคลุมไปถึง การเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลัก เขตแดนทางบก(เอ็มโอยู 43) ไม่จำเป็นต้องผ่านการระดมความคิดเห็น กล่าวโดยสรุปก็คือสามารถ “ปิดหูปิดตา” ประชาชน โดยรัฐบาล “ปิดหูปิดตา” อย่างไรก็ได้ และที่สำคัญจะส่งผลทำให้มีการเสียดินแดนให้กับต่างชาติซึ่งในที่นี้ย่อมหมาย ถึงฝ่ายกัมพูชา ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งยังป็นการกลบเกลื่อนความผิดจากกรณีดังกล่าวในอดีต ได้อย่างแยบยลได้อีกด้วย สำหรับมาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีทั้งหมด 6 วรรค และระบุหนังสือสัญญาไว้สองประเภท คือ ประเภทที่ 1 หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือ สัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็น ไปตามหนังสือสัญญา ประเภทที่ 2 หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศ อย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหลักการดังกล่าวที่เคยบรรจุอยู่ในมาตรา 190 วรรค 2 จะต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนี้ มาตรา 190 เดิมยังกำหนดรายละเอียดไว้ทุกขั้นตอนบังคับเอาไว้ว่าหนังสือสัญญาทั้งสอง ประเภทจะต้องมีข้อกำหนดปฏิบัติเอาไว้อย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังการลงนาม รวมทั้งมีกำหนดระยะเวลาของรัฐสภาเอาไว้อย่างชัดเจน สรุปก็คือต้องผ่านการระดมความคิดเห็น มีการให้ข้อมูล รวมถึงมีการเยียวยา ประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเอาไว้อย่างชัดเจน และรอบด้าน แม้กระทั่งร่างแก้ไขในชุดของคณะกรรมการสมานฉันท์ชุดที่นำโดย ส.ว.ดิเรก ถึงฝั่ง และในร่างแก้ไขของ 102 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ก็ยังแค่แก้ไขในวรรค 5 เพิ่มเติมแค่คำว่า “ประเภทของสัญญา” เข้าไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสิ่งไหนเข้าข่ายหนังสือสัญญาประเภท 2 สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือมีการเขียนข้อความแบบ “หมกเม็ด” นั่นคือ มีการกำหนดเฉพาะหนังสือสัญญาประเภทสองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางเท่านั้น โดยตัดหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยออกไปจากเงื่อนไขบังคับ ปฏิบัติ 4 ประการดังกล่าวข้างต้น สรุปก็คือหากแก้ไขได้สำเร็จต่อไปก็จะทำให้ หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ไม่จำเป็นต้องผ่านการระดมความคิดเห็น ไม่ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่จำเป็นต้องชี้แจงต่อรัฐสภา และไม่จำเป็นต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา สามารถแสดงเจตนามีผลผูกพันได้เลย ไม่ต้องให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น และในกรณีที่ปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือ ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อมก็ไม่ต้องมีการแก้ไขเยียวยาอย่างรวดเร็วเหมาะสมและเป็นธรรม นี่คือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 ที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำอย่างมีนัยสำคัญ ที่เสนอโดยรัฐบาลและผลักดันโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งความหมายก็คือมีเจตนาหมกเม็ดซ่อนเร้นอย่างที่ไม่สมควรให้อภัยอย่างยิ่ง ปรากฎการณ์ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้มันช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูก มองว่า นายกรัฐมนตรีมีเจตนา ซ่อนเร้นเพื่อมุบมิบแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมานั่นคือ กรณีปัญหาเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา (เจบีซี) รวมไปถึงกลบเกลื่อนความผิดพลาดจากกรณีเอ็มโอยูปี 2543 เป็นการแก้ไขเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง และแก้ไขปัญหาส่วนตัวของตัวเอง นอกเหนือจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93-98 ที่เกี่ยวกับที่มา ส.ส.เรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นเขตเดียวเบอร์เดียวซึ่งก้เป็นเรื่องประโยชน์ เฉพาะนักเลือกตั้งล้วนๆ ดังนั้น เมื่อรวมเอากรณีการแก้ไขมาตรา 190 ที่มีเจตนาให้หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ไม่จำเป็นต้องผ่านการระดมความเห็น ไม่ต้องผ่านรัฐสภา ส่อให้เห็นเจตนาปิดหูปิดตาประชาชน ต้องการกลบเกลื่อนปัญหาและความผิดพลาดของตัวเอง ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเจตนาซ่อนเร้น อย่างน่าเกลียดที่สุด !! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 พฤศจิกายน 2553, 22:13:58 คมสันตราดามุส" เผยเคยชี้แล้วคดี29ล้าน กกต.ตกหลุมกฎหมายแน่ ฟันธง"คดี258ล้าน"ซ้ำรอยเดิม
วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 มติชนออนไลน์ อจ.นิติศาสตร์ มธ. ชี้เป็นหลักสากลถ้ากระบวนการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงผิดแต่ต้น ก็ไม่จำเป็นต้องดูข้อเท็จจริง วิเคราะห์คดี "258ล้าน" ไม่พ้นซ้ำรอยเดิม เหตุ กกต.ฟ้องผิดข้อ กม. หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปปัตย์ กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ด้วยการยกคำร้องตามมติ 4:2 นั้น นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ผู้ซึ่งเป็นนักกฎหมายคนแรกๆ ที่เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบเพราะกระบวนการในการดำเนินคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ผิดพลาดแต่ต้น นายคมสัน ให้สัมภาษณ์ "มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ว่า ตนเคยเสนอว่ายุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เพราะว่ากระบวนการของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประเด็น 1.การใช้กฎหมาย โดย กกต.ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งอันที่จริงควรใช้กฎหมายของปี 2541 เนื่องจากเป็นการกระทำในอดีต 2.อำนาจการวินิจฉัย เป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ใช่ กกต. 3.นาย ทะเบียนพรรคการเมืองเคยชี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าการกระทำของพรรคประชาธิปัต ย์ไม่ผิด แต่ กกต.ก็กลับหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ กกต.ผิดพลาดเอง ซึ่งก็เคยแนะนำไปแล้วว่าจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ เมื่อขึ้นสู่ศาลก็ต้องถูกยกฟ้องแน่นอน เรื่องนี้ตนก็พูดมาตลอด อาจารย์ มธ. รายเดิม กล่าวต่อว่า ศาลได้พิจารณาโดยตัดประเด็นในแง่ของข้อเท็จจริงออกไป เนื่อง จากว่าโดยหลักสากลแล้วกระบวนการยุติธรรมนั้นจะต้องพิจารณาด้วยว่ากระบวนการ อันได้มาซึ่งข้อเท็จจริง การสอบสวน การยื่นคำร้องเหล่านี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจึงจะพิจารณาต่อในขั้นของข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งหากการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะขัดต่อหลักนิติรัฐ "อันนี้มันเป็นหลักสากลอยู่แล้วทั่วโลกเค้าทำ กัน คือขั้นแรกต้องพิจารณาในแง่กฎหมายว่าถูกต้องตามกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ ถึงจะมาพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง ยก ตัวอย่างเหมือนในหนังต่างประเทศที่เราดูกัน ก่อนที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมคนร้าย จะต้องแจ้งสิทธิที่ผู้ต้องหาพึงจะได้เสียก่อน หากดำเนินการจับกุมไม่ถูกขั้นตอนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็แพ้คดีตั้งแต่ต้น โดยไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริงเลย" นายคมสันกล่าว และว่า เมื่อศาลพบว่ากระบวนการของ กกต.บกพร่องหลายประการ มีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ยื่นคำร้องล่าช้าก็ดี ไม่ถูกต้องด้วยกระบวนการก็ดี สามารถตัดการพิจารณาข้อเท็จจริงไปได้เลย อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกทำกัน เมื่อถามว่า มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อศาลเห็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ผิดแต่ต้นเหตุใดจึงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี นักวิชการรายเดิม กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ว่าในชั้นของการยื่นคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ แต่มาปรากฏในชั้นของการไต่สวนก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นตรงจุดนี้จึงนำมาสู่การตัดสินในที่สุด "อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นไปได้อีกในแง่การ เมืองที่ว่ากระแสสังคมกดดันหนัก ศาลจึงต้องการที่จะให้เกิดความกระจ่างแจ้ง เป็นไปได้ที่ว่าอาจจะปล่อยให้กระบวนการไต่สวนมันครบถ้วนกระบวนความ นำคู่กรณีมาไต่สวนงัดข้อเท็จจริงต่างๆ มาตีแผ่ผ่านศาล สมมุติ ว่าศาลเห็นประเด็นนี้ (กระบวนการ กกต.ผิดแต่ต้น) อยู่ก่อนแล้ว แต่ครั้นจะให้ยกคำร้องทันที ตั้งแต่ที่ กกต.ยื่นมาโดยที่ไม่มีการไต่สวน ก็เกรงว่าอาจจะถูกครหาก็ได้ว่า 2 มาตรฐาน หรือจะถูกครหาว่าไม่ฟังความใดๆ เลย ยังไม่ทันฟังคำชี้แจงหรือข้อเท็จจริงอะไรเลย จู่ๆ ให้ยกคำร้องเสียแล้ว อันนี้ก็เป็นไปได้ที่ทำให้ศาลตัดสินใจปล่อยให้มาถึงกระบวนการพิจารณาถึงขั้น นี้ แต่ตรงนี้เป็นเพียงการคาดเดาของตนเท่านั้น" นายคมสัน กล่าว อจ.นิติฯ มธ. กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าศาล รธน.ดำเนินการถูกต้องตาม Proceed of Law คือการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงของผู้ร้องจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน จึงจะพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง เมื่อถามว่ากับคำพิพากษาตรงนี้จะมีผลอย่างไรต่อไปกับคดีการบริจาค เงิน 258 ล้านหรือไม่ นายคมสัน กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าจะมีผลให้ยกคำร้องในคดีนี้ แต่ต้องดูที่เงื่อนไขเวลาว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องคดี 258 ล้านนี้ ก่อนหรือหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2552 (เป็นวันเดียวกับที่ กกต.ยื่นคำร้องยุบ ปชป. ในคดี 29 ล้าน) ถ้ายื่นหลังก็หมดสิทธิแน่นอนเข้าข่ายล่าช้า 15 วัน แต่ถ้าวันเดียวกันก็เป็นไปได้ที่จะมีชะตากรรมในแบบเดียวกัน "แต่ ถ้ายื่นหลัง ผมก็ยังเห็นว่ามีโอกาสหลุดอยู่ดี เพราะว่าฟ้องผิดข้อกฎหมายคือ กกต.ยื่นฟ้องในลักษณะที่ว่าเมซไซอะเป็นนอมินีรับเงิน ปชป. ซึ่งมันไม่ใช่ แต่ควรจะตีในประเด็นที่ว่า รับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้ง อาจเรียกได้ว่า กกต.ฟ้องข้อหาที่หนักเกินกว่าความเป็นจริง เปรียบไปก็เหมือนกับไปยัดข้อหาเค้า ซึ่งเท่าที่ผมดู กกต.ชุดนี้จัดว่ามีปัญหาในแง่ของข้อกฎหมายเยอะ แพ้คดีมาหลายครั้ง แม้ แต่กับกรณีของนายเรืองไกร (ลีกิจวัฒนะ) ก็ตาม ซึ่งจะว่าไปแล้ว กกต.ชุดนี้ก็มีอดีตผู้พิพากษาหลายคน จนเกิดคำถามว่าทำไมจึงพลาดง่ายๆ ได้" เมื่อถามว่าหาก กกต.ยื่นก่อน 15 วัน มีโอกาสหรือไม่ที่ ปชป.จะชนะ นักวิชาการรายเดิม กล่าวว่า อันที่จริง กกต.ก็ชี้ไปหลายครั้งแล้วว่าเค้าไม่ผิด แต่จู่ๆ ก็ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งอาจจะด้วยแรงกดดันของเสื้อแดง สังคม หรืออะไรก็ตาม ก็มีการชี้หลายครั้งแล้ว คือมาตรฐานไม่มีเลย เมื่อถามว่ากับคดียุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) และพลังประชาชน (พปช.) ต่างกันอย่างไร นายคมสัน กล่าวว่า ต่างกันโดยสิ้นเชิง กรณีของ ทรท.คือมีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครและเปลี่ยนแปลงฐานบัญชีรายชื่อผู้สมัคร เพื่อให้สามารถลงแข่งในการเลือกตั้งได้ จนนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาล ตรงนี้เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิถีประชาธิปไตย ในมาตรา 68 ส่วน พปช.นั้นเป็นกรณีที่ กก.บห.ซื้อเสียงทุจริตการเลือกตั้งไม่เหมือนกันเลย คือไม่ใช่เรื่องของ 2 มาตรฐานอย่างแน่นอน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 มกราคม 2554, 09:07:53 นักวิชาการญี่ปุ่นพูดถึงทักษิณ (Worth reading!!)
บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย *ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง*** *กล่อง ดวงใจของทักษิณและ นปช.*** ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน เมื่อ ทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้ จ้าง คนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง หนังสือ เล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน จาก นั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน และ คนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบาย แนว สังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม ในระหว่างหา เสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริง กับประชาชน จะไม่โกหก นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับ เม็ดเงินจริงๆ ยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด เมื่อ เหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกันแต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบ ทักษิณ มองไม่เห็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด ความ สามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก เมื่อทักษิณถูก ปฏิวัติ ทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด ทักษิณ ทำอย่างไรบ้าง ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน ทักษิณ อ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society) ทักษิณเคยพูด หรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า "ใน โลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ" คนทั่วไป อาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะ แต่ ทักษิณตีความ ว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไป ตาม ที่ตัวต้อง การต่างหาก ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่ เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุม บังคับอยู่ ต่างหาก เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ สิ่ง ที่ ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา ที แรก เป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร แต่เมื่อเจอการโจมตีเปิดโปงของพันธมิตร เสื้อ แดง ก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า "ความ จริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร" (information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา เรา มักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์ แต่ ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนโกงที่โกหก เก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด จะรู้ดีว่าได้เคลิบ เคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น นับประสา อะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม ตอน นี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย ต้องช่วยให้เขา เห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้ ทักษิณ กะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปราม จะได้กลายเป็น ทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ ไม่มี คนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้าตอนที่ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณ จึง ทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่ *เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร*** หลัง จากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอน ต้อง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้าง หลังสงกรานต์เลือด? ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์ เว็บ ไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้างทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน นอกจาก นี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลก ไป สัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ ทำ ให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา ฮุน เซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyist ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย นักการ เมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน พวก นี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น ส.ส.เพื่อ ไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน พวกนี้ก็จะ ช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่ง ทักษิณ ถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน อภิสิทธิ์ สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อ แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลง ในหลัก สูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า เครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน และ พอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน จริงอยู่ทำทั้งหมด นี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า เงินไม่ใช่ตัวความสามารถ หลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก แล้วเมื่อหลอกคน สำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้ สังเกต ต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism) โดย ลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป สังเกตดูจะเห็น การทำงานของกลไกสงครามของทักษิณ ชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม ส.ส.เพื่อ ไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100% ก็ ยังสามารถทำให้คน จำนวนมากหลงเชื่อได้ ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย ช่วยกันทำ ประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ ปีนี้จึงไม่แปลกว่า เมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ ถ้า เอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า ทุกครั้งที่พูด ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ และจะใช้เวลา ตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด จาก นั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่ *ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร*** คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult เหมือนกับโอมชินริ เคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jones ที่ หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา มีแกนนำอย่างจตุพร สาม เกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อ เพียง แต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิท ถึงขั้นสั่งให้ ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม ทักษิณอาจยังไม่ถึง ขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่ ดู ลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว เตรียม ขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณ ได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้าย เจ้า หน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น *เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง*** จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย ต้องไป หากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน ความ สามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ ถ้าทำลายความ สามารถ นี้ได้ ทักษิณก็จะหมดฤทธิ์ อย่าทำให้แกตายแบบเสียชีวิต แต่ควรให้ แกมี ชีวิตอยู่ และทำให้คนที่ถูกแกหลอกลวงได้ตาสว่าง เพื่อให้มองเห็นว่า ถูก ทักษิณหลอกมาอย่างไร และกำลังหลอกให้ทำอะไรอยู่ เมื่อเหยื่อตาสว่าง ก็จะมองเห็นธาตุแท้ของทักษิณ แล้วให้ทักษิณรับกรรมจากคนที่ตัวเองล่อลวง ไว้นั้น แกสมควรจะได้รับสิ่งที่ทำลงไป การทำลายความสามารถในการหลอก ลวงของทักษิณ ทำได้ด้วยการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยในเรื่องที่ทักษิณ กับสมุน โกหกหลอกลวง คนเสื้อแดง ต้องใช้ความจริงเท่านั้นในการพิสูจน์ ต้องไม่ใส่ร้าย และต้องไม่ใช้เรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เอาเฉพาะเรื่องที่แกโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอน ก็มีหลายร้อยเรื่องแล้ว ประเด็น อยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ทักษิณนั้น หลอกลวงคนที่รักทักษิณนั้นเอง และ อธิบายให้เห็นว่า หลอกอย่างไร แล้วทักษิณจะได้อะไรจากการที่คนเชื่อ เรา ต้องไม่หลงประเด็น หลายอย่างที่ทักษิณทำตอนเป็นนายก แล้วราษฎรได้ประโยชน์ ต้อง ยอมรับว่ามีอยู่ แต่ต้องชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่ทำชั่วมีอะไรบ้าง และที่ ทำ ดีนั้น ทำได้อย่างไร เพื่อให้ได้อะไรในที่สุด ส่วนที่โกหกหลอกลวงอยู่ตรงไหน *ตัวอย่าง การล่อลวงของทักษิณและแกนนำ นปช.*** *ประเด็นอำมาตยาธิปไตย*** เรื่อง นี้เป็นเท็จอย่างไร ลองพิจารณาดู คำนี้ในตำรารัฐศาสตร์ไม่มี ถ้าในภาษาอังกฤษอาจเทียบได้ 2 คำ คือ Aristocracy กับ Oligarchy ซึ่งหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีอภิสิทธิ์หน่อย เป็นผู้ปกครอง แต่ความหมายตามนัย ของทักษิณคงหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว หรือ พลเอกเปรม ว่ามีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและ ข้าราชการต่างๆ ทั้งที่ไม่ควรมีใครมีอำนาจอย่างนี้ คำว่าอำมาตยาธิปไตย ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรภพ แล้วทักษิณรับมาใช้ ให้ นปช.ขยายต่อ จนคนนึกว่ามี อยู่จริงๆ ทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือบริหารให้เป็น ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือที่เรียกร้องมาตลอดคือจะเอารัฐธรรมนูญ 2540 มา ใช้ ก็รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่หรือที่ใช้อยู่ตอนที่ทักษิณบอกว่า อำมาตย์สั่งทหารให้โค่นทักษิณ ดังนั้นถึงใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่สามารถป้องกันอำมาตย์ได้ เห็นๆอยู่ การเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ จึงเป็นการหลอกลวง ที่ต้องการจริงๆ จะเกี่ยวกับการให้ทักษิณพ้น ผิด และการโกงง่ายกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันต่างหาก รัฐธรรมนูญของไทยไม่ว่า ฉบับไหนไม่มีเขียนให้อำนาจอำมาตย์ไว้ ความจริงการที่ใครสักคนสามารถสั่ง การหรือแนะนำคนให้ทำตามที่ตัวแนะนำได้โดยไม่ต้องมีอำนาจ ตามกฎหมายรอง รับ นั้นเรียกว่าบารมี แต่จะเกิดขึ้นได้เพราะคนที่เชื่อฟังเขาให้ความเคารพนับถือ เท่านั้น ถ้าพลเอกเปรม ได้รับความเชื่อถือจากนักการเมืองและข้าราชการ จะเอากฎหมาย อะไรไปห้ามไม่ให้เขาเชื่อถือ จะสั่งอย่างไรไม่ให้พลเอกเปรม ไปพูดจากับ คน อื่น มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ การออกมาชุมนุมเรียกร้องจึง เป็นการหลอกลวงแท้ๆ เมื่อ phone in 2-3 วันมานี้ ทักษิณอ้างว่าต้องการแก้ระบบ ไม่ได้เจาะจงอำมาตย์คนไหน ถ้าอย่างนั้น ระบบอำมาตยาธิปไตย หมายความว่าอย่างไร หมายความถึงการที่อำมาตย์ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ไปบอกให้รัฐบาล หรือข้าราชการทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ตัวต้องการใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ฐานะปัจจุบันของทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่กำลังสั่งการให้ สส.เพื่อ ไทย ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่ ก็ต้องเป็นระบบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเอง กำลังต่อต้านเหมือนกัน ใช่หรือไม่ นี่ก็แสดงถึงความเท็จที่ทักษิณกำลัง หลอกลวงคนอยู่ ชัดเจน *สองมาตรฐาน*** เรื่องนี้ทักษิณเอามาพูด หลายตัวอย่างมาก แต่เอาที่จตุพรพูดกับอภิสิทธิ์ตอนเจรจากันออกทีวี ซึ่ง จตุพรบอกว่ารัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากทหาร เมื่อสมัครเป็นนายก ออก พรก.ฉุกเฉิน แล้วสั่งให้ทหารสลาย mob พันธมิตร แต่ทหารไม่ทำ พออภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทหารช่วยทำทุกอย่าง เป็นเรื่องสองมาตรฐาน เรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จอย่างไร ตอนที่สมัครเป็นนายก พันธมิตรยึดทำเนียบ สมัครประกาศใช้ พรก.แล้วสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่ม ผู้ชุมนุม แล้วพลเอกอนุพงศ์ นำกำลังเข้ามาแต่ไม่ดำเนินการเพื่อสลายการ ชุมนุม ถ้าไปดูให้ดีจะเห็นว่า สมัครไม่ได้สั่งให้ชัดเจนว่าจะให้ทำอะไร อนุพงศ์ก็เลยไม่ทำ บอกว่าให้สั่งให้ชัดเจน สมัครไม่กล้าสั่ง คงรู้และกลัวจะต้องรับผิดชอบ ก็เลยกล่าวหาว่าทหารไม่ทำหน้าที่ กลับไปดูสัมภาษณ์และหลักฐานเอกสารดีๆ จะเห็นชัด ตอนสมชายยิ่งแล้วใหญ่ สั่งให้ตำรวจสลายการปิดล้อมสภาเมื่อ 7 ตุลา ตำรวจทำรุนแรงเกิดเจ็บตาย สมชายโยนความผิดให้ตำรวจ บอกว่าตัวไม่ได้สั่ง บิ๊กจิ๋วสั่ง บิ๊กจิ๋วบอกผมสั่งแต่ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้น พัชรวาทย์บอกเขาสั่งข้ามหัว ผม สรุปแล้วคนที่รับผิดคือสุชาติ เหมือนแก้ว ซึ่งเป็น ผบช.น.ในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา หลังจากนั้น เมื่อพวกพันธมิตรไปยึดสนามบิน รัฐบาลสมชายประชุม จะให้ตำรวจไปจัดการสลาย mob จากสนามบิน ตำรวจคือสุชาติ เหมือนแก้ว บอกกับ ครม.ว่าถ้าจะให้ตำรวจ ทำต้องสั่งให้ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจน ไม่งั้นนักการเมืองไม่ต้อง รับ ผิด ตำรวจต้องรับผิด ครม.สมชายไม่กล้าสั่งเอง โยนไปให้คณะกรรมการ ติดตาม สถานการณ์ด้านความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลตั้งขึ้น มี ผบ.ทบ.เป็นประธาน และปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ให้เอาไปพิจารณา โดยต้องการให้กรรมการชุด นี้เสนอแนะให้สลาย mob โดยเสนอวิธีการมาให้เลย ปรากฎว่าคณะกรรมการชุด นั้นประชุมเสร็จแล้วมีมติว่า รัฐบาลยุบสภาเสียดีกว่า นายกสมชายกลับจาก เปรูคืนนั้นบินไปลงที่เชียงใหม่ พอ 4 ทุ่ม ไม่รู้ว่าปรึกษาใคร ก็ออก แถลงการณ์สดประกาศว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ทั้งหมดนี่ จะเห็นว่า ความจริงทหารตำรวจไม่ได้ใส่เกียร์ว่างเพราะไม่เต็มใจทำงานให้ หรือมีใคร สั่งไม่ให้ร่วมมือ แต่เป็นเพราะนักการเมืองไม่รับผิดชอบ ต้องการจะให้ข้าราชการ ประจำปราบ แต่ตัวเองไม่ต้องรับผิด เขาเลยไม่ทำ เพราะทำแล้วจะต้องกลายเป็นคนผิด มาดูสมัยอภิสิทธิ์บ้าง เมื่ออริสม้นต์นำเสื้อแดงบุกการประชุม Summit ที่พัทยาจะเห็นว่า ตำรวจและทหารเรืออีกจำนวนมากก็เกียร์ว่างเหมือนกัน เพราะตอนนั้น ฝ่าย รัฐบาลไม้ได้ออกมาแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น วางกำลังไว้แต่กฎการใช้กำลัง ไม่ชัดเจน คำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร เพียงใด ไม่ชัดเจน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ การประชุมก็ล่ม *ถ้าอำมาตย์ ค้ำอภิสิทธิ์จริง ตำรวจและทหารก็คงปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งกว่านั้นแน่นอน*** บ่าย วันนั้น อภิสิทธิ์ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ mob ก็สลายไปแล้ว อย่างไรก็ ตามคืนวันนั้นรัฐบาลประชุมกับฝ่ายตำรวจและทหาร อภิสิทธิ์แจ้งชัดเจนว่า การตัดสินใจต่อจากนี้ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล รัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง และจะรับผิดชอบต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ชัดเจน ออกTV ด้วย หลังจาก นั้น ทหารและตำรวจจึงปฏิบัติตามคำสั่ง เอาเทปเหตุการณ์มาดูอีกทีก็จะเห็นชัดเจน *การกล่าวหาว่าอำมาตย์สั่ง ทหารให้ค้ำอภิสิทธิ์จึงเป็นความเท็จ*** การกล่าวหาว่าทหารและตำรวจใช้สอง มาตรฐานต่อคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงเป็นเท็จ แต่ถ้าบอกว่าเป็นต่าง มาตรฐานหรือไม่ ต้องตอบว่าต่าง เพราะรัฐบาลของนายสมัครและนายสมชาย ไม่ กล้ารับผิดจากการสั่งงานของตัว จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารตำรวจ แต่รัฐบาล ของนายอภิสิทธิ์ออกมาพร้อมที่จะรับผิด และได้รับความร่วมมือ มาตรฐานต่างกันตรงนี้ต่างหาก ความเท็จที่ทักษิณกับสมุนเอาออกมาปั่นหัว ประชาชนในเรื่องนี้ ทำให้คนคิดว่ามีความไม่ยุติธรรมจริงๆ จึงพากันออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เห็นภาพของการล่อลวงชัดเจนหรือยัง เป็นการจงใจสร้างเรื่องเท็จไปล่อลวงเพื่อใช้คนเหล่านั้น คนที่รักทักษิณ เชื่อในทักษิณ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ให้เป็นเครื่องมือของทักษิณ หลอก ให้เขานึกว่าที่เขาทำตามนั้น เพื่อประชาธิปไตย เพื่อบ้านเมือง *ทหาร จะปฏิวัติ ต้องออกมาต่อต้านการปฏิวัติ*** เรื่องนี้ทักษิณกับสมุนที่ เป็น แกนนำใช้หลอกลวงมวลชนมาตลอด ข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงของเรื่องนี้ คือ ตั้งแต่ อภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทักษิณและแกนนำ นปช.ก็ปล่อยข่าวลือว่าทหารจะปฏิว้ติมาตลอด ถ้าเอาที่พูดบนเวที ที่พูดในสภา ที่ออก TV เสื้อแดงมานับดู ก็จะพบว่ามีการหลอกมวลชนของตัวเอง ว่า ทหารจะปฏิวัติมาแล้ว เป็นร้อยๆ ครั้ง เฉพาะจตุพรคนเดียวก็นับไม่ไหวแล้ว และทหารก็ยังไม่ได้ปฏิวัติ ความจริงทหารที่ถูกกล่าวหา เพราะบางครั้งระบุชื่อเลย เช่นพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เป็นต้น น่าจะ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กล่าวหา เพื่อทำให้ผู้กล่าวหาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน ยอมรับว่าได้โกหก ถ้า เราทำอย่างนี้ คนก็จะเริ่มเห็นว่า ทักษิณโกหก นปช.โกหก เพื่อจะลวงล่อให้ประชาชนก่อเหตุ *ทักษิณเป็นประชาธิปไตย ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการถูกทำลาย ถูกรังแก*** เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ชี้มุมโกหกหลอกลวงของทักษิณยากหน่อย สำหรับคนมีการศึกษาดีหรือเรียนทาง รัฐศาสตร์มาจะเข้าใจง่ายมาก แต่คนที่ไม่ได้เรียนมาจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะการใช้รูปแบบของการเมืองที่มีการเลือกตั้งจะทำให้ คนเข้าใจว่าการ ที่ชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาปกครองประเทศ ก็เป็นไปตามประชาธิปไตยแล้ว แต่ ต้องเข้าใจลึกกว่านั้นนิดหนึ่งว่า การเป็นประชาธิปไตยนั้น นอกเหนือจาก การเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีลักษณะอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น การที่นักการ เมืองทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่, การแบ่งแยกอำนาจ, การตัดสิน ใจโดยสภา, การมีอิสระของศาล เป็นต้น ซึ่งในประเด็นอื่นๆ นอกจากการชนะ เลือกตั้งมาแล้ว ทักษิณละเมิดหมดเลย นับตั้งแต่รวบอำนาจไว้กับตัว ซื้อ พรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ติดสินบนศาล สั่งการ ส.ว.ได้หมด แต่งตั้งญาติ และเพื่อนเข้าตำแหน่งสำคัญในวงราชการ งานประมูลทั้งปวงของรัฐให้น้องสาว ชื่อเจ๊แดง ชี้เป็นชี้ตายได้หมด ผูกขาดธุรกิจ ถึงขั้นแก้กฎหมายหาเงิน เข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเป็นการรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตัว ทำให้สาระของ รัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาล "เผด็จการโดยรัฐสภา" เหมือนกับ Hitler ในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเหมือนกัน น่าจะเป็นประชาธิปไตย แต่ ต่อมาแกรวบอำนาจจากสภาและทุกอย่างมาไว้ที่ตัว ซึ่งเราทุกคนก็รู้ดีว่า Hitler คือจอมเผด็จการที่กุมอำนาจทุกด้านในเยอรมันไว้กับตัวทั้งหมด จน ทั้งโลกต้องทำสงครามโลกจึงจะปราบ Hitler ซึ่งชนะเลือกตั้งลงไปได้ ดัง นั้นทักษิณ จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "เผด็จการโดยรัฐสภา" ต่าง หาก เป็นตัวอย่างของการฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตย ส่วนที่ว่าแกถูกทำลาย ถูกรังแกนั้น ไปดูเอาเองว่าใครรังแกแกอย่างไร อธิบายให้มวลชนเสื้อแดงที่ เมาหมัดฟัง คงไม่ยากนัก *นปช.พูดความจริง สื่อถูกบังคับให้บิดเบือน*** เรื่องนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทักษิณและ นปช. เกือบ 100% ของสิ่งที่พูดใน TV และเวทีของ นปช.ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสามารถเอาเทปมาดู แล้วทำความจริง เปรียบเทียบเพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นความจริงได้จำนวนมาก และเป็น สิ่ง ที่เราต้องทำหลังจากการแก้วิกฤตเมษาปี 2553 ไปแล้ว อย่างน้อยๆสักปีสองปี กว่า คนจะตาสว่าง อาจต้องนานกว่านั้นด้วยซ้ำ การโกหกบิดเบือนในเรื่องนี้ ทำ ให้ดูเหมือนว่าทักษิณพูดความจริง *อภิสิทธิ์ สั่งฆ่าประชาชน*** กรณี Clip เสียงตัดต่อนี้ ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น แต่ยังต้องนำเอาความจริงไปสู่ประชาชน ที่ถูกล่อลวงให้เห็นให้ชัดให้ได้ *เปรม เป็นคนวางแผนรัฐประหาร*** เรื่องนี้เป็นสาเหตุของการประดิษฐ์ศัพท์ที่ เรียกว่าอำมาตยาธิปไตย ซึ่งเราต้องอธิบายให้ดี ความจริงที่เห็นได้คือพลเอกเปรม ออกมาด่าทักษิณ แน่นอน ที่เหลือที่พลเอก พัลลภ ไปเล่าให้ทักษิณฟัง ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้ พัลลภพูดอะไรก็ได้ให้ ตัวเองได้เงิน แต่ทักษิณเอาไปทึกทักว่าจริง แล้วเอาไปหลอกมวลชนของตัว เอง ว่าพลเอกเปรม เป็นคนวางแผนปฏิวัติ ซึ่งไม่แฟร์ การที่พลเอกเปรมพูด แล้วทำ ให้เกิดการปฏิวัติในเวลาต่อมานั้น ไม่ได้หมายความว่าพลเอกเปรมวาง แผน แต่ความที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เมื่อด่าทักษิณแล้ว ทำให้การปฏิวัติขับไล่ทักษิณเกิดขึ้นได้ ซึ่งความจริงมองว่าเป็นการฉวย โอกาสของ คมช.ก็ได้ อย่างไรก็ตามความเลวของทักษิณก็สมควรแก่การถูกล้ม ล้าง เห็นได้จากการที่ประชาชนเอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่ปฏิวัติ แต่ในที่สุดการปฏิวัติของ คมช. กลายเป็นประโยชน์แก่ทักษิณ เพราะเอาไปอ้างได้ว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งแล้วถูกล้มล้าง จากการรัฐ ประหาร กลายเป็นความชอบธรรมของทักษิณที่จะเอาไปอ้างได้กับคนไทย และคนที่ ออกเสียงเลือกทักษิณมา รวมทั้งไปอ้างกับคนทั่วโลกด้วย แต่ประเด็นก็คือ การอ้างว่าพลเอกเปรมวางแผนรัฐประหารนั้น เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยมีใครยืนยันได้ มองในมุมหนึ่งก็เป็นศาลเตี้ยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ เคยมีโอกาสแก้ตัวเลย แต่การพูดย้ำกันเป็นร้อยๆพันๆ ครั้งโดยทักษิณกับสมุน ก็ทำให้คนหลงเชื่อได้ แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนเกลียดพลเอกเปรมทั้งที่ไม่รู้ความจริง และไม่เป็นธรรมกับพลเอกเปรมที่ ได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิต มากกว่าทักษิณหลายเท่า และพลเอกเปรมก็ไม่เคยตอบโต้หรืออธิบายหรือแก้ตัวเลย สังคมไทยเราปล่อยให้ คนดีถูกทำร้ายจิตใจโดยไม่ช่วยเหลือเห็นใจกันเลย น่าเศร้า การอธิบาย เรื่องนี้ให้มวลชนเสื้อแดงทราบ คงต้องใช้วิธีตั้งคำถามให้พวกเขาสำรวจจิต ใจของตัวเองอาจจะพอได้ *ทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์*** อันนี้เป็น ข้อกล่าวหาที่แก้ง่ายมาก การที่ทหารสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลนั้น เกิด ขึ้นหลังจากการล้มของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 รัฐบาล และมีความขัดแย้ง สูงในบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วแล้ว บ้านเมืองสงบขึ้นจริงอยู่ระยะหนึ่ง ทำ ให้การที่ฝ่ายทหารสนับสนุนการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนั้น เป็นสิ่งที่ พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อความสงบของบ้านเมืองจริง หลังจากที่ สามารถฟันฝ่าการเผาเมืองของทักษิณเมื่อเมษา 2552 มาได้ ปัจจุบันที่ ทักษิณและ นปช.สามารถล่อลวงคนให้หลงเชื่อได้จำนวนมาก จึงทำให้เกิดความ วุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีก และโดยที่รัฐบาลไม่ได้เฉลียวใจระวัง ป้องกัน ต่อต้านมาตั้งแต่ต้น ในขณะนี้จึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างลำบากอีก การ อธิบายเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงตั้งคำถามให้กับ นปช.และพรรคเพื่อไทย ว่า เหตุผลที่ทหารไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพราะอะไร เพราะพรรคเพื่อไทยเป็น เครื่องมือของทักษิณ เป็นพรรคที่เอาความเท็จไปพูดในสภา เช่นกรณีกล่าวหา ว่าทหารฆ่าคนตายช่วงสงกรานต์ 2552 หรือกรณี clip เสียงที่ทำขึ้นมาใส่ร้าย อภิสิทธิ์ แล้วเอาไปพูดออกอากาสในสภาราวกับเป็นเรื่องจริง เพราะต้องการสร้าง เรื่องใส่ร้ายให้คนเกลียดชังรัฐบาล แล้วจะให้ทหารสนับสนุนได้อย่างไร ทุก เรื่อง ทักษิณกับสมุน ก็เอาความเท็จไปหลอกลวงมวลชนของตัวเองทั้งนั้น *เศรษฐกิจ แย่ลง สู้สมัยทักษิณไม่ได้*** เรื่องนี้ชี้แจงง่ายที่สุด เมื่อวันก่อน รมว.คลังได้แสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่า รัฐบาลนี้ มีผลงานเหนือ รัฐบาลทักษิณในทุกหัวข้อ ทั้งที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และถูก ทักษิณเตะตัดขาตลอดเวลา ทักษิณพูดออก วิดีโอลิงค์ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจแย่ ซึ่ง เป็นความเท็จ เพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ความจริงก็คือทักษิณกลัวว่า หากไม่รีบล้มรัฐบาล แล้วเลือกตั้งตอนนี้ คนจะหันไปนิยมรัฐบาลมากขึ้น จึงต้องทำลายทุกวิถีทาง รวมทั้งก่อเรื่อง ให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนด้วย ซึ่งจะเห็นเล่ห์กลของทักษิณอย่างชัดเจน ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียง ส่วนน้อยเท่านั้น เพียงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษิณ กับ นปช. และ ส.ส.เพื่อไทย ร่วมมือกันให้ความเท็จ โดยจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อ หลอกลวงมวลชนของตัวเองให้ออกมาเคลื่อนไหวและทำตามที่บงการ แม้จะให้ทำ สิ่งที่ผิดกฏหมายก็ตาม หวังว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสำคัญของการช่วย กัน เปิดโปงการล่อลวงของทักษิณกับสมุน ในทุกเรื่องทุกมุม ทุกวงการ ทุกเวที จนกลายเป็นกระแสนำของสังคม มีคนช่วยกันเปิดโปงเป็นหมื่นๆ คน ร้อยๆ กลุ่ม รัฐบาลทำคนเดียวไม่พอ แต่รัฐบาลต้องเป็นตัวนำ และผู้คนสนับสนุนช่วยกัน ถ้าทำใน ระดับที่เล็กกว่านี้ อาจจะไม่เพียงพอ ที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่อ ชาติในครั้งนี้ *สรุปส่งท้าย*** สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจ ของทักษิณ กับสมุน คือการล่อลวงที่มีการวางแผนและดำเนินการ อย่างเป็น ระบบ ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องเท็จที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้น ได้มีการวางแผนประดิษฐ์ออกแบบมา อย่างรอบคอบ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างที่เห็นกันอยู่ หากเราไม่ทำลายความสามารถในการ ล่อลวงนี้ เราจะไม่มีวันชนะทักษิณกับสมุนได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าเราจะใช้ วิธีอื่นใดอีกเท่าไรก็ตาม และความแตกแยกในบ้านเมืองก็จะดำรงอยู่ และอาจ จะขยายต่อไปอีก เพราะคนจะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ต่างฝ่ายก็จะเชื่อ ตามข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองเสพอยู่ และเราจะไม่มีวันก้าวล่วงความแตกแยก นี้ไปได้ ต่อให้ทักษิณตายลงไปก็ตาม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 มกราคม 2554, 13:33:37 รายละเอียด แถลงข่าว 2/2554
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 กรณีการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชาจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิจารณาพิพากษาตัดสินลงโทษคนไทยนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นดังต่อไปนี้ 1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นเขตอพยพค่ายหนองจาน ที่ชาวกัมพูชาได้อพยพหลบหนีสงครามภายในประเทศ มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2522 และรัฐบาลไทยได้ตระหนักดีว่ามีการมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงมีการล้อมรั้วค่ายอพยพดังกล่าวให้เลยเส้นเขตแดนเข้ามาในประเทศไทย โดยมีจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้ขุดเอาไว้ท้ายหมู่บ้านเพื่อใช้สำหรับเลี้ยงดูชาวอพยพนั้นอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยได้ปรากฏหลักฐานและพยานมามากมายที่ยังมีชีวิตอยู่ในยุคนั้นได้ยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวเป็นผืนแผ่นดินไทย เช่น อดีตทหารไทย, อดีตเจ้าหน้าที่กาชาดสากล, อดีตข้าราชการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยที่รับจ้างขุดสระน้ำ ฯลฯ ดังนั้นจากหลักฐานและพยาน 7 คนไทยที่เดินไปในบริเวณดังกล่าวทั้งๆที่ยังเดินไปไม่ถึงสระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้สร้างเอาไว้ในประเทศไทยถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีความปลอดภัยจากสงคราม จึงย่อมถือว่า 7 คนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้เอื้ออำนวยช่วยเหลือ 7 คนไทยในการชี้แจงประเด็นที่เป็นคุณและข้อเท็จจริงในกรณีนี้ให้กับกัมพูชาแต่ประการใด 2. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตรวจสอบจากพยานบุคคลและเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินบริเวณหลักเขต 46-47 พบว่า 7 คนไทยยังอยู่ในดินแดนไทย ซึ่งชาวบ้านเจ้าของที่ดินหลายรายซึ่งสูญเสียที่ทำกินจากกรณีที่เขมรมาอพยพอาศัยอยู่ในบริเวณหลักเขตที่ 46 - 47 ได้ให้ปากคำตรงกันถึง 2 ครั้ง คือวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554 และวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ยืนยันว่ากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ประเภท ส.ค.1 ของราษฎรไทยอยู่ในบริเวณสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ที่ดินของนายหมา อันสมศรี) และรวมถึงทิศตะวันออกของสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ(ที่ดินของนายบุญจันทร์ เกษธาตุ) ตั้งแต่เมื่อ 56 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2498) ทั้งนี้เจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวได้ยืนยันด้วยว่าการลากเส้นปฏิบัติการตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอ้าง และพยายามให้กรมที่ดินสร้างหลักฐานนำที่ดินชาวบ้านไปวางในหลังแนวเส้นปฏิบัติการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ใช่เส้นเขตแดนตามหลักเขตเดิมตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงอาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนและอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119, 120 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต จากพยานและหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหลักเขต 46 และ 47 ที่ใช้อ้างในการปฏิบัติการในปัจจุบันนั้นมีการถูกเคลื่อนย้ายมาแล้วในช่วงที่ชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยมาอยู่ในประเทศไทย เอกสารสิทธิ์ที่ทำกินและการชี้จุดบริเวณที่ดินของชาวบ้านหลายรายยังแสดงให้เห็นว่าเส้นทางเดินของ 7 คนไทยซึ่งยังไม่ถึงสระน้ำขององค์การสหประชาชาตินั้นย่อมอยู่ในดินแดนไทย แต่รัฐบาลไทยก็ไม่เคยให้การสนับสนุนเพื่อใช้ข้อมูลที่เป็นคุณเหล่านี้กับ 7 คนไทย เช่นกัน 3. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่มีมาตรการตอบโต้กดดันใดๆที่เป็นรูปธรรมเพื่อหยุดยั้งการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนที่ประเทศไทยซึ่งยังมีข้อพิพาทอยู่ ตามที่ได้ประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ในเวลานั้นว่า “ไม่ว่ากรณีจับกุมจะเกิดขึ้นที่ฝั่งใดก็ตาม เราเห็นว่าบุคคลทั้ง 7 คน ควรจะได้รับการปล่อยตัวทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางฝ่ายนโยบายทั้งสองฝ่ายได้เคยคุยกันว่ากรณีที่เกิดปัญหาในชายแดนลักษณะนี้โดยเฉพาะไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทั้ง 7 คน มีอาวุธ ไม่ควรที่จะมีการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการของศาล” ดังนั้นกรณี 7 คนไทยที่เดินทางไปในบริเวณดังกล่าวซึ่งปราศจากอาวุธแล้วยังมีการปล่อยให้กัมพูชาแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธและศาลของกัมพูชาในดินแดนไทยหรือดินแดนพิพาท ถือว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลง แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ได้มีมาตรการตอบโต้เพื่อให้กัมพูชาหยุดการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนไทยได้แต่ประการใด 4. นักการเมืองและข้าราชการ ให้ข้อมูลให้เป็นโทษกับคนไทยมาโดยตลอด โดยมีคำสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว รวมถึงข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ซึ่งระบุว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชาแล้ว หรือพูดโน้มน้าวให้คนไทยยอมรับและเคารพอำนาจศาลกัมพูชา หรือเจรจาขออำนาจศาลกัมพูชาให้เร่งรัดคดีความ ล้วนแล้วแต่เป็นการยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และพูดให้เป็นโทษกับ 7 คนไทยทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหลักเขตที่ 46 และ 47 ยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างไทย-กัมพูชาว่าหลักเขตเดิมอยู่ในบริเวณใด และยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 ถือเป็นการกระทำที่ให้โทษกับ 7 คนไทยและเป็นผลร้ายทำให้ราชอาณาจักรหรือพื้นที่พิพาทตกอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐกัมพูชา อันอาจเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119,120,128,129 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้แต่การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 ว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในแนวปฏิบัติการของไทยนั้น โดยไม่ชี้แจงหรือโต้แย้งเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นคุณต่อ 7 คนไทย ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยมเสียต่อศักดิ์ศรีประเทศชาติในการที่ทำให้กัมพูชาสามารถใช้กรณีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือดินแดนไทยหรือพื้นที่พิพาทได้ต่อไปทั้งกับ 2 คนไทยที่ยังเหลืออยู่ในการพิจารณาคดีความในชั้นศาลกัมพูชา และคนไทยอื่นๆที่อาจจะถูกจับกุมในพื้นที่ลักษณะเดียวกันต่อไปในอนาคต 5. รัฐบาลไทยไม่สามารถแยกเรื่องเขตแดนกับการลงโทษ 7 คนไทยได้ เพราะคดีนี้เป็นการลงโทษคนไทยที่ปราศจากอาวุธจากการอ้างมูลฐานความผิดว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนกัมพูชา ดังนั้นหากรัฐบาลไทยทำได้เพียงแค่โต้แย้งหรือประท้วงคำพิพากษาของศาลกัมพูชาว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเส้นเขตแดนตามคำพิพากษา ก็เป็นเพียงการเยียวยาย้อนหลังที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ประเทศไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลบนดินแดนที่เป็นประเทศไทยหรือยังพิพาทอยู่” ซึ่งเป็นผลทำให้ 5 คนไทยต้องถูกพิพากษาลงโทษโดยศาลกัมพูชาอย่างไม่เป็นธรรมที่ผ่านมา และมีผลกระทบอย่างยิ่งกับ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ในการพิจารณาของศาลกัมพูชาย่อมได้รับผลร้ายมากยิ่งขึ้นเพราะได้ถูกข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่เป็นธรรมว่าจารกรรมข้อมูลจากมูลฐานความผิดคดีการล้ำเขตแดนกัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไทยต่อสู้และกดดันว่าศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน 7 คนไทยในดินแดนไทยที่พิพาทอยู่ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ย่อมไม่สามารถโดนข้อกล่าวหาจารกรรมได้ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลับกล่าวว่าเป็นคดีที่ผูกพันเฉพาะคู่ความ โดยไม่ปฏิเสธ โต้แย้ง กดดัน หรือการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในการพิพากษาลงโทษกับ 7 คนไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ย่อมเป็นผลทำให้ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ต้องตกอยู่ในสถานภาพที่อันตรายมากยิ่งขึ้น 6. ประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณหลักเขต 46, 47 ไปแล้วโดย พฤตินัยไปแล้ว เพราะ MOU 2543 โดยดูจากวีดีโอเส้นทางเดินของ 7 คนไทย จะพบว่าราษฎรไทยเข้าไปทำกินในที่ดินของตัวเองไม่ได้เพราะมีแต่ชุมชนและทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทยฝ่ายเดียว โดยเงื่อนไข MOU 2543 ระบุข้อ 5 ว่า ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากการเจรจาตกลงตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการไม่ได้ กัมพูชาก็ได้อาศัยเงื่อนไขดังกล่าวในการทำให้การเจรจาไม่แล้วเสร็จไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ชาวกัมพูชาที่อพยพมาอาศัยอยู่ในที่ดินทำกินของไทยสามารถยึดครองและขยายชุมชนได้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา นอกจากนี้ยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชา โดยตำรวจตระเวนชายแดนไทยไม่สามารถเข้าไปโดยติดอาวุธได้ และยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในบริเวณดังกล่าว จึงย่อมเท่ากับว่าประเทศไทยได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยในบริเวณดังกล่าวไปแล้วในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน 7. ความอ่อนแอของรัฐบาลที่ยังแก้ไขไม่ได้กระทั่งแม้ปัญหาป้ายหินแกะสลักกล่าวร้ายประเทศไทยอันเป็นเท็จบนเขาพระวิหารว่าทหารไทยได้รุกล้ำเขตแดนกัมพูชาในบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา เป็นปรากฏการณ์สะท้อนความล้มเหลวของ MOU 2543 เพราะในเงื่อนไขข้อ 8 ของ MOU 2543 ได้ระบุว่าในกรณีที่มีการพิพาทให้ใช้วิธีการปรึกษาหารือโดยสันติวิธี โดยไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันได้ ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบเหิมเกริม รุกล้ำ ยึดครองดินแดนไทย สร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยในทางปฏิบัติ และกล่าวอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งถนนอ้อมจากฝั่งกัมพูชารุกเข้ามาในฝั่งไทยถึงตัวปราสาทพระวิหาร สร้างวัด สร้างตลาด สร้างชุมชน สร้างแผ่นหินกล่าวร้ายประเทศไทย และเชิญธงชาติกัมพูชาขึ้นสู่เสาในวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราฝ่ายเดียว โดยที่ทหารไทยได้ปรับกำลังถอนตัวออกจากวันแก้วสิขะคีรีสะวาราแล้ว ย่อมถือว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณดังกล่าวแล้ว 8. หากยกเลิก MOU 2543 เราก็จะสามารถรักษาอธิปไตยไทยได้เหมือนดังที่บรรพบุรุษ เคยทำได้สำเร็จมาตั้งแต่ในอดีต และไม่จำเป็นต้องทำสงครามเสมอไป เพราะอำนาจต่อรองทางแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยสูงกว่ากัมพูชา สามารถนำไปสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ เช่น MOU 2554 ที่ยุติเงื่อนไขความเสียเปรียบทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 24 มกราคม 2554 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2554, 23:31:13 วิธีนำเสนอ...สอบตก เนื้อหา? ต้องสอบซ่อม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ /เขียนโดย สุทธิชัย หยุ่น ผมนั่งดูนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกทีวีชี้แจงเรื่องคนไทย 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับไป จน 5 คนได้กลับบ้านเมื่อวันเสาร์ อีก 2 คนยังรอคำตัดสินของศาลที่พนมเปญ สรุปได้ว่าใครที่เป็นคนตระเตรียมงานออกอากาศครั้งนี้ "สอบตก" แน่นอน เนื้อหาและสาระที่คุณอภิสิทธิ์พูดนั้นก็ "ไม่ผ่าน" ถ้าเป็นนักเรียนครูก็ต้องให้ไปทำการบ้านมา "สอบซ่อม" ใหม่ เพราะฟังไม่รู้ว่าตกลงนายกฯ ไทยบอกว่าทั้ง 7 คนนี้ได้ทำอะไรผิดกฎหมายของกัมพูชาหรือไม่ตรงไหน? วิธีการนำเสนอด้วยการเอาแผนที่ใหญ่มากางเพื่อให้นายกฯ ชี้แจงว่าคนไทยทั้งเจ็ดเดินจากจุดไหน ผ่านจุดไหน และถูกจับจุดไหนนั้นเป็นประเด็นน่าสนใจ แต่แผนที่ที่นำมาออกอากาศนั้นไม่ชัดเจน ตัวหนังสือก็อ่านไม่ออก เส้นประ เส้นโค้งดูไม่รู้เรื่อง ยิ่งมีการเปิดวีดิโอ 23 นาทีอยู่มุมซ้ายของจอแบบ fast forward พร้อมๆ กับที่นายกฯ พูดด้วยแล้ว ก็ยิ่งดูไม่รู้เรื่อง เพราะนายกฯ ดูเหมือนจะภูมิใจนำเสนอว่ามีทั้งวีดิโอ และภาพต่อเนื่องที่แสดงถึงจุดที่คนไทยทั้ง 7 ปรากฏตัวในจอ ก็ยิ่งสับสน ขนาดผมสนใจจ้องจอเพื่อพยายามดูทั้งสามกรอบที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันขณะที่นายกฯ พูด ผมยังงุนงง เกิดคำถามในใจระหว่างที่นายกฯ ชี้แจง ก็ไม่ได้คำตอบ...เผลอนิดเดียว นายกฯ สรุปว่า “คนไทยทั้ง 7 ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปในเขตนั้น” แน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่หน้าจอทีวี เมื่อได้ยินอย่างนั้น ต้องถามต่อว่า “ไม่ได้ตั้งใจ แล้วไง?” ทำเนียบรัฐบาลทั้งทำเนียบ หาคนที่ระดมคนเก่งทางด้าน presentation พร้อมกราฟฟิกทันสมัย ให้ดูง่าย และชี้ลงไปทีละจุดของเหตุการณ์ไม่ได้แล้วกระนั้นหรือ? เหตุการณ์ที่สลับซับซ้อนกว่านี้มากมายหลายเท่า เขายังสามารถทำภาพเคลื่อนไหว “เสมือนจริง” ได้อย่างน่าดูน่าติดตาม กว่าที่ผู้นำรัฐบาลอุตส่าห์ให้ทีวีทุกช่อง ยกรายการปกติเพื่อถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้ว่านายกฯ ปกป้องการทำงานของรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างไร ยิ่งรู้ว่ารายการ 37 นาทีนี้ นายกฯ ได้อัดเทปเอาไว้ล่วงหน้า ยิ่งไม่น่าให้อภัยกับทีมงาน ที่ตระเตรียมรูปแบบและหน้าตาของการนำเสนอ ส่วนเนื้อหาที่นายกฯ อธิบายนั้น สิ่งที่สร้างคำถามใหม่สำหรับผมคือ คำว่า “แนวเขตปฏิบัติการ” ที่นายกฯ ใช้ซึ่งแตกต่างไปจาก “เส้นเขตแดน” นายกฯ บอกว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยไปตีเส้นพิกัด ณ จุดที่คนไทยถูกจับ และไปทาบลงบนแผนที่กับเส้นตรง ที่ลากระหว่างหลักเขตที่ 46 กับ 47 แล้ว ยอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 ไปอยู่ “แนวเขตปฏิบัติการ” ของกัมพูชา แต่นายกฯ ยังยืนยันว่าคนไทยไม่ได้ข้ามเขตแดนเข้าไปกัมพูชา เพราะบริเวณนั้นยังมีปัญหาว่าสองประเทศ ยังไม่ได้ตกลงเรื่องเส้นแบ่งเขต มีทั้งที่ชาวกัมพูชาหนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่และชาวบ้านคนไทยมีเอกสาร น.ส.3 แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินทับซ้อนกันอยู่บริเวณนั้น ถ้าจำได้ ทันทีที่คนไทยทั้ง 7 ถูกจับ โฆษกของทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศไทย ออกมายอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 ได้เข้าไปใน “เขตของกัมพูชา” ในขณะที่คนไทยที่คัดค้านรัฐบาลไทยเรื่องนี้ยืนยันว่า คนไทยทั้ง 7 ไม่ได้เข้าไปในเขตของเขมร ก่อนถึงคืนวันอาทิตย์ที่นายกฯ ออกทีวีชี้แจงนั้น ไม่มีใครในรัฐบาลไทยแยกแยะให้คนไทยเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “แนวเขตปฏิบัติการ” กับ “เส้นแบ่งเขตแดน” ของสองประเทศ ดังนั้น เมื่อนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกมาบอกว่าคนไทยกลุ่มนี้ได้ข้ามเข้าไปใน “เขตปฏิบัติการ” ของกัมพูชาจริง แต่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชาว่าคนไทยทั้ง 7 ได้ “เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” ซึ่งแปลว่าเขาตัดสินว่าตรงนั้นคือเขตแดนของเขมร ไม่ใช่ของไทย จึงต้องถือว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนคนไทยทั่วไปมาตลอด เพราะหากเป็นแค่การข้ามไปมาระหว่าง “แนวเขตปฏิบัติการ” ระหว่างสองประเทศ ก็ควรที่รัฐบาลไทยจะต้องยืนยันตั้งแต่แรกว่ารัฐบาลของนายกฯ ฮุน เซน จะให้อัยการฟ้องคนไทยทั้ง 7 ให้ขึ้นศาลไม่ได้ เพราะคนไทยไม่ได้ละเมิดเส้นชายแดน หากแต่เพียงเข้าไปเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างสองประเทศในบริเวณที่ยังหาข้อตกลงกันไม่ได้ จึงเรียกบริเวณนั้นว่า “เส้นแบ่งในแง่ปฏิบัติ” เท่านั้น เพราะนายกฯ ก็ยอมรับระหว่างออกทีวีตอนหนึ่งขณะที่ชี้ไปที่เส้นประสีขาวว่า “...ความจริงเส้นนี้ก็ยังเป็นที่โต้แย้งกันว่าเป็นเส้นเขตแดนหรือไม่?” และ “ในเมื่อเส้นเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ... ทั้งสองฝ่ายก็อย่าได้ (เอาคนของอีกฝ่ายหนึ่ง) ขึ้นโรงขึ้นศาล...” ข้อผิดพลาดของรัฐบาลไทยหลังจากที่คนไทยกลุ่มนี้ถูกจับคือการออกมาทำนองยอมรับว่า พวกเขาได้ข้ามเขตแดนเข้าไปกัมพูชา ไม่ได้อธิบายว่าเหตุนี้เกิดในบริเวณที่ “ยังไม่มีข้อยุติในเรื่องเส้นเขตแดน” เพราะหากข้อเท็จจริงนี้เป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่แรก คนไทยทั้งประเทศก็จะรู้ว่าฮุน เซน กำลังทำกับ 7 คนไทยนี้ ผิดแผกไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำกับคนไทยและเขมรอื่นๆ ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน ฮุน เซน อ้างไม่ได้ว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของศาลเขมร เพราะตำรวจและอัยการที่จับและตั้งข้อหาคนไทยทั้ง 7 นั้น อยู่ใต้การบังคับบัญชาของนายกฯ กัมพูชา แน่นอนหากตำรวจและอัยการกัมพูชาไม่ฟ้อง เพราะรู้ว่ารัฐบาลไทยจะไม่มีวันยอม เรื่องราวเมื่อวันที่ 29 ธันวาฯ ก็อาจจะไม่จบลงที่คุกเพรย์ซอว์ เพราะแม้นายกฯ ไทยวันนี้จะบอกว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลเขมร ในการระบุเส้นแบ่งชายแดนของสองประเทศ ก็ไร้อำนาจต่อรองทางการเมืองไปมากโขแล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2554, 09:47:20 พธม.ประกาศยกระดับ ไล่ อภิสิทธิ์-ครม.ทั้งคณะ หลังล้มเหลวในการบริหารประเทศทุกด้าน
เพื่อเปิดโอกาสคณะบุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่ เวลา 20.26 น.แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพธม. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์พธม.เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีทั้งคณะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบจากการบริหารประเทศที่ล้มเหลว นายปานเทพ ได้เป็นตัวแทนแกนนำพธม.ในการอ่านแถลงการณ์การฉบับที่ 1/2554 เรื่อง ขอฉันทานุมัติประชาชนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า การที่พธม.ได้ใช้สิทธิ์การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ 25 ม.ค.เพื่อทำหน้าที่รักษาชาติ ปกป้องประเทศ และผลประโยชน์ของชาติตามมาตรา 80 ในระหว่างการชุมนุมได้ปรากฏหลักฐานว่ารัฐบาลไทยได้ปฎิเสธการปฎิบัติตามข้อเรียกร้องของพธม.มาโดยตลอด และรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาการถูกละเมิดอธิปไตยแต่อย่างใด เป็นที่ประจักษ์แล้วรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทำให้กัมพูชายึดครองดินแดนไทยได้อย่างไม่มีกำหนดเวลา คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสมคบกันทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทยตกอยู่ภายใต้ราชอาณาจักรกัมพูชา การกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายศักดิ์ศรีประเทศไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 2 ปีได้ปรากฏข้อมูลชัดแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้มีพฤติกรรมบริหารชาติบ้านเมืองรุนแรงที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้โดยปรากฏข้อมูลว่าทุจริตจากงบประมาณแผ่นดินทำให้ประเทศชาติเสียหาย 2 แสนล้านบาทต่อปีตามการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และองค์กรอื่นๆ นอกจากการทุจริตจากโครงการขนาดใหญ่แล้วยังมีการทุจริตจากสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชนด้วย อาทิ ข้าว น้ำมันปาล์ม ทำให้เกิดสภาวะสินค้าราคาแพง ทำร้ายประชาชนยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ ถือเป็นความผิดร้ายแรง แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเพิกเฉยไม่ร้อนใจต่อความรู้สึกของประชาชน และไม่มีสัจจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชน เช่น การเคยรับปากจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญแต่หากจะแก้ไขต้องมีการทำประชามติ แต่ถึงที่สุดก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่มีการทำประชามติแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการนำบันทึกข้อตกลงเจบีซีเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาทั้งที่เคยรับปากว่าจะไม่เอาเข้ามาพิจารณา รวมไปถึงการเคยบอกว่าจะสะสางคดีการลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้แล้วเสร็จภายในปี 2552 แต่ก็ไม่สามารถทำได้ รวมทั้งมีการขึ้นเงินเดือนให้กับนักการเมืองด้วยกันเองแบบไม่มีคุณธรรม ดังนั้น จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯอีกต่อไป จากการที่รัฐบาลได้บริหารประเทศด้วยความล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของชาติและเกิดการทุจริตมากมาย ถือว่าเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงในฐานะเป็นผู้นำประเทศชาติละเมิดแม้กระทั่งกฎเหล็กของตัวเองแบบเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า นายอภิสิทธิ์ จึงเป็นอุปสรรคและเป็นปัญหาต่อการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองอีกทั้งเป็นปัญหาต่อการรักษาประโยชน์ของชาติ พธม.เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ควรแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความล้มเหลวในการบริหาราชการ ที่เป็นความรับผิดชอบที่เหนือกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ด้วยการให้นายอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เมื่อฉันทานุมัติของพี่น้องประชาชนเป็นเอกฉันท์ให้นายกฯต้องลาออกแล้ว ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ควรจะเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ เข้ามาแก้ไขการทุจริตให้หมดไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อ่านแถลงการณ์เสร็จ ในเวลา21.00น.พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น1 ได้เดินทางมายังหลังเวทีการปราศรัย โดยกล่าวกับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพธม.และพล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ ว่า มาเพื่อตรวจความเรียบร้อยนอกจากนี้ในรัศมี 400 เมตรรอบพื้นที่การชุมนุมก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมเข้ามาดูแลความเรียบร้อยเช่นกัน ขณะที่ พล.ต.จำลอง ระบุว่า พธม.จำเป็นต้องชุมนุมต่อไปเพราะไม่มีทางเลือก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2554, 18:50:42 นางอับปรีสิทธิ์
โดย คำนูณ สิทธิสมาน 6 กุมภาพันธ์ 2554 11:57 น. manager online วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน หรือก่อนหน้านั้น กิจกรรมหนึ่งที่จะเป็นไฮไลท์และเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์โดดเด่นเหนือก็คืองานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่แต่เพียงผลการแข่งขัน หากแต่เป็นขบวนพาเหรดและการแปรอักษรล้อเลียนสังคมและการเมือง แต่เมื่อสังคมไทยพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปมาพักใหญ่แล้วด้วยหลายหลากเหตุผล ในระยะหลัง ๆ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์จึงไม่ค่อยเป็นจุดสนใจเท่าที่ควร รวมถึงครั้งที่ 67 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เหมือนเดิม ก่อนหน้าก็ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของคนทั่วไปนัก แต่ปรากฎว่าเมื่องานเริ่มต้นขึ้นมากลับผิดคาด ขบวนพาเหรดล้อการเมืองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นข่าวฮ็อตในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คทันทีตั้งแต่บ่าย ภาพฮิตที่แพร่กระจายไปทั่วก็คือภาพนี้ครับ.... (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lg727i-cdbebc.jpg) มีคำบรรยายเพื่อความเข้าใจดังนี้.... นางอับ(ปรี)สิทธิ์ “ขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยยืนกรานที่ใช้ MOU43 ในการเจรจาตกลงข้อพิพาทไทย-กัมพูชา จิตใจของนายกฯได้กลายเป็นเขมรไปแล้วกึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ร่างกายท่านนายกฯเป็นรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ประจำโบราณสถานเขมรตลอดทั่วร่าง คงเหลือไว้เพียงใบหน้าอันหล่อเหลา.... “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เป็นบันทึกที่ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบทั้งเรื่องดินแดนและผลประโยชน์ ดังเห็นได้จากกรณี 7 คนไทยที่โดนจับกุมข้อหาบุกรุก แต่นายกฯกลับผลักไสให้ไปสู่กระบวนกรยุติธรรมของกัมพูชา นั่นเท่ากับการถือ MOU43 ข้อตกลงที่ส่อเค้าให้ไทยเสียดินแดน .... “อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า ‘หน้าไทยใจเขมร’ ได้อย่างไรล่ะท่านนายกฯ !” ความที่โต๊ะข่าว Campus ของ Manager Online เผยแพร่ภาพและข่าวนี้เป็นรายแรก ๆ ทำให้เกิดข่าวเล่าลือว่าทีมงาน “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ทำขึ้นเพื่อล้อเลียนนายกรัฐมนตรี บางคนก็คาดเดาว่าเป็นฝีมือของทีมงาน “ผู้จัดกวน” ไปโน่น อาจจะเพราะบังเอิญวันเสารที่ 5 มกราคม 2554 เป็นวันนัดหมายสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย หามิได้ครับ ! เป็นฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เนื้อ ๆ จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับคณะที่ต่อสู้เรื่องนี้ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำเนียบรัฐบาล หรือบ้านพระอาทิตย์ อย่างน้อยก็เท่าที่ตรวจสอบกันในเบื้องต้นอย่างกว้างขวางพอสมควร ในฐานะเลือดเหลือง-แดงคนหนึ่งก็อดปลื้มใจไม่ได้ ! เพราะก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีคนปรามาสว่าคนที่คัดค้านรัฐบาลในเรื่อง MOU 2543 นี้มีไม่กี่คน ไม่กี่กลุ่ม ขณะที่คนทั่วไปไม่ใส่ใจ เพราะเป็นเรื่องเข้าใจยาก เห็นว่าควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และโลกยุคนี้เป็นโลกยุคไร้พรมแดน ความรักชาติในวันนี้ถูกประณามว่าเป็นการคลั่งชาติ จะไม่ให้ปลื้มใจได้อย่างไรล่ะในเมื่อนักศึกษาธรรมศาสตร์ให้ความสนใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ นักศึกษาที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของบ้านนี้เมืองนี้มานานแล้ว ไม่เหมือนในช่วงยุค 14 ตุลาคม 2516 หรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป พลังรักชาติของนักศึกษาในอดีตนั้นแสดงออกในวาระสำคัญ ๆ ของบ้านนี้เมืองนี้มาโดยตลอด เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รักษาอธิปไตยเหนือดินแดนก็มีมาตั้งแต่ยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา ยุคต่อสู้กัมพูชาในศาลโลก หรือล่าสุดก็เป็นเรื่องพิทักษ์รักษาอธิปไตยในทางเศรษฐกิจกรณีต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นและรณรงค์ให้ใช้สินค้าไทยโดยเฉพาะผ้าดิบในช่วงปี 2512 ท่านนายกฯไม่น่าจะพอใจนักที่โดน “เล่นแรง” ขนาดนี้ ! แต่ในฐานะที่ท่านก็เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่การบ้านการเมืองวิกฤต และชาวธรรมศาสตร์เริ่มเคลื่อนไหวมีบทบาทสำคัญอีกครั้งหนึ่ง มีการชุมนุมที่ลานโพธิ์ที่ถ้าจำไม่ผิดผมก็ได้รู้จักลีลาอาจารย์หนุ่มคณะเศรษฐศาสตร์ที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ครั้งนั้นแหละ ประมาณปลายปี 2534 ท่านนายกฯควรจะทำใจให้ว่างทำจิตให้สงบเพื่อทบทวนเรื่อง MOU 2543 อีกครั้งหนึ่ง เพราะที่ท่านโดน “เล่นแรง” เมื่อวันเสาร์ ไม่ใช่ฝีมือปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่ใช่ฝีมือเทพมนตรี ลิมปพยอม และไม่ใช่ฝีมือประพันธ์ คูณมี แต่เป็นศิษย์แห่งสถาบันการศึกษาที่ท่านเคยสอนอยู่ เคยได้ยินคำ “กลับใจคือฟากฝั่ง” ไหมครับ ! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 16:51:44 ด่วน...อาจมีการลอบวางเพลิงสถานที่สำคัญๆในกรุงเทพมหานคร...ช่วยส่งต่อเมล์ให้มากที่สุด
https://mail.google.com/mail/?shva=1#inbox/12dff323a29dde06 (https://mail.google.com/mail/?shva=1#inbox/12dff323a29dde06) from พีรวัศ กี่ศิริ <peerawas.keesiri@gmail.com> to date 7 February 2011 15:16 subject ด่วน...อาจมีการลอบวางเพลิงสถานที่สำคัญๆในกรุงเทพมหานคร...ช่วยส่งต่อเมล์ให้มากที่สุด mailed-by gmail.com Signed by gmail.com hide details 15:16 (1 hour ago) กรณีพิพาทเขมร เป็นเรื่องใกล้ตัว อย่าละเลยเด็ดขาด กรณีพิพาทปัญหาชายแดนไทยเขมรนั้น ไม่ใช่เรื่องแค่ชายแดน แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวคนเมืองทุกคน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร จากการที่ปัญหาชายแดนไทยได้ทวีความขัดแย้งขึ้นเป็นลำดับ จนล่าสุดมีการปะทะกันอย่างหนัก เป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาล้มตายและสูญเสียอาวุธหนักไปจำนวนมาก จนอาจบานปลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างไทยกับกัมพูชาไทยนั้น ล่าสุดมีกระแสข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า อาจมีการลอบวางเพลิงในเขตสำคัญๆของกรุงเทพมหานครตั้งแต่คืนนี้ (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) เป็นต้นไป หนทางเดียวที่จะป้องกันวินาศภัยของ ส่วนรวมได้คือ ให้ทุกคนเอาใจใส่ สอดส่องดูแล เช่นเดียวกับประชาชนในภาคใต้ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่, เทศบาลเมืองเบตง ที่ได้จัดตั้งอาสาสมัครจากประชาชนขึ้นภายใต้โครงการตาสับปะรด ผลัดกันเข้าเวรเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชนของตนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่หวังผลตอบแทน ในสถานการณ์เช่นนี้หากหวังให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวอาจเสียหายได้ ช่วยกันส่งต่อเมล์ฉบับนี้ให้กว้างขวางที่สุด เป็นวิธีที่หยุดยั้งความเสียหายได้อย่างง่ายๆ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเมล์ฉบับนี้ถูกส่งต่อไปเป็นแสนๆล้านๆฉบับ หน่วยข่าวกรองของฝ่ายตรงข้ามต้องหยุดชะงักการคิดแผนร้ายอย่างแน่นอน อาสาประชา รักษาพระนคร เป็นเครือข่ายเพื่อปลูกจิตสำนึกใน การรับผิดชอบต่อส่วนรวม ในการป้องกันวินาศภัยของส่วนรวม ภายใต้คำขวัญ “สำนึกในหน้าที่ สร้างวิถีแห่งชุมชน อดทนเฝ้าสังเกต แจ้งเหตุและจดจำ” อ่านคุณสมบัติ ๔ ประการของโครงการตาสับปะรด บทเรียนล้ำค่าจากชายแดนใต้ ได้ที่นี่ http://web.me.com/prasarnmitr/bkk/bkk/Entries/2010/3/25_Day_of_longboarding.html (http://web.me.com/prasarnmitr/bkk/bkk/Entries/2010/3/25_Day_of_longboarding.html) ผู้รับผิดชอบต่อการกระจายอีเมล์ฉบับนี้คือ นายพีรวัศ กี่ศิริ <peerawas.keesiri@gmail.com (http://peerawas.keesiri@gmail.com)> ผู้ใดต้องการร่วมเครือข่าย หรือมีข้อเสนอแนะกรุณาส่งอีเมล์มาตามที่อยู่ข้างบนได้ครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 20:54:19
ช่วยกันดำเนินการตามที่คุณโสภณ นำมาบอก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 21:02:17 การเมือง : บทวิเคราะห์:กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 12:39 กลุ่มชุมนุมดาหน้าถล่ม-รัฐบาลกับทางหนีทีไล่ โดย : ประชุม ประทีป พันธมิตรฯ ยกระดับไล่"อภิสิทธิ์"พ้นนายกฯ ฝ่ายค้านจ่อยื่นซักฟอก โหวตวาระ3 แก้ไขรธน.อาจมีพลิก ที่สาหัสคือเขมรสอนมวย จะทุบหรือเอาหัวพุ่งชน แต่นี้ต่อไป เวทีชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะตะโกนไล่ "อภิสิทธิ์ ออกไป!" ตลอดการชุมนุม จากการขอมติที่ชุมนุมเมื่อค่ำเสาร์ 5 กุมภาฯ ที่ผ่านมา เป็นมติหลังจากประกาศให้เวลา 3 วัน เรียกร้อง 3 ข้อต่อรัฐบาล คือ ยกเลิกบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 2543, ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และผลักดันชาวบ้านและทหารกัมพูชาจากพื้นที่รุกล้ำดินแดนไทย จะบังเอิญหรือชะตาดล เป็นมติจากที่ชุมนุมอย่างคับคั่งจากการ “เชิญแขก”ก่อนวันเดียว จากเหตุยิงปะทะทหารไทยกับทหารเขมรที่ภูมะเขือ เขาพระวิหาร ทหารไทยบาดเจ็บ 8 นาย(ทหารเสียชีวิตอีก 1 นายวันที่ 5 ก.พ.) ชาวบ้านภูมิซรอลเสียชีวิต 1 คน บ้านเรือนไทย และที่ทำการอบต.เสาธงชัย เสียหาย ทำให้พันธมิตรฯ ชูขึ้นมากดดันรัฐบาลยิ่งขึ้น(ส่วนใครจะมองกลับหัวกลับหางก็ตามแต่) ที่จะหวังว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์” จะยืดไปจนใกล้หมดเทอมแล้วจึงยุบสภา ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์วาดหวัง ก็ดูจะยากแล้ว อีกทั้งเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ(มีสมัชชาประชาชนแห่งชาติ กับ กองทัพธรรมสันติอโศก) ชุมนุมกดดันรัฐบาลช่วยคนไทยที่ถูกจับและศาลกัมพูชาตัดสิน นายวีระ สมความคิด กับน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ในโทษอย่างร้ายแรง เดิมที “รัฐบาลอภิสิทธิ”ก็โดนชุมนุมขับไล่ตลอดจากเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ประเด็นเรียกร้องคือ ให้ได้ประกันตัวแกนนำเสื้อแดง และแนวร่วมที่ถูกจับคุมขัง ฟ้องศาลไทยเอาผิดรัฐบาลจากคำสั่งสลายการชุมนุม มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากไม่ได้ ก็ให้นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ยื่นร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี) เนเธอร์แลนด์ (30 ม.ค.2554) ซึ่งอยู่ระหว่างอัยการศาลไอซีซีพิจารณาคำร้อง คาดวาจะใช้เวลาตรวจสอบคำร้องประมาณ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย แนวทางต่าง - แนวร่วมไล่รัฐบาล "รัฐบาลอภิสิทธิ์" โดนไล่จากทุกกลุ่ม (ส่วนเสื้อหลากสียังไม่กล้าออกมาปกป้องรัฐบาล) 2 กลุ่มแรกนั้นจะอย่างไรก็เสมือนเนื้อเดียวกัน ยกเว้น นปช.ไม่ประกาศร่วมชุมนุมไล่รัฐบาลตามคำเชื้อเชิญของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายฯ 2 กลุ่มแรกแม้รายละเอียดลึกลงไปจะต่างกัน “สมณะโพธิรักษ์”ประกาศจุดยืนเพื่อคืนพระราชอำนาจ เพราะเชื่อว่าการเมืองในระบอบปัจจุบันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง (สอดคล้องกลุ่มธรรมยาตราฯ สมาน สีงาม) เฉพาะหน้าต้องหาทางช่วย “วีระ- ราตรี” ส่วนพันธมิตรฯ ไม่ชูประเด็นนี้ ก่อนนี้แค่ชู ม.7 เรียกร้องให้ใช้พระราชอำนาจ คนเคยเป็นแนวร่วมก็ถอนตัวไปไม่น้อย และเสื้อแดง นปช. ไม่คัดค้านอยู่แล้ว ถือว่าเสื้อแดงเริ่มฟื้นแล้ว ด้วยแรงพยาบาท บาดแผลจากถูกสลายชุมนุม และได้เดินในแนวทางคล้ายพันธมิตรฯ คือเดินสายเปิดเวทีให้ความรู้ แม้รัฐบาล(พยายามสร้างภาพ)ประนีประนอมกับเสื้อแดง ด้วยการให้ประกันตัวแกนนำบางคน และเสื้อแดงก็เลือกจะขึ้นภูดูเสือกัดกัน ตามที่ "ทักษิณ"เบรกไว้ ทางหนีทีไล่ของ"รัฐบาลอภิสิทธิ์" แม้ลึก ๆ รัฐบาลอภิสิทธิ์(โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล) อยากลากยาวไปได้ถึงขั้นจัดทำงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินฯ 2555 แต่มรสุมรุมเร้ากดดันอาจจะอยู่ไม่ถึง แต่ทำไมพรรคร่วมรัฐบาลอยากให้ลากยาว อย่างน้อยอย่าเร็วก่อนถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนนี้ อย่างน้อยอยากให้รัฐธรรมนูญ 2 ประเด็นผ่านไปวัดเกมโหวตในวาระสามเสียก่อน เพราะเกือบทั้งหมดนี้น้ำหนักกดดันจะไปลงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก ทั้งเรื่องทุจริตและส่อทุจริต, ปัญหาปากท้องชาวบ้าน(น้ำมันเชื้อเพลิงแพง, น้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชขาดตลาด, ชั่งไข่ขาย) รวมถึงล้มเหลวแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนนิยม โดยเฉพาะการเรียกร้องทวงดินแดน ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจอยู่ไม่มีเกิน 3 เดือนจากนี้ก็เป็นไปได้ ความจริงรัฐบาลนั่นแหละ”เชิญแขก”เป็นระยะ เช่น นายกอภิสิทธิ์พลิกพลิ้วเรื่อง 4.6 ตารางกิโลเมตร มรดกโลกปราสาทพระวิหาร และเอ็มโอยู 43 โดยเฉพาะกรณีเขมรจับ 7 คนไทย ไม่ทันเกม ผิดขั้นตอนทางการทูตและมาตรการทหาร ปล่อยให้ระดับบิ๊กซ้ำเติมให้คนไทยต้องโทษศาลเขมร กระทั่งนายกอภิสิทธิ์ยังเข้าฉากที่จัดให้คนบ้านหนองจาน(เทียม) มาอยู่หลังช่วงสงครามกลางเมืองเขมร เข้าให้ข้อมูลเท็จๆ จริงๆ ออกสื่อสาธารณะเพียงวันเดียวก่อนศาลพนมเปญจะตัดสินจำคุกวีระ 8 ปี ราตรี 6 ปี ก่อนหน้านี้ก็กลับลำ 361 องศา ไม่ทำประชามติถามประชาชนแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแก้ประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ประชาชน ไม่เกี่ยวกับปฏิรูปการเมืองเลยสักนิด นี่คือการเชิญแขกชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเป็นลำดับ สุดท้ายที่จะทำให้รัฐบาลคว่ำ คือ สั่งสลายการชุมนุมอีก ไม่ว่าจะใช้คำว่า ขอคืนพื้นที่จราจร, กระชับพื้นที่ หรืออะไรก็ตาม วันนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์จะเสียหายเอง และเข้าตาอับ ตอนนี้กัมพูชารู้ว่าคงยากจะได้พื้นที่เกือบ 3 พันไร่รอบปราสาทพระวิหารมาควบรวมในการบริหารเป็นมรดกโลก ให้สมบูรณ์ ประชุมในเดือนมิถุนายนต้องสะดุดแน้ จึงข้ามช็อตไปสู่การยิงกระสุนตกในรัศมีแสดงความเป็นเจ้าของ ซ้ำฟ้องต่อยูเอ็นกล่าวหาไทยเสียด้วย ยุบสภา รอหลังเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่...พอคาดการณ์ได้ว่ายากแล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 21:07:04 การเมือง
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 20:02 พธม.บอกพบแผนที่ใหม่หลักฐานทวงคืนเขาพระวิหาร โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ โฆษกพธม.ระบุพบแผนที่กรมแผนที่ทหาร ปี2491 ให้รัฐบาลใช้ทวงคืนเขาพระวิหาร อัด"ฮุนเซน"สมคบบางคนก่อสถานการณ์รบ "จำลอง"ลั่นให้จับดีกว่าเสียดินแดน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดแถลงข่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามใส่ร้ายพันธมิตร ว่าเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รัฐต้องหยุดบิดเบือน เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นมาจากการรัฐปล่อยให้กัมพูชายึดพื้นที่ แต่เดิมนั้นทั้งเขาพระวิหารและภูมะเขือ ทหารกัมพูชาอยู่แค่ตีนหน้าผาเท่านั้น ไม่สามารถจะยิงราษฎรไทยได้ แต่เพราะเอ็มโอยู 2543 มัดเราไว้ สุดท้ายทหารกัมพูชาก็มาอยู่บนยอดเขา และยิงใส่คนไทย ดังนั้นขอประณามรัฐบาลและให้กำลังใจทหารและคนไทยในพื้นที่ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เกิดเหตุยิงปะทะรัฐยังไม่ได้แถลงยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวคือของประเทศไทย วันนี้กลุ่มพันธมิตรได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สอง เรื่องการตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน เพื่อกำหนดนโยบายและให้คำแนะนำการชุมนุมเพื่อสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีกรรมการ 16 คนประกอบด้วย ผู้ที่เคยขึ้นเวทีปราศรัย อาทิ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นายประพันธ์ คูณมี พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ หม่อมหลวงวัลย์วิภาจรูญโรจน์ ฯลฯ ที่น่าสังเกตมีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ร่วมด้วยเพียงคนเดียว นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ที่ศาลโลกเคยตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 และฝ่ายไทยคยสงวนสิทธิหากพบหลักฐานใหม่ ขณะนี้พันธมิตรได้พบหลักฐานใหม่เป็นแผนที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหารบก ปี 2491 และขอนำฉบับจัดพิมพ์ใหม่เมื่อปี 2498 มานำเสนอ แผนที่นี้จัดทำขึ้นก่อนการตัดสินของศาลโลก และใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน โดยหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเรามีแผนที่ของเราใช้มาก่อนนั้นแล้ว อีกทั้งแผนที่ดังกล่าวระบุว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย รวมถึงแสดงสันปันน้ำด้วย ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลนำหลักฐานดังกล่าว ไปสงวนสิทธิต่อศาลโลก เพราะถึงเวลาแล้ว นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า เหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา ในขณะนี้เป็นการสร้างสถานกาณ์ โดยนายฮุนเซ็น ได้จับมือกับทหารและนักการเมืองไทยบางคน เพื่อใส่ร้ายพธม.โดยสังเกตจากทหารไทยปล่อยให้ ทหารกัมพูชายิงมาก่อนซ้ำยังสามารถยึดชัยภูมิสำคัญ ทั้งๆ ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ บอกว่ายกหูโทรศัพท์ คุยกับพล.อ.เตีย บัญ ตลอดเวลา จึงตั้งข้อสงสัยว่านี้จะเป็นมวยล้มต้มคนดู และนี่คือวิชามารของพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ แม่ทัพภาค 2 ให้ทหารกัมพูชายิงเข้ามาในแผ่นดินไทย ทำไมจึงไม่ใช้กำลังทางอากาศเข้ากดดัน ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้พรุ่งนี้อาจจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความั่นคงภายในรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งอาจจะทำให้ ตำรวจเข้ามาสลายการชุมนุม จะตั้งรับอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า “ขอยืนยันว่าไม่ว่าจะใช้กฎหมายฉบับใดมาสลายเราก็จะไม่ยอมออกจากที่นี่ แม้มีกฎหมายอะไรอยู่เราก็ยินดีให้จับ เพราะเสียอิสรภาพดีกว่าเสียดินแดน จะใช้กฎหมายอะไรได้ทั้งนั้น เราไม่ออกมาจับก็จับไป จับแกนนำรุ่นหนึ่งก็มีรุ่นต่อไปเรื่อยๆ เราพูดอย่างนี้ไม่ได้ท้าทาย" ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และกลุ่มเครือข่ายประชนไทยหัวใจรักชาติ ใน่ช่วงเย็นว่า บรรยากาศยังคงไม่คึกคักนักแม้ก่อนหน้านี้ พธม. จะได้ยกระดับการชุมนุม เป็นการขับไล่รฐบาล โดย จะมีคนหนาแน่นเฉพาะบริเวณหน้าเวที เท่านั้น ขณะที่โดยรอบพื้นที่ก็มีผู้ร่วมชุมนุมอยู่อย่างประปรายเท่านั้น ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าโดยรอบพื้นที่ชุมนุมเริ่มบ่นว่าได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทำให้ขายของได้น้อยลง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2554, 15:54:22 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 18:48แกะรอยการเมือง หมานำฝูงราชสีห์ โดย : รักษ์ มนตรี rakmontri@twitter,facebook พลันที่กระสุนนัดแรก วิ่งออกจากปลายปากกระบอกปืน ของทหารที่ทำหน้าที่รักษาการณ์ ชายแดนไทยกัมพูชา ไม่ว่ามันจะออกมาจากปากกระบอกปืนของฝั่งใดก็ตามนั่นหมายถึง "สงคราม" ได้เริ่มขึ้นแล้ว "สงคราม" สำหรับคนสองชาตินี้มิใช่เพิ่งเกิดหนแรก เมื่อย้อนประวัติศาสตร์กลับไป ครั้งที่ "เขมร" เป็นเมืองขึ้นของไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา www.encyclopediathai.org ระบุว่า ในการปกครองเขมรนั้น ไทยปล่อยให้เจ้าเขมรปกครองตนเอง เป็นแต่ส่งราชบรรณาการเข้ามาและให้ความช่วยเหลือเมื่อไทยต้องการ แต่ "การปกครองภายใน" ของเขมร มักมีเรื่องยุ่งยากบ่อยๆ คือ 1. ภายในประเทศนั้น "เจ้านาย" แตกสามัคคีกัน เกิด "แย่งชิงราชสมบัติ" และเกิดจลาจลบ่อยๆ 2. เวลาไทยติดสงคราม ตัวอย่างเช่น ทำสงครามกับพม่า เขมร กลับตั้งตัวเป็นอิสระ คอยซ้ำเติมไทยอยู่ตลอดมา 3. เขมรแตกเป็นสองพวก คือพวกหนึ่ง "นิยมไทย" อีกพวกหนึ่ง "นิยมญวน" (เวียดนาม) เอาใจออกห่างจากไทยมักไปพึ่งญวนเพื่อขอกำลังญวน นับเป็นเหตุกรณีพิพาทระหว่างไทยกับญวน เมื่อไทยเสียกรุงครั้งที่สอง ใน พ.ศ.2310 "พระนารายณ์ราชา" กษัตริย์เขมร ตั้งตนเป็นอิสระหันไปเข้ากับญวน ส่วนเจ้าเขมรอีกองค์หนึ่งคือ "พระรามราชา" หนีมาพึ่งไทย พระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ได้ทรงชุบเลี้ยงอย่างดี ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จยกทัพไปตีเขมร 3 ครั้ง คือ การรบกับเขมรครั้งที่ 1 พ.ศ.2312 เมื่อพระรามราชา ลี้ภัยการเมืองมาอยู่ ณ กรุงธนบุรี นั้น พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีหนังสือถึงพระนารายณ์ราชาแจ้งว่าเดี๋ยวนี้ไทยเป็นอิสระแล้วให้กรุงกัมพูชา ส่งราชบรรณาการมาถวายดังเช่นเคย พระนารายณ์ราชา ตอบมาว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งครองกรุงศรีอยุธยา จึงไม่ยอมอ่อนน้อม พระเจ้ากรุงธนบุรี กริ้วมาก ได้จัดกองทัพ 2 กอง คือ ทัพพระยาอภัยรณฤทธิ์ กับ พระยาอนุชิตราชา ไปตีเมืองเสียมราฐ ทัพพระยาโกษาธิบดี ไปตีเมืองพระตะบอง ทั้งสองทัพได้ชัยชนะแต่พระเจ้ากรุงธนบุรี ให้ยันไว้ก่อน เนื่องจากติดการปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชอยู่ ทางฝ่ายกัมพูชา ได้ข่าวลือว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคตที่นครศรีธรรมราช พระยาทั้งสองจึงยกทัพกลับ พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงกริ้ว แต่พระยาทั้งสองได้กราบทูลตามความจริงว่า เมื่อได้ข่าวสวรรคตเกรงว่าจะเกิดการจลาจลขึ้นในกรุงหวังจะรักษาแผ่นดินไว้ไม่ยอมเป็นข้าผู้อื่น ทรงฟังก็พอพระทัย โปรดให้เรียกทัพกลับ และระงับการตีกัมพูชา การรบกับเขมรครั้งที่ 2 พ.ศ.2314 นับแต่ไทยถอยทัพกลับมาใน พ.ศ.2313 นั้น พระเจ้ากัมพูชาได้ทราบว่าพม่ายกกองทัพมาทางเหนือ คาดว่าไทยแพ้ จึงยกทัพมาตีเมืองตราด และเมืองจันทบุรี แต่กองทัพเมืองจันทบุรี ตีทัพเขมรแตก พระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จกลับจากเมืองเชียงใหม่ ทรงทราบก็กริ้วมากที่เขมร ถือโอกาสซ้ำเติม จึงกำหนดว่าพอพักหายเหนื่อยแล้วจะยกไปตีเขมรให้จงได้ พ.ศ.2314 พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ดำรัสสั่งให้ทัพไทย มีเจ้าพระยาจักรี เป็นแม่ทัพยกไปทางปราจีนบุรี ตีได้เมืองพระตะบอง โพธิสัตว์ และเมืองบริบูรณ์ เข้าไปจนถึงเมืองบันทายเพชร ซึ่งเป็น "ราชธานี" ของเขมรในขณะนั้น โปรดให้พระยาโกษาธิบดี ยกทัพเรือเป็นทัพหน้า ส่วนพระองค์เป็นทัพหลวง ทัพหน้าตีได้เมืองกำปงโสม ส่วนทัพหลวงเสด็จถึงปากน้ำเมืองบันทายมาศ พระยาราชาเศรษฐี เจ้าเมืองไม่ยอมอ่อนน้อมจึงตีเมืองบันทามาศได้ และพระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพเรือตีเมืองพนมเปญ ได้อีก รับสั่งให้เจ้าพระยาจักรี ตามพระนารายณ์ราชา ซึ่งหนีไปอยู่เมืองบาพนม ฝ่ายพระนารายณ์ราชา สู้ไม่ได้จึงหนีเข้าเขตญวน ดังนั้น อาณาจักรกัมพูชาจึงมาขึ้นกับไทยใน พ.ศ.2314 การรบกับเขมรครั้งที่ 3 พ.ศ.2323 เกิดการจลาจลขึ้นในเขมร พระนารายณ์ราชา ประชวรสิ้นพระชนม์ พระรามราชา ถูกจับถ่วงน้ำตายแล้วอัญเชิญให้นักองค์เอง (บุตรพระนารายณ์ราชา) มีพระชนม์ 4 พรรษาขึ้นครองราชย์โดยมีฟ้าทละหะมู เป็นผู้สำเร็จราชการ ซึ่งเป็นชาวเขมรที่มีความนิยมฝ่ายญวน พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ และเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบ เมื่อ ฟ้าทละหะมู รู้ข่าวกองทัพไทยยกไปมากจึงอพยพไปตั้งอยู่ทางพนมเปญ เพื่อขอกองทัพญวนมาช่วย ไทยกับญวน ไม่ทันปะทะกัน แต่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นทางกรุงธนบุรี จึงต้องยกทัพกลับมากรุงธนบุรีโดยด่วน ประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่าเขมร เป็นชาติที่ไว้ใจไม่ได้ และใน พ.ศ.2554 "เขมร" ฮึกเหิม หยามว่ารัฐบาลไทย ไม่กล้ารักษาแผ่นดิน จึงเคลื่อนกำลังเข้ายึดจุดที่นั่นที่นี่ไม่เว้นในแต่ละวัน สภาพการ "ยกระดับ" ทั่วด้านเช่นนี้เกิดขึ้นก็เพราะรัฐบาลอ่อนแอ ทั้งที่ประเทศไทยมีความพร้อมหลายอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับ "โลกนิติ" ที่ระบุว่า "ฝูงราชสีห์" ที่มี "หมา" นำนั้น รบสู้ "ฝูงหมา" ที่มี "ราชสีห์" นำไม่ได้ แต่ก็มีบทแก้ว่า "ฝูงราชสีห์" จะเอาชนะ "ฝูงหมา" ได้ก็โดยไล่หรือกำจัด "หมา" ที่เป็นหัวหน้า "ฝูงราชสีห์" เสียก่อน แล้วให้ "ราชสีห์" ตัวใดตัวหนึ่งนำฝูงแทน ก็สามารถเอาชนะ "ฝูงหมา" ได้ โลกนิติบทนี้น่าคิดเพราะดูเหมือนจะสอดคล้อง กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเราเวลานี้เสียจริงๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2554, 22:11:40 เขมรโต้ไม่ได้ตั้งฐานโจมตีบนพระวิหารแต่มีภาพจากนักข่าวต่างประเทศ
08 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 21:11 น.Posttoday online กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์โต้ไทย อ้างไม่ได้ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานในการยิงโจมตีไทย ขณะที่ภาพจากสื่อต่างชาติปรากฎชัดมีทหารเขมรพร้อมอาวุธบนปราสาทพระวิหาร กระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกของไทย ที่มีการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 8 ก.พ.2553 ซึ่งพล.อ.สรรเสริญระบุว่า ทหารกัมพูชาใช้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นฐานในการยิงอาวุธหนักเข้ามายังฐานทัพของทหารไทยในเขตชายแดนไทย ซึ่งตั้งอยู่ในมุมที่ต่ำกว่า ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า โฆษกของกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวต่อคำกล่าวหาที่ถือเป็นการใส่ร้ายของพล.อ.สรรเสริญ พร้อมเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่เคย และไม่มีทางปล่อยให้ทหารของกัมพูชาประจำอยู่ที่ปราสาทเข้าพระวิหาร เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อการท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ยังระบุด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาเพียงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ซึ่งพกพาอาวุธเบา เข้าไปประจำการเพื่อรักษาความปลอดภัยที่ปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบภาพจากสำนักข่าวต่างประเทศ พบว่า สำนักข่าวเอเอฟพี ได้ถ่ายภาพทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธ เอาไว้ได้ โดยมีการระบุในคำบรรยายภาพว่า เป็นภาพทหารกัมพูชาที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งพบว่ามีทั้งภาพของทหารกัมพูชากำลังสร้างบังเกอร์ และ ทหารกำลังถือเครื่องยิงจรวดบี40 พร้อมหัวจรวด ข้างล่างนี้ คือภาพจากสำนักข่าว AFP (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgb0rn-55e6e4.jpg) ภาพถ่ายทหารเขมรบนปราสาทพระวิหารจากสำหนัข่าวเอเอฟพี (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgb0sa-85c815.jpg) ทหารกัมพูชาพร้อมเครื่องยิงจรวด และภาพขณะกำลังสร้างบังเกอร์บนปราสาทพระวิหารของสำนักข่าวเอเอฟพี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 กุมภาพันธ์ 2554, 10:40:00 มาดูกันต่อว่า เขมร มันโกหก ว่า ไม่มีทหารบนเขพระวิหาร
(http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgbz5r-7d3135.jpg) กระบั้งปลาเจ่า?-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 โฆษกเขมรอาจจะบอกชาวโลกว่านี่คือกระบอกเหล็กธรรมดาๆ ที่ข้างในอัดแน่นด้วยปลาเจ่า เพื่อเป็นเสบียงสำหรับ "ตำรวจ" บนปราสาทพระวิหาร แต่ผู้ถ่ายภาพนี้บรรยายว่า นี่คือ "กระสุน" ที่ทหารกัมพูชาแบกขนย้ายจากรถปิ๊กอัพที่บรรทุกขึ้นไป โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกคำแถลงโกหกชาวโลกหน้าเฉยในวันเดียวกันว่า "ไม่เคยมีทหารและจะไม่มีทหาร" ที่ปราสาทมรดกโลก ไม่มีอาวุธหนัก มีตำรวจไม่กี่คนที่มีเพียงอาวุธปืนเล็กไว้รักษาความปลอดภัย.--REUTERS/Damir Sagolj. ไปดู"ตำรวจ"ที่โฆษกเขมรพูดถึง (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgbz84-b678fa.jpg) สบายอารมณ์เพลินชมมรดกโลก-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาฆ่าเวลา "ณ ที่ตั้ง" ที่ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่ชายแดนกัมพูชาไทย ทหารกัมพูชายังคงเตรียมพร้อมสูงสุดในวันอังคารนี้ หลังการปะทะในบริเวณปาราสาทฮินดูอายุ 900 ปี บนยอดเขาแห่งนี้.-- REUTERS/Damir Sagolj. (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgbza2-319011.jpg) เฝ้าพระศิวะ-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 บ้างก็นั่งเล่นบ้างก็หลับ ทหารกำพูชาฆ่าเวลา "ณ ที่ตั้ง" ที่ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่ชายแดนกัมพูชาไทย ทหารกัมพูชายังคงเตรียมพร้อมสูงสุดในวันอังคารนี้ หลังการปะทะในบริเวณปาราสาทฮินดูอายุ 900 ปี บนยอดเขาแห่งนี้.-- REUTERS/Damir Sagolj. (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgbzde-c0ed61.jpg) ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาขัดรองเท้าที่ "ณ ที่ตั้ง" ของพวกเขาบนปราสาทพระวิหาร ถึงกระนั้นโฆษกกัมพูชาก็ยังออกแถลงลวงโลกว่า "ไม่เคยมีและจะไม่มีทหาร" อยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นความพยายามสร้างความชอบธรรม ให้แก่การกล่าวหาฝ่ายไทยต่อยูเอ็นที่ว่าไทยยิงถล่มปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้ปราสาทบางส่วนพังลง.-- REUTERS/Damir Sagolj. (http://www.cmadong.com/imageupload/2010_Cmadong-Image/data/image/lgbzhu-2836b5.jpg) เฝ้าพระศิวะบนเขาพระสุเมรุ-- ทหารกัมพูชานอนหลับภายในปราสาทพระวิหาร มีเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจีวางอยู่ใกล้ๆ โฆษกกัมพูชาออกแถลงลวงโลกในวันนี้ว่า "ไม่เคยมีและจะไม่มีทหาร" อยู่ที่นั่น ในความพยายามสร้างความชอบธรรม ให้แก่การกล่าวหาฝ่ายไทยต่อยูเอ็นที่ว่าไทยยิงถล่มปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้ปราสาทบางส่วนพังลง.-- REUTERS/Damir Sagolj. ASTVผู้จัดการออนไลน์-- ถึงแม้จะมีภาพถ่ายการเรียงกระสุนปืนกลหนัก และ การลำเลียงอาวุธหนัก และภาพที่แสดงให้เห็นทหารเขมรจำนวนมากที่ปราสาทพระวิหาร เผยแพร่ไปทั่วโลกในช่วงวันสองวันมานี้ แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศก็ยังคงออกแถลงบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาปรักปรำฝ่ายไทยว่า ยิงปืนใหญ่เพื่อสร้างความเสียหายให้ปราสาทเก่าแก่แห่งนั้น นอกจากนั้นภาพชุดใหม่ที่สำนักข่าวรอยเตอร์ถ่ายที่ปราสาทพระวิหารในวันอังคารนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีส่วนใดของปราสาทที่พังทลายไปแล้ว ตามที่กัมพูชาฟ้องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ "ไม่เคยมีทหาร และจะไม่มีทหารกัมพูชาที่ปราสาทพระวิหาร ที่นั่นเป็นที่สำหรับกราบไหว้บูชาและเพื่อการท่องเที่ยวตลอดมา" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุในคำแถลงอย่างเป็นทางการ ที่ออกในวันอังคาร 8 ก.พ.นี้ คำแถลงล่าสุดของโฆษกกัมพูชาออกมาเพื่อตอบโต้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกไทยที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ระบุว่า ทหารกัมพูชาได้ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานอาวุธหนัก เพื่อยิงเข้าใส่ทหารไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าในดินแดนของไทย โฆษกกัมพูชากล่าวหาว่า โฆษกทหารของไทยระบุดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การโจมตีปราสาทพระวิหารของฝ่ายไทย "ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็มีเพียงตำรวจเพียงไม่กี่คนและมีเพียงอาวุธปืนเล็กประจำอยู่ที่นั่น เพื่อรักษาความปลอดภัยปราสาท" คำแถลงกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตามภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ถ่ายในเช้าวันเสาร์ 5 ก.พ. แสดงให้เห็นทหารกัมพูชาอย่างน้อย 2 คนกำลังจัดเรียงกระสุนปืนกลหนักอยู่ในอาณาบริเวณ โดยมีส่วนหนึ่งของปราสาทโบราณให้เห็นเป็นภูมิหลัง อีกภาพหนึ่งเป็นทหารเขมรกลุ่มใหญ่หลบพักอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งในบริเวณปราสาทมรดกโลก ภาพรอยเตอร์ที่เผยแพร่ในวันอังคาร 8 ก.พ.นี้ ยังแสดงให้เห็นทหารอีก 2 คนกำลังแบกลำเลียงลูกกระสุนปืนใหญ่หรือไม่ก็จรวดที่บรรจุในกล่องเหล็กบนปราสาทพระวิหารเช่นกัน อีกหลายภาพยังเปิดเผยให้เห็นทหารเขมรอีกจำนวนมากหลบภัยอยู่ในปราสาท อีกส่วนหนึ่งใช้ที่นั่นเป็นที่หลบพักอย่างถาวร นัยตั้งแต่เกิดปะทะกันรอบใหม่วันศุกร์ที่ 4 ก.พ.เป็นต้นมา กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ทำหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคง 2 ครั้ง และ ยังส่งในนามนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ทั้งหมดกล่าวหาว่าไทยยิงปืนใหญ่ถล่มปราสาทพระวิหาร ซึ่งทำให้ปราสาทพังทลายไปส่วนหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตามภาพของรอยเตอร์ที่ถ่ายออกมาจากปราสาทพระวิหารในวันอังคารนี้ ไม่มีภาพใดที่แสดงให้เห็นปราสาทพัง ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้โพนทะนาไปทั่วโลก มีเพียงรอยกะเทาะของหินที่เกิดจากการตกกระทบที่เข้าใจว่าจะเป็นสะเก็ดกระสุนปืน กับซากหักพังที่มีอยู่แต่เดิมเท่านั้น. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554, 22:36:37 เพื่อนเราเผาเรือน
10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 20:39 น. posttoday online ฮุนเซนยอมให้อดีตผู้นำและพรรคพวกที่สูญเสียอำนาจใช้ดินแดนกัมพูชาเป็นที่พบปะ วางแผนบ่อนทำลายรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย.... โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ทุกคนต้องมีเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านรั้วติดกันที่อาจทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางบวกหรือลบก็ได้ ถ้าเพื่อนบ้านไม่ดี ก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ สองฝ่ายก็อยู่ร่วมกันอย่างไม่สงบสุข วันนี้หลายคนได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรว่า ในฐานะเป็นประเทศที่มีเขตแดนทางบกและน้ำติดกัน จะชอบหรือไม่ก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป การเป็นเพื่อนบ้านที่ดีนั้น สองฝ่ายต้องมีไมตรีจิต มีความเอื้ออาทรต่อกัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แต่ถ้าไทยไปเจอผู้นำเขมรแบบฮุนเซนที่ในหัวสมองมีแต่ความคิดที่จะก่อกวน ไม่ให้ประเทศไทยอยู่อย่างสงบสุข แบบนี้ความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่ไทยแสวงหาก็คงไม่เกิดขึ้น เมื่อมองเขมรก็ต้องมองในภาพรวม ภาพใหญ่ ไม่ใช่มองเฉพาะวันนี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นผลมาจากสิ่งที่ได้ทำมาในวันวาน เราลองสำรวจย้อนหลังถึงพฤติกรรมของผู้นำเขมรที่ชื่อฮุนเซนว่า เขาได้ทำอะไรบ้างที่ทำให้คนไทยเจ็บช้ำน้ำใจ หรือประพฤติปฏิบัติในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดีต่อไทยหรือไม่อย่างไร โดยย้อนหลังไปแค่ปี 2551 เป็นต้นมาก็พอ หลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทย ฮุนเซนได้ประกาศและแสดงออกอย่างเปิดเผยสนับสนุนท่าทีของพรรคฝ่ายค้านไทยในสภา ความเสียหายของถนนในเขตชายแดน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกจรวดหลายลำกล้องของทหารเขมรยิงมาตกใส่ ส่วนนอกสภานั้นฮุนเซนได้สนับสนุนขบวนการต่อต้านรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผยและออกหน้าออกตา โดยร่วมมือกับอดีตผู้นำไทยที่สูญเสียอำนาจ และกลุ่ม นปช.รวมทั้งกองกำลังติดอาวุธในความพยายามโค่นล้มรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันในทุกวิถีทาง ทั้งในสภา นอกสภา ทั้งทางสันติและการใช้ความรุนแรง ท่าทีของฮุนเซนที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ปกปิดซ่อนเร้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทำอย่างเปิดเผย และอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ฮุนเซนยอมให้อดีตผู้นำและพรรคพวกที่สูญเสียอำนาจใช้ดินแดนกัมพูชาเป็นที่พบปะ วางแผนบ่อนทำลายรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย ยินยอมให้ใช้ดินแดนกัมพูชาในการซ่องสุม ฝึกคน ใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวหลบหนีการจับกุมของทางการไทย ใช้ดินแดนเขมรเป็นสถานที่วางแผนในการล้มรัฐบาลไทย และในการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีประเทศไทยและรัฐบาลไทยตลอดมา แกนนำของคนพวกนี้ได้แสดงออกอย่างเปิดเผยไปไกลถึงขั้นที่จะเปลี่ยนแปลงสถาบันสูงสุดอันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของประชาชนไทย ซึ่งเท่ากับฮุนเซนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยด้วย เป็นที่รู้กันดีทั้งในหมู่คนไทยและคนเขมรว่า แกนนำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยได้หลบหนีมาพำนักอาศัยอยู่ในเสียมราฐ พนมเปญ ภายใต้การดูแลอย่างดีของทางการเขมร ฮุนเซนยินยอมให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยฝึกอาวุธในค่ายทหารของเขมร โดยมีทหารเขมรเป็นผู้ฝึกให้ โดยกองกำลังเหล่านี้มีภารกิจที่จะกลับมาปฏิบัติการก่อการร้ายในประเทศไทย นอกจากการก่อการร้ายและก่อวินาศกรรมแล้ว ยังมีภารกิจในการลอบสังหารบุคคลสำคัญ ซึ่งเท่ากับฮุนเซนสนับสนุนให้มีการลอบสังหารบุคคลสำคัญของไทยด้วย บางคนช่วยแก้ตัวให้กับฮุนเซนว่า เขาอาจไม่รู้เรื่อง แต่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง อย่างไรก็ดี เป็นที่รู้กันดีว่า ในกัมพูชานั้น คนที่มีอำนาจสูงสุดคือฮุนเซน การปฏิบัติการบ่อนทำลายประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนระดับฮุนเซนไม่รู้ย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้แต่หน่วยทหารที่ยอมให้ใช้พื้นที่ในการฝึกอาวุธ จัดบุคลากรมาฝึกอบรมให้ หากไม่ได้รับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. หรือจากรัฐมนตรีกลาโหม คงไม่มีใครกล้าทำ และ ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีกลาโหมเขมรคงไม่กล้าสั่งหากฮุนเซนไม่อนุมัติ หรืออย่างน้อยก็อนุมัติในหลักการใหญ่ไว้แล้ว เหตุการณ์เดือน พ.ค. 2553 ที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยได้ระดมสรรพกำลังทุกแขนงที่มีอยู่ ทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ เปิดทุกแนวรบทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการทำสงครามครั้งสุดท้ายเพื่อหวังชัยชนะในการโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ได้ ผู้นำกัมพูชามีส่วนร่วมในแผนการนี้ตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้นำเขมรที่กระทำต่อไทย ถือว่าเป็น “การแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย” อย่างชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัย โดยมีจุดหมายปลายทางคือการโค่นล้มและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน เพื่อให้มีรัฐบาลและผู้นำที่เป็นประโยชน์กับกัมพูชา การที่ฮุนเซนตัดสินใจกระทำเช่นนี้ ย่อมต้องมี “เดิมพัน” ที่ใหญ่โตและคุ้มค่าจนผู้นำกัมพูชากล้าที่จะแทรกแซงกิจการภายในและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และยอมเสี่ยงที่จะถูกประณามโดยประเทศอื่น นอกจากหาทางล้มรัฐบาลไทย ผู้นำเขมรยังพยายามแย่งยึดพื้นที่เขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเป็นของตนโดยมีการวางแผนล่วงหน้าและดำเนินการตามแผนอย่างเป็นขั้นตอนตลอดมา และเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการสู้รบบริเวณพรมแดน เพื่อสร้างภาพให้ประชาคมโลกมองว่า ไทยคือ “ผู้รุกราน” ส่วนกัมพูชาเป็น “ผู้ถูกรุกราน” และหาทางดึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงและกดดันประเทศไทย เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ก็ใช้ชีวิตและทหารของทหารและคนเขมรสร้างบารมีให้กับบุตรชายของตนเพื่อเตรียมตัวเป็น ผบ.ทบ.คุมกองทัพต่อไป ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีการวางแผนล่วงหน้า ในขณะที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เพิ่งยื่นเรื่องฟ้องร้องนายกอภิสิทธิ์ต่อศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ปัญหาชายแดนไทย-เขมรก็ระเบิดขึ้นเกือบจะทันทีที่ “ใครก็ไม่รู้” แอบไปเขมรอย่างเงียบๆ ประเทศไทยอยู่ตรงกลางของแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์ ที่ล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้านในทุกด้านต้องการมีเพื่อนบ้านที่ดี คนไทยต้องการอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสงบ สันติ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คนไทยไม่ต้องการให้รัฐบาลไทยไปหาเรื่องกับเพื่อนบ้าน แต่ก็ไม่ต้องการให้รัฐบาลของเพื่อนบ้านมาหาเรื่องกับเรา อะไรที่เป็นของเพื่อนบ้านเราไม่อยากได้ ขณะเดียวกัน อะไรที่เป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา ใครจะมาเอาไปไม่ได้ คนไทยยังมีความรัก ห่วงใย ผูกพัน มีความเข้าใจประชาชนเขมร และเชื่อว่า ประชาชนของทั้งสองประเทศยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน มีการติดต่อค้าขาย ทำมาหากินด้วยกันตามปกติ แต่ถ้าคนเขมรยังมีผู้นำเช่นฮุนเซน คนเขมรก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554, 11:27:35 การบังคับใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เป็นการใช้ศาลเป็นเครื่องมือ
เพื่อทำลายหลักประชาธิปไตยและละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติ โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ 11 กุมภาพันธ์ 2554 22:48 น. Maneger online ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลทรัพย์สิน ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และศาลภาษีอากรกลาง การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ประกาศใช้กฎหมายพ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หมวด 2 ในพื้นที่ 7 เขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม. ) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ( มติชน 9 ก.พ.54 ) แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งในการที่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะหวั่นเกรงเหตุความไม่สงบจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการชุมนุมของผู้ชุมนุมอยู่ 2 กลุ่ม แต่การที่ฝ่ายบริหารบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวกับประชาชน รัฐบาลจะต้องรู้ต้นเหตุของการบังคับใช้กฎหมายว่า มีเหตุที่จะก่อให้เกิดอำนาจในการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวได้หรือไม่ เพียงใด เพราะถ้าไม่รู้ต้นเหตุของการชุมนุมแต่มีการใช้บังคับกฎหมาย กรณีก็จะกลายเป็นการใช้อำนาจเผด็จการโดยอาศัยกระบวนการยุติธรรม และศาลเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจเผด็จการดังกล่าวได้ 1. เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯเพื่อที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยอ้างเหตุที่จะมีผู้ชุมนุม 2 กลุ่มมาชุมนุม ในขณะที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือพธม. กลุ่มแนวร่วมทวงคืนแผ่นดิน กลุ่มทวงคืนปราสาทพระวิหาร กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติฯลฯกำลังชุมนุมอยู่ แต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ยังไม่ออกมาชุมนุม ก็ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดเขตพื้นที่บริเวณสถานที่และถนนที่ใช้ชุมนุมกันอยู่ ถนนที่ใช้เป็นทางสัญจรบริเวณนั้นและบริเวณใกล้เคียงไม่ให้ใช้เป็นสถานที่ชุมนุมและเป็นเส้นทางจราจร การประกาศดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการเรียกถนนหรือเส้นทางจราจรคืนจากผู้ชุมนุม กำหนดเส้นทางจราจรไม่ให้ประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุมหรือประชาชนโดยทั่วไปไม่ให้ใช้เส้นทางดังกล่าว การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อจะใช้บังคับตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้น เป็นวิธีการที่จะสลายการชุมนุมของผู้ชุมนุม โดยใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมได้นั่นเอง เพราะขณะที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนดเขตห้ามการชุมนุมนั้น ยังไม่มีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ออกมาชุมนุมแต่อย่างใด การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร กลุ่มแนวร่วมทวงแผ่นดิน กลุ่มทวงคืนปราสาทพระวิหาร กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ฯลฯ ได้มีการประกาศและการกระทำโดยชัดแจ้งถึงการชุมนุม ว่าเป็นการชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยในดินแดนของประเทศ ซึ่งกำลังจะสูญเสียอำนาจอธิปไตยในดินแดนบริเวณรอบปราสาทพระวิหารจำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติไปโดยการเข้ายึดครองของกองกำลังทหาร พลเมืองของชนชาวกัมพูชา โดยการเข้ามาอยู่อาศัยสร้างวัดวาอารามในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวแล้ว และมีการนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว โดยผู้ชุมนุมได้ร้องขอให้รัฐบาลควรดำเนินการ 3 ประการคือ ( 1. ) ยกเลิก MOU 2543 ( 2. ) ลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลก เพื่อไม่ให้ประเทศมหาอำนาจและกัมพูชาเข้ามายึดครองเขตดินแดนของไทยทางอ้อม ตามอนุสัญญาว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติด้วยการอนุญาตให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่สามารถผนวกเอาผืนแผ่นดินไทยเข้าไปเป็นมรดกโลกที่กัมพูชาเป็นเจ้าของทะเบียนมรดกโลกได้ และไทยซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน หรือเป็นเจ้าของแห่งอำนาจอธิปไตยในดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร จะกลายเป็นเพียงผู้มีส่วนเข้าไปร่วมในการบริหารจัดการในพื้นที่ดินดังกล่าวได้เท่านั้น แต่ผืนแผ่นดินซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของไทยดังกล่าวจะกลายเป็นของกัมพูชาโดยทางทะเบียนของอนุสัญญามรดกโลก การบังคับให้คณะกรรมการมรดกโลกแก้ไขทางทะเบียนเพื่อให้ไทยร่วมจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่ารัฐไทยยังคงเป็นเจ้าของในผืนแผ่นดินของไทยที่ได้นำไปร่วมจดทะเบียนมรดกโลกด้วยนั้น จึงไม่มีหนทางที่จะเป็นไปได้เลย ผู้ชุมนุมจึงได้ขอให้รัฐบาลลาออกจากการเป็นสมาชิกมรดกโลก เพื่อไม่ให้รัฐไทยต้องถูกบังคับให้ต้องเสียดินแดนโดยทางทะเบียนของสนธิสัญญาทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ หรือมรดกโลกดังกล่าว (3.) ผู้ชุมนุมขอให้ผลักดันทหารกัมพูชา พลเมืองชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารดังกล่าวออกจากดินแดนของไทย และให้ทำการตกลงกับกัมพูชาเสียใหม่ เพราะการดำเนินการที่ผ่านมาเกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลไทย และ ( 4. ) ในการชุมนุมก็ยังได้แสดงเจตนาของผู้ชุมนุมที่จะกดดันให้รัฐบาลช่วยเหลือ 2 คนไทยที่ถูกกัมพูชาใช้กองกำลังทหารเข้าจับกุมในบริเวณเขตแดนที่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นดินแดนของฝ่ายใด แต่กัมพูชาได้นำไปขึ้นศาลกัมพูชา และมีคำพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 8 ปีและ 6 ปี อันเป็นการชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลได้รักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนที่รัฐไทยจะต้องมีต่อพลเมืองในชาติของตน การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงเป็นการชุมนุมต่อต้านและกดดันรัฐบาล ให้รัฐบาลใช้อำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามที่ควรกระทำในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐไทย อันเป็นการชุมนุมตามหน้าที่พลเมือง ตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 70 และ 71 และเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 การชุมนุมดังกล่าวจึงอยู่ในเงื่อนไขตามสิทธิที่จะชุมนุมได้ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 63 การชุมนุมของผู้ชุมนุมมิใช่เป็นการชุมนุมเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองของรัฐบาลแต่อย่างใด แต่เป็นการเรียกร้องและมีข้อเสนอให้รัฐบาลทำหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลของการปกป้องแผ่นดิน และการรักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยของรัฐไทย การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงอยู่ในเงื่อนไขของบริบทตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ( พระบรมราชโองการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ) ที่ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม การมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำการดังกล่าว และหากรัฐบาลเพิกเฉยก็ขอให้รัฐบาลได้ลาออกไปนั้น เป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรมตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั่นเอง ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงฯ จึงเป็นการมีมติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2. การออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 2 ฉบับ โดยนำบทบัญญัติในหมวด 2 ของพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯมาใช้บังคับ เพราะเห็นว่ามีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น จึงขึ้นอยู่กับเจตนาและการกระทำการใช้บังคับกฎหมายว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นการใช้กฎหมายเพื่อป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นเพราะจะมีการชุมนุมของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ในบริเวณนั้น และจะเกิดเหตุรุนแรงปะทะกันเกิดขึ้น อันจะทำให้เกิดอำนาจในการประกาศเขตพื้นที่ที่จะใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ แต่ปรากฏ ( จากข่าวสื่อสาธารณะ) ว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นการประกาศเพื่อขอพื้นที่การจราจรซึ่งผู้ชุมนุมได้ใช้ในการชุมนุมคืน จึงเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพียงเพื่ออำนวยความสะดวกในการจราจรเพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปใช้ถนนได้ตามปกติเท่านั้น ซึ่งการขอพื้นที่จราจรคืนจากผู้ชุมนุมก็จะขัดกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งสองฉบับดังกล่าว เพราะประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวได้ประกาศห้ามมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเข้า - ออกในถนนสายต่างๆจำนวนหลายสาย รวมทั้งถนนที่ผู้ชุมนุมใช้ในการชุมนุมอยู่ด้วย และห้ามใช้ทางคมนาคมหรือใช้ยานพาหนะในเส้นทางถนนพิชัยและถนนสายอื่นๆหลายสายอีกด้วย การประกาศห้ามเข้าและใช้ถนนต่างๆรวมทั้งถนนที่ผู้ชุมนุมใช้อยู่กับการอ้างขอพื้นที่จราจรคืนเพื่อให้ประชาชนใช้ทางจราจรดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ขัดกันอยู่ในตัวเอง จึงเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ขัดต่อหลักเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้จะเรียกพื้นที่การจราจรคืนจากผู้ชุมนุม ประชาชนโดยทั่วไปก็ไม่อาจเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อใช้สัญจรไปมาได้ เพราะขัดต่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งสองฉบับดังกล่าว 3. การใช้บังคับกฎหมาย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯในกรณีนี้เป็นการใช้บังคับกฎหมายโดยขัดต่อพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเองอีกด้วย อำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงนั้น มีอำนาจหน้าที่สำคัญคือ “ เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งเสริมสร้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความสงบเรียบร้อยของสังคม” ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 7 (4) เมื่อผู้ชุมนุมมีเจตนาอย่างชัดเจนปรากฏต่อสาธารณชนทั้งในและนอกประเทศ ในการที่จะรักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพในดินแดนแห่งรัฐไทยให้พ้นจากการรุกรานของกัมพูชา โดยชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการใช้หลักเกณฑ์ตามที่ผู้ชุมนุมเข้าใจว่า จะรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตของประเทศให้ปลอดภัยได้แล้ว การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงเป็นการชุมนุมตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาตรา 7 (4) ดังกล่าว และไม่ใช่เป็นการชุมนุมที่ขัดต่อพ.ร.บ.ความมั่นคงฯแต่อย่างใดเลย การที่ ศอ.รส. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อที่จะขัดขวางและสลายการชุมนุม และห้ามการชุมนุม การกระทำของ ศอ.รส. จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาตรา 7 (4) อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของ ศอ.รส.ดังกล่าว 4. การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมทุกกลุ่มมีวัตถุประสงค์ในทำนองเดียวกัน เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากมีกองกำลังทหาร ประชาชนของชาวกัมพูชาเข้ามายึดครองที่ดินในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่เป็นเขตแดนของรัฐไทย รัฐบาลก็เห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของรัฐไทย แต่กัมพูชาอ้างว่าเป็นของกัมพูชา การชุมนุมของผู้ชุมนุมจึงเป็นผลมาจากความขัดแย้งในเรื่องเขตแดนของประเทศ ซึ่งผู้ชุมนุมทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นผู้เสียหายทุกคน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผืนแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยในดินแดนของประเทศไทย การชุมนุมของผู้ชุมนุมได้มีข่าวออกไปทั่วโลก ในสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ชุมนุมถือได้ว่าเป็นองค์กรพลเมือง ( Civil organization หรือ Non government organization ) อันเป็นที่ยอมรับกันในประชาคมโลก และการที่องค์กรพลเมืองได้แสดงออกถึงการต่อสู้จากการรุกล้ำ การยึดครองของชนชาติอื่นที่ได้เข้ามาครอบครองผืนแผ่นดิน หรือใช้อำนาจอธิปไตยในดินแดนของตน โดยการส่งกำลังทหารและประชาชนเข้ามายึดครองแล้ว องค์กรพลเมืองย่อมมีสิทธิที่ป้องกันการรุกล้ำ การยึดครองอาณาเขตของตนได้ และในการป้องกันการรุกล้ำการยึดครองดังกล่าว องค์กรพลเมืองมีสิทธิที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเองได้ ( Right of self - determination ) และสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิที่ได้รับรองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ( Customary Rule of International Law ) และตามพิธีสารของอนุสัญญาเจนีวา การที่องค์กรหรือภาคพลเมืองตัดสินใจที่จะชุมนุมโดยสงบ โดยปราศจากอาวุธ โดยการนั่งชุมนุมบนถนนสาธารณะ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการที่จะไม่ให้มีการรุกล้ำ ยึดครองดินแดนเขตประเทศแล้ว สิทธิในการชุมนุมบนถนนสาธารณะของผู้ชุมนุม จึงเป็นสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยหลักประชาธิปไตย ชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติ การใช้บังคับพ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาใช้บังคับกับผู้ชุมนุม เพราะเพียงเพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมใช้พื้นที่ถนนสาธารณะเพื่อการชุมนุม เพราะขัดขวางทางจราจรนั้น จึงเป็นการใช้บังคับกฎหมายโดยขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และขัดต่อหลักประชาธิปไตย ผู้เขียนไม่ประสงค์จะให้รัฐบาลใช้ดาบอาญาสิทธิโดยผิดลู่ผิดทางโดยดาบอาญาสิทธินั้น จะกลับมาสนองใช้กับรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554, 21:28:29 ฮุนเซนและผู้รับใช้
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 11 กุมภาพันธ์ 2554 17:43 น. “ปัญญาพลวัตร” โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ฮุนเซนประกาศอย่างชัดเจนว่าการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มิใช่เป็นการปะทะกันเล็กๆ แต่เป็นสงคราม เป็นที่น่าสนใจว่าทำไมฮุนเซนจึงก่อสงครามกับประเทศไทย ทั้งที่ฮุนเซนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าแสนยานุภาพทางทหารของกัมพูชาด้อยกว่าประเทศไทยอย่างเทียบกันไม่ติด การก่อสงครามครั้งนี้ฮุนเซนได้มีการเตรียมการวางแผนมาอย่างดีโดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์และจังหวะก้าวในการรบอย่างเป็นระบบทั้งทางการทหารและทางการทูต หากเราสังเกตในช่วงก่อนหน้าที่มีการยิงกันในบริเวณชายแดนนั้น ฮุนเซนได้ส่งกำลังทหารและสรรพาวุธไปตั้งมั่นยังชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก พร้อมกับการเข้าไปยึดพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารและภูมะเขือ เพื่อจัดทำเป็นฐานที่มั่นสำหรับใช้เป็นจุดในการโจมตีไทย การใช้บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นที่ตั้งทางทหาร เป็นการดีดลูกคิดในรางแก้วของฮุนเซน เพราะนอกจากเป็นชัยภูมิที่ดีในการโจมตีไทยแล้ว ยังทำให้ทหารไทยมีความหวั่นเกรงในการยิงปืนใหญ่เข้าไปในบริเวณนั้นด้วย เพราะกระสุนอาจไปทำปราสาทพระวิหาร ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ไทยถูกตำหนิจากนานาชาติได้ ภายหลังต่อสู้กันปรากฏว่าปราสาทพระวิหารมีความเสียหายเล็กน้อย แต่ฮุนเซนทำราวกับว่าปราสาทเสียหายเป็นจำนวนมาก และเมื่อโฆษกกองทัพบกออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าฮุนเซนใช้ปราสาทพระวิหารเป็นที่ตั้งกองกำลังทหารกัมพูชา ฮุนเซนก็ปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ก็ถูกจับโกหกได้ด้วยนักข่าวเอพีที่รายงานว่ามีบังเกอร์ของทหารกัมพูชาจำนวนมากรอบปราสาทพระวิหาร ในการโจมตีประเทศไทยนั้นเราจะเห็นได้ว่าเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ฮุนเซนโจมตีมิใช่เป็นที่ตั้งทางทหารของไทยอย่างเดียว แต่กลับโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทยด้วย โดยมิได้ใส่ใจกับกฎเกณฑ์ของการทำสงครามระหว่างประเทศและมนุษยธรรมแต่ประการใด ทำไมฮุนเซนถึงกล้าทำอย่างนั้น ประการแรก ฮุนเซนคงคิดว่ารัฐบาลไทยคงไม่กล้านำเรื่องนี้มาประจานและประณามกัมพูชา เพราะฮุนเซนรู้ว่ารัฐบาลไทยซึ่งเป็นลูกไล่กัมพูชา คงไม่ทำอะไรให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์และผลประโยชน์ที่พวกเขามีอยู่ในกัมพูชา ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ ประการที่สอง ฮุนเซนคิดจะอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนไทย เป็นเงื่อนไขในการกดดันรัฐบาลไทยให้ยอมรับเงื่อนไขของการยุติสงคราม สิ่งที่ฮุนเซนต้องการคือ การนำประเทศที่สามมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและให้มีกองกำลังของสหประชาชาติมารักษาความสงบบริเวณชายแดน และหากรัฐบาลไทยยังไม่ยอมรับเงื่อนไขเหล่านั้นฮุนเซ็นก็คงสั่งให้ทหารโจมตีพลเรือนของไทยต่อไปในพื้นที่อื่นๆอีกก็ได้ จนกว่ารัฐบาลไทยจะยอมรับเงื่อนไข ฮุนเซนใช้ยุทธวิธีใส่ร้ายประเทศไทย และไปออดอ้อนให้บรรดาประเทศต่างๆในโลกให้ความเมตตาสงสารประเทศกัมพูชา โดยชี้ว่าประเทศไทยที่ใหญ่กว่าและมีกำลังรบมากกว่า เริ่มสงครามรังแกประเทศกัมพูชาซึ่งยากจนและมีกำลังรบด้อยกว่า อีกทั้งคงหยิบยื่นผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นเครื่องมือในการต่อรองและโน้มน้าวให้ประเทศที่ชักชวนมารักษาความสงบบริเวณชายแดนสนับสนุนกัมพูชา ประการที่สาม ฮุนเซนคิดอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนไทยเป็นเครื่องมือในการโจมตีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะฮุนเซ็นเกลียดและกลัวพันธมิตรมาก สืบเนื่องมาจากความจริงที่พันธมิตรเปิดโปงฮุนเซนนั้นอาจทำให้ประชาชนกัมพูชาตื่นตัว และร่วมกันโค่นล้มฮุนเซนได้ ฮุนเซนยังทราบดีว่าคนในรัฐบาลไทย สื่อมวลชนไทยและนักวิชาการไทยบางส่วน เป็นพวกไร้สมองไร้ปัญญาในการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกิดสงคราม คนเหล่านี้จะวิเคราะห์อย่างตื้นเขินและไร้เดียงสา ว่าสาเหตุการสู้รบที่ทำให้คนไทยบาดเจ็บล้มตายเกิดจากการที่พันธมิตรชุมนุมประท้วงรัฐบาล ดังที่เราเห็นหลักฐานอย่างชัดเจนถึงวิธีคิดแบบนี้ของรัฐมนตรีบางคน สื่อมวลชนประเภทฟรีทีวีบางช่องที่สัมภาษณ์ชี้นำชาวบ้านว่าการชุมนุมของพันธมิตรทำให้ฮุนเซนโกรธจึงสั่งให้ทหารยิงเข้าใส่คนไทย และการพูดและเขียนของนักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติกลุ่มหนึ่ง นักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติ เช่น นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิดแบบนี้อย่างชัดเจน เขากล่าวว่า “สงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเอง “ ซึ่งโดยนัยก็คือการกล่าวหาว่าพันธมิตรเป็นผู้ก่อสงคราม โดยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ตรรกะแบบนี้ ผมประหลาดใจว่า ภาวะความเป็นนักวิชาการของชาญวิทย์และกลุ่มของเขายังหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เพราะดูเต็มไปด้วยอคติและบิดเบือนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ คนเหล่านี้จึงเป็นได้แค่เครื่องมือหรือผู้รับใช้อย่างดีของฮุนเซนที่ใช้ในการทำลายประชาชนไทยผู้รักชาติเท่านั้น ผู้รับใช้หรือผู้เป็นแนวร่วมของฮุนเซนในประเทศไทยจึงมีจำนวนไม่น้อย บ้างก็อาจเกิดจากความไร้เดียงสาตามไม่ทันเล่ห์เพทุบายของฮุนเซน บ้างก็ขาดสำนึกแห่งความเป็นชาติ บ้างก็อาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกับฮุนเซน บ้างก็อาจมีความคลั่งไคล้หลงใหลวัฒนธรรมและอารยธรรมของกัมพูชา หรืออาจเป็นไปได้ว่ามีสำนึกแห่งความเป็นชนชาติกัมพูชามากกว่าสำนึกแห่งความเป็นชนชาติไทย คนพวกนี้จึงมักประณามผู้ที่รักชาติว่าเป็นผู้คลั่งชาติ ทั้งที่การกระทำของพวกเขาก็จะท้อนภาวะของการคลั่งชาติไม่แพ้กัน แต่เป็นการคลั่งชาติกัมพูชามากกว่าไทย มิฉะนั้นคงไม่ไปเชิญเอกอัครราชฑูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาพูดในงานสัมมนาที่จัดขึ้นในใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ทั้งที่ทหารของกัมพูชาได้เพิ่งฆ่าคนไทยและทหารไทยตาย เลือดยังมิทันแห้ง ศพยังมิทันเผา น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง บ้านยังไม่มีให้อาศัย ถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย ประสบกับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส พวกนี้ก็ย่ำยีเหยียบย่ำหัวใจคนไทยด้วยการเชิดชูตัวแทนของประเทศที่ทำร้ายคนไทย ช่างน่าอัปยศเสียจริง สำนึกแห่งความเป็นชาติไทยของคนเหล่านี้คงหายไปพร้อมกับกระสุนนัดแรกที่ลั่นออกมาจากปากกระบอกปืนใหญ่ของกัมพูชา หรืออาจจะหายไปตั้งแต่รับเงินของกระทรวงต่างประเทศก็เป็นไปได้ และสิ่งที่ทูตคนนี้พูดในประโยคสุดท้ายคือ “ขอฝากเอาไว้กับทางมหาวิทยาลัยผู้ให้ความรู้ สอนนักเรียนด้วยเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจและมีอคติที่ผิดๆ ฝังใจ" ซึ่งแปลความได้ว่าปัจจุบันมหาวิทยาลัยไทยคงสอนนักศึกษาด้วยเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เป็น “เท็จ” อันที่จริงน่าจะถามทูตคนนี้ว่ามหาวิทยาลัยใดที่เธอทราบมาว่า สอนประวัติศาสตร์ที่เป็น “เท็จ” หรืออาจถามนายชาญวิทย์ ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ซึ่งคงจะทราบดี ผู้รับใช้ฮุนเซนจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พยายามที่จะบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างกระแสอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาว่าพันธมิตรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นมา อาจมีชาวบ้านที่ไม่รับรู้ข้อมูลหรือมีข้อมูลไม่เพียงพอหลงเชื่ออยู่บ้าง แต่ผู้ที่จิตใจที่เปิดกว้างและรู้จักคิดวิเคราะห์ก็จะทราบและรู้เท่าทันเล่ห์กลของคนเหล่านี้ และคนไทยส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างนี้ จึงทำให้การสร้างกระแสเกลียดชังพันธมิตรจุดไม่ติด และนับวันผู้คนก็จะรู้ธาตุแท้และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มบุคคลเหล่านี้มากขึ้น พอกันทีสำหรับพวก “นักลัทธิชุมชนจินตนาการสามานย์” ข้างนักการเมืองและข้าราชการที่มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาแผ่นดินไทยก็ตามไม่ทันในชั้นเชิงการฑูตและการทหารของฮุนเซน ผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับการทำสงครามและการเมืองระหว่างประเทศ จึงทำให้ไทยตกเป็นรองกัมพูชาอยู่หลายช่วงตัวในเวทีสากล ครั้นพวกรัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรกับฮุนเซน ก็หันกลับมาแว้งกัดพันธมิตรผู้รักชาติด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อจัดการกับผู้ชุมนุมตามคำสั่งที่ได้รับจากฮุนเซน (ตามที่หนังสือกัมพูชาฉบับหนึ่งระบุไว้) หรือว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลไทยก็กลายเป็นผู้รับใช้ฮุนเซนด้วย หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงยอมรับฟังคำสั่งจากฮุนเซนอย่างเชื่องๆให้มาจัดการสลายการชุมนุมของพันธมิตร หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงยอมเสียเปรียบกัมพูชา ปล่อยให้กัมพูชารุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยได้อย่างตามใจชอบ หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงไม่ประณามกัมพูชาที่ยิงปืนใหญ่ทำร้ายชาวบ้านที่เป็นพลเมืองไทย หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงจ้างนักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติ เพื่อเขียนเอกสารทำร้ายประเทศไทย หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทย จึงพยายามร้ายป้ายสีพันธมิตรว่าเป็นผู้ก่อสงคราม ทั้งที่ผู้ก่อสงครามตัวจริงคือฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชา มันช่างน่าอนาถใจจริงยิ่งนัก สำหรับประเทศไทยและประชาชนไทยที่ต้องมีรัฐบาลภายใต้การบงการของฮุนเซน น่าจะถึงเวลาที่ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินทั้งมวลต้องประสานใจและประสานเสียงตะโกนออกมาดังๆว่าพอกันที สำหรับนักการเมืองผู้อ่อนแอเกินกว่าที่จะปกป้องประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติและประชาชน พอกันที สำหรับนักการเมืองผู้ฉ้อฉลและผู้หวังประโยชน์จากฮุนเซน และการค้าชายแดน และพอกันทีสำหรับนักการเมืองและนักวิชาการที่ไร้ความสำนึกแห่งความเป็นชาติ หมดเวลาของพวกท่านแล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554, 22:28:07 (http://img145.imageshack.us/img145/5200/originalhappyvalentine2q.gif)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554, 11:31:34 MOU43 สิ้นผลบังคับ-แก้ม.190 ฝืนระบอบปกครอง
โดย : ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "ธนบูลย์"ชี้MOU43 สิ้นผลทันที"ชวน"พ้นนายกฯ เหตูไม่ขอรัฐสภาเห็นชอบตาม ม.224 รธน.40 หรือม.190 รธน.50 เขมรจับ-ตัดสิน7คนไทย ขัดกม.ระหว่างประเทศ วันศุกร์ 11 ก.พ.นี้ สมาชิกรัฐสภาจะลงมติวาระที่ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 ใน 2 ประเด็น ในที่นี่จะเน้นประเด็นอำนาจการทำข้อตกลงระหว่างประเทศ มาตรา 190 ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริง ในวันที่ 29 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 09.00 นาฬิกา นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำของประชาชนกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ นางสาวราตรี พิพัฒน์ไพบูลย์ รวมทั้งคนไทยอีก 4 คนร่วมกันไปเป็นคณะเพื่อพิสูจน์ความจริงพื้นดินอันเป็นเขตแดน(Frontier)ของประเทศไทย และเป็นอาณาบริเวณของประเทศอยู่ชิดติดพันกับเขตแดนของราชอาณาจักรกัมพูชา ถูกยึดครอง (The land that belongs to the Royal Kingdom of Thailand , is occupied by the Kingdom of Cambodia’s Military , that is able to defined as occupied territory )โดยกองทัพบกของราชอาณาจักรกัมพูชา อ้างถึงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินตั้งอยู่ที่ ต.โคกสูง ม.8 เล่ม 8 (5) อ.ตาพระยา จ.ปราจีนบุรี สารบบ เล่ม เลขที่ 20 หน้า 114 เป็นที่ดินของนายเบ พูนสุข รับโอนมาโดยการซื้อขายที่ดินจากนายสมบูน เพชร์ชื่น เมื่อ 21 ก.ค.2519 เพื่อให้ประจักษ์แก่คนไทยทั้งชาติต่อที่ดินบริเวณดังกล่าว ที่ทหารกัมพูชาบุกเข้ามาจับกุมคนไทยทั้ง 7 คนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเบ พูนสุข มาตั้งแต่ 21 ก.ค.2519 เพราะการจะออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ได้ หมายความว่าราชการไทยและประเทศไทยต้องมีการตกลงกันโดยแน่นอนแล้วในเรื่องอาณาเขตประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เพราะฉะนั้นการเข้ามาจับกุมคนไทยทั้งเจ็ด โดยกองกำลังกัมพูชาจึงเป็นการลักพาตัวคนไทย หรือเป็นการจับกุมตัวคนไทยไปเป็นตัวประกัน ตามคำอธิบายของฝ่ายกฎหมายของคณะกรรมการกาชาดสากล (The International Committee of the Red Cross) ซึ่งอาจค้นดูได้จากคำอธิบายเกี่ยวกับ สนธิสัญญาเจนีวาฉบับที่สี่ บทบัญญัติที่สองร่วม และบทบัญญัติที่สามร่วม (The Forth Geneva Convention,1949, Common Article 2 (Two) บทบัญญัติที่สองร่วม และบทบัญญัติที่สามร่วม (the Common Article 3) ใน WWW.wikipedia.org และ WWW.icrc.org รวมทั้งคดีวินิจฉัยไว้โดยศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา (The Supreme Court) คือ คดี Ker v.Illinois, 119 U.S.436 (1886) พิพากษาไว้วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.188 ว่า “การจับกุมบุคคลไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำที่เรียกได้ว่า เป็น การลักพาตัว ผู้จับกุมต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกลักพาตัว” (ค้นได้จากหนังสือรวมคำพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา เล่มที่ 119 หน้าที่ 436) และผู้ที่ถูกจับกุมตัวไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีให้ปล่อยตัวได้ในทันทีตามหลักแห่งกฎหมายว่าด้วย “Habeas Corpus”(ดังเช่นบัญญัติมาตรา 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศไทย) ปรากฏตามหลักการกฎหมายอันมีที่มาจากคดี “Marcos Perez Jimenez” โจทก์ผู้อุทธรณ์ v. Manuel Aristequieta ผู้ร้องสอด และในฐานะจำเลยผู้แก้อุทธรณ์, John E.Maguire จำเลยผู้แก้อุทธรณ์ ซึ่งพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์เขต 5 ของสหรัฐอเมริกา ชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายสำคัญอย่างเป็นศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา (The Supreme Court) วินิจฉัยไว้เมื่อ 12 ธันวาคม ค.ศ.1962 อีกทั้งศาลนานาชาติ มักยึดถือปฏิบัติตามแนวคำตัดสินเหล่านี้ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ (ค้นได้จากหนังสือรวบรวมคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สหรัฐอเมริกา เล่มที่ 311 หน้าที่ 547 [311 F.2d 547] ) ก่อนจะพิจารณาว่า ฝ่ายไทยจะมีข้อต่อสู้อย่างไร จะนำขึ้นสู่การฟ้องร้องหรือร้องทุกข์ต่อศาลนานาชาติและองค์กรนานาชาติ เราจำต้องศึกษาเสียก่อนต่อบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา หรือ MOU2543 มีความสมบูรณ์ตามกฎหมายของแต่ละประเทศที่ได้ลงนามหรือไม่? ทั้งนี้ เอกสารใด? หรือสัญญาในระหว่างประเทศฉบับใดๆ จะยกระดับขึ้นเป็น ข้อผูกพันระหว่างประเทศ(International Agreement) หรือสนธิสัญญา(Treaty) ที่ก่อพันธะระหว่างประเทศตามบทบัญญัติที่ 26 ของสนธิสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยการทำข้อตกลงระหว่างประเทศหรือสนธิสัญญา ค.ศ.1980 บัญญัติไว้ในส่วนที่ 3 (Section 3) ว่าด้วย (ENTRY INTO FORCE AND PROVISIONAL APPLICATION OF TREATIES) การส่งผลเป็นภาคบังคับและการใช้บทบัญญัติของสนธิสัญญาบังคับ บัญญัติว่า “Every treaty in force is binding upon the parties to it and must be performed by them in good faith” แปลความได้ว่า “สนธิสัญญาทุกฉบับที่มีผลบังคับนั้นมีผลผูกพันต่อคู่สัญญาทุกฝ่าย และจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาอย่างสุจริตใจ” เมื่อบทบังคับอันเป็นผลจากข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นเช่นนี้ จึงสามารถสรุได้ว่า ประการที่หนึ่ง MOU 2543 สิ้นผลลงไปแล้วตั้งแต่นายชวน หลีกภัย สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 224 รัฐธรรมนูญ 2540 หรือรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 มาตรา 190 อีกประการหนึ่ง ข้อตกลง MOU 2543 เป็นเพียงข้อตกลงกับต่างประเทศของฝ่ายบริหาร (The International Executive Agreement) ที่ไม่ได้ขอกรอบการเจรจาจากรัฐสภา และไม่ขอการรับรองในการลงนามจากรัฐสภาเสียก่อน ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญประเทศไทยตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงในฉบับปัจจุบัน มาตรา 1 บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้” อีกทั้ง ใช้รูปแบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (The Parliament System) เมื่อตรวจรัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ฉบับแรกจนฉบับปัจจุบัน อำนาจการรับรองหรือการก่อผลผูกพันต่ออธิปัตย์แห่งรัฐไทย จะต้องให้รัฐสภาให้การรับรอง (สัตยาบัน)แก่ข้อตกลงในระหว่างประเทศนั้นๆ เพื่อยกระดับไปเป็นสนธิสัญญา ก่อผลผูกพันอธิปัตย์ของรัฐ นอกจากจะย้ำยืนยันรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐสภามีอำนาจสูงสุดในการก่อผลผูกพันต่ออธิปัตย์แห่งรัฐแล้ว ยังบ่งบอกให้รู้ว่า ฝ่ายบริหารของประเทศเป็นผู้ดำเนินกิจการของรัฐ ในแง่การติดต่อกับรัฐต่างประเทศเท่านั้น ฝ่ายบริหารต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ กำกับ โดยรัฐสภา ฉะนั้น การจะแก้มาตรา 190 โดยออกกฎหมายลูกให้สอดรับกับความในบทบัญญัติของมาตรา 190 โดยกำหนดรูปแบบ และคุณลักษณะของข้อตกลงระหว่างประเทศให้ฝ่ายบริหารสามารถกระทำได้โดยทันทีนั้น เปรียบเสมือนการถ่ายโอนอำนาจ (The delegation of Powers) จากหลักสำคัญของประเทศภายใต้ระบบรัฐสภาไปสู่การปกครองที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุดแห่งรัฐในด้านการต่างประเทศทั้งมวล ซึ่งผิดหลักการถ่วงดุลอำนาจสามฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ หรือ “The Separation of Powers” ที่มองเตสกิเออร์ (Montesquieu) ปราชญ์แนวคิดประชาธิปไตยชาวฝรั่งเศส วางทฤษฎีแนวความคิดประชาธิปไตยในคริสศตวรรษที่ 17 ตามหลักแนวคิด (The School of Thoughts) รวมทั้ง ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ (The natural rights law) ของจอห์น ล็อก (John Lock) ปราชญ์แนวคิดประชาธิปไตยชาวอังกฤษ นำเสนอไว้คริสตศตวรรษที่ 16-17 ฉะนั้น ความพยายามหรือกระทำการใดๆ เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ไปสู่ประชาธิปไตยภายใต้ฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุด นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังเสมือนเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสมาชิก เป็นเพียงตัวแทนของประชาชน มิใช่เจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง ฉะนั้น ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหารจึงไม่มีอำนาจให้การรับรองด้วยวิธีผ่านกฎหมายด้วยตัวเองมาบังคับใช้กับประชาชนทั้งประเทศ ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายบริหารไปกระทำข้อตกลงระหว่างประเทศกับชาติอื่นโดยไม่ขออนุมัติเห็นชอบกรอบการเจรจาจากรัฐสภาเสียก่อน จึงฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญกฎหมายสูงสุดในประเทศ และฝ่าฝืนต่อมติมหาชน การจะเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐสภา ไปสู่ระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุดในรัฐ ซึ่งใกล้เคียงระบบประธานาธิบดี ถึงกระนั้นระบบนี้ ก็ยังต้องให้สภาสูง(Senate) ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงเช่นเดียวกันประธานาธิบดี ถ่วงดุลอำนาจ สรุปได้ว่า MOU43 สิ้นผลไปแล้ว ไม่อาจส่งต่อ(สืบทอด)ความชอบธรรมใดๆ ไปสู่ฝ่ายบริหารชุดต่อไป เพราะMOU43 เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร มิใช่สนธิสัญญาที่สามารถสืบทอด(ส่งต่อ)ภาระหน้าที่ไปสู่ความผูกพันฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และฝายตุลาการของประเทศ ให้ต้องปฏิบัติตาม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554, 12:02:54 นับแต่ในอดีตกาลตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ เรื่องใหญ่ที่ก่อให้เกิดการรบราฆ่าฟัน ชีวิตคนมากที่สุดก็คือเรื่องแย่งชิงการครอบครองดินแดน เพื่อการดำรงค์คงไว้แห่งเผ่าพันธุ์ของตน แม้กระทั่งปัจจุบันมีการมีการแบ่งเป็นชาติรัฐต่างๆมีกำหนดเขตแดนอย่างชัดเจน ปํญหาเรื่อง นี้ก็ยังคงมีอยู่ทั่วโลกแต่ก็มีการช่วยกันแก้ปัญหาด้วยความสามัคคีของคนในชาติแต่ละชาติ เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ขณะนี้ประเทศชาติของเรากำลังมีปัญหาขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่อง พื้นที่ชายแดน และประชาชนในชาติส่วนหนึ่งมีความเห็นขัดแย้งกับนโยบายของรัฐฯในเรื่องนี้(ที่นโยบายรัฐฯ อาจก่อให้เกิดการเสียพื้นที่ชายแดน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องใหญ่) รวมทั้งเรื่องที่คนไทยถูกจับไปขังในข้อหาลํ้าแดนฯ แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีทุกคน,ราษฎฐอาวุโส,นักวิชาการอิสสระอาวุโส,วุฒิสมา ชิกและสมาชิกสภาฯตลอดจนวงการสื่อต่างๆฯลฯต่างพากันปิดปากเงียบกริบ ไม่เห็นมีใครออกมาแสดงความ คิดเห็นช่วยกันหาทางออก หรือแนะนำรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติกันเลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554, 11:16:55 น่าเศร้าใจ จริงๆ ยุคนี้ อย่าไปถามหาคุณธรรม จริยธรรม
มีแต่ผลประโยชนของนักการเมืองเท่านั้น อีกไม่นานคงสิ้นชาติแน่ๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 มีนาคม 2554, 14:47:15 ทูตยูเนสโกย้ำถอนมรดกโลกพระวิหารไม่ได้ - ฮุนเซนดันแผนบริหารสุดตัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มีนาคม 2554 00:28 น. “ทูตพิเศษยูเนสโก” ย้ำถอนพระวิหารจากมรดกโลกไม่ได้ ยูเนสโกจะรีบเข้าประเมินความเสียหายและซ่อมแซม หลังจากผู้สังเกตุการณ์จากอาเซียนเข้าพื้นที่แล้ว แต่ยูเนสโกจะยุ่งแค่เรื่องปราสาทไม่เกี่ยวเรื่องเขตแดน ด้าน “ฮุนเซน” ฟ้องไทยยิงปืนครกและปืนใหญ่ใส่ 400 ลูก ขอมรดกโลกเดินหน้าพิจารณาแผนบริหารจัดการในการประชุมที่บาห์เรน และขอให้ดึงไทยหารือความเสียหายของปราสาทพระวิหารที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโกในปารีส “สก อาน” ตอกย้ำอีกแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นที่ยอมรับของนานาชาติส่วนแผนที่ของไทยไม่มีใครรู้จัก เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษของยูเนสโก กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะถอนปราสาทพระวิหารจากบัญชีมรดกโลก นายโคอิชิโรตั้งข้อสังเกตระหว่างการพบหารือกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายเอียง สุพัลเลธ โฆษกนายกรัฐมนตรีกัมพูชา อ้างคำกล่าวของนายโคอิชิโรว่า “ประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้ยูเนสโกถอนการขึ้นทะเบียนปราสาท แต่ผมได้แจ้งต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ ว่าการถอนปราสาทพระวิหารจากบัญชีมรดกโลกนั้นเป็นไปไม่ได้ในทุกทาง เพราะปราสาทพระวิหารมีคุณค่าเป็นสากลโดดเด่น” “แหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของยูเนสโก ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญยูเนสโกจะมาประเมินและซ่อมแซมปราสาทพระวิหารในอนาคต” นายโคอิชิโรบอกกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขณะเดียวกัน ฮุนเซนได้แจ้งต่อนายโคอิชิโรว่า ทหารไทยได้ยิงกระสุนปืนครกและปืนใหญ่กว่า 400 ลูก เข้าใส่ปราสาทซึ่งทำความเสียหายอย่างรุนแรงต่อแหล่งมรดกโลก นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ขอไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกชะลอแผนบริหารจัดการในการประชุมประจำปีที่บาห์เรนในเดือนมิถุนายน “แผนบริหารจัดการปราสาทโดยยูเนสโกของแหล่งมรดกโลกไม่ควรถูกละเลยเพราะการคุกคามของประเทศไทย” ฮุนเซนกล่าว และเพิ่มเติมว่า “ถ้าเราไม่รีบซ่อมแซมปราสาทพระวิหารจะตกอยู่ในอันตราย ยิ่งกว่านั้น มันจะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีที่ว่าประเทศใหญ่สามารถคุกคามยูเนสโกไม่ให้สามารถบริหารจัดการและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก” ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ อ้างคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ระบุว่านายโคอิชิโรสนับสนุนจุดยืนของฝ่ายไทยที่จะชะลอแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา โดยในประเด็นนี้นายโคอิชิโรบอกกับผู้สื่อข่าวหลังเข้าพบว่า “ยูเนสโกไม่เข้าข้างประเทศใด ยูเนสโกเป็นกลาง” สำนักข่าวข่าวด่วนกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 รายงานว่าระหว่างพบหารือกับนายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษยูเนสโก นายฮุนเซน ได้ขอยูเนสโกให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังเพื่อปกป้องปราสาทพระวิหาร ซึ่งถูกทำลายอย่างรุนแรงจากทหารไทย นายฮุนเซนได้ขอให้มีการหารือระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยกรณีความเสียหายของ ปราสาท และการหารือนั้นควรจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโกที่ปารีสพร้อมการเข้าร่วมของยูเนสโก นายฮุนเซนได้บอกกับนายโคอิชิโร มัตสึอุระ ว่าข้อพิพาทพระวิหารไม่ได้มีต้นเหตุมาจากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกตามที่ประเทศไทยกล่าวอ้าง แต่มีสาเหตุจากการรุกรานของ ไทยมากกว่า ขณะที่ นายสก อาน ได้บอกกับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเนื้อหาการพบพูดคุยและระบุว่านายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้ยกประเด็นการใช้คลัสเตอร์บอมบ์ของประเทศไทยด้วย นายโคอิชิโร มัตสึอุระ บอกกับนายสก อาน ว่ายูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเสียหายของปราสาทพระวิหารโดยเร็วที่สุด หลังอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้าประจำ พื้นที่พรมแดนไทย-กัมพูชา นายโคอิชิโร มัตสึอุระ เดินทางถึงกัมพูชาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยจะใช้เวลาเยือนกัมพูชาเป็นเวลา 3 วัน โดยได้เข้าพบนายสก อาน และนายฮุนเซน ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่สำนักนายกรัฐมนตรี และมีแผนเข้าพบกับนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ ตลอดจนจะเข้าพบกษัตริย์สีหมุนี นอกจากนี้ เขามีแผนจะพบกับตัวแทนยูเนสโกประจำกัมพูชารวมถึงเจ้าหน้าที่ทูต การเดินทางเยือนของนายโคอิชิโร มัตสึอุระ มีเป้าหมายเพื่อหาหนทางในการปกป้องปราสาทพระวิหารซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากประเทศไทย ซึ่งนายสก อาน ระบุว่าความเสียหายเหล่านี้เป็นอาชญากรรมทางวัฒนธรรมและศาสนา ตามคำกล่าวของนายสก อาน รัฐบาลกัมพูชาได้จัดประชุมพิเศษเพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของประธานอาเซียน ให้นำเสนอรายงานความเสียหายของปราสาทพระวิหารก่อนการ เดินทางมากัมพูชาของผู้สังเกตการณ์อาเซียน นายสก อาน หวังว่าอาเซียนจะส่งผู้สังเกตการณ์มายังกัมพูชาโดยเร็วที่สุด ซึ่งยูเนสโกจะได้จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมายังปราสาท สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษของยูเนสโก กล่าวในวันจันทร์ว่าปราสาทพระวิหารของกัมพูชาจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน หลังเกิดความเสียหายจากการปะทะทางทหารระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยในข้อพิพาทพรมแดนแดนเมื่อวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ ระหว่างการเข้าพบนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานคณะกรรมาธิการยูเนสโกของกัมพูชา ในวันจันทร์ นายโคอิชิโรกล่าวว่า เมื่อผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียมาถึงที่พิพาทพรมแดน ยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเมินความเสียหายโดยเร็วที่สุด “การซ่อมแซมปราสาทอย่างเร่งด่วนจะต้องดำเนินการหลังการประเมินความเสียหาย และยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญการซ่อมแซมมาซ่อมแซมปราสาท” นายโคอิชิโรกล่าว และเพิ่มเติมว่า “ยูเนสโกจะไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาพรมแดน แต่จะเกี่ยวข้องเฉพาะตัวปราสาท” ขณะเดียวกัน นายสก อาน ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอแผนที่ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนานาชาติเกี่ยวกับพรมแดนกัมพูชากับประเทศไทยให้แก่นายโคอิชิโร และได้แสดงแผนที่ซึ่งประเทศไทยบังคับใช้ฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ นอกจากนี้ นายสก อาน ได้แจ้งต่อนายโคอิชิโรถึงความเสียหายร้ายแรงของปราสาทพระวิหารที่เกิดจากกระสุนปืนครกและกระสุนปืนใหญ่ 414 ลูก ที่ตกในปราสาท “ดังนั้น กัมพูชาจำเป็นต้องเผยแพร่ข้อมูลนี้สู่ประชาคมนานาชาติ” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มีนาคม 2554, 18:09:11 ดูภาพให้เต็มตา...เจ้าพระยาสุขาวินาศ!!?
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 8 มีนาคม 2554 14:04 น. manager online ชาวเฟซบุ๊กรายหนึ่งเป็นคนมีฝีมือในการแสดงทัศนะในการล้อเลียนทางการเมืองด้วยภาพที่แสดงอารมณ์ขันได้อย่างแหลมคมอย่างยิ่ง โดยภาพนี้มีชื่อว่า “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” โดยได้กล่าวหัวข้อในการเขียนครั้งนี้ว่า “ผู้กล้าคนใหม่ของกรุงรัตนโกสินทร์” (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd531666.jpg) ภาพทางซ้ายเป็นรูปคล้ายหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สวมชุดลิเกทาแก้มแดง ส่วนด้านขวามือเป็นภาพโถส้วมถูกทุบทิ้งอยู่บนพื้น คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะทำให้ผู้ที่เห็นภาพนี้นึกถึงสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมที่ออกมาเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ด้วยการทวงคืนถนน 2 ช่องจราจรบ้าง และประกาศที่จะทุบทำลายสุขาของผู้ชุมนุมเพื่อให้ได้รับความเดือดร้อนให้ได้ เรียกได้ว่า...เห็นพระเอกลิเกคนนี้รุกไปที่ไหน ส้วมแตกที่นั่น!!! “ผู้กล้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คนนี้” ลงมือในการจัดการกับผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัย ที่ออกมาเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติและทวงคืนแผ่นดินที่เสียไปให้กับกัมพูชาได้ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน ถึงวันนี้ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน คงได้รับความนิยมในกัมพูชาอยู่ไม่น้อยเพราะสามารถเข้ามายึดดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารได้ และกลายเป็น “วีรบุรุษ 4.6 ตารางกิโลเมตร” ในขณะที่ “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” ก็ทำผลงานไม่แพ้กันเพราะสามารถทวงคืนได้ 2 ช่องจราจรจากคนไทยด้วยกันเองได้สำเร็จ พร้อมให้สมุนคอยประกาศพยายามที่จะทำลายส้วมในการชุมนุม 48 ชุด คงจะกลายเป็น “วีรบุรุษ 2 เลน 48 ส้วม” ในเร็ววันนี้ เพื่อให้สมกับความเป็นลูกไล่ให้กับ “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน” อย่างแท้จริง เจ้าพระยาสุขาวินาศ จึงน่าจะมีชื่อเต็มๆ ว่า... “เจ้าพระยาสุขาวินาศพิชิตทวิเลนมหาถุงยางเสนาบดีเตโชฮุนมาสิทธิ์” “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” มีความกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก เพราะเมื่อมีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ 10 คน พยายามจะเดินทางไปที่หน้าบ้านของเจ้าพระยาสุขาวินาศเพื่อทวงคืนถนนที่ปิดการจราจรรอบบ้านเจ้าพระยาสุขาวินาศ ถึงกับมีการใช้กองกำลังตำรวจจำนวนมากปิดซอยสุขุมวิท 31 ทั้งซอย สร้างความเดือดร้อนไปทั่วเพียงเพื่อปกป้องอธิปไตยถนนหน้าบ้านของตัวเอง จริงหรือไม่? ผลงานของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ในยามที่นักธุรกิจและผู้ประกอบการบริเวณสี่แยกราชประสงค์ร้องเรียนให้รัฐบาลจัดการกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เคยมีประวัติเผาบ้านเผาเมือง เจ้าพระยาสุขาวินาศกลับไล่ให้นักธุรกิจเหล่านั้นไปคุยกับคนเสื้อแดงเอาเองอย่างไม่มีเยื่อใย ทหารและชุมชนชาวกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทย “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” กลับใช้วิธีการประท้วงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 123 ครั้ง แต่ไม่สามารถจัดการอะไรได้ จนทำให้กัมพูชาซึ่งจากเดิมอยู่บนตีนหน้าผาฝั่งกัมพูชา ได้ทยอยสร้างถนนแล้วเข้ามายึดครองง “ยอดหน้าผา” ในดินแดนไทยจนสามารถยิงอาวุธสงครามจากยอดหน้าผาฝั่งไทยใส่ทหาร ราษฎร จนได้รับบาดเจ็บล้มตาย และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย อันถือเป็นผลงานของ MOU 2543 ที่เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ กอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอด รัฐบาลของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ถือเป็นรัฐบาลชุดแรกที่เชื้อเชิญประเทศที่สาม เข้ามาเป็นสักขีพยานว่า ประเทศไทยจะไม่ใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทย ไม่ใช้แสนยานุภาพทางการทหารเพื่อมาเป็นอำนาจต่อรองในการเจรจา และถึงขั้นที่จะนำทหารอินโดนีเซียมาสังเกตการณ์เพื่อเป็นหลักประกันว่าประเทศไทยจะไม่ปะทะเพื่อทวงคืนดินแดนจากกัมพูชาโดยเด็ดขาด “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ในยามที่เป็นฝ่ายค้าน เรียกดินแดนแม้แต่ขอบๆ ของตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นดินแดนไทย แต่พอมาเป็นรัฐบาลกลับบอกชาวโลกว่าเส้นเขตแดนไม่ชัดเจนจนกว่าจะตกลงกันได้ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นยุคแรกที่รัฐบาลไทยแทนที่จะจัดการกับทหารกัมพูชาที่รุกล้ำยึดครองดินแดนไทย กลับมาจัดการดำเนินคดีอาญากับผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติ!!? ความศักดิ์สิทธิ์ของ MOU 2543 ที่ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ยึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอดนั้น มันได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะสามารถทำให้เกิดสันติวิธี กลับกลายเป็นเครื่องมือที่กัมพูชาใช้เอาไว้สำหรับมัดมือมัดเท้าทหารไทย แล้วใช้กำลังทหารและชุมชนชาวกัมพูชาเข้ายึดครองดินแดนไทย แล้วทหารกัมพูชาก็ยิงอาวุธสงครามจากผืนแผ่นดินไทยโถมเข้าใส่ราษฎรไทยอย่างน่าอดสูยิ่ง MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไม่รวมระวางดงรัก (รวมเขาพระวิหาร) นั้นเอาเข้าจริงเหตุผลนี้ก็ไม่เคยและไม่กล้าใช้ในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและอาเซียน (ซึ่งเข้าใจว่าตรรกะนี้ใช้ไม่ได้จริงในเวทีระหว่างประเทศ) ทำให้ไทยไม่สามารถยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองในเวทีสำคัญ ส่งผลทำให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและอาเซียนเรียกร้องให้ทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร ทั้งๆ ที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานและยึดครองดินแดนไทยอยู่ MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะไม่ทำให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงและจะทำให้เป็นการเจรจาทวิภาคีเท่านั้น บัดนี้ได้ไปไกลถึงขั้นกำลังจะเชิญกองกำลังทหารต่างชาติมาเป็นสักขีพยานว่า ไทยจะไม่ใช้กำลังทหารทวงคืนแผ่นดินไทยจากกัมพูชาแล้ว จนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่พอใจต่อฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น มิเช่นนั้นกัมพูชาก็จะใช้สิทธิ์ครอบครองดินแดนไทยได้ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นมา ที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นถ้อยแถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยืนยันเส้นเขตแดนตาม MOU 2543 ว่าหมายถึงแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ในขณะที่ฝ่ายไทยไม่ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเอง แต่กลับไปใช้เหตุผลว่าเส้นเขตแดนยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะจัดทำหลักเขตแดนให้แล้วเสร็จ ได้สร้างปัญหาบานปลายอยู่ในขณะนี้ เพราะทำให้ประชาคมโลกสนใจแต่การให้หยุดยิงโดยมองไม่เห็นปัญหาการที่กัมพูชารุกรานอธิปไตยของไทย อีกทั้งฝ่ายไทยก็ดันเป็นฝ่ายเรียกร้องให้หยุดยิงถาวรเสียเอง และร่วมเชื้อเชิญให้อินโดนีเซียเข้ามาเป็นสักขีพยานเองอีกด้วย วันใดที่ทหารอินโดนีเซียลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์เมื่อใด เมื่อนั้นก็น่าเชื่อได้ว่าจะไม่มีการปะทะกันอีกระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะหากมีลูกหลงที่ทำให้ทหารอินโดนีเซียต้องบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต ก็จะทำให้ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาบานปลายจนลากอินโดนีเซียเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้อย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น การลงพื้นที่ของ “ทหารอินโดนีเซีย” ด้วยความยินยอมจากทั้ง 2 ประเทศ ทำให้กัมพูชายิ่งมั่นใจว่าประเทศไทยจะไม่มีทางใช้กำลังทหารทวงคืนแผ่นดินจากกัมพูชาได้อีกตลอดไป ซึ่งก็คือการสูญเสียดินแดนถาวรไปในทางปฏิบัตินั่นเอง แต่ความเจ้าเล่ห์ของกัมพูชาที่พยายามรุกคืบในเกมที่ฝ่ายไทยเดินตามในการเชื้อเชิญอินโดนีเซียนั้น ได้ทำให้กัมพูชาใช้อาเซียนกดดันให้ฝ่ายไทยต้องตอบรับในแผนแม่บท (ทีโออาร์) ในการให้ทหารอินโดนีเซียเข้าสังเกตการณ์ และหากฝ่ายไทยถ่วงเวลา ฝ่ายกัมพูชาก็อาจจะเชิญทหารอินโดนีเซียเข้าพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นฝั่งกัมพูชาฝ่ายเดียวไปก่อนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยั้งทหารไทยที่คิดจะทวงคืนแผ่นดินไทยจากกัมพูชาเพราะถือว่าฝ่ายไทยได้ยินยอมในหลักการไปแล้ว โดยไม่สนใจการลงตำแหน่งทหารอินโดนีเซียในฝั่งไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของกัมพูชาที่จะให้ทหารอินโดนีเซียอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นดินแดนของไทยแล้วอ้างว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา ทั้งพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร, วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ, ภูมะเขือ ฯลฯ เพื่อเป็นการดึงอินโดนีเซียซึ่งมาในนามตัวแทนกลุ่มประเทศอาเซียนมารับรองอธิปไตยของกัมพูชาในผืนแผ่นดินไทย เหมือนกับที่กัมพูชาทำมาแล้วในการเชิญทูตทหารและผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่สำรวจในผืนแผ่นดินไทยที่กัมพูชายึดครองอยู่ โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถทำอะไรได้ คนที่น่าจะมีความสุขมากที่สุดก็น่าจะเป็น “ทหารไทยขายชาติ” บางคนที่มีเมียหลายคน เมียคนหนึ่งเป็นลูกสาวเมียน้อยของฮุนเซนที่อยู่เสียมราฐ และมีเมียอีกคนเป็นลูกสาวของน้องสาวฮุนเซน ซึ่งคอยทำมาหากินค้าขายกับกัมพูชา เรียกหัวคิวสินค้าส่งออกไปยังกัมพูชาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จึงมิต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดฮุนเซนยอมยกหูถึงนักการเมืองไทยเพื่อให้ “ทหารไทยขายชาติ” คนนี้ได้ขึ้นในตำแหน่งที่จะรักษาประโยชน์ของกัมพูชาได้ต่อไป “ทหารไทยขายชาติ” จึงปฏิเสธทุกข้อเสนอของภาคประชาชนที่ให้ทหารไทยจัดการทหารกัมพูชาที่รุกรานดินแดนไทยในหลายวิธี เช่น หยุดส่งออกน้ำมันซึ่งเป็นยุทธปัจจัยให้กับกัมพูชา ให้ทำลายถนนที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์สร้างจากฝั่งกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ให้ตัดไฟฟ้าเข้าไปยังบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ใช้กองทัพอากาศผลักดันทหารกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย ฯลฯ ข้อเสนอเหล่านี้ไม่เคยได้รับการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้นจาก “ทหารไทยขายชาติ” เพราะผลประโยชน์ในพื้นที่ชายแดนมีอยู่อย่างมหาศาล แค่น้ำมันดีเซลและเบนซินที่ส่งออกข้ามไปยังฝั่งกัมพูชานั้น “ทหารไทยขายชาติ” คนนี้เคยเรียกค่าหัวคิวจากพ่อค้าลิตรละ 5 บาทมาแล้ว!!! “ทหารไทยขายชาติ” มักจะอ้างนโยบายของรัฐบาลและ MOU 2543 ของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” เป็นเครื่องมืออันวิเศษที่จะยกดินแดนไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา โดยอ้างว่าทหารไทยทำอะไรทหารกัมพูชาไม่ได้เพราะต้องปฏิบัติตาม MOU 2543 อย่างเคร่งครัด โดยต้องยึดแนวทางสันติวิธีและการเจรจาเท่านั้น ส่วน “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ก็จะยังคงสาละวนอยู่กับการแสดงความเก่งกล้าสามารถ พยายามทวงคืนถนนและทำลายส้วมของผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยทวงคืนแผ่นดินต่อไป อย่างไม่ลืมหูลืมตา!!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2554, 20:08:51 "อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล"ยันการโอนนักโทษช่วย"วีระ-ราตรี"ทำได้แน่
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 11 มีนาคม 2554 18:53 น. manager online เป็นเรื่องที่น่ามึนงงสงสัยและตกใจอย่างมาก ที่กระทรวงต่างประเทศได้ออกมาตอบโต้ทันที หลังจากบทความที่ผมเขียนด้วยความบริสุทธิ์เพียงเพื่อช่วยหาช่องทาง ช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ที่ต้องสูญเสียอิสรภาพและกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ในต่างประเทศจากข้อกล่าวหาที่อาจจะนับได้ป่าเถื่อน ไร้มาตรฐาน และปราศจากความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง ให้มีโอกาสได้เดินทางกลับมาประเทศไทยโดยปลอดภัย เผยแพร่ทางสื่อมวลชน ว่า การช่วยเหลือ คุณวีระ และ คุณราตรี ด้วยการโอนนักโทษนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาโอนนักโทษที่ต้องไม่ใช่ความผิดต่อความมั่นคง และต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ไม่มีใครปฏิเสธหลอกครับว่าการดำเนินการใดๆก็ตามที่ต้องกระทำเป็นทางการ และโดยเฉพาะที่ต้องเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขและกฎระเบียบต่างๆกำหนดไว้ แต่การช่วยเหลือคนไทยทั้งสองคนที่กำลังทนทุกข์ทรมานดังกล่าวเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนควรที่จะต้องมาร่วมมือร่วมใจกันหาหนทางช่วยเหลือโดยเร่งด่วน ไม่ใช่รีบออกมาโต้แย้งปฏิเสธเสียตั้งแต่ต้น โดยไม่ทันได้พิจารณาศึกษาให้รอบครอบครบถ้วนเสียก่อน ทำให้ข้อครหาที่ว่ารัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีความจริงใจในการช่วยเหลือคุณวีระ และ คุณราตรี ยิ่งมีความสงสัยมากขึ้น คนติดคุกนะครับแค่เพียง 1 วัน ก็ทรมานใจอย่างยิ่งแล้ว นี้ถ้านับตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2553 ที่คนทั้งสองถูกจับไปพร้อมกับคนไทยอีก 5 คน ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 73 วันแล้ว นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายกษิต และพลเอกประวิตร ตลอดจนนายชวนนท์ นายธานี และนายประสาท ไม่เคยถูกจำคุกคงไม่ทราบถึงความรู้สึกตรงนี้ หากย้อนกลับไปเรื่องนี้ตามข่าวที่ปรากฏจากสื่อมวลชนโดยทั่วไปรวมทั้การยอมรับของนายอภิสิทธิ์ เริ่มต้นจากการที่นายอภิสิทธิ์ มอบหมายให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัติย์ ไปตรวจสอบที่ดินบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตามที่มีชาวบ้านร้องเรียน ว่าถูกชาวกัมพูชา บุกรุกที่ดินทำกิน นายพนิช จึงได้ขอร้องให้ร้อยโทแซมดินและคุณวีระ เป็นผู้พาไปจนกระทั่งคนไทยที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน 7 คน ถูกทหารเขมรควบคุมตัวไปขึ้นศาลกัมพูชาจนเหตุการณ์บานปลายมาจนถึงวันนี้ นายอภิสิทธิ์ จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อผลกรรมที่เกิดขึ้นกับคุณวีระและคุณราตรี ในขณะนี้ได้อย่างสิ้นเชิง แต่พฤติการณ์ที่ผ่านมานายกอภิสิทธิ์ และรัฐบาลของท่าน นอกจากจะยังไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นในการรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ให้เห็นเท่าที่ควรแล้ว ยังปรากฏพฤติการณ์ในลักษณะทำนองการกล่าวหาซ้ำเติมคุณวีระและคุณราตรี อีกด้วย เมื่อผมออกมาเสนอช่องทางกฎหมายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ก็รีบออกมาปฏิเสธทันทีว่าทำไม่ได้ อ้างเงื่อนไขต่างๆนาๆ จากข้อมูลเกี่ยวกับกรณีการโอนตัวนักโทษในช่วงตั้งแต่ปี 2533 ถึงเดือนเมษายน 2553 มีการโอนตัวนักโทษต่างชาติไปแล้วจำนวน 860 คน และมีการโอนตัวนักโทษไทยกลับมาจำนวน 8 คน ทุกท่านที่เคารพครับ สนธิสัญญาโอนนักโทษมีลักษณะเป็นข้อตกลงสองฝ่ายที่จัดทำขึ้นโดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการถ้อยทีถ้อยอาศัย ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดที่เป็นอุปสรรคต่อหลักการดังกล่าวปรากฏอยู่ในสนธิสัญญา ประเทศคู่สัญญาก็ย่อมสามารถตกลงยินยอมกันเพื่อยกเว้นเงื่อนไขเหล่านั้นได้ และน่าจะง่ายกว่าการกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระมหากษัตริย์กัมพูชาที่ต้องขอให้พระองค์ท่านกระทำการที่อาจจะผิดต่อกฎหมายอีกด้วย เพราะเท่าที่ปรากฏในข่าวตามกฎหมายของกัมพูชานั้น นักโทษที่จะขออภัยโทษได้ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แต่คุณวีระและคุณราตรี ยังรับโทษไม่ถึงอย่าว่าแต่มีสนธิสัญญาโอนนักโทษระหว่างไทยกับกัมพูชาที่นายกษิตและนายฮอร์ นัม ฮง ลงนามไว้เมื่อ 5 สิงหาคม 2552 แล้วในขณะนี้เลยครับ แม้ก่อนจะมีสนธิสัญญาไทยและกัมพูชาก็ได้มีการโอนนักโทษให้แก่กันมาแล้ว โดยนักโทษไทย 2 คน ที่เป็นชาวมุสลิมถูกกล่าวหาในความผิดฐานเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งถือเป็นความผิดต่อความมั่นคง และนักโทษกัมพูชาต้องโทษถึงประหารชีวิตที่นายกษิต เองกล่าวว่าจะต้องดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษให้ก่อนอีกด้วย ข้อมูลนี้ปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ดังนี้ “นายกษิต ภิรมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นักโทษชายไทยมุสลิม 2 คน ซึ่งถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลกัมพูชา ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวนักโทษระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. พร้อมกับมีรายงานว่า นักโทษคนดังกล่าว ได้เข้าพบตน และภริยาตั้งแต่วันแรกที่เดินทางกลับ และขณะนี้อยู่ในการดูแลของทางการไทย ส่วนนักโทษกัมพูชาที่เราต้องส่งไปให้กัมพูชานั้น กฎหมายไทยต้องมีความตกลงว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ ซึ่งได้เจรจาไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.ค. และจะเอาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่คงไม่ต้องนำเข้าสภาฯ เพราะมี พ.ร.บ.อยู่แล้ว คาดว่าจะลงนามกับฝ่ายกัมพูชาได้ที่ จ.ภูเก็ต และจะสามารถส่งตัวนักโทษกลับไปได้ตามสัญญาที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่ต้องโทษประหารจะมีการดำเนินการเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะต้องลดโทษประหารให้เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิตก่อน จึงจะสามารถส่งตัวไปได้ตามเงื่อนไขของกฎหมายไทย ทั้งนี้ ทางกัมพูชาได้ขอตัวนักโทษจำนวน 4 คน จากฝ่ายไทยให้กลับไปรับโทษต่อในกัมพูชา แต่มีเพียงคนเดียวที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายไทยที่จะส่งตัวไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด” เห็นข้อมูลของนายกษิต ที่จะทำทุกวิถีทางแม้กระทั่งต้องรบกวนเบื้องพระยุคลบาทเพียงเพื่อที่จะช่วยนักโทษกัมพูชาที่ต้องโทษถึงประหารชีวิตให้ได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนข้างต้น เปรียบเทียบกับความพยายามช่วยเหลือคุณวีระและคุณราตรี ของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เท่าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้แล้ว พ่อแม่พี่น้องรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ( เรื่องมันแสนเศร้าจริงๆประเทศไทย) ผมจึงขอยืนยันอีกครั้งครับว่าการโอนตัวนักโทษยังเป็นช่องทางที่ดีที่สุดอีกช่องทางหนึ่งที่น่าจะสามารถช่วยคุณวีระและคุณราตรี กลับมาประเทศไทยได้ รีบเถอะครับท่านผู้มีอำนาจ ท่านผู้มหาจำเริญทั้งหลาย จะให้กราบอีกกี่ครั้งก็ยอมครับ สุดท้ายผมอยากจะกล่าวถึงปรัชญาการทำงานของผู้พิพากษาที่ทุกท่านทราบดีกันแล้วไว้ในที่นี้อีกครั้งว่า “ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าลงโทษคนไม่ผิดเพียงคนเดียว” ผมเป็นชาวพุทธเชื่อในบาปบุญคุณโทษ เวรกรรมมีจริงนะครับ ท่านผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้นระมัดระวังไว้บ้างก็ดีครับ อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา sa_anuruk @ yahoo.co.th หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 มีนาคม 2554, 22:58:30 การเมือง : การเมืองท้องถิ่น
วันที่ 14 มีนาคม 2554 05:54 65 ปีปชป.ระวังซ้ำรอย ใกล้จุดจบ'อภิสิทธิ์' โดย : ประชุม ประทีป จากกรุงเทพธุรกิจ พรรคประชาธิปัตย์จะครบ 65 ปีข้างหน้า ในวันที่ 6 เมษายน “วันจักรี” สื่อนัยสัญลักษณ์พรรคอนุรักษ์นิยม ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ บทบาทฝ่ายค้าน ไม้เบื่อไม้เมากับทหาร โดดเด่นมาตลอด กระนั้น ช่วงรัฐประหาร 8 พ.ย.2490พรรคประชาธิปัตย์สมยอมกับทหาร รับเป็นรัฐบาลขัดตาทัพโดยนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นไม่นาน (8 เม.ย.2491) ถูกบีบให้ลงตำแหน่งให้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง พรรคประชาธิปัตย์ก่อเกิดจากคนชั้นสูง เพื่อปกป้องกลุ่มศักดินาอำมาตย์นิยม เพื่อต้านอิทธิพลของ “คณะราษฎร” ที่ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย.2475 และเสื่อมอำนาจลงเพราะต่อต้านกันเอง ปีกฟาสซิสต์จอมพล ป. กำราบลงได้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งหมดสิ้นอิทธิพลในหลังกึ่งพุทธกาล ด้วยน้ำมือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ.2551 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทหารอุ้มสมร่วมกับอดีตพรรคร่วมรัฐบาลนอมินี(ทักษิณ) สวมกอด เนวิน ชิดชอบ แบบทำเป็นกระดากนิด ๆ ภายใต้การบริหารประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นไปตามกฎเหล็ก 9 ข้อ และนโยบายแถลงต่อรัฐสภา ต่อประชาชนหรือไม่ ก็น่าจะประเมินกันได้ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองแก้ไขได้หรือไม่ ปัญหาเศรษฐกิจแก้ได้หรือไม่ ปัญหาพิพาทระหว่างประเทศรุนแรงขึ้นหรือไม่ เฉพาะนโยบายปรองดอง ด้วยการมีมติ ครม. ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นำเงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชน ไปประกันตัวแกนนำและแนวร่วมฮาร์ดคอร์ นปช.เสื้อแดง ศาลต้องทยอยให้ประกันตัว ที่เพิ่งมอบตัวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ก็ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จริงหรือจะปรองดองได้จริง ๆ เป็นความชาญฉลาด หรือเบาปัญญากันแน่! ในทางกลับกัน ทหารที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่กำราบเสื้อแดง ดีเอสไอที่ทำคดีเสื้อ ก็เข้าทำนอง “หมาหัวเน่า” สิ่งที่ปฏิบัติหน้าที่ไปสูญเปล่า อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมต้องมาเสี่ยงบนทางแพร่งอำนาจ แห่งอนาธิปไตย กฎหมายไร้ความหมาย ในแง่เสื้อแดง นปช.ได้ชัยชนะแล้ว ผ่านการกดดันต่อศาล และไม่มีหลักประกันว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ประโยชน์จากการกระทำเช่นนี้จริง เพราะคนกรุงเทพฯ ย่อมไม่ปรองดองกับเสื้อแดง และจะไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ด้วย กรณี 7 คนไทยถูกเขมรจับกุมดำเนินคดีส่งขึ้นศาลพนมเปญลงโทษ จนถึงขั้นทหารเขมรยิงปะทะทหารไทยที่เขาพระวิหาร และยังตั้งเป้ายิงใส่ 3-4 หมู่บ้าน ตำบลเสาธงชัย ชาวบ้านเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย อย่างนี้ชาวบ้านตำบลเสาธงชัย และประชาชนจำนวนมาก คงไม่อยากปรองดองกับรัฐบาลที่ไม่เคยแสดง รัฐ+อภิบาล "รัฐ" ประกอบด้วย ประชาชนเป็นพื้นฐาน สถาบันพระมหากษัตริย์ปักเป็นเสาเอก และผืนแผ่นดินอาณาเขตแสดงอธิปไตย ยังมองไม่เห็นทางออกเลย ประกาศยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วตั้งรัฐบาลให้พวกนักเล่นการเมืองเก่าๆ กลับมาผสมพันธุ์กันใหม่ แล้วจะแก้ปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา ได้อย่างไร แก้ปัญหากลุ่มป้องกันราชอาณาจักรไทย เครือข่ายประชาชนไทยรักชาติ ได้อย่างไร จะแก้ปัญหาทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงได้อย่างไร อย่าลืมว่า ก่อนจะได้ตั้ง "รัฐบาลอภิสิทธิ์-เนวิน" กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องสังเวยชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ระหว่างเป็น "รัฐบาลอภิสิทธิ์-เนวิน" เกิดเหตุการณ์จลาจล ยิง เผา นองเลือด กี่ระลอก ขณะนี้ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ออกคำสั่งไล่พวกชุมนุมประท้วงออกจากถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนินนอก ภายใน 15 มีนาคม แล้วรัฐบาลไทยได้อภิบาลคนไทย ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของประเทศไทยได้แค่ไหน ยังมองไม่ออกเลย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จะมีชีวิตบนเส้นทางการเมืองอยู่ต่อไปได้อย่างไร อย่าคิดว่าเสื้อแดง "ทักษิณ" จะปรองดองด้วยจริง ภาษิตจีน 10 ปีแก้แค้นยังไม่สาย ยังใช้ได้อยู่ และอาจจะไม่นานถึงสิบปีหรอก ประชาชนกลุ่มพลเมืองต่อต้านการเสียดินแดน ก็โกรธแค้นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่เขาเชื่อว่า กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา และเขาเชื่อว่าไม่ทำตามถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าทหารพลิกเลิกค้ำรัฐบาล เลิกหนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะซ้ำรอยเมื่อกว่า 60 ปีก่อน สถานการณ์ประเทศไทยอยู่ในช่วงวิกฤตอีกรอบ เป็นวิกฤตที่รอทางออกที่ถูกต้อง ถ้าออกทางไม่ถูกแล้วละก้อ จะน่าสลดหดหู่อีกแน่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 มีนาคม 2554, 15:36:08 “ลม เปลี่ยนทิศ” อัดการเมืองปาหี่ แนะ “ยุบสภาไม่มีเลือกตั้ง” ทางออกประเทศ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มีนาคม 2554 12:18 น. บทความ “ยุบสภาไม่มีเลือกตั้ง” โดย ลม เปลี่ยนทิศ คอลัมนิสต์ไทยรัฐ “ลม เปลี่ยนทิศ” เอือมระอาสภาไทย คะแนนไว้วางใจนายกฯ “อภิสิทธิ์” กลับแพ้ “พรทิวา-ปู่จิ้น” ทั้งที่มีเรื่องฉาวโฉ่มากที่สุด ถือตบหน้าคนไทยทั้งประเทศ ชี้ใครๆ ก็รู้ว่าฝีมือของใคร โชว์เพาเวอร์ว่าใครคุมรัฐบาลตัวจริง ผิดหวังอภิสิทธิ์ปกป้องรัฐมนตรีฉาว อยากท้าสาบานวัดพระแก้วว่าไม่มีทุจริตจริงๆ ก่อนจะเห็นด้วยกับทางออกต้อง “รีบิวด์” ประชาธิปไตย ไม่ใช่ปฏิวัติโดยทหาร แต่ใช้กลไกการเมืองเปลี่ยนผ่าน หวังให้การเมืองกลับมามีคุณธรรม จริยธรรมอีกครั้ง คอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” โดยนามแฝง ลม เปลี่ยนทิศ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 21 มีนาคม 2554 ได้เขียนบทความในหัวข้อ “ยุบสภาไม่มีเลือกตั้ง” ซึ่งกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเฉพาะการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในบทความดังกล่าวระบุว่า ตนเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คิดว่า “สภา...แบบนี้ อย่ามีเสียเลยดีกว่า” ซึ่งสภาแบบนี้จะนำประเทศไทยไปสู่ความหายนะในอนาคตแน่นอน เพราะเป็นได้อย่างไรรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาทุจริตคอรัปชันมากที่สุด กลับได้คะแนนไว้วางใจสูงสุดจาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล สูงกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเสียอีก ถือเป็นการตบหน้าคนไทยทั้งประเทศ และตบหน้าระบอบประชาธิปไตยไทย เพื่อบอกให้คนไทยทั้งประเทศรู้ว่า ระบอบประชาธิปไตยเมืองไทยอยู่ในอุ้งมือใคร และเห็นว่า ถ้าประชาธิปไตยของคนไทยทุกคนจะต้องไปอยู่ในอุ้งมือของใครสักคน ไปอยู่ใน “อุ้งมือทหาร” ของทหารที่หวังดีต่อชาติ บ้านเมือง ให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีกว่าไปอยู่ในอุ้งมือของนักการเมืองที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง “ผมไม่รู้ว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ซึ่งได้รับการศึกษาชั้นสูง สาขาวิชาปรัชญาเศรษฐกิจการเมืองจาก “ออกซฟอร์ด” มหาวิทยาลัยชั้นนำ เมืองผู้ดีอังกฤษ ประเทศแม่แบบประชาธิปไตย ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม จริยธรรม กลับยอมรับประชาธิปไตยแบบนี้ได้อย่างไร ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ บ้างเลยหรือ หรือเพราะอยากเป็น “นายกรัฐมนตรี” อย่างที่คนเขาพูดกัน จึงทำให้ยอมทิ้ง “อุดมการณ์ประชาธิปไตยเมืองผู้ดี” ที่ร่ำเรียนมา” ลม เปลี่ยนทิศกล่าว นอกจากนี้ คะแนนมติไว้วางใจ ที่พบว่านายอภิสิทธิ์ได้คะแนนไว้วางใจ 249 เสียง ไม่ไว้วางใจ 184 เสียง แพ้นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเรื่องการประมูลที่ไม่โปร่งใสมากมาย ทั้งการประมูลข้าว ประมูลมัน ล่าสุดเรื่องน้ำมันปาล์ม กลับได้คะแนนไว้วางใจสูงสุดถึง 251 เสียง ไม่ไว้วางใจ 186 เสียง และยังแพ้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้คะแนนไว้วางใจ 250 เสียง ไม่ไว้วางใจ 188 เสียง ซึ่งเห็นว่า ปรากฏการณ์คะแนนเสียงที่เกิดขึ้นนี้ คนที่สนใจการเมืองก็รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของใคร เพื่อแสดงอำนาจให้นายอภิสิทธิ์รู้ว่าใครอุ้มใคร และใครคือผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐบาล “แต่ที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งก็คือ เสียงตอบของนายกฯ อภิสิทธิ์ กับนักข่าวหลังการลงคะแนนว่า คะแนนที่ต่างกันเป็นเรื่องปกติ และยังยืนยันว่า การชี้แจงของรัฐมนตรีทุกคนสามารถแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้ ฟังแล้วผมชักอยากสวมวิญญาณนักการเมืองในสภาฯ ที่ คุณชัย ราชวัตร เขียนในการ์ตูนเมื่อวาน มีสุนัขวิ่งออกจากปากได้ อยากให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ไปสาบานที่วัดพระแก้ว ว่าท่านเชื่อจริงๆ หรือว่าไม่มีการทุจริตในรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย” ลม เปลี่ยนทิศกล่าว ในตอนท้ายของคอลัมน์ ลม เปลี่ยนทิศ เห็นว่า เมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ นักการเมืองทุกคนเป็นอย่างนี้ เลือกตั้งไปกี่ครั้งก็เป็นอย่างนี้ ทำให้คนไทยไม่มีทางเลือก เพราะไม่สามารถเลือกคนที่ดี และระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ได้ ทำให้ตนเริ่มจะเห็นด้วยกับข้อเสนอทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาอนาคตที่ไร้อนาคตของประเทศไทย ไม่ให้จมอยู่กับ “ประชาธิปไตยน้ำเน่า” ที่ไร้อนาคตแบบนี้ จะต้องร่วมมือกัน “รีบิลด์” สร้างประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่ “การปฏิวัติ” โดยทหาร แต่ใช้กลไกการเมืองที่มีอยู่ เพื่อ "เปลี่ยนผ่าน" ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม จริยธรรมอีกครั้ง “หลังจากนายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาเรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้กลไกการเลือกตั้งไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมา “ปฏิรูป” และ “เปลี่ยนผ่าน” ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม จริยธรรม กระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาบ้าง แต่นี่คือฝันอันบรรเจิดของผู้คนที่ผิดหวังกับการเมืองในยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี” ลม เปลี่ยนทิศ กล่าวถึงข้อเสนอดังกล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มีนาคม 2554, 19:25:02 ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์
วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:14:37 น.มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้ ..กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลัง ถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคม ที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้ ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะ เป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่าง แท้จริง แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็น อย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้ 1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็น รัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับ สังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของ ผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอัน ใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง 2. การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมา จากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทย รักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์ ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูง ขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่ สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพ คฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มี วันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิง โอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น 3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้น ต่อไปได้มากนัก รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติ ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อ สร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคย ถูกกล่าวถึงอีกเลย 4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคน เสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืน อำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของ กฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า 5. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชา ธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนาย นพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลัง ประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสใน การที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้ เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความ โง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคม ไทยสูญเสียมาหลายครั้ง ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้าย ประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาว ไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็น ธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ptorsuwan@yahoo.com หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 เมษายน 2554, 21:13:00 การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 10 เมษายน 2554 12:43 TOR Indonesia ไทยยอมเสียโง่มหาอำนาจกัมพูชา! โดย : หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ ใครจะรู้รายละเอียดข้อเจรจาที่เมืองโบกอร์ ความจริงเป็นเช่นไร นอกเหนือจากแถลงข่าวผิวเผิน นี่คือเปิดบันทึกเงื่อนไขข้อตกลงอินโดนีเซีย ฉบับแปล ตัวแทนประเทศไทย กับประเทศกัมพูชา ไปเจรจากันที่เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ 7-8 เมษายน เพิ่งผ่านมา มีถ้อยแถลงถ้อยทีถ้อยอาศัยกันทั้งสองฝ่าย เห็นชอบจะว่าจ้างบริษัทเอกชนทำสำรวจพื้นที่ชายแดนร่วมกัน และจะหารือเรื่องปักปันเขตแดนกันในขั้นตอนต่อไป กัมพูชาเองก็เข้าใจการผลักดันเจบีซี 3 ฉบับ ที่ยังไม่ผ่านรัฐสภาไทย แต่ที่แน่ ๆ กัมพูชาไม่พอใจกองทัพไทยที่ไม่ยอมให้ผู้แทนสังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าในพื้นที่เขาพระวิหาร ส่วนนอกเหนือจากนี้ ในสาระสำคัญการเจรจาและข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ประชาชนก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเอง สำหรับฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลนอกรัฐสภา ในนามนักวิชาการ เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ขอเสนอเอกสารที่ฝ่ายรัฐไม่เปิดเผย คือ เงื่อนไขการทำสัญญา การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย มีสาระอย่างละเอียดให้พิจารณาดังต่อไปนี้ ; ข้าพเจ้าขอขอบคุณอีกครั้งในการดำเนินให้เกิดผลลัพธ์ในทางที่ดี จากการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 จากการติดตามผลของประชุมดังกล่าวและเพื่อให้สอดคล้องกับ “คำแถลงของประธานอาเซียน ตามด้วยการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011” ข้าพเจ้าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะมอบรายการดังต่อไปนี้ 1. จดหมายร่างเงื่อนไขการทำสัญญาหรือ TOR ในการจัดวางทีม IOT ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย 2.ภาคผนวกเพิ่มเติมจากจดหมาย กล่าวคือ TOR หรือเงื่อนไขการทำสัญญา การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย เป็นความหวังอย่างจริงใจว่า ข้าพเจ้าสามารถรับความคิดเห็นจากกัมพูชาและไทยต่อจดหมายร่างนี้โดยเร็ว เพื่อจะได้นำไปใช้กับร่างที่จะตามมา ข้าพเจ้าทำได้เพียงเริ่มกระบวนการแลกเปลี่ยนจดหมายเมื่อข้อตกลงนั้นได้ไปสู่ 3 ประเทศกล่าวคือ กัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าขอเรียนว่า อินโดนีเซียได้ริเริ่มเตรียมการระดับชาติสำหรับหน้าที่ที่ได้รับมอบให้สังเกตการณ์สิ่งที่กล่าวมาแล้ว ด้วยความนับถืออย่างสูง ดร.อาร์.เอ็ม มาร์ตี้ เอม.นาตาเลกาวา ฯพณฯ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรไทย นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา กรุงจาการ์ตา , กุมภาพันธ์ 2011 ข้าพเจ้าเป็นเกียรติที่กล่าวถึงคำแถลงโดยประธานของอาเซียน ตามด้วยการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 ยินดีต้อนรับคำเชิญจากกัมพูชาและไทย ที่จะขอให้อินโดนีเซีย, ซึ่งเป็นประธานอาเซียนอยู่ ณ ปัจจุบัน, ส่งคณะผู้สังเกตการณ์ไปประจำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบของคู่ภาคีเรื่องเขตแดนกัมพูชา-ไทย, เพื่อเฝ้าดูความยึดมั่นของทั้งสองฝ่าย ที่ว่าจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธ โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์มีภาระหน้าที่ดังนี้ ; "ช่วยและสนับสนุนทั้งสองฝ่ายให้สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังระหว่างกันให้จงได้ โดยการเฝ้าดูและส่งรายงานอย่างถูกต้องเป็นกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับการร้องเรียน ว่าด้วยการละเมิดความตกลง แล้วส่งรายงานนั้นไปยังแต่ละฝ่าย ผ่านอินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน” ในการนี้ข้าพเจ้าเป็นเกียรติที่จะเสนอเงื่อนไขการทำสัญญาหรือ TOR การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (Indonesian Observers Team : IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย ในภาคผนวก พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าได้ยื่นจดหมายเดียวกันนี้และแนบภาคผนวกที่กล่าวถึงให้กับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งหากท่านจะยืนยัน ในฐานะรัฐบาลไทย ในการยินยอมรับการจัดทำ TOR และยืนยันความเข้าใจในจดหมายและภาคผนวกนี้ พร้อมทั้งตอบกลับมาจะถือเป็นการประกอบเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างอินโดนีเซีย ไทย และ กัมพูชา TOR จะมีผลบังคับใช้ในวันที่อินโดนีเซียรับการยืนยันจากคู่ภาคีรายสุดท้ายว่าด้วยการตกลงยอมรับ TOR ซึ่งข้าพเจ้าจะแจ้งให้คู่ภาคีทราบต่อไปในการเริ่มบังคับใช้ TOR ด้วยความนับถืออย่างสูง ภาคผนวก เงื่อนไขการทำสัญญา (TOR) การวางทีมผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) ในพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย วัตถุประสงค์ เป็นไปตามคำกล่าวของประธานอาเซียนในโอกาสการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 ว่า "ช่วยและสนับสนุนทั้งสองฝ่ายให้สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังระหว่างกันให้จง ได้ โดยการเฝ้าดูและส่งรายงานอย่างถูกต้องเป็นกลางในเรื่องที่เกี่ยวกับการร้อง เรียนว่าด้วยการละเมิดความตกลง แล้วส่งรายงานนั้นไปยังแต่ละฝ่าย ผ่านอินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน" องค์ประกอบ ทีมสังเกตการณ์อินโดนีเซีย (IOT) จะประกอบด้วยข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนของอินโดนีเซีย รวม 30 คน ทีมสังเกตการณ์อินโดนีเซีย 30 คนนี้ จะมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ • IOT กัมพูชา 15 คน จะอยู่ในพื้นที่กัมพูชาที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย • IOT ไทย 15 คน จะอยู่ในพื้นที่ไทยที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา สถานะภาพ ทีม IOT จะมีสิทธิพิเศษในฐานะที่เป็นตัวแทนทางการทูต พื้นที่ครอบคลุม พื้นที่ครอบคลุมของ IOT กัมพูชา จะเป็นพื้นที่กัมพูชาที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย กล่าวคือ (จะระบุภายหลัง) พื้นที่ครอบคลุมของ IOT ไทย จะเป็นพื้นที่กัมพูชาที่เป็นพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวคือ (จะระบุภายหลัง) บทบาทและความรับผิดชอบ ทีม IOT จะต้อง : ก. สังเกตและตรวจสอบการหยุดรบตามที่คู่ภาคีได้ตกลง ข. ตรวจสอบความจริงในพื้นที่ตามรายงานการปะทะตามที่คู่ภาคีได้ตกลง ค. ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกในการตรวจสอบความจริงในพื้นที่ ตามรายงานการปะทะตามที่คู่ภาคีได้ตกลง ง. รักษาความยุติธรรม ความเป็นกลาง และความเป็นอิสระ อย่างเคร่งครัด ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งและภารกิจของคู่ภาคี และจะเคารพกฎกติกาของกัมพูชา(สำหรับทีม IOT กัมพูชา) และของไทย(สำหรับทีม IOT ไทย) จ. ในการดำเนินพันธกิจให้ตลอดรอดฝั่ง จะระมัดระวังท่าทีที่จะมีผลให้เกิดการขัดแย้งกัน ฉ. ยึดถือกฎระเบียบและการประชุมกับคู่ภาคี เพื่อแก้ปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ ช. ไม่ติดอาวุธ แต่จะต้องใส่เครื่องแบบและตราประจำตำแหน่ง คู่ภาคีจะต้อง : ก. รับผิดชอบเต็มรูปแบบต่อความปลอดภัยของทีม IOT ในการปฏิบัติหน้าที่ ข. ใช้มาตรการที่จำเป็นทุกมาตรการ ในการปกป้องและรักษาความปลอดภัยให้แก่ทีม IOT ค. รับรองว่าจะให้การเคลื่อนที่ที่เป็นอิสระโดยทั่ว ในพื้นที่ที่ครอบคลุมการปฏิบัติงานของทีม IOT ง. จัดเตรียมเส้นทางปลอดภัยในทันที กรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายคณะออกจากพื้นที่ครอบคลุม การรายงาน ก. ทีม IOTจะส่งรายงานประจำวันต่ออินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน ข. ทีม IOTจะส่งรายงานด่วนในกรณีที่มีการสู้รบตามที่คู่ภาคีได้ตกลงกัน และกรณีอื่น ๆ ที่เป็นที่สนใจอย่างเร่งด่วนจากอินโดนีเซียผู้เป็นประธานปัจจุบันของอาเซียน การบริหารและการจัดการสนับสนุน คู่ภาคีจะต้องจัดหา : ก. ที่พักอย่างเพียงพอ พร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการเดินทางและติดต่อสื่อสาร ข. การขนส่งทั้งทางอากาศและทางบกอย่างเหมาะสม พร้อมด้วยนักบินและคนขับ ค. เจ้าหน้าที่ประสานงานและหน่วยเคลื่อนที่ที่จะอำนวยการประสานงาน รัฐบาลอินโดนีเซียจะรับผิดชอบสำหรับ : ก. เงินเดือนและเงินได้อื่นๆ ข. ค่าพาหนะไปยังเมืองหลวงของประเทศคู่ภาคี แต่ค่าพาหนะหรือการขนส่งไปยังพื้นที่ชายแดนจะเป็นภาระรับผิดชอบของคู่ภาคี ช่วงเวลาดำเนินการ ช่วงเวลาของสัญญากำหนด.........เดือน (จะระบุภายหลัง) จากวันที่ที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายของ TOR และจะแก้ไขได้ด้วยการตกลงระหว่างสามภาคีที่เกี่ยวข้อง การทำให้เป็นผลตาม TOR ของทีม IOT จะมีการทบทวน .........เดือน (จะระบุภายหลัง) การสิ้นสุดและ/หรือ การชะลอ รัฐบาลอินโดนีเซียจะยุติหรือจะชะลอการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีการแจ้งเตือนไปถึงคู่ภาคีในกรณี : ก. สถานการณ์ในพื้นที่นำไปสู่อันตรายและการคุกคามต่อชีวิตของผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย ข. คู่ภาคีไม่ทำตามสัญญาและความรับผิดชอบในการหยุดรบตามที่ระบุไว้ใน TOR หรือ ค. คู่ภาคีมีเจตนาเพิกเฉยที่จะดำเนินการตามที่รับการแนะนำในการละเมิดการหยุดรบ ดร.อาร์.เอ็ม มาร์ตี้ เอม.นาตาเลกาวา ฯพณฯ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรไทย ข้อสังเกตภาคประชาชนไทย เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ตั้งข้อสังเกตว่า การเกิดมี “ทีโออาร์ อินโดนีเซีย” ฉบับนี้ แสดงให้เห็นว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และอาเซียน ได้รับรู้ข้อมูลถึงการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา โดยรอเพียงรัฐบาลไทย ยินยอมรับการจัดทำ TOR และยืนยันความเข้าใจในจดหมายและภาคผนวกนี้ พร้อมกับตอบกลับประธานอาเซียนก็มาจะถือเป็นการประกอบเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างอินโดนีเซีย ไทย และ กัมพูชา TOR จะมีผลบังคับใช้ในวันที่อินโดนีเซียรับการยืนยันจากคู่ภาคีรายสุดท้ายว่าด้วยการตกลงยอมรับ TOR ซึ่งก็คือประเทศไทย แต่ประชาชนไทยกลับไม่ได้รับรู้ความจริง โดยความจริงที่ควรจะเป็น ตัวแทนประเทศไทยไม่สมควรยอมรับทีโออาร์ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นลักษณะพหุภาคี โดยดึงในนามกลุ่มอาเซียนเข้าไปรองรับการปฏิบัติที่ผิดธรรมเนียมตั้งแต่การก่อเกิดกลุ่มอาเซียน ยังดีสำหรับประเทศไทย ก่อนการประชุมที่โบกอร์ ผบ.เหล่าทัพของไทยได้ยืนกรานหนักแน่นอย่างเป็นทางการ จะเจรจาคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ จีบีซี ในกัมพูชาหรือในไทยเท่านั้น รวมทั้งไม่ยอมให้ผู้แทนสังเกตการณ์ฯขึ้นไปบนเขาพระวิหารซึ่งเป็นของประเทศไทย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่ออธิปไตยยิ่งขึ้นไปอีก เราจะวางใจไม่ได้ โดยเฉพาะในวงเล็บที่จะระบุรายละเอียดเพิ่มเติมลงไป จะวางใจไม่ได้ ตราบใดคนที่อ้างเป็นตัวแทนประเทศไทยไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ สมยอมประเทศกัมพูชา ที่ทำตัวประหนึ่งเป็นมหาอำนาจใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข่มเหงประเทศไทยสยาม หลายหนหลายคราว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 เมษายน 2554, 08:57:03 วิเคราะห์-วิพากษ์ "ยิ่งลักษณ์" จากมุมมองใน-นอกประเทศ: ไพ่ใบสุดท้ายของพี่ชาย-วิธีเลือกผู้นำที่ล้าสมัย
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น. "ยิ่งลักษณ์" ไพ่ใบสุดท้าย กุมชะตา "ทักษิณ-เพื่อไทย" (หน้าการเมือง หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 เมษายน 2554) ความคืบหน้าล่าสุด ของ "พรรคเพื่อไทย" ที่เปิดโหมดเลือกตั้ง เข้าสู่โหมดของการหาเสียง คือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เคาะชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" น้องสาวคนสุดท้าย ให้ลงสมัคร ส.ส.ในระบบ "ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1" ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งนั่นหมายความว่า โอกาสที่ "ยิ่งลักษณ์" จะถูกดันให้ขึ้นเป็นตัวแทน "พรรคเพื่อไทย" ในตำแหน่ง "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี" พุ่งสูง หนีแคนดิเดตคนอื่นๆ ลิบลับ โดยในวงประชุมกลางเมือง "ดูไบ" ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่แวดล้อมไปด้วย "สายทักษิณ" ไม่ว่าจะเป็น "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" , "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" , "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" และ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" สรุปร่วมกันว่า "ยิ่งลักษณ์" คือผู้ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเป็น "ผู้นำทัพเพื่อไทย" ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสถานการณ์การต่อสู้ระหว่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ" และ "ฝ่ายถืออำนาจ" เข้ามาถึงจุดสำคัญ ที่ทำให้มองได้ว่า "ชัยชนะหลังการเลือกตั้ง" ไม่ได้มีความหมายเพียง "การชิงอำนาจรัฐ" หากย้อนมองสถานการณ์การเมืองในภาพรวม "พรรคเพื่อไทย" และ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เผชิญศึกใหญ่อยู่ 2 ด้าน คือ "แรงต้านจากภายนอก" กับ "แรงกระเพื่อมภายใน" โดย "แรงต้านจากภายนอก" นั้น แกนนำใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ประเมินตรงกันว่า ไม่ว่า "เพื่อไทย" จะส่งใครมานั่งเป็น "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี" ก็หนีไม่พ้นข้อกล่าวหา "นอมินีทักษิณ" และต้องเผชิญกับการโจมตีทุกรูปแบบ ไม่ต่างจากกัน และที่สำคัญคือ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสโจมตีเหล่านี้ได้ ดังนั้น ทั้งหมดจึงหันมอง "ปัญหาภายใน" คือ "แรงกระเพื่อมในพรรค" ที่ขณะนี้ "แกนนำระดับบิ๊กเนม" หลายคน ประกาศตัวในทั้งที่ลับและที่ไม่ลับ จะขอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ว่า "แกนนำคนไหน" จะได้ขึ้นมาหยิบชิ้นปลามัน เอาไปได้ ย่อมทำให้ "ผู้ที่ผิดหวัง" ตีโพยตีพาย สร้าง "แรงกระเพื่อมภายใน" ได้รุนแรง และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมา จึงมีการเสนอชื่อ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งถือเป็นสายตรงที่สุด ขึ้นมาเป็น "แคนดิเดต" คนสำคัญ ภายใต้สมมติฐาน ที่ว่า สถานะ "สายตรง" ของ "ยิ่งลักษณ์" จะสามารถสยบ "ศึกใน" และทำให้ "เพื่อไทย" กลับมาแข็งแกร่ง เพื่อสู้ "ศึกนอก" ในการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผล "แพ้-ชนะ" ในสนามเลือกตั้ง คือ คำพิพากษา อนาคต "เพื่อไทย" ลมหายใจ "เสื้อแดง" และสำคัญที่สุดคือ ชีวิตของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เพราะหาก "เพื่อไทย" ต้องพ่ายแพ้ใน "การเลือกตั้ง" ครั้งนี้ เอฟเฟ็คต์สำคัญที่จะตามมาคือ ผลกระทบต่อความมั่นใจใน "กระแสทักษิณ" ซึ่งจะส่งผลต่อความชอบธรรม ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทั้งในระบบรัฐสภาและเกมการเมืองข้างถนน โดยเฉพาะ "พรรคเพื่อไทย" ที่หลายคนมองตรงกันว่าโอกาส "พรรคแตก" มีสูง ดังนั้น การลงเลือกตั้งครั้งสำคัญ ในฐานะ "ฝ่ายค้าน" จึงไม่แปลกเลย หาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะเลือก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็น "ไพ่ใบสำคัญ" ขึ้นมาต่อกรกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" , "พรรคประชาธิปัตย์" และ "ฝ่ายถืออำนาจ" ทั้งระบบ เป็นการ "ทุ่มสุดตัว" ที่ "ระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย" มองว่า เป็น "ไพ่ใบเดียว" ที่จะเพิ่มโอกาสให้ "เพื่อไทย" ได้รับชัยชนะ แม้จะมีความพยายาม ส่งสัญญาณ คัดค้านจาก "อดีตนักการเมืองผู้ใหญ่" ในพรรค ไม่ว่าจะเป็น "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย รวมไปถึง "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ประธานพรรคเพื่อไทย และ "เสนาะ เทียนทอง" หัวหน้าพรรคประชาราช บิ๊กเนมที่เพิ่งตบเท้าเข้ามาอยู่กับ "ฝ่ายทักษิณ" โดยเป็นห่วงในสถานการณ์หลังเลือกตั้ง ว่า ความเป็น "ชินวัตร" ของ "ยิ่งลักษณ์" อาจจะสร้างปัญหาให้กับการประนีประนอมกับ "ฝ่ายถืออำนาจ" แต่ "แกนนำสายทักษิณ" สรุปเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า "อำนาจรัฐ" คือใบเบิกทางไปสู่ "โต๊ะเจรจา" ดังนั้น "ชนะเลือกตั้ง" ให้ได้ก่อน น่าจะดีกว่า !!! "วิธีการเลือกผู้นำแบบล้าสมัย!!" (เขียนโดย แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เผยแพร่ในเว็บล็อก "นิว มันดาลา" หรือ "นวมณฑล" เมื่อวันที่ 12 เมษายน) ใครก็ตามที่กำลังสนับสนุนให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตของประเทศไทย สมควรจะถูกประณามอย่างรุนแรง! การคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งผู้นำระดับชาติ ด้วยพื้นฐานในเรื่อง "สายเลือด" ถือเป็นวิถีปฏิบัติที่ไม่น่าเชื่อถือและเก่าแก่ล้าสมัย ผู้นำระดับชาติควรจะถูกคัดเลือกจากคุณสมบัติทางด้านคุณธรรมความสามารถ ไม่ใช่ด้วยหลักเกณฑ์ทางด้านสายโลหิต คุณสมบัติในการ เป็นผู้นำนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและการประสบความสำเร็จในโลกแห่งความจริง นี่คือสิ่งที่สำคัญเกินกว่าจะถูกยุติลงด้วยอุบัติเหตุทางพันธุศาสตร์ของการ มีบรรพบุรุษร่วมกัน พวกเราล้วนรู้เป็นอย่างดีว่า การที่สมาชิกคน หนึ่งในครอบครัวใดมีความสามารถและได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าบรรดาเครือญาติร่วมสายเลือดของเขาจะถูกสร้างขึ้นมา ให้มีความสามารถในระดับเดียวกัน ประวัติศาสตร์ถูกทำให้เรี่ยราดไปด้วยการกระทำที่โง่เขลาอันน่าเศร้าสลดของ พี่น้องซึ่งมีความทะเยอทะยานมากเกินไป, เครือญาติที่มีความโหดเหี้ยมอำมหิต และบรรดาลูกชายผู้เบาปัญญา การนำทางประเทศชาติในช่วงเวลาอันยากลำบากต้องอาศัยมากกว่านามสกุลอันเป็นมงคล นี่คือช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องก้าวให้พ้นไปจากรอยทางของระบอบปิตาธิปไตยเสียที หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 20 เมษายน 2554, 23:30:02 ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักวิชาการเสื้อเหลืองวิพากษ์ม็อบตัวเอง
(ข้อมูลจาก มติชน วันที่ 18 เม.ย.54) มาถึงปี 2554 เขายืนยันว่า "พรรคพันธมิตร" ยังมีโอกาสเกิดขึ้นในสังคมไทย ทว่าไม่ใช่นาทีนี้ "ตอนนี้มันเร็วเกินไป เพราะการทำความเข้าใจกับผู้สนับสนุนยังไม่ทั่วถึง ส่วนมกกระบวนการทางการเมืองที่เกิดขึ้น มันมักไม่ชอบเป็นกลุ่มการเมืองที่แท้จริง แต่ถ้าใช้เวลาสัก 4-5 ปี สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป คือ...มันต้องรอให้สมาชิกเรียกร้องเอง ไม่ใช่ใช้มติแกนนำมัด" ส่วนเสียงเสียดเย้ยจาก "นักเลือกตั้ง" ที่ว่า กมม.ไม่มีโอกาสหิ้ว ส.ส.เข้าสภา จึงปฏิเสธการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งนั้น "ชัยอนันต์" หัวเราะเล็ก ๆ ก่อนยอมรับว่า "ก็ถูกของเขาด้วย ก็ดูว่าเลือก ส.ส.คงแพ้เขาล่ะ" ในเมื่อพันธมิตรทำกิจกรรมทางการเมืองต่อเนื่อง มีประวัติศาสตร์ต่อสู้ร่วมกัน มีมวลชนสนับสนุน เหตุใดถึงเป็นพรคการเมืองใน พ.ศ.นี้ไม่ได้ ? "เพราะการรวมตัวของกลุ่มพันธมิตรเป็นการรวมตัวเพื่อต่อต้าน ไม่ใช่รวมตัวเพื่ออยากไปมีนโยบายอะไร ผู้สนับสนุนมีจุดร่วมอย่างเดียวคือเกลียดทักษิณ ไอ้ที่ผสมโรงเข้าไป มีความคิดที่จะมีนโยบายมันเป็นเพียงส่วนน้อย ทีนี้พอน้อยอยากเป็นพรรคการเมือง แต่ส่วนใหญ่มารวมตัวเพราะไม่ชอบทักษิณด้านเดียว มันเลยค่อย ๆ ถอนไป เหมือนตอนนี้เห็นไหม (ยิ้มมุมปาก) พอมาชูนโยบายด้านการต่างประเทศ คนสนใจน้อยมาก เดินไปดูมีแต่พวกญาติธรรมทั้งนั้น คนเดิม ๆ ที่เคยมาก็หายไป" ถือเป็นคำยืนยันว่า ใน "ม็อบเหลือง" มีหลายเฉด-หลายส่วนผสม แล้วคนเหล่านี้แปรสภาพเป็นกลุ่มไม่เอารัฐบาล "อภิสิทธิ์" ได้อย่างไร ? ""พวกไม่ชอบอภิสิทธิ์เนี่ย เฉพาะแกนนำมั้ง แกนนำเกิดไม่พอใจขึ้นมา เลยไปพูดบนเวที ทำให้คนพลอยไม่ชอบอภิสิทธิ์ไปด้วย ซึ่งการไม่ชอบอภิสิทธิ์แล้วออกมาโจมตีมาก ๆ เป็นผลเสียแก่พวกพันธมิตรนะ เพราะน้ำหนักมันไม่มากพอ อภิสิทธิ์ไม่ได้มีภาพพจน์เผด็จการ หรือโกงกิน หรือร้ายกาจอะไรมาก กลายเป็นว่า เอ๊ะ! ไม่พอใจใครสักคนหรือไง" ส่วนปลายทางการต่อสู้ของพันธมิตร โดยเฉพาะ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เคยประกาศรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ยังยากที่จะคาดตอนจบ ""เขาคงไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องแพ้ชนะอะไรมาก คือข้อกล่าวหาเนี่ย คนไม่ค่อยเชื่อ ไม่ค่อยเห็นด้วยว่าอะไรวะ อภิสิทธิ์ถึงกับจะขายชาติขายแผ่นดินเลยหรือ ผมว่าประเด็นที่ยกมาอ้างมันเป็นเรื่องมุมมองและข้อมูลที่ต่างกันมากกว่า" นั่นหมายความว่า พันธมิตรมีโอกาสต้องกลับบ้านมือเปล่า หลังมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภา "ถามว่าจะจบเมื่อมี พ.ร.ฎ.ยุบสภาหรือเปล่า เขาก็คงกลับบ้านไปแหละ ถ้าเทียบปี 2548 กับตอนนี้ พลังของพันธมิตรแบบเมืองไทย มันจะดีต่อเมื่อคนมีความรู้สึกร่วมกันก่อน เพราะไม่มีอาวุธอื่นใดนอกจากการรวมกำลังกัน" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 13 พฤษภาคม 2554, 22:46:56 ผมเห็นด้วย > ถ้า พรรค กมม.จะส่งสมาชิกมาร่วมลงแข่งขันเลือกตั้งกันตามระบบ
แต่ไม่เห็นด้วยเลย กับการมารณรงค์โนโหวต เพราะมันไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรม"แพ้ชวนตี" อีกอย่างคือ มันจะไปเข้าทาง พรรคเพื่อแม้ว เต็มๆ เพราะพวกฐานเสียงแม้ว มันคงไม่โหวตโนแน่ๆ ส่วนที่อาจจะหันมาโหวตโน คือฐานเสียงส่วนที่อาจจะทับซ้อนกัน ระหว่าง กมม.กับ ปชป.กลายเป็นตัดแต้มกันเอง สนธิเอง ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่น่าไว้ใจไปกว่า อภิสิทธิ์ ซ้ำร้ายยังกลับลำเป็นว่าเล่น ในช่วงหลังๆ ถ้าไม่นับตอนที่ประกาศจะไม่ลงเล่นการเมือง แต่สุดท้ายก็มาเป็นหัวหน้าพรรค อันนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้การออกมานำเสนอว่า อภิสิทธิ์แย่กว่าทักษิณ แย่กว่าเพื่อไทย ผ่านสื่อผู้จัดการรายวันนี่สิ ไร้สาระสิ้นดี ไม่ได้หมายความว่า อภิสิทธิ์จะวิเศษวิโส จนวิจารณ์ไม่ได้ แต่กลุ่มบุคคลที่อ้างว่าอยากจะนำเสนอการเมืองระบบใหม่ ไม่สมควรมาพลิกลิ้นปลิ้นปล้อนรายวัน ซึ่งไม่ต่างกับการเมืองแบบเก่าๆ(ที่ตัวเองด่าทอรายวันบนเวที)เลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 พฤษภาคม 2554, 23:00:17
เขารณรงค์ VOTE NO ครับ ไม่ใช่ NO vote หมายความว่า ไปเลือกตั้ง แต่กาช่องที่ไม่เลือกใคร และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิ์ไว้ ซึ่งพี่เห็นด้วย ประเด็นอภิสิทธิ์ เมื่อก่อนตั้งแต่เกิดมา จนอายุ 50กว่า เลือกแต่ ปชป.มาตลอด แต่ตอนนีไม่เลือกแล้ว ส่วนที่ว่าอภิสิทธ์ จะดีกว่าทักษิณกี่มากน้อย พี่ไม่ทราบ แต่พี่คิดว่า อภิสิทธ์ เป็นแค่ คนชั้นสูงที่อยากเป็นนายก เท่านั้น ไม่มีความสามารถในการบริหาร แถมยังตกเป็นเครื่องมือให้คนเลวๆอย่างสุเทพใช้เป็นเครื่องมือ ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ดูดี พูดจามีเหตุมีผล พอเป็นนายก ก็ เข้าอีหรอบ นายกคนก่อนๆที่ผ่านมา น่าผิดหวังจริงๆๆ ไม่มีจุดยืน ไม่วิสัยทัศน์ ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ เพราะไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยผ่านงานบริหารมาเลย ทำอะไรไม่ได้เรื่องซักอย่าง..ดีอย่างเดียว คือพูดเก่ง..เป็นนายก โพเดียม อย่างที่เขากล่าวหาจริงๆๆ อย่าไปว่าคนที่เขามาต่อต้านอภิสิทธ์ เลยครับ หันกลับไปมองว่า อภิสิทธ์ มีน้ำยาจริงหรือไม่??? เลือกตั้งรอบนี้ เป็นฝ่ายค้านอีกตามเคย...ขอแสดงการต้อนรับว่าที่หัวหน้าฝ่ายค้าน..และกลับเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม ..จะดีกว่านะครับ....นายกโพเดียม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Aj.O ที่ 13 พฤษภาคม 2554, 23:52:23 ผมเห็นด้วยกับคอมเมนต์นี้ครับ
อ้างจาก: คลำปม การเรียกร้องสารพัดเงื่อนไขที่กลุ่มคนโหวตโนต้องการนั้นไม่มีรัฐบาลไหนทำให้ ได้ ถึงขนาดไปเรียกร้องให้ทหารเขาทำรัฐประหาร ทหารเขาก็ไม่เอาด้วย และ MGR เคยลงบทความระดมรายชื่อทูลเกล้าขอให้พระเจ้าอยู่หัวของพวกเราไปคุยกับเขมรเพื่อปล่อยตัวคุณราตรี , วีระ ด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้ทำได้หรือ? เหมาะสมไหม? ถ้าไม่โดนชาวเน็ทรุมประนามเรื่องแบบนี้จะไปจบลงตรงไหน? ดังนั้นถ้าเพื่อไทยชนะ และทักษิณกลับมา ผมไม่โทษคนเลือกทักษิณนะครับ เขาชอบทักษิณเขาก็เลือกทักษิณ มันเป็นสิทธิ์ของเขา และผมก็ไม่คิดว่าเป็นความผิด ปชป. ที่แพ้ เพราะผมก็เข้าใจว่าเขาก็ไม่อยากแพ้ เขาก็สู้เต็มที่ในแนวทางของเขาแล้ว ผมคงปลอบใจและเป็นกำลังใจให้พวกเขาสู้ต่อไป สู้จนกว่าผู้คนในประเทศนี้จะเข้าใจแนวทางที่รัฐบาลนี้ทำมากขึ้นๆ รวมทั้งผมก็ไม่คิดจะโทษคนโหวตโน เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาไม่พอใจในรัฐบาลใดเลย เขาแยกไม่ได้ว่าใครควรได้เป็นรัฐบาลต่อไป เขาก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่เลือกใคร แต่หากหลังทักษิณ (หรือแม้นแต่อภิสิทธิ์) กลับมาแล้ว มีคนเอาเสียงโหวตโนมาอ้างเพื่อขับไล่ทักษิณนั่นแหละครับที่ผมจะประนามมัน เพราะถ้าใครรวมเสียง สส. ได้เกินครึ่ง ผมก็ถือว่านั่นเป็นฉันทามติของประชาชน หากไม่ได้บกพร่องในหน้าที่อย่างรุนแรง ประชาชนไม่มีสิทธิไปขับไล่กันง่ายๆ คนชุมนุมมีจำนวนเทียบกับคนเลือกมาไม่ได้ครับอย่าคิดว่ารวมคนได้แสนนึงจะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้ ผมว่ามันเลว มันเป็นผลเสียต่อประเทศ หากโหวตโนไปแล้วฝ่ายไหนหรือใครจะมาก็อย่ามาเสนอหน้าอีก อย่าได้มาพูดว่าเพื่อไทยเลวกว่า ปชป. ให้ได้ยินเชียวครับ เพราะถ้าคุณทำผมนี่แหละจะถล่มคุณว่าเป็นไอ้พวกสับปรับทำตัวน่ารังเกียจ นึกจะพลิกลิ้นเพื่อเป้าหมายทางการเมืองอะไรก็ทำ แรกๆก็เห็นดีด้วยที่ ปชป. เป็นรัฐบาล แต่พอเลือกตั้ง สก. สข. แพ้ยับเบินก็ออกมาทำลาย ปชป. หนักขึ้นเรื่อยๆเพราะรู้ว่าฐานการเมืองบางส่วนทาบซ้อนกัน คนเขารู้ทันหมดแหละครับว่า พธม. ต้องการอะไร แต่เขาไม่อยากวิจารณ์กันมากมันน่าสะอิดสะเอียน ลอง ไปดูสิครับ มีนักการเมืองฝ่ายไหนเปิดปากวิจารณ์ พธม. เหมือนที่ พธม. ด่าว่าวิจารณ์/ระรานเขาไปทั่วตั้งแต่นักการเมือง , ประชาชนที่คิดต่าง ยันกองทัพ คนเขาไม่ลงมาแลกด้วยทั้งนั้น แม้นแต่นักวิชาการอย่าง อ.เจิมศักดิ์ หรือ อ.แก้วสรรค์ เขาก็แค่ติงนิดหน่อยด้วยความสุภาพ แต่ บนเวทีน่ะถึงขั้นตามถลกหนังหัวใครเขาไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่คนที่เคยต่อสู้มาด้วยกันอย่างคุณปอง อัญชลี , คุณสมศักดิ์ กระทั่งพระอย่างท่านจันทร์ก็ไม่เว้น ไอ้กลุ่มคนบุคลิกอย่างนี้นี่อ่ะนะ กำแหงหาญจะมาเสนอตัวขับเคลื่อนการเมืองใหม่ เป็นน้ำดีไล่น้ำเสีย ใครพอมีสติปัญญาบ้างก็เก็บไปคิดเอาเองครับโตๆกันแล้ว ถ้าเคยเห็นว่าทักษิณเลวอย่างไรน่าจะพอแยกแยะได้ ผมเชื่อว่าโอกาสทักษิณจะกลับมาตอนนี้มีอยู่ 50/50 และถ้าทักษิณกลับมาคนที่จะมาร้องโวยวายภายหลังก็ไอ้พวกโหวตโนนี่แหละ คนเลือก ปชป. น่ะเขาทำใจไว้แล้ว ถ้าเล่นตามกติกาแล้วแพ้มันก็ช่วยไม่ได้ เราไม่คิดว่าจะต้องเล่นนอกกติกา เหมือนอย่างที่พวกแป๊ะมันพยายามทำเลย คนพวกนี้แพ้ไม่เป็น เป็นฝ่ายค้านไม่ได้ แพ้แล้วพาลเหมือนพวกเสื้อแดงไม่มีผิดเพียงแต่ยืนคนละฝั่งเท่านั้น http://www.serithai.net/phpbb3/viewtopic.php?f=2&t=34542&start=0 ใช่ครับ ผมไม่ได้ห้ามหรือก้าวก่าย คนที่ตั้งใจจะ Vote No อยู่แต่แรกแล้ว ถ้าพูดถึงในเชิงปัจเจกนะ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม แต่เขาต้องยอมรับว่า หลังจากโหวตโนไปแล้ว หากใครจะเข้ามา ไม่ว่าพวกทักกี้ หรือพวก ปชป. ก็ตาม หากไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่อย่างรุนแรง หรือทำผิดกฏหมาย แล้ว ใช่ว่าจะไปไล่ส่งกันได้ง่ายๆ แต่ผมไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของ กมม.เท่านั้นเอง ในฐานะพรรคการเมือง แล้วออกมากล่าวอะไรแบบนี้ ถ้าพวกแป๊ะลิ้มหรือจำลอง ไม่ได้รวมตัวตั้งพรรคการเมืองมาก่อนหน้านี้ แล้วออกมารณรงค์โหวตโน ในฐานะประชาชนกลุ่มหนึ่ง ผมว่าคงไม่ผิดอะไร แต่การที่ออกมาตั้งพรรคแล้ว ออกมาแข่งขันในสนามแล้วครั้งนึง ปรากฏว่าคะแนนสู้พรรคเดิมๆไม่ได้ เลยออกมาตะโกนโหวตโนซะเลย? มันสื่อถึงอะไร? ถ้าไม่ใช่คำว่า"อิจฉาตาร้อน"หรือ"องุ่นเปรี้ยวมะนาวหวาน" ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นมวย ผม และคนอื่นๆที่ไปลงคะแนน ก็เหมือนแฟนมวย บางคนชอบมวยไทย บางคนชอบมวยสากล บางคนชอบมวยปล้ำฯลฯ บางคนก็ไม่ชอบดูเลย เป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละคน ไม่ก้าวก่ายครับ แต่แล้วมีนักมวยคนหนึ่ง(หรือกลุ่มหนึ่ง) ทีแรกตั้งใจจะมาต่อยมวยสากล พอต่อยสู้เค้าไม่ได้ก็เบนเข็มมาขึ้นเวทีมวยไทยแทน แล้วก็แพ้เค้าอีก สุดท้ายก็มาแก้ตัวน้ำขุ่นๆต่อหน้าคนดูว่า ไม่อยากขึ้นชกมวยแล้ว ป่าเถื่อนรุนแรง อย่าไปดูมันเลย! นักมวยแบบนี้ น่าเอาขวดลิโพปาไล่ครับ emo35:() หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤษภาคม 2554, 17:09:36 อยากถามน้องโอว่า การเลือกตั้ง เหมือนการเลือกดูมวยจริงหรือครับ?
การเลือกตั้ง ไม่มีการใช้เงินซื้อเสียงหรือ การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม มากๆ การเลือกตั้งไม่มีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาช่วยเหลือ นักการเมืองที่เสนอมาให้เลือก แล้วแต่เป็นคนดีทั้งนั้น จริงหรือครับ และการที่พันธมิตร ต้องการ โวตโน ก็คงไม่ใช่กลัวแพ้เลยเปลี่ยนประเด็น มาเป็นการไม่เลือกใคร แม้แต่ ปชป.ก็คงแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ดี กมม.ก็รู้ดีว่าเลือกตั้งก็แพ้แน่นอน การลงก็แพ้ ไม่ลงก็ถูกกล่าวหาว่า ขี้แพ้ชวนตี น้องโอ ทำไมไม่มองว่า การ โวตโน คือการไม่ยอมรับนักการเมืองเลวๆที่พรรคการเมืองยัดเยียดมาให้เลือก หรือบอกว่า เลือกคนที่เลวน้อยกว่า (จริงๆแล้วเลวไม่ต่างกัน) ทำไมเราต้องยอมให้พรรคการเมืองชั่วๆมาข่มขืนใจเราให้เลือกเขา หากเรามองว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่เลือกเขา..แต่เราไปใช้สิทธิ์ของเรา ไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน และการเลือกตั้งคุณก็รู้ว่า มันต้องใช้เงินมากแค่ไหน และหาก กมม. ลงเลือกตั้งแล้วใช้เงินมหาศาลเพื่อชนะการเลือกตั้ง มันก็ไม่ต่างกับพรรคเก่าๆเหล่านั้น หากลงโดยไม่มีเงิน ก็แพ้อยู่ดี แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น..เพราะตอนนี้ถึงโวตโน มากแค่ไหน มันก็คงมีรัฐบาลใหม่อยู่ดี แต่นี่คือ การเมืองภาคประชาชน อย่ารังเกียจ พันธมิตร และ กมม.เลยครับ พรรคเพื่อไทย เสื้อแดง เทพเทือก เนวิน บรรหาญน่ารังเกียจมากว่าเป็นไหนๆ เพราะพวกนี้ต่างหากที่จะเข้ามาโกงกิน ทำความเสียหายกับประเทศชาติมากว่าเป็นไหนๆ หันไปจับตา และก่นด่าพวกนั้นเถิดครับ อย่ามาด่าหรือ กระแนะกระแหน พันธมิตรเลยครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤษภาคม 2554, 17:27:32 ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา “ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน ขณะนี้พรรคการเมืองทุกพรรคต่างวิ่งเข้าสู่สงครามการเลือกตั้งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างฝ่ายต่างโหมนโยบายขายฝันเพื่อหวังชิงที่นั่งในสภาในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 3 ก.ค.นี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ลงสมัครแต่ละพรรคก็ยังคงเป็นนักการเมืองหน้าเดิม มีแนวคิดแบบเดิมๆ โดยหวังเพียงให้การหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งเป็นเพียงทางผ่านที่จะนำพาพวกเขาเข้าไปนั่งในสภา เพื่อจะมีโอกาสใช้อำนาจหน้าที่แสวงประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง อย่างไรก็ดี ขณะนี้ได้มีหน่วยงานหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจับตานักการเมืองเหล่านี้โดยเฉพาะ นั่นคือ 'เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย' ซึ่งจัดทำเว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย หรือ www.tpd.in.th ที่มี 'ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา' อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ทางการเมือง 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' จึงได้สัมภาษณ์พูดคุยกัย ศ.ดร.จรัส ถึงที่มาที่ไป และจุดมุ่งหมายในการจัดทำเว็บไซต์ดังกล่าว **อาจารย์คาดหวังว่าการให้ความรู้แก่ประชาชนในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน คือผมหวังว่าถ้าประชาชนรู้ว่า ส.ส.คนไหนไม่ดี จะได้ไม่เลือกเข้ามาอีก และสามารถเลือก ส.ส.ที่ดีเข้าสภาได้ อยากให้ชาวบ้านดูว่าจังหวัดเขามีปัญหาอะไรบ้าง และปัญหาของเขามีนักการเมืองคนไหนหยิบมาแก้ไขบ้างไหม ถ้าไม่เคยทำเลย ก็อย่ามาพูดว่าเป็นตัวแทนของประชาชน ขณะที่พรรคการเมืองเองก็ต้องเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ประเภทยี้เนี่ยพรรคต้องรับผิดชอบ คนที่ชาวบ้านยี้เนี่ยพรรคต้องไม่เอา **แล้วถ้าในพื้นที่ของเราไม่มีผู้สมัครที่ดีเลยล่ะ ก็ไม่ต้องเลือกเลย โนโหวต อย่างที่บางกลุ่มกำลังรณรงค์อยู่ตอนนี้เรื่องโหวตโนเนี่ย ผมเห็นด้วยนะ ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชนด้วยการเอาพวกที่ประวัติไม่ดีมาเป็น ส.ส. ก็มีคนถามผมเหมือนกันว่าอาจารย์ถ้าผู้สมัครที่แต่ละพรรคส่งลงมันยี้หมดเลยจะทำยังไงดี ผมก็บอกว่าก็แล้วแต่คุณ... คุณจะไม่เลือกใครสักคนก็เป็นการดี แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของบ้านเราคือกฎหมายเลือกตั้งที่ยังไม่เอื้อให้เราจัดการคนพวกนี้ ในบางประเทศเนี่ยถ้าโนโหวตเกิน 50% เขาจะให้เลือกตั้งใหม่ และคนที่ลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งนั้นเขาจะไม่ให้ลงสมัครใหม่เพราะการที่มีโนโหวตเกิน 50% แสดงว่าประชาชนเขาไม่เอาคุณ เพราะฉะนั้นคุณอย่าลงสมัครเลย และจริงๆแล้วถึงกฎหมายจะไม่ได้ห้ามลงสมัครใหม่แต่ถึงลงสมัครไปชาวบ้านเขาก็ไม่เลือก ขณะที่คนดีๆที่คิดจะทำงานการเมืองก็กล้าที่จะเสนอตัวเพราะรู้ว่าชาวบ้านต้องการคนดี ซึ่งในประเทศเหล่านี้เขาเปิดโอกาสให้สมัคร ส.ส.ได้โดยไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นช่องทางให้คนดีแต่ไม่มีทุนและไม่มีพรรคไหนส่งลงสมัครเพราะไม่ใช่พวกเขา บางคนก็เป็นคนที่ชาวบ้านส่งลงสมัครเอง พวกนี้ก็จะมีโอกาสเป็น ส.ส. พรรคกรีนในประเทศต่างๆก็เกิดจากวิธีการแบบนี้ คือมาจากคนที่มีอุดมการณ์แต่พรรคการเมืองไม่เอา ขณะที่ชาวบ้านชอบ พรรคกรีนในหลายๆประเทศเนี่ยได้ ส.ส.เขตไม่เยอะ แต่ได้ ส.ส.สัดส่วนเยอะเพราะประชาชนลงคะแนนให้พรรคกรีนกันเยอะ **บางคนมองว่าเสียงโหวตโนมันเปล่าประโยชน์ กาโนโหวตไปก็ไม่ได้อะไร ถ้ามองแค่ว่าการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นระบบตัวแทนก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์เพราะเขาจะไม่ได้ ส.ส. แต่ได้ประโยชน์ในแง่ของการแสดงสัญลักษณ์ว่าประชาชนเขายี้นักการเมืองกลุ่มนี้ นักการเมืองกลุ่มนี้คนเขายี้ตั้ง 50% แน่ะ ถ้าเขาได้เป็น ส.ส.จะเป็นยังไง ? ชาวบ้านก็บอกว่า...ไอ้เนี่ยเหรอ มันเป็น ส.ส.ด้วยคะแนนเสียง 5% เอง ผมคิดว่าน่าอายฉิบเป๋งเลย พรรคการเมืองพรรคนี้ส่ง ส.ส.ที่ชนะมาด้วยคะแนน 5% เอง ซึ่งตรงนี้ทางเครือข่ายข้อมูลทางการเมืองไทยตั้งใจไว้แล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เขตไหนที่มีโนโหวตเยอะเราจะโชว์ให้ดูในเว็บไซต์ แล้วบอกด้วยว่า ส.ส.คนไหนบ้างที่มาจากเขตที่มีโนโหวตเยอะ การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นจังหวัดที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสมัครเนี่ย โนโหวตสูงมาก **แสดงว่าคนสุราษฎร์ฯมองว่าผู้สมัครที่ลงเลือกตั้งเนี่ยไม่มีใครดีเลย ประมาณนั้น (หัวเราะ) ยกเว้นคุณสุเทพที่ได้คะแนนเยอะ แล้วสุราษฎร์ฯคือประชาธิปัตย์ คราวนี้เราออกแคมเปญในพื้นที่ภาคใต้ว่า...อย่าเลือกเพราะว่าเคยชินกับพรรคใดพรรคหนึ่ง อย่าเลือกเพราะว่าศรัทธาในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ให้เลือกโดยดูจากคุณภาพของผู้สมัคร ส.ส.จริงๆ ตอนนี้พรรคการเมืองก็เชื่อไม่ได้ ต้องพิจารณาที่ตัวคนเป็นหลัก **หัวหน้าพรรคดีคนเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าลูกพรรคจะดีด้วย ใช่ เรารู้ว่าบางคนก็ดีนะ อย่างนายกฯอภิสิทธิ์เนี่ยเป็นคนที่เราเชื่อว่าแกดี เราก็เห็นอยู่แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์มีนายกฯอภิสิทธิ์ดีอยู่คนหนึ่ง คนอื่นจะดีไม่ดีไม่รู้ พูดตรงๆว่าจากข้อมูลที่เรามีอยู่เนี่ย..ประเภทถึงคอ ว่างั้นเถอะนะ (หัวเราะ) คนอยู่ข้างนายกฯก็ไม่ไหว รับไม่ได้ ผมเองก็คนใต้นะ ผมเชียร์พรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่สายเลือดเลย แต่ถ้ารักกันจริงก็ต้องบอกว่าพรรคก็ต้องคัดคนที่ดีมาลงสมัครด้วย แต่ที่คัดมามันห่วยแตกน่ะ..พูดง่ายๆ คือไม่ใช่ว่าทำชั่วยังไง คุณภาพแย่ยังไงเราก็เลือก **อย่าดูถูกประชาชนให้มากนัก ใช่ ดูถูกเรามาก แหม..เอาอะไรมาลงให้ประชาชนเลือกเนี่ย ! เราต้องให้ชาวบ้านสั่งสอนนักการเมืองเสียบ้างว่าคุณอย่ามักง่าย พรรคไหนก็แล้วแต่ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย มันก็มีแบบนี้ ต้องให้ชาวบ้านสั่งสอนว่าอย่าส่งคนพวกนี้มา **ตอนนี้ก็มีบางพรรคที่พยายามบอกว่าถ้าไม่เลือกพรรคเราซึ่งถึงจะเลวก็เลวน้อยกว่า เดี๋ยวพรรคที่เลวมากกว่าจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองนะ แต่ผมคิดว่าเราอย่ามองแค่พรรค มองที่ตัวคนดีกว่า เราไม่ได้รณรงค์เรื่องพรรคนะ ข้อมูลของเว็บไซต์เราเน้นที่ตัวบุคคลเพราะถ้า ส.ส.ดีเนี่ย อย่างน้อยเมื่อเข้าไปทำงานในสภาเขาก็น่าจะมีความรับผิดชอบ สถาบันทางการเมืองก็น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง **มีบางประเทศที่เกิดการเปลี่ยนทางการเมืองโดยภาคประชาชน ครับ อย่างที่ประเทศเกาหลีองค์กรภาคประชาชนเขาจัดให้ชาวบ้านหย่อนบัตรลงคะแนนว่านักการเมืองคนไหนยี้ที่สุดในพื้นที่ของเขา ส.ส.ยอดยี้ในเขตนี้มีใครบ้าง ลงคะแนนกันทุกจังหวัดเลย สื่อก็ช่วยเผยแพร่ข่าวออกไป บางจังหวัดก็จัดกิจกรรมหย่อนบัตร เอา ส.ส.ยอดยี้ขึ้นป้าย มีการนับคะแนนยี้ 1 คะแนน ยี้ 2 คะแนน พอได้ ส.ส.ที่ยี้สุดๆ เช่น คนเกิน 30% บอกว่ายี้นะ เขาจะขึ้นแบล็คลิสต์ แล้วส่งชื่อ ส.ส.เหล่านี้ไปให้พรรคการเมือง บอกเลยว่า ส.ส.ยี้ที่มีอยู่ประมาณ 60 คนเนี่ย คุณอย่าส่งลงสมัครนะ ถ้าส่งมาเราจะรณรงค์ไม่ให้เลือกคนพวกนี้ แล้วก็ไม่เลือกพรรคคุณด้วย คือการเลือกตั้งของเกาหลีก็มีทั้งเลือกพรรคและเลือกคน ตอนแรกพรรคการเมืองของเกาหลีก็ไม่กลัวเพราะคิดว่าภาคประชาชนไม่เอาจริง เขาก็ส่งพวกยี้ลงสมัคร โดยส่งประมาณ 10 กว่าคน ชาวบ้านพอรู้สึกว่านักการเมืองดูถูกเขาก็เอาจริงเลย เดินถือป้ายรณรงค์กันทุกจังหวัด หัวหน้าโครงการนี้ก็ถูกฟ้อง เพราะ ส.ส.เกาหลีบอกว่าผิดกฎหมายเลือกตั้งทำให้เสียชื่อเสียง ก็เหมือนบ้านเราน่ะแหล่ะ ฟ้องกันทุกพื้นที่เลย พื้นที่ไหนรับเจ้งความแกก็ไปรายงานตัว แต่ขอประกันตัวออกมาก่อนนะ แล้วก็ไปรณรงค์ในพื้นที่อื่นต่อ จนกระทั่งว่า ส.ส.ยี้ผ่านเข้าไปในสภาได้แค่ 2-3 คน องค์กรภาคประชาชนก็เดินหน้าต่อ ปะกาศว่าถ้าพรรคการเมืองส่ง 2-3 คนนี้เข้าไปทำงานไม่ว่าจะรับตำแหน่งไหนก็จะตามดูทุกวินาทีเลยว่าแต่ละคนไปทำอะไรบ้างและจะรายงานต่อประชาชน ปรากฎว่าพรรคไม่แต่งตั้งให้เป็นอะไรเลย เป็นแค่ ส.ส.ธรรมดา และสักพักก็ค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรม ส่วน ส.ส.ที่ได้คะแนนยี้แต่ไม่มาก แค่ 15% พวกนี้เป็นนักการเมืองเลวเหมือนกัน แต่หลังจากเจอแบบนี้เขาก็เปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีขึ้น วิธีการนี้คนเกาหลีเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2541 ถึงตอนนี้การเมืองเกาหลีเข้าที่เข้าทาง เขารณรงค์ทีเดียวนะแต่ประชาชนเขาตื่นตัวมาก พอการเลือกตั้งครั้งต่อมาในปี 2546 หรือ 2547 นี่แหล่ะ เขาแทบไม่ต้องรณรงค์อะไรเลย ชาวบ้านรู้กันเองว่าใครดีไม่ดี ขณะที่ ส.ส.ก็ทำตัวดีขึ้น ไม่รู้จะเอาอะไรมาตำหนิ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มีทั้งการคอร์รัปชั่น บริษัทใหญ่ๆอย่างแดวูก็เป็นธุรกิจที่อาศัยอำนาจทางการเมืองผูกขาดทั้งนั้น หนีภาษี ใช้อภิสิทธิ์ในการรับสิทธิพิเศษในการลงทุน เหมือนบ้านเราทุกอย่าง แย่กว่าเราอีกเพราะคนเกาหลีก็ต้องพึ่งพาบริษัทเพวกนี้เป็นนายจ้าง การที่จะให้คนแสดงท่าทีต่อต้านพฤติกรรมของกลุ่มทุนเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากมาก แต่สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ ขณะที่การเข้ามากุมอำนาจทางการเมืองของกลุ่มทุนในบ้านเรายังเป็นแบบหลวมๆ ดังนั้นบ้านเราเนี่ยถ้าเราให้ข้อมูลอย่างเข้มข้นกับประชาชนและให้เขามีส่วนร่วมจริงๆ เขาอาจจะตื่นตัวมากกว่าที่เราคิด แล้วนักการเมืองเนี่ยท้ายที่สุดเขาก็กลัวประชาชนนะ **ถ้าภาคประชาชนตื่นตัว การเมืองไทยก็น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็เป็นสิ่งที่เราหวังอยู่ แต่เราก็คงต้องเผชิญกับคลื่นอีกหลายลูก อย่างครั้งนี้ผมคิดว่าเครือข่ายของเรากับพรรคการเมืองก็รณรงค์กันไปคนละทาง พรรคการเมืองอาจจะรณรงค์แบบสร้างกระแสกดดันว่าต้องเลือกพรคผมนะ พรรคนั้นมันไม่ดีนะ แต่เราบอกว่าต้องเลือกคนที่มันไม่ยี้นะ ถ้าพรรคไหนที่ส่งผู้สมัครแบบยี้มาคุณอย่าเลือกนะ พรรคไหนจะได้ ส.ส.กี่คนเราไม่สนใจหรอกเพราะถ้าพรรคไม่รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มส่งคนเข้ามาก็แสดงว่าเป็นพรรคที่ไม่ดี บอกว่าพรรคดีแต่ส่งเจ้าพ่อมาลง ส.ส. อย่างงี้เป็นพรรคที่ดีเหรอ.... พรรคดีแต่ส่งนักการพนัน เจ้าของบ่อน พ่อค้ายยาเสพติด ค้าของเถื่อน มาลงสมัคร พรรคอย่างงี้ดีเหรอ... ใครมาก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเรา คนอย่างคุณทักษิณจะกลับมาหรือไม่กลับมาผมไม่สนใจนะ เป็นเรื่องของสาธารณะที่ต้องช่วยกันดู แต่ผมมองว่าถ้านักการเมืองยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม ยังเล่นเกมกันแบบนี้ ต้องใช้อำนาจที่สามคืออำนาจของประชาชนมาช่วยกันคัดง้าง **หลังจากการเลือกครั้งนี้ เว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป เราจะติดตามพฤติกรรม ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสภาเลย แล้วก็จะมีการจัดเรตติ้ง ส.ส.ยอดเยี่ยม กับ ส.ส. ยอดแย่ คือชาวบ้านต้องมีความเป็นเจ้าของ ส.ส. ไม่ใช่เลือกมาแล้วเขาจะไปทำอะไรก็ช่าง และเมื่อ ส.ส.รู้ว่ามีคนติดตามพฤติกรรมของเขา เขาก็ต้องระมัดระวัง และถึงแม้ว่าเลือกตั้งคราวนี้เราจะเอา ส.ส.ไม่ดีออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าก็ต้องหลุดออกไปได้บ้าง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประชาชน และเราจะสร้างกระแสว่าเลือกตั้งคราวนี้จะสร้างความแตกต่างทางการเมืองได้ไหม เปลี่ยนการเมืองไทยได้ไหม **อยากให้อาจารย์วิเคราะห์การเลือกตั้งในครั้งนี้ ผมว่าคงแข่งกันดุ ประการแรกคือ การเลือกตั้งครั้งนี้เดิมพันสูงมาก ฝั่งคุณทักษิณก็พยายามที่จะชนะการเลือกตั้ง ให้เป็นเสียงข้างมากให้ได้ เพราะเป็นเรื่องของการกลับมาหรือไม่ได้กลับมา ซึ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองที่เหลือต้องลงเดิมพันสูงตามไปด้วย ประการที่ 2 เนื่องจากการเลือกตั้งคราวนี้เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ซอยเป็นเขตเล็ก ตามสถิติเนี่ยใครที่มีคะแนนจัดตั้งเกิน 35% ชนะเลย เขาก็ใช้ระบบหัวคะแนน และมีการซื้อเสียงอย่ามโหฬาร ทางฝ่าย กกต.ในแต่ละพื้นที่ ก็มีปัญหานะ เพราะพรรคการเมืองก็ส่งคนของตัวเองมาเป็น กกต. ดังนั้นเครือข่ายเรานอกจากจะจับตาผู้สมัครแต่ละพรรคแล้ว ก็ต้องจับตา กกต.ด้วย **ตอนนี้ผลสำรวจของโพลหลายสำนักก็ออกมาตรงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะมีคะแนนนำพรรคอื่นๆ ก็ยังแน่ใจอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าแต่ละโพลมีที่มาที่ไปอย่างไร ชาวบ้านก็อาจถูกทำให้เชื่อว่าเพื่อไทยจะมา คือมันเป็นโพลแบบชี้นำ ทำโพลแล้วก็รีบออกมาพูด เราก็ไม่รู้ว่าเขาสำรวจในเขตไหนบ้าง อย่างในพื้นที่ภาคอีสานเนี่ย จากการวิจัยของเครือข่ายเราก็เห็นว่าพื้นที่อีสานเหนือเป็นฐานของเพื่อไทย ภูมิใจไทยจะชนะเพื่อไทยได้สักเท่าไรก็ยังอยู่ในเขตอีสาน คือเขตชนบทนี่ชัดเจนว่าเพื่อไทยกับภูมิใจไทยแข่งกัน แต่ถ้าเป็นเขตเมืองก็ไม่แน่ ประชาธิปัตย์ก็เคยครองพื้นทิ่อยู่ ถ้าเชตเลือกตั้งเล็กลง และกินเขตเมืองเข้าไปเกิน 35% ประชาธิปัตย์ก็อาจจะแทรกเข้ามได้บ้าง **คิดว่าหลังเลือกตั้งการเมืองไทยจะเปลี่ยนไปจากเดิมไหม ผมว่าจะลงเอยคล้ายกับปี 2550 คือผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยอาจมีคะแนนนำทุกพรรค แต่จะตั้งรัฐบาลได้ก็ต้องไปจีบพรรคการเมืองอื่นๆมาร่วมรัฐบาล ก็อยู่ที่ว่าเขาจะตอบรับหรือเปล่า เขาอาจจะกลัวบางเรื่อง ก็ต้องมาคุยกัน เรื่องคุณทักษิณจะว่าอย่างไร ถ้ารับได้พรรคเพื่อไทยก็อ่าจจะได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ถ้ารับไม่ได้เพื่อไทยก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพื่อไทยก็ออกมาโวยวายว่าตั้งไม่ได้เพราะมีอำนาจแฝงเข้ามาบงการ มีทหารหนุน เพื่อให้เกิดกระแสขึ้นมา แต่พรรคอื่นก็อาจจะรับถ้าเพื่อไทยให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงดีๆ ก็เป็นไปได้เพราะนักการเมืองไม่ได้เห็นแก่ประเทศชาติอยู่แล้ว ขณะเดียวกันถ้าเพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ได้ ประชาธิปัตย์ซึ่งอาจจะมีคะแนนมาเป็นอันดับ 2 ก็จะจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าพรรคอื่นก็ต้องต่อรองสูง ยิ่งต่อรองมากก็จะได้รัฐบาลที่ไม่ได้ความ เหมือนกับการจัดตั้งรัฐบาลครั้งเนี้ย พรรคที่มาร่วมก็เอากระทรวงหลักๆอย่าง มหาดไทย พาณิชย์ อุตสาหกรรม คมนาคม ไปหมด ประชาธิปัตย์ก็ไปดูแลเรื่องขี้หมา เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็จะทำงานไม่ได้ ก็ต้องรอดู ถ้าการเมืองยังเป็นแบบเดิม ไม่ว่าขั้วไหนมาก็ไม่มีเสถียรภาพ ผมเป็นกลางนะ ยิ่งทำวิจัยได้เห็นข้อมูลนักการเมืองแบบที่ผมว่าแล้วยิ่งเป็นกลางใหญ่ คือมันแย่เหมือนกันหมด ถ้าถามว่า ส.ส.คนไหนไม่จริงใจต่อประชาชน ก็ ส.ส.ทุกพรรคน่ะแหล่ะ พูดอย่างทำอย่างทั้งนั้น แหกตาชาวบ้านทั้งนั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 29 พฤษภาคม 2554, 15:57:04 (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/ThaiPolticsCycle_resize.jpg) ขออนุญาตแย้งพี่ตะวันซะหน่อย การเมืองไม่ใช่เรื่องของทุกคน แต่การเมืองเป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน บ้างก็เลื้อยคลาน เพียงเพราะ 120 บาท ก็สามารถจ้างคนไปลงคะแนนเสียงได้แล้ว ใครมีเงินมาก ก็สามารถซื้อเสียง เป็น สส. ได้ ได้ สส. มาจำนวนหนึ่ง สามารถต่อรองเข้าร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล คุมกระทรวงสำคัญ หากินกับโครงการได้อย่างสบาย วงจรอุบาทว์เยี่ยงนี้ ไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ถ้าคนไทยยังอ่าน นสพ. หัวเขียว เป็นอันดับ 1 ของประเทศ ถ้าคนไทยมัวแต่ บ้าหนังบ้าละคร บ้าตลกขายหัวเราะ อ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด โง่แล้วยังอวดดี ก็เรียบร้อย ให้สัตว์เดรัจฉานการเมือง ครอบครองได้ทุกยุคทุกสมัย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 มิถุนายน 2554, 19:12:16 จดหมายถึง ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
โดย ดร.ปิติ ศรีแสงนาม 2 มิถุนายน 2554 09:15 น. 1 มิถุนายน 2554 เรียน รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานของอาจารย์มาโดยตลอดด้วยความชื่นชม ผมดูรายการมองต่างมุมตั้งแต่สมัยผมเป็นนักเรียน ผมยอมรับว่าอาจารย์เป็นต้นแบบ ของผมคนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และอยากทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับปากท้องของชาวบ้านคนไทย ผมชื่นชมที่อาจารย์ออกหนังสือรู้ทันทักษิณ และร่วมต่อสู้เพื่อต่อต้านทรราช ถึงทุกวันนี้ผลก็ยังติดตามรายการโทรทัศน์และวิทยุของอาจารย์อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังโดยเฉพาะวันนี้ผมรู้สึกผิดหวังในการทำงานของอาจารย์ในฐานะสื่อเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าก่อนนี้จะเคยรู้สึกรำคาญผู้จัดรายการร่วมของอาจารย์บางท่าน เช่นในรายการมุมมองของเจิมศักดิ์ ที่คุณจิตรกรเน้นเพียงชงเรื่อง และเออออห่อหมกไปกับอาจารย์ในทุกประเด็น จนทำให้เสน่ห์ของอาจารย์ในรายการเช่น มองต่างมุม หรือ เหรียญสองด้านหายไป แต่นั่นแหล่ะ เมื่อชื่อรายการชื่อ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ผมก็เข้าใจรูปแบบของรายการและยอมรับได้ แต่ประเด็นที่ผมรู้สึกผิดหวังกับการทำงานของอาจารย์ในฐานะสื่อสารมวลชนในวันนี้คือ ประเด็นเรื่อง “Vote NO” ที่ทุกวันนี้อาจารย์กำลังเล่นเป็นประเด็นหลัก โดยการนำบทความจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะจากหนังสือพิมพ์แนวหน้าซึ่งอาจารย์ก็ทราบดีว่าจุดยืนของฉบับนี้เข้าข้างพรรคการเมืองใด และการแสดงทัศนคติของอาจารย์ในทำนองที่ว่า เมื่อมีคนเลว กับคนเลวกว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น Vote No จึงดูจะเป็นทางเลือกซึ่งใช้ไม่ได้ และเมื่อร่วมกับผู้จัดรายการคู่กับอาจารย์แสดงความคิดเห็น Vote No จึงกลายเป็นแนวคิดที่ดูจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง ผมเข้าใจดีว่านี่คือกระบวนทรรศน์แบบเศรษฐศาสตร์ Classical แต่สำหรับอาจารย์ซึ่งมีความสนใจในเรื่องของพุทธศาสนา และได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ที่เป็นอริยสงฆ์มาแล้วเป็นจำนวนมาก ทำไมอาจารย์ไม่พิจารณาตามหลักการของเศรษฐศาสตร์แนวพุทธบ้างครับ อุปมาการทำหน้าที่สื่อของอาจารย์ ณ ขณะนี้เหมือน ถ้ามีเหล้าอยู่ 2 ขวด ขวดหนึ่งเป็นเหล้าเถื่อน ชาวบ้านแอบต้มกันเอง ไม่แน่ใจว่าจะอันตรายจากแอลกอฮอล์ที่ไม่สามารถรับประทานได้หรือไม่ กับอีกขวดหนึ่งเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นดี นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาขวดละหลายพันบาท สิ่งที่อาจารย์กำลังพยายามบอกกับทุกคนตอนนี้คือ กินเหล้าวิสกี้จากต่างประเทศเถอะ ทำไมอาจารย์ไม่ใช้รายการของอาจารย์ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดของนิสิต นักศึกษาและปัญญาชนของประเทศนี้ แสดงให้พวกเขาเห็นล่ะครับว่า จะเหล้าขวดไหนมันก็ผิดศีลเหมือนกัน มันเป็นอบายมุขเหมือนกัน เป็นสิ่งเสพติดเหมือนกัน และดื่มเข้าไปก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกายเหมือนกัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรดื่ม หรือไม่เลือกที่จะดื่ม เรื่องพรรคการเมืองก็เช่นเดียวกัน ถ้าประชาชนบางกลุ่ม บางคนเชื่อว่าพรรคการเมืองที่เป็นตัวเลือกในขณะนี้มันไม่มีพรรคไหนที่ดี ถ้าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะเกิดผลเสียต่อประเทศเช่นเดียวกัน การรณรงค์ให้ไม่เลือกใคร แต่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือการ Vote No ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขามิใช่หรือ? อาจารย์กำลังวิตกกังวลเรื่อง ล้มหล่อเพื่อช่วยเหลี่ยม มากเกินไปหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ การ Vote No ซึ่งเป็นการไม่เลือกทั้งหล่อ และทั้งเหลี่ยมนั้น โดยทางอ้อมอาจจะทำให้คะแนนของหล่อหายไป แต่คะแนนของเหลี่ยมยังอยู่ครบ แต่มันก็ได้เป็นการแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็น ทำให้ประวัติศาสตร์ต้องบันทึก และเป็นจุดเปลี่ยนทางสังคมมิใช่หรือว่าประชาชนชาวไทยกลุ่มหนึ่งเริ่มตื่นตัวทางการเมือง เริ่มคิดเป็นว่าถ้าตัวเลือกไม่ดี คนไทยก็มีสิทธิที่จะไม่เลือก ถ้าคนที่เสนอตัวเข้ามาให้เลือกไม่มีคุณธรรม ก็อย่าไปเลือก อย่างน้อยที่สุดระบบคุณธรรม จิตสำนึกที่ดีทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยก็เกิดขึ้น หน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งอาจารย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น คือการต้องเอาความจริงมาเผยแพร่ ทำไมอาจารย์ไม่ใช้โอกาสนี้นำเสนอให้ประชาชนได้รู้ทัน ทั้ง “รู้ทันหล่อ” และ “รู้ทันเหลี่ยม” ล่ะครับ นายกรัฐมนตรีบางคนหน้าตาดี ภาพพจน์ดี การศึกษาดี เป็นคนดี แต่กำลังพายเรือให้โจรนั่ง ในขณะที่อีกตัวเลือกก็เป็นร่างทรงของอดีตนายกฯ ที่อาจารย์ได้ทำการรู้ทันไปแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์เองก็มีประเด็นในเรื่องเหล่านี้มาตีแผ่ นำประเด็นเหล่านี้มาเปรียบเทียบ มาวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่สิ่งที่ผมเห็นและได้ยินจากรายการของอาจารย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ ผมเห็นอาจารย์น้ำตาซึมในรายการเมื่อมีภาพข่าวขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตาม อาจารย์อย่าลืมพระบรมราโชวาทของในหลวงที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” ในทัศนคติหรือในมุมมองของผม VOTE NO คือการทำหน้าที่นี้ครับ! จึงเรียนมาเพื่อทราบ และโปรดพิจารณาปรับปรุงแนวทางการจัดรายการของอาจารย์ให้เป็นแบบที่น่าศรัทธา น่าเชื่อถือ และเป็นพุทธะแบบ อาจารย์คนเดิมที่เป็นบุคคลตัวอย่างของผมด้วยครับ ด้วยความเคารพ อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 03 มิถุนายน 2554, 11:31:15 (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/JermSak-Piti_resize.jpg) ถึง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จาก ดร. ปิติ ศรีแสงนาม "เมื่อมีคนเลว กับคนเลวกว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด"? ขออนุญาต นำภาพเข้ามาเสริม เพื่อให้ได้เห็นภาพ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ยังหนุ่มแน่น และกล้าเขียนแย้ง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่กำลังโรยรา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มิถุนายน 2554, 14:06:01 คลี่ปริศนา"เช็ค44ใบ"มหากาพย์ซุกหุ้น"ชินคอร์ป" Posttoday.com คลี่ปมธุรกรรมเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลัง แก้วสรร อติโพธิ ย้ำว่ามีการให้การเท็จต่อศาลฯ คดีถือหุ้นแทนพ.ต.ท.ทักษิณ หลังพบประเด็น เงินกว่า 68 ล้าน แตกเป็นเช็ค 44 ใบ ส่วนใหญ่ไม่ถึง 2 ล้านบาท โดย...ปราฎา เหมทิวากร ********************** แม้สังคมจะรับรู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย ถูกข้อกล่าวหา "ให้การเท็จ" ต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ข้อเท็จจริงของคดีนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน ยิ่งใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งยิ่งทำให้มีการกล่าวถึงมากขึ้นจนเป็นประเด็นทางการเมือง!! เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยให้การต่อศาลฯเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2552 ยืนยันว่า หุ้นชินคอร์ปจำนวน 2 ล้านหุ้น เป็นการซื้อมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายเมื่อปี 2543 ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเล่นการเมือง เคยบอกว่าจะขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้กับ พานทองแท้ พยานจึงขอซื้อหุ้นจำนวน 2 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดเก็บไว้เป็นของตัวเอง แต่เนื่องจากยังไม่มีเงินมากนัก จึงขอทำเป็นหนังสือสัญญาจ่ายเงินเมื่อทวงถามแบบไม่มีดอกเบี้ย” ยิ่งลักษณ์ ระบุในคำให้การ แต่สุดท้ายด้วยหลักฐานบุคคลและเอกสารของฝ่ายโจทย์ ศาลฏีกาฯจึงมีคำพิพากษาออกมาว่า หุ้นชินคอร์ปทั้งหมดที่พ.ต.ท.ทักษิณ ขายให้บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว แท้จริงแล้วยังคงเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญปี 2540 “คำคัดค้านของยิ่งลักษณ์ และพวก ว่า หุ้นชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตน เพราะได้ซื้อมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลฟังว่าเป็นความเท็จ เป็นการสมทบให้ใช้ชื่อถือแทนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย” คำพิพากษาระบุ ประเด็นก็คือ หลักฐานสำคัญที่ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการและอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)นำออกมาชี้ชัดก็คือเช็คปริศนาจำนวนมาก ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่าเป็นเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ป ซึ่งได้ซื้อมาจากพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ยังแฝงไว้ด้วยความคลุมเครือ และไม่ชัดเจนว่าเป็นการอำพรางธุรกรรมหรือไม่ เงื่อนปมที่มีการพบไล่เรียงจากการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างต่อศาลฯว่า การซื้อหุ้นไม่ได้จ่ายเงินสด แต่เป็นตั๋วสัญญาจ่ายเงินเมื่อทวงถาม จำนวน 20 ล้านบาท ต่อมาทั้งสองพี่น้องชินวัตร จึงมีการดำเนินธุรกรรมระหว่างกันตามที่ทำตั๋วสัญญาไว้ กล่าวคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับเงินปันผลตามหุ้นชินคอร์ปที่ถือไว้ 2 ล้านหุ้น ก็มีการโอนเงินนั้นกลับไปเป็นค่าหุ้นที่ซื้อจากพี่ชาย เมื่อปี 2543 โดยแตกเป็นเช็ค 2 ใบ ซึ่งใบแรก 9 ล้านบาท และใบที่สอง นายแก้วสรร ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการเขียนตัวเลขในเช็คผิดเป็น 13.5 ล้านบาท จึงมีการแก้ไขเหลือ 11 ล้านบาท เพื่อให้พอดีกับจำนวนค่าหุ้น 20 ล้านบาท ส่วนที่เกินมา 2.5 ล้านบาท ได้สั่งจ่ายเช็คไปที่ น.ส.พินทองทา อ้างว่าเป็นค่าฝากเงินซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ ไฮไลท์จริงๆของกรณีนี้ก็คือ เงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปในงวดที่เหลือ คืองวดที่ 2-6 นั้น มีการตีเช็คเข้ามาถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวน 44 ฉบับ โดยเข้าบัญชี น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2 ฉบับ วงเงิน 2.1 ล้านบาท ที่เหลือวงเงิน 68 ล้านบาทนั้น มีการน.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างในคำให้การว่า ได้นำมาตกแต่งบ้าน ทำสวน สนามฟุตบอล สระว่ายน้ำ ซื้อทองแท่ง เครื่องเพชร เครื่องประดับ แต่สิ่งที่เป็นปริศนาของเช็คทั้งหมดก็คือ เหตุใดจึงมีการแตกเช็คเงินปันผลจำนวนมากถึง 44 ฉบับ และแต่ละงวด ก็เป็นเงินต่ำกว่า 2 ล้านบาท บางงวด 1.5 ล้านบาท บางงวด 1 ล้านบาท โดยเลขที่เช็คจะเรียงกันเป็นตับ และวันที่ออกเช็คก็ไล่เรียงกัน ตามปกติแล้วการโอนเงินปันผลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะโอนเป็นก้อน ตามงวดบัญชี เช่น รายไตรมาส หรือรายปี ให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือขึ้นกับว่าฝากหุ้นกับหน่วยงานใด หรือโบรคเกอร์ใด มีการตั้งข้อสังเกต ในเรื่องนี้ว่า เหตุใดเช็คมีการถอนเป็นเงินสดเกือบทุกวัน ในกรอบที่ไม่ต้องทำรายงานตามกฎหมายฟอกเงิน เพราะตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องรายงานที่มาที่ไป ประวัติของลูกค้า ที่ทำธุรกรรมที่เกินกว่า 2 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังเป็นปริศนาด้วยว่า หากเป็นการชำระค่าแต่งบ้านหรือซื้อทองคำจริง ควรชำระเช็คตรงไปยังผู้รับเหมาหรือผู้ขายสินค้าโดยตรงมากกว่า สุดท้ายศาลฎีกาฯ ตัดสินว่า ข้อกล่าวอ้างของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการใช้เงินสด 68 ล้านบาทมาแสดง ข้ออ้างว่าหุ้นเป็นของตัวเองจึงรับฟังไม่ได้พร้อมชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นหนึ่งในนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการถือหุ้นชินคอร์ปช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น นายแก้วสรร มองว่า ในเรื่องนี้ ยังไม่มีคำตอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นอัยการ , คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ควรเดินหน้าต่อ พร้อมยืนยันว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายมีความเสมอภาคกัน เสียงข้างมากย่อมนำพาประเทศ แต่สิ่งที่ไม่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาดคือ การนำเอาอำนาจที่ได้จากคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือได้จากความเสมอภาคทางการเมือง มาทำลายความเสมอภาคทางกฎหมาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 11 มิถุนายน 2554, 22:30:37 หาห้องการเมืองตั้งนาน เพิ่งมาเจอ มาหลบ เขม่าดินปืน อยู่ตรงนี้เอง อิๆๆๆๆ
ตอนหลังพอไม่มี ห้องการเมืองเลยไม่หนุก ไม่ได้มาต่อกร เอ๊ยตอเเย พอมาอ่านห้องนี้ชักหนุก แฮะ เเต่ขอทำการบ้านก่อน นะคะจะได้ทราบว่าไผเป็นไผ พูดผิดพูดถูก เด่ว ถูกเตะ ตอนนี้ เหลืองเเดง เเสงทองของ ซีมะโด่ง กลายๆ เป็นสีโน้นสีนี้ไปซะเเหล่ว ที่ยโส และอิสาน เเดง ทั้งเเผ่นดิน อ่ะ เเต่มีเหลืองประชาธิปัตย์ กำลังพุ่งเเรง คิดว่า 80 ต่อ20เลยล่ะ only เขต 1 อ.เมืองนะคะ เเต่วันนี้ only ยโส นะคะ ข่าวว่า เเดงเริ่มขึ้นมาเพราะกระเเส ยิ่งลักษณ์ ยิ่ง ยิ้ง ยิ๊ง จริงๆๆๆๆๆ คิดว่า อิสาน เเดงกวาด เรียบบบบบบบบ ยกเว้นยโสธร อาจจะมีเหลืองปชป.1-2 คนค่ะ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 11 มิถุนายน 2554, 22:38:24 เเต่ก็ ต้องยอมรับการตัดสินของประชาชนนะคะ ให้เขาได้ลองผิดลองถูกไป จนกว่าชาติหน้าของพวกเราโน่นเเหละ
หากเเดงได้เป็นรัฐบาลก้ดี นะ อยากเห็นจตุพร เป็น รมว .สาธารณสุข คนคงหายป่วย อยากเห็น ณัฐวุฒิ เป็น รมว.ศึกษา เผาโรงเรียนเเม่งเลย พี่น้องงงงงงงงงงงงง เรื่องจริง นะคะ อยากเห็นว่าคุณทักษิณ ที่เก่งการบริหารเป็นเลิศ ประเสริฐกว่า ตะวัน เเละวณิชย์ 555555 ว่าจะ จัดการบริหารเเกนนำเสื้อเเดงให้อยู่ในโอวาทได้อย่างไร เเค่คิด ก็สนุกเเล้ว ประเทศของฉัน เผาแม่งเลยพี่น้องงงงงงงงงงงง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 11 มิถุนายน 2554, 22:44:25 หากประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาล ก็โดนเเดงเผาเมืองอีก เสียงก็น้อย คุณเน ก็ ไปเล่นฟุตบอลซะเเล้ว ลิเวอร์พูลก็จะมาบุรีรัมย์ แล้วจะอยู่กันยังไง คะ อาจารย์เเจ่ม ใส มาห้องนี้ได้เเล้วววววววววววววว ยอมแพ้ ให้เเดงเป็นรัฐบาลดีกว่า เพราะเหลืองก็หมดเเรง พอไม่ได้รบกับคนอื่นก็ รบกันเอง ตอนนี้ที่เป็นเรื่องจริง คือเขาตั้งรัฐบาล เพื่อไทย กันเเล้วค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 08:22:46 น้องตะวันเสรี
จะทำอย่างไร หาก พรรคที่เป็นรัฐบาลได้เสียงมาจาก การอันธพาล ) เพื่อขึ้นครองเมือง เพราะส่วนใหญ่บางสีเป็นอันธพาล จริงๆ เคยเงียบๆอยู่ตามหมู่บ้าน เพราะคนดีๆเขาไม่คบด้วย แต่ บัดนีนี้มีเงินมีทอง และ นั่งรถติดธงเเดง ขับ ยียวน กวนเมือง ไปตามในเมือง มีความสุขมากหากได้ผ่านด่าน แล้วตำรวจไม่กล้าค้นไม่กล้าจับ คือสรุปว่าเป็นอันธพาล น่ะ แล้ว ผู้ที่จะได้เป็นรัฐบาล ได้ ใช้พวกนี้เป็นฐาน เพื่อเป็นรัฐบาล แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร ประเทศนี้นี้คงเต็มไปด้วยอันธพาล เราอยู่กันเเบบเจียมเนื้อเจียมตัวดีกว่า นะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 08:59:31 อยากให้คุณทะกษิณกลับมา ไม่ได้ประชดนะคะ
กลับมาเเล้วมาเเก้ปัญหา คนเสื้อเเดงบางส่วนที่ เพิ่งจะได้ดิบได้ดีเเล้วลืมตัว และคนเสื้อเเดง ที่ ก้าวร้าว ตามหมู่บ้านต่างๆ สร้างเขาไว้เเล้ว มาจัดระเบียบเขาให้เรียบร้อย เป็นผู้เป็นคนหน่อย คนไทย จะได้เป็น คนไทย ดังเดิม เสื้อเเดงดีๆ ก็มี อย่าโกรธนะคะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มิถุนายน 2554, 09:03:28 หวัดดีพี่แอ๊ะ
คิดถึงครับ ไม่ได้คุยกันนาน ดีใจจังเลยครับที่เข้ามาคุยกันเรื่องการเมือง ตอนนี้เป็นคุณยาย แล้วยังครับ ชาวซีมะโด่ง ไม่ค่อยได้เข้ามา เม้นท์ เรื่องการเมืองกันซักเท่าไหร่ คนเข้าเวบก็น้อยลง เรื่องแดงมาแรง นี้จริงๆใช่ไหมครับ แต่ผมว่าก็ดีเหมือนกัน ให้บ้านเมืองมันแย่ๆสุดๆไปเลย แล้วค่อยตั้งต้นกันใหม่ อังกฤษเขาก็ใช้เวลาเป็นร้อยปี จึงเรียบร้อย อินโดเนเซียก็ฆ่ากันตายเป็นเบือ ตอนนี้เขาก็สงบแล้ว และกำลังพัฒนาขึ้นมา แต่เมืองไทย ผมว่า คงไม่แย่ถึงขนาดนั้น เรื่องประชาธิปัตย์ พูดแล้วเจ็บใจ 2ปีกว่าที่มีอำนาจ ไม่จัดการเสื้อแดงให้เด็ดขาด มีแต่มาจัดการพันธมิตร ฟ้องแต่ข้อหา ผู้ก่อการร้าย เป็นหลายร้อยคน ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ขึ้นเวที ร้องเพลง การเมืองไม่เคยสักคำ ก็ดโนข้อหา ก่อการร้าย พวกเดียวกัน กลับจัดการ ไม่สนใจ กระทืบซ้ำ(โดยเฉพาะ ไอ้สุเทพ มันเกลียดพันธมิตรจริงๆ) พอถึงเวลาเลือกตั้ง กลับมาขอคะแนนเสียง ใครจะให้ เจ็บแล้วต้องจำ เอาทักษิณ มาขู่ เมื่อก่อน ผมก็หลงเชื่อ เลือก ปชป. มาจนแก่ ตอนนี้ตาสว่างต้องให้บทเรียน ปชป. บ้าง พวกเดียวกัน ช่วยเหลือกันมาจนได้เป็นรัฐบาล มาถีบหัวส่ง จะได้ไปทบทวนบทเรียน เป็นฝ่ายค้าน พูดจาดี เป็นผู้เป็นคน พอเป็นรัฐบาล ก็หูอื้อ ไม่ฟังใครเลย ที่เคยพูดว่า หนึ่งเสียงก็ต้องฟัง ก็ลืมไป คดี จักรภพ ก็ไม่ไปไหน ทีคดีพันธมิตร ฟ้องเอาๆ ไม่มียั้ง พี่ต้องเข้าใจนะ พวกเดียวกัน พอมีอำนาจ ดันมากระทืบเพื่อนมันช้ำจริงๆ ทุกวันนี้ก็เกลียด ไอ้พวกเผาไทยอยู่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องปล่อยให้ ปชป. ลองสู้เองซักครั้ง พดออกมาได้ พันธมิตร ไม่ได้ไปยกมือในสภา จึงพูดไม่ได้ว่า ได้เป็นรัฐบาลเพราะพันธมิตร อยากดูหน้าไอ้ จรกาสุเทพ ว่าจะมีน้ำยาแค่ไหน พี่มีสถานการณืเสื้อแดงแถวอีสาน มาเล่าสู่กันบ่อยๆนะครับ อ.แจ่ม ข่าวว่าไปเที่ยว ฮอกไกโด..คงไปเอารังสีนิวเคลีย มาฝาก ชาวหอแน่ๆเลยครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มิถุนายน 2554, 09:06:46 พี่แล้วพรรคภูมิใจห้อย ไม่มีฤทธิ์ อะไรเลยหรือครับ
จะได้ซักกี่ที่นั่ง แล้ว Vote No แถวนั้นมีกระแส บ้างหรือเปล่าครับ แต่ผม กับพี่ป๋อง Vote no แน่ๆ ไหนๆก็แพ้มันแล้ว เรามาร่วมมือ Vote No กันดีกว่า ได้มาซัก 5 ล้าน ไอ้เหลี่ยมมันต้องเกรงๆกันบ้างละ ผมว่า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 10:03:39 น้องตะวัน
ตอนนี้ เเดง ตั้งใจล้ม ภูมิใจไทย อย่างเดียว เตี๋ย สั่งลุย อ่ะ เรื่อง ไม่ยุติธรรม ที่น้องว่า ฝ่ายเเดงก็หาว่ารัฐบาล รักษาการณ์ ปัจจุบันลำเอียง จัดการเเต่ฝ่ายเเดง ฝ่ายเหลืองก็หา ว่า มาจัดการ แต่กับฝ่ายเหลือง เเต่พี่แอ๊ะมองอย่างเป็นกลาง พี่เเอ๊ะว่าเขาจัดการเหลือง น้อยกว่าจัดการเเดง จริงๆแล้วก็เสียดายคุณอภิสิทธิ์ นะคะ เห็นใจจริงๆ เราไม่น่าเสียคุณอภิสิทธิ์ ไปเร็วเช่นนี้ เเต่ก็เป็นเรื่องปกติ เวลาของการเป็น ช่วงฮันนีมูน ของรัฐบาลนี้ กับประชาชน สั้นมาก พี่แอ๊ะรับไม่ได้ เมื่อเเดงหา ว่าอภิสิทธิ์ เป็นฆาตรกร เห็นตอนออก ไปหาเสียง โดนด่าเเล้วสงสาร จำเป็นต้อง พายเรือให้โจรนั่ง เพราะไม่งั้นพานาวา ไปไม่ได้ เพราะโจรจี้ไว้ สละนาวาประเทศก็พัง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 12 มิถุนายน 2554, 10:10:11
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มิถุนายน 2554, 10:24:59 พี่ครับ
ถ้า อภิสิทธ์ มีความกล้าหาญ เข้มแข็งกว่านี้ ก็คงไม่เสียทีเขามากว่านี้ ผมว่าตอนนี้ ถ้า ชวนเป็นนายกฯคงไม่แย่ขนาดนี้ อภิสิทธ์ เป็นแค่เด็กน้อย ที่ไม่เข้าใจปัญหาของประทศไทยเลย เขาเป็นเด็กเรียน ไม่เคยทำกิจกรรม ไม่เคยสัมผัส ความทุกข์ยากของชาวบ้าน อยู่บนกองเงินกองทอง เป็นคนเก่ง แต่ดื้อ สังคมแคบไม่คบใคร นอกจากแก๊งไอติม ฟังสุเทพคนเดียว ไม่เคยปรึกษาชวน บัญญัติ ก็เลยพัง เรื่องจัดการแดงมันต้องจัดการมากว่านี้ (คุณจัดการแดง แดงไม่เลือกคุณอยู่แล้ว) แต่เรื่องจัดการเหลือง มันต้องให้ความเป็นธรรมมากกว่านี้ ( คุณจัดการเหลือง เหลืองก็จะไม่เลือกคุณ ยกเว้นแม่ยก ปชป.) แต่ถ้า ปชป.ให้ความเป็นธรรม ฟ้องแต่แกนนำ ไม่เหวี่ยงแห ฟ้อง ประชาชนที่เข้าร่วม เราก็ยังเลือกคุณอยู่ พี่ก็รู้ว่า เราต่อสู้กับระบอบทักษิณ เสร็จแล้วใครได้ประโยชนื ก็ปชป.กับไอ้ห้อย แล้วทำไมต้องมากระทืบพันธมิตร (อภิสิทธ์ ต้องการแสดงว่าเป็น MR.CLEAN ซึางโง่มาก กลายเป็นการทำลายมิตร ผลักให้มิตรเป็นศัตรู) คนตายและบาดเจ็บตอน 7 ตุลา รัฐบาลปชป.เคยช่วยอะไรไหมครับ แล้วใครเขาจะมาเลือก ปชป. จะมาขู่ว่า ไม่เลือกเรา เขามาแน่ เราไม่สนใจแล้วครับ ใครจะชนะ มาเป็นรัฐบาล ก็ปล่อยไป อยากดูน้ำ้หน้า ปชป. ว่า จะทำอะไรได้ เคยหลงเชื่อและฝากความหวังกับอภิสิทธ์มามาก แต่ผิดหวังอย่างแรก ก็ต้องเลิกคบกันไป ยิ่งตอนพันธมิตร ชุมนุมครั้งหลัง ถึงกับประกาศภาวะฉุกเฉิน จะมาทุบส้วม ขอถนน 2 เลนคืน เลยกลายเป็น นายกฯ2เลน และนายกฯทุบส้วม คนเลยเกลียด จึงมาVOTE nO เพราะการไม่รู้จักแยกมิตร แยกศัตรู ของปชป.นี่แหละ ชอบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น กรรมเลยสนองเข้าเต็มเปา สุเทพออกมาขู่ว่า ไม่เลือก ปชป.แล้วจะเสียใจแต่ ขอบอกว่า เสียใจมาเยอะแล้วที่เลือก ปชป.มาเกือบชั่วชีวิต ล่าสุด อภิสิทธ์ ให้สัมภาษณ์ เครือ เนชั่นว่า มีโอกาส จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทยหรือไม่? อภิสิทธ์ ตอบว่า ร่วมได้แต่มีเงื่อนไข 2 ข้อ 1.ไม่เอานิรโทษกรรม 2.ไม่เอาการรับจำนำข้าว พี่คิดดูว่า...ว่า อภิสิทธ์ คิดอย่างไร จริงๆแล้ว เขาต้องตอบว่า..ไม่มีทางเด็ดขาด เราจะไม่ร่วมกับพวกเผาเมืองอย่างเด็ดขาด คิดๆๆดู ให้ดี คิดๆๆดู ให้ดี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 21:44:44 อย่า vote no เลยค่ะ
สร้างบรรทัดฐานใหม่ เลือกไปเลย เบอร์ 1 หรือ เบอร์ 10 ต่อไปให้เหลือพรรคใหญ่สองพรรค เหมือนประเทศที่เจริญเเล้ว การจัดการประเทศจะง่ายขึ้นค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 21:48:00 vote no ยโส ไม่ค่อยมีค่ะ
เพราะทุกพรรคจ่ายเงินหมด พรรค vote no ไม่มาจ่ายเงิน นี่คะ 555555
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 22:26:42 น้องตะวัน คะ
พี่เเอ๊ะ ไปปลุกพี่หาญให้ตื่น เพื่อเล่าเรื่อง vote no ให้พี่หาญฟังว่า เพราะพี่แอ๊ะหัวเราะท้องเเข็งอยู่คนเดียวไม่ได้ 55555 พี่แอ๊ะบอกน้องว่า ชาวยโส ไม่เลือด vote no เเน่นอนเพราะ vote no ไม่จ่าย พี่หาญ ลุกขึ้นมา หายง่วงเลยค่ะ พี่แอ๊ะ เลยขออนุญาต พี่หาญ มาเปิดคอม คุยกับน้อง อีกครั้ง พี่หาญให้บอกน้องว่า ชาวยโส ไม่ใช่คนโง่นะ ไม่จ่ายเงิน จะไปกา vote no ทำไม พรรคอื่น เขาจ่าย 500 บางพรรคจ่าย 1000 นึง พี่หาญบอกว่าให้ vote no จ่าย 2000 รับรอง ชาวยโสเลือก vote no เเน่นอน พี่แอ๊ะ ว่า เอาควายมาลง เอา วัว มาลง เอาปู มาลง ก็เลือก vote no ค่ะ หาก vote no จ่าย2000 (เขาบอกว่าเป็นค่าน้ำมันเดินทางไปเลือก และ 1000-2000 ก็สามารถนำไปซื้อ นมผงให้ลูกได้ค่ะ) อย่าหาว่าชาวยโสโง่นะคะ ฉลาดออก ใครให้มาก เขาก็เลือกคนนั้นค่ะ เรื่องจริงนะ ดูถูก ชาวยโสไม่ได้นา....... หุๆๆๆๆๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 22:31:38 สรุปว่า เดี่ยว นี้ เขาเลือก สส. โดยการประมูลเเล้วค่ะ
เพราะทุกคน เป็นทั้ง นายดี (ความดี) นายมี (มีเงิน) นายเเส มาช่วย (กระเเส) แต่ในทุกสุด ทุกคนที่มีครบทั้งสามนายก็ ต้องประมูลราคา เพราะต้องเห็นใจชาวบ้านนะคะ ให้กันหมดทุกพรรค ไม่ทราบจะตัดสินใจได้อย่างไร ก็ต้องเลือกพรรคที่ให้เงินมากที่สุด จริงๆ นะคะ บางคนเป็นหัวคะเเนนให้ทุกพรรคเลยค่ะ55555 มาดูบรรยากาศ ที่ยโสซิคะ สนุกปานหยังงงงงงงงงง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 มิถุนายน 2554, 22:33:45 ไปนอน ก่อนนะ พี่แอ๊ะเครียดการเมืองก็หัวเราะได้
คงนอนฝัน ละเมอ หัวเราะเเน่ๆ เพราะ มันตลกจริงๆค่ะ ที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น น้องตะวัน กะน้องวณิชย์ อย่าเครียด เเละรำคาญพี่แอ๊ะนะคะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มิถุนายน 2554, 10:00:39 หวัดดีพี่แอ๊ะ
ไม่รำคาญพี่หรอกครับ สนุกดี คุยกันคลายเครียด พรรค Vote No ไม่มีกะตังค์ หรอกครับ ให้เลือกด้วยใจ ยังงัยๆ ก็Vote no ครับ ไม่เปลี่ยนใจแน่นอนเพราะ 1.ต้องการสั่งสอน ปชป. ให้สำนึกว่า อย่าเหลิง เป็นรัฐบาลแล้วถีบหัวส่ง ถ้าพันธมิตรไม่ลุกขึ้นมา ไล่ทักษิณ ปชป. จะมีวันนี้หรือ 2.การเป็นรัฐบาลไม่ใช่การไปเกาะโพเดียม พูดๆๆๆๆอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้เป็นฝ่ายค้านดีกว่า พูดจาน่าฟัง เป็นผู้เป็นคนหน่อย 3.Vote no เป็นทางเลือกใหม่ ของคนที่ไม่ชอบนักการเมืองชั่ว รอบนี้ ถึงไม่มากเท่าไหร่ ผมว่ารอบหน้า ต้องมากขึ้นแน่ๆ เลือก เหลี่ยมก็โกง เลือกหล่อ ก็ปล่อยให้ เทพเทือก เนวิน โกง แล้วเราจะไปเป็นตรายางให้เขาทำไม เลือกไป ก็เสียของ การVOTE NO หากมีมากขึ้นเรื่อยๆ นักการเมือง มันต้องหวาดๆบ้างละครับ ว่ามีคนรู้ทันมันมากขึ้น มันต้องจ่ายเงินซื้อเสียงมากขึ้น..มันจะได้รู้ว่า คนไทยจะค่อยๆหายโง่มากขึ้น 4.ปชป.มันกลัว Vote No มากเลยครับ ตอนนี้ แกนนำต้องระวังตัวมากกลัวโดนเก็บ กระแสที่กทม.น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ปชป.ตายแน่ๆที่กทม. น่าจะได้ไม่ถึงครี่ง โสนะหน้า..ไม่รักเพื่อนก็ต้องหายนะ อย่างนี้แหละ ที่เพื่อไทยมันไม่สน ดีกับพวกแดงเต็มที่ แต่อภิสิทธ์ ดัดจริต กูเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร เป็นไง..หงายเก๋ง เลย ไม่รู้จักแยกแยะ มิตร ศัตรู 5. เพื่อไทยเป็นรัฐบาล สนุกแน่ ไอ้เทพ อภิสิทธ์ ต้องโดนเอาคืนแน่ๆๆ โดนซะบ้าง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 13 มิถุนายน 2554, 16:59:48 ที่พูดเรื่องขายเสียงเมื่อคืนนั้น พูดให้ขำๆให้น้องๆเห็นว่าสภาพต่างจังหวัดเป็นอย่างนั้นจริงๆค่ะ เงินไม่มากาไม่เป็น เงินมาเเล้วเบอร์ไหนให้เยอะ ก้เลือกเบอร์นั้น ลามไปทั่ว คนมีการศึกษาเป็นครู เป็นชาวเมืองในตลาดก็ยอมรับเงิน เป็นเรื่องปกติในอิสานค่ะ กรณี vote no สำหรับพี่แอ๊ะ คิดว่าเราจะประชดประชันประเทศชาติไปทำไมกัน หากไม่ชอบอภิสิทธิ์ ก็เลือก ยิ่งลักษณ์ก็เท่านั้น หรือพรรคชาติอะไรต่ออะไรก้ได้นี่คะ เลือกพรรคนักกีฬาก็ได้ จะไป vote no แล้วได้อะไรนอกจากความสะใจ เเต่เดิม เราโกรธ ทักษิณ เเล้วไปเลือกอภิสิทธิ์ พออภิสิทธิ์ ทำงานไม่ถูกใจเรา ก็ไม่เป็นไร นี่คะ ลองให้ทีมทักษิณ เขาบริหารใหม่ เลือกยิ่งลักษณ์ไปเลย อาจจะดีก็ได้เพราะเขาได้บทเรียนเเล้ว ปชป. ก็ไปสรุปบทเรียนซักพัก แล้วก็กลับมาใหม่ได้ หากประชาชนเบื่อทักษิณอีก พรรคการเมืองก็ต้องเเข่งกันทำงานเพื่อให้ประชาชนพอใจ เสียงข้างมาก ไม่จำเป็นต้องถูกต้องตามที่เราคิดเสมอไป เเต่ระบอบประชาธิปไตยเราต้องยอมรับเสียงข้างมาก พี่แอ๊ะรำคาญ พันธมิตร ไม่รู้จะเอา อะไรกันเเน่ ตอนเกลียดทักษิณก็เกลียดใจจะขาด ตอนนี้มาเกลียดอภิสิทธิ์ จะขาดใจอีกแล้วอีกเเล้ว ก็ไปเลือกทักษิณซิคะ ไม่เห็นจะต้องไปด่า อภิสิทธิ์เขาเลย ไม่เลือกเขาก็เท่ากับไม่ยอมรับเขาอยู่เเล้ว อย่าโกรธนะ พี่แอ๊ะอยากให้เราๆเป็นคนมีเหตุผล อย่าตกขอบเกินไป ใจเย็นๆ ไม่มีปัญหาอะไรที่เเก้ไขไม่ได้ ไปออกกำลังกายก่อนค่ะ น้องตะวัน เด่วมาคุยต่อ คงมีพี่แอ๊ะคนเดียวทีกล้าเถียงน้องตะวันเพราะเป็นน้องรัก คนบ้านเดียวกัน ยังไงก็ คุยกันได้ เเค่มองตากันก็เข้าใจอยู่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 13 มิถุนายน 2554, 19:19:17 อีกอย่าง ที่พี่เเอ๊ะไม่ชอบคือ
ไม่อยากให้เอารูปสัตว์ มาใส่ป้าย vote no เพราะหยาบคาย ไม่เหมาะกับคนที่รัก ในหลวง จะทำเช่นนั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 13 มิถุนายน 2554, 20:14:44 จริงๆ แล้ว ให้คุณทักษิณกลับมาก็ดี มาจัดระเบียบ เสื้อเเดงซะหน่อย ฝึกชั่วๆไว้เเล้ว ดูซิว่าจะเเก้ไขได้ไหม ประเทศชาติไม่มีขื่อไม่มีเเป ไร้มารยาท จะอยู่กันได้อย่างไร คนไปหาเสียงก็ด่าใส่เขา ถือว่าเป็นเสื้อเเดงจะทำอะไรก้ได้ ไม่มีใครกล้าจัดการ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 มิถุนายน 2554, 20:23:39 ดีครับพี่ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่มีโกรธ หรอกครับ
ต่างคน ต่างจิต ต่างใจ พี่คงไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมพันธมิตร จึงไม่เลือก ปชป. 1.กฎเหล็ก 9 ข้อ ทำอะไรคนโกงได้บ้าง 2.จับเสื้อแดง แล้วไปประกันปล่อยมันออกมา 3.ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนให้เขมรอย่างแน่นอน เพราะ กษิตงีเง่า สู้เขมรไม่ได้เลย อภิสิทธ์ก็ ดื้อด้าน กอด MOU 43 ไม่ปล่อย พยายาม ดันเข้าสภา แต่ก็ไม่รอด เพราะ พันธมิตรรณรงค์ สส.กลัวติดคุก เลยโดดประชุม จนล่ม 4.ปล่อยให้เขมรจับ วีระ ราตรีเข้าคุก อภิสิทธ สุเทพ ต่างออกมาบอกว่า วีระถูกจับในเขตเขมร ครั้นไทยจับสายลับ เขมร ฝ่ายเขมร ออกมาปกป้องคนของเขาอย่างเต็มที่ ว่าเป็นแค่นักท่องเที่ยว ไทยไม่รักไทย แล้วใคร จะรักปชป. 5.ปล่อยให้ ตร.ของเนวิน มาตั้งข้อหา ก่อการร้าย ( แกนนำฟ้องไปเถอะ) น้องจอย ไปร้องเพลง แต่โดนข้อหาก่อการร้าย แล้วใครจะให้อภัย ไอ้ปชป. ไอ้สุเทพ จอมโกง อภสิทธืจอมแหล 6.Vote No ไม่เสียของแน่ๆครับ เพราะเราจะไม่ยอมให้นักการเมืองชั่วๆ มาหลอก อีกแล้ว ไม่เลือกเรา เขามาแน่ ..เราไม่เชื่ออีกแล้ว..และไม่ยอมให้ ปชป.หลอก อย่างเด็ดขาด 6.1 ไอ้ สส. มันต่อย มันด่ากันสภา มันให้อวัยวะเพศ กันสภา พี่ว่ามันหยาบคายไหมครับ ถ้าเทียบกับ ภาพ สัตว์ต่างที่ทำขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ จริงๆแล้วไอ้ สส.ในสภา มันเลวกว่าสัตว์ ที่เราเอามาเสนอเสียอีก แถม ทำมาหา กิน จนบ้านเมือง แทบล่มจมอยู่แล้ว พี่ว่า มันเป็นคน อยู่อีกหรือครับ 7.เราไม่ยอมเลือก พรรคเผาเมืองอย่างเด็ดขาด 8.เราจะยืนหยัด VOTE NO อย่างเด็ดเดี่ยว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 มิถุนายน 2554, 21:09:22 พี่แอ๊ะ หายไปเลย โกรธผมหรือเปล่า
หรือมัวไปเดินสาย รับเงินค่าจ้างซื้อเสียงอยู่หรือเปล่าครับ ว่างมาแลกเปลี่ยน กันอีกนะครับ รักนะ จุ๊บๆๆ.....ล้อเล่ง..55555 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 15 มิถุนายน 2554, 09:16:30 วาทะวันนี้จาก อาร์ต สแปนเดอร์
...“สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยก็คือ มันให้โอกาสต่อผู้ลงคะแนนในการทำสิ่งที่โง่ๆ ได้เสมอหน้าทั่วกันทั้งหมด...”[/color] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มิถุนายน 2554, 10:13:02
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มิถุนายน 2554, 10:20:59 นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความผิดพลาดของอภิสิทธ์
แก้วสรร” ข้องใจ “ก.ล.ต.” บุกกางป้ายหน้าตึก “หมอตุลย์” ชง “ดีเอสไอ” 21 มิ.ย.นี้ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2554 19:38 น. “แก้วสรร” โผล่สำนักงาน ก.ล.ต.ข้องใจแถลงการณ์ “ยิ่งลักษณ์” พร้อมกางป้ายจี้ใจดำ สมคบกันหลอกตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการซื้อขายหุ้นอันเป็นเท็จ “หมอตุลย์” ลั่นส่งฟ้อง “ดีเอสไอ” 21 มิ.ย.นี้ มีรายงานข่าวว่า นายแก้วสรร อติโพธิ แกนนำเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ (คนท.) เดินทางมาที่ยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ เพื่อขอคำชี้แจงจากผู้บริหาร ก.ล.ต.กรณีที่ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้เกี่ยวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ในคดีซุกหุ้นชินคอร์ป และคดีแจ้งโครสร้างการถือหุ้นเอสซีแอสเสท โดยป้ายผ้าระบุว่า “ทักษิณและพี่น้องต้องคดีซุกหุ้น 2 คดี คือ คดีซุกหุ้น SC ศาลตัดสินเฉพาะคดีหุ้น SHIN อย่าเอาคดีซุกหุ้น SC เข้ามายุ่งเกี่ยว, ความผิดตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ของคดีซุกหุ้น SHIN คือ สมคบกันหลอกตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการซื้อขายหุ้นอันเป็นเท็จ มิใช่การซื้อขายโดยไม่ได้รายงาน (มาตรา 248) และความผิดแท้จริงที่ คนท.ต้องการจะกล่าวโทษ คือ สมคบกันให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ (มาตรา 302) และสมคบกันออกหนังสือชี้ชวนแจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นอันเป็นเท็จ (มาตรา 278)” ด้าน นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายกลุ่มเสื้อหลากสี กล่าวว่า จะเดินหน้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในวันที่ 21 มิถุนายน 2554 นี้ เนื่องจากเห็นว่า การตรวจสอบของ ก.ล.ต.เป็นการทำหน้าที่เพียงผิวเผิน ทำให้สาธารณชนไม่ได้รับทราบความจริง โดยยืนยันว่า การกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 246 กรณีไม่รายงานการถือหุ้น เมื่อก้าวข้าม 5% และมาตรา 247 ไม่ดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ เมื่อถือหุ้นเกิน 25% “ความผิดของ นางสาวยิ่งลักษณ์ นอกจากจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว การให้การเท็จยังมีความผิดอาญาด้วย โดยมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-7 ปี” เพราะเลขา กลต.คนนี้ คือ คนของทักษิณ แต่ ปชป.ก็ไม่ย้ายออกไป ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ แล้วเป็นไง มันรีบออกมาแก้ต่างให้ ยิ่อัปลักษณ์ ฉีกหน้ารัฐบาลซะเละเลย...ฮ่วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มิถุนายน 2554, 17:39:09 สงครามครั้งสุดท้าย หยุดกฎหมู่ชินวัตร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2554 23:48 น. เมื่อพรรคเพื่อไทยวางหมากหลายชั้นเพื่อนำไปสู่เป้าหมายนิรโทษกรรมทักษิณให้กลับบ้านได้ภายใน 6 เดือนหลังเลือกตั้ง “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ” จึงเร่งระดมพลเดินหน้าบุกดีเอสไอ - กลต. - ป.ป.ช. และอัยการ เพื่อ “กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร” กระทุ้งกระบวนการยุติธรรมเอาผิดทักษิณและผู้เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ล่าสุดศอกกลับคณะกรรมการตลาด..ลักทรัพย์ฯสร้างความสับสนเอาคดีซุกหุ้นชินคอร์ปมามั่วกับคดีเอสซีแอสเสท จับตาสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างคนทรยศต่อประชาชนกับพลังของภาคพลเมืองจะลงเอยเช่นใด นับจาก “ปูแดง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย หลุดปากกลางที่ประชุมใหญ่พรรคว่าเตรียมแผนนิรโทษกรรมเพื่อให้ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย กลับบ้านได้ภายใน 6 เดือนหลังเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 นี้ กลุ่มคนรู้ทันทักษิณในนาม “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ” หรือ คนท. ก็ก่อรูปเคลื่อนไหวคัดค้านแผนนิรโทษกรรมอย่างเป็นกระบวนการ มีการตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน ทุกเม็ด ทุกประเด็น เมื่อข้าทาสจากพรรคเพื่อไทยเรียงหน้าปกป้องนายหญิง นับแต่เรื่องการรังแกผู้หญิง การใช้วิชามารสกัดเพื่อไทย การเตรียมแจ้งความต่อกองปราบฯ กกต. ข่มขู่คนจะมาร่วมกล่าวโทษปูว่ามีความผิดทางกฎหมาย ฯลฯ ฟากฝั่งคนท.ได้ให้ข้อมูลการคอรัปชั่นของชินวัตร การโกหกโป้ปดมดเท็จต่อศาลของปู พร้อมประกาศทำสงครามครั้งสุดท้ายกับคนทรยศต่อประชาชน ให้ทักษิณได้รู้ว่าคนในแผ่นดินนี้ไม่ใช่พวกสมองหมาปัญญาควายที่จะรู้ไม่เท่าทันทักษิณ เพียงแค่สัปดาห์เดียวหลัง คนท. ออกมาเคลื่อนไหวปลุกพลังพลเมืองที่เดือดเนื้อร้อนใจในความทุกข์ยากของแผ่นดิน มาร่วมกัน กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร หน่วยงานที่ถูกพาดพิงว่าไม่ดำเนินการเอาผิดทักษิณในคดีข้างเคียงหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ ตามคำพิพากษา ที่ อม.1/2553 ดังเช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ (ก.ล.ต.) ก็ออกแถลงการณ์มาแก้ต่างให้กับชินวัตร เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่าได้ดำเนินงานในคดีชินคอร์ปมาครบถ้วนและพนักงานอัยการก็ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องจนคดีเป็นที่สุดแล้ว ชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ ก.ล.ต.ออกแถลงการณ์ ทาง คนท. ก็สวนกลับและสวนมวย ก.ล.ต.ทันที โดยชี้แจงผ่าน เฟสบุ๊ก ของ คนท. ว่า คนท.กล่าวหากรณีซุกหุ้นชินคอร์ปเท่านั้น ก.ล.ต.อย่าเอาหุ้นเอสซีมายุ่ง การแถลงของ ก.ล.ต. มีแต่จะสร้างความสับสนให้กับสังคม เพราะเมื่อทักษิณ ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ในปี 2542 นั้นมีธุรกิจสองธุรกิจที่ต้องซุกหุ้นหนีกฎหมายให้ได้ คือ หนึ่ง ธุรกิจชินคอร์ป ถือหุ้น 49% ต่อไปไม่ได้ เพราะกฎหมาย ป.ป.ช.ห้ามนายกรัฐมนตรีถือหุ้นสัมปทานกับรัฐ การซุกหุ้นก้อนนี้ถูก คตส.นำคดีขึ้นศาลฎีกาหาว่าใช้อำนาจหน้าที่นายกฯเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป จนศาลสั่งยึดเงินขายหุ้นชินมาเป็นของแผ่นดินแล้ว สอง ธุรกิจที่ดิน เอสซีแอสเสท ถือหุ้น 100% และขณะนั้นกำลังเตรียมการจะเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหากทักษิณฯเป็นนายกแล้วจะทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมาย ป.ป.ช. บังคับให้รัฐมนตรีแขวนหุ้นที่เกิน 5% ไว้กับบริษัทจัดการหลักทรัพย์โดยห้ามยุ่งเกี่ยว ทักษิณจึงซุกหุ้นโดยให้กองทุนของตนเองที่จดทะเบียนตั้งอยู่ต่างประเทศมาซื้อหุ้นทั้งหมดไป ทางสอบสวนพบชัดเจนถึงขนาดว่าเงินที่กองทุนหัวดำนำมาซื้อหุ้นจากทักษิณ และคุณหญิงนั้น แท้ที่จริงคือเงินจากบัญชีคุณหญิงเอง พฤติการณ์นี้ถูกตัดไปเป็นคดีฐานนำธุรกิจเอสซี เข้าตลาดโดยแสดงข้อมูลเป็นเท็จในสาระสำคัญ เป็นคดีที่ รัฐบาลขิงแก่ไฟเขียวให้ กลต.และดีเอสไอ ลุยเต็มที่ แต่ถูกอัยการเจาะยางสั่งไม่ฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมายข้างๆคูๆ ความผิดที่ คนท.เคลื่อนไหวรวมชื่อกล่าวโทษอยู่นี้ จำกัดแต่เฉพาะกรณีซุกหุ้นธุรกิจชินคอร์ปเท่านั้น เพราะข้องใจว่ามีคำพิพากษาชัดเจนแล้วว่า ทักษิณและพวกร่วมมือกันซุกหุ้นชิน แล้วทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ยอมดำเนินคดี การที่กลต. นำคดีซุกหุ้นเอสซีแอสเสท มารวมแถลงชี้แจงต่อ คนท. ในครั้งนี้จึงไม่สมควรยิ่ง เพราะเป็นคนละเรื่องมีแต่จะทำให้เกิดความสับสนขึ้นโดยทั่วไปเท่านั้น ส่วนคำชี้แจง กลต.ในส่วนการดำเนินคดีแจ้งธุรกรรมหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จ ที่แจ้งว่าได้กล่าวโทษไปแล้ว ตามมาตรา 246 ว่าทักษิณและพวกแจ้งโอนหุ้นเป็นเท็จ แต่ดีเอสไอกับอัยการไม่เห็นด้วยจึงสั่งไม่ฟ้องจนคดียุติไปแล้วนั้น คนท.เห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายโดยผิดพลาด ที่จะต้องทบทวนดำเนินคดีใหม่ ตั้งรูปคดีใหม่ ดังนี้ 1. คดีนี้ต้องมองเห็นป่าทั้งป่า จะมองแต่ต้นไม้เป็นต้นๆ ไม่ได้ มองแล้วก็จะพบว่า สิ่งที่การซุกหุ้นชินทำไปนั้น ก็คือการทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นปรากฏต่อตลาดหลักทรัพย์ไม่ตรงกับความจริง มีชื่อลูกและน้องเข้ามาบังชื่อตัวจริงคือทักษิณและภริยาไว้ เป็นเช่นนี้มานานจาก ปี 2543 จนถึงขายธุรกิจให้ทุนสิงค์โปร์ในปี 2549 2.ความเท็จที่ปรากฏนี้ เมื่อมองภาพรวมจะพบว่ามาจากการกระทำหลายกรรมหลายวาระหลายผู้เกี่ยวข้องต่อเนื่องรู้เห็นกันมาตลอด ทั้งโดยการแจ้งขาย แจ้งซื้อเป็นเท็จ แจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จในหนังสือชี้ชวนและรายงานประจำปี ทั้งหมดนี้ทำโดยกลุ่มคนที่สมคบแบ่งงานกันทำ ทั้งทักษิณ, ภริยา, เลขาภริยา,ลูกชาย,ลูกสาว,น้องสาว รวมถึงกรรมการบริหารชินคอร์ปด้วย การที่ กลต. อธิบายว่ายิ่งลักษณ์ไม่ผิดเพราะไม่ได้เป็นผู้แจ้งขายหุ้นหรือซื้อหุ้นนั้น จึงไม่ถูกต้องเพราะต้องรับผิดร่วมกับทักษิณและคนอื่นๆด้วยเช่นเป็นตัวการร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา 3.ฐานความผิด ที่ ก.ล.ต.ต้องใช้นั้นไม่ใช่ มาตรา 246 ที่เอาผิดฐานโอนหุ้นเปลี่ยนมือกันเกิน 5% แล้วละเว้นไม่แจ้ง ก.ล.ต. ซึ่งหาได้เกี่ยวกับกรณีซุกหุ้นชินนี้เลย ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่องโอนกันปลอมๆ แล้วแจ้งเท็จ ไม่ใช่โอนจริงแล้วละเว้นไม่แจ้ง ฐานความผิดที่ต้องใช้คือ มาตรา 302 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยถ้ามีการแจ้งข้อเท็จจริงในโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จอย่างนี้เมื่อใด ทั้งแจ้งโอนซื้อขายหรือแจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นประจำปีก็เป็นผิดทั้งสิ้นและผิดร่วมกันทุกคนทั้งคนแจ้งและคนที่ไม่ได้แจ้ง และผิดติดพันต่อเนื่องกันมาตลอดไม่มีขาดอายุความเลย มาตรา 278 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ ฐานนี้โทษหนักจำคุกถึง 5 ปี เกิดความผิดเป็นพิเศษต่อคนทั่วไป เพราะได้มีการออกหนังสือชี้ชวนเป็นเท็จ เพื่อชี้ชวนให้พนักงานซื้อหุ้นชินคอร์ป (หลักทรัพย์ประเภทใบสำคัญแสดงสิทธิ์ POESOP ) มีผลใช้บังคับ 27 มีนาคม 2545 โดยในหนังสือชี้ชวนนี้ปรากฏโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จชัดเจน ซึ่งความหมายของ “หนังสือชี้ชวนและการเสนอขายหลักทรัพย์”ตามมาตรา 278นั้น ก็กินความกว้างถึงการเสนอต่อสาธารณะทุกครั้งไป โดยมีเกณฑ์ในกฎหมายว่าถ้าเกิน 35 คนขึ้นไปก็นับเป็นสาธารณะแล้ว ความผิดสองมาตรานี้เป็นเครื่องมือใช้จัดการกับการให้ความเท็จต่อตลาดโดยตรง การที่ กลต.ไปหยิบมาตรา 246 มาใช้จึงไม่ถูกเรื่อง เหมือนกับขายยาปลอมจนชาวบ้านกินแล้วปากเบี้ยว ดังนี้ตำรวจก็ต้องแจ้งข้อหาทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส จะไปแจ้งข้อหาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ คนเจ็บเขาไม่ยอมแน่ๆ คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด คนท.จะยังคงแจ้งความปูและพวกฐานให้ข้อมูลเท็จต่อไป ในทางกฎหมายนั้นสิ่งที่สิ้นสุดเป็นยุติไปแล้ว ก็คือคำกล่าวโทษของ ก.ล.ต. ที่แจ้งไปยังดีเอสไอ เมื่อ เมษายน 2553 เท่านั้น มาบัดนี้เมื่อกล่าวโทษผิดไปแล้ว ก.ล.ต.ก็กล่าวโทษใหม่ให้ถูกต้องได้อีก ดีเอสไอก็รับสอบสวนใหม่ได้อีกไม่มีปัญหา กฎหมายห้ามเฉพาะการฟ้องซ้ำต่อศาลเท่านั้น คดีนี้ยังไม่มีการฟ้องร้องเลย มีแต่การกล่าวโทษที่ยุติไปหนึ่งสำนวนเท่านั้นเอง นอกจากนั้น ในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ ทางคนท. ปรับแผนจะกล่าวโทษให้ดำเนินคดี ปูและพวก ครั้งเดียว 4 หน่วยงาน โดยคดีให้ข้อมูลเป็นเท็จของยิ่งลักษณ์และพวกนี้ มีสองกลุ่ม คือ 1. ให้ข้อมูลเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ ส่วนนี้ คนท.จะมีหนังสือกล่าวโทษ ปูและพวก ทั้งต่อก.ล.ต.,และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้มีหน้าที่โดยตรง 2.ให้ข้อมูลเท็จต่อ คตส.และเบิกความเท็จต่อศาล ส่วนนี้จะแจ้งกรมสอบสวนคดีพิเศษเช่นกันว่าเป็นคดีเกี่ยวพันกับคดีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทางกรมอาจไม่รับก็ได้ ดังนั้นเพื่อความแน่นอน คนท.จะต้องแจ้งไปยังอัยการและ ป.ป.ช. ( ในฐานะแทน คตส.) ให้รับไปกล่าวโทษต่อตำรวจต่อไปด้วย เดิมทีในชั้นแรก คนท.จะกล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษก่อน แต่เมื่อปรากฏพฤติการณ์ของ ก.ล.ต.เช่นตามแถลงการณ์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในข่าวประกอบ) คนท.จึงปรับแผนใหม่ตัดสินใจจะกล่าวโทษครั้งเดียว โดย คนท. ได้เชิญพลเมืองผู้ยังนับถือกฎหมายร่วมประชุม รวบรวมเอกสารลงนามกล่าวโทษ ณ ตึกอเนกประสงค์ ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายนนี้ เวลา 14.00 - 16.00 น. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 มิถุนายน 2554, 14:40:21 การเลือกตั้ง ส.ส. สงครามระหว่างความเท็จกับความจริง
วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 11:44:52 น. บางส่วนจากบทความของ ดร.เขียน ธีระวิทย์ การเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นั้น ปัจจุบันเราเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ตัวโกงทางการเมืองที่สังกัดอยู่ในค่ายพรรคการเมืองที่ทรงอิทธิพลนั้น ได้สร้างกระแสให้คนเชื่อความเท็จแทนความจริงได้มากอย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่บางคนสงสัยว่าพวกนี้ไปเรียนวิชามาร การทำสงครามข่าวสารมาจากไหน ความจริง ถ้าเราเข้าใจถึงระดับความรู้ของคนไทยทั่วไปที่เป็นเหยื่อของคนฉลาด ระดับความรู้ความสามารถ-เล่ห์เหลี่ยมของนักการเมืองตัวโกง และความอ่อนแอของบุคคล/องค์กรปกปักรักษาความถูกต้องและความเป็นธรรมของสังคมแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าใจได้ไม่ยาก ประเด็นร้อนที่มีผลสำคัญต่อคะแนนนิยมของผู้สมัคร ส.ส. พรรคการเมืองคู่แข่งต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ควรศึกษาว่าตัวโกงใช้ความเท็จกลบเกลื่อนความจริงให้คนไทยเชื่อตามได้อย่างไร การละเมิดกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย การเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งนี้ ก็คงจะเหมือนกับครั้งก่อนๆ รัฐมีรัฐธรรมนูญ-กฎหมาย-กฎเกณฑ์ กติกา ในการเลือกตั้งค่อนข้างดี แต่กลไกในการบังคับใช้กฎหมายไม่เคยมีประสิทธิภาพ นักการเมืองตัวโกงยังคงกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ ฤดูการเลือกตั้งเริ่มมาได้ไม่เกินสองสัปดาห์ เราได้เห็นนักการเมือง-พรรคการเมืองตัวโกงละเมิดกฎหมายกันแล้วอย่างแพร่หลายที่สำคัญคือ 1. มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันแล้วอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด พรรคใหญ่ซื้อหัวคะแนนเสียงไว้ก่อนแล้วเป็นระยะยาว พวกเขามีเล่ห์เหลี่ยมในการทำผิดกฎหมาย โดยไม่ทิ้งหลักฐานให้ถูกจับได้ 2. นักการเมืองใช้สื่อมวลชนสร้างกระแส-บิดเบือนข่าวอย่างไม่เท่าเทียมกัน โดยตรวจสอบได้ยาก ก.ก.ต.มองไม่เห็นหรอกว่าคนของพรรคการเมืองใดเป็นเจ้าของ-ผู้ถือหุ้น-ผู้ให้ทุน (ผ่านญาติมิตรข้าทาสบริวาร) ก่อตั้ง-ดำเนินการสถานีโทรทัศน์ Asia Update, วิทยุชุมชน, แพร่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ฯลฯ การให้โอกาสเท่าเทียมกันในการหาเสียงของผู้สมัคร/พรรคการเมือง เป็นประเด็นสำคัญที่จะตัดสินว่าการเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 48 ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นจริง หรือให้คนอื่นทำแทน หรือจะดำเนินการโดยวิธีอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ที่สามารถบริการกิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว แต่ประเด็นนี้ดูเหมือนไม่มีกฎหมายลูกออกมารองรับ แม้จะเป็นเรื่องสำคัญมากก็ตาม นอกจากจะแจ้งให้ ก.ก.ต.ดำเนินคดีให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคที่ละเมิดรัฐธรรมนูญข้อนี้ในข้อหากระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 94 (1), (3) เข้าใจว่า นักการเมืองตัวโกงก็คงหาช่องทางเลี่ยงกฎหมายเพื่อเอาตัวรอดโดยไม่แยแสต่อสปิริตของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก.ก.ต.ก็ไม่กล้าทำอะไรที่กฎหมายมิได้ให้อำนาจไว้อย่างชัดเจน 3. พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 นั้น มีพรรคการเมืองและผู้สมัคร ส.ส. ทำผิดกันอย่างแพร่หลาย หนึ่งข้อห้ามในจำนวนหลายๆ ข้อคือ ห้ามผู้สมัครหรือผู้ใด “จัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้” แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ภายหลังเปิดรับสมัคร ส.ส. คราวนี้ไม่กี่วัน ผู้สมัครพรรคการเมืองต่างๆ มองไม่เห็น ก.ก.ต. และกฎหมายอยู่ในสายตา สำรวจดูป้ายหาเสียง สื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งอินเตอร์เน็ต พรรคเพื่อไทยทำผิด (อาจรอดตัวถ้ากระบวนการยุติธรรม ไม่ซื่อสัตย์) มากมาย เช่น จะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทต่อวัน (จากปัจจุบันวันละ 217 บาท), จะประกันราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท (ราคาประกันปัจจุบันประมาณ 11,000 บาท, ราคาจริง 8,500 – 9,400 บาทต่อตัน) จะให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกฟรีแก่เด็กนักเรียนคนละเครื่อง(ประมาณว่าต้องใช้งบประมาณแผ่นดินประมาณ 4,000 ล้านบาท) คนจบปริญญาตรีทำงานเงินเดือนเริ่มต้นจะได้เดือนละ 15,000 บาท (ปัจจุบันเฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 11,000 บาท) เป็นต้น ที่โฆษณาหลอกลวงประชาชนด้วยความเท็จก็มีเช่น บอกว่าจะทำให้ “คนไทยหายจนภายใน 4 ปี” ”จะปราบปรามยาเสพติดให้หมดภายใน 12 เดือน” เป็นต้น ข้อความหลอกลวงประชาชนทำนองนี้ ทักษิณเคยใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งมาแล้วอย่างได้ผล (แม้จะละเมิด พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 มาตรา 44 ก็ไม่มีใครฟ้องร้องเอาโทษ) พรรคประชาธิปัตย์ก็เลียนแบบประชานิยมของพรรคคู่แข่งด้วย แต่กล้าเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีน้อยกว่า เช่น สัญญาว่าจะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี (จาก 217 บาท เป็น 250 บาทต่อวัน) จะให้เครื่องแบบนักเรียน และแบบเรียนฟรี จะรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตของคนที่มีวินัยในการใช้จ่าย เป็นต้น คำมั่นสัญญาและคำหลอกหลวงดังกล่าวมีบทกำหนดโทษไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 137 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี นอกจากนั้น ยังอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ (ถ้า ก.ก.ต. และอัยการสูงสุดดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมาด้วยความซื่อสัตย์และมืออาชีพตามมาตรา 95) โดยข้อกล่าวหาตามมาตรา 94 (1) ที่ว่าได้กระทำการ “ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ” และมาตรา 94 (2) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม 4. การริเริ่มดำเนินคดีก็ไม่ยาก มาตรา 95 บัญญัติไว้ว่า “เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน” ของ ก.ก.ต. (ซึ่งหมายความว่าใครไปแจ้งก็ได้) “หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง และได้ตรวจสอบแล้ว” ก็ดำเนินคดีต่อไปได้ ถ้านายทะเบียน ก.ก.ต. รับแจ้งแล้วไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายก็เสี่ยงที่จะถูกฟ้องว่าละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่โดยทุจริต แต่ถ้าดำเนินคดีตามมาตรา 95 ก็เสี่ยงที่จะถูกพรรคที่ถูกกล่าวหาใช้กลไกของพรรคและมวลชนที่จัดตั้งสร้างกระแสกล่าวโทษ ก.ก.ต. ว่าทำงานสองมาตรฐาน ทางออกของ ก.ก.ต. (เช่นเดียวกับองค์กรอิสระอื่นๆ) คือดำเนินคดีกับพรรคคู่แข่งด้วย (แม้จะรู้ดีว่ามีหลักฐานอ่อนก็ตาม) เพื่อให้ตัวเองพ้นภัย (ไม่ใช่เพื่อความถูกต้อง) นี่เป็นปัญหาของเมืองไทยในยุคปัจจุบัน 5. อย่างไรเสียการเลือกตั้งคราวนี้ก็จะเต็มไปด้วยการซื้อขายเสียงในรูปแบบต่างๆ (ดู The Nation, June 6, 2011, 14A) ที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่มีหลักฐานและไม่มีหลักฐานสนับสนุน บางทีไม่ผิดกฎหมายแต่ละเมิดหลักการการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (กฎหมายไล่ไม่ทันคนโกง คนไทยและชาวโลกในอดีต เขาไม่ทำกัน) การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่ใช่ของง่าย ในสังคมไทยในยุคปัจจุบันที่มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด. (จาก สถาบันอิศรา ) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 18 มิถุนายน 2554, 10:46:32 (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/romewannotinaday.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มิถุนายน 2554, 16:07:03
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 มิถุนายน 2554, 19:07:08 VOTE NO
ความเห็นของ อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ผู้คนในสังคมโดย ทั่วไปส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ ยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียวในเขตเลือก ตั้งนั้นเท่านั้น มิฉะนั้น กกต.จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นใหม่ โดยสังคมไทยมีประสบการณ์จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่งหลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยเพียงพรรคเดียว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชนได้บอยคอตการเลือกตั้ง (Election boycott) จนนำไปสู่ปรากฏการณ์พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก และถูกคณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย เพราะถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2540 มาตรา 66 (1) และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม มาตรา 66 (3) (คำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550) แท้จริงแล้ว แม้ในเขตเลือกตั้งใดมีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคน ผู้สมัครที่จะเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องเป็นผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดแล้ว ยังจะต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งอีกด้วย ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 89 ประกอบมาตรา 88 ซึ่งบัญญัติไว้ ดังนี้ มาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้ รับการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลากซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขต เลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด มาตรา 88 ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียว ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ ยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ในกรณีที่ผู้สมัครได้รับคะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ และให้นำความในมาตรา 9 มาใช้บังคับ ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสอง ถ้ามีผู้สมัครคนเดียว ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม และถ้าผู้สมัครได้คะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นอีก หรือได้ไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้ดำเนินการตามวรรคสองอีกครั้งหนึ่ง ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสาม ถ้ามีผู้สมัครคนเดียว ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ได้รับเลือกตั้งภาย ในระยะเวลาตามมาตรา 8 ในกรณีที่มีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสาม หากปรากฏว่าไม่มีผู้สมัครให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และให้นำความในวรรคสอง และวรรคสาม และความในส่วนที่ 5 ผู้สมัครและการสมัครรับเลือกตั้ง 2.การสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาตรา 89 บัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 88 ซึ่งเป็นเทคนิคการร่างกฎหมายที่ต้องการให้มาตรา 89 นำหลักการตามมาตรา 88 มาใช้บังคับด้วยโดยไม่ระบุซ้ำลงไปในมาตรา 89 อีก จึงหมายความว่า ในเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครหลายคน ผู้สมัครที่จะถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง จะต้องผ่านองค์ประกอบของกฎหมายทั้งมาตรามาตรา 88 และมาตรา 89 กล่าวคือ 1.ได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต เลือกตั้งนั้น 2.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง และ 3.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้น ทั้งนี้ เนื่องจากหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย คือ การถือเสียงข้างมากของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเกณฑ์มาตรฐานเสียงข้างมากขั้นต่ำตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ก็คือไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง นั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ดังนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) จึงมีผลทางนิตินัยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และหากในเขตเลือกตั้งใดมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือก ตั้งมากกว่าคะแนนเลือกตั้งของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดใน เขตเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครผู้นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้ง นั้น โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 88 วรรคสองถึงวรรคห้า การที่มาตรา 61 ของกฎหมายเลือกตั้งดังกล่าวบัญญัติไว้ให้บัตรเลือกตั้งมีช่องทำเครื่องหมาย ว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งด้วยนั้น ก็เพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะสงวนสิทธิ์ไม่เลือกผู้ใด ในกรณีที่เห็นว่าไม่มีพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดมี คุณสมบัติดีเพียงพอที่จะได้รับเลือกให้เป็น ส.ส. ยิ่งถ้าบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอยู่และลงสมัครรับเลือกตั้งใน ปัจจุบันได้พยายามสื่อสารกับสังคมว่าขอให้เลือกพรรคหรือผู้สมัครที่เลวน้อย ที่สุด กรณีการที่มีการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกาบัตรเลือกตั้งใน ช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน (VOTE NO) ด้วยเหตุผลว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถสร้างพรรคการเมืองและ นักการเมืองที่ดีได้ ด้วยวาทะที่ว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” และข้อกล่าวหาว่า “มีแต่พรรคการเมืองเผาบ้านเผาเมืองจาบจ้วง ล้มเจ้า พรรคการเมืองปล่อยคนเผาบ้านเผาเมืองขายชาติหลอกเจ้า และพรรคการเมืองโกงชาติกินเมืองโหนเจ้า” จึงสามารถกระทำได้โดยชอบ และมีผลต่อการเลือกตั้งตามกฎหมายดังกล่าว หากมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดจำนวนมากๆ หรือแม้แต่คะแนนของจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) รวมกับคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนในลำดับรองๆ ลงไป มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะได้ เพราะผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดย่อมไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน เสียงข้างมากไปในตัว และน่าจะต้องถือว่าขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอัน มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ต้องยอมรับเสียข้างมาก แต่มีหลักประกันสำหรับเสียงข้างน้อย เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ กกต.เพียงแต่จัดการเลือกตั้งโดยหันคูหากลับด้านทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า การเลือกตั้งที่จัดคูหาให้ผู้เลือกตั้งหันหน้าเข้าคูหาและหันหลังให้กรรมการ ประจำหน่วยเลือกตั้งและประชาชน ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 93 วรรคสอง) เป็นเหตุให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549) แล้ว การเลือกตั้งกรณีนี้อาจจะต้องถือว่านั้นเป็นโมฆะยิ่งกว่าบรรทัดฐานที่ศาลรัฐ ธรรมนูญเคยวินิฉัยไว้ดังกล่าวเสียอีก ทั้งหากพรรคการเมืองใดยังฝืนส่งคนไม่ดีที่ประชาชนปฏิเสธลงสมัครรับเลือกตั้ง อีก อาจถึงขั้นถือได้ว่า เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การถูกยุบพรรคการเมืองนั้นก็เป็นได้ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 68) ท้ายที่สุดนี้ ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า บัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) มีผลทางนิตินัยตามกฎหมายดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นอย่างแน่นนอน อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 21 มิถุนายน 2554, 07:11:36 http://www.youtube.com/watch?v=SLgk_b54eMI http://www.youtube.com/watch?v=Po5dGdlT464 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 25 มิถุนายน 2554, 21:52:18 มาเเล้วจ้า มาเเล้วจ้า
พรุ่งนี้ คุณอภิสิทธิ์ จะมาค้างที่ยโสธร ที่ วัด ต. สิงห์ อ.เมือง หลังจากปราศรัยที่ตลาดคลองถม ของพี่เเอ๊ะ (คือคลองถมเขาเช่าที่ดินพี่เเอ๊ะ ทำตลาด น่ะค่ะ) ที่ดิน 12 ไร่ อยู่กลางเมือง พี่แอ๊ะให้คลองถมเขาหยุดตลาด 1วัน ให้เฉพาะ ปชป เท่านั้น น้องตะวันโปรดอย่าเคือง 5555 คนทั่วไปเขาไม่ค่อยทราบว่าเป็นที่ดินพี่แอ๊ะ เลยขอให้ คนเช่า เขาหยุดตลาด หนึ่งวัน เขาเลยไปเม้าท์ กันว่า ปชป.ยโส หญ่าย..มาก ปิดคลองถมได้ 55555
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 25 มิถุนายน 2554, 21:54:27 ที่สำคัญ น้องตะวันมาดูดิ
ปชป. ยโส หญ่าย ไม่หญ่ายยยยยย พอขับรถเข้ายโสธร ป้าย ผู้สมัครไม่โดนทำลายเลย ค่ะ เราเป็นผู้ดี อ่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 25 มิถุนายน 2554, 21:56:49 เเต่ป้าย vote no ไม่รู้ด้วยเด้อ..... ไม่กล้าหันไปมอง กลัว ป้ายค่ะ ไปนอนแล้วน้องจ๋า ตัวใครตัวมัน นะน้องตะวัน จะเตะ พี่แอ๊ะพี่แอ๊ะก็ย๊อมมมมมมมมมมมมม กลัวน้อง ตะวัน เจงๆๆๆ 555555 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 25 มิถุนายน 2554, 22:04:31 รักนะ จุ๊บๆ นะน้องตะวัน จริงๆเราก็ สายพันธุ์เดียวกันน่นเเหละ เเต่บางวันก็ย่อมคิดไม่เหมือนกันบ้าง ไม่เป็นไร ไม่โกรธกัน เเต่พี่แอ๊ะรักคุณมาร์ค ชอบๆๆๆๆ ไม่ชอบคุณยิ่งลักษณ์ตอนปราศรัยเเล้วส่งจูบ ตลกจัง แล้วเวลา เวลาปราศรัย ดูเป็นแม่ค้าไปหน่อย อยากให้ปราศรัย เเบบคุณสุดารัตน์ ดูดีกว่านะ เเต่เวลาคุณยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ก็ดูดี ยิ้มสวย น้องตะวัน คงฝันถึงเป็นเเน่เเท้ ผู้หญิงอะไร สวยเป็นบ้า พี่หาญยังชอบเลยค่ะ ท่านใด มาอ่านเร็วๆ ก้ดี นะ เด่วพี่แอ๊ะอาจจะมาลบ ถ้อยคำที่อ่านเเล้วอันตราย เราไม่ควรไปวิจารณ์เขามากเวลาเจอกันจะได้ปั้นหน้าถูก อิๆๆๆๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 25 มิถุนายน 2554, 22:14:08 เล่าเรื่องคุณมาร์ค อีกหน่อยนะคะ
จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดเเรกเเละจังหวัดเดียวของภาคอิสาน ที่ท่านนายกรักษาการณ์ มานอนพัก ชาวตำบลสิงห์ภาคภูมิใจมาก ช่วยกันปัดกวาด บ้านเรือน วัด กันอย่างสะอาดเรียบร้อย เเต่เดิม เจ้าเมืองยโสธร เเพ้สงคราม เจ้าอนุวงศ์ เลยกลายเป็นกบฎ (คงเหมือน นปช.มั้ง ) จึงหนีมาจาก เวียงจันท์ และมาอยู่ ที่ นครเขื่อนขันธ์กาบเเก้วบัวบาน (หนองบัวลำพู)ในปัจจุบัน หลังจากนั้นจึงรอนเเรม มาตั้งบ้านเรือน ที่ต. สิงห์ อ.เมือง นี่ค่ะ จะมีรูปปั้นสิงห์คู่อยู่ที่นี่ ตำบลที่ท่าน นายกอภิสิทธิ์ จะมาค้าง ในคืนวันพรุ่งนี้ค่ะ น้องตะวันมารอต้อนรับหน่อยดิ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มิถุนายน 2554, 22:46:29 ตามสบายครับพี่แอ๊ะ
จะรักจะชอบใคร ก็แล่วแต๊....ระวังพี่หาญ จะเคืองนะครับ ไปปันใจให้คนอื่น..อิอิอิ ผมก็ไม่ได้เกลียดอภิสิทธ์ เพราะเขาหล่อมากกว่าผม เอ๊ยไม่ใช่ ผมไม่เลือกเขา เพราะคิดว่า ไม่อยากถูกหลอกซ้ำซาก แค่นั้นเอง และคิดว่า โวตโน..คือสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจ และจะพยายามชักชวนญาติมิตร มาร่วมขบวนการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนพี่ ทุ่มสุดตัว ในฐานะแม่ยก ก็ไม่ว่า และไม่เคืองกัน..ลางเนื้อ ชอบ ลางยา วันเวลา คงพิสูจน์ ให้คนเราได้เห็น ซักวันหนึ่ง ว่าใคร คือ ทองแท้ หรือ ทองเทียม ขอฝากคำขวัญให้พี่หน่อยครับ 3 กรกฎา เข้าคูหา ..ดองปู..ส่งคุณหนู กลับบ้าน..ด้วยการ....กาไม่เลือกใคร.. นอนหลับฝันดีนะครับ..พี่สาวที่แสนสวย(กว่าปูดอง)..และแสนดี.. 12พย.อย่าลืมมาร่วมงานวันคืนสู่เหย้านะครับ แต่ ต้องขอโทษ ที่ปีนี้ ผมไม่ได้เป็นแม่งานครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 มิถุนายน 2554, 09:24:04 คุณพี่ที่น่ารักของผม
นี่คือ ผลงาน หวานใจของพี่ ท่าทีของอภิสิทธ์ ต่อกรณีเขาพระวิหาร ที่พันธมิตรเรียกร้องให้ รัฐบาลถอนตัวออกจาก ภาคีมรดกโลก แต่อภิสิทธ์ไม่ยอมตามคำเรียกร้อง แต่ในที่สุด อภิสิทธ์ต้องหน้าแตกยับ เพราะความไม่เอาไหนของเด็กน้อยของพี่แอ๊ะ ที่ไม่มีวิชั่น งั้นพี่ต้องหันกลับมารักพันธมิตรอีกนะครับ เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนอกจากการไล่ทักษิณ ก็คือ การต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดินไทย ไม่ให้เสียกับเขมร นายกฯ ยังเชื่อมรดกโลกจะเห็นพ้องไทย ย้ำขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวขัดแย้งเพิ่ม รบ.ไทยยังระรื่น คาดมติ คกก.มรดกโลก เลื่อนถกแผนบริหารจัดการพระวิหาร เทพมนตรี” (พันธมิตร ที่คุณสุวิทย์เชิญไปเป็นที่ปรึกษา) เผยเวที คก.มรดกโลกล็อบบี้กันหนัก ไม่ยุติธรรมกับฝ่ายไทย ด่วน! "สุวิทย์" ประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้ว "สุวิทย์" ทวีต ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก บรรจุวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการโดยรอบประสาทเขาพระวิหาร โดยไม่ยอมเลื่อนตามที่ไทยขอ ประกาศนำประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกแล้ว ย้ำไม่มีประโยชน์ใดที่จะอยู่ในสังคมที่ดำเนินการตามใจตนเอง ไม่คิดถึงกฏระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจามรดกโลกไทย ได้ทวิตข้อความผ่าน @SuwitKhunkitti เมื่อเวลา 23.24 น. ระหว่างการเดินทางร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ว่า ที่ประชุมบรรจุวาระ ผมไม่มีทางเลือกครับ คงต้องถอนตัว ผมได้เคยพูดกับสื่อไทยไปว่า หากสังคมใดดำเนินการตามใจตนเอง ไม่คิดถึงกฏระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆที่เราจะอยู่ในสังคมแบบนี้ นายสุวิทย์ เผยต่อมาว่า "กำลังแถลงต่อที่ประชุมครับ คณะผู้แทนพยายามเข้าใจ อธิบาย และอดทนรออย่างเต็มที่แล้ว" ล่าสุด เมื่อเวลา 23.40 น. ตามเวลาในประเทศไทย นายสุวิทย์ระบุว่า "ผมและคณะนำประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกแล้วครับ" โดยก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 17.47 น. นายสุวิทย์ ได้ระบุว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่ประเทศไทยจะอยู่ในสังคมที่ไม่มีกติกาแบบนี้ ทุกคนได้ทำหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของไทยอย่างเต็มความสามารถแล้ว ทำทุกอย่างเท่าที่ควร และจำเป็นต้องทำไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลือในตอนนี้คือ รอการพิจารณา และเราจะตัดสินใจในขั้นสุดท้ายต่อไป คาดว่า คณะกรรมการมรดกโลก จะมีคำตอบให้ภายใน 1 ชั่วโมงนับจากนี้ ซึ่งเราจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายตัดสินใจก่อนเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Soponเท่านั้น ที่ 26 มิถุนายน 2554, 16:26:25 พี่ๆน้องๆครับ การเลือกกสทช.จะรู้ผลหลังเลือกตั้งทั่วไป ช่วยกันจับตาดู และสนับสนุนคนเก่งคนดีกันด้วย อย่าให้เหมือนการเลือกสว.ที่คนดีอย่างครูหยุยก็แพ้เงิน และการเล่นพรรคเล่นพวก
ขอหาเสียงให้เพื่อนหน่อยครับ Rom Hiranpruk 11:09pm Jun 23 (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd17_5427122_3921640_7513722photo.jpg) ผมเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นกรรมการกสทช. ซึ่งจะต้องถูกคัดเลือกโดยวุฒิสมาชิกทั้ง 150 คน จากจำนวนรายชื่อที่เสนอ 44 ชื่อให้เหลือเพียง 11 ชื่อ ในช่วงหลังการเลื่อกตั้ง http://www.facebook.com/l/eaa31FvlNsKHpymPnxrQicAK-pw/romhiranpruk.blogspot.com/2011/06/blog-post_22.html (http://www.facebook.com/l/eaa31FvlNsKHpymPnxrQicAK-pw/romhiranpruk.blogspot.com/2011/06/blog-post_22.html) หากท่านคิดว่าผมมีคุณสมบัติและความสามารถเหมาะสมกับงานนี้ ก็ขอได้ช่วยแนะนำตัวผมให้กับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ที่ท่านรู้จักด้วยครับ ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มิถุนายน 2554, 19:42:38 โหวตโน...แล้วได้อะไร?
วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16:00:07 น. มติชนออนไลน์ โดย ศาสตราจารย์ ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 10 มิถุนายน 2554 การเลือกตั้งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เพราะเป็นกลไกสำคัญสำหรับพลเมือง ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองโดยตรง และสามารถกำหนดได้ว่าใครจะเข้ามาทำหน้าที่ในการปกครองในระยะเวลาจำกัด ซึ่งโดยปกติอยู่ในระยะเวลา 4 ปี หรือ 5 ปี หรืออาจกล่าวได้ว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นกระบวนการทางการเมืองที่สำคัญยิ่ง ในการถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปให้ตัวแทนทำหน้าที่ใช้แทนประชาชน อย่างไรก็ตาม จะต้องพิจารณาด้วยว่าการเลือกตั้งดังกล่าวนั้นเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริงมากน้อยเพียงไร หากสิทธิและเสรีภาพในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งเป็นเครื่องกำหนดที่มาของขอบเขตและอำนาจขององค์การทางการเมืองได้อย่างแท้จริงแล้ว สิทธิและเสรีภาพนั้นก็มีความสำคัญทางการเมือง ตรงข้ามถ้าการเลือกตั้งเป็นไปในทิศทางของการผูกขาด เอารัดเอาเปรียบ หลอกลวง หรืออยุติธรรมแล้ว ความสำคัญของสิทธิและเสรีภาพของการเลือกตั้งก็จะหมดไป การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในทรรศนะของนักวิชาการมีความหมายไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนใหญ่มองว่าการเลือกตั้งเป็นการต่อสู้แข่งขันในการรณรงค์เพื่อชัยชนะ ในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เกิดตามความคาดหวังอันเป็นที่พึงพอใจ หรือ การเลือกตั้ง หมายถึง กระบวนการทางการเมืองรูปแบบหนึ่งที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ในการปกครองประเทศและตัดสินใจในนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อประชาชน จากความหมายดังกล่าวข้างต้น การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่พึงปรารถนาจึงจำเป็นต้องมีลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องมีหลายคน หรือมีบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายบัญชี (ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้เลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อ) หากมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว หรือมีบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงบัญชีเดียว ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่พึงปรารถนา ประการที่สอง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีเสรีภาพบริบูรณ์ที่จะเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง หรือบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งบัญชีใดบัญชีหนึ่ง ฉะนั้น หากมีการบังคับให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งหรือบัญชีรายชื่อบัญชีใดบัญชีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบังคับโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ย่อมถือว่าไม่ใช่การเลือกตั้งที่พึงปรารถนา และ ประการที่สาม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิและเสรีภาพที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่น และมีโอกาสที่จะทราบความคิดเห็นรวมทั้งข้อมูลข่าวสารของผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ก่อนการตัดสินใจเลือก ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งถูกต้องตามความเป็นจริงที่แต่ละคนชอบ ฉะนั้น การเลือกตั้งที่ขาดเสรีภาพในการรับฟังความคิดเห็น จึงย่อมไม่ใช่การเลือกตั้งที่พึงปรารถนา การออกเสียงเลือกตั้งจึงเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษย์ โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย ดังปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 21(1) ความว่า "เจตจำนงของประชาชนย่อมเป็นมูลฐานแห่งอำนาจของรัฐบาล ของผู้ปกครอง เจตจำนงดังกล่าวต้องแสดงออกโดยการเลือกตั้งอันสุจริต ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามกำหนดเวลา ด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างทั่วถึง โดยถือหลักคนละหนึ่งเสียงเท่านั้น ด้วยกระทำเป็นการลับด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะประกันให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นไปโดยเสรี" การเลือกตั้งยังมีนัยสำคัญในสองแง่มุม กล่าวคือ ส่วนแรก การเลือกตั้งในแง่มุมของปรัชญา และส่วนที่สอง การเลือกตั้งในแง่มุมของกฎหมาย การเลือกตั้งในแง่มุมของปรัชญา สามารถพิจารณาได้เป็น 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นสิทธิตามธรรมชาติ มาจากแนวคิดที่ว่า สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ติดตัวมากับบุคคลในฐานะที่บุคคลเป็นหน่วยหนึ่งของรัฐ เพราะบุคคลย่อมเสมอภาคกัน อันเป็นลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์ หากบุคคลเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ มีวุฒิภาวะ และไม่มีลักษณะต้องห้ามแล้ว ก็ย่อมจะมีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง ประการที่สอง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นภารกิจสาธารณะ มาจากแนวคิดที่ว่าความก้าวหน้าของสังคมย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติการของบุคคลให้เป็นไปตามหน้าที่อย่างชาญฉลาด ดังนั้น การให้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแก่บุคคล จึงจำกัดเฉพาะบุคคลที่มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเท่านั้น การดำเนินการตามแนวคิดนี้ บุคคลอาจถูกจำกัดสิทธิในการลงคะแนนได้เสมอ หากเมื่อปรากฏว่าบุคคลนั้นเข้าลักษณะที่ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้อย่างถูกต้อง ประการที่สาม การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นสิทธิคัดค้านการกระทำ มาจากแนวคิดที่ว่าผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่ลงคะแนนเพื่อคัดค้านการกระทำหรือนโยบายของรัฐบาลรวมทั้ง เจ้าหน้าที่ทางราชการผู้ใดก็จะไม่ลงคะแนนสนับสนุนพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ทางราชการนั้นๆ ตรงข้ามผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็จะลงคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองที่ตรงกันข้ามกับผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรครัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาล สำหรับ การเลือกตั้งในแง่มุมของกฎหมาย ก็สามารถพิจารณาออกได้เป็น 3 ประการเช่นเดียวกันได้แก่ ประการแรก การเลือกตั้งในฐานะที่เป็นสิทธิ (rights) หมายความว่า ความสามารถที่แต่ละบุคคลกระทำได้ ภายใต้การยอมรับของกฎหมาย สิทธิจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ในปัจเจกบุคคลแต่ละคน และกฎหมายให้การรับรอง หากถูกละเมิด กฎหมายจะให้การคุ้มครอง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งถือเป็นสิทธิที่สำคัญประการหนึ่งที่รัฐจะให้การคุ้มครอง ประการที่สอง การเลือกตั้งในฐานะที่เป็นเอกสิทธิ์ (priviledge) หมายความว่า การที่บุคคลได้มาซึ่งเสรีภาพที่จะไม่ให้บุคคลอื่นแทรกสอดเข้ามาเกี่ยวข้องได้ การออกเสียงลงคะแนนจึงถือเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีความเป็นอิสระที่จะเลือกกระทำการอย่างใดก็ได้ ที่ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย ปราศจากการแทรกแซงหรือเกี่ยวข้องของบุคคลอื่นเป็นสำคัญ ประการที่สาม การเลือกตั้งในฐานะที่เป็นหน้าที่ (duty) หมายความว่า การที่บุคคลจำเป็นต้องกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นหน้าที่ก็ต่อเมื่อ กฎหมายได้ระบุหรือบังคับให้ผู้ออกเสียงลงคะแนนไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง กฎหมายได้ระบุหรือบังคับว่าการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องกระทำ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจึงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งในทางการเมืองที่บังคับโดยกฎหมาย นอกจากนั้น การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยยังมีหลักเกณฑ์ที่เป็นแกนกลางที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกยอมรับกันโดยทั่วไป ได้แก่ ประการแรก หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง (freedom of election) หมายถึง การให้ความเป็นอิสระต่อการออกเสียงเลือกตั้ง โดยมิให้มีการขู่บังคับให้การเลือกตั้งถูกบิดเบือนไปจากเจตจำนงอันแท้จริงของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนยังเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเด็ดขาด ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดให้มีการลงคะแนนที่เป็นความลับ เพื่อให้ประชาชนสามารถลงคะแนนได้อย่างอิสระ ปราศจากอิทธิพล อามิสสินจ้างหรือการข่มขู่ใดๆ อีกด้วย ประการที่สอง หลักการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา (periodic election) หมายความว่า การเลือกตั้งจะต้องมีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนแน่นอน อาทิ การกำหนดให้มีการเลือกตั้งโดยปกติทุก 4 ปีหรือทุก 5 ปี เป็นต้น ประการที่สาม หลักการเลือกตั้งอย่างแท้จริง (genuine election) หมายถึง การดำเนินการให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม รัฐบาลจะต้องถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องป้องกันมิให้มีการคดโกงในการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ รวมทั้งอาจให้องค์กรที่เป็นกลางทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง โดยเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านการเลือกตั้งได้ เมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง ประการที่สี่ หลักการออกเสียงทั่วถึง (universal suffrage) หมายถึง การเปิดโอกาสให้มีการออกเสียงเลือกตั้งอย่างทั่วถึงแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า เว้นแต่ในกรณีที่มีข้อจำกัดอันเป็นที่รับรองหรือยอมรับกันโดยทั่วไป อาทิ การไม่อนุญาตสิทธิเลือกตั้งให้แก่เด็ก ภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช บุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือผู้ที่ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล เป็นต้น และ ประการที่ห้า หลักการเลือกตั้งอย่างเสมอภาค (equal suffrage) หมายความว่า บุคคลผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งย่อมมีสิทธิคนละหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน และคะแนนเสียงทุกคะแนนมีน้ำหนักเท่ากัน ดังนั้น อาจกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้ว่า การเลือกตั้งเป็นการเลือกรัฐบาลที่จะมาทำการปกครอง ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งก็อาจเป็นเสมือน "ห้ามล้อ" ของการปกครองได้เช่นเดียวกัน เพราะผู้เลือกตั้งอาจจะไม่เลือกผู้ที่เคยเป็นรัฐบาล กระบวนการเลือกตั้งจึงเป็นทั้งการนำมาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลและจำกัดการกระทำของรัฐบาลไปด้วยในขณะเดียวกัน สำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทยหลังการปฏิรูปการเมืองเมื่อ พ.ศ.2540 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีทั้งความก้าวหน้าและความล้าหลังไปในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ประการแรก การมีคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ เป็นกลาง ทำหน้าที่บริหารจัดการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมถือเป็นความก้าวหน้าของการปฏิรูปการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความล้าหลัง ได้แก่ ความไร้ประสิทธิภาพของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ มิหนำซ้ำยังมีปรากฏการณ์ของการทุจริตในการเลือกตั้ง การซื้อสิทธิขายเสียงที่แพร่ระบาดมากขึ้น ประกอบกับการขาดความสามารถในการควบคุมการใช้จ่ายเงินในการหาเสียงเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่กำหนด ได้นำไปสู่ความไม่เสมอภาคในการเลือกตั้งและเปิดโอกาสให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคนหรือพรรคการเมืองบางพรรคได้เปรียบในการแข่งขัน ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประการที่สอง กฎหมายเลือกตั้งที่สะท้อนหลักปรัชญาของการเลือกตั้ง คือ เมื่อมีการกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีหน้าที่ต้องไปเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิที่จะปฏิเสธผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคน หรือพรรคการเมืองทุกพรรคที่เขาไม่ชอบได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ในบัตรเลือกตั้งที่มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถกาเครื่องหมายในช่องที่ไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และในช่องที่ไม่ลงคะแนนให้แก่พรรคการเมืองใดเลยในระบบบัญชีรายชื่อหรือเรียกกันสั้นๆ ว่าเป็นการ "Vote No" จึงเป็นการสะท้อนหลักปรัชญาของการเลือกตั้งที่แสดงถึงสิทธิในการคัดค้านการกระทำของนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าของกฎหมายเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันความล้าหลังที่เกิดขึ้นก็คือ การเขียนกฎหมายที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ ว่าในกรณีการเลือกตั้งทั้งในระบบแบ่งเขตเลือกตั้งหรือระบบบัญชีรายชื่อ ในกรณีที่เสียงของผู้ใช้สิทธิคัดค้านหรือ "Vote No" มีจำนวนสูงสุดมากกว่าผู้ที่ "Vote Yes" ผลลัพธ์ควรจะเป็นอย่างไร ควรจะต้องจัดการเลือกตั้งซ้ำใหม่หรือไม่ และจะต้องมีการนำเสนอผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่หรือไม่ อย่างไร อย่างไรก็ตาม การ "Vote No" ที่แสดงถึงการไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายใดเลย หรือพรรคการเมืองใดเลยนั้น ผลลัพธ์ในทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นและสมควรจะต้องนำไปพิจารณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ประการแรก เป็นการสะท้อนสิทธิของการคัดค้านของประชาชน ซึ่งหมายถึงการสะท้อนถึงหลักปรัชญาของการเลือกตั้ง อันจะมีผลต่อความชอบธรรมของระบบการเมือง พรรคการเมืองหรือนักการเมืองได้เป็นอย่างดี ประการที่สอง ในกรณีที่เสียง "Vote No" มีจำนวนมากที่สุดหรือเป็นเสียงข้างมาก ย่อมสะท้อนถึงหลักการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เป็นหลักการสำคัญของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งจะไม่ได้รองรับในประเด็นดังกล่าวไว้ก็ตาม แต่ในหลักปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยแล้ว รัฐบาลหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นจากเสียงข้างน้อยย่อมขาดความชอบธรรมในการปกครองโดยทันที ประการที่สาม ในกรณีที่เสียง "Vote No" มีจำนวนน้อยจะจำนวนเท่าใดก็ตาม หลักการของระบอบประชาธิปไตย สิทธิของเสียงข้างน้อยย่อมจะต้องได้รับการพิทักษ์คุ้มครองหรือให้ความเคารพ เสียงส่วนใหญ่ย่อมต้องรับฟังเสียงข้างน้อยด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุป เสียง "Vote No" เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาการเมือง "น้ำเน่า" ที่ยังหมักหมมอยู่ในระบบสังคมการเมืองไทย และหากไม่รีบดำเนินการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องดังกล่าวนี้ การเมืองไทยจะนำบ้านเมืองเข้าสู่กลียุค และการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: jeam ที่ 29 มิถุนายน 2554, 19:37:28 นำมาฝาก......
http://www.khonthai.com/Election/enqvoter/indexenqvoter.php หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กรกฎาคม 2554, 09:23:19 เผย “มีชัย ฤชุพันธุ์” เสนอในเวทีสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่า ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ให้นำโหวตโนมาคำนวณด้วย ชี้ เป็น เจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิ ระบุจะทำให้สังคมมีทางออกมากขึ้น กรณีที่มีการระบุถึงคะแนนของผู้ประสงค์ไม่เลือกใคร หรือ โหวตโน ในมาตรา 88 และ 89 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 นั้น เมื่อมีการตรวจสอบข่าวย้อน หลัง พบว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้เสนอใน การสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ว่า ควรแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดฐานคะแนนเสียงของ ส.ส.เพื่อให้คะแนนโนโหวตมีผลทางกฎหมาย โดยเฉพาะช่องไม่ลงคะแนน เพราะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คะแนนโนโหวตสูงมาก แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย กลายเป็นเพียงแค่บัตรเสียเท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะต้องแก้กฎหมายให้ ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งต้องได้คะแนนสูงกว่าคะแนนโนโหวต หากไม่ผ่านต้อง มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ประชาชนยอมรับมากที่สุด “ถ้าได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนโนโหวต จะเป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร เพราะคะแนนดังกล่าวเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนที่ใช้สิทธิแสดงความไม่เห็น ด้วยกับตัวผู้สมัคร โดยส่วนตัวเชื่อว่า การเขียนไว้จะทำให้สังคมมีทางออกมาก ขึ้น” นายมีชัย กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอของ นายมีชัย ทำให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ (สนช.) อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่สนับสนุน อย่างไร ก็ตาม นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ แสดงความกังวลว่า หากบัญญัติไว้เช่นนั้น อาจจะเป็นการเปิดช่องทาง ให้มีการรณรงค์โนโหวต จนทำให้ได้ ส.ส.ไม่ ครบ 400 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ เราจะแก้ปัญหา อย่างไร ขณะที่ นายสำราญ รอดเพชร เสนอว่า ถ้าจะให้คะแนนโนโหวตมีผล ทางกฎหมาย ต้องนำคะแนนโนโหวตทั้งหมดมาเปรียบเทียบกับคะแนน ส.ส.ทั้งหมดของประเทศ หากมีคะแนนน้อยกว่าคะแนนโนโหวต ต้องมีการ เลือกตั้งใหม่ ด้าน นายณรงค์ โชควัฒนา กล่าวว่า เห็นด้วยที่ให้คะแนนโนโหวตมีผลทาง กฎหมาย และจะเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคเล็กมีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น และขอเสนอว่า ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าคะแนนโนโหวต ควรตัด สิทธิ์ผู้สมัครคนดังกล่าวออกจากพื้นที่ไปเลย เพราะถือว่าประชาชนไม่ยอมรับ แล้ว และยังเสนอในส่วนของการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งว่า หากนักการเมืองคน ใดถูกเพิกถอนสิทธิ ด้วยข้อหาการทุจริต ไม่ควรถูกจำกัดสิทธิเพียง 5 ปี แต่ ควรเพิกถอนสิทธิตลอดชีวิต เพราะการจับคนโกงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงควรลงโทษ ให้หนักให้หมดอาชีพนักการเมืองไปเลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 13:22:54 ขอบคุณน้อง เจียม เมื่อกี้ได้ใช้ลิ้งค์ นี้เเหละไปเลือกตั้ง
พอดีบางปีหน่วยเลือกตั้งพี่แอ๊ะเขาเปลียน วัด (วัดคือหน่วยเลือกตั้ง) พอดี จดหมายของพี่เเอ๊ะทีบอกว่าจะไปเลือกที่ไหน เขาบอกรายชื่อ partylist ด้วยพี่เเอ๊ะอยากอ่านว่าเป็นใครมั่งเเต่ตอนนั้นกำลังทำงานไม่มีเวลาอ่าน บอกให้เเม่บ้านเอาไปเก็บไว้ในบ้าน เธอได้ยินว่าให้เอาไปใส่ถังขยะ พอตามหาเธอบอกว่าหนูเอาไปทิ้งเเล้ว555555 เลยใช้ ลิ้งค์น้อง jeam เเทน พี่หาญตื่นเต้นมาก แกไม่รู้เรื่องไอที พอใส่เลขที่บัตรปชช.พี่หาญลงไป เขาก็บอกว่าให้ไปเลือกตั้งที่ไหน แกบอกว่า ไอ้ หยา มีอย่างนี้ด้วยหรือ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 กรกฎาคม 2554, 14:15:44
วันนี้ ผมก็ไป ดองปู และส่งคุณหนูกลับบ้านเรียบโร้ย..แล้วครับ เดี๋ยวแม่ยก คงได้เป่าปี่กันเป็นแถวๆๆ เพราะคุณหนู ต้องกลับบ้านไปนั่งบี้สิว กับใครไม่รู้..555555 แล้วก็ต้องหันมาขอคืนดี เสื้อเหลือง เพื่อไป ต่อสู้กับเหลี่ยมอีกหน แต่ คราวนี้ ตัวใครตัวมันละครับ ขอให้โชคดีนะครับ..แม่ยก ปชป....555555 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 10:15:17 พี่แอ๊ะครับ
พี่รู้จัก หลวงพ่อดีเนาะ ที่จ.หวัด อุดรธานี มั้ยครับ เรื่องนี้ท่านคงบอกว่า ทักษิณ มาก็ดีเนาะ... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 12:24:15 "แม่ยกอภิสิทธ์ คงลุ้นมากเลยขอบคุณผิดๆถูกๆ เดี๋ยวน้องเจียมเขาจะน้อยใจนะครับ"
กับพี่กับเชื้อ ก็ไม่เว้นนะคะคุณปูแดงตะวัน คนอื่นไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงด้วย มีพี่แอ๊ะ นี่แหละไม่กลัว ปูเเดงตะวันอยู่คนเดียว 5555555 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 14:06:38 เเม่ยกอภิสิทธ์
ไม่ได้เป็นแม่ยก ค่ะ ไม่ใช่ ลิเก แต่ชอบคนดีมีการศึกษา เป็นผู้ดี และมีคุณธรรม ไม่เอาความเป็นผู้ดี มาข่มคนอื่น และตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ที่จริงชาตินี้ทั้งชาติ อยู่สบายๆก็ได้ เเต่ต้องการทำงานเพื่อชาติ เเละไม่ทำธุรกิจใดๆที่จะทำให้เสียหายต่อการทำหน้าที่ให้กับประเทศ แค่นี้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ที่คนไทยคนหนึ่ง เกิดในต่างเเดนเเต่รักประเทศชาติ พูดภาษาไทย ไม่ดัดจริต ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ผิดเเม้เเต่นิดเดียว พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับคูณอภิสิทธิ์ นะคะ เเต่ มองคนเเบบให้ความเป็นธรรม การบริหารประเทศในช่วงวิกฤติขนาดนี้ ทำได้เเค่นี้พี่แอ๊ะก็พอใจ แล้วค่ะ ไม่สนใจคะเเนน โหวต no หรอก ค่ะอุตส่าห์เอาวัวเอาควายมาขึ้นป้ายเเทบตาย ก็ไม่ได้ฉุดคะเเนน ลงไปให้เห็นเป็นความเเตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เหนื่อยเปล่ากับการโหวตโน แถม คนด่าด้วย จะประชดประเทศชาติไปทำไมกัน เขาเรียกว่าว่าขี้เเพ้ชวนตี พี่เเอ๊ะยินดีให้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคารพเสียงของประชาชนค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย17 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 15:04:56
หนูก็ยินดีค่ะ..ถ้าเขาจะทำให้ชาติเจริญขึ้น...เพียงแต่กลัว.........ค่ะ... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: jeam ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 17:10:16
สำหรับผมแล้ว พยายามมองการเมืองไทยแบบ Bird eye view.....ครับ เพื่อที่จะได้ไม่ไป IN และหาเหตุผลมาวิเคราะห์ ว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ แบบนั้น ประชาธิปัตย์ ไม่สามารถสร้างกระแส ...พวกคนบ้านมีรั้วบ้าน...ได้มากพอ และยังมีบางส่วนตีตัวออก ดูจาก....จำนวน สส. ของกทม.... ได้โอกาสทำงานแล้ว แต่กลับไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ เพื่อสร้างฐานมวลชนให้กระจายไปสู่ ...คนบ้านไม่มีรั้ว...ในวงกว้าง ใช้การตลาดไม่เป็น อภิสิทธิ์ และ กุนซือ รอบข้าง คิดแบบผู้ดีเกินไป การแก้ัปัญหาบางครั้ง อ้างอิงหลักการ จนไม่กล้าสั่งการ กุนซือรอบข้าง มีแต่พวก นักกฏหมาย นักเศรษศาสตร์ นักบัญชี และก็แพทย์ น่าจะมีพวกวิศวกร บ้าง เผื่อว่าวิธีคิดจะได้แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ เพื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว วิศวกร จะหาทางทำให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม เรียกว่า...ถึงลูก...ถึงคน...กว่า (เขียนในฐานะที่ มีความรู้สึกแบบ วิศวกร) ถ้าจำไม่ผิด เคยดูจากการนำมาพูดของ...สุทธิชัย หยุ่น...ว่า ผู้นำจีนยุคปัจจุบัน ถ้ามองดูภูมิหลัง จะพบว่าเกินกว่าครึ่ง เป็นผู้ที่จบทางสาขาวิศวกรรม นับตั้งแต่ประธานาธิปดีหูจิ่นเทา จบวิศวกรรมไฮดรอลิก ดังนั้น ทำไมจีนถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ประชาธิปัตย์ ต้องเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำงาน เมื่อโอกาสมาถึง ไม่ใช่ปล่อยให้หลุดลอยไป อย่างที่เกิดขึ้น...... ผมก็เขียนไปเรื่อยเปื่อยแหละครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เหยง 16 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 17:49:36 คุณเจียม
ผมสนับสนุนความเห็นของคุณเจียมครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 18:22:56
พี่แอ๊ะครับ อย่าโกรธ ผมเลยนะครับ ความเห็นของน้องเจียม ตรงเผงที่สุดครับ พี่แอ๊ะลองใคร่ครวญ และพิจารณา ข้อมูลให้ถี่ถ้วน ผมเองก็ไม่ได้นิยมชมชอบ พวกไอ้เหลี่ยมเลยเกลียดมันพอๆกับที่พี่รังเกียจมัน แต่ที่ต่อต้านและไม่เลือกอภิสิทธ์ เพราะอภิสิทธ์ เป็นคนอีโก้ ดื้อ คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ฟังเสียงคนอื่น เสื้อเหลืองที่ผ่านมาก็สนับสนุน อภิสิทธ์ มามากมาย อย่างตอนอภิปราย นายกสมัคร ก็ป้อนข้อมูล เรื่องเขาพระวิหารอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเขาเป็นรัฐบาล กลับมารังแก เสื้อเหลือง แกนนำจะฟ้องไม่ว่า แต่กลับเหวี่ยงแห ประชาชนที่เขาไม่ใช่แกนนำก็โดนข้อหาก่อการร้าย คนตายและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ตุลาก็ไม่ช่วยอะไรเลย อย่างนี้คนเขาเจ็บช้ำมาก แล้วใครจะมาเลือก แถมสุเทพก็ด่าพันธมิตรตลอด ไม่แยกมิตร แยกศัตรู อย่างนี้ คะแนนก็หายหมดซิครับ อภิสิทธ์อ่อนหัดเกินไป เขาเป็นเด็กเก่ง แต่เขาไม่เข้าใจสังคมไทย ที่มันต้องลูกทุ่ง มีลูกล่อลูกชน..เขาเชื่อแต่แก๊งไอติมของเขา ที่ละอ่อน ทางการเมืองทั้งนั้น สุเทพ ก็มัวแต่บ้าอำนาจ โกงกิน ไม่เคยจะมาคิด บริหารจัดการ เรื่องราวต่างๆให้มันดี เมื่อมีอำนาจ ต้องจัดการกับฝ่ายตรงข้ามให้เด็ดขาด มาทำตัวสำอางค์เป็นผู้ดี มันก็จบเท่านั้นเอง ปชป.ต้องหาหัวใหม่ และเปลี่ยนแนว ทางการทำงาน ต้องคิดใหม่ ที่ไปลอกการบ้านทักษิณมามันไม่ได้ผล พี่ลองคิดดู ชูวิทย์ ที่หาเสียงคนเดียวแต่ได้คะแนนมาอื้อ เขามาแนวทางเีดียวกับ เสื้อเหลือง ที่ว่า นักการเมืองชั่ว คอรับชั่น ซึ่งถูกใจคนจำนวนมาก ตอนนั้นถ้า อภิสิทธ์กล้าๆ หน่อย ปฎิรูปการเมือง และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่านี้ คงไม่อับจนอย่างวันนี้ ลองพิจารณาความเห็นของน้องเจียมให้ดี มันคือ บทวิเคราะห์ ที่เป็นกลางชัดเจน และเป็นวิทยาศาสตร์ เราหัวอกเดียวกันแหละครับ ผมไม่นิยม ปู ครับ ไม่ว่าปูแดง หรือ ปูเหลี่ยม ปชป.ต้องรู้จักสร้างฐานมวลชน ไม่ใช่กระจุกตัวแค่ ภาคใต้ และพวกบ้านมีรั้ว แต่หนนี้ ต้องเหนื่อยหนักละครับ แต่คนชั่ว มันต้องสดุดขาตัวเองแน่ๆ ขอแต่ ปชป.ต้องสรุป บทเรียน ความผิดพลาดให้ถูกต้อง ไม่ใช่มาโทษ เสื้อเหลือง และ โวตโน ขอให้โชคดีนะครับ วันหนึ่งข้างหน้า เราคงมาจับมือกันสู้กับพวกโครตรโกงอีกแน่ๆ แต่เสร็จสมหวังแล้ง อย่ามาถีบหัวเราส่งอีกแล้วกัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 20:11:20 เบื่อทะเลาะกับคนกันเอง น้อง เเดงตะวัน แล้วล่ะ
เอาเวลาไปดูนางงามยิ้มไปยิ้มมาใส่หน้ากล้อง เวลาพูดก็อ่าน script ไปด้วย นายกหญิงน่ารักดีจัง พอไม่มีกล้องก็หน้าหงุดหงิดเเบบผู้จัดการในบริษัท ชี้นิ้ว สั่งงานอย่างโน้นอย่างนี เป็นอาซิ้มเต็มที่ พอผู้สื่อข่าวเเพนกล้องมา ก็ยิ้มให้เหมือนประกวดนางสาวไทย ยังไงยังงั้น ดูแล้วมีความสุขดีค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 20:13:23 บายๆ ๆ นะน้องเเดงตะวัน เเล้วเจอกันเมื่อชาติและประชาชนต้องการค่ะ ตอนนี้ประชาชนไม่ต้องการ ลาก่อนล่ะ ซาหวัดดี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 20:20:01 ขอบคุณพี่แอ๊ะ ที่แวะมาสร้างสีสรร ให้ห้องนี้ชั่วขณะ
ผมยังรักและเคารพพี่เหมือนเดิม แม้อุดมการณืเราจะต่างกัน ยังไงก็ช่วยบอก อภิสิทธ์ว่า ให้ไปรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี อย่ากลับลำมาเป็น หน.ปชป.อีกครั้งนะครับ เพราะยังไงๆๆก็สู้ทักษิณไม่ได้ ให้คนอื่นที่เขาลูกล่อลูกชนมากกว่านี้ เข้ามากอบกู้ ปชป.นะครับ หวัดดีครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 21:01:13 ยังไงก็ช่วยบอก อภิสิทธ์ว่า ให้ไปรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
อย่ากลับลำมาเป็น หน.ปชป.อีกครั้งนะครับ พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับเขาที่จะคุยได้ อย่าฝากพี่แอ๊ะเลย เเต่พี่เเอ๊ะชื่นชม คนดี ที่ไม่โกงไม่กิน ปชป.คนไหนโกงกินพี่แอ๊ะก็ไม่พิสวาทด้วยค่ะ เเละคนเราไม่ได้เก่งเเบบคนทักษิณไปทุกคน การทำงานการเมืองที่บริสูทธิ์ต้องไม่ทำการตลาด เหมือนธุรกิจ แต่อาจจะมี campaigne บ้าง การทำงานการเมืองจะต้องไม่หวังผลกำไรให้ตัวเอง อยากได้กำไรก็ทำธรุกิจดีกว่า ว่าจะไม่มาหาตะวันเเดงเเล้ว ว่างๆหากไม่อยากทะเลาะก็ไปคุยห้องพี่เเอ๊ะ นะคะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 21:08:36 มาอีกทีค่ะ ว่าจะจากน้องตะวันเเดงเเล้วเเต่ได้รับอีเมล์จากพี่ที่นับถือท่านหนึ่งเลยอยากจะบอกค่ะ
พี่เคยพูดกับกรรมการร่างรธน.ยุค คมช.ว่าสีแดงเขาเหนียวแน่นเรื่อง"ขายตรง" หมายความว่าเขาจัดตั้งสมาชิกแน่นหนา เงิน ถึง นำเลี้ยงถึง พยากรณ์ว่าเลือกกี่ครั้งก็ได้ เพราะฐานเจดีย์คือระดับรากหญ้า เกษตรกรและแรงงาน กว่า 50% แม้เสียงชนชั้น กลางและระดับบนก้สู้เขาไม่ได้ เผาบ้านเมืองก็มาจากกลุ่มนี้ ดังนั้นพวกเรากลุ่มเสียงข้างน้อยต้องปรับยุทธวิธีใหม่ คนในกรุง และเทศบาลน่าจะเลือกปชป.แต่นอกเทศบาลเลือกสีแดงแน่นอน การปรับตัวอาจต้องทำใจ พี่ไม่แน่ใจว่าหากสีแดงกร้าว เรียก ร้องมาก อาจถุกโต้กลับและเกิดนำผึ้งหยดเดียวและกลายเป้นสงครามกลางเมืองพราะชนชั้นกลางและระดับสูงรับไม่ได้จึงขอ ให้เฝ้าดูไปประมาณ 3 ไตรมาส( 9 เดือน)จะเห็นรูปร่างว่าคุณปูเธอบริหารได้หรือไม่ อย่างไร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กรกฎาคม 2554, 22:11:05 ถึงพี่จะยัดเยียด ให้ผมเป็นตะวันแดง
แต่ผมก็ไม่นิยม เสื้อแดงเด็ดขาด คราวก่อนพี่ก็เห็นว่า ผมยืนหยัดซัดกับพวกเสื้อแดงมามากมายแค่ไหน แต่มาผิดหวังอย่างแรงกับอภิสิทธ์ จึงไม่เลือก และไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือเขาอีก ปชป.ต้องปรับกระบวนท่าใหม่ สร้างฐาน มวลชน ของตัวเองขึ้นมา ต้องรุกเข้าหามวลชน สร้างฐาน ใน ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก น่าจะรุกคืบ แย่งเสียง สส.คืนมาได้มากพอสมควร แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่ ไม่ชักช้า ความคิดโบราณ ตีีแต่ฝีปาก และหานักวิศวกร เข้ามาสร้างแนวทางพรรคใหม่ ผมเชื่อว่า ทักษิณต้องสดุดขาตัวเองอีกครั้ง ( ไม่รู้เมื่อไร..อดใจรอ..หมูมันอดกิน อาจม ไม่ได้หรอกครับ) แถมยายปูดอง..(นักข่าวเรียกเธอว่า PROXy)...ฝีมือไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้า ปชป.ไม่ปรับ แนวทางพรรคใหม่ ก็ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก คุยกันได้เสมอครับ..ไม่ใช่เราทะเลาะกันนะครับ..เรียกว่า แลกเปลี่ยนทัศนะกันมากกว่า ผมยินดี เสนอความคิดสร้างสรรให้กับ ปชป. พี่ก็รู้ว่า ลุงจำลองเป็นคนดี..และผมก็ยืนอยู่ข้างลุงจำลองเสมอ.. และลุงจำลองนี้แหละที่ไม่เคยพูดจาหยาบคาย กลับต้องมาว่า อภิสิทธ์ ตอแหล พี่ต้องยอมรับความจริง เพราะ มหาจำลอง ไม่ผิดศิลแน่นอน... ขอเป็นกำลังใจให้ ปชป.ยุคใหม่ ผลัดใบเถิดครับ..วิธีเก่า โบราณ มันใช้ไม่ได้แล้วครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 กรกฎาคม 2554, 12:34:58 ทวงสัญญาประชานิยม "หลอกว่าจะให้"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2554 16:59 น. นโยบายประชานิยม "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" กำลังถูกจับจ้องว่าจะนำพาไทยสู่ความรุ่งเรืองหรือวิกฤต ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คำสัญญาหลอกว่าจะให้กลายเป็นบ่วงรัดคอเพื่อไทย พิสูจน์น้ำยาประชานิยมสินค้าเก่ารีแบรนด์ใหม่ หากทำไม่ได้กระแสตีกลับถูกเหยียดหยันดีแต่พูดไม่ต่างประชาธิปัตย์แน่ ผู้ใช้แรงงานทวงค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท บัณฑิตใหม่ฝันเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท นักเรียนทุกคนรอแจกคอมพิวเตอร์ เกษตรกรตั้งตาคอยพักหนี้ รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล คืนภาษีผู้ซื้อบ้านซื้อรถ ลดราคาน้ำมัน เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุหัวละพัน รับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ขณะที่เสียงค้านเริ่มดัง ห่วงใช้จ่ายเกินตัวเกิดวิกฤตเศรษฐกิจพาชาติล่มจม การเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค. 54 ที่ผ่านมา ทุกพรรคการเมืองต่างแข่งขันกันหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเจ้าตำหรับประชานิยมก็ได้มาด้วยคำสัญญาต่างๆ นาๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้น ภารกิจสำคัญของเพื่อไทยหลังชัยชนะจึงไม่ใช่แค่เรื่องการนิรโทษกรรม ทักษิณ ชินวัตร ที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้คำสัญญา “หลอกว่าจะให้” เป็นจริงให้ได้ด้วยเพื่อรักษาคะแนนนิยมไม่ให้มวลชนรากหญ้ารู้ว่าดีแต่คุยโม้โอ้อวดไม่ต่างจากประชาธิปัตย์ แต่ในทางกลับกันก็มีเสียงแสดงความห่วงใยหากเพื่อไทยทำตามคำสัญญาหลอกว่าจะให้ได้จริง ก็เท่ากับว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นำพาประเทศเดินเข้าสู่กับดักวิกฤตเศรษฐกิจสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะรัฐบาลจะต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลมาทุ่มเทให้กับโครงการลดแลกแจกแถมตามที่สัญญาเอาไว้ ย้อนกลับมาดูกันว่า คำสัญญาหลอกว่าจะให้ หลอกว่าจะทำนั้น ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลขนาดไหน ซึ่งก่อนนี้มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง ออกมาให้ข้อมูลเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ โดยประเมินกันว่านโยบายประชานิยมลดแลกแจกแถมของเพื่อไทยนั้นจะต้องใช้เงินเพิ่มประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถ้ารวมกับโครงการลงทุนต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ระบบน้ำ ฯลฯ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท รวมๆ แล้วเม็ดเงินที่จะใช้จ่ายเพิ่มสูงถึงประมาณ 4 ล้านล้านบาท สำหรับโครงการตามนโยบายที่เพื่อไทยหาเสียง ซึ่งจะต้องหาเงินใส่ลงไป มีดังนี้ 1.องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเงินเพิ่ม 25% 2.เพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านๆ ละ 1 ล้านบาท 80,000 หมู่บ้าน ประมาณ 80,000 ล้านบาท 3.พักหนี้เกษตรกร ไม่เกิน 500,000 บาท 5 ปี และหนี้ไม่เกิน 5 ล้านบาท ยืดหนี้ 10 ปี ประมาณ 20,000 ล้านบาท 4.รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคลไม่เกิน 500,000 บาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้ผู้ที่มีหนี้เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 10,000 ล้านบาท 5.ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% รัฐสูญเสียรายได้ ประมาณ 98,000 ล้านบาท (1% ของภาษีที่ลดลงเท่ากับ 14,000 ล้านบาท) 6.ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ 7.จบปริญญาตรีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท หากคำนวณจากจำนวนบัณฑิตจบใหม่ต่อปี 400,000 คน ฐานเงินเดือนปัจจุบัน 10,500 บาท ต้องใช้เงินประมาณ 700 ล้านบาท 8.คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก คืนภาษีให้ผู้ซื้อรถคันแรก 9.ตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท รวม 77 จังหวัด ประมาณ 7,700 ล้านบาท 10.เบี้ยเพื่อไทยวัยสูงอายุ เฉลี่ย 600 - 1,000 บาทต่อเดือน ประมาณ 4,200 - 7,000 ล้านบาท 11.คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแจกนักเรียนทุกคนทั้งประเทศ ประมาณ 80,000 - 100,000 ล้านบาท 12.โครงการรับจำนำข้าว ผลผลิตข้าวในแต่ละปีประมาณ 30 ล้านตันๆ ละ 15,000 ประมาณ 400,000 ล้านบาท 13.บัตรเครดิตชาวนา เกษตรกรมี 5.8 ล้านครัวเรือน ต้องการสินเชื่อ 30,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต ตกประมาณ 174,000 ล้านบาท 14.โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ประมาณ 130,000 ล้านบาท 15.โครงการรถไฟฟ้า 10 สายรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 250,000 ล้านบาท 16.โครงการรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ 17.โครงการรถไฟความเร็วสูงไปนครราชสีมา ระยอง จันทบุรี ประมาณ 78,000 ล้านบาท 18.โครงการขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ไปพัทยา 19.ภาคใต้ทำแลนด์บริดจ์ ประมาณ 100,000 ล้านบาท 20.สนามบินสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบิน ประมาณ 73,000 ล้านบาท 21.ชลประทานระบบท่อ 25 ลุ่มน้ำ ประมาณ 400,000 ล้านบาท 22.ตั้งกองทุนร่วมทุนในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน เพื่อให้นักศึกษากู้ยืม 169 มหาวิทยาลัยๆ ละ 1,000 ล้านบาท ประมาณ 1.69 แสนล้านบาท 23.ทำเขื่อนกั้นทะลไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ 30กม. ใช้เวลา 9 ปี ประมาณ 900,000 ล้านบาท หรือปีละ 1.8 แสนล้าน 24.ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท 25.ยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล (แต่เพื่อไทยไม่ได้บอกว่าราคาก๊าซฯจะพุ่งสูงขึ้นเพราะไม่มีเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันแล้วจะแก้ไขอย่างไร) หากพิจารณาโครงการและเม็ดเงินลงทุนข้างต้นแล้ว หลายฝ่ายจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโครงการขายฝัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าโครงการขายฝันนี้กลับขายได้ ประชาชนซื้อ ดังเช่นที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทย และขณะนี้พวกเขากำลังรอว่า เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยจะทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริงเสียที ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เกษตรกร ฯลฯ ต่างรอความหวังจากนโยบายขายฝันของเพื่อไทยถ้วนหน้า แต่ถ้าตื่นจากฝันหันมามองความจริง คำถามแรกที่ควรถามกลับก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะเอาเงินจากที่ไหนมาใส่เข้าไปในนโยบายขายฝันข้างต้น เพราะสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ประเมินกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 54- 30 ก.ย. 55 ตามมติครม.เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 54 ว่า มีรายจ่ายอยู่ที่ 2,250,000ล้านบาท และมีรายรับ 1,900,000 ล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 350,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนงบประมาณที่ขาดดุลนี้สามารถนำมาจัดสรรเป็นงบลงทุนตามนโยบายรัฐบาลได้เพียง 186,000ล้านบาทเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น จะเอาเงินมาจากไหนนอกจากกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาใช้จ่าย การกู้หนี้สาธารณะ การทำงบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาใช้จ่ายแบบเกินตัว ย่อมส่งผลต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ ยอดหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 41.28% ของจีดีพี มีแนวโน้มจะพุ่งทะยานขึ้น และหากทะลุ 60% ของจีดีพีเมื่อไหร่ก็หมายถึงหายนะของประเทศ แม้ว่า ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะบอกว่า การดำเนินการตามโครงการขายฝันจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ แต่การพูดเช่นนั้นถือเป็นคำกล่าวอ้างที่เชื่อถือได้น้อย แม้ด้านหนึ่งจะหวังว่าโครงการประชานิยมจะกระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มความต้องการซื้อ ทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูรายได้หมุนเวียนกลับคืนสู่รัฐ ก็ตาม นอกเหนือไปจากนั้น สิ่งที่จะตามมากับประชานิยม ก็คือ สินค้าจะปรับราคาสูงขึ้น ค่าครองชีพพุ่ง เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมโหฬาร ชัยชนะถล่มทลายของเพื่อไทย ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดการตัดสินใจของคนไทยที่ยกประเทศให้ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ครั้งนี้ กำลังนำไปสู่คำตอบสุดท้าย ประชาชนชาวไทยจะได้รู้กันอย่างสิ้นสงสัยเสียทีว่า แท้จริงแล้ว ทักษิณ ชินวัตร คือนักบุญหรือซาตานกันแน่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 14:00:55 จดหมายถึงคนเสื้อเหลือง
โดย วิทยา วชิระอังกูร 10 กรกฎาคม 2554 15:35 น. คนเสื้อเหลือง ที่รัก หลายวันก่อนการเลือกตั้ง ฉันได้เขียนจดหมายถึงคนเสื้อแดง และพลังเงียบ เพื่อชักชวนให้มาร่วมขบวนการปฏิเสธระบบการเมืองล้มเหลวของประเทศนี้ ร่วมกับขบวนการคนเสื้อเหลืองที่รักประเทศชาติและประชาชน ด้วยการเข้าคูหากาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน บัดนี้ผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก็ปรากฏผลอย่างที่เธอและคนไทยทุกคนรับทราบแล้ว คือพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย จนผู้พ่ายแพ้ยับเยินอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์โดยดุษฎี และประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นโคลนนิ่งของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะแม้แต่นโยบายที่ใช้หาเสียงครั้งนี้ก็ประกาศอย่างไม่กระดากอายว่า ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ กกต.ได้ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่า การลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 46,921,682 คน การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ มีผู้มาใช้สิทธิ 35,203,107 คน คิดเป็นร้อยละ 75.03 มีบัตรเสีย 1,726,051 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.9 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 958,052 ใบ คิดเป็นร้อยละ 2.72 สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขต มีผู้มาใช้สิทธิ 35,119,885 คน คิดเป็นร้อยละ 74.85 มีบัตรเสีย 2,039,694 ใบ คิดเป็นร้อยละ 5.79 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 1,419,088 คิดเป็นร้อยละ 4.03 เกี่ยวกับรายละเอียดจำนวนตัวเลข ส.ส.จำนวนบัตรเสีย และจำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน ผู้รู้และผู้ช่ำชองทางการเมืองต่างก็วิเคราะห์วิจารณ์แจกแจงเหตุและผลกันไปนานัปการแล้ว ซึ่งก็ย่อมเป็นไปตามทัศนะและความเชื่อของแต่ละฝ่ายแต่ละคน แตกต่างกันไปตามข้อมูลและจุดยืนทางความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน ในส่วนของเธอและฉัน และแนวร่วมทั้งมวลที่ร่วมกันไปกาโหวตโน จำนวน 1.4 ล้าน กับ 9.5 แสนคน ซึ่งรวมกันกับบัตรเสียส่วนหนึ่งกับบัตรที่กาให้พรรครักประเทศไทยส่วนหนึ่ง อนุมานได้ว่าประมาณ 2 ล้านกว่าคน แม้จำนวนจะน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ไปกาบัตรเลือก ส.ส.ซ้ำยังมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรา พยายามจะวิเคราะห์ในเชิงเยาะเย้ยถากถางอย่างไรก็ตาม ฉันเองกลับมีความรู้สึกว่าคนเสื้อเหลืองอย่างเธอน่าจะอบอุ่นใจ ที่ท่ามกลางการโหมกระหน่ำโจมตีขัดขวางการโหวตโนจากนักวิชาการมากหน้าหลายตา และการบิดเบือนจากสื่อที่ไม่ซื่อต่อมวลชนทั้งทางวิทยุ ทีวี และสิ่งพิมพ์ ก่อนการเลือกตั้งอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันอยากชี้ให้เธอมองตัวเลขจำนวนคนที่ไปกาโหวตโน ว่าทุกเสียงทุกมือคือมิตรแท้ร่วมขบวนการที่เธอน่าจะเชื่อถือได้โดยสนิทใจว่า คนเหล่านั้นคือขบวนการคนเสื้อเหลืองที่แท้จริง ฉันกล่าวเช่นนี้ เพราะฉันเชื่อว่า จำนวนคนที่ไปกาโหวตโนครั้งนี้ น่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำหลายสายที่เคยไหลมารวมตัวกับ พธม.และแตกกระสานซ่านเซ็นไป หลังการชุมนุม 193 วัน ที่ฉันเคยปรารภเสียดายว่า พธม.ปล่อยให้การเฮโลสาระพาตั้งพรรคการเมืองใหม่ ทำให้เกิดการกระเพื่อมอย่างรุนแรงของสายน้ำ และแตกกอแยกสายไปจำนวนมากมาย เราต้องยอมรับว่า หลักการสำคัญของการเมืองภาคประชาชนคือการรวบรวมผู้คนที่มีอุดมการณ์รักความเป็นธรรม เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่การเมืองไทยกำลังเติบใหญ่กลายเป็นธุรกิจการเมือง ที่มีเครือข่ายมั่นคงแข็งแรงครอบคลุมแทบทุกบริบทของสังคมไทย การเมืองภาคประชาชนยิ่งจำเป็นจะต้องมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่รอบคอบแหลมคม เพื่อสร้างพลังมวลชนให้มากพอที่จะสามารถต้านทานและทลายปราการอันหนาทึบมหึมาลงไปได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ยังคงไม่ซื่อไม่ตรง และใช้เงินทุนกันอย่างมหาศาล แต่ในฐานะฝ่ายเสียงข้างน้อย เธอและฉันก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการสงบนิ่งรอดูการจัดตั้งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ซึ่งฉันไม่เคยหวังว่า ด้วยโครงสร้างระบบการเมืองและองคาพยพเดิมๆ ที่เป็นอยู่ จะทำให้การเมืองไทยพลิกฟื้นดีขึ้นในชั่วข้ามคืน ตามที่แนวร่วมคนเสื้อแดงโหมโฆษณาให้ความหวังอย่างเกินจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้กว่า 35 ล้านคน ยังยืนยันที่จะให้ประเทศชาตินำพาโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่ซื่อตรง เราก็คงต้องปล่อยให้มันดำเนินไป โดยเร่งการสัญจรให้ความรู้และแสงสว่างทางปัญญาแก่มวลชนให้มากยิ่งขึ้น และหากถึงจุดที่มันปู้ยี่ปู้ยำชาติจนรับไม่ไหวจริงๆ ถึงตอนนั้นฉันเชื่อว่า เธอจะมีแนวร่วมคนรักความเป็นธรรมออกมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอ อย่างน้อยที่สุดก็ 2 ล้านกว่าคนที่ร่วมขบวนการโหวตโนในครั้งนี้ หลังทราบผลการเลือกตั้ง ที่คนไทยส่วนหนึ่งถึงกับช็อกและออกมาตีโพยตีพายกันมากมาย ทำให้ฉันต้องปลงสังเวช ระบายเป็นบทกวี ซึ่งขอฝากมาให้เธออ่าน ในท้ายจดหมายนี้ด้วย เมื่อต่างเต้นไปตามเสียงปี่กลอง เดินไปตามครรลองเขาขีดเส้น เลือกกันตามตรรกะเขากะเกณฑ์ ผลลัพธ์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น มาตีโพยตีพายทำไมหรือ? เมื่อต่างคนต่างซื้อต่างแข่งขัน ต่างโรมรันพันตู รู้เท่าทัน มันก็พอพอกัน ทุกท่วงที เมื่อยอมรับยอมตามบทกำหนด บทที่คดที่โกงได้เต็มที่ ต่างแห่ตามกันไป อย่างเปรมปรีดิ์ เลือกได้ดีไม่ดีจะโทษใคร? เขาส่งใครมาให้เลือกก็ไปเลือก เดินไปตามเส้นเชือกเขาขึงให้ ผลลัพธ์อย่างที่เห็นที่เป็นไป จะเลือกข้างทางใดก็เหมือนกัน มันล้มเหลวทั้งระบบครบถ้วนแล้ว ตั้งสติให้แน่แน่วให้คงมั่น ให้รู้เรารู้เขารู้เท่าทัน แล้วรอวัน ปฏิรูปประเทศไทย การเมืองไร้ระบบเริ่มผุกร่อน เหมือนขุยไผ่ที่ลิดรอนลำไม้ไผ่ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คือความจริงที่ยิ่งใหญ่ และยุติธรรม คนเสื้อเหลือง ที่รัก ฉันรู้และเข้าใจถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเธอ ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ในวังวนมายาคติของสังคมไทย ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสยบยอมอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ที่นำพาโดยระบบการเมืองที่ล้มเหลว ภารกิจของเธอและคนเสื้อเหลืองทั้งมวล จึงไม่ต่างอะไรกับการว่ายทวนน้ำทวนกระแสกิเลสสังคม ซึ่งต้องเสียสละและอดทนอย่างแสนสาหัส โดยไม่ยอมย่อท้อต่อจุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล คนเสื้อเหลืองที่รัก เธอและฉัน จะพบกันเสมอ ในวันเวลาที่ประชาชนคนไทยผู้รักความเป็นธรรม จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า จากผู้ครองอำนาจรัฐที่ทุจริตคิดไม่ซื่อต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นที่รักและหวงแหนของเรา ด้วยความรักละศรัทธา คนสีชมพู หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 14:03:57 แนวทางพระราชดำริ ที่นักการเมืองไทยไม่ทำ
โดย วิทยา วชิระอังกูร 15 พฤษภาคม 2554 15:37 น. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 อันมีผลให้ สภาผู้แทนราษฏรและรัฐบาลสิ้นสุดวาระลง นับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีรักษาการ ได้แถลงต่อประชาชน ความตอนหนึ่งว่า "...ผมเชื่อว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่ด้วย เป็นการเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการเริ่มต้นเดินหน้าประเทศไทยในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ของพี่น้องประชาชน และครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ภายใต้กระบวนการของประชาธิปไตย ผมจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และด้วยความหวังว่าพี่น้องประชาชนจะได้ใช้โอกาสที่สำคัญนี้ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังคงค้างอยู่...” แต่ผมเองกลับไม่เชื่อว่าการยุบสภาครั้งนี้จะเป็นเริ่มต้นใหม่ และรู้สึกผะอืดผะอมกับวาทกรรมของนายอภิสิทธิ์ ที่ประดิษฐ์ถ้อยคำผลักภาระให้ประชาชนใช้โอกาสจากการยุบสภาครั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังค้างคาอยู่ ผมอยากจะถามกลับว่า ตลอดระยะเวลาที่ครอบครองอำนาจรัฐอยู่เกือบสองปี นายอภิสิทธิ์ เคยคิดที่จะให้โอกาสประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองบ้างหรือไม่? แม้แต่สโลแกนสวยหรูที่ว่า ประชาชนต้องมาก่อน แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็เห็นแต่พรรคและพรรคร่วมรัฐบาลต้องมาก่อนทุกทีไป ผมจึงยังยืนหยัดอยู่ในฟากฝั่งของฝ่ายที่เห็นว่า การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออก เพราะโดยโครงสร้างและองคาพยพของระบบการเมืองการเลือกตั้งที่ดำรงอยู่ การเลือกตั้งก็จะถูกจำกัดวง อยู่ในแวดวงเฉพาะนักเลือกตั้งหน้าเดิมๆ ที่ต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่รัฐบาลและฝ่ายค้านฝ่ายละหลายรอบ โดยไม่เคยซื่อตรง จนสร้างปัญหาหมักหมมทับถมแก่ประเทศชาติมาโดยตลอด เลือกตั้งไปก็คงเข้าอีหรอบเดิม ซึ่งไม่อาจขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า หรือแก้ไขปัญหาที่ค้างคามากมายของประเทศนี้ อย่างที่นายอภิสิทธิ์แถลงการณ์ข้างต้น ผมเสียดายโอกาสของประเทศไทยและคนไทย ที่มีองค์พระประมุขของชาติ ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม ทรงทุ่มเททำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนให้เห็นเป็นแบบอย่างมากว่า 60 ปี นักการเมืองที่มีโอกาสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทุกคน ถือเป็นกฎระเบียบและประเพณีที่จะต้องเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อเบื้องพระพักตร์ แต่แทบจะหานักการเมืองที่ซื่อสัตย์ประพฤติปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ได้เลย เอาแค่การให้โอกาสหรือเตรียมความพร้อมของประชาชน ซึ่งเป็นหลักเบื้องต้นที่รัฐบาลควรทำ ไม่ว่าจะก่อนการพัฒนาในด้านต่างๆ รวมทั้งการเลือกตั้งผู้แทนนี้ด้วยก็ได้ พระองค์ท่านเคยทรงแนะนำไว้เนิ่นนานมาแล้วว่า “ต้องระเบิดจากข้างใน” คือทรงมุ่งเน้นที่การพัฒนาคน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราจะเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน ไม่ใช่การผลีผลามเอาความเจริญหรือสิ่งใหม่จากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหมู่บ้านที่ยังไม่ทันมีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว และแบบอย่างการพัฒนาประเทศชาติที่พระองค์ท่านทรงลงมือทำให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน คือมุ่งเน้นจาก “สิ่งจำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน” เช่น เริ่มต้นจากการสาธารณสุข โดยทรงให้เหตุผลที่เป็นตรรกะว่า คนเราเมื่อมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ก็จะสามารถทำประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไปได้ ต่อจากนั้นจึงเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และอุปโภคบริโภค รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีที่เรียบง่าย โดยทรงเน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎรในพื้นที่สามารถนำไปปฏิบัติได้และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตัวราษฎรและชุมชนโดยส่วนรวม ดังปรากฏให้เห็นในโครงการพระราชดำริต่างๆ นับร้อยนับพันโครงการ ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ยังมืดบอดเล่นการเมืองน้ำเน่ากันแบบมองไม่เห็นหนทางหรือไร้สติปัญญาที่จะนำพาการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองได้ นอกจากการโกหกพกลมหาเสียงกันตามฤดูกาลที่จะไปสู่การเลือกตั้งแบบเดิมๆ ที่ไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย ผมก็ขอแนะนำให้ลองกลับไปอ่าน พระบรมราโชวาท ที่ทรงพระราชทานไว้ เมื่อ 18 กรกฎาคม 2517 เนิ่นนานถึง 34 ปีมาแล้ว ความตอนหนึ่ง ว่า... “...การพัฒนาประเทศชาติ จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคง พร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในเวลานี้ การช่วยสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัว ให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงได้ต่อไปโดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญให้ค่อยเป็นไปตามลำดับ ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลว และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์...” นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของแนวพระราชดำริ ซึ่งยังมีแบบอย่างและแนวทางอีกมากมายที่ทรงวางเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศชาติไว้ ตลอดระยะเลาที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม ยาวนานกว่าหกทศวรรษ ผมอยากให้ท่านผู้มีใจเที่ยงธรรมทั้งหลาย ลองทบทวนดูว่า ตลอดระยะที่ผ่านมา มีรัฐบาลหรือนักการเมืองไทยคนไหนบ้าง ที่ยึดแนวทางการพัฒนาประเทศชาติตามแบบอย่างที่องค์พระประมุขของชาติทรงวางเป็นแนวทางและทำเป็นแบบอย่างไว้ ถ้าท่านตอบว่าไม่มี เลือกตั้งครั้งนี้ ไปร่วมกัน “เข้าคูหา กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน” หรือ Vote No สาปส่งนักการเมืองไทยรุ่นล้าหลังนี้กันเถอะครับ หลังการเลือกตั้ง เราอาจมีความหวังได้ร่วมกันปฏิรูปการเมืองไทย ให้มุ่งดีมุ่งเจริญ และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางพระราชดำริขององค์พระประมุขของปวงชนชาวไทย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 17:47:01 หวัดดีครับนก เข้ามาแวมๆๆ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 18:25:46
ทำให้ตกใจอีกแล้วว่าทำไมรู้ว่าเราเข้ามาอ่านกระทู้ที่ตะวันนำมาโพสต์ กำลังน้ำตาซึมอยู่เชียวเมื่ออ่านข้อมูลที่ตะวันนำมาลงในข้อมูลที่บอกว่า"คนเสื้อเหลือง ที่รัก ฉันรู้และเข้าใจถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเธอ ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ในวังวนมายาคติของสังคมไทย ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสยบยอมอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ที่นำพาโดยระบบการเมืองที่ล้มเหลว ภารกิจของเธอและคนเสื้อเหลืองทั้งมวล จึงไม่ต่างอะไรกับการว่ายทวนน้ำทวนกระแสกิเลสสังคม ซึ่งต้องเสียสละและอดทนอย่างแสนสาหัส โดยไม่ยอมย่อท้อต่อจุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล คนเสื้อเหลืองที่รัก เธอและฉัน จะพบกันเสมอ ในวันเวลาที่ประชาชนคนไทยผู้รักความเป็นธรรม จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า จากผู้ครองอำนาจรัฐที่ทุจริตคิดไม่ซื่อต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นที่รักและหวงแหนของเรา" ด้วยความรักละศรัทธา คนสีชมพู คนเขียนจดหมายที่ชื่อวิทยา วิทยะอังกูรเป็นใคร จากที่ไหนหรือ ตะวันรู้จักหรือเปล่า เพราะคำพูดของเขากินใจและจุดพลังได้ดี ขอบคุณสำหรับการทักทาย ถ้าตะวันไม่ทักเข้ามาเราคงไม่กล้าตอบกระทู้นี้หรอก สวัสดีนะ Nok-ja emo31:bye: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 19:45:27 เราไม่รู้จักหรอก คนที่เขียน จม.คนนี้ แต่เขาเขียนได้ดีมากเลย
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: jeam ที่ 11 กรกฎาคม 2554, 21:14:10 http://www.youtube.com/watch?v=9HOHGd_tWE0
.....Amen..... emo20:)):) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: prapasri AH ที่ 12 กรกฎาคม 2554, 14:08:00 http://www.youtube.com/watch?v=MFCoRFQnd1g
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 กรกฎาคม 2554, 18:46:35
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 13 กรกฎาคม 2554, 15:07:07 (http://i894.photobucket.com/albums/ac145/nick1usa/Yingluck-Thaksin.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2554, 17:16:39 มื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 ก.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 3/2554 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ความว่า
ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการพิจารณาคดีตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ.2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนดังต่อไปนี้ 1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นภาคประชาชนสองมือเปล่า ที่ปราศจากอาวุธ ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีอำนาจตุลาการ แต่ได้ดำเนินการต่อสู้เรื่องดินแดนและอธิปไตยของชาติมาโดยตลอดจนสุดความ สามารถ เป็นผลสำเร็จตามลำดับดังนี้ 1.1 ในปี 2551 เราได้ดำเนินการชุมนุมและยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดเพื่อ ขัดขวางการห้ามนำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชานำไปใช้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชานั้นมีเนื้อหาที่ฝ่ายไทยได้ยกปราสาทพระ วิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันถือเป็นการใช้อำนาจรัฐที่เจตนาทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมจากคำ พิพากษา พ.ศ. 2505 1.2 วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ภาคประชาชนได้จัดชุมนุมที่หน้าองค์การยูเนสโก ประจำประเทศไทย เพื่อสร้างแรงกดดัน คณะกรรมการมรดกโลกต้องเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระ วิหารออกไปอีก 1 ปีเป็นผลสำเร็จ โดยองค์การยูเนสโกประจำประเทศไทยได้ยอมรับว่าการชุมนุมของภาคประชาชนเมื่อ วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ได้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีการเลื่อนแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร อย่างชัดเจน 1.3 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 กรณีที่รัฐบาลได้พยายามนำบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ทั้ง 3 ฉบับเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ทั้งๆที่บันทึกผลการประชุมดังกล่าวเป็นหลักฐานที่กัมพูชากล่าวร้ายประเทศไทย ด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานแผ่นดินกัมพูชาทั้งๆที่แผ่นดิน ดังกล่าวเป็นดินแดนไทย อีกทั้งยังได้แนบร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาถอยออกจากแผ่นดินไทยโดยยังคงชุมชนและสิ่งปลูก สร้างของกัมพูชาที่รุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ต่อไปจนกว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งเท่ากับ ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา ผลการชุมนุมดังกล่าวทำให้รัฐสภายอมจำนนด้วยการเลื่อนการพิจารณาออกไปแล้วใช้ วิธีตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาเพื่อศึกษาบันทึกผลการประชุม 1.4 เนื่องจากในปี 2554 มีเรื่องเร่งด่วนที่เป็นวิกฤตของชาติถึง 2 ประการคือ รัฐบาลพยายามจะนำบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา แลจะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือนช่วงปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นดินแดนไทยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหาร จัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารของกัมพูชา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้จัดชุมนุมตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 รวมเวลา 158 วัน ทั้งรูปแบบการชุมนุมให้ความจริงกับประชาชน, การยื่นค้ำร้อง ต่อ ปปช., และการยื่นจดหมายถึง ส.ส. และ ส.ว. เป็นผลทำให้ขัดขวางการประชุมรัฐสภาระหว่างวันที่ 25-29 เมษายน พ.ศ. 2554 ในเรื่องการพิจารณาบันทึกผลการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับ ได้เป็นผลสำเร็จและยังทำให้รัฐบาลไทยต้องตัดสินใจถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ ประชุมรัฐสภาในที่สุด สามารถยับยั้งชะลอการเดินหน้าตามผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศของอาเซียน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 ที่รัฐบาลไทยเชิญผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้ามาในแผ่นดินไทยเพื่อเป็น สักขีพยานในการห้ามปะทะหรือการห้ามทหารไทยผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ได้เป็นผลสำเร็จ และยังกดดันทำให้ตัวแทนประเทศไทยตัดสินใจลาออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ได้เป็นผลสำเร็จเช่นกัน 2. การที่ศาลโลกได้มีมติออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2554 นั้น ถือว่ามีผลร้ายต่อประเทศไทยในการที่ทำให้ไทยต้องเสียเปรียบ เพราะมีการกำหนดให้ทหารไทยถอยออกจากแผ่นดินไทยเกินขอบเขต โดยที่มีชุมชนกัมพูชารุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างและถนน การที่ศาลโลกออกมาตรการดังกล่าวจึงเท่ากับห้ามทหารไทยผลักดันกัมพูชาออกจาก แผ่นดินไทย ส่งเสริมการรุกรานแผ่นดินไทย และส่งเสริมการละเมิด บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 (MOU 2543) และหากไทยยอมรับมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก็จะเท่ากับว่าประเทศไทยเริ่มกลับไปยอมรับอำนาจศาลโลกเป็นครั้งแรก ทั้งๆที่ประเทศไทยได้เคยยื่นหนังสือประท้วง คัดค้าน สงวนสิทธิ์ ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เพราะไม่ยอมรับการใช้กฎหมายปิดปากแต่เพียงอย่างเดียวในการตัดสินคดีปราสาท พระวิหาร พ.ศ. 2505 โดยที่ประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับอำนาจของศาลโลกมา นานกว่า 50 ปีแล้ว 3.การเริ่มต้นความเสียเปรียบในมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นจะนำไปสู่ การเสียดินแดนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้หากไทยยอมรับอำนาจศาลโลก ศาลโลกมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษต่อประเทศไทยโดยศาล โลกจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ประเทศไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งจะเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะเป็นผลทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เป็นผลสำเร็จ และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีกไม่ต่ำ กว่า 1 ล้าน 8 แสนไร่ รวมถึงการสูญเสียซึ่งลามไปถึงทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท “สายพาน”การสูญเสียดินแดนไทยและผลประโยชน์ทางพลังงานอ่าวไทยให้ต่างชาติ ได้ถูกออกแบบและวางแผนมานานเป็นลำดับไม่ต่ำกว่า 10 ปี ด้วยเหตุผลนี้รัฐบาลหลายชุดจึงไม่เคยหยุดยั้งการสูญเสียดังกล่าวในรัฐบาลของ ตัวเอง แต่กลับมีพฤติกรรม ส่งมอบของต่อบนสายพานดังกล่าวต่อไปให้กับรัฐบาลชุดหน้า โดยมีมหาอำนาจที่หวังผลประโยชน์ทางพลังงานอยู่เบื้องหลังและบงการเอื้อ ประโยชน์ส่วนตนให้กับนักการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย 4. นับจากนี้ประเทศไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาจากมหันตภัยที่เผชิญหน้าครั้งนี้ได้ด้วยการดำเนินการพร้อมๆกันดังต่อไปนี้ 4.1 ต้องประกาศไม่รับอำนาจของศาลโลก 4.2 ต้องไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาให้ออกจาแผ่นดินไทย 4.3 ฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน 5. ภายใต้ทางออกของประเทศไทยในเวลานี้ตามข้อ 4 ที่กล่าวมาข้างต้น ไม่สามารถจะกระทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยประชาชนสองมือเปล่าที่ปราศจากอำนาจ รัฐ อำนาจตุลาการ และอำนาจทหาร แต่ภาคประชาชนได้ดำเนินการชุมนุมมา 158 วันแล้ว ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงมาโดยตลอดแล้ว ได้ยื่นฟ้องต่อกระบวนการยุติธรรมในทุกรณีนานแล้ว ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนักการเมืองและทหารไทยให้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ตลอดจนได้ยื่นข้อสงวนต่ออาเซียนแล้ว สำหรับประชาชนสองมือเปล่าจึงได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์และไม่ติดค้างหนี้แผ่น ดินแล้ว ดังนั้นวิกฤตของชาติในส่วนที่เหลือเพื่อปกป้องชาติรักษาแผ่นดิน จึงอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาลในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ กองทัพของจอมทัพไทย ที่จะต้องออกมาทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาดินแดนและอธิปไตยของชาติต่อไป ด้วยจิตาคารวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2554, 17:17:38 แถลงการณ์ฉบับที่ 4/2554
หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ ความว่า ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ในการพิจารณาคดี ตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารการของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนต่อทหารดังต่อไปนี้ 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 77 บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์เอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ” 2. ปัจจุบันกองทัพไทยได้ถูกจัดอันดับในด้านแสนยานุภาพจากลำดับที่ 28 ของโลกในปีที่แล้ว มาอยู่ในลำดับที่ 19 ของโลกในปีนี้ เป็นลำดับที่ 6 ของทวีปเอเชีย และเป็นลำดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนากองทัพในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงมีศักยภาพทางทหารสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่สามารถจะ เปรียบเทียบได้ 3. เมื่อทหารมีหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ศักยภาพของกองทัพมีความแข็งแกร่งด้วยงบประมาณมหาศาล แต่กลับเป็นยุคที่ประเทศไทยกลับอ่อนแอถูกรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยโดยต่าง ชาติมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งนี้การที่ทหารได้อ้างนโยบายของรัฐบาล แล้วปล่อยให้ชุมชนและทหารกัมพูชามารุกรานยึดครองแผ่นดินไทยทั้งบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา, ภูมะเขือ, พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร, บ้านหนองจาน ปราสาทตาควาย ฯลฯ นั้น ทำให้กัมพูชาสามารถเข้ายึดจุดสูงข่มทางทหารซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญได้ สำเร็จ จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญดำเนินการสร้างสถานการณ์ยิงอาวุธสงครามทำร้ายราษฎรไทย เพื่อทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาถูกหยิบยกมาเป็นเรื่องการเมืองระหว่าง ประเทศ โดยหวังที่จะให้มีชาติที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาขัดขวางไม่ให้ ประเทศไทยผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก หรือ การเตรียมส่งผู้สังเกตการณ์ในการเข้ามาในดินแดนไทยในการเป็นสักขีพยานห้าม ยิงปะทะกัน การที่ฝ่ายทหารอ้างว่าไม่สามารถผลักดันกัมพูชาโดยอ้างว่าต้องรอนโยบายและคำ สั่งรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากไม่มีการปล่อยปละละเลยให้ชุมชนและทหารกัมพูชาเข้ามารุกรานและยึด ครองแผ่นดินไทย จะไม่เกิดแรงจูงใจในการที่กัมพูชาจะสร้างสถานการณ์เพื่อให้นานาชาติออก มาตรการให้ทหารไทยต้องออกจากพื้นที่บริเวณดังกล่าว จึงถือเป็นความบกพร่องโดยตรงของกองทัพในการที่ปล่อยให้มีการรุกรานแผ่นดิน ไทย และปล่อยให้มีการละเมิด MOU 2543 ในทางปฏิบัติทั้งๆที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงกัมพูชามานับร้อยกว่า ครั้งแล้วก็ตาม การปล่อยปละละเลยให้กัมพูชาขนชุมชนเข้ามารุกรานยึดครองแผ่นดินไทย สร้างถนน สร้างวัด ปักธงชาติกัมพูชาในแผ่นดินไทย ทั้งๆที่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ และเป็น “เขตประกาศกฎอัยการศึก” จึงย่อมถือเป็นอำนาจเต็มของกองทัพโดยตรงในการตัดสินใจในการรักษาอธิปไตยของ ชาติ โดยที่ไม่สามารถจะกล่าวอ้างนโยบายของรัฐบาลได้ ทั้งนี้ภายใต้พื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกอันถือเป็นอำนาจเต็มของกองทัพที่จะ ผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยแล้ว ยังปรากฏมีคำสั่งกระทรวงกลาโหม เลขที่ ก.ห.(เฉพาะ)ที่ 112/28 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เรื่องแนวทางการใช้อาวุธตามแนวชายแดน ข้อ 4.1 กองทัพบก กำหนด ข้อ 4.1.1 ว่า “เมื่อปรากฏแน่ชัดว่ากำลังทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงกันข้ามล่วงล้ำ เขตแดนไทยและการล่วงล้ำนั้น จะก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือหน่วยทหารของฝ่ายเรา หรือเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้นแล้ว ให้เราใช้อาวุธเพื่อขัดขวางและสกัดกั้นการล่วงล้ำเข้ามาของฝ่ายตรงข้ามได้ทันที” การที่ทหารซึ่งมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และมีศักยภาพสูงในระดับโลก แต่กลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองจึงย่อมถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และถือเป็นการกระทำที่ทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรตก อยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ ทำให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป อันถือเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดเจน นอกจากนี้กองทัพกลับปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ทหาร ทำหน้าที่ ทั้งๆที่ประชาชนที่ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยเสริมด้วยนาย ทหารนอกราชการ แต่กองทัพและทหารประจำการก็ยังเพิกเฉยและไม่ทำหน้าที่ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จึงเป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสียศักดิ์ศรีของกองทัพเป็นที่สุดเท่าที่เคยมี มาในประวัติศาสตร์ของกองทัพไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนเป็นจำนวนมากแต่กลับ ไม่สามารถทำอะไรได้กับการถูกรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยโดยชาติอื่น ประเทศไทยจึงมีสภาพเหมือนไม่รู้ว่าจะมีกองทัพเอาไว้เพื่อเหตุผลใด ปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา ทรงเป็นจอมทัพไทยและทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วทหารซึ่งอยู่ภายใต้จอมทัพไทยและปฏิญาณตนต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล จะเทิดพระเกียรติโดยยอมให้ประเทศไทยถูกรุกรานยึดครองแผ่นดินไทยได้อย่างไร เราจึงขอเรียกร้องให้ทหารให้ทำหน้าที่ของตัวเอง โดยการไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก และทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และทำตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในการทวงคืนแผ่นดินไทยที่ถูกต่างชาติรุกรานให้กลับคืนมา ด้วยจิตคารวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2554, 17:18:41 แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2554
ต่อมา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก มีรายละเอียดกังนี้ ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการพิจารณาคดีตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหารห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่ กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารเข้าไปยังปราสาทพระวิหารของ กัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร ซึ่งต่อมาการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี และนาย กษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเห็นว่า “พอใจ” กับมาตรการดังกล่าว น้อมรับและพร้อมปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าว โดยจะให้การตัดสินใจอยู่การพูดคุยตกลงกันของรัฐบาลชุดหน้านั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนต่อรัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังต่อไปนี้ 1. มาตรการคุ้มครองชั่วคราวโดยมติศาลโลกนั้น หากมีการปฏิบัติตามจะทำให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาต้องถอยออกจาก “แผ่นดินไทย” กินอาณาเขตบริเวณกว้างลึกมากกว่าสันปันน้ำที่ฝ่ายไทยยึดถือเป็นเส้นเขตแดน และกินลึกเข้ามาในดินแดนไทยเกินกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวและกัมพูชายึดถือ กินพื้นที่ไปถึงดินแดนไทยซึ่งกัมพูชาไม่เคยยึดครองมาก่อนอีกหลายพื้นที่ รวมถึง เขาพระวิหารทั้งหมด สระตราว สถูปคู่ ผามออีแดง และภูมะเขือ ในขณะที่พื้นที่คุ้มครองชั่วคราวที่อ้างว่ากินพื้นที่ในฝั่งกัมพูชาด้วยนั้น ก็จำกัดอยู่เพียงการกินพื้นที่เชิงหน้าผาสูงชันกว่า 200 เมตรขึ้นไปจนถึง 600 เมตร ซึ่งไม่ได้มีคุณค่าที่จะเป็นมรดกโลกหรือมีมนุษย์อาศัยอยู่ได้แต่ประการใด เราจึงขอประณามมติของศาลโลกในครั้งนี้ ว่าเป็นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่อยุติธรรม ลุแก่อำนาจ เกินกว่าที่กำหนดขอบเขตที่ศาลโลกได้พิพากษาให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 2. หากมีการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก จะทำให้ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชายังคงรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยได้ ต่อไป สามารถใช้ถนนซึ่งสร้างขึ้นรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยโดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถ ขัดขวางหรือผลักดันออกได้ ถือเป็นการส่งเสริมการรุกรานแผ่นดินไทย ถือเป็นการปกป้องผู้รุกรานแผ่นดินไทย ถือเป็นการส่งเสริมการละเมิดบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลัก เขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2543) และยังมีเจตนาให้รัฐบาลกัมพูชาสามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวในการเข้าไปบริหาร จัดการปราสาทพระวิหารโดยใช้แผ่นดินไทยอย่างชัดเจน เราจึงขอประณามการกระทำของศาลโลกที่เพิกเฉยในการปล่อยให้ชุมชนกัมพูชารุกราน และยึดครองแผ่นดินไทย ตลอดจนมีเจตนาให้กัมพูชาสามารถใช้พื้นที่แผ่นดินไทยในการบริหารจัดการมรดก โลกปราสาทพระวิหาร อันถือเป็นส่งเสริมการละเมิดอธิปไตยและส่งเสริมการกระทำความผิดต่อข้อตกลง ระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างรุนแรง 3. หากประเทศไทยรับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเมื่อใด จะถือว่าเป็นชาติแรกในโลกที่ยอมรับมาตรการคุ้มครองชั่วคราว เพราะก่อนหน้านี้มี 17 คดีที่ศาลโลกเคยพิจารณา และมี 10 คดีที่ศาลโลกมีมติให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว โดยที่ไม่มีประเทศไหนเลยแม้แต่ประเทศเดียวที่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่ว คราวของศาลโลก แต่ฝ่ายรัฐบาลไทยกลับแสดงท่าทีพอใจ ยอมรับ น้อมรับ และพร้อมจะปฏิบัติตามมติของศาลโลก แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยได้กลับมายอมรับอำนาจของศาลโลกอีกครั้ง ทั้งๆที่ประเทศไทยได้เคยคัดค้าน ประท้วง และสงวนสิทธิ์เอาไว้ในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของศาลโลกที่อยุติธรรม เมื่อ พ.ศ.2505 อีกทั้งประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับอำนาจของศาลโลกมา นานกว่า 50 ปีแล้ว การที่ฝ่ายไทยยังยอมรับอำนาจศาลโลกโดยการแสดงความพอใจและน้อมรับไปปฏิบัติ ตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก็ดี หรือแม้กระทั่งยินยอมรับอำนาจของศาลโลกในการที่จะอ้างว่าตีความจากคำพิพากษา ของศาลโลกในสิ่งที่ประเทศไทยเคยยื่นประท้วงคัดค้านเอาไว้ก็ดี ถือว่ารัฐบาลไทยทรยศต่อบรรพบุรุษไทยและกำลังเดินหน้าไปสู่การยอมรับกฎหมาย ปิดปากที่ทำให้ประเทศไทยพ่ายแพ้ในศาลโลกมาแล้วในอดีต ซึ่งจะเป็นผลทำให้ฝ่ายไทยสุ่มเสี่ยงที่จะต้องเสียดินแดนในศาลโลกต่อไปใน อนาคตอีกอย่างแน่นอน 4. การที่ประเทศไทยได้เดินทางมาถึงจุดนี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยได้เตือนมานั้นถูกต้องทุกประการ เป็นการพิสูจน์ว่าการยึดถือ MOU 2543 นั้นเป็นเครื่องมืออันล้มเหลวและเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประเทศไทยต้องลาออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกย่อมแสดง ให้เห็นว่า MOU 2543 เป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ผลในการใช้เพื่อยับยั้งการนำแผ่นดินไทยรอบปราสาท พระวิหารไปเป็นมรดกโลก และการที่ศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเกินขอบเขตนั้นแสดงว่าศาลโลกฟัง เหตุผลของการใช้ประโยชน์ใน MOU 2543 ของฝ่ายกัมพูชาว่าไทยการยอมรับการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มากกว่าเหตุผลของรัฐบาลไทยที่นำมากล่าวอ้างกับคนไทย อีกทั้งการที่จะมีผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้ามาเพื่อเป็นสักขีพยานใน การห้ามปะทะหรือห้ามผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยนั้นถือได้ว่า MOU 2543 ไม่ได้เป็นเครื่องมือในการยับยั้งชาติที่สามมาแทรกแซงได้แต่ประการใด จึงเท่ากับว่าสิ่งที่รัฐบาลยืนยันการใช้ MOU 2543 นั้นได้ปรากฏเป็นผลร้ายต่อประเทศไทยอย่างชัดเจนแล้วในวันนี้ แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กลับแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งมอบของต่อให้รัฐบาลชุดหน้า ไม่ว่าจะเป็นเวทีมรดกโลกก็ดี หรือการต่อสู้ในศาลโลกต่อไปก็ดี ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้สามารถยุติได้ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ได้ เช่น การประกาศลาออกจากมรดกโลกล่วงหน้า 1 ปีตั้งแต่ปีที่แล้ว หรือการประกาศไม่รับอำนาจศาลโลกอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลกลับทำหน้าที่เพียงแค่รักษาหน้าและปัดสวะให้พ้นตัวเพื่อจะได้ไม่ ต้องรับผิดชอบเท่านั้น ถือเป็นการเอาประโยชน์ส่วนตนมากอยู่เหนือกว่าผลประโยชน์ของชาติและไม่รับผิด ชอบในความผิดพลาดของตัวเอง เราจึงขอเรียกร้องการแสดงความรับผิดชอบรัฐบาลรักษาการนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ให้เสร็จสิ้นก่อนรัฐบาลชุดใหม่จะ เข้ามาดำเนินการดังต่อไปนี้ ประการแรก ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลก ยืนยันว่า ไทยได้เคยคัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวน ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 เมื่อคดีนี้ถูกระบุในใบแจกข่าวของศาลโลกว่าเป็นคดีใหม่ ไทยจึงมีสิทธิ์ไม่ยอมรับ อีกทั้งประเทศไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับของอำนาจศาลโลกมา นาน 50 ปีมาแล้ว ประการที่สอง ไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ความจริงประเทศไทยในวันนี้ได้สูญเสียอธิปไตยบางส่วนให้กับกัมพูชาในทาง พฤตินัยไปแล้ว หากรัฐบาลรักษาการนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อนหมดวาระ หากวันหนึ่งประเทศไทยต้องเสียดินแดนและอธิปไตยในทางนิตินัยโดยศาลโลกหรือคณะ กรรมการมรดกโลก อันเป็นผลจากการไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องข้างต้น เราจะบันทึกในประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้จดจำว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและรู้เห็นเป็นใจในขั้นตอนสำคัญของขบวนการขายชาติที่ทำ ให้ประเทศไทยเดินทางมาสู่การเสียดินแดนด้วยเช่นกัน ด้วยจิตคารวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 20 กรกฎาคม พ.ศ.2554 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 กรกฎาคม 2554, 17:19:43 แถลงการณ์ฉบับที่ 6/2554
หลังจากนั้น นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 6/2554 เรื่อง ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ มีรายละเอียดดังนี้ ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการพิจารณาคดีตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร ซึ่งต่อมาการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเห็นว่า “พอใจ” กับมาตรการดังกล่าว น้อมรับและพร้อมปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าว โดยจะให้การตัดสินใจอยู่ที่การพูดคุยตกลงกันของรัฐบาลชุดหน้านั้น ต่อมาปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้ที่คาดหมายจากสังคมว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ออกมาสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่า จะขอศึกษารายละเอียดคำสั่งของศาลโลกต่อกรณีปราสาทพระวิหารที่ออกมาก่อน แต่ในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยและฟื้นฟู ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควบคู่กันไปเพื่อให้การค้าขายเกิดขึ้นได้ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ เราขอเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ขอให้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ในการที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิปไตยของชาติได้ถูกกัมพูชาละเมิดรุกล้ำมาตั้งแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลกัมพูชาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับกัมพูชาและนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเรื่องพลังงาน ในอ่าวไทย โดยขอให้ยึดถือเรื่องการรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติไทยเหนือกว่าผล ประโยชน์ของครอบครัวชินวัตรในกัมพูชา 2. เนื่องจากเป็นที่ทราบดีกันว่าพรรคเพื่อไทยได้สืบทอดบุคคลและนโยบายต่อมาจาก พรรคพลังประชาชน และพรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่เริ่มต้นนโยบายจัดทำแถลงการณ์ร่วมระหว่าง ไทย-กัมพูชายกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่ เพียงฝ่ายเดียวอย่างผิดกฎหมายและทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างรุนแรง เป็นความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบดำเนินการให้กัมพูชาถอนทะเบียน ปราสาทพระวิหารออกจากบัญชีมรดกโลกเสียก่อน 3. เนื่องรัฐบาลพรรคไทยรักไทย รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย และทำให้ไทยต้องเสียเปรียบในเวทีมรดกโลก เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขปัญหา อธิปไตยของชาติดังนี้ 3.1 ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลก ยืนยันว่า ไทยได้คัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวน ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 เมื่อคดีนี้ถูกระบุในใบแจกข่าวของศาลโลกว่าเป็นคดีใหม่ ไทยจึงมีสิทธิ์ไม่ยอมรับ อีกทั้งประเทศไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับของอำนาจศาลโลกมา นาน 50 ปีมาแล้ว 3.2 ไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย 3.3 ฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน 3.4 ไม่ต่ออายุหรือกลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก 3.5 ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2543) 3.6 ช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยให้ออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็ว ด้วยจิตคารวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 กรกฎาคม 2554, 10:58:49 พี่จ๋า…อย่าเหยียบหัวใจเสื้อแดง
18 กรกฎาคม 2554 โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ การที่คนเสื้อแดงจะหาผู้รับผิดชอบในเหตุสลายชุมนุมขอให้ลืมๆซะบ้างวันนี้เราต้องปรองดอง เราต้องยอมกลืนเลือด โดย....อสนีบาต ศึกเลือกตั้งผ่านพ้น แต่บรรดาคนการเมืองยังอยู่ในอาการ ตุ๊มๆต้อมๆ หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่ใช่แค่ลุ้นระทึก”คุณปูจ๋า” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับรองการเป็น สส.หรือไม่ แต่เหลียวหลังมองรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่จะส่งไม้ต่อ กลับเจอภารกิจหินจนถึงนาทีสุดท้าย ตั้งแต่ผลการวินิจฉัยของศาลโลก ที่มีคำสั่งชั่วคราวให้กัมพูชาและไทยถอนทหารออกจากอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร ตามด้วยการระดมสรรพเอกสารแจกแจงศาลเยอรมนีกรณีอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ทั้งสองกรณีล้วนเป็นภาระผูกพันต้องดำเนินปรับแก้ไขในหลายแง่มุมภายในระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจไม่มากนัก ครั้นส่องกล้องมอง ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ถึงแม้จับมือพรรคการเมืองต่างๆร่วมแถลงตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย จัดวางโผครม.เบื้องต้น แต่เมื่อเจอด่านสกัดจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ต้องถูกแขวนห้อยต่องแต่งไม่อาจเข้าสภาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การเปิดสภายังทำไม่ได้ การเลือกนายกฯต้องรอต่อไป มีผลให้การฟอร์มคณะรัฐมนตรีชลอไปก่อน เมื่อพิจารณาจำนวนเสียงที่เคยประกาศร่วมรัฐบาล 300 เสียง หากโดนแขวนยาว จำนวนที่นั่งไม่เป็นไปดังเดิม ย่อมทำให้สูตรคณิตศาสตร์ทางการเมืองว่าด้วยการกำหนดโควต้ารัฐมนตรีต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย *********************** เอาเป็นว่าทั้งรัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่ เผชิญศึกเหนือเสือใต้ แต่ถ้าจะให้ประเมินตรงนี้ สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่กำลังจะเป็นอดีตอยู่ในอาการอยากไชโยโห่ฮิ้วเหมือนครั้งอภิสิทธิ์ ยิ้มกริ่มหลังออกจากห้องประชุม ครม.นัดสุดท้ายประมาณนั้น ตรงกันข้ามกับรัฐบาลใหม่ มีทั้งปัญหาต่อเนื่องจากรัฐบาลเก่าต้องสะสาง รวมถึงภารกิจตามนโยบายท้าทายจะทำได้ตามสัญญาหรือไม่ “เอาแค่นโยบายหาเสียงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทันทีทั่วไทย ขนาดยังไม่เริ่มบริหารประเทศ เปิดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์รายวันเจอะเจอเสียงสะท้อน องค์กรภาคธุรกิจ เอกชน พี่น้องกรรมกร นักวิชาการ หน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐ ออกมาท้วงติง หรือพูดตรงๆ ถ้าทำตามนโยบายเพื่อไทย หายนะมาเยือน” ไม่แปลกที่คนเพื่อไทยจะเริ่มออกมาพลิกพลิ้วตีความคำว่า "ทันที" แบบรวบรัดด้วยการบอกว่า "สภาพความเป็นจริง คำว่าทันทีทำไม่ได้หรอก" แถมย่ำยีหัวใจผู้เทคะแนนเข้าไปอีกด้วยประโยคที่ว่า "อย่าไปคิดอะไรมากกับป้ายหาเสียง การขึ้นปราศรัย เพราะเป็นแค่กลยุทธ์หาเสียงหวังโกยคะแนน" หนักไปกว่านั้น เริ่มเล่นแร่แปรธาตุ อธิบายกันใหม่ทำนองว่า ไม่ได้มีความคิดขึ้นค่าแรงทั่วไทย แต่เป็นลักษณะทยอยขึ้น หรือไม่ก็เน้นบางจังหวัดที่สำคัญไปก่อน เช่น กทม. ภูเก็ต หรือหัวเมืองสำคัญในจังหวัดใหญ่ๆตามภูมิภาค โอ๋ะโอ๋! พี่น้องกรรมกรเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื่อทุกเฉดสี ฟังแล้วได้แต่เกาหัวแกรกๆ ไอ้ตอนหาเสียงมันไม่ใช่อย่างนี้นี่หว่า เห็นพวกเราเป็นตัวอะไรทำไมถึงทำกับพวกเราได้ เจ็บช้ำกว่านั้น ส่งผ่านมาจากที่ปรึกษาดูไบ ทักษิณ ชินวัตร สอดประสาน ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค ออกมาบอกชาวเสื้อแดงที่ร่วมเป็นร่วมตายเกลือกกลิ้งบนท้องถนนจนได้อำนาจรัฐมาในวันนี้ เขาบอกกันว่าไงนะ… ถ้าพี่น้องเสื้อแดงจำไม่ได้ บาดลึกไม่พอจะขออนุญาติตอกย้ำอีกรอบ เขาบอกผ่านทางทีวีวิทยุหนังสือพิมพ์ครบครัน เดินสายออกรายการพูดไว้อย่างนี้ "การที่คนเสื้อแดงจะหาผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์สลายชุมนุม ขอให้คนเสื้อแดงลืมๆไปซะบ้าง วันนี้เราต้องปรองดองยอมกลืนเลือดกันบ้าง" อ้าว! พี่จ๋าของน้องปูทำไมพูดอย่างนี้ คำตอบหรือ ก็เพราะ วันนี้นายใหญ่กำลังเริงร่าพาพลพรรคขึ้นสู่อำนาจรัฐ เขาอยากปรองดองอำนาจ จึงได้ออกมาประกาศเตือนชาวเสื้อแดง ลืมๆกันไปซะบ้าง ในเมื่อพี่น้องทำภารกิจให้พวกเราก้าวสู่ไทยคู่ฟ้า ถือว่าเสร็จสิ้น จากนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราจะได้บริหารอำนาจบันดาลสุข สัญญงสัญญาอะไรก็อย่าเอามาคิดเป็นประเด็นหรือเดินทางมาทวงกันหน้าทำเนียบฯ เดี๋ยวโดนทุบแล้วจะหาว่าไม่เตือน อีกทั้งสไตล์น้องสาวของพี่จ๋าไม่มีเวลาพอเหลียวแลเรื่องกวนใจหน้าทำเนียบฯ เนื่องจากน้องสาวไม่ถนัดกับการเดินมารับหนังสือร้องทุกข์ นี่แค่บางส่วนของผู้ที่กำลังเข้าสู่อำนาจรัฐแสดงออกมา ดังนั้นพี่น้องเสื้อแดงจงขีดเส้นใต้จำกันไว้ให้ดีๆนะครับ นายใหญ่และรองหัวหน้าเขาเตือนพวกท่านมาอย่างนี้ *********************** ครานี้หันมาดู กกต.ที่ต้องเอกซเรย์ ว่าที่ สส.สีเทาก่อนปล่อยเข้าสภา ถ้ามองอย่างเข้าใจ นี่คือกระบวนการตรวจสอบตามที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจหน้าที่ให้ กกต. แต่สำหรับแกนนำแดงใจร้อนซึ่งกำลังคั่นเนื้อคั่นตัวอยากได้ตำแหน่งอำมาตย์ตัวสั่น ดูจะไม่ฟังเหตุฟังผล เอะอะออกอาละวาด จะเป่านกหวีดยกพวกที่ตัวเองตราหน้าเขาว่าไพร่แดงมากดดันซะงั้น เหนื่อยใจเหลือเกินกับพฤติกรรมถนัดที่ยากแก้ไข อาจเป็นไปได้ว่า ชนกลุ่มหนึ่งห่างเหินอำนาจรัฐมากว่า 2 ปี เอาเวลาไปคลุกฝุ่นอยู่บนท้องถนนจนติดพฤติกรรมทราม อยากได้อะไรต้องได้ตามวิถีกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ครั้นเห็นอำนาจกองอยู่ตรงหน้า จึงอยากกระโดดไขว่คว้าท่าเดียว เรียกว่าเก็บอาการไม่อยู่ประมาณนั้น กอปรกับตลอดการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ได้สร้างสมศัตรูไว้มาก บ้างก็อ้างมือที่มองไม่เห็นบ้าง อ้างอำนาจนอกระบบบ้าง บ้างก็บิดเบือนสร้างเรื่องจนบางครั้งโกหกตัวเอง พอตัวเองกำลังจะก้าวขึ้นสู่อำนาจสมใจ จึงต้องตกอยู่ในภาวะจิตหลอน หวาดระแวงสิ่งแวดล้อมรอบกายจะมาทำร้ายกลั่นแกล้งเข้าไปอีก ความพยายามสะกดตัวเองไม่ให้เหวอไปกว่านี้ จึงมาพร้อมการสรรหากลยุทธ์สะเปะสะปะ ตั้งแต่รับคำสั่งนายให้ออกมาประสานเสียง”แก้ไขไม่แก้แค้น” วันดีคืนดีอยากเข้าคารวะบ้านสี่เสา จู่ๆอยากปรองดองบ้านพระอาทิตย์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ประณามหยามเหยียดผู้ใหญ่ของบ้านเมืองแทบจะเป็นเศษผงธุลีดิน บางครั้งฮึดฮัดยกพวกไปขว้างปาทำลายข้าวของ ข่มขู่รุกไล่ไปถึงวงศ์ตระกูล นำไปสู่ความเครียดแค้น เกลียดชัง แตกแยกของคนในชาติ สมใจอยากต่อการทำลายความปรองดอง แต่วันนี้ ยกยอคนที่เคยด่า เชิดชูคนที่เคยกล่าวหาว่าไอ้ฆาตกร ไอ้ทรราชย์ ดึงมาเป็นพวกเดียวกันร่วมสร้างสรรค์ปรองดอง พี่น้องชาวเสื้อแดงที่เฮโลไหนเฮโลนั่น ชักออกอาการมึนๆงงๆ ตั้งคำถามถึงว่าที่เสนบดีกำลังเล่นละครปาหี่ให้พวกเราดูหรือไง ทำไมถึงทำร้ายความรู้สึกพวกเรากันขนาดนี้ ชีวิตของประชาชนตัวเล็กๆ หาเช้ากินค่ำ ที่หวังเข้าร่วมขบวนการภาคประชาชน ตามที่เขาเคยกล่าวอ้างสวยหรูในโรงเรียนนปช. เพื่อร่วมกันสร้างความเท่าเทียม เอาประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียชีวิต เลือดเนื้อ บทสรุปก็เป็นเพียงสะพานให้กลุ่มคนเหยีบย่ำขึ้นเสวยอำนาจรัฐเท่านั้นเองหรือ บอกกันตรงๆถึงพี่น้องเสื้อแดง คนที่ท่านรัก คนที่ท่านเทิดทูน เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ เพราะผลกรรมที่เคยก่อทำให้เกิดอาการหลอน กลัวอุบัติเหตุอำนาจรัฐหลุดมือ จึงต้องใช้ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นวิธีข่มขู่กดดันองค์กรตามกฎหมาย หรือแสดงลีลามิตรไมตรีกับปรปักษ์ นาทีนี้ทำได้ทุกอย่าง *********************** ก็คงจะเหลือแต่แฟนคลับผู้มีสติ อยากให้มาร่วมใคร่ครวญกันดีกว่าเพื่อตอบคำถาม ทำมั้ย ทำไม ต้องแขวนว่าที่ผู้แทนอันเป็นที่รักของพวกท่าน ถ้าใช้อารมณ์ตัดสิน หรือมองเป็นการเมืองไปซะหมดจบเห่ที่จะอธิบาย แต่ถ้ามองให้มาก ค่อยๆ ขบคิดจะเข้าใจ ในเมื่อทุกสังคมมีกฎระเบียบ บ้านเมืองต้องมีกฎหมาย ดังนั้นว่าที่ สส.ท่านใดไร้ปัญหาย่อมผ่านฉลุย แต่พวกสีเทาหากได้กลั่นกรองแต่เนิ่นๆ ถือเป็นบุญโขต่อชาติบ้านเมือง ประการสำคัญ การกักกันตัวมิใช่แค่ ว่าที่ สส.เพื่อไทย เท่านั้น พรรคการเมืองอื่นล้วนถูกเจียระไน และไม่ใช่เฉพาะหัวแถวอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฟากฝั่งประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคปชป. ถูกร่อนตะแกรงเหมือนกัน ในเมื่อการเลือกตั้งภายใต้กฎกติกาที่ทุกฝ่ายอมรับ กับการที่มีกระบวนการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ควรอดใจรอหน่อยมิได้หรือ ยิ่งแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดขู่ใช้กฎหมู่ตะพรึดตะพรือ แสดงให้เห็นว่าไม่ยึดมาตรฐานเดียวกับผู้อื่นที่กำลังถูกตรวจสอบ ที่ผ่านมา ประกาศมาตลอดมิใช่หรือ รังเกียจสองมาตรฐาน แต่ครั้นบ้านนี้เมืองนี้ใช้มาตรฐานตรวจสอบเช่นเดียวกับคนอื่นเหตุใดต้องโวยวาย ตกลงพวกท่านมีมาตรฐาน หรือไร้มาตรฐานกันแน่ น่าเป็นห่วงเข้าไปอีกเมื่อขึ้นครองอำนาจจะมีมาตรฐานบริหารบ้านเมืองแบบไหน เพราะขนาดยังไม่ได้อำนาจบริหารประเทศ ยังแสดงพฤติกรรรมพลิกพลิ้วนโยบาย เหยียบย่ำความรู้สึกผู้สูญเสีย ช่างเป็นมาตรฐานใหม่ที่น่าอึ้งทึ้งเสียเหลือเกิน นี่แหละหนอผู้สูงศักดิ์ของพี่น้องเสื้อแดง เขากำลังทำกับพวกท่านได้ลงคอ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 กรกฎาคม 2554, 22:26:15 กวนน้ำให้ใส (นสพ.แนวหน้า)
พี่รังแกปู (สารส้ม) พี่จ๋า ตอนที่เริ่มหาเสียงใหม่ๆ พี่เอาอะไรมาให้ปูพูด ปูก็พูด... ให้ปูไปทำอะไรที่ไหน ปูก็ไป... พี่บอกให้ปูทำตัวเหมือนตอนเปิดโครงการบ้านจัดสรรโครงการใหม่ๆ แต่งสวย ยิ้มหวาน ชูหนึ่งนิ้ว แค่ไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูป คุยกับชาวบ้านเหมือนพบปะลูกค้า เสร็จแล้วถึงเวลาจะให้รางวัลน้องสาวคนนี้ เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ถูกซักถามว่า นโยบายหาเสียงจะทำได้จริงไหม? มีแนวทางชัดเจนแล้วใช่ไหม? ศึกษาผลกระทบรอบด้านแล้วใช่ไหม? พี่ก็บอกให้ปูยืนยันว่าชัวร์ ทำได้จริง ทำได้เลย ทุกเรื่อง ทุกนโยบาย แถมไม่ต้องกู้ ปูเชื่อพี่ ปูทำตามพี่ทุกอย่าง พี่บอกอย่าวอกแวก อย่าสนใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกเรียกร้องให้ขึ้นเวทีดีเบทเพื่อให้เกิดการซักถาม ถกแถลงข้อเท็จจริงทั้งด้านดีด้านลบ พี่ให้ปฏิเสธ ให้อ้างไม่มีเวลา ปูก็เลยไม่มีโอกาสเรียนรู้รายละเอียดว่านโยบายที่ลูกน้องพี่ให้ปูเอาไปหาเสียงปาวๆ นั้น มันจะทำได้จริง จะทำได้ไง หรือผลกระทบจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเรื่อง ค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท หรือโครงการลดแหลกแจกสะบัดทั้งหลาย อยากบอกพี่ว่าปูไม่โง่นะคะ ปูก็รู้สึกว่ามันแหม่งๆ แต่ปูหลงคิดว่าพี่จะมีทางหนีทีไล่เข้าท่ากว่านี้ ปูไม่เข้าใจ... ทำไมพี่ไปให้สัมภาษณ์ว่า ค่าแรง 300 จะได้เฉพาะกรุงเทพฯกับภูเก็ต ทั้งๆ ที่ ก่อนเลือกตั้ง พี่ให้ปูไปหาเสียง เที่ยวสัญญากับชาวบ้านทั่วประเทศว่าจะได้กันทุกจังหวัด พร้อมกันหมด พี่จ๋า... ปูลงทุนถึงขนาดอ้อนชาวบ้านว่า "ดีมั๊ยคะ ชอบมั๊ยคะ เอามั๊ยคะ" แล้วนี่เพิ่งชนะเลือกตั้งแท้ๆ พี่กลับมาพูดอย่างนี้ จะให้ปูทำยังไง พูดแล้วน้ำตาจะไหล ปูอยากให้พี่คิดถึงหน้าปูบ้างสิคะ แค่เริ่มตั้งรัฐบาล พี่ไม่เห็นใจปูบ้างเหรอ ปูต้องปั้นยิ้ม ตอบคำถามนักข่าว "หน้าชื่น อกตรม" เพราะนักข่าวถามว่า ปูมีอำนาจเลือกรัฐมนตรีเองหรือเปล่า? จัดตั้งรัฐบาลกันในประเทศหรือเปล่า? พี่ทำให้ปูต้องเริ่มต้นชัยชนะหลังการเลือกตั้งด้วยการโกหกเลยนะคะ ปูต้องฝืนตอบนักข่าวไปว่า ปูมีอำนาจเต็มที่ จัดตั้งรัฐบาลเองกับมือ แถมต้องโกหกช่วยพี่ไปอีกว่าพี่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีใดๆ เลย พี่จ๋า ปูจะต้องโกหกช่วยพี่อีกครั้งกันคะ ครั้งก่อน... ปูเคยไปช่วยอ้างในศาลคดียึดทรัพย์ว่าหุ้นเป็นของปู ไม่ใช่ของพี่ แต่ไม่กี่วันก่อนเลือกตั้ง พี่กลับไปหลุดปากในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า พี่ถูกศาลยึดทรัพย์ไป "เหลือเงินแค่ 3 หมื่นล้านบาท" ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าหุ้นชินฯ เหล่านั้น มันเป็นของพี่มาโดยตลอด ไม่ใช่ของปู ของหลานๆ หรือของนอมินีรายไหนทั้งสิ้น เพราะสุดท้าย มันก็ไหลกลับไปรวมกันเป็นของพี่คนเดียว ครั้งนี้... ปูเพิ่งบอกนักข่าวว่าปูมีอำนาจเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรี แต่พี่กลับปล่อยให้ "เสือสิงห์กระทิงเฒ่า" บินไปขอตำแหน่ง วิ่งเต้นเก้าอี้ เจรจาต่อรองกันกับพี่ จนเป็นข่าวประเจิดประเจ้อ ทั้งที่ดูไบและบรูไน พี่จ๋า พี่ไม่อาย แต่ปูอายนะคะ ปูเป็นน้องสาวพี่นะคะ... ปูเป็นผู้หญิงนะคะ... พี่รังแกปู ไม่ใช่แค่รังแกน้อง แต่เป็นรังแกผู้หญิงนะคะ ปูเขียนมาบอก ก็เพื่อจะกราบขอร้อง อย่ารังแกปูด้วยวิธีอย่างนี้อีกเลย พี่จ๋า ปูหวังว่าพี่จะไม่คิดฆ่าปู ด้วยการให้ปูนอนจมกองขี้แห่งความล้มเหลวทั้งหลาย แล้วพี่จะฉวยโอกาสหาเสียงอีกรอบว่า "น้องสาวอ่อนประสบการณ์ พี่ชายจะกลับมาทำด้วยตัวเอง" พี่จ๋า ปูอยากคุยกับพี่มากกว่านี้ เพื่อหวังให้พี่ระลึกถึงความเป็นน้องสาวของพี่มากกว่านี้ แต่ปูต้องรีบไปแต่งหน้า เตรียมโพสต์ท่าถ่ายรูป ทำหน้าที่พรีเซนเตอร์โฆษณาให้พี่แล้ว ถ้าพี่รังแกปูอีก ปูจะไปฟ้องระเบียบรัตน์ ลงชื่อ น้องปู วันที่ 13/7/2011 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 กรกฎาคม 2554, 09:43:54 ไทยพีบีเอส”ต้องตอบโจทย์ ไม่ควรสัมภาษณ์อาชญากร
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 30 กรกฎาคม 2554 05:40 น. ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตลอดสัปดาห์ ก่อนที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศรับรอง เชื่อว่าหลายคนยังสงสัย ! กับ “รายการตอบโจทย์” ทั้ง 2 ตอน เมื่อวันที่ 18-19 ก.ค. 54 เวลาสี่ทุม ทางถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ที่“ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” พิธีกร บินไปสัมภาษณ์ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. และนำมาออกอากาศร่วมครึ่งชั่วโมง รวมถึงการเสนอคลิปขึ้นเว็บไซต์ของสถานี บางคนถามในใจว่า เพื่ออะไร และอะไรคือ หัวใจสำคัญของการเป็นสื่อสาธารณะ คนใน ”ไทยพีบีเอส” เล่าว่าหลังจากออกอากาศประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์เข้าไปต่อว่าต่อขานที่สถานี มีเจ้าหน้าที่บางรายยืนยันว่า “บางสายถึงกับขู่วางระเบิดสถานี” อย่าง “บุญยอด สุขถิ่นไทย” รักษาการรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาถามรายการ “ตอบโจทย์” ถึง จริยธรรมและข้อบังคับของ “องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย” (ส.ส.ท.) ที่ร่างขึ้น เขาตั้งคำถามว่า การเดินทางไปพบกับนักโทษหนีคดี ซึ่งทางการไทยต้องการตัวในโทษจำคุก 2 ปี ถือว่าเป็นบุคคลที่ควรติดต่อด้วยหรือไม่ และเมื่อทราบหลักฐานที่อยู่ ต้องแจ้งให้ทางการทราบด้วยหรือไม่ เขาอ้างว่า ตามหลักการและอุดมการณ์ สถานีโทรทัศน์แพร่ภาพกระจายเสียงและ แนวทางปฏิบัติ เพื่อธำรงจริยธรรมวิชาชีพของสถานี ไทยพีบีเอส ข้อ 11 ระบุว่า “แนวทางปฏิบัติในการรายงานทำข่าวอาชญากรรม หรือพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสาธารณะ” โดยเฉพาะ ข้อ 11.4 เขียนว่า ไม่ควรสัมภาษณ์อาชญากร หรือผู้มีพฤติกรรมเป็นอาชญากร แต่ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องสัมภาษณ์ ต้องขออนุมัติจากผู้บริหารฝ่ายข่าว หรือรายการก่อน และแม้ได้รับการอนุมัติแล้วต้องระมัดระวังไม่ให้เนื้อหาการสัมภาษณ์ ส่อไปในทางสร้างความโดดเด่น ความชื่นชอบ ในอาชญากร ไม่เสนอเนื้อหาขั้นตอนกระบวนการ ในการกระทำผิด มีคำถามต่อว่าไปให้นักโทษมาฟอกตัวเองออกอากาศ หรือ! เป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหาร “ไทยพีบีเอส” ต้องตอบ ถลุงงินภาษีประชาชน จากภาษีเงินบาป 2,000 ล้านต่อปี บินไปสัมภาษณ์ “นักโทษทักษิณ” ถึงดูไบ ก็เป็นอีกคำถามที่ “ไทยพีบีเอส” ต้องตอบ ถามว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ไทยพีบีเอส” บุกไปสัมภาษณ์ “ทักษิณ” ก่อนกลับมารับฟังคำสั่งศาลเมื่อปี 2550 ก่อนที่จะมีร่างจริยธรรมและข้อบังคับ รวมถึง“คณะกรรมการและสภา ผู้ชมและผู้ฟัง” ช่องนี้ได้บุกไปดักสัมภาณ์ที่ประเทศฮ่องกง มาแล้วครั้งนั้นถึงขั้นลงทุนติดตามทีม ส.ส.พลังประชาชนไปด้วย ทราบว่าครั้งนั้น “ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า” ครั้งนั้น ฝ่ายบริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อ้างว่า การรายงานข่าวอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้น เกิดขึ้นจากการประชุมเพื่อเสนอมุมมองในการรายงานข่าวให้ประชาชนได้ข้อมูล ข่าวสาร โดยใช้ไอเดียที่แตกต่างในการเสนอข่าวดังกล่าวตั้งแต่การตั้งทีมถ่ายทอดสด ตามสถานที่สำคัญที่อดีตนายกฯ ทักษิณ จะต้องไป อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ศาลฎีกา และจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น และการส่งทีมข่าวไปยังฮ่องกงเพื่อรายงานข่าวนั้น เนื่องจากข่าวการกลับมาของอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นข่าวที่ทั้งประเทศให้ความสนใจและการเลื่อนกำหนดกลับก่อน “เพื่อเสนอข่าวอย่างเป็นกลางและตอบโจทย์การเป็นทีวีสาธารณะ นอกจากนี้ยังได้รับรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกของอดีตนายกฯ และการยืนยันจากปากเรื่องการไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป” ครั้งนั้น “ไทยพีบีเอส”อ้างว่ามีความพึงพอใจในการเสนอข่าวดังกล่าวพอสมควร แต่รายการ “ตอบโจทย์”ในปี 2554 มีระเบียบการรองรับชัดเจนตามที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวอ้าง ล่าสุดทราบจาก “กิตติชัย ใสสะอาด” ในฐานะประธานสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการสมาชิกสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ส.ส.ท. แจ้งว่า ในวันที่ 30 ก.ค. ที่โรงแรม อมารี วอเตอร์เกต สมาชิกกว่า 50 คนจะร่วมประชุม เพื่อกำหนดท่าทีต่อ กรณีนี้ รวมถึงดูแนวทางที่ทาง อำนวยการสถานี รวมทั้งฝ่ายขาว และผู้ที่เดินทางไปสัมภาษณ์ควรจะรับผิดชอบ อย่างไร เบื้องต้น ไม่มีหนังสือร้องเรียนมาอย่างเป็นทางการแต่มีการส่งข้อความผ่านอีเมลล์มาเป็นจำนวนมาก มายังตนและสมาชิกหลายคนให้มีการตรวจสอบ เพราะเบื้องต้น ทราบว่า ไม่มีความเหมาะสม ที่เดินทางไปสัมภาษณ์ผู้ต้องหา เบื้องต้นยังไม่มีทราบว่ามีความผิดอย่างใด คาดว่าจะมีการประสานงานไปยัง “เทพชัย หย่อง” ผู้อำนวยการสถานีและ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” พิธีกร รายการตอบโจทย์ มาให้ข้อมูลในเบื้องต้น “อาจจะมีการถามถึงจุดประสงค์ที่ต้องเดินทางไปสัมภาษณ์ถึงดูไบ รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆกับผู้อำนวยการสถานีโดยตรง” เบื้องลึก เบื้องหลังนอกจากนี้ มีการตั้งคำถามว่า ทีมงานชุดที่ไปสัมภาณ์ เดินทางกลับจากนครดูไบเมื่อวันที่ 7 ก.ค. เพื่อนำมาออกอากาศในคืนวันที่ 11 ก.ค. เป็นตอนแรก แทนที่จะเป็นวันที่ 18 ก.ค. มีการยืนยันว่า มีคำสั่งจากฝ่ายบริหารของไทยพีบีเอสให้ “ชะลอ”การออกอากาศออกไปก่อนจริง แต่กลับมีการปล่อยให้ออกอากาศได้ในวันที่ 18 ก.ค. เพราะสาเหตุใด! เป้นอีกเรื่องที่ผู้บริหาร “ไทยพีบีเอส”ต้องตอบจะอ้างว่าเป็นสร้างความ “สมดุล”ในการเชิญบุคคลต่างๆมาสัมภาษณ์หรืออ้างแบบที่ฝ่ายบริหารเมื่อปี 2550 เคยให้สัมภาษณ์ หรือ!ความไม่จัดเจนในการบริหารจัดการข่าว เท่านั้น อีกประเด็นที่สังคมกำลังจับตามองกับเรื่อง' “สินบนสื่อ” หลังจากเชิญสื่อมวลชนหลายสำนักมาให้ข้อมูลเบื้องต้น กรรมการบางคนถึงกับออกอาการ ขู่! คนมาให้ข้อมูล อย่างกับว่า เป็นคนทำผิดเสียอย่างนั้น “รู้ไหมสื่อ 8 สำนักนั้นเขาทำข่าวมานานขนาดไหน” แล้วยังไง! ล่าสุด มีการขยายเวลาสอบเพิ่ม”สินบนสื่อ”อีก15วัน โดย คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แจ้งว่า ได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปแล้วเมื่อวันที่ 25 2ก.คที่ผานมา “พรชัย ปุณณวัฒนาพร” เลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ชี้แจงว่า นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปอีก 15 วัน ถึงนายปราโมทย์ ฝ่ายอุประ ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ โดยมีเนื้อความดังนี้ “ตามที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ภายใน 15 วันนั้น ในการนี้ ขอเรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วพอสมควร แต่เนื่องจากมีข้อมูลที่ต้องตรวจสอบอีกมากมายยังไม่สามารถสรุปผลการตรวจสอบครั้งนี้ได้ภายในเวลาที่กำหนด และมีความจำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการตรวจสอบออกไปอีก 15 วัน และจะรายงานผลให้ทราบโดยเร็ว” ขณะที่หนังสือดังกล่าวจะถึงที่ประชุมคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 สิงหาคม 2554, 23:04:40 รอยเตอร์วิเคราะห์ "ยิ่งลักษณ์" หมดเวลาฮันนีมูน ชี้ "นำทักษิณกลับประเทศ" เป็นบททดสอบหนักสุด
วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554มติชนออนไลน์ มาร์ติน เพ็ตตี้ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ ได้เขียนบทวิเคราะห์การเมืองไทยชื่อ "ฮันนีมูนผ่านพ้นไป, ยิ่งลักษณ์กำลังก้าวเดินบนเส้นลวด" (Honeymoon over, Yingluck treads political tightrope) ซึ่งมีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้ โดยเพ็ตตี้เริ่มต้นบทวิเคราะห์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางการบูมของธุรกิจดังกล่าว กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเธอต้องมารับบทบาทเป็นผู้บริหารประเทศที่ยุ่งเหยิงด้วยวิกฤตการเมืองและเหตุนองเลือด ผู้สื่อข่าวต่างชาติรายนี้เห็นว่า ช่วงเวลาแห่งการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของนักการเมืองหน้าใหม่วัย 44 ปี อย่างยิ่งลักษณ์กำลังจะหมดไป เมื่อเธอได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ซึ่งคนยากจนหลายล้านคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยหวังจะได้รับผลประโยชน์นานาประการจากเธอ ขณะที่ประเทศไทยก็ต้องการให้มีการยุติวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยาเป็นต้นมา แม้จำนวน ส.ส. 265 จากทั้งหมด 500 คนในสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคเพื่อไทย จะสามารถช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการแทรกแซงการเมืองของกลุ่มคนที่ "อยู่หลังฉาก" ผ่านกระบวนการยุติธรรมและกองทัพลงได้บ้าง จนสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขการลงทุนที่พุ่งสูงขึ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การที่ยิ่งลักษณ์มีแนวโน้มจะก้าวเดินทางการเมืองตามรอยเท้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชาย และการที่ทักษิณถูกมองว่าจะมีอิทธิพลต่อรัฐบาลชุดใหม่มากกว่าว่าที่นายกฯ หญิง ที่ด้อยประสบการณ์ทางการเมือง ก็อาจนำไปสู่เส้นทางการเมืองอันขรุขระของรัฐบาลเพื่อไทยได้ "ระดับของความเป็นอิสระ (จากทักษิณ) จะส่งผลต่อระดับการยอมรับที่ผู้คนมีให้ยิ่งลักษณ์" เดวิด สเตร็คฟัสส์ นักวิชาการชาวอเมริกันประจำมหาวิทยาลัยขอนแก่นกล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ นักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามทักษิณกำลังรอคอยให้รัฐบาลชุดใหม่ทำสิ่งผิดพลาด เพื่อนำไปสู่เงื่อนไขในการแทรกแซงการเมืองอีกครั้งหนึ่ง "ชัยชนะของยิ่งลักษณ์ถือเป็นชัยชนะเด็ดขาดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งไทย ดังนั้น การกีดขวางเธอในทันทีทันใดจึงไม่น่าจะเป็นไปได้" สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว "การเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาล ต้องถูกคิดคำนวณอย่างถ้วนถี่ พวกเขาต้องรอคอยให้รัฐบาลชุดนี้ทำสิ่งที่ผิดพลาด และต้องมีเหตุผลอันชอบธรรมมารองรับการเคลื่อนไหว มิฉะนั้น ผลที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นภาวะจลาจลวุ่นวาย" อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว แม้จะมีภาระงานหลายงานที่ท้าทายว่าที่ผู้นำหญิงอย่างยิ่งลักษณ์ ทว่าบททดสอบสำคัญที่สุดสำหรับว่าที่นายกฯ หญิง ตามการวิเคราะห์ของเพ็ตตี้ก็คือ เธอจะจัดการอย่างไรกับประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการเดินทางกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดา ทั้งๆ ที่การขออภัยโทษให้อดีตนายกฯ อาจกลายเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อไทย สมชายประเมินว่า รัฐบาลเพื่อไทยต้องพยายามทำงานเพื่อให้สภาพการเมืองและเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ จากนั้น จึงค่อยร่างแผนการขออภัยโทษให้แก่ผู้ต้องโทษทางการเมืองโดยทั่วไป และควรกำหนดให้แผนการขออภัยโทษดังกล่าวผ่านการลงประชามติในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้มีความชอบธรรมทางกฎหมายและได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน "การนำทักษิณกลับประเทศ คือวาระหลักของเพื่อไทย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเดินหน้าเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง และควรทำให้สภาวะการเมืองมีความลงตัวเสียก่อนจะเสนอแผนขออภัยโทษ" นักวิชาการชาวไทยวิเคราะห์ ขณะที่หลายคนกลับมองว่ามีโอกาสน้อยมากที่ทักษิณจะได้เดินทางกลับประเทศไทย ด้วยทัศนะว่า อดีตนายกรัฐมนตรีถือเป็นบุคคลที่นำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในประเทศ ดังนั้น การพยายามนำเขากลับบ้านเกิด จึงเท่ากลับเป็นการปลุกให้ขบวนการ "เสื้อเหลือง" ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยกลุ่มเสื้อเหลืองก็เคยเคลื่อนไหวจนกระทั่งรัฐบาล 2 ชุดที่มีทักษิณอยู่เบื้องหลัง ต้องประสบกับภาวะ "อัมพาต" จนทำงานไม่ได้มาแล้ว ดังที่โจชัว เคอร์แลนท์ซิค ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า "การกลับมาของทักษิณ ไม่ว่าในช่วงเวลาใดก็ตาม จะนำไปสู่ความวุ่นวายอย่างหนัก" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 สิงหาคม 2554, 09:18:45 องครักษ์ พิทักษ์ ปูแดง อาละวาด
“กาละแมร์” เจ๋อ “ปู ยิ่งลักษณ์” เจอแดงจัดหนัก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ป้านิรนาม “เสื้อแดง” ยำ “ Here Haสารพัดสัตว์” ใส่จานเสิร์ฟผ่านยูทูบ ถึง “กาละแมร์” พัชรศรี เบญจมาศ แสดงความเห็นผ่านบทความชื่อ “จดหมายถึงนายกฯหญิง” ในคอลัมน์ “ชายตาหาข้าวเปลือก” ป้าเสื้อแดงยัวะ แหกปากร้องเสียงหลงประกาศ “เดี๋ยวกูจะตอบให้มึงเอง” เพราะป้ามหาภัยปากตลาดรายนี้คิดว่า กาละแมร์ตั้งใจดิสเครดิต “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย” ทุกถ้อยความ ทุกประโยค ถึงขั้นเรียกว่า “หยาบคายไร้สกุลรุนชาติ” มีแต่ด่า ด่า และด่าจนหาความรู้และสาระไม่เจอ กาละแมร์เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกคนเสื้อแดงหมายหัว เพราะ ปีที่แล้ว คอลัมน์ “ชายตาหาข้าวเปลือก” นี้เคยพูดถึงผลกระทบการชุมนุมที่ราชประสงค์มาก่อน เป็นหนึ่งในบุคคลที่คนเสื้อแดงหมายหัวเอาไว้มานานนับปีแล้ว นับตั้งแต่พิธีกรสาวฝีปากกล้า “กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ” เขียนเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงลงคอลัมน์ชายตาหาข้าวเปลือกในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ปีก่อน บทความดังกล่าวบอกว่าเธอได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ โดยเฉพาะในวันที่เธอต้องไปทำหน้าที่พิธีกรในงานอีเวนต์งานหนึ่งที่จัดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ข้อความในทำนองที่ว่าเดินผ่านกลุ่มคนเสื้อแดงแล้วรู้สึกหวาดกลัวได้สร้างความขุ่นข้องแก่มวลชนคนเสื้อแดงถึงขนาดที่ต้องเอาปากกาสีแดงกากบาททับศีรษะของกาละแมร์เอาไว้ว่านับตั้งแต่นี้จะไม่ขอเผาผีเธออีกต่อไป และก็เป็นไปตามนั้น เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่ว่า “กาละแมร์”จะทำอะไร คนเสื้อแดงก็มักจะมีเรื่องให้ติติงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเขียนคอลัมน์ชายตาหาข้าวเปลือกในมติชนสุดสัปดาห์ เพราะเธอเป็นคอลัมนิสต์เซเลบเพียงรายเดียวที่กล้าแหกคอกวิจารณ์แดง ในขณะที่คอลัมนิสต์ในหน้าใกล้เคียงอย่าง “คำ ผกา” พยายามเขียนเชลียร์คนเสื้อแดงจนกระดาษเปรอะน้ำลาย ส่วน “ทราย เจริญปุระ” ที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นสายลมและแสงแดดก็สนับสนุนคนเสื้อแดงอย่างไม่มีเหนียมอายเช่นกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเพราะ 'ชื่อเสียง' ของกาละแมร์อย่างแท้จริงที่ทำให้เธอยังเขียนคอลัมน์ที่มีเนื้อหาไม่สอดคล้องไปในทางเดียวกับผู้บริหารมติชนได้เช่นนี้ มิหนำซ้ำเนื้อหาส่วนใหญ่ในคอลัมน์ของเธอก็เบาหวิวล่องลอยจนแทบจะจับสาระไม่ได้ จนกระทั่งในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 8 - 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่ “กาละแมร์” ก็เจอดีเข้าให้ เมื่อเธอใช้พื้นที่ในคอลัมน์ของตัวเองเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงว่าที่นายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ด้วยเนื้อหาในทำนอง 'เสนอปัญหา' ให้ว่าที่นายกฯ รับไปพิจารณาแก้ไข แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามวลชนคนเสื้อแดงที่ไม่ชอบขี้หน้าพิธีกรสาวรายนี้อยู่แล้วกลับเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “นายหญิงคนใหม่” ของพวกเขา!! เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ “กาละแมร์” ออกตัวว่าขอเสนอปัญหาให้ว่าที่นายกฯ หญิงรับไปพิจารณา ในฐานะที่เธอทำงานด้านสื่อสารมวลชนซึ่งข้องเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กมาโดยตลอด โดยปัญหาเรื่องแรกที่กาละแมร์พูดถึงก็คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในสังคมไทย ซึ่งเธอบอกว่าปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานและระบบการจัดการที่จริงจังเด็ดขาดพอ อีกทั้งโทษที่จะนำมาจัดการกับผู้กระทำผิดต่อผู้หญิงก็เบาโหวงจนไม่ทำให้คนร้ายเข็ดขยาดหวาดกลัว เรื่องที่สองกาละแมร์ขยับเข้าไปสู่ปัญหาของผู้หญิงในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องการถูกทำร้ายร่างกายจากผู้ที่เป็นสามี ส่วนเรื่องที่สามคือการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้หญิงที่รับบทบาทหน้าที่หลายอย่างทั้งทำงานนอกบ้าน ในบ้าน เป็นทั้งภรรยา แม่ และคนทำงาน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เป็นปัญหาคุณภาพชีวิตของเด็ก คุณภาพชีวิตของสัมมาอาชีพครู และสุขภาพโดยรวมของประชาชน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลหากอ่านด้วยสายตาเป็นกลางก็น่าจะเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีที่พิธีกรสาวรายนี้มีต่อผู้หญิง เด็ก และสังคม แต่คนเสื้อแดงหลายรายบอกว่าพวกเขามองเห็น 'เสียงกระแหนะกระแหน' ที่ซ่อนมากับจดหมายฉบับนี้ ซึ่งคนเหล่านั้นก็นั่งไม่ติดออกโรงวิพากษ์วิจารณ์ “กาละแมร์” อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ที่ดุเดือดที่สุดคงจะเป็น “หญิงนิรนาม” รายหนึ่งที่ขออนุญาตนายหญิงตอบจดหมายกาละแมร์ด้วยตัวเองชนิดสัตว์เลื้อยคลานปลิวว่อนเลยทีเดียว คลิปเสียงที่ถูกปล่อยลงเว็บไซต์ยูทูบใช้ชื่อว่า “ Re จดหมายกาละแมร์ถึงคุณยิ่งลักษณ์” เป็นคลิปที่มีความยาวเพียงสองนาทีกว่าๆ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงของหญิงนิรนามที่พูดถึงจดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าวในทำนองพูดไปด่าไป หญิงนิรนามบอกว่าขออนุญาตคุณยิ่งลักษณ์ตอบจดหมายของกาละแมร์ ซึ่งทุกๆ การกล่าวถึงชื่อของพิธีกรสาวจะมีสรรพนามเสริมทั้งสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ธรรมดา ไปจนถึงคำด่าทั้งรูปธรรม นามธรรมทั้งหลายติดมาด้วยเสมอ จับใจความได้เพียงแค่ว่า “หญิงนิรนาม” อ้างว่า “กาละแมร์” จงใจกระแหนะกระแหนคุณยิ่งลักษณ์ของเธอ โดยเนื้อหาที่ทำให้หญิงนิรนามเป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุดอยู่ที่เรื่องสี่ที่กาละแมร์เสนอต่อว่าที่นายกฯ ซึ่งเธอขึ้นต้นเรื่องดังกล่าวว่า “เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องท้าทายสังคมไทยมาก แต่ถ้าทำได้ มันจะเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว” จากนั้นกาละแมร์ก็บรรจงเน้นข้อความต่อไปว่า “ท่านมีนโยบายอย่างไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อยคะ” เนื้อหาดังกล่าวไปโดนต่อมอะไรบางอย่างของหญิงนิรนามจนถึงกับเดือดพล่าน ต้องออกโรงด่ากาละแมร์แบบสาดเสียเทเสีย โดยที่ไม่ได้พูดให้เคลียร์ว่าเพราะเหตุใดหญิงนิรนามจึงรู้สึกว่ากาละแมร์จงใจเสียดสีนายหญิงของเธอ เพียงแต่พูดย้ำๆ ซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “กาละแมร์กวนเท้า” และ “จงใจกระแหนะกระแหน” คุณยิ่งลักษณ์ของเธอ จากนั้นเนื้อหาสาระของหญิงนิรนามที่ออกตัวว่าขอตอบจดหมายก็วนไปวนมาอยู่ที่ว่า กาละแมร์ไม่ยอมปล่อยให้ว่าที่นายกหญิงฯ ทำหน้าที่ก่อน การเขียนจดหมายเช่นนี้ถือเป็นการจงใจดิสเครดิตยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย โดยหญิงนิรนามเน้นว่าตอนนี้ยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกฯ และถ้าได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อไหร่ นายกฯ คนนี้ก็จะให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่กาละแมร์เสนอมาเอง นอกจากนั้นก็เต็มไปด้วยคำด่าว่าวนไปวนมาในลักษณะ 'อารมณ์ขึ้น' ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบไม่มีสติเลยทีเดียว(อ่าน 'Re จดหมายกาละแมร์ถึงคุณยิ่งลักษณ์' ตอนท้าย) นอกจากหญิงนิรนามแล้ว คนเสื้อแดงรายอื่นๆ ก็เป็นเดือดเป็นร้อนต่อจดหมายของกาละแมร์ไม่แพ้กัน บางคนบอกว่า “กาละแมร์” ไม่มีสิทธิและศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะมาเขียนจดหมายคุยกับว่าที่นายกฯ โต้งๆ เช่นนี้ เพราะภาพลักษณ์ของเธอเป็นเพียงพิธีกรฝีปากกล้าที่คุยแต่เรื่องผัวๆ เมียๆ และเรื่องในวงการบันเทิงเท่านั้น บางคนบอกว่าในตอนที่อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ กาละแมร์ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรเลยแม้แต่เรื่องเดียว แต่พอยิ่งลักษณ์กำลังจะเข้ามารับตำแหน่งเธอก็ออกมาเรียกร้องเหยงๆ เช่นนี้ซึ่งพวกเขาบอกว่าเป็นสองมาตรฐาน ซึ่งบางคนฟันธงไปว่ากาละแมร์จงใจเกาะกระแสขอโด่งดังด้วยจดหมายที่สื่อสารไปหาว่าที่นายกฯ รายนี้ ส่วนอีกหลายคนก็นำเสียงเหน็บแนมที่กาละแมร์ทิ้งเอาไว้ในบรรทัดสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้ที่ว่า “อ้อ! น้องๆ ฝากบอกมาเยอะมากว่า อย่าลืม Ipad ของพวกเขาด้วยค่ะ” มาโจมตี หลายคนบอกว่ากาละแมร์โชว์โง่เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะแจกแท็บเล็ตแก่เด็กๆ ซึ่งแท็บเล็ตไม่ใช่ไอแพด นั่นเป็นจุดเล็กๆ ที่หลายคนหยิบมาด่ากาละแมร์ว่าโง่ได้อย่างถึงพริกถึงขิง จนกระทั่ง “คำ ผกา” คอลัมนิสต์ในมติชนสุดสัปดาห์อีกรายออกโรงมาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์กระทบ “กาละแมร์” เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการสัมภาษณ์เชลียร์ยิ่งลักษณ์ตามสไตล์ของเธอโดยครั้งนี้ผู้หญิงซึ่งแสดงตัวว่าเป็นเฟมินิสต์มาโดยตลอดจงใจต่อต้านความเป็นเฟมินิสต์ซะดื้อๆ และหลังจากที่มีนักวิชาการและเฟมินิสต์บางคนออกโรงวิพากษ์ยิ่งลักษณ์ว่าเป็นนายกฯ ผู้หญิงแท้ๆ แต่กลับไม่มีนโยบายเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชัดเจนว่า “ดิฉันของลาออกจากการเป็นเฟมินิสต์มาเป็นคนค่ะ” เป็นการไหลเปลี่ยนสถานะที่ “คำ ผกา” ถือครองจนแทบจะกลายเป็นยี่ห้อของเธอแบบดื้อๆ เพียงเพราะว่านโยบายของ “คำ ผกา” ในวันนี้คือการทำทุกอย่างที่จะสนับสนุนยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง “ดิฉันไม่มีอะไรจะตำหนิคุณยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้เพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยกล่าวอ้างว่า ตัวเองเป็นเฟมินิสต์ คุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยพกเอาเพศเชิงการเมืองเข้ามาหาเสียง she did not politicize her gender เธอชัดเจนว่าเธอเข้ามาเพราะครอบครัวของเธอเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะเข้ามาทำงานการเมือง เธอประกาศชัดเจนว่า ครอบครัวของเธอเป็นหนี้ประชาชน” “คำ ผกา” กล่าวไว้เช่นนั้น ท้ายที่สุด “ฮีโร่” ของคนเสื้อแดงอย่าง “คำ ผกา” ก็ยังคงสวยและฉลาดในสายตาของพี่น้องเสื้อแดงต่อไป ส่วนผู้หญิงโง่ที่ชื่อ “กาละแมร์” ซึ่งใช้พื้นที่ของตัวเองเขียนจดหมายซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่อาจจะลงความเห็นชี้ชัดไปได้ว่าเธอ 'จงใจ' ใช้พื้นที่ดังกล่าวเพียงเพื่อการกระแหนะกระแหนว่าที่นายกฯ จริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือตอนนี้อารมณ์ความรู้สึกที่คนเสื้อแดงมีต่อเธอเป็นไปในทางลบเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าอนาคตของพิธีกรอย่าง “กาละแมร์” จะเป็นอย่างไรหากคนเสื้อแดงร่วมมือกันบอยคอตเธออย่างจริงจังขึ้นมา ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 96 วันที่ 6-12 สิงหาคม 2554 ….......................................................................... คอลัมน์ ชายตาหาข้าวเปลือก โดย กาละแมร์ พัชรศรี จดหมาย ถึง นายกฯหญิง ถึง … นายกฯหญิงคนแรกของเมืองไทย ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และคะแนนเสียงที่ได้รับด้วยค่ะ ถือว่าเป็นมิติใหม่ในวงการการเมืองประเทศไทยที่ทั้งต่างประเทศและคนในประเทศต่างจับตามอง ยังไงก็ขอให้กำลังใจในการทำงานในหน้าที่อันหนักหน่วงนี้ด้วยนะคะ และขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้เขียนจดหมายถึงท่านในฐานะสื่อมวลชนที่ทำงานเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กมาโดยตลอดและในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งนะคะ เรื่องที่เป็นปัญหาของผู้หญิงที่ถูกมองข้าม ละเลย และอยากให้ความสนใจมีหลายเรื่องด้วยกันค่ะ อย่างเช่น จะทำอย่างไรให้ปัญหาการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง ข่มขืน ลวนลามผู้หญิงลดลงหรือหมดไป เพราะทุกวันนี้การทำงานในแต่ละองค์กรหรือหน่วยงานมันไม่สอดประสานกันน่ะค่ะ มูลนิธิบางแห่งตั้งใจทำงานเพื่อผู้หญิงมาก แต่พอไปถึงภาครัฐกลับไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร อยากให้แก้เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงต้องพยายามดิ้นรน เอาตัวรอด และหาวิธีดูแลตัวเองกันเอง ผู้หญิงโดนแอบถ่าย คนทำโดนปรับแค่ 500 บาท และอย่างข้าราชการผู้น้อยที่ถูกลวนลามโดยหัวหน้างาน หรือผู้บังคับบัญชา กลับเอาผิดไม่ได้ และไม่สามารถมีปากเสียงได้ ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมากค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอฝากถึงในครอบครัวด้วยนะคะ ผู้หญิงในประเทศไทยถูกสามีทำร้ายร่างกายเยอะมาก คนเป็นเมียก็ไม่อยากให้ผัวติดคุกหรอกค่ะ เพราะเขาก็รักและไหนต้องเลี้ยงครอบครัวอีก แต่จะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ครอบครัวไทยมีคุณภาพมากขึ้น ดิฉันว่าท่านนายกฯ น่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษเพราะในฐานะภรรยาและแม่ ดิฉันอยากให้เน้นเรื่องของครอบครัวให้มากๆ มันอาจเป็นจุดเล็กของสังคม ถึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่าง เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร แต่มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและสำคัญที่สุด และนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ในสังคมค่ะ ผู้หญิงทุกวันนี้รับบทบาทหนักมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้ท่านนายกฯ คงประจักษ์มากที่สุด ดังนั้น เราควรเพิ่มค่าตอบแทนหรือสวัสดิการที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเธอดีไหม เธอเป็นทั้งเมีย ทั้งแม่ แล้วไหนต้องออกมาทำงานอีก อยากให้เข้าไปดูกฎหมายการลาคลอด ให้เธอได้อยู่กับลูกนานอีกสักหน่อยโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเดือนที่หายไปกับตำแหน่งที่หลุดลอย (บางคนต้องปั๊มน้ำนมอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเองโดยใช้ผ้าคลุมไว้เพราะลุกออกจากโต๊ะไม่ได้เลย) ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากตั้งครรภ์อีกต่อไป เพราะเรื่องเหล่านี้บอกผู้ชายอาจไม่เข้าใจหรือนึกไม่ถึง เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องท้าทายสังคมไทยมาก แต่ถ้าทำได้ มันจะเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว “ท่านมีนโยบายอย่างไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อยคะ” ที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐบาลภายใต้การนำโดยนายกฯ ผู้ชายทำอะไรกับเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลย ถึงมันจะเป็นกฎหมายหรือนโยบายให้เห็นเป๊ะๆ เลยยาก แต่อย่างน้อยก็ขอให้ท่านสร้างค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวให้สังคมไทยได้ตระหนักและสำนึกให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นคนจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาและกล้าทำผิดเรื่องนี้มากขึ้นทุกวัน ส่วนปัญหาเราคงไม่ต้องพูดถึง ท่านเป็นผู้หญิง เรื่องนี้ลูกผู้หญิงซึ้งอยู่เต็มอก จริงไหมคะ มาถึงเรื่องเด็กบ้างค่ะ ทุกวันพ่อแม่น่าสงสารมากในการหาที่เรียนให้ลูก และเด็กทุกวันนี้ก็เครียดมาก วันๆ อัดแต่วิชาการเพื่อสอบเข้าให้ได้ในทุกช่วงวัยของชีวิต อยากให้ท่านเข้าไปดูระบบการศึกษาและหลักสูตรอย่างจริงจังค่ะ พัฒนาให้ทันสมัยและเอาไปใช้ได้จริงในชีวิต ถ้าเด็กไทยยังมัวแต่ท่องๆๆ แล้วเอาไปสอบๆๆ คุณภาพอนาคตของชาติมันจะอยู่ตรงไหนคะ อยากให้มีแผนนโยบายที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชนที่เอาไปใช้ได้จริงและทันสมัย เป็นรูปธรรม เด็กต้องได้กินอิ่ม มีที่เรียน มีอุปกรณ์การเรียนแม้ในที่ห่างไกล มีหลักสูตรให้เด็กได้พัฒนาตัวเอง ได้ค้นหาตัวเองเจอ และได้เรียนวิชาชีวิตที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตต่อไปและเน้นคุณธรรมในชีวิตด้วย ถ้าพูดถึงเด็กก็ต้องพูดถึงครูด้วย ดิฉันว่าครูสำคัญรองจากพ่อแม่ เด็กอยู่กับครูเท่ากับ 1 ใน 3 ของชีวิต แต่ทุกวันนี้เราไม่ให้ความสำคัญกับอาชีพครู ให้คุณค่าน้อย ให้ค่าตอบแทนต่ำ ไม่มีแรงจูงใจทำงาน โรงเรียนอยู่ห่างไกลทั้งโรงเรียนมีครูอยู่ไม่กี่คน เงินเดือนได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ายกระดับอาชีพที่ต้องสร้างคนให้เป็นคนขึ้นมา มันจะดีต่อคุณภาพชีวิตของคนในประเทศนั้น และยังเป็นการช่วยลดปัญหาในประเทศได้อีกทาง ซึ่งก็จะทำให้ท่านนายกฯ แก้ปัญหาน้อยลงไปเรื่องหนึ่งด้วยค่ะ อีกเรื่องที่อยากจะฝากไว้คือ สุขภาพของประชาชนค่ะ อาจเป็นเรื่องที่ดูไม่สำคัญ แต่นี่เป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการค่ารักษาคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่เป็นเรื่องใกล้ตัวของคนที่สุด การเป็นผู้หญิงทั้งในฐานะภรรยาและแม่ ดิฉันว่าท่านก็คงเป็นห่วงคนในครอบครัวของท่านเช่นกัน อยากให้เขาอยู่ดีมีสุขไม่เป็นโรคภัย เพราะฉะนั้น ถ้าเราให้ความสำคัญและรณรงค์ให้คนลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น รวมถึงรัฐได้เอื้ออำนวยความสะดวกด้านการออกกำลังกาย จัดสถานที่ มีลานกิจกรรมที่ได้มาตรฐานทันสมัย มีเลนจักรยานเพิ่มความปลอดภัย หรือใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน ดิฉันว่าถ้าวันหนึ่งคนไทยกลายเป็นคนที่แข็งแรง มีสุขภาพจิตที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี วันนั้นน่าจะเป็นวันที่ท่านได้ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและนานาประเทศคงได้ชื่นชมในสิ่งที่ท่านทำด้วยแน่ๆ สุดท้ายนี้ดิฉันขอเอาใจช่วยให้ท่านนายกฯ ทำงาน ทำงานเพื่อประเทศชาติด้วยความตั้งใจจริงและคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ คนส่วนใหญ่เลือกท่านแล้วก็หวังจะเห็นประเทศชาติของเราเดินไปข้างหน้า และนำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง งานหนักคงรอท่านอยู่ข้างหน้า ขอขอบคุณในความเสียสละที่ท่านจะทำเพื่อประเทศชาติ ตราบนี้ต่อไป ขอให้มีกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็ง นายกฯ ที่ผ่านๆ มาทำงานหนักจนหน้าตาร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะผู้หญิงก็ขอให้ท่านอย่าได้ละเลยการดูแลตัวเองด้วยนะคะ อ้อ! น้องๆ ฝากบอกมาเยอะมากว่า อย่าลืม Ipad ของพวกเขาด้วยค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง กาละแมร์ค่ะ ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 8 ก.ค.2554 ------------------------------ Re จดหมายกาละแมร์ถึงคุณยิ่งลักษณ์ เดี๋ยวขอตอบทวิตเตอร์ของอี...นี่ก็แล้วกัน อีกาละแมร์ที่มากระแหนะกระแหนคุณยิ่งลักษณ์เนี่ย ทั้งที่คุณยิ่งลักษณ์ ตอนนี้ว่าที่นายกฯ นะคะ ยังไม่เต็มตัว อี...เนี่ย ไอ้คนในสังคมที่ทำรายการโคตร...อะไรก็ช่าง มึงฟังนะอีกาละแมร์ เดี๋ยวกูจะตอบให้มึงเองนะ มึงเขียนของมึงมา เขียนหาคุณยิ่งลักษณ์นะ มันมีข้อนึงที่บอกว่า เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องท้าทายสังคมไทยมาก แต่ถ้าทำได้มันจะเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว ท่านมีนโยบายอย่างไรกับผู้ชายที่มีเมียน้อย ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลภายใต้การนำโดยนายกฯ ผู้ชายทำอะไรเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลย อี...ดิฉันอ่านมาหลายอย่างเนี่ยนะ อ่านมาทั้งจดหมายของอี...เนี่ยนะคะ ดิฉันพูดได้เลยค่ะว่าอี...นี่มันกวน...ค่ะ กวน...ที่จะดิสเครดิตคุณยิ่งลักษณ์ กระแหนะกระแหนคุณยิ่งลักษณ์ค่ะ อีกาละแมร์อี.................มึงทำไมไม่ให้คุณยิ่งลักษณ์เขาเป็นนายกฯ ก่อน อี... แล้วเขาจะจัดหน่วยเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ตอนนี้มึงใช้สื่อใช้อะไร ส้น... มึงใช้คนของมึงเนี่ยเที่ยวดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย เที่ยวดิสเครดิตคุณยิ่งลักษณ์เนี่ย ด้วยคำถามโง่ๆ ใช้สื่อโง่ๆ เดี๋ยวกูจะตอบให้มึงอย่างหมาๆ นี่แหละอี...แหม มาถามได้เรื่องผัวมีเมียน้อย อี.......... มึงเน่านัก สมองมึงเน่านัก มึงไปกราบ …............ แล้วมุด...หมา …......... ไปตายซะ อีกาละแมร์ …..............เดี๋ยวกูจะตอบมึงแบบ..... อย่างนี้อี...ตอนนี้ใช้สื่อ... ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยเนี่ย ดูแล้วเป็นพรรคที่ไม่น่าเชื่อถือ ดูแล้วไอ้นายกฯ ไม่น่าจะมาบริหารงานได้ อี... อีกาละแมร์ อี... อีส้น...เนี่ย อีชาติ... มึงก็เป็นผู้หญิง มึงไม่หุบปากมึงซะก่อน ให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ซะก่อน เดี๋ยวเขาจะจัดสรรเจ้าหน้าที่มาจัดการจัดปัญหาเป็นหน่วยงาน เป็นหน่วยงานไป แหม เรื่องผัวมีเมียน้อย อี... มึงไปถามอีชูวิทย์ อี... มึงไปถามไอ้ชูวิทย์นะ เดี๋ยวไอ้ชูวิทย์ตอบให้มึงได้นะ เจ้าพ่ออ่างนะอี... อีกาละแมร์ อีชาติ... ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=3OzZoL_e9qM Uploaded by PeopleNeverSmile on Jul 12, 2011 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 สิงหาคม 2554, 10:52:56 การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 8 สิงหาคม 2554 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 'ครม.อำมาตย์'วงแตก เมื่อ'ทักษิณ'หักหลังปรองดอง โดย : นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์ ' จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ.ต.ท.ทักษิณผิดเงื่อนไขกับกลุ่มว่าที่รัฐมนตรีคนนอกสายอำมาตย์ เริ่มจากผิดข้อตกลงเรื่องรมต.4 กระทรวงหลักและแนวทางปรองดอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเรื่องการจัดโผคณะรัฐมนตรี(ครม.)ครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2554 ในวันที่เธอได้รับเสียงโหวตจากส.ส.ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของประเทศไทย โดยระบุว่า จะพยายามอย่างเร็วที่สุด ไม่เกินภายในอาทิตย์นี้ จะชัดเจนขึ้น ทว่าสถานการณ์จริง นายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คงไม่รู้ว่าโผครม.ที่นายกฯดูไบ จัดทำอยู่นั้น จะเสร็จพร้อมเสิร์ฟให้เธอเมื่อไหร่ ในเมื่อวันนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากแผนเดิม ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชายของเธอวางไว้ เนื่องจากแคนดิเดทรัฐมนตรีคนนอก ในกระทรวงหลักสำคัญ ที่เคยตกลงกันไว้ล่วงหน้า ได้ทะยอยขอถอนตัวออกไปหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มที่โยงใยกับ "สายอำมาตย์" เริ่มตั้งแต่หัวขบวนรายแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทาบทามเอาไว้ก่อนการเลือกตั้ง คือ "วิชิต สุรพงษ์ชัย" ซีอีโอแบงค์ไทยพาณิชย์ ได้ถอนตัวจากแคนดิเดท รมว.คลัง ตามมาด้วย "อิสระ ว่องกุศลกิจ" ประธานกลุ่มมิตรผล ตัวแทนกลุ่มทุน"บ้านปู" ก็ถอนตัวจากแคนดิเดท รมว.พาณิชย์ ตามมาติดๆ โดยทั้งสองราย ถึงกับแจกเอกสารแถลงข่าว เพื่อแสดงความชัดเจนว่า ไม่ร่วมสังฆกรรมในครม.ชุดใหม่นี้อย่างไม่แคร์ นายกฯดูไบ จึงมีความพยายามจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการดึงคนใหม่เข้ามาเสียบแทน โดยเฉพาะปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการมอบซองรัฐมนตรีให้กับ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" หรือหม่อมอุ๋ย อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เสียบแทน"วิชิต" ในตำแหน่ง รมว.คลังควบรองนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ปรากฎว่า "หม่อมอุ๋ย" ก็ได้ขอบาย...ถอยออกไปอีกราย มิหนำซ้ำ เรื่องยังลุกลามไปถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ที่เคยวางตัว ชญานินทร์ เทพาคำ ลูกชายลูกชายของ พล.ท.อัศวิน และท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำ อดีตนางสนองพระโอษฐ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเคยเป็นอดีตเลขานุการ รมว.ทส.ขณะที่ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" นั่งอยู่ และยงยุทธนี่เอง เป็นผู้ทาบทามเข้ามา ในที่สุด ชญานินทร์ ก็ได้ถอนตัวออกไปเงียบๆ อีกราย ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ "รู้กัน" ระหว่างกลุ่มบุคคลที่ถอนตัวออกไป เนื่องจากไม่ไว้วางใจท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บิดพลิ้วข้อตกลง ทั้งเรื่องตัวบุคคล แนวทางบริหารของรัฐบาล โดยเฉพาะแนวทางปรองดอง เนื่องจากสิ่งที่เคยพูดคุยกัน ไว้เริ่มไม่ชัดเจน จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดเงื่อนไขกับกลุ่มว่าที่รัฐมนตรีคนนอกสายอำมาตย์ ซึ่งเคยมีข้อตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะขอมีส่วนเลือกทีมที่ทำงานร่วมกันได้ ใน 4 กระทรวงหลักสำคัญ ว่าจะมีชื่อใครเป็นรัฐมนตรีบ้าง ดังนี้ รมว.คลัง คือ วิชิต สุรพงษ์ชัย รมว.พาณิชย์ คือ อิสระ ว่องกุศลกิจ รมว.พลังงาน ได้วางตัวประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ซีอีโอ ปตท.จำกัด มหาชน เอาไว้ และ รมว.การต่างประเทศ ได้วางตัว ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทยและอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นลูกชาย ปรีชา พหิทธานุกร อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ เอาไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ภาพลักษณ์ของ ครม.ใหม่เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีภาพของความปรองดองในทุกระดับและทุกภาคส่วน แต่เอาเข้าจริง ปรากฏว่า โผ ครม.ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไม่เป็นไปตามหลักการและแนวทางที่เคยพูดคุยกันไว้ จึงทำให้ "วิชิต"และ"อิสระ" ถอนตัวออกไป โดยที่ 2 รายหลัง ทั้ง "ประเสริฐ" และ "ปานปรีย์" ก็ยังไม่ได้ถูกทาบทามให้เข้ามารับตำแหน่งตามที่วางเอาไว้ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำให้โผครม.ที่คาดว่ามี "ดรีมทีม" ก็มีอันต้องล่มไป ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องพยายามเร่งหาคนนอกรายใหม่เข้ามาเสียบแทน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อคนนอกสืบเสาะข้อมูลรอบด้านมาได้ และพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงวางเครือข่ายคนใกล้ชิด เข้ามาอยู่ในครม.อย่างน่าสงสัยว่าจะมีวาระส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม จึงทำให้แทบไม่ใครยอมเสี่ยงเข้ามา ผลสุดท้ายเจ้าของพรรคเพื่อไทย ก็คงต้องใช้บริการคนในพรรค ซึ่งก็กำลังกลายเป็นเรื่อง "ป่วน" แย่งตำแหน่งกันอยู่ภายในพรรค ที่กำลังวิ่งขอตำแหน่งที่ว่างลง และยังไม่ลงตัว โดยต้องรื้อโผกันใหม่ ได้แก่ รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.การต่างประเทศ รมว.คมนาคม รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นต้น จนส่งผลให้กระทบกับตำแหน่งในกระทรวงอื่นๆ เป็นลูกโซ่ เมื่อมีการขยับตัวบุคคลเพื่อสลับตำแหน่งกัน แต่การปรับขยับโผครม.รอบนี้ ว่ากันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่แจ้งให้ใครได้รับรู้ เพื่อป้องกันปัญหาทำนองเดียวกันนี้ขึ้นอีก จนกว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ (8ส.ค.2554) คำสัญญาของ นายกฯหญิง ที่บอกว่า "ดิฉันจะตั้งใจอย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนให้เวลาดิฉันในการพิสูจน์และทำงาน สิ่งสำคัญเราคนเดียวคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้ มันต้องมีทีมงานและทีมเวิร์คที่ร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดันเรื่องที่จะเกิดประโยชน์กับประชาชน เชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาสและเวลางานทุกอย่างแม้มีอุปสรรค ตราบใดที่มีความตั้งใจและพยายามเต็มที่ ดิฉันตั้งใจว่า ทุกอย่างจะรายงานให้ประชาชนทราบ" นั้น ... เชื่อว่า คงเป็นไปได้ยาก ตราบใดที่นายกฯของเรา ยังไม่มีอำนาจเหนือ นายกฯดูไบ อย่างแท้จริง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 สิงหาคม 2554, 21:46:54 'สุกำพล'รมว.ป้ายแดง!สำหรับทักษิณ'เขาไม่ธรรมดา'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม"สำหรับทักษิณ แล้ว"เขาไม่ธรรมดา"เพราะลึกกว่าเพื่อนเตรียม 10 รับมอบภารกิจ ล้าง'เครือข่ายฐานทุนเนวิน' พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต หรือ "บิ๊กโอ๋" รมว.คมนาคม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ดูจะมีชื่อเสียงในทางการเมืองน้อย แต่สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว สนิดกันมากกว่าจะเป็นแค่เพื่อนเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10) ซึ่งเมื่อย้อนดูสายสัมพันธ์และพันธกิจนับจากนี้แล้ว ต้องถือว่ากับอดีตนายกฯนั้น"ไม่ธรรมดา"จึงไม่แปลกที่แซงหน้าตัวเต็งนายทุนของพรรคที่หวังครองเก้าอี้รมว.คมนาคมกันทั้งนั้น ไม่ได้เป็นนายทุนพรรค ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นแค่นายทหาร...ดังนั้นอะไรคือคำตอบทำให้"เขา"ยึดเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม...มาดูกัน! "บิ๊กโอ๋" เกิดเมื่อวันที่ 17 ส.ค.2494 จบการศึกษาจากโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ รุ่น 4 โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจบโรงเรียนนายเรืออากาศ รุ่นที่ 17 ตลอดชีวิตรับราชการ พล.อ.อ.สุกำพล เพิ่มพูนความรู้ในหลักสูตรต่างๆ อีกหลายหลักสูตร อาทิ โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง รุ่นที่ 45 โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ รุ่นที่ 29 วิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่นที่ 29 และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 46 ตำแหน่งสำคัญ เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ, ผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศ ฝ่ายยุทธการ, รองเสนาธิการทหารอากาศ, เสนาธิการทหารอากาศ และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผู้ช่วย ผบ.ทอ.) โดยสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจ เคยวางตัว พล.อ.อ.สุกำพล ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้ ตท.10 ได้เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ (ตั้งแต่ ผบ.ทบ. - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, ผบ.ทร.- พล.อ.อ.กำธร พุ่มหิรัญ, ผบ.สส. - พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์) อย่างไรก็ดี เมื่อการเมืองพลิกผัน เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 กลุ่มนายทหาร ตท.10 ที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนใหญ่ถูกย้ายเข้ากรุ พ้นจากตำแหน่งคุมกำลัง รวมทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล ด้วย สำหรับประวัติของ "บิ๊กโอ๋" ที่มีชื่อพัวพันกับการเมือง เมื่อปรากฏเป็นข่าวช่วงปลายปี 2548 เมื่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล สมัยเป็นผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แฉหลักฐานว่า พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ จัดเครื่องบินซี 130 ให้บริการแขกเหรื่อไปร่วมงานวันเกิดของน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ คนนี้เรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นเดียวกับ พล.อ.อ.สุกำพล ต่อมาฝ่าย พล.อ.อ.สุกำพล ชี้แจงว่าเครื่องบิน ซี 130 ที่ถูกกล่าวหา เป็นเพียงเครื่องบินเมล์ที่ต้องบินตามรอบปกติ และเพื่อนๆ ขอโดยสารไปด้วยเท่านั้น ขณะที่บทวิเคราะห์หน้า 3ไทยรัฐ ฉบับ 10 ส.ค.2554 ระบุว่า"นอกจากความเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10ของอดีตนายกฯทักษิณ ยังมีอะไรที่พิเศษกว่านั้น มีคนเห็นพล.อ.อ.สุกำพล บินไปนั่งกินข้าวกับนายใหญ่ที่ เบอร์จ คาลิฟาร์ ตึกสูงทีสุดในโลก กลางเมืองดูไบและได้ยินอดีตนายกฯทักษิณ เปิดตัวเพื่อนรักกลางวง "คนนี้แหละพ่อตาโอ๊ค" ส่วนภารกิจสำคัญของพล.อ.อ.สุกำพล ที่กำลังถูกจับตามอง..เห็นจะเป็นถูกจัดวางไว้ให้เพื่อนรักจัดการ คือ สะสางการบริหารงานกระทรวงคมนาคม ที่พรรคภูมิใจไทยทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มคิงพาวเวอร์ ที่ใกล้ชิดกับนายเนวิน ชิดชอบ ส่วนจะเป็นการเข้ามา"แก้ไข..ไม่แก้แค้น"หรือไม่ ไม่นานก็รู้! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 สิงหาคม 2554, 21:52:25 ทบ.รุ่น10 ต้านตั้ง"ยุทธศักดิ์"ภาพลักษณ์ไม่เคลียร์
พลเอกอำนวย ถิระชุนหะ แกนนำกลุ่มเตรียมทหาร 10 ในพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวว่า พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมว่า เมื่อได้ทักท้วงและให้เหตุผลต่าง ๆ ไปแล้ว แต่ไม่มีผลเราก็คงไม่สามารถที่จะไปแก้ไขอะไรได้ แต่อยากจะบอกว่ากระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงสำคัญและเป็นหัวใจของกองทัพ บุคคลใดจะเข้าไปบริหารหรือดูแลจะต้องบริหารจัดการกองทัพให้เป็นของประชาชนส่วนใหญ่ให้ได้ ไม่ใช่เป็นของคนส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ทราบว่าผู้ที่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่บอกได้เลยว่าสอบตกในเรื่องของความปรองดองสมานฉันท์อย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะ พลเอกยุทธศักดิ์ ตกหลุมให้สัมภาษณ์ไปว่าคุ้นเคยกับบ้านสี่เสาเทเวศร์ สามารถจะเข้าออกได้ตลอดเวลามาแล้ว พลเอกอำนวย กล่าวอีกว่า พลเอกยุทธศักดิ์ยังเคยบริหารเรื่องภาคกีฬา แต่ล้มเหลวและย่ำแย่มากด้วย นอกจากนี้ ยังไม่เคยเป็น ผบ.เหล่าทัพมาก่อน ที่สำคัญคนรอบข้างยังมีภาพลักษณ์ทหารเป็นมาเฟีย อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวในอำนาจและอิทธิพลได้ หากผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยต้องการสงบศึกกับกลุ่มของอำมาตย์โดยใช้หลักคิดที่ว่า หากสร้างความพอใจให้กับอำมาตย์ได้แล้วจะสามารถสงบศึกได้นั้น ตรงนี้เปรียบเหมือนว่าเราซึ่งเป็นผู้ชนะในการรบนั้น แต่เมื่อรบเสร็จแล้วกลับนำอาวุธไปให้ศัตรูเพื่อหวังสงบศึก ส่วนการนำคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีนั้นก็เปรียบเหมือนกับการหยิบชิ้นปลามันไปกิน สำหรับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เตรียมทหารรุ่น 10 ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นั้น น่าจะเป็นการนำคนนอกเข้ามาเพื่อกวาดล้างกลุ่มผลประโยชน์ในเครือข่ายของแกนนำพรรคภูมิใจไทยบางคน แหล่งข่าวจากภาค กทม.พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของภาคกทม.ภายหลังจากทราบข่าวว่าพ.อ.อภิวันท์ไม่รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ต่อสายไปหาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีของพ.อ.อภิวันท์แทน แต่พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธโดยระบุว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีที่น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ได้รับไปนั้น ถือว่าเหมาะสมกับจำนวนส.ส.ของภาคกทม.ที่ได้มาเพียง 10 คนแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก พ.อ.อภิวันท์ไม่รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และพ.ต.ท.ทักษิณไม่มอบโควตาดังกล่าวให้กับคุณหญิงสุดารัตน์นั้น ทำให้นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ผลักดันนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแทน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นด้วย แกนนำพรรคเพื่อไทยจึงได้เรียกนางสาวกฤษณาให้มากรอกประวัติในช่วงเช้าของวันที่ 9 ส.ค.แบบเร่งด่วน เบื้องต้นคาดว่าน่าจะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ภายหลัง ส.ส.เริ่มทราบข่าวว่านางสาวกฤษณา จะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น ต่างแสดงความไม่เห็นด้วย มองว่าที่ผ่านมานางสาวกฤษณาไม่ได้เข้ามาช่วยงานพรรคเลย แต่กลับได้เป็นรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ได้แต่เพียงแสดงความเห็นผ่านแกนนำพรรคไปเท่านั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 สิงหาคม 2554, 22:59:32 จาก นสพ.ไทยรัฐ
คราวนี้ลองมาเอ็กเรย์รายชื่อคณะรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์1” ดูบ้าง หลายคนได้เห็นชื่อแล้ว ก็ส่ายหน้าผิดหวัง ซึ่งก็ต้องเห็นใจคนที่มีอำนาจแต่งตั้งคือนายกฯยิ่งลักษณ์ที่นอกจากจะต้องฟังคนจากนอกประเทศเป็นหลักแล้ว ก็ยังต้องจัดการกับความคาดหวังของผู้คนในพรรคเพื่อไทยที่มาจากหลายกลุ่มหลายก๊วน ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังต้องไปควานหาคนนอกพรรคที่มีภาพลักษณ์ดี มีความสามารถมาช่วยทำงานเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญๆ เช่น คลัง พาณิชย์และต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า มีคนนอกพรรคหลายคนที่ถูกทาบทามแล้ว ปฏิเสธเพราะไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำงานได้อย่างอิสระเพียงใด หรือแนวทางการทำงานจะไปกันได้กับนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ รายชื่อ ครม.ที่ออกมา จึงเป็นแบบ “ผิดฝาผิดตัว” เริ่มตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจ กลายเป็นคนที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หาใช่คนที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหรือควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง อย่างที่เคยปฏิบัติกันมาในรัฐบาลก่อนๆ รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีอยู่ 2 คน (คนหนึ่งมาตั้งแต่โผแรกๆ แต่อีกคนมาแบบส้มหล่น) ไม่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมารับหน้าที่ด้านใด เพราะคนหนึ่งเป็นจักษุแพทย์จากชัยภูมิ ส่วนอีกคนเป็นนักธุรกิจท้องถิ่นจากอุตรดิตถ์ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตำแหน่งนี้ มักจะถูกจับตาว่าใครจะมาดูแลงานด้านสื่อมวลชนของรัฐคือ กรมประชาสัมพันธ์และ อสมท. อีกทั้งงานงานด้านกฎหมายอื่นๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ฯลฯ ส่วนกระทรวงที่น่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คงหนีไม่พ้นกระทรวงการต่างประเทศ เพราะถือเป็นหน้าตาของประเทศ แต่หาคนนอกที่มีภาพลักษณ์ดีมาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ จึงกลับกลายเป็นมีรัฐมนตรีที่เจ้าตัวยอมรับเองว่าไม่ใช่งานที่ถนัด แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลปกป้องคนที่อยู่ต่างประเทศให้เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น จึงต้องใช้คนที่ไว้วางใจได้มากที่สุด ขณะที่คนที่หมายมั่นปั่นมือว่าจะต้องไปดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่าง ปลอดประสพ สุรัสวดี ก็มีอันต้องไปเป็นถูกส่งไปคุมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทนเพราะหัวหน้ารัฐบาลไม่แน่ใจว่าถ้าให้ไปดูกระทรวงที่ต้องการแล้ว จะตกเป็นเป้าโจมตีหรือไม่ ทีนี้ ก็มาถึงกระทรวงเล็กๆที่ถูกจับตาพอสมควรนั่นคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ซึ่งมีภาระหน้าที่ต้องกำกับดูแลกิจการของรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารและโทรคมนาคมที่สำคัญและกำลังมีปัญหามากเรื่องสัญญาสัมปทาน ได้แก่ ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม ก็ได้รัฐมนตรีมาตามโควต้า ส.ส.กทม. ไม่ได้มาเพราะความเชี่ยวชาญหรือด้วยความสนใจของเจ้าตัวเอง ทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้พูดถึงกระทรวงอื่นๆ เช่น กระทรวงคมนาคมที่ไปเอาอดีตนายทหารอากาศที่มีความสนิทสนมกับคนต่างแดน มาเป็นเจ้ากระทรวง และกระทรวงสาธารณสุขที่เอาคนที่ไม่มีประสบการณ์เลยไปดูแลกระทรวงที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพของประชาชน สุดท้ายแล้ว แม้ว่าหน้าตาของ ครม.ชุดใหม่นี้ จะไม่ได้เป็นที่ถูกใจของทุกคน แต่ก็ต้องให้เวลาและโอกาสกับ “ครม.ยิ่งลักษณ์1” ทำงานไปซักระยะหนึ่งก่อน เพราะอย่างน้อยที่สุด เราก็มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลย์ตามระบอบประชาธิปไตยที่จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ตามอำเภอใจ เว้นแต่ว่า รัฐบาลชุดนี้ จะไม่นำบทเรียนที่เคยได้รับในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์วัสดิ์ มาปรับใช้ในการทำงานบริหารประเทศ “เพื่อคนไทยทุกคน” อย่างที่นายกฯยิ่งลักษณ์ประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้ในวันที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง... ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี http://www.twitter.com/chavarong www.twitter.com/chavarong chavarong@thairath.co.th หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 สิงหาคม 2554, 14:08:23 บิ๊ก ส.อ.ท." อัด "ธีระชัย" มั่วนิ่มค่าแรง 300 เหน็บไม่ใช่ตลาดทุนที่กำไรเยอะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ "บิ๊ก ส.อ.ท." เซ็งเป็ด "ธีระชัย" ไม่เข้าใจภาคการผลิต หลังบอกขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มแค่รอบเดียว ผู้ประกอบการยอมรับภาระค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่ลดลงได้ โดยไม่ต้องขึ้นราคาสินค้า ลั่นไม่ใช่ตลาดทุนที่มีกำไรเยอะ หรือรายใหญ่ที่สามารถกำหนดราคาเองได้ พร้อมยืนยัน ทำต้นทุนเพิ่ม 12-16% ต้องขึ้นราคาสินค้าในอัตราเดียวกัน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกรทรวงการคลัง ระบุว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นเพียงรอบเดียว และผู้ประกอบการส่วนหนึ่งจะสามารถรับภาระค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่ลดลงได้ โดยไม่ต้องขึ้นราคาสินค้านั้น ทาง ส.อ.ท.และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ทำการสำรวจจากผู้ประกอบการแล้วพบว่า การขึ้นค่าแรงดังกล่าวทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 12-16% และส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวไปที่ราคาสินค้าแน่นอน เนื่องจากธุรกิจในกลุ่มขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) 70-80% ที่ไม่ได้มีกำไรมากพอในการแบกรับภาระเพิ่ม "รมว.คลังมองฐานะพรรคเพื่อไทยต้องการสานนโยบายจุดนี้ เข้าใจได้ว่าเป็นคนที่มองตลาดทุนกับหุ้นตัวกำไรของธุรกิจจะเยอะมาก แต่ภาคธุรกิจที่แท้จริง (เรียลเซคเตอร์) ต้องมองหลายมิติ เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบ กลางน้ำ ปลายน้ำ เมื่อค่าแรงขึ้นจะกระทบเป็นทอดๆ นอกจากนี้เอสเอ็มอีไทยส่วยใหญ่เป็นผู้รับจ้างผลิตต้องแข่งขันกับเพื่อนบ้าน ไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้เองเช่นรายใหญ่" นอกจากธุรกิจไทยส่วนใหญ่เป็นผู้รับจ้างผลิตจะต้องแข่งขันกับตลาดเพื่อนบ้านจึงไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้เองเช่นรายใหญ่ที่มีนวตกรรมขั้นสูงทำให้ราคาสินค้าแพงมีกำไรมากพอที่จะลดผลกำไรลง ขณะเดียวกันการจำหน่ายในประเทศก็จะต้องแข่งขันกับสินค้าจีนมากขึ้นหากต้นทุนสูงแล้วผลักภาระไปที่ราคาสินค้าไม่ได้ก็เท่ากับต้องปิดกิจการในที่สุด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 สิงหาคม 2554, 10:35:11 ยิ่งเร่งช่วย "ทักษิณ" เหมือนวางระเบิดเวลาตัวเอง
โดย : นักข่าวหมายเลข 10 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เข้ามาทำงานไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ รัฐมนตรีหลายคนก็ยังไม่ได้เข้ากระทรวง แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จะมีเรื่องที่ทำให้คนตั้งข้อสงสัยกันเสียแล้ว โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า รัฐบาลนี้มีจุดมุ่งหมายแฝงอยู่ที่การช่วยเหลือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การพูดคุยระหว่าง "รัฐมนตรีล่อเป้า"อย่าง "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" กับ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเพื่อเปิดทางให้ "ทักษิณ" สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ หรือจะเป็นเรื่องการคืน พาสปอร์ตแดง หรือ หนังสือเดินทางทางการทูต ที่ถูกเพิกถอนไปตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้แว่วจากวงในว่า "รัฐบาล" ไม่ได้สั่ง แต่เป็นการเตรียมการของข้าราชการในกระทรวงเองที่ "รู้ทางลม" เตรียมการไว้รองรับก่อน หรือที่เรียกกันว่า "จัดการงานนอกสั่ง" นั่นเอง จริงอยู่ที่รัฐบาลนี้ มีความแนบแน่น กับ "ทักษิณ" แม้แต่ "ยิ่งลักษณ์" เองก็ถูกเรียกว่าเป็น "โคลนนิง" แต่กระนั้น รัฐบาลเองก็ต้องไม่ลืมว่า เขาเป็นรัฐบาลของประเทศไทยเช่นกัน และยิ่งกว่านั้นต้องไม่ลืมว่า "ทักษิณ" เป็นนักโทษหนีคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีก่อการร้าย ที่ยังไม่สิ้นสุดหรือ "คดีที่ดินรัชดา" ที่สิ้นสุดตามกฎหมายไปแล้ว ศาลมีคำพิพากษาให้ถูกจำคุกสองปี และ "ทักษิณ" เองก็เลือกที่จะหนีคำพิพากษาออกไปอยู่ต่างประเทศ ในฐานะที่เป็น "รัฐ" ย่อมมีหน้าที่ต้องตามจับคนหนีคำพิพากษามาดำเนินการในประเทศไทย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เช่นเดียวกับผู้ร้ายหนีคดีในรายอื่นๆ แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำในกรณีการเดินทางเข้าญี่ปุ่น คือ การไปรับรองว่าจะไม่กีดกันการเข้าประเทศอื่นของ "ทักษิณ" อาจจะจริงตามที่ "สุรพงษ์" อ้างว่าเป็นการมาถามของ ทูตญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ "รมว.การต่างประเทศ" ต้องตอบคือ "เราต้องการคนที่หลบหนีกระบวนการยุติธรรมมาดำเนินการตามกฎหมายไทย" ไม่ใช่ไปบอกเขาว่า "เราไม่ห้าม" เพราะการระบุเช่นนี้ เหมือนกับ "รัฐ" เป็นผู้ปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของตนเอง ซึ่งไม่มีรัฐใดในโลกที่จะกระทำเช่นนี้ เพราะกระบวนการยุติธรรมเป็นการทำให้สังคมอยู่อย่างสงบ และอยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบ หากรัฐยืนยันอย่างนี้ ต่อไปใครจะเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของเรา เพราะเราเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเราไม่เชื่อในกระบวนการของตัวเอง ที่รัฐบาลควรกระทำหากเห็นว่าที่ผ่านมานั้น "ทักษิณ" ไม่ได้รับความยุติธรรมในคดีใดๆ ก็ตามคือ การพยายามพาเขากลับมาเพื่อให้พิสูจน์ทราบตามกระบวนการทางกฎหมาย ในวันที่ "พรรคเพื่อไทย" อยู่ในอำนาจอย่างสมบูรณ์ และไม่มีใครที่จะเข้ามแทรกแซงหรือบิดเบือนรูปคดีได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากพรรคเพื่อไทย จำต้องทำหน้าที่แฝง พา "ทักษิณ" กลับบ้านจริง ก็น่าที่จะเดินหน้าทำงาน ตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนเมื่อครั้งหาเสียงให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเสียก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่ยากที่จะถูกมองว่า "เข้ามาก็ไม่ทำอะไรนอกจากช่วยพี่ตัวเอง" หากเป็นเช่นนั้น กระแสและความรู้สึกของสังคมเองก็จะเป็นตัวพิพากษาเองว่า รัฐบาลนี้ควรจะอยู่หรือไป งานนี้จึงเป็นสิ่งที่ทั้งรัฐบาล และ "ยิ่งลักษณ์" จำต้องคิดให้หนักว่าการยิ่งเร่ง หรือแสดงความช่วยเหลือโดยลืมคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม แทนที่จะเป็นการช่วย ยิ่งกลับจะกลายเป็นการทำลายเสียมากกว่า จนจะกลายเป็นเหมือนกับการวางระเบิดเวลาตัวเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 สิงหาคม 2554, 08:57:08 รายงานพิเศษ : ย้อนรอยคดี “พจมาน-บรรณพจน์” เลี่ยงภาษีโอนหุ้น!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 สิงหาคม อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน กรณี “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” (ปัจจุบันนามสกุล ณ ป้อมเพชร) โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น ให้ “นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์” พี่ชายบุญธรรม โดยใช้กลอุบายหลอกลวงและแจ้งเท็จเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี จนถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกทั้งพี่และน้องคนละ 3 ปีโดยไม่รอลงอาญาเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่เท่านั้นนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมานซึ่งร่วมอยู่ในวังวนกลอุบายดังกล่าวด้วย ก็ถูกศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญาเช่นกันแต่น้อยกว่า คือ 2 ปี ...พรุ่งนี้แล้ว(24 ส.ค.) ที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีนี้ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ลองมาย้อนดูพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยในคดีนี้กัน คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 คุณหญิงพจมาน ได้โอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ ที่ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ตระกูลชินวัตร ถือแทนคุณหญิงพจมาน ให้นายบรรณพจน์ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น โดยทำทีว่า นายบรรณพจน์ซื้อหุ้นดังกล่าวจาก น.ส.ดวงตา ในราคาหุ้นละ164 บาท มูลค่า 738 ล้านบาท และแสร้งว่าเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี เพียงเสียค่าธรรมเนียมแก่นายหน้า(โบรกเกอร์)เท่านั้น โดยคุณหญิงพจมานเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปเป็นเงินแค่ 7.38 ล้านบาท(ซึ่งหากนายบรรณพจน์ยอมเสียภาษีจากการได้รับหุ้นดังกล่าว จะต้องเสียเป็นจำนวนถึง 273 ล้านบาท) โดยเรื่องแดงขึ้นมาเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะผู้ที่จ่ายเงินค่าหุ้น แทนที่จะเป็นนายบรรณพจน์ กลับเป็นคุณหญิงพจมาน ที่ทำทีสั่งจ่ายเช็คกว่า 700 ล้านให้ น.ส.ดวงตา แต่สุดท้าย ก็โอนเงินดังกล่าวกลับมาเข้าบัญชีตัวเอง(คุณหญิงพจมาน)ตามเดิม เมื่ออุบายที่ต้องการเลี่ยงภาษีดังกล่าวถูกจับได้ นายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน ก็เปลี่ยนอุบายใหม่ เพื่อให้ไม่ต้องเสียภาษีจากการโอนหุ้นดังกล่าวอีก โดยอ้างว่า การโอนหุ้นนั้นเป็นการให้ในลักษณะอุปการะ ให้โดยเสน่หาตามขนบธรรมเนียมประเพณีในโอกาสที่นายบรรณพจน์แต่งงานและมีบุตร แต่ดูเหมือนคำอ้างจะไม่แนบเนียน เพราะช่วงเวลาไม่สอดคล้องกับคำอ้าง กล่าวคือ นายบรรณพจน์แต่งงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2539 และมีบุตรเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2539 แต่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากนายบรรณพจน์แต่งงานแล้วถึง 2 ปี และหลังจากนายบรรณพจน์มีบุตรแล้วถึง 1 ปี! เมื่อคำอ้างถูกรู้ทัน ทั้งนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมานก็อ้างใหม่ว่า การโอนหุ้นดังกล่าวมีขึ้นในโอกาสที่นายบรรณพจน์มีบุตรอายุครบ 1 ปี โดยนายบรรณพจน์ เล่าเป็นฉากๆ ว่า ตนเป็นพี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน และช่วยเหลือกิจการของคุณหญิงพจมานจนมีความเจริญก้าวหน้า กระทั่งปี 2538 คุณหญิงพจมาน สนับสนุนให้ตนมีครอบครัว และดำริจะมอบของขวัญให้แก่บุตรของตนซึ่งมีอายุครบ 1 ปีในปลายปี 2540 ด้วยการมอบหุ้นให้ 4.5 ล้านหุ้น ตนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หาตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย ขณะที่คุณหญิงพจมาน ก็บอกว่า นายบรรณพจน์เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตน ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวตนจนมีความมั่นคงและมีทรัพย์สินจำนวนมาก เมื่อตนเห็นว่านายบรรณพจน์ควรมีครอบครัว จึงสนับสนุนให้แต่งงานกับ น.ส.บุษบา วันสุนิล เมื่อต้นปี 2539 และให้ปลูกสร้างเรือนหอในที่ดินของครอบครัวตน(ดามาพงศ์) นอกจากนี้ยังตั้งใจจะมอบหุ้นให้ในวันแต่งงาน เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงพจมานอ้างว่า ตอนนั้นให้หุ้นไม่ทัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานการเมือง จึงต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จก่อน กระทั่งบุตรชายนายบรรณพจน์ ซึ่งเกิดวันที่ 4 ธ.ค.2539 จะมีอายุครบ 1 ปี และการจัดการด้านบริหารงานของตนเสร็จสิ้นพอดี จึงยกหุ้นให้นายบรรณพจน์ 4.5 ล้านหุ้นในวันที่ 7 พ.ย.2540 เพื่อเป็นของขวัญ แต่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) และอัยการไม่หลงคารมของบุคคลทั้งสอง โดยเห็นว่า การกระทำของคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเพียง “ข้ออ้าง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หา เนื่องในโอกาสตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี การกระทำของนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน จึงเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และมีลักษณะใช้อุบายหรือฉ้อโกง ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(1) และ (2) ประกอบมาตรา 83 และ 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากรและเบี้ยปรับกว่า 546 ล้านบาท(2 เท่าของยอดเงินที่ต้องเสียภาษี คือ 273 ล้าน) ด้านนายอรรถพล ใหญ่สว่าง เมื่อครั้งยังเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า ความผิดข้อหาดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน-7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท และว่า หากศาลพิพากษาว่าผิดจริงและลงโทษเต็มอัตรา คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์จะต้องได้รับโทษ 2 เท่า คือจำคุกสูงสุด 14 ปี และปรับสูงสุด 4 แสนบาท อย่างไรก็ตาม แม้ศาลอาญาจะไม่ได้พิพากษาลงโทษคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์แบบเต็มอัตรา โดยพิพากษาจำคุกคนละ 3 ปี แต่ต้องถือว่าเป็นโทษที่หนัก เพราะไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสาม(คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์-นางกาญจนาภา) เป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง ดังคำพิพากษาตอนหนึ่งว่า “จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2(คุณหญิงพจมาน) เป็นภริยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1(บรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง” จะไม่ร้ายแรงได้อย่างไร ในเมื่อการกระทำของบุคคลทั้งสาม เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้จากเงินภาษีอากรตั้งหลายร้อยล้านบาท น่าลุ้นอย่างยิ่งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันพรุ่งนี้(24 ส.ค.) จะออกมาอย่างไร? บทสรุปของคำพิพากษาจะทำให้ผู้ที่ชอบเลี่ยงภาษีได้ใจ “ให้ถ้อยคำเท็จ” ก็ให้ถ้อยคำใหม่ได้เรื่อยไป เหมือนกับ “ติ๊กผิด” ก็ติ๊กใหม่ได้ดังกรณีวุ่นๆ เรื่องหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน และลูกๆ หรือควรจะจบแบบ “ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” อีกต่อไป เพราะใครก็ตาม ลำพังเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติด้วยการหลบเลี่ยงการเสียภาษี ก็สะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่รักชาติมากพออยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดกล้าออกอุบาย-หลอกลวง-ตบตาใครต่อใครด้วยสารพัดวิธี เพื่อให้ตนหรือเครือญาติไม่ต้องเสียภาษีด้วยแล้ว เรายังสมควรจะเพิกเฉยต่อการกระทำของบุคคลแบบนี้ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 สิงหาคม 2554, 10:00:55 ประเทศไทยไม่ต้องหันหน้าปรองดอง ..... ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น
"ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ทวิตโต้ "ทักษิณ" ... ประเทศไทยไม่ต้องหันหน้าปรองดอง ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น "ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ทวิตโต้"ทักษิณ"พูดดี แต่กลับมาชี้แจงในไทยดีกว่า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัญ และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส่งข้อความผ่านระบบทวิตเตอร์ หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งข้อความผ่านระบบทวิตเตอร์เช่นกัน ระบุว่า "ประเทศไทยไม่ต้องหันหน้าปรองดองกับคุณทักษิณหรอก ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้นก็พอ คุณทักษิณ และผู้สนับสนุน ถูกศาลตัดสินว่า ผิดก็ต้องกลับมารับโทษ คุณทักษิณ พวกเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อดำ หรือใครก็ตาม ไม่สามารถจะขอปรองดองกับศาลยุติธรรมได้ มีแต่ขอสู้คดี และยอมรับผลการตัดสินคดี ตามกฎหมาย คุณทักษิณไม่ต้องขอหันหน้ามาคุยกับใคร เดินทางกลับมารับโทษและทำกิจกรรมทางการเมืองตามอุดมการณ์ของคุณ หากทำได้ก็จะเป็นคนที่สมบูรณ์รู้จักรับผิด พวกเสื้อแดงและพรรคไทยรักไทยที่ไม่ได้กระทำผิดควรเริ่มสร้างฐานการเมืองและทำกิจกรรมพรรคเชิง สร้างสรรค์ หาความรู้ ฝึกอบรมอุดมการณ์ประชาธิปไตยใหม่ บรรดาส.ส.พรรคไทยรักไทย/เพื่อไทย ควรหาความรู้เรื่องประชาธิปไตยและฝึกฝนตัวเองให้ทันสมัยและมีวัฒนธรรมในการเป็นนักการเมือง พูดจาอภิปรายให้งดงาม คุณทักษิณมีฐานมวลชนมากมายแต่ไม่สร้างมวลชนให้มีคุณภาพในเชิงความรู้ความคิด เอาแต่สั่งสมอารมณ์รุนแรงไร้หลักประชาธิปไตยแล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร "คุณทักษิณจะกล่าวว่าข้อมูลใครผิดใครถูก ใครมอมเมาข้อมูลใครอย่างไรก็พูดไป คนที่รู้ข้อมูลคุณทักษิณดีก็มีมาก คุณทักษิณเขียนหนังสือสักเล่มซิครับ Twitter วันละไม่กี่ประโยคไม่สามารถให้ความจริง-จริงๆ แบบมีหลักฐานอ้างอิงได้ อยากเห็นความกล้าหาญของคุณทักษิณในการนำเสนอความจริงแบบอ้างอิงได้ " "เราคนไทยด้วยกันอยากเห็นประเทศเจริญประชาชนมีสุขสถาบันฯรุ่งเรือง.. .เราเสียหายมาเยอะแล้วคนเลวกำลังได้ดี"คุณทักษิณพูดแล้วหวังว่าจะฟังตัวเองด้วย "ถ้าบ้านเมืองไหน...คนเลวได้ดีจนข้าราชการต้องยำเกรงเพราะมีอำนาจจัดการสั่งการได้ย่อมอันตราย. .ขอให้ทุกฝ่ายมีสติหยุดคิด.."นี่ก็คำพูดของคุณทักษิณ คุณทักษิณช่างพูดดีเสียเหลือเกิน กลับมาโต้เถียงกันที่เมืองไทยดีกว่าครับ มีหลายอย่างที่อยากถามและโต้แย้ง ถามใน Twitter ก็ไม่เห็นเคยตอบ สมัยผมเป็นสมาชิกวุฒิสสภา พ.ศ.2543-2549 เราอยากเห็นคุณทักษิณมาตอบกระทู้ในสภาเป็นกิจวัตร คุณก็ไม่มา มีแต่สร้างกลุ่มพวก สว.สนับสนุนคุณในวุฒิสภา ประชาธิปไตยไม่มีอะไรซับซ้อน เคารพสิทธิและเสียงของประชาชนทั่วหน้ากันทุกกลุ่ม ให้เสียงข้างมากบริหารประเทศ หากทุจริตก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอย่าหนี อยากอ่านหนังสือที่คุณทักษิณเขียนเองสักครั้งเหมือน "ตาดูดาว เท้าติดดิน" อ่านแล้วพบว่า คุณทักษิณให้ทั้งความจริงและความไม่จริงผสมกันคนทั่วไปไม่ทราบ" "ไม่ต้องปรองดอง สู้กันให้แพ้ชนะตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนตัดสิน-คนทุจริตผิดกฎหมาย ศาลยุติธรรมตัดสิน ไม่เห็นลำบากอะไร ติดคุกสองปีก็ไม่นาน ผมเคยแนะนำผู้ใหญ่ใกล้ชิดคุณทักษิณบางท่านว่า 1.ให้คุณทักษิณกลับมารับโทษและสู้คดี 2.สร้างพลังมวลชนด้วยภูมิปัญญาวิชาความรู้และอุดมการณ์ประชาธิปไตย คำแนะนำนี้คุยกันไม่เป็นทางการและไม่ถึงคุณทักษิณแน่นอน เสียดายโอกาสที่คุณทักษิณจะฟื้นฟูวิธีคิดของตัวเองใหม่ หากยังไม่เปลี่ยนวิธีคิดก็น่าเสียใจ กลับเมืองไทยเถิดคุณทักษิณ กลับมาเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ ให้คนไทยได้เห็นความเป็นคนกล้าหาญพร้อมที่จะรับผลจากการกระทำของตัวเองทั้งบวกและลบ" "คุณทักษิณครับ เขียนหนังสือให้คนไทยอ่านสักเล่ม กลับมาตอบคำถามของคนไทยทุกเรื่องทุกแบบทุกเวที ประชาธิปไตยนั้น ต่อสู้ด้วยภูมิปัญญาและความจริง คนดี คนสุจริต คนซื่อสัตย์ สังคมสนับสนุนแน่นอน มาตรฐานวัฒนธรรมสังคมไทยสูงได้มาตรฐานโลกแน่นอน มาตรฐานความยุติธรรมก็มาตรฐานเดียวเป็นสากลเช่นกัน" "คุณทักษิณอย่ากลัวมาตรฐานไทยเลย ประชาชนกว่า 60 ล้านคน ก็อยู่อย่างเป็นสุขพอเหมาะพอควรตามมาตรฐานเดียวของราชอาณาจักรไทยของเรานี้" สมเกียรติ อ่อนวิมล Twitter จาก http://twitter.com/somkiatonwimon หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 สิงหาคม 2554, 13:27:40 ท่านประธานเอียงชนวนวิกฤตสภา
26 สิงหาคม 2554 posttodayonline โดย...ทีมข่าวการเมือง ไม่มีใครคาดคิดว่าเสียงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีมากถึง 300 เสียง จะทำให้องค์ประชุมรัฐสภาล่มกลางดึกเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค.ได้ และการล่มอย่างไม่เป็นท่านำมาซึ่งความเสียหน้าอย่างมหาศาลของพรรคเพื่อไทย และความสง่างามของนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการแถลงนโยบาย ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เปรียบเสมือนประตูสู่อำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี หากประเมินความผิดพลาดที่ผ่านมา ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ มี 2 ส่วน คือ 1.คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และ 2.สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา องค์ประชุมรัฐสภาล่มครั้งนี้ สาเหตุหนึ่งมาจากการสั่งสอนของ สว. ที่ไม่ยอมกดบัตรแสดงตนถึงสองครั้งทำให้องค์ประชุมมีเพียง 308 คน และ 313 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 325 คน จากทั้งหมด 548 คน ซึ่งความไม่พอใจของ สว.มาจากความพยายามของรัฐบาลในการตัดเวลาการอภิปรายของ สว. จากเดิมมีอยู่ 4 นาที ให้ลดน้อยลงไปกว่าเดิมอีก นอกจากนี้ เมื่อรัฐบาลต้องพยายามให้จบภายในเวลาเที่ยงคืน จึงต้องเสนอปิดอภิปรายเพราะเกรงว่าถ้าปล่อยนานไปจนเลยเวลาดังกล่าวอาจนำไปสู่การตีความว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากต้องแถลงภายใน 15 วัน ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค. สุดท้าย สว.แสดงถึงความไม่พอใจด้วยวิธีการดังกล่าว ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้ารัฐบาลฉาดใหญ่ ขณะที่ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” หนีไม่พ้นที่ต้องรับไปเต็มๆ แบบไม่แบ่งใคร เพราะทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง เอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด “ประธานสมศักดิ์” เลือกแนวทางในการคุมฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการใช้ข้อบังคับการประชุมสภาให้ตึงที่สุดและทุกตัวอักษร แต่ผลออกมาแทนที่จะทำให้ฝ่ายค้านหงอ ตรงกันข้ามกลับทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดมากขึ้น จนดำเนินการประชุมไม่ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การพยายามตัดบทไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แทบทุกครั้งเวลาไม่ว่าการอ้างถึงนโยบาย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ซึ่งฝ่ายค้านต้องการชี้ว่า เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนายกฯ น้องสาว แต่ประธานรัฐสภาใช้วิธีการปิดไมค์ไม่ให้พูด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลงบันทึกเป็นรายงานการประชุมในรูปแบบลายลักษณ์อักษรได้ ที่สะท้อนได้ชัดเจนที่สุด คือ ระหว่างการอภิปรายของ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ที่พาดพิงกรณีพรรคเพื่อไทยแจกนิตยสาร เรด เพาเวอร์ ในการประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงระบุว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนได้จัดงานวันเกิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในชื่อ “ทักษิณมหาราษฎร์” เหตุการณ์นี้ สมศักดิ์ พยายามตัดบท แต่ปล่อยให้ทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิใสยเกื้อ สส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำเสื้อแดง ชี้แจงเลยเถิดจนมีคำพูดว่า ในการชุมนุมปีที่แล้ว “มีใบอนุญาตสั่งฆ่าประชาชน” สร้างความวุ่นวาย เกิดการประท้วงตอบโต้กันสองฝ่าย จนประธานสภาต้องสั่งพักการประชุม และตรวจบันทึกคำพูด ก่อนที่จะให้ ณัฐวุฒิ ถอนคำพูด แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ฝ่ายค้านฟิวส์ขาดกับประธานสมศักดิ์จริงๆ เป็นกรณีที่แสดงพฤติกรรมเสมือนหนึ่งไม่ให้เกียรติอดีตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น “ชวน หลีกภัย” และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยเป็นกรณีที่พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายพาดพิงการทำงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความผิดพลาดโดยเฉพาะการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา หากอดีตนายกฯ หรือผู้นำฝ่ายค้านขอใช้สิทธิชี้แจงที่ถูกพาดพิง ประธานสภาก็จะอนุญาตให้พูดตามสมควร แต่ สมศักดิ์ กลับใช้ไม้แข็ง ไม่ยอมให้พูด โดยอ้างว่า “ถ้าอภิปรายกันไปก็จะตอบโต้กันไม่จบ การประชุมจะเดินหน้าต่อไม่ได้” แม้ว่าสุดท้ายประธานสมศักดิ์จะยอมให้อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์อภิปราย แต่ก็ได้แค่ 2 นาทีเท่านั้น ซึ่งขัดหลักธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นถึงอดีตผู้นำประเทศ ที่มักได้รับเกียรติในการชี้แจงเต็มที่ เช่นเดียวกับกรณีของ ชวน ที่อภิปรายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างอิงถึงการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศยอมรับความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อสมัยเป็นนายกฯ ทำให้ สส.เพื่อไทยประท้วง ชวน ซึ่ง สมศักดิ์ ระบุว่า “ขอความร่วมมือไม่ให้พูดเรื่องอดีต ถ้าเรายังพูดเรื่องอดีตแบบนี้จะทำให้ไม่จบและสร้างความปรองดองไม่ได้” นอกจากนี้ ยังเกิดกรณีการขีดเส้นเวลาในการอภิปรายที่ตึงเกินไป ทั้งๆ ที่สามารถอะลุ่มอล่วยได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการประชุม ซึ่งก็อ้างทุกครั้ง “เป็นข้อตกลงของวิป 3 ฝ่าย” ลีลาคุมการประชุมของขุนค้อนเที่ยวนี้ กลับกลายเป็นแรงกดดันอย่างรุนแรงว่า หากยังเล่นบทไม้แข็งต่อไปอาจทำให้รัฐบาลกระเทือนได้ เพราะในอนาคตมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องพึ่งเสียงจากรัฐสภาสำหรับการผ่านกฎหมายสำคัญอีกจำนวนมาก ถึงกระนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับภาพที่ออกมาสู่สายตาสังคมว่า “พรรคเพื่อไทยกำลังเป็นเผด็จการรัฐสภา เอาตัวเองเป็นใหญ่” ไม่รับฟังเสียงส่วนน้อย เหมือน 377 เสียง สมัยพรรคไทยรักไทย บทบาทของประธานสภา จากนี้หากไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลางตามรัฐธรรมนูญ เข้าข้างแต่พรรคเพื่อไทย ก็จะเป็นชนวนที่เพิ่มอุณหภูมิในห้องประชุมสภาให้ร้อนระอุ และขัดแย้งกันรุนแรงโดยใช่เหตุ คุณ auraiwon: 27 ส.ค. 2554 ,12:37 น. คนที่ยอมตัวเป็นทาสจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายพอใจคนประเภทนี้จะไม่คำนึงถึง เกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สาอะไรที่สมศักดิ์จะคำนึงถึง เกียรติยศ แห่งตนป่านนี้ลูกหลานว่านเครืออายเขาทั่วเมืองแล้ว คุณ chaveevan: 27 ส.ค. 2554 ,09:10 น. คุณ uthaic: 26 ส.ค. 2554 ,12:57 น. ผมเห็นแย้งว่า ทั่นประธานไม่เอียงครับ ท่านนั่งตัวตรงเด่อยู่ฝั่งรัฐบาลเลยครับ :):) คุณ metro: 26 ส.ค. 2554 ,09:54 น. ผมนั่งฟังประชุมอยู่..เห็นว่าประธานสภาไม่เอียงครับ แต่เอาความเห็นตัวเองเป็นหลักทั้งๆ ที่สมาชิกหลายคนแนะข้อเสนอที่มีเหตุผลกว่า..พอประธานโดนเข้ามากๆก็ชอบพูด "เป็น อำนาจของประธาน".... คุณ tomjantra: 26 ส.ค. 2554 ,09:37 น. ความจริงคือความจริง งานแรกก็มีมลทินแล้ว การบอยตอตครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่าแม้ ว่า"พรคเพื่อนาย"จะมีคะแนนท่วมท้น แต่คนที่ยืนอยู่บนความถูกต้องยังมี เดิมทีไปดู ถูก"ปู่ชัย"ว่าแกคงไม่มีน้ำยาได้ดีเพราะลูกเนวินแต่พอหมดวาระแฟนๆทางบ้านคิด ถึง"ปู่ชัย"เพราะแกทำหน้าที่คนกลางได้อย่างนุ่มนวล ให้เกียรติทุกคนทั้งฝ่ายค้านฝ่าย รัฐบาล บรรยากาศที่ตึงเครียดกลับผ่อนคลาย ไม่ต้องประกาศปาวๆ แต่ประธานสมศักดิ์ กลับทำตรงข้ามกับ"ปู่ชัย"อย่างสิ้นเชิง เพราะทำงาน"เพื่อนาย"โดยไม่คำนึงถึง ประเทศชาติ และ มีฐานคิดแบบคนเสื้อแดงที่เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ ของสาธารณชน คุณ jaa: 26 ส.ค. 2554 ,09:30 น. ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง เอียงข้างอย่างเห็นได้ชัด และยังชอบพูดย้ำ ๆ ว่า "ประธานฯ มีอำนาจ ... เด็ดขาด"จะเตือนว่า อย่าใช้อำนาจข่มขู่ ข่มเหง ตัวแทนประชาชน เพราะ ปชช ย่อมมี อำนาจเหนือกว่าประธานฯที่ทำหน้าที่เพื่อนายจ้าง ทั้งที่รับเงินเดือนที่เป็นภาษีของคนไทยทั้ง ชาติ แก่จนหาผมดำไม่เจอซักเส้น แต่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ปล่อยให้สมอง ความคิด และสติ ปัญญาเกิดความหลง(ในอำนาจที่เขามอบให้ทำ)หลงผิด ยังไม่สายเกินไปที่จะปรับเปลี่ยน ทัศนคติในการเป็นประธานรัฐสภาเสียใหม่ อย่าทำตัวเป็นเพียงขี้ข้าหรือทาสผู้ซื่อสัตย์ของ นาย แต่ประธานรัฐสภาต้องทำหน้าที่อย่างซื่อตรงซื่อสัตย์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เท่านั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 สิงหาคม 2554, 13:15:36 เปิดตัว'บัณฑูร'เลขายิ่งลักษณ์เพื่อนสนิท'ทักษิณ'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เปิดตัว'บัณฑูร สุภัควณิช'เลขาธิการนายกฯมาจากกาฬสินธุ์ แต่เพื่อนสนิท'ทักษิณ'ตั้งแต่สมัยเรียนม.อีสเทิร์นเคนทักกี หากจะไปเที่ยว "กาฬสินธุ์" นักเดินทางรุ่นใหม่ๆ อาจคุ้นเคยกับไดโนเสาร์ภูขุมข้าว แต่คนรุ่นเก่า คงไม่พลาด จะต้องเข้าพักที่ "สุภัคโฮเต็ล" บริเวณวงเวียนน้ำพุ ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัด สุภัคโฮเต็ล เป็นโรงแรมแห่งแรกในจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่น้อยคนนักจะทราบว่าเป็นธุรกิจในกงสีของตระกูล "สุภัควณิช" แม้สุภัคโฮเต็ล จะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก แต่ก็มีความคลาสสิกในแง่ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจของ "กลุ่มทุนจีนภูธร" กับ "รัฐส่วนกลาง" ที่ประจำท้องถิ่น เนื่องจากที่โรงแรมแห่งนี้ มีสโมสรสำเริงสำราญใจให้แก่บรรดาข้าราชการทุกแขนง มันคือภาพจำลองการเมืองระดับชาติที่ย่อส่วนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ และภาพนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้รับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่เป็นนักเรียนขาสั้น จาก พ.ศ.โน้น มาถึงวันที่ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีหญิง บัณฑูร สุภัควณิช ทายาทตระกูลคหบดีเก่าแก่เมืองน้ำดำ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการนายกรัฐมนตรี" "บัณฑูร" เป็นลูกชายคนโตของ บุญชิต-เทียมทัด สุภัควณิช ซึ่งบิดาของบัณฑูร จัดว่าเป็นพ่อค้าชาวจีน ที่มีบทบาทเป็นผู้นำใน "สมาคมพ่อค้าจังหวัดกาฬสินธุ์" หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่บ้านเกิด บุญชิต-บิดาก็ส่ง "บัณฑูร" เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2514 ปี 2515-16 บัณฑูร เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี ในเวลาไล่เลี่ยกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ.2516) ได้รับทุน ก.พ. เดินทางมาศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขากระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกีเช่นกัน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่าง "บัณฑูร" กับ "ทักษิณ" ซึ่งทอดยาวจากวันนั้นจวบจนวันนี้! ว่ากันว่า "อีสเทิร์นเคนทักกีคอนเนกชั่น" คือความสัมพันธ์อันแนบแน่นของทั้งสองคน และมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด แถมยังเพิ่มความล้ำลึกเข้าไปอีกในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี และบัณฑูร เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ บนเส้นทางสายราชการ บัณฑูร สุภัควณิช เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์งบประมาณส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ปี 2537 เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ปี 2545-2550) และเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ปี 2551-2552) ตระกูลสุภัควนิช ไม่เคยมีใครที่กระโจนสู่สนามการเมืองเหมือนอย่างตระกูลพ่อค้ากาฬสินธุ์คนอื่นๆ แต่ "บัณฑูร" เป็นคนแรกของตระกูลที่เล่นการเมือง โดยเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ชื่อของบัณฑูร ได้รับการคาดหมายว่าจะได้นั่งเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่แรก นัยว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสงค์ที่จะให้ "ลูกหม้อสำนักงบประมาณ" มานั่งในตำแหน่งที่สื่อมวลชนมักเรียกขานว่า "นายกฯ น้อย" หากเปรียบเทียบ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยแรกของอดีตนายกฯ ทักษิณ กับ "บัณฑูร" เลขานายกฯของยิ่งลักษณ์ มีความเหมือนกัน ตรงที่เป็น "คนทำงานเก่ง" มีภาพความเป็นนักการเมืองน้อย ความเป็นคนดีมีฝีมือในระบบราชการ กำลังถูกท้าทายด้วย "การเมืองแบบชินวัตร" อีกครั้ง ทายาทเสี่ยบุญชิตเมืองกาฬสินธุ์ เตรียมความพร้อมไว้รับมือแค่ไหน? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 สิงหาคม 2554, 22:59:24 ห้องหรู พรมแดง ราศีรมต.
posttoday online เปิดกระทรวงดูบรรดารัฐมนตรีปรับปรุงห้องทำงานเปลี่ยนฮวงจุ้ยเสริมดวง เสริมสร้างพลังใจก่อนเข้าทำงาน โดย...ทีมข่าวการเมือง สะเทือนไปถึงหลังคาวังจันทรเกษม เมื่อ วรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ มีนโยบายทำได้ทันทีชนิดที่หลายคนตื่นตะลึงนึกว่านโยบายแจกแทบเล็ตเด็กนักเรียนประถมศึกษาตามที่หาเสียงคลอดออกมาแล้ว หรือไม่ก็คงประกาศแผนปฏิรูปการศึกษาพลิกโฉมหน้าระบบการศึกษาชาติครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่!!! เพราะคำสั่งที่มาแรงแซงนโยบายการศึกษา กลับกลายเป็นให้ความสำคัญปรับปรุงห้องทำงานรัฐมนตรีจนถูกฝ่ายค้านหยิบยกเป็นประเด็นนำไปอภิปรายในช่วงการแถลงนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา ห้องทำงานดังกล่าวอยู่บริเวณชั้น 2 เป็นอาคารเชื่อมต่ออาคารราชวัลลภ ภายในวังจันทรเกษม ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน แต่เมื่อวรวัจน์เข้ามาก็สั่งรื้อไม่เหลือเค้าโครงเดิม โดยอ้างว่าอาคารดังกล่าวทรุดโทรมมาก หลังคารั่ว ฝนตกน้ำซึม มีกลิ่นอับ จำเป็นต้องทำการซ่อมแซม แต่ไม่วายที่จะถูกท้วงติงถึงความไม่เหมาะสม และสิ้นเปลือง ถึงกับประเมินกันว่าน่าใช้งบ 2-3 ล้านบาททำการซ่อมแซม แต่วรวัจน์อ้างว่าควักเงินในกระเป๋าตัวเองแค่หลักแสนบาทเท่านั้น น่าสนใจว่าการปรับปรุงห้องทำงานหนนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากสมัยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ดำรงตำแหน่งรมว.ศธ.ทำการเปลี่ยนพรมทางเดินและวอลเปเปอร์ภายในห้องทำงาน เท่านั้น ขณะที่ยุคของนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต รมว.ศธ.เข้ามาทำงานก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนใด ๆ เนื่องจากสภาพห้องยังดีอยู่ แต่สำหรับรมต.วรวัจน์กลับปรับปรุงใหม่ไม่ว่าจะเป็น ผนัง พรหม พื้นห้อง และฝ้าทั้งหมด ความมุ่งมั่นใฝ่ศึกษาหาวิธีทำห้องทำงานใหม่ของรัฐมนตรีวรวัจน์ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้แต่ยังเดินหน้าที่จะปรับปรุงห้องชั้นล่างใต้ห้องทำงานนายวรวัจน์ ซึ่งอยู่หลังองค์พระจำประกระทรวงอีกด้วย โดยจะใช้เป็นที่นั่งทำงานของทีมงานส่วนตัว และที่ปรึกษา เลขานุการ “โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อเรื่อง ฮวงจุ้ย ไม่ได้ชอบสีอะไรเป็นพิเศษนอกจากสีที่กลมกลืนกับสีเดิมๆ ที่มีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดการปรับปรุงห้องให้ถามที่ปลัดกระทรวงได้” วรวัจน์ระบุ ทุกครั้งของการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงใด รมต.และผู้เกี่ยวข้อง มักจะพิถีพิถันต่อการปรับปรุงห้องทำงาน บ้างนิมนต์พระสงฆ์ปะพรมน้ำมนต์ อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นหิ้งบูชา บ้างนำชินแสเข้ามาปรับภูมิทัศน์ จัดวางโต๊ะทำงานอุปกรณ์ต่างๆให้ถูกทิศถูกทาง หรือแม้แต่ยึดถือฤกษ์ผานาที กำหนดวันเวลาเข้าทำงาน เพราะเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย เชื่อว่าทำแล้วเสริมดวงเป็นสิริมงคล เชื่อว่าต้องการปัดเป่าอาถรรพ์ผีสางนางไม้ บางรายจึงยึดพิธีกรรมทำเต็มรูปแบบ บางรายแค่ทำพอเป็นพิธี อยู่ที่แต่ละคนจะเชื่อแบบพอดีหรือเชื่อแบบงมงาย ข่าวคราวของการเนรมิตห้องทำงาน รวมถึงปรับภูมิทัศน์ จึงแฝงเร้นหลายอย่าง ทั้งต้องการอำนวยความสะดวกสบาย ให้กับตัวเอง บ้างต้องการแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีบารมี ขณะเดียวกันก็เป็นการเสริมสร้างพลังใจจะเจริญก้าวหน้าอยู่รอดปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่กรณีของนายวรวัจน์ เท่านั้น แต่มีให้เห็นอย่างดาษดื่น เพียงแต่นายวรวัจน์ดันออกตัวแรงกว่าใครเพื่อน ไม่ไกล้ไม่ไกลมองมาที่ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องเผชิญสารพันปัญหารุมเร้ามีการติดต่อชินแสมาปรับปรุงภูมิทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นการนำรูปปั้นพระสังกัจจายน์ไปวางไว้บนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ตั้งเสาธงสีทองยอดเสาทำเป็นรูปกรวยสีเขียว ปลูกปาล์ม วางกระถางต้นสน 6 กระถางขวางสนามหญ้า หรือผนึกไม้บรรทัดเหล็กตามขอบบนประตูทางเข้าตึกไทยคู่ฟ้า ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยเชื่อว่าต้องการวางค่ายกลดูดพลังแห่งเทพขับไล่มารร้าย ย้อนกลับไปยุครัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี สั่งปรับปรุงถนนทางขึ้นตึกไทยฯ นำต้นข่อยทรงพุ่มปลูกเป็นแนวตามทางขึ้นในความหมายต้องการป้องกันศัตรูอันตรายจากภายนอก แต่บางฝ่ายอดแซวไม่ได้ เนื่องจากใบข่อยไม่ถูกโฉลกกับรัฐบาลปลาไหลใส่สะเก็ตเพราะสามารถนำมาขับเมือกปลาไหลได้ ยิ่งในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ ตอนนั้นให้เหตุผลเพื่อเตรียมต้อนรับผู้นำชาติสมาชิกเอเปค แต่หนีไมพ้นถูกวิจารณ์ต้องการเสริมดวงบารมีนายกฯ ทุ่มงบหลายร้อยล้านบาท ซ่อมแซมตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี รื้อนำพุใจกลางตึกสันติไมตรีออกไป รอบนอกอาคารนำพันธุ์ไม้ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชื่นชอบมาปลูก อึ้งกว่านั้นสั่งทุบกำแพงคอนกรีตรอบทำเนียบสร้างกำแพงเหล็กดัดโปร่งใส พร้อมติดตั้งเครื่องทำนำพุในคลองผดุงกรุงเกษม ตามหลักฮวงจุ้ยหวังดูดพลังงานภายนอกเข้ามายังผู้มีอำนาจที่อยู่ภายใน มาถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นคนธาตุไฟเหมือนกับอดีตนายกฯพ.ต.ท.ทักษิณ วิธีปรับภูมิทัศน์ตามหลักฮวงจุ้ยจึงไม่ค่อยแตกต่าง ซึ่งก็มีทีมงานชุดเดิมของพ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายคอยให้คำแนะนำปรับปรุงสถานที่ ห้องทำงาน ก่อนหน้านี้ผู้บริหารระดับสูงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ ทำเนียบฯยังไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย แต่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะด้วยความเป็นสุภาพสตรีแตกต่างกับเพศบุรุษจึงต้องมีรายละเอียดมากกว่าผู้ชาย ที่แน่ๆ มีการจัดห้องแต่งตัวสำหรับผู้หญิงเป็นการเฉพาะไว้บนตึกไทยฯ พรมที่ใช้ในห้องทำงานเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด และปรับทิศทางโต๊ะทำงาน หันไปทางทิศเหนือ จากเดิมที่อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ หันไปทางทิศตะวันออก และเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด เน้นสีเอิร์ธโทน และสีชมพู เหมือนที่เคยทำงานที่อาคารชินวัตร 3 รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารให้ทันสมัยมากขึ้น อีกทั้งวันที่นายกฯยิ่งลักษณ์มากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทำเนียบ เลือกใช้สีแดงประกอบพิธี ทั้งธูปเทียน ด้านบริเวณทางขึ้นบันไดชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งมีตุ๊กตาเชิงเทียนสำริดตั้งอยู่ 2 ข้าง ได้มีการนำเทียนสีแดงสด 9 เล่มมาประดับ จากเดิมรัฐบาลชุดที่แล้วใช้เทียนสีขาว ซินแซช้าง-ทศพร ศรีตุลา ให้ความเห็นว่า แน่นอนสีกับฮวงจุ้ยมีส่วนสัมพันธ์กันตามศาสตร์ความเชื่อของคนจีน เพราะสีแดงเป็นสีของธาตุไฟ เป็นสีของดวงอาทิตย์ บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ แต่ก็ต้องใช้อย่างพอดีๆถ้ามากเกินไป จะเหมือนไฟเผาทำให้ร้อนรุ่ม หงุดหงิด ไม่เหมาะการใช้ในห้องทำงานของคนทั่วไป ยกเว้นว่าที่นั่นเป็นศาลเจ้าก็ โอเค แต่บ้านหรือที่ทำงานของคนทั่วไปถ้าใช้สีนี้เยอะไปจะร้อนรนใจอยู่ได้ไม่นาน ชัชวาล เผ่าสวัสดิ์ หมอดูนักกฎหมาย กล่าวว่า การให้ความสำคัญกับสีแดงนั้นเป็นเพราะเป็นสีของความผูกพัน เนื่องจากพรรคเพื่อไทยใช้สีพรรคเป็นสีแดง ตอนเลือกตั้งได้เบอร์ 1 คือดาวอาทิตย์ก็สีแดงอีก ชนะเลือกตั้งก็เพราะคนเสื้อแดง การเลือกใช้สีนี้เพราะคิดว่าเป็นสีเฮงของเขา และเพื่อเป็นการขอบคุณคนเสื้อแดงอีกทางหนึ่งก็ได้ เรียกว่าเป็นผลทางจิตใจ จิตวิทยา แต่คงไม่มีผลกับการทำงานที่จะช่วยให้อายุรัฐบาลยาวนานขึ้นหรืออยู่ครบ 8 ปี เป็นไปไม่ได้แน่นอน หมอนิด-กิจจา ทวีกุลกิจ ให้ความเห็นได้ดุเดือดว่า การใช้สีแดงก็แค่เป็นผลทางจิตวิทยาเท่านั้นเอง ไม่มีผลกับการทำงาน ระวังไว้ไม่เกินสิ้นปีนี้ เตรียมรับปัญหาหนัก และฝากเตือนรัฐบาลเมื่อใดที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปใช้ฉบับปี 2540 จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดสงครามประชาชนอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นก็จะมีการปฏิวัติ “เข้าปีใหม่ไปแล้วปัญหาในพรรคจะมากขึ้น พรรคจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะหลายก๊กหลายพวก แถมดวงเมืองก็ไม่เป็นใจอะไรๆก็เละไปหมด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ภัยธรรมชาติ เรียกว่าโจ๊กยังเรียกพี่ เป็นรัฐบาล “ปูขาเก” ไปเลย สรุปว่านายกหญิงคนนี้ มาสวย แต่ไปไม่สวยแน่นอน” ขณะที่หลายรายทุ่มทุนเนรมิตห้องเก่าเป็นห้องใหม่ แต่สำหรับบางรายไม่ต้องปรับปรุงแต่ไปประเดิมห้องทำงานใหม่เอี่ยม อย่าง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ซึ่งเจ้าหน้าที่จัดเตรียมห้องรมต.บริเวณชั้น 9 ที่ศูนย์ราชการ อาคารเอ ถือเป็นรัฐมนตรีรายแรกที่ได้ประเดิมห้องทำงานใหม่ เพราะรมว.ยุติธรรมที่ผ่านมาใช้ห้องทำงานที่ตึกซอฟต์แวร์ ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ ถึงกระนั้นได้เชิญนายคฑา ชินบัญชร หมอดูฮวงจุ้ย มาปรับฮวงจุ้ยภายในห้องทำงาน เช่นเดียวกับนายพิชัย นริพธะพันธ์ รมว.พลังงาน ภายในห้องทำงานไม่ได้มีการปรับแต่งอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากกระทรวงพลังงานเพิ่งจะย้ายเข้ามาประจำที่ตึกเอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ตั้งอยู่ในบริเวณของสำนักงานใหญ่บริษัทปตท.เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ดังนั้น ห้องทำงานรัฐมนตรี และผู้บริหาร คงเป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด วงการชินแสต่างคึกคัก แม้แต่กระทรวงสาธารณสุขซึ่งน่าจะออกไปทางหลักวิทยาศาสตร์แต่สำหรับเจ้ากระทรวงแล้วยึดหลักฮวงจุ้ยอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วันแรกเข้ากระทรวง วิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุขและต่อพงศ์ ไชยสาสน์ รมช.สาธารณสุข ถือเคล็ดในการเข้าอาคารสำนักปลัด โดยเลือกเข้าประตูขวาสุด ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ย ระบุว่า ประตูกลางของอาคาร จะทำให้ทำงานได้ไม่นาน โดยก่อนที่นายวิทยา จะเข้าห้องทำงานได้มีซินแซสองจากเยาวราช ทำการเขียนอักขระบริเวณด้านบนบานประตูทางเข้าห้องทำงาน โดยการจุดธูปเทียนบูชาต้องใช้เทียนเล่มใหญ่กว่าปกติ เพื่อให้เกิดการส่องสว่าง ถือเป็นการขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับโต๊ะทำงานของวิทยา มีการปรับเปลี่ยนทิศการนั่งใหม่ คือหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นทิศที่ถูกโฉลกเสริมให้มีบารมีแสดงถึงการเป็นผู้นำ พร้อมกันนี้โต๊ะทำงานจำเป็นต้องหันไปด้านหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อแสดงถึงความเคารพ ขณะที่พรมห้องทำงานจากเดิมที่เป็นสีฟ้ามีการเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อถูกกับดวงชะตาเช่นกัน ห้องทำงานของต่อพงศ์ ได้เชิญ พ่อครูภูมิชัย สุรรัตน์ พ่อครูจากสำนักครูยานนาวา เดินทางมาเพื่อทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพ่อครูได้ทำพิธีนำสวดตั้งแต่ก่อนเข้าห้อง และนำสวดก่อนจุดธูปสักการะโต๊ะหมู่บูชา และสวดมนต์ก่อนที่จะเปิดหนังสือเพื่อเซ็นต์รับมอบตำแหน่งเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย แต่ไม่มีการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยแต่อย่างใด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะห้องของพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รมช.กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งใช้ห้องทำงานเดิมของศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรมช.เป็นห้องทำงาน มีการเปลี่ยนพรมปูห้อง จากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว และโต๊ะประชุมในห้องทำงานเปลี่ยนจากโต๊ะยาวพื้นขาวขนาด 6 ที่นั่ง เป็นโต๊ะไม้ขนาด 6 ที่นั่ง ส่วนโต๊ะหมู่บูชา หรือเทียนสำหรับบูชาพระยังใช้เทียนขี้ผึ้งสีเหลืองตามปกติ อย่างไรก็ตามมีการปรับตำแหน่งของที่ตั้งโต๊ะงานจากเดิมที่อยู่ด้านขวาหรือทิศตะวันออก ซึ่งเมื่อมีบุคคลเข้าพบจะเห็นรมช.ด้านข้างขวา มาเป็นการตั้งโต๊ะทำงานด้านทิศเหนือของห้อง รมต. อีกจำนวนหนึ่งไม่เคร่งครัดฮวงจุ้ยแต่อยู่ในประเภท” ข้ามากับพระ” เช่น 3 รมต.คมนาคม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคมบอกไม่ค่อยเชื่อเรื่องการปรับตำแหน่งที่นั่งตามหลักฮวงจุ้ย แต่ยึดถือกราบไหว้พระตามแบบฉบับพุทธศาสนิกชน ลักษณะคล้ายกับสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ถือฤกษ์เวลา 08.20 น. ของวันที่ 17 ส.ค. เหยียบเท้าเข้ากระทรวงทำงานเป็นวันแรก โดยอัญเชิญองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี และพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาประดิษฐานไว้ที่ห้องทำงาน สภาพภายในห้องทำงาน เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังคงเป็นของเดิมที่รัฐมนตรีคนที่แล้วใช้ทำงาน อีกทั้ง โต๊ะทำงานในห้องก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม คือ หน้าหันไปทางทิศใต้และหลังไปทางทิศเหนือ แต่เสริมราศีความเป็นรัฐมนตรีให้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการตั้งโต๊ะหมู่บูชามาไว้ด้านหลังโต๊ะทำงาน และมีการปรับแสงให้ตกมาที่องค์พระเพื่อให้เป็นประกาย นอกจากนี้ กลุ่ม รมต.ไม่เน้น มีฮวงจุ้ยก็ดีมีพระก็ได้ เช่น รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ทั้ง 3 คน โดยรัฐมนตรีจากโควตาพรรคเพื่อไทย 2 ราย คือ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ไม่ได้มีการห้องทำงานเป็นพิเศษ มีเพียงการจัดวางโต๊ะที่ทำงานใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อทีมงานที่เข้ามาร่วมงานด้วย ส่วนศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ได้ปรับแต่งห้องตามหลักฮวงจุ๊ยเช่นกัน ทั้งหมดมีเพียงการนำพระพุทธรูปมาประจำห้อง ตามความศรัทธาของแต่ละรายเพื่อกราบไหว้บูชาเท่านั้น ส่วน นอ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที ก็บอกว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องทำงานมากนัก มีแต่เอกสารหนังสือที่วางกองในห้องมากขึ้นกว่าเดิม เผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม มีเพียงแต่ย้ายโต๊ะทำงานสลับมุมเท่านั้น เช่นเดียวกับ ชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ไม่ต้องปรับปรุงอะไรมากนัก เพราะกลับมาดำรงตำแหน่งเก่า เก้าอี้เป็นตัวเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความเชื่อและศรัทธา แต่ละคนอาจเหมือนหรือแตกต่างกันได้ แต่บทสรุปดูเหมือนทุกคนจะเพียบพร้อมด้วยห้องหรู ปูพรมแดง เปล่งประกายราศีโดดเด่นไปซะทั้งหมด แต่อย่างว่าต่อให้ปรับโฉมห้องวิริศมาหราขนาดไหน สูญเสียงบประมาณมากเท่าไหร่ ถ้าไม่ปรับปรุงตัวเอง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มันก็ไปไม่รอด ********************** แนะปูจัดพิธีล้างเลือด ศักดิ์ระพี พรหมชาติ พราหมณ์กลุ่มเสื้อแดง กล่าวว่า การปรับฮวงจุ้ยหรือปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์สถานที่ทำงานภายในทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะช่วยให้รัฐบาลชุดใหม่มีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ รัฐบาลต้องเร่งทำพิธีกรรม “บัตรกรีเลือด” เพื่อแก้ไสยศาสตร์มนตร์ดำจากพิธีกรรมเทเลือดของคนเสื้อแดงที่กระทำไว้ก่อนหน้านี้ ศักดิ์ระพี กล่าวว่า การทำพิธีบัตรกรีเลือดจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่คนเสื้อแดงเคยใช้ในการขับไล่รัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดความราบรื่นและมั่นคง รวมทั้งจะช่วยสกัดกั้นมิให้มีคนคิดร้ายต่อรัฐบาล “แม้ว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์จะทำพิธีทางสงฆ์ไปแล้ว แต่ก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะนั่นเป็นเรื่องของความเป็นสิริมงคล แต่การเทเลือดเป็นพิธีกรรมทางคุณไสยมนตร์ดำ หากไม่แก้ไขจะส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้สะดุด ไม่มีเสถียรภาพ เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะสิ่งเลวร้ายยังฝังอยู่ที่ทำเนียบ” พราหมณ์เสื้อแดง บอกด้วยว่า การทำพิธีบัตรกรีเลือดจะต้องเชิญพราหมณ์มาเป็นเจ้าพิธี โดยมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วย หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาช่อน กุ้ง ปู ขนมหวานและผลไม้ 9 อย่าง เพื่อบวงสรวงเทพเทวดา พระพรหม และพระแม่ธรณีบีบมวยผมที่สถิตย์อยู่ ณ ทำเนียบรัฐบาล “ที่จริงคุณยิ่งลักษณ์เป็นคนดวงดีอยู่แล้ว และตอนนี้ดวงผู้นำกำลังขึ้นสูงสุด แต่อยากฝากเตือนไว้ว่า ของแบบนี้อย่ามองข้าม แม้คุณยิ่งลักษณ์จะเป็นคนรุ่นใหม่อาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าทำพิธีเสียแต่เนิ่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อย่ารอให้เกิดปัญหาจวนตัวแล้วค่อยมาแก้ทีหลัง มันจะยุ่ง” ศักดิ์ระพี กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 สิงหาคม 2554, 22:15:27 ทุกข์ลาภของสุรพงษ์ บนความสะดวกและผลประโยชน์สูงสุดของทักษิณ
> > > เพื่อนๆเคยแปลกใจมั้ยครับ ว่าทำไม สุรพงษ์ ถึงได้ตำแหน่ง รมต.ต่างประเทศ > เพราะแม้กระทั้งพูดภาษาอังกฤษ ยังไม่เป็นเลย ต้องคอยมีล่ามช่วยอยู่ตลอดเวลา > .........แหม เหมือนย้อนกลับไป สัก 4 ทศวรรษที่แล้วเลย......... > > แต่เพื่อนๆไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะแม้แต่ สุรพงษ์เอง ยังแปลกใจเลย ว่าได้ตัวเองตำแหน่งนี้มาได้ยังไง??? > ใจหนึ่งคงหน้าบาน ที่ได้เดินชูคออยู่ในทำเนียบ เป็นถึง รมต.ต่างประเทศ กระทรวงหลักเกรด A ของรัฐบาลไทย....... > ส่วนอีกใจหนึ่งลึกๆ คงกลุ้มใจ เพราะไม่มีใครอยากเป็นหนังหน้าไฟ คอยหลับตาข้างหนึ่ง หรือแม้กระทั้ง ต้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำผิดกฎหมาย คอยช่วย คอยอำนวย และ คอยเอื้อผลประโยชน์ในการทำธุรกิจ ของทักษิณ ในต่างแดน > ....”ขาข้างหนึ่งอยู่ในตารางชัดๆ”.........รอแค่วันใดทักษิณหมดอำนาจเท่านั้น > > นี่คือสาเหตุ ของการเกิดปรากฏการณ์ ที่ไม่มีกลุ่มอำนาจใดในพรรคเลย ที่อยากแย่งตำแหน่ง รมต.ต่างประเทศ นี้ > และ นี่ก็คือสาเหตุที่ปัจจุบัน มีแค่ รมต.ต่างประเทศเพียงคนเดียว ไม่มี รมช. เลยสักคน เพราะไม่มีใครอยากเป็น.... > หรือแม้แต่ นายนพดล ปัทมะ ซึ่งถือเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ > จบถึง ป.ตรี อ๊อกซฟอร์ด โดยทุนมูลนิธิอานันทมหิดล > และ ป.โท มหาวิทยาลัยลอนดอน โดยทุนมูลนิธิอานันทมหิดล > แถมยังมีดีกรี เนติบัณฑิตอังกฤษแห่งสำนักลินคอร์นอินน์ (Lincoln’s lnn) โดยทุนมูลนิธิอานันทมหิดล > ก็ยังไม่อยากรับตำแหน่งนี้อีกด้วย > (สำหรับผมคนๆนี้ถือเป็นเจ้าแห่งนิยาม ของคำว่า “ เนรคุณ”) > > ลำพังพวกคนระดับนี้ ดีชั่ว ไม่ใช่ไม่รู้หรอกครับ...”ว่าอะไรเป็นอะไร” > ..... แต่สิ่งสำคัญก็คือ...... > “สิ่งที่เขารู้นั้น มันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เขาจะได้รับ ต่างหาก” > พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคการเมืองที่ก่อตั้งมาจากอุดมการณ์ เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด..... > หากแต่เป็น... “การรวมตัวของกลุ่มทุน”... > เพื่อเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ที่มีอย่างมหาศาล ของประเทศ > > ล่าสุด ทักษิณไปญี่ปุ่นเพื่ออะไร เราก็คงพอทราบกันแล้ว > > > ในที่สุดก็ถึงบางอ้อ ว่า ทำไมพอมีอำนาจ ทักษิณถึงร้อนรน จะรีบไปญี่ปุ่นนัก!!! > เพราะ บ. โตโย เอ็นจิเนียริ่ง ที่เตรียมพร้อมกันระดมทุน เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในเรื่องของ บ่อน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ของไทยเรานี่เอง > > จากการสำรวจตั้งแต่ปี 2544 พบว่า ปริมาณน้ำมันในบริเวณนั้นของไทย และพื้นที่ที่ยังเป็นข้อพิพาท …….”มีปริมาณสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก” > > ด้วยผลประโยชน์ที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า .... > 1 ทันที ที่ได้เป็นรัฐบาล รมต.พลังงาน เริ่มทำงานทันที ......”ทั้งๆที่ ยังไม่ได้แถลงนโยบาย”....ถือเป็นนิมิตใหม่ ของความขยันทำงานของนักการเมืองไทย > > 2 ฮุนเซ็น เปลี่ยนท่าที ทันที ที่รัฐบาลทักษิณกลับมามีอำนาจ > > 3 ทักษิณถึงต้องไปญี่ปุ่นทันที ที่น้องสาวตัวเองขึ้นเป็นนายก และรีบเจรจากับ กลุ่ม บ. โตโย เอ็นจิเนียริ่ง เพื่อรีบจัดการปิดเกมส์แห่งผลประโยชน์ ให้จบโดยไวที่สุด > > 4 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ รีบร้อน จะประกาศให้ การจัดสรร บ่อน้ำมันในทะเล เป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ซึ่งอาจเป็นการส่งต่อไม้สุดท้าย ก่อนปิดเกมส์ > > โดยต่อไป หน้าฉากที่เราจะได้เห็น คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่าง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับ ฮุนเซ็น และการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะสนันสนุน ให้ ปตท จัดการ แบ่งผลประโยชน์ของบ่อน้ำมันทางทะเล > โดยที่ประชาชน จะไม่มีวันได้รับรู้ถึง ผลประโยชน์ที่ทับซ้อนอยู่เบื้องหลัง วาระแห่งชาติครั้งนี้เลย > > นั้นคือสาเหตุทั้งหมด ที่ทำให้โควต้า รมต. ดังต่อไปนี้ ต้องเป็นสายตรง ของทักษิณ เท่านั้น > --- รมต.ต่างประเทศ(อำนวยความสะดวกให้ทักษิณ) > --- รมต.พลังงาน (จัดการผลประโยชน์ให้ทักษิณ) > --- รมต.กลาโหม (ประกันความมั่นคงปลอดภัยให้รัฐบาลทักษิณ) > > และในวันที่ 19-21 นี้ ก็ช่างเป็นวันที่ บังเอิญจริงๆ ที่ ประธานกลุ่มเชฟรอนพี่บิ๊ก แห่งวงการน้ำมันจะไปคุยเรื่องธุรกิจพลังงานกับฮุนเซ็น ที่กัมพูชา > ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทักษิณ จะไป..... > ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อหาประโยชน์จากทรัพยากร ของประเทศชาติเราทั้งนั้น > ....ถ้าลองไตร่ตรองย้อนกลับไป จะเข้าใจโดยง่ายว่า............... > ...."ไม่ว่าชาติไหน ก็อยากให้ไทยอ่อนแอ”........ > เพราะยิ่งถ้าผู้นำเราอ่อนแอ และคอร์รัปชั่นมากเท่าไหร่ ต่างชาติก็จะยิ่งเอาเปรียบเรา ได้มากเท่านั้น > ตราบใดที่ไทยแยกอำนาจทุนออกจากการเมือง ไม่ได้........ > ตราบนั้นไทยก็จะ................ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: suriya2513 ที่ 01 กันยายน 2554, 00:33:02 https://www.facebook.com/video/video.php?v=132961320132324
ทดสอบวิถีการ share & link ว่าทำได้หรือไม่ เสื้อเหลือง-แดง อย่ารุมด่าผมนาครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กันยายน 2554, 17:23:21 ID Please
Yingluck, Thai first female priminister walks into a Bank to cash a > Check. As she Approaches the cashier he says "Good morning Ma'am, could you please cash > This check for me"? > > Cashier: "It would be my pleasure madame. Could you please show me your ID"? > > Yingluck: "Truthfully, I did not bring my ID with me as I didn't think there > Was any need to. I am Yingluck, the priminister of the Thailand !!!!" > > Cashier: "Yes madame, I know who you are, but with all the regulations and > Monitoring of the banks because of impostors and forgers, etc I must insist > On seeing ID" > > Yingluck: "Just ask anyone here at the bank who I am and they will tell you. > Everybody knows who I am" > > Cashier: "I am sorry but these are the bank rules and I must follow them." > > Yingluck: "I am urging you, please, to cash this check" > > Cashier: "Look Ms Primeminister this is what we can do: > One day Tiger Woods > Came into the bank without ID. To prove he was Tiger Woods he pulled out his > Putter and made a beautiful shot across the bank into a cup. With that > Shot we knew him to be Tiger Woods and cashed his check. > Another time, Andre Agassi came in without ID. He pulled out his > Tennis racquet and made a fabulous shot whereas the tennis ball landed > In my cup. With that shot we > Cashed his check. > So, Ms Primeminister, what can you do to prove that it is you, and > Only you, as the priminister of the Thailand ?" > > Yingluck stood there thinking, and thinking and finally says: "Honestly, my > Mind is a total blank~~~there is nothing that comes to my mind. I can't > Think of a single thing, Just wait, let me call my brother" > > Cashier: "OK mam, that's proved who you are, would you like large or > Small bills? > หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กันยายน 2554, 18:25:46 ลม เปลี่ยนทิศ” ฉะ “ปูแดง” ลดน้ำมันสนองหาเสียง-ชี้ต้องใช้เงินอุ้ม 7.4 หมื่นล้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ บทความ “ใช้เงินอนาคตมีแต่เจ๊ง” ในคอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันนี้ (29 ส.ค.) โดยลม เปลี่ยนทิศ คอลัมนิสต์ไทยรัฐ ชี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ลดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำเพื่อสนองนโยบายหาเสียง ตอบไม่ได้ค่าครองชีพประชาชนจะลดได้จริง มีแต่เจ้าของรถหรูที่ต้องเติมเบนซิน 95 ได้ประโยชน์เต็มๆ แถมลดราคาเบนซิน 91 สร้างความสับสน หลังปั๊มบางจากเลิกขายสนองนโยบายรัฐใช้แก๊สโซฮอล์ หวั่นจะเจ๊งไม่ต่างจากสหรัฐฯ เพราะต้องกู้อีก 2 หมื่นล้าน พยุงกองทุนน้ำมัน วันนี้ (29 ส.ค.) คอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” โดย ลม เปลี่ยนทิศ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ใช้เงินอนาคตมีแต่เจ๊ง” กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ดำเนินการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 3 ชนิด เบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกนํ้ามันทั้ง 3 ชนิดมีราคาลดลงตั้งแต่เช้าวันเสาร์ (27 ส.ค.) ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ลม เปลี่ยนทิศ เห็นว่า การลดเก็บเงินเข้ากองทุนนํ้ามันครั้งนี้ ไม่ใช่นโยบายที่น่าชื่นชม แถมยังผิดฝาผิดตัว ซึ่งการที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน บอกว่า การลดเก็บเงินดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันขาดรายได้เดือนละ 6,160 ล้านบาท และต้องเตรียมเงินชดเชยราคานํ้ามันคงค้างในปั๊มน้ำมันอีก 3,000 ล้านบาท แต่ฐานะของกองทุนน้ำมันจะอยู่ได้จนถึงสิ้นปี โดยไม่ต้องกู้เงิน แต่มกราคมปีหน้าจะต้องกู้เงิน 20,000 ล้านบาท คาดว่า จะใช้ดูแลราคาน้ำมันได้ราว 6 เดือน “แม้ คุณพิชัย จะบอกว่า จะเลิกเก็บเงินชั่วคราวแค่ 1 ปี แต่เมื่อเอา 12 เดือนคูณเข้าไป กับเงินที่ลดราคาน้ำมันเดือนละ 6,160 ล้านบาท หนึ่งปีรัฐบาลต้องใช้เงินอุ้มราคาน้ำมัน 3 ชนิดทั้งหมดประมาณ 74,000 ล้านบาท ถามว่า ทำเพื่ออะไร คำตอบง่ายๆ ก็คือ ทำเพื่อสนองนโยบายหาเสียงของนักการเมือง แต่ค่าครองชีพประชาชนจะลดจริงหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้” ในบทความระบุ ลม เปลี่ยนทิศ ระบุต่อมาว่า น้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสูงสุดลิตรละ 7.50 บาท สวนทางกับนโยบายน้ำมันของชาติที่ให้เลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ซึ่งปฏิบัติกันต่อเนื่องมาหลายปี ประชาชนทั่วไปก็ไม่ใครใช้น้ำมันชนิดนี้อยู่แล้ว จึงเป็นที่สงสัยกันว่า พรรคเพื่อไทยลดราคาน้ำมันเบนซิน 95 เพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ ซึ่งเห็นว่าเจ้าของรถหรูคันละหลายสิบล้านบาท ที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 และรถหรูรุ่นเก่าที่เศรษฐีเก็บไว้เป็นของสะสม มีคนสองกลุ่มนี้เท่านั้นที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ทั้งนี้ มีการประเมินกันไว้ว่า ปัจจุบันมีรถที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในเมืองไทยไม่เกิน 500,000 คัน และเจ้าของรถทุกคนก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน 95 ได้ทุกราคาอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งสถานีบริการน้ำมันบางจากเลิกขายเบนซิน 91 แล้ว เพราะนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ให้ยกเลิกเบนซิน 91 และ 95 และใช้แก๊สโซฮอล์แทน การลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 จึงเป็นนโยบายที่สับสน แม้จะมีข้ออ้างว่าลดให้เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ 17 ล้านคันก็ตาม ในตอนท้าย ลม เปลี่ยนทิศ เห็นว่า มีเพียงน้ำมันดีเซลชนิดเดียวเท่านั้นที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์เพราะใช้ในรถขนส่ง แต่รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนว่า เมื่อลดราคาน้ำมันดีเซลลงแล้ว ค่าโดยสาร ค่าขนส่ง จะต้องลดราคาลงมาเท่าไรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เมื่อดูเหตุและผลแล้ว ที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ บอกว่า การลดราคาน้ำมัน 3 ชนิด เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน จึงเป็นความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น “เงินที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาไปอุ้มราคาน้ำมัน 1 ปี 74,000 ล้านบาท เป็นเงินที่เยอะนะครับ แถมยังต้องไปกู้มาอีกตั้ง 20,000 ล้านบาท การใช้เงินอนาคตโดยไม่มีรายได้รองรับ เป็นเรื่องอันตรายครับ สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้ เอาเงินในอนาคตไปใช้อย่างมันมือ แม้สหรัฐฯ จะพิมพ์แบงก์เองได้ แต่วันนี้ก็ยังเจ๊งอย่างเขียดอย่างที่เห็น” ลม เปลี่ยนทิศ ระบุ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ตุลาคม 2554, 11:10:21 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 20 ตุลาคม 2554 01:00 เฉลา กาญจนา เฉลา กาญจนา แกะรอยการเมือง kanchanatuk@hotmail.com จำนวนคนอ่าน 7516 คน ท้อใจสั่งใครไม่ได้ เสียงบ่นจาก..ยิ่งลักษณ์ โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เห็นสภาพน้ำท่วมที่เอ่อล้นวันนี้ รู้สึกหดหู่แทนพี่น้องประชาชน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีชีวิตระเหเร่ร่อนต้องไปอาศัยอยู่ตามศูนย์อพยพต่างๆ เชื่อเหลือเกินว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยแม้จะสู้ชีวิตแต่ในใจคงจะเครียดหนัก ณ เวลานี้ยังพอมีที่อยู่อาศัยชั่วคราว แต่หลังน้ำลดอยู่กันอย่างไรเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมช่วยเหลือในสเต็ปต่อไป ลองมาสแกนการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึก "หมดศรัทธา" เข้าไปทุกขณะ กับข่าวสารที่สับสน แม้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะใช้เวลากับวอร์รูมแห่งนี้เป็นกองบัญชาการแก้ปัญหาน้ำท่วม บ้างก็บอกว่าวันๆ มีเวลาพักผ่อนแค่ 3-4 ชั่วโมง เพราะวุ่นอยู่กับการประชุม รับโทรศัพท์รายงานความเคลื่อนไหวสภาพน้ำ จากผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ แต่ภาพที่ออกมาดูเหมือนสวนทางกันเสียเหลือเกิน ประกาศแจ้งเตือนแต่ละครั้ง ดูเหมือนเป็นการประกาศที่สับสน คนสิ้นหวังเข้าไปทุกที เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกหาเหตุผลของศูนย์สับสน พบว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์รู้สึกท้อแท้ไม่น้อย เพราะฐานข้อมูลที่ได้รับไม่ตรงกับข้อเท็จจริง บางจังหวัดก็ไม่พูดความจริง ทำให้การคำนวณผิดพลาดบ่อยครั้ง ที่แย่ยิ่งกว่า คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบนี้ อยู่บนเกมการเมืองมากเกินไป เห็นแต่พรรคพวกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ยังไม่มองเห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ถูกน้ำท่วม นายกฯ ยิ่งลักษณ์รู้ดีว่าตอนนี้จะสั่งใครก็ไม่ได้ อำนาจสั่งการริบหรี่ลงทุกที "มีคนรับฟัง แต่ไม่ทำตาม" การทำงานของผู้ว่าฯ ในแต่ละพื้นที่ยังยึดพื้นที่ใครพื้นที่มันเสียมากกว่า การบูรณาการยังแทบมองไม่เห็น ฉะนั้นเมื่อระดับพื้นที่ไม่บูรณาการ ส่วนกลางอย่าได้หวัง ในส่วนของกรมชลประทาน ในฐานะผู้ที่ต้องรับบทบาทแก้ปัญหาน้ำท่วม ตอนนี้ผู้หลัก ผู้ใหญ่ในกรมชลประทานอยู่ในสภาพ "น้ำท่วมปาก" พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะมี "นาย" หลายคนนั่นเอง ความคิดเห็นของข่าวนี้ ความเห็นที่ 4 boogiebug ถ้าระดับ "นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย" สั่งการใครไม่ได้ ผมคิดว่าปัญหาอยู่ที่ "ภาวะผู้นำ" ของตัวนายกฯ เองแล้วล่ะครับ ตอนตัดสินใจลงชิงตำแหน่งนายกฯ น่ะ ได้คิดอะไรแบบนี้ไว้บ้างหรือเปล่า? ไม่ได้อยากซ้ำเติม แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่านายกฯ ท่านนี้ขึ้นมาในฐานะอะไร ... 20 ตุลาคม 2554 09:44:45 ความเห็นที่ 3 non nimnim ชะเลียมากไปม้างงง บทความวันนี้ ทำไมม่มองข้อเท็จจริงที่ว่า เธอด้านหน้ามาอาสาบริหารประเทศในตำแหน่งสูงสุดโดยที่เธอไม่มีความรู้เรื่องบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย ม่ายรู้ด้วยซ้ำว่าหน่วยงานไหนทำอะไร ท่องสคริปต์เป็นนกแก้วนกขุนทอง พอจะตั้งศูนย์ประสานงาน แทานที่จะดึงเอา key persons มาช่วยงานกลับเอานายอะไรก็ไม่รู้ ที่ดีแต่โม้ เหมือนตัวเองน่ะแหละ กับนายผมหงอกก็เป็นข้าราชการตั้งแต่พระเจ้าเหายังไม่เกิด ไม่เรียนรู้ว่าเดี๋ยวนี้ ระบบราชการเขาปฏิรูปไปมากมาย เลยเจาะไม่ถึงหน่วยงานหลัก แล้วถ้าหล่อนไม่มัวแต่โยกย้ายข้าราชการ ในช่วงแรกการทำงานก็จะไม่เกิดแรงหน่วงขนาดนี้ ตอนเข้ามาก็มีน้ำมีพายุมากแล้ว น้ำใเขื่อนก็ความจุแค่ 60 % อุตุก็บอกจะมีพายุเข้า แต่หล่อนก็มัวไปเน้นงานพี่ชาย งานเงินเดือน15000 ค่าแรง 300 แบบลำเอียง งานรถคันแรก งานบ้านหลังแรก ซึ่งไร้ประโยชน์และผลาญภาษีชาวเราแบบสุด ๆ แถมทำลายขวัญกำลังใจของข้าราชการ ย้ายซะ เกียร์ว่างกัน แล้วจะมาบ่นท้ออะไร ใครไปเชิญคุณมาทำหน้าที่นี้หรือ ทำไม่ได้ก็รีบถอยไปเถอะ ก่อนบ่้านเมืองจะพังพินาศตอนที่หล่อนทำงานฟื้นฟูน้ำท่วมแบบเลือกสี ไร้สติอีก เจ้าประคุณเอ๋ย เมตตาไม่ลงจริง ๆ เมื่อได้ยินวิทยุเสื้อแดงและมนุษย์อกตัญญูแผ่นดินพวกนั้นจ้วงจาบ ใส่ร้ายป้ายสีเบื้องสูงอย่างหน้าด้าน ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวของหล่อน 20 ตุลาคม 2554 08:59:20 ความเห็นที่ 2 yunfal อย่าได้ท้อใจไปเลยท่านนายก น้ำท่วมครั้งนี้เป็นกรรมร่วมของคนไทย ที่มีคน 15.ล้านตัวเลือกผู้น้ำที่ไม่มีวุฒิภาวะและมีสมองมาบริหารประเทศไทยนั่นเองแหละ แค่เลิกทำ อีเว้น กวนบาทาชาวบ้านที่เดือดร้อนก็พอ และไอ๊ประเภทโฆษกสมองหมาปัญญากระบือเพลาๆๆบ้างก็จะดี สวมรองเท้าอิตาลีคู่ละหลายหมื่นและหมวกเทรนใหม่ๆๆตรวจน้ำท่วมก็เลิกๆๆเสียมันทุเรศครับ กระดี้กระด้าหัวเราะร้วนบนน้ำตาชาวบ้านมันเกินไปครับ 20 ตุลาคม 2554 06:53:50 ความเห็นที่ 1 PaTrIoT อ้าว...ถ้ามาพูดในช่วงวิกฤติสุดๆแล้วอย่างนี้ ก็นับว่าเป็นการ ปัดสวะ ครับ หากรู้ว่ามีปัญหาสั่งใครไม่ได้ ก็ควรรู้ตั้งแต่น้ำทะลักจากนครสวรรค์มาอยุธยาแล้ว หรืออย่างช้าสุดก็ตั้งแต่นิคมสหรัตนนครพ่ายแพ้ต่อกระแสน้ำ และหาวิธีที่จะแก้ปัญหานี้ให้จบตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปล่อยให้เลยเถิดมาจนถึงตอนนี้ นอกจากนี้ เท่าที่ดูข่าว ทุกคนก็พยายามป้องกันแล้วจริงๆ เท่าที่เขาทำได้ ไม่มีใครอยากถูกน้ำท่วมหรอก แต่ข้อมูลจาก ศปภ.น่ะ คม-ชัด-ลึก ขนาดไหนกัน? เดี๋ยวก็ว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง เดี๋ยวก็ว่าประเมินพลาด กรุณา อย่าโบ้ย รู้จักรับผิดชอบเสียบ้าง 20 ตุลาคม 2554 04:43:18 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ตุลาคม 2554, 11:16:40 สโลแกนว่อนเน็ตเลย "เอาปัญญาชนมากรอกทราย เอาควายมาบัญชาการ" มันสะท้อนการทำงานของรัฐบาล ที่ไม่เอาทุกข์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นตัวตั้ง ท่านเกรงทหารจะได้หน้า เกรงฝ่านค้านจะได้คะแนน แต่ท่านไม่ห่วงทุกข์ของประชาชนที่จมน้ำเลย ในยุคที่คนเดือดร้อนแสนสาหัส มีแต่ธารน้ำใจ ไม่มีการแบ่งสี ทุกคนช่วยกัน แต่กลุ่มท่าน สีแดงยังด่าทหารในขณะที่เขามาช่วยกันน้ำ อยากรู้ว่าเพราะรัฐบาลท่านเลวหรือเปล่าคนดีๆ มีความรู้จึงไม่เขามาเลย ผมว่าทำดีครั้งสุดท้ายเสียสละเพื่อชาติ ลาออกทั้งคณะเถอะครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ตุลาคม 2554, 13:15:18 Wall Street Journal: ผู้นำใหม่ของไทยสะดุดน้ำท่วม
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:19:12 น. จาก เว็บประชาไท ผู้สื่อข่าววอลล์สตรีทเจอนัล ชี้สถานการณ์น้ำท่วมในไทยส่งผลต่อภาพลักษณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้จะมีความพยายามสกัดน้ำท่วมจาก ′วอร์รูม′ ที่ประสานกันจากรัฐบาลประชานิยม-กลุ่มอนุรักษ์นิยม-ผู้นำเหล่าทัพก็ตาม ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามถึง จนท.กรมชลประทานที่ไม่ยอมปล่อยน้ำที่ล้นเกินตั้งแต่แรก กระทั่งมีพายุฝนกระหน่ำ ขณะที่ในปีก่อนเจ้าหน้าที่กลับได้ปล่อยน้ำจากแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่เดือน ก.ค. 19 ต.ค. 2554 เจมส์ ฮุกเวย์ ผู้สื่อข่าววอลล์สตรีทเจอนัลรายงานเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยรายงานข่าวระบุว่า การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ ทำให้ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเสื่อมลง จากการที่มูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมมากขึ้นเรื่อยๆ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยืนยันแผนการอัดฉีดเงินกว่าพันล้านเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา นักวิเคราะห์กล่าวว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของนางยิ่งลักษณ์คือการปล่อยข้อมูลเรื่องน้ำท่วมอย่างส่งเดช จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ต้องออกประกาศด่วนในสัปดาห์ก่อนให้มีการอพยพบางส่วนในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ การไหลบ่าของข้อมูลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยที่ตื่นตระหนกและบริษัทต่างชาติที่หวาดกลัวต่างพากันปิดโรงงานทั่วประเทศไทยเพื่อยื้อเวลาการแก้ไขวิกฤติในครั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 315 รายและทำให้สูญเสียงานไปกว่าหลายแสน จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงร้อยละ 1.7 เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักไปทั่วเอเชียและที่อื่นๆ เมื่อวันอังคาร (18 ต.ค.) ที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติแผนทุ่มงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 4 แสนล้าน บาทในปีงบประมาณใหม่เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้ เทียบกับเงินเป้าหมายตั้งต้น 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซาของไทนและเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่าแสนคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้เคยบอกว่ากรุงเทพฯ ได้ผ่านวิกฤติน้ำท่วมครั้งที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว ก็ออกมาแถลงข่าวในภาวะเร่งด่วนเมื่อคืนวันจันทร์ (17 ต.ค.) บอกว่ากรุงเทพจะประสบกับน้ำท่วมภายในอีก 2 วันถัดไป โดยบอกให้ประชาชนคอยระวังตัวและอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะขอความช่วยเหลือด้านกระสอบทราย ในวันอังคารมีทหารและอาสาสมัครพลเรือนรุดไปช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำโดยใช้กระสอบทรายกั้นช่วงตอนเหนือกรุงเทพฯ เป็นความพยายามสุดท้ายในการสกัดกั้นน้ำ ตามทฤษฎีแล้ว ความพยายามสกัดกั้นน้ำท่วมในไทยจะมาจากการ ′วอร์รูม′ กันในเขตสนามบินเก่าของกรุงเทพ ที่ซึ่งกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งทางการเมืองมานั่งร่วมโต๊ะหารือกันอย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชานิยมกับอำมาตย์อนุรักษ์นิยมและผู้นำเหล่าทัพซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน รวมถึงสังหารประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงทางการเมืองกว่า 90 ราย ในความเป็นจริงแล้ว นักวิเคราะห์บอกว่า ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญหน้าและจัดการกับสถานการณ์ที่เปรียบเสมือนบททดสอบครั้งใหญ่ในการทำงานเป็นรัฐบาลซึ่งเพิ่งมีอายุ 2 เดือน เนื่องจากรัฐบาลนี้ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าถูกควบคุมโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอซึ่งอยู่ที่ดูไบหลังจากถูกทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน "คุณยิ่งลักษณ์หน้าที่ของเธอได้ดีสมกับความน่าเชื่อถือเราเห็นเธอไปทุกที่" ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์กล่าว "แต่รัฐบาลเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเกิดน้ำท่วมจากเมื่อสองเดือนก่อน แต่ก็ยังคงทำอะไรน้อยมากในการป้องกัน นี่เป็นภาวะวิกฤติผู้นำ" นับตั้งแต่ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ ทำตัวแตกแถวในวันพฤหัสฯ (13 ต.ค.) โดยรุดออกจากห้องประชุมเกี่ยวกับวิกฤติการณ์เพื่อบอกกับชาวกรุงเทพฯ ตอนเหนือว่าให้ออกจากบ้านทันทีเพื่อหนีน้ำท่วม เรื่องนี้ทำให้ชาวไทยหลายคนแปลกใจจากการที่คุณปลอดประสพเคยเป็นผู้บริหารที่ทำกิจการอันน่าตื่นเต้นอย่างที่รู้จักกันดีคือการนำเมนูเนื้อสัตว์แปลกๆ อย่างม้าลายและจระเข้ลงในเมนูของไนท์ ซาฟารี ในจังหวัดเชียงใหม่ การป้องกันน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ยังคงดีอยู่ ซึ่งต่อมาคุณปลอดประสพได้ขอโทษเรื่องที่เขาสับสน แต่ก็ทำให้มีประชาชนจำนวนมากหนีออกจากบ้านในตอนกลางคืนและเกิดความแตกตื่นไปทั่วเมือง และหลังจากนั้น ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ ก็บอกให้ชาวกทม. ฟังเขาและเชื่อเชาคนเดียว หลังจากนั้นมาการโต้เถียงกันเรื่องวิกฤติน้ำท่วมในประเทศไทยก็เริ่มเผ็ดร้อนมากขึ้น อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยเจอกับปัญหาน้ำท่วมในสเกลที่เล็กกว่าเมื่อปีที่แล้วก็แนะนำให้ยิ่งลักษณ์ประกาศภาวะฉุกเฉินและเลื่อนการออกงบประมาณสำหรับโครงการประชานิยมซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการณรงค์หาเสียงจนชนะการเลือกตั้งก่อนหน้านี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทหารไทยในการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยให้สามารถเป็นมือที่สามเวลามีความขัดแย้งชองชาวบ้านเวลาที่ออกตามหาของหายหลังน้ำท่วม จนบัดนี้ยิ่งลักษณ์ยังคงปฏิเสธการประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยบอกว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหวาดกลัวเนื่องจากประเทศไทยกำลังเตรียมการเข้าสู่ช่วงฤดูท่องเที่ยว นักสังเกตการณ์รายอื่นๆ ตั้งคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่ชลประทานถึงไม่ทำการปล่อยน้ำที่ล้นเกินจากแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่แรก จนกระทั่งเกิดผลกระทบจากพายุฝนที่โหดกระหน่ำผิดปกติในปีนี้แล้ว ซึ่งในปีก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชลประทานได้ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนและแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่เดือน ก.ค. ในระหว่างนั้นรัฐบาลก็ส่งสัญญาณออกมาหลายอย่าง ขณะที่น้ำท่วมเขตโรงงานเพิ่มมากขึ้น มีโรงงานแหล่งที่ 6 ต้องปิดไปเมื่อวันจันทร์ (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจก็เริ่มสงสัยว่าวิกฤติในครั้งนี้จะเกิดอีกนานแค่ไหน หนึ่งในนั้นคือโรงงานบริษัทฮอนด้ามอเตอร์ของไทย ซึ่งถูกน้ำท่วม และโตโยต้ามอเตอร์ก้บอกว่าจะปิดโรงงานในไทยเพิ่มเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงช่วงปลายสัปดาห์เป็นอย่างน้อย เนื่องจากผู้ผลิตวัตถุดิบรายสำคัญยังคงประสบกับภาวะน้ำท่วม กลุ่มผู้ผลิต อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductors) และฮาร์ดไดรฟ์ (hard drives) ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยกลุ่มธุรกิจกล่าวตำหนิว่ารัฐบาลไทยไม่ออกวิธีแก้ปัญหาในระยะยาวให้กับปัญหาน้ำท่วมไทย กลุ่มธุรกิจของญี่ปุ่นเคยกล่าวไว้แล้วว่าบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากรวมถึงผู้ลงทุนรายใหญ่ในไทยจำนวนมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและข้อมูลใดที่แม่นยำ "พวกเขาได้รับคำเตือนแต่ก็มีข้อมูลไม่มากพอและมีเวลาไม่มากพอจะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร" เซยะ ซุเกะกาว่า นักเศรษฐศาสตร์ประจำองค์กรส่งเสริมการค้าธุรกิจระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization-JETRO) ประจำประเทศไทยกล่าว ที่มา: Floods Set Back New Thai Leader, The Wall Street Journal, 19-10-2011 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ตุลาคม 2554, 20:35:42 : ดำริพระเจ้าอยู่หัว
พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้ยิ่งลักษณ์ไปเฝ้าครั้งล่าสุด ทรงให้ยิ่งลักษณ์ผันน้ำออกทางทิศตะวันออกเพราะ ร 5 ท่านให้ขุดคลองระบายออกหลายสายลงสู่อ่าวไทย และที่ตรงนั้น พระเจ้าอยู่หัวท่านเก็บไว้เป็นแก้มลิงรับน้ำ ทำให้ไม่ท่วมกรุงเทพ ฯ และก็ไม่ต้องผันน้ำไปลงที่อยุธยา ปทุมนนทบุรี ที่ตรงนั้นคือหนองงูเห่า แต่ทักษิณ ไม่ฟัง ดันสร้างสนามบินสุวรณภูมิจนเสร็จ ที่โกงกินกันมหาศาล ทำให้กั้นทางเดินของน้ำที่จะไหลออกสู่อ่าวไทย ตรงหนองงุเห่ามีประตูระบายน้ำ 10 ประตู ผันน้ำออกสู่ทะเลอ่าวไทยได้วันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ความจริงที่น่าสะพรึงกลัวคือ ณ วันนี้ประตูน้ำทำงานได้เพียง 40-50 % เพราะน้ำถูกผันออกมาทางนี้น้อยมาก ยิ่งลักษณ์กลัวว่าน้ำจะไปท่วมสุวรณภูมิจะทำให้คนด่า ว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านเตือนแล้วว่าอย่าสร้างตรงนี้มันก็มาสร้างกัน เป็นมรดกบาปที่ทักษิณทำให้ประเทศไทยอีกอันหนึ่ง นอกจากโกงกินกันมากมายเข้ากระเป๋าพวกทักษิณ แล้วชาวบ่านแถวอยุธยา ปทุม นน ต้องรับกรรมอย่างแสนสาหัสไป เพราะยิ่งลักษณ์ให้น้ำไหลไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เป็นบ้านเรือนชุมชนหนาแน่น ทางนี้ไม่ประตูระบายน้าที่จะช่วยได้ระบายน้ำได้เลย น้ำจึงท่วมนานและระบายออกได้ช้า ยิ่งลักษณ์ไม่นึกถึงความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ไม่ผันน้ำมาทางทิศตะวันออกตามที่พระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่ง แม้กระนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงหาทางช่วยประชาชนอีก ท่านโปรดให้ขุดคลองลัดโพธิ์ จ. สมุทรปราการ จากเดิมเป็นคลองคดเคี้ยวยาว 18 กม เพื่อย่่นระยะทางเหลือเพียง 600 เมตรลัดน้ำให้ออกสู่ทะเลเร็วขึ้น ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดเมื่อปลายปีที่แล้ว ใครกันที่ทำเพื่อประชาชน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ตุลาคม 2554, 20:37:45 รูปเดียวก็ ชัดเจน (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd523603_2413849_8358282_9901394photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2554, 19:03:18 ขอโอกาสให้ดิฉันทำงานก่อนเถอะค่ะ
ข้อเขียนจากชาวน้ำท่วมคนหนึ่ง อย่ามากล่าวหาว่าดิฉันโง่นะคะ ดิฉันไม่ได้โง่ รัฐบาลของดิฉันต้องการเก็บกักน้ำไว้ เพราะพื้นที่ฐานเสียงของดิฉันยังเกี่ยวข้าวไม่เสร็จ ข้าวของดิฉันตันละ15000 ขายดิบขายดีแน่นอนค่ะ แต่เผอิญดิฉันไม่ทราบว่าพายุนกเต็นกับนาแกจะมา เพราะดิฉันอยู่ระหว่างเยือนไมตรีกับสมเด็จฮุนเซ็น แหมก็แค่เตะบอลกันนิดหน่อยแค่นั้นล่ะค่ะ ตอนน้ำท่วมสุโขทัย มาถึงพิษณุโลกก็เกือบเดือนแล้ว ตอนนั้นดิฉันจึงคิดว่าบางระกำโมเดลคงจะรับได้ ต่อมามวลน้ำมานครสวรรค์เห็นท่านปลอดบอกว่า 2-3 หมื่นล้านคิว ท่านปลอดบอกว่าคำนวนปริมาณน้ำผิดพลาด น้ำเต็มเขื่อน ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวเขื่อนแตก!!! ดิฉันเองก็คำนวนไม่เป็นเลยว่าน้ำมวลน้ำขนาดไหน ปล่อยออกมาจะท่วมสูงกี่เมตร กินพื้นที่เท่าไหร่ แรงดันน้ำกี่นิวตั้น ดิฉันเลยสั่งให้ทีมงานปลูกหญ้าแพรก เพื่อชะลอการไหลของน้ำ และใช้เรือดำน้ำดันเข้าลพบุรี ..ต่อมาดิฉันก็เพิ่งมารู้ว่า หญ้าแพรกไม่สามารถชะลอน้ำได้ น้ำเลยผ่านสิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท เข้าท่วมอยุธยา นั้นก็ตามผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าๆ ดิฉันจึงคิดว่าน้ำเหลือแค่ 1-2 หมื่นล้านลบ.ม. คงไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาหมดแล้ว ส่วนที่เหลือกระสอบทรายน่าจะเอาอยู่ ดิฉันจึงตั้ง ศปภ.ขึ้น เพื่อแจ้งไปยังนิคมโรจนะ ให้หนุนกระสอบทราย 3 เมตร ปรากฎว่าน้ำทะลักเข้าท่วม จึงเตือนให้นิคม ไฮเทคหนุน 4 ม. น้ำก็ยังเข้าท่วมอีก จึงเตือนให้นิคมบางปะอินหนุน 5 ม.น้ำก็ยังเข้าท่วมอีก ต่อมาอีก1สัปดาห์ จึงเตือนให้นิคมอื่นๆเช่น นวนคร หนุน 6 เมตร ก็ท่วมตามๆกันมาจนถึงปทุมล่ะค่ะ ดิฉันเลยใช้เรือ 75000 ลำมาดันมวลน้ำก้อนใหญ่ลงสู่อ่าวไทย แล้วค่ะ ...แต่เอ..ไม่รู้เหมือนกันมวลน้ำก้อนไหนยังมาอีก มาท่วมที่ปทุม ศูนย์อพยพของดิฉันที่ม.ธรรมศาตร์ ทะลักมาถึงนิคมบางกะดี่ จนมาจ่อสายไหม ดอนเมือง ดิฉันจึงคิดว่าไหนๆจะท่วมกรุงเทพฯแล้ว ก็ขอให้ท่วมไปเลย ดิฉันจึงสั้งท่านการุณพังคันดินที่คลองประปา เพื่อแบ่งพื้นที่รับน้ำจากปทุม ผ่านมา 2 เดือน ดิฉันคิดว่าสู้ไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ น้ำคงจะท่วมบ้านดิฉันแน่ๆ จึงประกาศ พ.ร.บ. ภัยพิบัติฉุกเฉิน เรื่องก็มีอยู่แค่นี้ล่ะค่ะ ขอโอกาสให้ดิฉันทำงานก่อนนะคะ ดิฉันจะบูรณาการทุกภาคส่วน ให้ท่วมทั่วๆกันก่อนมวลน้ำลงสู่อ่าวไทยค่ะ ขอโอกาสให้ดิฉันทำงานก่อนเถอะค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ตุลาคม 2554, 21:58:55 Thaiflood' ถอนตัว!เเจง รับไม่ได้ "แฉ" ศปภ.เซ็นเซอร์ข้อมูลน้ำท่วม
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ดูแลเว็บไซต์ไทยฟลัดดอทคอม (Thaiflood.com) และกรรมการผู้จัดการบริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ (Kapook.com) ที่มา ช่วยงานภาครัฐกับ ศปภ. ที่กองอำนวยการร่วมมือร่วมใจจากพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม และเปิดให้ผู้มีจิตอาสามาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือ และรับเรื่องราวต่างๆ ในการที่จะบริจาคนั้น ได้เกิดความขัดแย้งกันในการจัดการกับ ศปภ. ภาคประชาชน ทำให้นายปรเมศวร์ ผู้ที่ดูแลและมีหน้าที่ในส่วนของการให้ข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์น้ำท่วมไม่พอใจการทำงานของ ศปภ. ในการห้ามนำเสนอในข้อมูลดังกล่าว และมีการปิดบังข้อมูลในเรื่องความไม่พอใจในการทำงานของกองอำนวยการ จึงขอแยกกองหน่วยงานข้อมูลข่าวสารน้ำท่วมและผู้ประสบภัยไปตั้งที่อื่น นายปรเมศวร์ ยอมรับว่าถอนตัวจากศูนย์ ศปภ.จริง พร้อมให้เหตุผลว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ เพราะถูกกีดกั้นด้านข้อมูล ไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ถึงขนาดมีการโทรศัพท์มาขอเซ็นเซอร์ และตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะแถลงข่าว รวมทั้งการบริหารจัดการที่ไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีการแจ้งข้อมูลต่อประชาชนอย่างเป็นระบบเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ทำให้กลุ่ม “ไทยฟลัด” ต้องขอแยกตัวไปที่สำนักงาน “ไซเบอร์เวิลด์” ที่รัชดาฯ พร้อมเตือนว่า ภัยธรรมชาติเมื่อบวกกับการบริหารจัดการที่ไม่เป็นระบบ ก็จะกลายเป็นภัยพิบัติ นายปรเมศวร์ กล่าวต่อว่า ไทยฟลัดได้มาตั้งศูนย์อยู่ที่ดอนเมือง ตามคำเชิญชวนของรัฐบาลตั้งแต่ต้น ช่วงสัปดาห์แรกยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการให้การสนับสนุนข้อมูล เพื่อเตือนภัยแก่ประชาชนเป็นอย่างดี แต่พอสถานการณ์น้ำท่วมหนักขึ้น ได้ขอเสนอตัวเป็นตัวแทนภาคประชาชนที่จะเข้าไปร่วมให้ข้อมูลแก้ปัญหากับภาครัฐ กลับได้รับการปฏิเสธ แค่ให้ทำหน้าที่ "พีอาร์" (ประชาสัมพันธ์) ข้อมูลที่ ศปภ. จัดมาแถลงเท่านั้น "ทางไทยฟลัดเห็นว่า ข้อมูลช่วงหลังจากภาครัฐเริ่มไม่พอที่จะนำมาวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่มีการคิดและทำ จึงเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่ไทยฟลัดจะต้องแบ่งกำลังมาอยู่ตรงนี้ รวมทั้งดอนเมืองเองก็มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมสูง และถึงย้ายไปผมก็ยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ พอที่จะขอประสานข้อมูลกันได้ เรามาอยู่ที่นี่คือต้องการช่วยผู้ประสบภัยอย่างเดียว ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นขั้วการเมืองขั้วใด มีความพยายามจะขอเซ็นเซอร์ข้อมูลของไทยฟลัด ทั้งที่เราพยายามเตือนประชาชนด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการให้ข้อมูลจริงที่นำไปสู่การตัดสินใจได้" ผู้ดูแลเว็บไซต์ไทยฟลัด กล่าว นายปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า มีเหตุการณ์ที่รับไม่ได้คือ ล่าสุดที่ไทยฟลัดออกแถลงการเตือนสถานการณ์น้ำท่วม กทม.ออกไป กลับมีการโทรศัพท์จากภาครัฐเข้ามาแสดงความไม่พอใจ อยากให้ปรับเปลี่ยนท่าทีในการออกแถลงการณ์ เช่น ข้อมูลบางอันก็ขอให้ส่งผ่าน ศปภ. ก่อนที่จะมีการนำเสนอ ซึ่งตนบอกว่าทำไม่ได้ เพราะยามวิกฤติประชาชนกำลังรอข้อมูลเพื่อความอยู่รอด แต่กลับจะเอาข้อมูลไปกรองก่อน ที่สำคัญมันยังอาจทำให้ข้อมูลถูกบิดเบือนได้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เท่าที่ทำงานเป็น ศปภ. มีข้อมูลอะไรที่ประชาชนควรรับรู้ แต่ ศปภ.ไม่เคยให้นั้น นายปรเมศวร์ กล่าวว่า สิ่งที่ไม่เคยได้รับคือ มาตรการต่างๆ ของภาครัฐในการรองรับปัญหา เช่น มีการประกาศแผนอพยพ แต่ไร้แผนรองรับ ทั้งที่ควรจะบอกชัดเจนก่อนว่าให้อพยพไปไหน ไม่ใช่อยู่ๆ น้ำเข้ามาแล้ว ผู้คนแตกตื่น แต่ไม่รู้ว่าจะต้องอพยพไปไหน เมื่อวานนี้ (21 ต.ค.) นายกฯ แถลงว่าจะปล่อยน้ำให้ระบายผ่าน กทม. เราก็อยากฟังแผนการระบายน้ำ เพื่อจะได้ช่วยคิดช่วยทำ แต่ ศปภ.กลับแถลงแค่ขอเครื่องสูบน้ำจากภาคเอกชน ตนเคยเสนอแผนการระบายน้ำอย่างเป็นระบบที่คลองเปรมมาแล้ว ก็เห็นว่าที่ประชุม ศปภ.เอาไปพิจารณาและเอาไปทำ ก็อยากจะเห็นแผนในลักษณะเดียวกันออกมาจากรัฐบาล ไม่อยากเห็นเพียงว่าพอแก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่เป็นระบบ สุดท้ายก็มาพูดแค่ว่า เราได้ทำเต็มความสามารถแล้วเท่านั้น รายงานข่าวจาก ศปภ. แจ้งว่า หลังจากกลุ่มไทยฟลัดนำบุคลากรออกไปตั้งที่ทำการใหม่ที่ใช้ในการให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมนั้น ทางมูลนิธิกระจกเงาที่อยู่ด้วยกันภายใน ศปภ. ก็ได้เข้าไปใช้พื้นที่แทนทันที พร้อมติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าว. 'ไทยฟลัด' ถอนตัว! อ้างรับไม่ได้ ศปภ.เซ็นเซอร์ข้อมูลน้ำท่วม 'Thaiflood' หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 10:31:37 เบื้องหลัง!ม.31รัฐบาลหวังใช้งบ กทม.
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ประกาศใช้ พ.ร.บ.บรรเทาสาธารณภัย หวังใช้งบ กทม. แก้น้ำท่วมและความเสียหายที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แหล่งข่าวที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาล เปิดเผยว่า การใช้อำนาจตามพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 31 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไปใช้นั้น สามารถใช้ในสถานการณ์ภัยที่ไม่ร้ายแรง ไม่ใช่ภัยพิบัติสาธารณะ เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายกฯอบต. นายกเทศมนตรี ถือว่าเป็นผู้ประสบภัยไปแล้ว จึงไม่สามารถใช้เครื่องมือทางด้านกฎหมายนี้แก้ไขหรือบรรเทาสาธารณภัยได้แล้ว แต่ต้องใช้พ.ร.ก.การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน การที่รัฐบาลประกาศ มาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และตั้งศปภ.ส่วนหน้าโดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับประสานงานสั่งการ ของนายกฯ ร่วมกับผู้ว่าฯ กทม. โดยศปภ.จะเป็นผู้สนับสนุน และเสนอแนะการทำงานของกทม. ทั้งนี้ การประสานสั่งการใดๆ ต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยจะมีเฉพาะคำสั่งจากศปภ.เท่านั้น และตามมติครม.ระบุว่า หากจังหวัดใดมีการประกาศจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ อำนาจตรงจุดนี้เมื่อเป็นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถเบิกจ่ายงบประมาณฉุกเฉินได้ 50 ล้านบาท ยกเว้นบางจังหวัดได้ถึง 100 ล้านบาทต่อเดือน โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ครั้งนี้เมื่อน้ำมาปะทะที่หัวเมืองกรุงเทพฯ ปรากฎว่ารัฐบาลมาใช้อำนาจเพิ่มเติม โดยการใช้อำนาจตามมาตรา 31 เพื่อที่จะควบคุมส่วนราชการทุกส่วนได้ รวมทั้งกองทัพและท้องถิ่น ก็ปรากฎว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 31 นายกฯ จะต้องประกาศว่า “อุทกภัยครั้งนี้เป็นสาธารณภัย ร้ายแรงอย่างยิ่ง” ก่อน นายกฯ จึงจะมีอำนาจตามมาตรา 31 ได้ แต่ปรากฎว่านายกฯ กลับใช้อำนาจตามมาตรานี้เลย จึงทำให้ 1.ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวโดยที่กทม.ไม่เกี่ยว 2.การที่รัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรา 31 นั้น เป้าหมายก็คือต้องการเอางบประมาณของท้องถิ่นของกทม.มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 10:34:45 ผู้เชี่ยวชาญด้านกม.ชี้ พรบ.ป้องกันภัย มาตรา 31 สายไปแล้ว
โดย : สำนักข่าวเนชั่น ผู้เชี่ยวชาญด้านกม.ชี้รัฐบาลงัดพรบ.ป้องกันภัย สายไป หวั่นเกิดปัญหาความขัดแย้ง โยนความรับผิดชอบ เชื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เปิดเผยถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 31 ที่ระบุว่า ในการกำหนดคณะบุคคลรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษรในการเข้าแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องประกาศคำสั่งว่าสถานการณ์เป็นภัยพิบัติอย่างร้ายแรงอย่างยิ่งตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว นายกรัฐมนตรีถึงจะมีอำนาจตามมาตรา 31 เพราะตาม พรบ.เป็นอำนาจของผู้อำนวยการ คือ รมว.มหาดไทย แต่กรณีนี้อำนาจของ รมว.มหาดไทย ไปเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และสามารถสั่งการได้หมด ทั้งราชการส่วนกลาง หน่วยงานของรัฐ แล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะการใช้อำนาจเหนือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งตรงจุดนี้หากนายกรัฐมนตรีสั่งการอะไรไป และทางผุ้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่ปฏิบัติทำก็จะมีความผิด แต่การสั่งการจะต้องชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้หากนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศคำสั่งว่าสถานการณ์เป็นภัยพิบัติร้ายแรงอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจตามมาตรา 31 ไม่ได้ "การประกาศคำสั่งในครั้งนี้ต้องการให้มีอำนาจเหนือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยรัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี หรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ไม่สามารถสั่งการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยตรงได้ ดังนั้นทาง กทม. ต้องการให้มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะพูดด้วยวาจาคงไม่ทำให้ และเมื่อปฏิบัติตามคำสั่งและเป็นความผิดฐานกระทำความผิดโดยมิชอบไม่ได้ สาเหตุนี้หาทางปลดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพราะที่ผ่านมาถือว่ามีปัญหาความขัดแย้งของฝ่ายการเมืองกับทางกทม. อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมที่เกิดขึ้นนายกรัฐมนตรีคิดว่ามีอำนาจตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว เมื่อนายกรัฐมนตรี สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกิดอุทกภัย ใช้อำนาจไม่ได้เต็มที่ เพราะคิดว่าจะใช้อธิบดีกรมชลประทานก็ใช้ไม่ได้ หรือใช้ทหารก็ไม่ได้ จึงได้ใช้อำนาจการบริหารตาม พรบ.จัดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ปี 2534 โดยสั่งการให้กองทัพ หรือ หน่วยงานต่าง ๆ ช่วย แต่เมื่อหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยแต่ไม่มีกฎหมายรองรับเลย จึงทำให้ไม่สามารถบูรณาการการทำงานได้ เพราะใช้เครื่องมือผิดคือ พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” แหล่งข่าวระบุ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนเดิม ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีคิดว่ามีอำนาจ แต่จริง ๆ ไม่อำนาจ เพราะการบูรณาการแผนมันเกิดปัญหาตั้งแต่ท้องถิ่นอยากจะทำแบบนั้น แต่รัฐบาลกลับทำอีกอย่าง ก็จะทำให้งานสะเปะสะปะ โดยจะต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน ปี 2548 โดย พรก.ฉบับดังกล่าวมีอยู่ 2 กรณี คือ 1.ภัยพิบัติอย่างยิ่งของประชาชน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และ 2.เพื่อความมั่นคงของรัฐ โดยตั้งแต่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2548 พรก.ฉบับดังกล่าวนำไปใช้ในกรณีความมั่นคงจนคนแหยง และทำให้หลายคนโดยเฉพาะฝ่ายการเมืองไม่เข้าใจว่า พรก.ฉบับดังกล่าว ใช้อำนาจภัยพิบัติร้ายแรงของประชาชนได้ด้วย เพราะเจตนารมย์ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องสึนามิ ปรากฎว่ารัฐบาลไม่ใช้เครื่องมือนั้น แต่มาใช้ พรบ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงสาธารณภัยที่ใช้วิธีการป้องกัน และบรรเทาภัยเท่านั้น แต่สถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ไม่ใช่สาธารณภัยธรรมดา แต่เป็นภัยพิบัติอย่างร้ายแรง เครื่องมือ พรบ.ดังกล่าวใช้ไม่ได้ เพราะตัวผู้ประสบภัยในฐานะที่เป็น ผอ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะที่เป็นผู้ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตาม พรบ.ฉบับดังกล่าว และแผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติของฝ่ายพลเรือนเป็นเพียงผู้ประสบภัย ฉะนั้นไม่สามารถแก้ไขภัยของตัวเองได้ เพราะตัวเองก็เป็นผู้ประสบภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการกฎหมาย บอกอีกว่า การออก พรก.ฉุกเฉินดีที่สุด เพราะสามารถทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำ ตั้งแต่ถนน ทั้งนี้รัฐบาลไม่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำได้ดีกว่าทาง กทม. ดังนั้นจำเป็นจะต้องออกพรก.ฉุกเฉิน เพราะมันคุ้มครองทางด้านกฎหมาย ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีจะมีเอกภาพสามารถสั่งการได้คนเดียว จะมอบหมายให้ทหารทำ หรือ หน่วยงานอื่นทำมันจะเด็ดขาดมากกว่านี้ การทำงานจะต้องมีเอกภาพสั่งการไม่ใช้ต่างคนต่างทำ ขณะนี้น้ำมาทุกทิศทุกทาง วันนี้จะต้องหาคนตัดสินใจเพียงคนเดียว อย่างนายกรัฐมนตรีจะใช้ให้ทหารทำ ทหารก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่มีอำนาจ บทบาทของทหารทำได้เพียงการป้องกัน และ อพยพประชาชนได้เพียงจุดหนึ่งเท่านั้น และข้อเสียอยู่ที่อำนาจะไปรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ขณะที่ พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะมีข้อเสียคืออำนาจอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย แต่ขณะนี้ตัวของกระทรวงมหาดไทยคือผู้ประสบภัย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ถือว่าเป็นผู้ประสบภัย ดังนั้นขีดความสามารถตรงนี้มันแก้ไขปัญหาไมได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ป้องกัน แต่กลายเป็นผู้ประสบภัย ทั้งนี้ถือว่าสายไปแล้วที่จะมาเอาอำนาจตามมาตรา 31 เพราะจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หากน้ำท่วมในพื้นที่ กทม. จะทำให้โยนความรับผิดชอบกันระหว่างนายกรัฐมนตรี กับผู้ว่าราชการ กทม. แต่วันนี้นายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบโดยตรงหากเกิดน้ำท่วมใน กทม. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 11:21:43 “ปรเมศวร์” แฉ ศปภ.ต่อ ที่ไหนไร้ธงแดงอดได้ของบริจาค เชื่อมีคนฉวยโอกาสน้ำท่วมสร้างความแข็งแกร่งตำบลแดง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2554 05:19 น. ผู้ก่อตั้งไทยฟลัด แฉศปภ.ต่อ หมู่บ้านไหนไร้ธงแดงรถบริจาคไม่จอด ของบริจาคก่อนออกจากดอนเมืองต้องให้ ส.ส.เพื่อไทยเซ็นเพื่อเลือกจุดลงของเอง อีกทั้งมีการเอาไปรวมกับคาราวานแดงที่อิมพีเรียลลาดพร้าวด้วย เชื่อมีคนฉวยโอกาสวิกฤตน้ำท่วมสร้างความแข็งแกร่งให้ตำบลแดง พร้อมลั่นทหารทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนพวกใส่เสื้อสูทเดินไปเดินมาออกกล้อง ชอบเบ่งใส่ประชาชน วันนี้ 23 ต.ค. เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. นายปรเมศวร์ มินศิริ เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอตคอม ในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.thaiflood.com (ไทยฟลัดดอตคอม) ได้เผยแพร่ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว @ iwhale หลังจากที่ ศปภ.ไม่ยอมจบ อ้างเหตุที่ไทยฟลัดถอนตัวเนื่องจากต้องการเข้าร่วมประชุมด้วย แต่ ศปภ.ไม่ยอม โดยนายปรเมศวร์ได้โต้กลับดังนี้ ไทยฟลัด (ThaiFlood.com) แจ้งขอเป็นกรรมการตัวแทนประชาชน ก่อนที่จะเข้าไปอยู่ที่ศูนย์ดอนเมือง ไม่ใช่เพิ่งขอเข้าประชุมทีหลัง เหตุผลที่ต้องการเข้าร่วมประชุมไม่ใช่แค่ขอรับฟังข้อมูลมาบอกกับประชาชน แต่เพื่อนำเสียงจากประชาชนเข้าไปแนะนำรัฐบาลที่ตนเน้นไป รัฐบาลชุดก่อนมีกรรมการจากตัวแทนประชาชนหลายคน ไม่ใช่แค่ตนคนเดียว รัฐบาลนี้ปกปิดอะไร จึงไม่แต่งตั้งตัวแทนประชาชนเข้าร่วมทำงาน เครือข่ายภาคประชาชน ที่เคยร่วมรับมืออุทกภัยเมื่อปีก่อน ขาดโอกาสในการเข้าร่วม เพราะคนละสี? “การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จะต้องก้าวข้ามความเห็นต่าง หลายหมู่บ้านบ่นกันเยอะว่ารถส่งของบริจาคไม่ยอมจอด ถ้าไม่ยอมติดธงแดง” จากข้อความนี้ได้มีโปรดิวเซอร์ช่องระวังภัย ใช้ชื่อทวิตเตอร์ @Jib_Rw มาช่วยยืนยันด้วยว่า “เจอมาจริง” นายปรเมศวร์เผยอีกว่า รัฐบาลชุดที่แล้วไม่ใช่จะดีอะไรนักหนา แต่ตนไม่เคยเห็นการเอาขบวนเสื้อเหลืองมารับของบริจาคภาครัฐไปแจกอะไรแบบนี้เลย ตนตั้งใจจะช่วยแก้ไขปัญหาแบบก้าวข้ามสี แต่รัฐบาลคิดแบบนี้เหรือเปล่า ไม่ทราบ ตนรู้สึกยินดีกับพี่น้องเสื้อแดงที่อาสามาช่วยงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่กล่าวมาไม่ได้จะเหมารวมว่าทุกคน “มีคนคิดฉวยโอกาส สร้างความเข้มแข็งให้กับ “ตำบลเสื้อแดง” ในช่วงที่มีผู้ประสบภัยมากขนาดนี้ ผ่านกลไกของรัฐ โปรดจับตาให้ดี” นายปรเมศวร์เผยต่อว่า ผู้ใหญ่จาก ศปภ.โทร.มาว่า “ทำไมไม่ยอมพบกันครึ่งทางเลย” ตนตอบไปว่า ถ้าบ้านคุณน้ำท่วม มีเรือไปรับคุณแล้วส่งแค่ครึ่งทาง คุณเอาไหม การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผมไม่ประนีประนอม “No compromise” รัฐบาลต้องทำให้เต็มที่ ผมไม่ต่อรองอะไรกับคุณทั้งนั้น!!! นอกจากนั้น มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @nakus32 ได้ถามว่า ของที่จะออกจากดอนเมืองได้ ส.ส.เขตต้องเป็นคนเซ็นออกจริงหรือเปล่า นายปรเมศวร์ตอบว่า “จริงครับ เขาเลือกจุดลงเอง” เสื้อแดงกำลังโจมตีดิสเครดิตว่าตนไม่ทำงาน จึงต้องขอชี้แจงดังนี้ นโยบายของ @nuling (นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด) คือ “ศปภ.ตำบล” ตนเคารพในแนวคิด แต่เห็นต่าง ตนจะหนุนให้พื้นที่ที่เข้มแข็งแล้วดูแลผู้ประสบภัยให้ได้ ไม่จัดตั้งใหม่ ทาง @nuling บอกว่าเขาจะประจำที่ดอนเมืองตลอดเวลา ส่วนผมต้องวิ่งรอกหลายที่ เช่น ศูนย์อาสาสมัครบ้านอาสาใจดี, ศูนย์กระจายความช่วยเหลือที่ ตจว. ติดตั้งระบบเตือนระดับน้ำที่ปากเกร็ด คลองแสนแสบ หน้าสรรพาวุธ สน.ดุสิต (เพื่อประสานกับวังสวนจิตร) และอีกหลายจุดผมไปคุมงานเอง ศูนย์ที่พิษณุโลกส่งของด่วนผ่านนกแอร์ไปนครสวรรค์ รถจากกรุงเทพฯ ไปไม่ได้ เราส่งไปแล้วมากกว่า 50 ตัน เน้นของใช้ รพ.แม่และเด็ก ในฐานะวิศวกร จากรั้วสามย่าน ตนสำรวจวางแผนการระบายน้ำในคลองด้วยตัวเอง ทำแผนเสนอรัฐบาล ถนนข้างวังสวนจิตรน้ำต้องไม่ล้นออกมา เจ้าหน้าที่รัฐเหนื่อย ทหารเหนื่อย ทุกคนเหนื่อย แต่จะเหนื่อยน้อยกว่านี้ถ้ารัฐบาลร่วมกันคิดทำเพื่อประชาชนให้มากกว่านี้ ตนไม่ได้ต้องการโฆษณาการทำงานของตัวเอง จนกระทั่งมีทวิตเสื้อแดงกล่าวหาว่าตนสร้างภาพ ไม่ทำงาน ต้องขออภัยที่จำเป็นต้องพูดบ้าง โดยก่อนหน้านี้นายปรเมศวร์ได้ทวีตข้อความวิพากษ์วิจารณ์ ศปภ.ด้วยว่า “ที่ผมทำงานได้เพราะได้ความร่วมมือจากข้าราชการ ทหาร ตำรวจ อาสา ที่มีจิตใจดีทั้งสิ้น นักการเมืองแย่ๆ กั๊กเอาพวกพ้องอย่างเดียว” “ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทย กลายเป็นของเล่นของนักการเมืองเห็นแก่ตัวไม่กี่คนที่กำลังเพลินกับการใช้งบประมาณฉุกเฉิน” “ศปภ.ส่งคนมาขู่ถึงศูนย์ มีพยานฟังเพียบ อ้างกฎหมาย อ้างชื่อนายทหาร จะให้ผมหยุดบางทวีตครับ” นอกจากนั้น นายปรเมศวร์ได้เผยแพร่ภาพ ร่วมกับข้อความในการโต้กลับ ศปภ.ครั้งนี้ด้วย (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd404808_4514495_8625924_6235119photo.jpg) ของบริจาคเข้าสำนักนายกจำนวนมาก ถูกขนไปร่วมคาราวานเสื้อแดงที่อิมพีเรียลลาดพร้าว จริงหรือไม่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 16:09:22 (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd74396_5200241_7180862_4715916photo.jpg)
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd316461_4807235_7047413_4542273photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 16:10:58 (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd170821_9225681_5355541_4556365photo.jpg)
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd935500_7789855_1572990_9662283photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 16:12:35 (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd801682_3203357_9804935_791968photo.jpg)
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd971604_66094_8592753_3759965photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 ตุลาคม 2554, 20:59:26 เฟซบุ๊ก ศปภ.ออกลายแดง! สับ “สื่อเนชั่น” เล่นน้ำท่วมหวังธุรกิจ - ชาวเน็ตกังขาสื่อทางการจริงหรือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2554 ASTVผู้จัดการ - เฟซบุ๊ก ศปภ.โพสต์ด่าสื่อเนชั่น เอาเรื่องน้ำท่วมช่วยนักการเมืองฉวยโอกาสทางธุรกิจ ชาวเน็ตสุดทนถามวุฒิภาวะ กังขามาช่วยหรือมาเสี้ยม ไล่ไปทำหน้าที่ให้ดีเสียก่อน สุดท้ายทนเสียงด่าไม่ไหวลบข้อความหนี แฉพบพฤติกรรมหนุนแก๊งแดงเพียบ วันนี้ (23 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. เฟซบุ๊กของ “ศปภ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า NationGroup เป็นอีก 1 กลุ่มสื่อ ที่เอาความเดือดร้อนประชาชน ช่วยนักการเมือง หวังฉวยโอกาสทางธุรกิจ โดยภายหลังข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นไม่พอใจวุฒิภาวะของผู้ดูแลหน้าเฟซบุกของ ศปภ.จำนวนมาก อาทิ Gib Panatda โพสต์ความเห็นระบุว่า “พูดความจริงซะที ตอนนี้สื่อมวลชนกับองค์กรอิสระน่าเชื่อถือกว่า ศปภ.อีก แถลงทีไร ต้องเปลี่ยนช่องทุกที” Charlotte Tk โพสต์ว่า “มาเตือนสติ เอาเวลาที่มานั่งด่าคนอื่น มาทำให้คนอื่นด่า ศปภ.ให้น้อยลงดีกว่ามั้ยค่ะ น้ำท่วมเยอะแยะไม่ไปแก้ไขและป้องกันล่ะค่ะ มัวนั่งแหกปากอยู่ได้ เนี่ยหรอ หน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาช่วยเหลือประชาชน สถุนว่ะ” ส่วน Kungging Laddawan โพสต์ว่า “วุฒิภาวะของคนทำงานให้ ศปภ.มีแค่นี้เองเหรอ” ขณะที่ Sophon Montreevichikul โพสต์ในทำนองเช่นกันว่า “admin ที่ดูแลระบบ ขาดวุฒิภาวะมาก แย่” Sirasupa Rattanaprakarn โพสต์ว่า “ประเมินสมองประชาชนต่ำไปป่ะคะ ปชช.เค้ารู้ดีว่าต้องเชื่อและไม่เชื่อสื่อไหน ไม่ต้องมาบอกให้ตัวเองดูแย่หรอกคะ ปชช.หมดศรัทธา” Kwan Gift โพสต์ว่า “คนดูแลเพจนี้ควรพิจารณาตัวเองนะคะ มาช่วยหรือแฝงตัวมาเสี้ยม สังคมแย่เพราะมีคนแบบนี้ รายงานข่าวตามปกติไม่เป็นต้องใส่ความเห็นยัดเยียด อย่ามาทำดีกว่าถ้าใจคุณอคติ” ส่วน Plus Pat โพสต์ว่า “ศปภ.เอาเวลาไปช่วยเหลือน้ำท่วมไม่ดีกว่า อย่าลืมว่า ศปภแปลว่าอะไร ไม่ได้มีไว้วิจารณ์คนอื่น ชาวบ้านเดือดร้อนและล้มตายไปเยอะแล้ว” Watcharin Ketkorn โพสต์ว่า “ศปภ.อย่าลืมว่าคุณทำหน้าที่อะไรอยู่ อย่าว่าคนอื่น หน้าที่คุณคือ นำเสนอข่าวสารที่เป็นจริง เตือนช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ตั้งมาเพื่อวิจารณ์คนโน้นคนนั้น ทำหน้าที่ตนเองให้ดีก่อนครับ” Aor Wiriya โพสต์ว่า “พวกคุณทำหน้าที่ที่พวกคุณรับผิดชอบมาได้ดีหรือยัง...ทุกวันนี้พวกคุณยังสับสนกันเองอยู่เลย..สื่อเค้าต้องการเสนอความจริงแต่พวกคุณกลับบิดเบือนแบบนี้มันหมายความว่ายังไง...อย่ามาเหมารวมคนที่เค้าอยู่คนละข้างกับคุณให้เป็นเหมือนพวกคุณสิ..... เพราะประเทศไทยมีคนอย่างพวกคุณบริหารนั่นแหล่ะมันถึงไม่เจริญซักที.... คุณธรรมจริยธรรมหายไปไหน.. นี่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ...คณะรัฐมนตรี...คนดีๆ คุณไม่เลือกเค้ามาบริหาร.. มันไม่ผิดจากที่คุณหนูดีทวิตไว้จริงๆ” Tukmor Coffeeman โพสต์ว่า “สื่อมีอิสระในการนำเสนอนะครับ แล้วประชาชนก็มีอิสระในการรับชมข่าวแล้วใช่วิจารณญาณในการรับข่าวสาร ในความคิดของผมนะคับ ศปภ.มีหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือแล้วแจ้งเตือนข่าวสารเกียวกับเหตุภัยพิบัติ ที่ชัดเจนถูกต้องให้กับประชาชนนะคับ แล้วประชาชนจะตัดสินใจเองคับว่าจะเชื่อไคร ไงก็ทำหน้าที่ของ ศปภ.ให้เต็มที่นะคับ มาวิพากษ์วิจารณ์สื่อแบบนี้ยิ้งจะทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่ลงนะคับ สู้ๆ คับ” Khaisri Wisutthipinetr โพสต์ว่า “หน้าที่ที่มีทำให้ดีเสียก่อน ทุกวันนี้ข้อมูลน้ำท่วม ปชช.ต้องดิ้นรนหา สอบถามกันเอง ทุกอย่างที่ ศปภ.ประกาศออกมา นอกจากไม่น่าเชื่อแล้วยังยิ่งสร้างความไม่มั่นใจให้ ปชช.อีก ทุกครั้งที่บอกไม่ท่วมก็หมายถึงท่วมแน่ๆ ชะโงกดูเงาตัวเองในน้ำท่วมหน้าศูนย์บ้างนะว่าทำดีแค่ไหน ทำไม ปชช.หรือสื่อจะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้” Amy Jaa โพสต์ว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ศปภ.ถึงไม่ได้รับความเชื่อถือ ทำไมถึงมีการถอนตัวจะมาดูสถานการณ์น้ำท่วม เครียดจะตายอยู่แล้วกับเรืองน้ำ เข้ามาเจอเรื่องแบบนี้ ลาขาดแล้วค่ะ” อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา ผู้ดูแลเฟซบุ๊ก ศปภ.ได้ลบข้อความไปแล้วอย่างรวดเร็ว โดยก่อนหน้านี้แฟนเพจดังกล่าวก็ได้เคยอัปโหลดภาพปริมาณน้ำเขื่อนภูมิพลลงในอัลบั้มของแฟนเพจด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากที่ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวกรณีดังกล่าวร่วมกับแกนนำคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งมีการโพสต์ข้อความผิดพลาดในอีกหลายกรณี ขณะที่การโพสต์ข้อความส่วนใหญ่มักจะเป็นการนำข่าวจากสื่อต่างๆ หรือบอกเล่าความต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลโดยตรงของทาง ศปภ. รวมไปถึงการนำคำพูดจากทวิตเตอร์ของบุคคลใกล้ชิดกับรัฐบาลที่ตอบโต้กับบุคคลอื่นมาเผยแพร่ด้วย จึงมีการตั้งข้อสังเกตุว่าแฟนเพจดังกล่าวเป็นแฟนเพจอย่างเป็นทางการของ ศปภ.จริงหรือไม่ เนื่องจากทางศปภ.ก็ไม่เคยมีหนังสือว่าได้ใช้เว็บไซต์เฟซบุกเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับประชาชน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 ตุลาคม 2554, 20:10:00 “กรณ์” แฉ “ปู” กั๊ก เปิดประตูระบายน้ำสมุทรปราการ เหตุกลัวเสียคะแนนเสียง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 ตุลาคม 2554 17:45 น. บันทึก “อำนาจอยู่ในมือ” ในเฟซบุ๊กของนายกรณ์ จาติกวณิช ซึ่งเขียนวิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาน้ำท่วม และการระบายน้ำลงสู่ทะเลของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ASTVผู้จัดการ – กรณ์ จาติกวณิช ป้อง กทม.พยายามเร่งระบายน้ำแล้วจนคลองตื้น แฉภาพ “รัฐบาลปู” ยังไม่อนุมัติเปิดประตูระบายน้ำที่สมุทรปราการทั้งหมด เหตุกลัวน้ำเอ่อท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ทำเอาเสียคะแนนเสียง จี้ตัดสินใจเด็ดขาด-แจงประชาชน อัดอย่ามัวแต่โทษคนอื่น เพราะตัวเองมีอำนาจเต็มในมือ วันนี้ (24 ต.ค.) เมื่อเวลา 17.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เขียนบันทึกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง “อำนาจอยู่ในมือ” โดยระบุถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครในขณะนี้ ว่า ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครนั้น สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ก็คือ การระบายน้ำลงสู่ทะเล ผ่านแม่น้ำและคูคลองต่างๆ ทั้งนี้ นายกรณ์ ยืนยันว่า กรุงเทพมหานครภายใต้การดูแลของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการระบายน้ำอย่างเต็มที่แล้วเพื่อเตรียมรองรับน้ำเหนือที่ไหลลงมาในพื้นที่ กทม. “เวลานี้ชัดเจนกันทุกฝ่ายว่าสิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ ‘ระบายน้ำลงทะเล’ ทางใหญ่ที่สุด คือ ลงเจ้าพระยา ตามด้วยบางประกง และคลองต่างๆ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯและสมุทรปราการ นึกภาพดูว่าเจ้าพระยากว้าง ราวๆ 300 เมตร ขณะที่่คลองอย่างเก่งก็ 10 เมตร และตื้นกว่าด้วย เจ้าพระยาจึงเป็นเส้นทางหลักของน้ำ “วันนี้คำถาม คือ กรุงเทพฯ ระบายออกทางคลองต่างๆ เต็มที่หรือยัง คำตอบที่ได้รับคือ ‘เต็มที่แล้ว’ แต่น้ำในคลองยังน้อยเพราะน้ำเหนือจากคลองสองยังลงมาไม่ถึง และต้องระบายให้ตื้นไว้น้ำจึงจะไหลลงมาได้ ส่วนน้ำที่ต้องผันไปทางบางประกง และลงทะเลที่สมุทรปราการ เราได้ยินว่า ‘ทางรัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้เปิดประตูระบายน้ำ’ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากชุมชนที่กังวลว่า น้ำจะเอ่อเข้าบ้านเขา” นายกรณ์กล่าว พร้อมกันนี้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังได้แสดงภาพประตูระบายน้ำประเวศบุรีรมย์ (คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต) ณ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีการเปิดประตูน้ำเพียง 4 ประตูจาก 20 ประตู ทำให้การระบายน้ำไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร และวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่ารัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะต้องมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ เร่งทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่อาจได้รับผลกระทบจากการเร่งระบายน้ำ และไม่ควรกล่าวโทษคนอื่น เพราะอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจอยู่ในมือตัวเองแล้ว ภาพประตูน้ำประเวศบุรีรมย์ที่นายกรณ์ระบุว่า รบ.ยิ่งลักษณ์ยังไม่อนุมัติให้เปิดเต็มที่ เพราะเกรงจะกระทบกับชาวบ้านในพื้นที่ จ.สมุทรปราการซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย (ภาพจากเฟซบุ๊กนายกรณ์) “ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน ไม่มีครับ เพียงแต่รัฐต้องตัดสินใจเด็ดขาด ในการทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเร่งระบายน้ำ และต่อคำถามว่า ... ปล่อยให้ น้ำท่วมกรุงเทพฯ แล้วจะทำให้น้ำทั้งหมดลงทะเลเร็วขึ้นไหมและคุ้มต่อความเสียหายต่างๆหรือไม่ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องตัดสินใจ แล้วรีบดำเนินการโดยด่วน !!! “อย่าโทษ คนโน้น คนนี้ครับ ‘อำนาจเด็ดขาด’ อยู่ในมือโทษใครคนอื่นไม่ได้” นายกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 7 เขต ของจังหวัดสมุทรปราการ ก็พบว่า เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย 6 เขต และ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย 1 เขต โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดสมุทรปราการ - นางอรุณลักษณ์ กิจเลิศไพโรจน์ พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสมุทรปราการ - นายประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดสมุทรปราการ - นางอนุสรา ยังตรง พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดสมุทรปราการ - นายวรชัย เหมะ พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสมุทรปราการ - นางสลิลทิพย์ สุขวัฒน์ พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดสมุทรปราการ - นางสาวเรวดี รัศมิทัต พรรคภูมิใจไทย เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดสมุทรปราการ - นายประชา ประสพดี พรรคเพื่อไทย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 ตุลาคม 2554, 20:23:37 ความเชื่อและความจริงที่จะทำให้บ้านเมืองล่มสลาย
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 24 ตุลาคม 2554 “The public are sick and tired of politics, they are sick and tired of the machinations of elected office in a media age, and I think it’s quite good having a Head of State that’s completely to one side of that. ประชาชนเบื่อหน่ายและเหม็นขี้หน้านักการเมือง เบื่อหน่ายและเอือมระอากับกลไกที่มาจากการเลือกตั้งกับยุคสื่อในยุคปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่ายังดีที่เรามีประมุขแห่งรัฐที่อยู่คนละฝั่งกับการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด” (Simon Upton, รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมนิวซีแลนด์, มีนาคม 1994) “การถวายคืนพระราชอำนาจเป็นโอกาสที่เราจะสังคายนาการเมืองไทย อย่ากลัวว่าในหลวงจะทรงใช้ผิดครรลองประชาธิปไตย แม้ถวายอำนาจที่ผิดให้ก็จะไม่ทรงรับ ตัวอย่างรัฐธรรมนูญที่ผมร่วมร่าง (2516) ให้องคมนตรีลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก ทรงส่งคืนพร้อมกับพระราชวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ พระมหา กษัตริย์ต้องเป็นกลาง” “ขณะนี้น้ำท่วม คนไทยโหยหาอยากพึ่งบารมีและพระอัจฉริยะของในหลวง และเห็นแล้วว่าความอืดอาดยืดยาดทำไปกินไปของนักการเมืองนั้นเป็นอย่างไร” ข้อความข้างบนนี้ ตอกย้ำความฉลาดของคนนิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับคนแคนาดา และออสเตรเลียที่เขาเลือกอยู่ใต้ระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ทั้งที่กษัตริย์ต้องไปยืมมาจากอังกฤษ และนานๆ จึงจะมาเยี่ยมประชาชนที ทั้งนี้ เพราะเขาไม่อยากตกอยู่ใต้นักการเมืองเลือกตั้งที่ทำให้เบื่อหน่ายเอือมระอา คนแล้วคนเล่า ผมได้เขียนบทความเรื่อง “น้ำท่วมฉิบหาย ตายกันเป็นเบือ เบื่อนักการเมืองโว้ย ” ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ผมได้ย้ำให้ท่านผู้อ่านได้คิดถึงความสำคัญของ “ความเชื่อ” ในทางการเมือง ซึ่งมักจะมีความสำคัญมากกว่า “ความจริง” เสียอีก “ความเชื่อ” อย่างหนึ่งที่คนไทยไม่น้อยพากันเชื่อ หรืออยากจะเชื่อ ก็คือ อาเพศของการมีผู้นำประเทศเป็นหญิง โดยมีผู้ยกเอาคำทำนายรัตนโกสินทร์ ฉบับปรับปรุงใหม่ที่อ้าง (และปฏิเสธแล้ว) ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นผู้ลิขิต ดังนี้ “ ผู้ปกครอง จะเป็นหญิง พึงระวัง สายน้ำหลั่ง กรากเชี่ยว หวาดเสียวใจ” มีผู้คนไม่น้อยที่ด่าทอสาปแช่งยิ่งลักษณ์ในเรื่องที่มิใช่ความผิดของนาง ในขณะที่ผมเสียใจและเห็นใจอย่างยิ่งกับความสูญเสียของพี่น้องชาวไทย ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากการเมือง ภาวะผู้นำ และการบริหารจัดการวิกฤตของประเทศเราดีกว่านี้ บ้านเมืองคงจะไม่ต้องล่มจมกว่านี้ หรือคงไม่ถึงกับจะต้องเอาอิสตรีที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินมาผูกโบใส่กล่องสีแดง ตะแบงขึ้นนั่งบัลลังก์ ผู้คนคงจะไม่พากันแตกตื่นเล่าลือกันในทางเหลวไหลมากมาย ส่วนใหญ่คงจะมิใช่เป็นเพราะพื้นฐานการศึกษา ความฉลาดหรือความโง่ซึ่งไม่น่าจะต่างกันนักหนา แต่เห็นจะเป็นเพราะ “ความเชื่อ” หรือ “การเลือกข้าง” ทางการเมืองมากกว่า ความเชื่อทางการเมืองนี้ทำให้คนหลับหูหลับตาได้ ไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงเป็นนายแพทย์หรือดุษฎีบัณฑิตจบนอกจบใน ก็ไม่วิเศษกว่าตาสีตาสาสักกี่มากน้อย (อันนี้ ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มิใช่ความเชื่อ) ความเชื่อว่าน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำท่วมที่ล้มเหลวอย่างแรงคราวนี้ เป็นความผิดหรือจะโทษใครดี ผมได้ยินหรือประสบมาด้วยตนเองมีถึง 4-5 อย่าง เรียงลำดับตามความบ่อยของการได้เห็นหรือได้ยิน 1. โทษเขื่อนภูมิพลและโทษเขื่อนสิริกิติ์ ตลอดจนผู้พระราชทานนามว่าต้องการแกล้งทักษิณ รัฐบาลและสมุนบริวารเสื้อแดง การเผยแพร่ความเชื่อแบบคาบลูกคาบดอกนี้ปรากฏทั้งอยู่ในยูทูป วิทยุชุมชนและการบอกเล่าของคนขับแท็กซี่ ที่หน้าบ้านผมเอง เจ้าของร้านอาหารถึงกับจะวางมวยไม่ยอมขายให้เจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างที่เลือดสีแดงเต็มตัวต้องการเผยแพร่ความเชื่อของตนเองให้ปรากฏ 2. ดร.ไสว บุญมา จากธนาคารโลก วอชิงตัน ดี.ซี. กลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ได้รับรายงานฉอดๆ จากคนขับรถแท็กซี่ว่าสาเหตุที่บ้านเมืองน้ำท่วมก็เพราะ “ไอ้มาร์ค” กับ “พรรคประชาธิปัตย์” มันวางยาไว้รัฐบาลจะได้เสียหน้าอยู่ไม่ได้ พร้อมทั้งยืนยันว่า ถ้าไม่จริงวิทยุชุมชนเขาจะเอาที่ไหนมาพูด 3. รัฐบาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีไร้เดียงสาขาดภาวะผู้นำ ความรู้ต่ำอ่อนด้อยต้องคอยฟังคำสั่ง และถูกรายล้อมด้วยนักการเมือง ข้าราชการขอรับกระผม และนักวิชาการปัญญาอ่อน จึงมิสามารถนำหลักการนักวิชาการและเครื่องมือที่ถูกต้องแท้จริงและมีอยู่พร้อมในประเทศไทยมาใช้ให้ได้ผลทันท่วงทีได้ 4. นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นตลอดจนหน่วยราชการที่เป็นทาสคอยเกาะกิน พากันแทรกแซงซ้ำเติมการป้องกัน-บรรเทา สงเคราะห์และการเตรียมรื้อฟื้นด้วยการโยกโย้ โยกย้าย ถ่วงดึงการทำงานเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการงาบและเบียดบังงบประมาณตลอดจนการหาเสียงและป้องกันฐานเสียงของตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่าง สุพรรณบุรี 5. ระบอบทักษิณวางแผนทอนกำลังและทำลายความเชื่อถือของประชาชนที่มีอยู่กับทุกสถาบัน เพื่อทำให้เกิดความเสียหายอย่างถึงที่สุด เกิดสภาพโกรธแค้น สิ้นหวังชิงชัง และมองหาทางออกอื่นมิได้นอกจากการพึ่งทักษิณคนเดียว เป็นการปูทางให้ทักษิณสามารถกลับสู่อำนาจและทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบรัฐใหม่ของฝ่ายแดงได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อะไรจะจริง อะไรจะเท็จ หรือข้อใดจะบวกกับข้ออื่นได้อย่างไรบ้างหรือไม่นั้น สังคมไทยมีสิทธิ์จะใคร่ครวญ วิเคราะห์วิจารณ์ หรือสำรวจหาข้อมูลและความจริงได้ แต่ที่เราจะต้องยอมรับกัน ณ วันนี้โดยไม่มีข้อแก้ตัวก็คือ การป้องกันภัยพิบัติด้วยการวางแผนล่วงหน้าที่พอเพียง การเตือนภัยที่เชื่อถือได้ การบรรเทาความเสียหายและเดือดร้อนมิให้ลุกลาม ด้วยระบบการจัดการ กลไกและเทคโนโลยีที่เหมาะสมนั้นได้ล้มเหลวลงและเชื่อถือไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ภัยหลังน้ำท่วม ต่อระบบการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ลูกหลานบ้านเมืองและประชาชนจะหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ยังไม่เห็นมีหน้าไหนจะมีปัญญา ความกล้าหาญ และความเสียสละที่จะออกมากอบกู้ช่วยเหลือได้ นอกจากประชาชนและพระสยามเทวาธิราช ใครจะช่วยประเทศไทยได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2554, 09:44:59 ทางเลือก ทางรอด
โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com ที่แยกบางพลู ตลาดบางบัวทอง ทุกอย่างยังสับสนอลหม่าน พ่อแม่ลูกเสื้อเปียกปอน นั่งล้อมกองกระเป๋าสัมภาระที่นำเอาติดตัวออกมาได้ มองดูทดท้อสิ้นหวัง แว่วเสียงเพลง "อย่ายอมแพ้" ดังมาจากสถานีโทรทัศน์ ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ลูกกลุ่มนี้ รู้สึกดีขึ้น พ่อขบกรามแน่น มือทั้ง 10 นิ้วกำแน่นทั้งสองข้าง นางผู้เป็นภรรยา เอื้อมมือไปลูบไหล่ลูกสาว ความสับสนอลหม่าน แผ่กว้างไปที่ตลาดบางใหญ่ บิ๊กซี บิ๊กคิงส์ หมู่บ้านบางบัวทอง กะละมังซักผ้าคือความช่วยเหลือแรกที่ชาวบ้านจะนำสิ่งของมีค่าออกจากบ้านพักเพื่อมาหาโอกาสของชีวิตที่ริมถนนใหญ่ และรอรับความช่วยเหลือส่งต่อไปยังศูนย์อพยพ โดยความช่วยเหลือของทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ไร้วี่แววของตำรวจ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ที่จะออกมาช่วยประชาชน เพราะตำรวจคือเจ้าของพื้นที่ รู้ทุกตรอกซอกซอยในเขตพื้นที่ แต่กลับปล่อยให้ทหารคลำทางช่วยประชาชนต่อไป เพลง "อย่ายอมแพ้" ดังออกมาจากสถานีโทรทัศน์ที่ไหนสักแห่ง หนุ่มวัยกลางคน เบือนหน้าหนี มองขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดมิดดำสนิท มันช่างเหมือนโอกาสทางชีวิตของเขา ที่เพิ่งกลับออกมาจากบ้านที่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร บ้านที่เขาและภรรยากู้เงินธนาคารซื้อบ้านชั้นเดียว ตามฐานะการงาน ตลอด 10 ปี ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบซื้อสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน เมื่อน้ำมา ข้าวของที่สั่งสมมา 10 ปี ทั้งตู้เสื้อผ้า เตียงนอน ที่แม้จะยกขึ้นที่สูงที่สุดตามสภาพบ้านชั้นเดียว แต่ก็ไม่พ้นจากระดับน้ำ สิ่งที่เหลือใช้ได้ในบ้านคือ โครงหลังคา ที่เหลือคือการเริ่ม "นับหนึ่งใหม่" 0000 ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ จาก ม.รังสิต มองแนวทางการแก้ปัญหาภัยพิบัติ "ระยะยาว" คือ 2 p (Preparedness และ Prevention) และ 2 R (Response และ Recovery) เพื่อแก้ปัญหาทั้งประเทศเชิงรุก "ผมเคยบอกนายกรัฐมนตรี ว่า การบริหารจัดการภัยพิบัติจะทำงานเชิงขอร้องไม่ได้ ต้องทุบโต๊ะจัดการเลย รัฐบาลต้องกระตือรือร้น การแก้ปัญหาในระยะยาว ถ้าทำได้จะไม่เกิดการทะเลาะกันเรื่องการปล่อยน้ำ ถ้าประเมินว่าจะปล่อยน้ำแค่ไหน ก็ไม่เกิดปัญหา...ต้องเตรียมการ 7-8 เดือนเพื่อป้องกันน้ำหลากปีหน้า ทั้งเตรียมทำคันดินชั่วคราวหรืออ่างเก็บน้ำตรงไหน ต้องประเมินให้ได้" ดร.เสรี บอกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทำแค่การจัดการในภาวะฉุกเฉิน (R : Response) และการจัดการหลังการเกิดภัย (R : Recovery) แต่ไม่ได้ทำเรื่องการเตรียมความพร้อมรับภัย (P:Preparedness) และการป้องกันและลดผลกระทบจากภัย (P : Prevention) "ผมคิดว่า ถ้าไม่จัดการอย่างเป็นระบบ ประเทศจะล่มจม ผมอยากให้รัฐทำจริงจัง เพราะเหตุปัจจัยเรื่องแผ่นดินทรุดตัว ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ฝนที่ตกมากขึ้น เป็นปัจจัยความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ประกอบกับปรากฏการณ์ลานีญา จะกลับมาอีกครั้ง" 0000 แม่ผมโทรศัพท์มาจากบ้านนอก ถามว่าบ้านที่กรุงเทพฯ น้ำท่วมแล้ว กลับมาอยู่บ้านเราไหม? ครับ อีสานบ้านผมน้ำไม่ท่วม ข้าวในนากำลังตั้งท้อง อีกไม่นานทุ่งรวงทองจะเหลืองอร่าม คนที่ผมรู้จักหลายคนที่เป็นแรงงานนิคมอุตสาหกรรมในพระนครศรีอยุธยา ล่วงหน้ากลับบ้านนอกก่อนผมแล้ว แม่บอกกับผมว่า "กลับมาอยู่บ้านเราไม่อดตายหรอก" แม้ว่าผมจะรอด แต่ถ้าการแก้ปัญหายังเป็นไปอย่างนี้บ้านเมืองก็ "ล่มจม" อยู่ดี แล้วผมกับพี่น้องคนไทยจะอยู่อย่างไร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2554, 22:13:31 เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด 00 น้ำท่วมใหญ่เที่ยวนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็ได้เห็นอารมณ์ทุรนของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะพวก ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งในต่างจังหวัด และในกรุงเทพฯที่เป็นพื้นที่รับน้ำปลายทาง โดยเฉพาะ ส.ส.ในกลุ่มหลังที่กำลังกระสับกระส่ายกับผลงานอันห่วยแตกของรัฐบาลตัวเอง สิ่งที่ทำได้เวลานี้ก็คือพยายามบิดเบือนกลบเกลื่อน “โยนขี้” ใส่ฝ่ายตรงข้ามเอาดื้อๆว่าไร้น้ำยาในการแก้ปัญหาโดยสิ้นเชิง ความหมายก็ต้องการส่งตรงถึงผู้ว่าฯ กทม. 00 แม้จะรู้ว่าการกล่าวหาแบบนั้นอาจจะไม่ได้ผล เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนรู้ทันมากขึ้น และที่สำคัญความพินาศย่อยยับที่เห็นตำตา ตามต่างจังหวัดตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคกลาง มาจนถึงกรุงเทพฯมันประจานให้เห็นว่า ไร้ประสิทธิภาพ มีแต่ราคาคุย ของปลอมจนสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสอย่างที่ไม่เคยประกฎมาก่อน แต่ของอย่างนี้ในระยะเริ่มต้นอาจยังไม่ค่อยเชื่อกันนัก ยังคิดว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” นี่สุดเจ๋ง เป็นเทวดา แต่ถ้ายังเชื่ออย่างนั้นก็ให้เตรียมตัวรับหายนะเอาไว้ก็แล้วกัน 00 ไม่ว่าฝนจะตก น้ำจะท่วม ฟ้าจะถล่ม แต่การรุกคืบเพื่อกระชับอำนาจเพื่อ “พวกกู-ของกู” ก็ยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ล่าสุดหวยก็ไปออกที่ พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าฯปทุมธานีเป็นอันดับแรก เมื่อฝ่ายการเมืองที่ฉวยจังหวะกดดันกันมาเป็นทอดๆ นั่นคือผ่าน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ มท.1 แล้วก็ผ่าน พระนาย สุวรรณรัฐ ในฐานะผู้ใช้อำนาจปลัดกระทรวงย้ายฉับทันที จากนี้ไปก็ให้จับตารายอื่นต่อไป เพราะนาทีนี้ไม่สนแล้วว่าต้อง “เปลี่ยนม้ากลางน้ำ” ดันคนรับใช้ใกล้ชิดฉวยโอกาเข้าไปเสริมแนวเอาไว้ก่อน 00 ส่วนวงการสีกากีก็ไม่แพ้กัน วันนี้ “ผบ.เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่งหัวโต๊ะ ถก กตร.กระชับ “รัฐตำรวจ”วาระสำคัญก็คือแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญเพื่อค้ำยันอำนาจของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และควบคุมรักษาความยุติธรรมส่วนตัวให้กับ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้มากนัก แต่เพื่อกันลืมก็ให้รอดูการเติบโตของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่จะเข้าไลน์ รองผบ.ตร.เตรียมวิ่งทางตรง มิน่าน้ำที่หน้าดอนเมืองถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พิลึก !! 00 ปฏิกิริยาของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มเหลืออดต่อ “รัฐบาลปูนิ่ม” กับการจัดการปัญหารับมือน้ำท่วมรวมไปถึงยังไม่มีความชัดเจนในการเยียวยาฟื้นฟู ล่าสุดเริ่มเคลื่อนไหวกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ามองได้หลายมุม มุมหนึ่งฉวยโอกาสบีบให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ แต่อีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงของนักลงทุนข้ามชาติพวกนี้แหละ “เสียงดังที่สุด” และยังเป็นพวกที่ “แม้ว” แคร์มากที่สุดด้วย ดังนั้นบอกได้คำเดียวว่าอย่ากระพริบตา !! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2554, 22:24:02 ปล่อยไก่อีก..ยัยปูเน่า
ตาก - คนตากงง “ครม.ยิ่งลักษณ์” ประกาศให้เป็น 1 ใน 21 จังหวัดน้ำท่วมที่ให้หยุดราชการ ขณะที่สถานการณ์จริง ทั่วเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติมานานกว่า 2 อาทิตย์แล้ว หลังจากที่ ครม.ยิ่งลักษณ์ ประกาศให้จังหวัดตาก เป็น 1 ใน 21 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม และประกาศเป็นวันหยุดราชการระหว่างวันที่ 27-31 ต.ค.54 นั้น มีรายงานข่าวจากจังหวัดตาก ยืนยันว่า ขณะนี้พื้นที่โดยรวมของจังหวัดตาก ได้เข้าสู่ภาวะปกติมานานกว่า 2 อาทิตย์ โดยเช้าวันนี้ (26 ต.ค.) มีประชาชนได้ส่งภาพบรรยากาศตัวเมืองตาก ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าลำน้ำปิงลดระดับลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และมีระดับความลึกประมาณ 2.0-2.5 เมตร ลดลงจากเดิมที่เคยขึ้นสูงจนถึงขอบตลิ่งบนประมาณ 6 เมตร ขณะที่บริเวณสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งวิกฤตน้ำท่วม ระดับน้ำสูงท่วมตอม่อ และบริเวณคอสะพาน ระดับน้ำปริ่มตัวสะพาน แต่ในปัจจุบันระดับน้ำต่ำกว่าตอม่อกว่า 60 ซม. ส่วนบริเวณแยกสะพานตากสิน ซึ่งเป็นจุดที่น้ำผุดขึ้นจากท่อเอ่อท่วมเป็นที่แรกๆ ของตัวเมืองตาก และเป็นจุดสุดท้ายที่ระดับลดลง หลังจากที่อื่นๆ เข้าสู่ภาวะปกติ ตอนนี้ก็ได้รับการฟื้นฟูแล้ว ผู้ประกอบการร้านค้า ก็ค้าขายได้ ไม่มีร่องรอยน้ำที่เคยท่วมสูงถึงครึ่งล้อรถยนต์ให้เห็นแล้ว เช่นเดียวกับเขตเศรษฐกิจตัวเมืองตาก ชาวบ้านร้านค้า ก็ได้รื้อกระสอบทราย จนเกือบหมดเมืองแล้วเช่นกัน ขณะพื้นที่ด้านเหนือของจังหวัด ได้แก่ อ.บ้านตาก และ อ.สามเงา ที่ท่วมขังมานานกว่า 2 เดือน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่การเกษตร น้ำก็ได้ไหลออกแม่น้ำวัง และแม่น้ำปิงหมดแล้ว รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ตอนนี้มีเพียงเสียงหัวเราะด้วยความขบขันของชาวบ้าน ปนกับความมึนงงว่า ตอนนี้จังหวัดตากมีพื้นที่ไหนน้ำท่วมจนหน่วยงานราชการต้องหยุดเหมือนพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลบ้าง ทั้งที่เมื่อกว่า 2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ต่างร้องขอให้ประกาศเป็นวันหยุดราชการ เพราะตอนนั้นน้ำท่วมวิกฤตจริงๆ กลับไม่มีการประกาศหยุดราชการ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2554, 22:54:33 ส.ส.สวมสิทธิ์ของบริจาค หวังดีประสงค์คะแนนเสียง?
โดย : ทีมข่าวการเมือง ไขปม ส.ส.เพื่อไทย สวมสิทธิ์ติดป้ายจองของบริจาคกลาง ศปภ. ใครทำอะไร หวังดีหรือหวังคะแนน ติดตามได้ในรายงานชิ้นนี้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ถึงเรื่องของบริจาคของภาคเอกชนและประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านทางศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ(ศปภ.)แต่ปรากฏว่ามีการติดป้ายชื่อนักการเมือง ทั้ง ส.ส.และ ส.จ.พรรคเพื่อไทย รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้มีการตั้งคำถามการกระทำของนักการเมือง ที่ฉกฉวยโอกาสหาเสียงด้วยของบริจาคของภาคประชาชนและเอกชน โดยนำรถติดป้ายชื่อของตนมาขนของบริจาคเพื่อให้เข้าใจว่านักการเมืองผู้นั้นเป็นผู้บริจาค จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักการเมืองเหล่านี้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประชาชนบางส่วนในโซเชียลมีเดีย ได้นำรูปภาพไปโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และตามเว็บไซต์ต่างๆ พร้อมทั้งรณรงค์ไม่ให้บริจาคสิ่งของและเงินผ่าน ศปภ.เพราะไม่ไว้วางใจจริงๆ โดยแนะนำให้บริจาคผ่านหน่วยงานอื่นๆ ที่น่าเชื่อถือ ภาพและข้อความยอดฮิต คือ ป้ายจองน้ำดื่ม 722 แพ็ค แปะชื่อ ส.ส.จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ระบุว่า "ห้ามขนย้าย" และภาพถุงซิปใสบรรจุยาสามัญประจำบ้านมีโกโล้ กทม.มีชื่อ ส.ส.การุณ โหสกุล พร้อมโลโก้พรรคเพื่อไทยแปะไว้ด้วย และยังมีข้อความ เช่น "เตือนภัยรายวัน อย่าไปบริจาคของที่ศปภ.มิฉะนั้นจะเป็นภาพ(ตัวอย่าง)แบบนี้" หรือข้อความ "ถ้านักการเมืองคนไหนเอาของประชาชนไปอ้างชื่อตัวเอง ผมขอบอกว่าพวกเขาไม่ต่างจากมิจฉาชีพ ตั้งกล่องหลอกชาวบ้านให้บริจาคช่วยน้ำท่วม" วิม รุ่งวัฒนจินดา เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (กฤษณา สีหลักษณ์) ในฐานะโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ(ศปภ.) มีคำอธิบายถึงกรณี กรณีของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำป้ายชื่อของตนเองไปติดไว้ข้างรถขนส่งของบริจาคว่า "ศปภ.ได้รับรายงานเบื้องต้น และขอให้สำนักรัฐมนตรีไปดูมาตรการเรื่องจ่ายถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัย แต่อาจจะมี ส.ส.บางคนที่เอารถมาบริการฟรี โดยรถที่นำมาอาจเคยนำไปใช้หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีการติดป้าย ขอขอบคุณประชาชน และลืมปลดป้ายออก ซึ่งเจตนาหรือไม่ก็ตาม ศปภ.ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำถุงยังไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ขอยืนยันว่า ขณะนี้ ศปภ.ยังขาดรถที่จะขนของบริจาคไปแจกให้กับผู้ประสบภัย จึงจำเป็นต้องใช้รถของ ส.ส.หรือ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยกรณีที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.ได้ทำความเข้าใจกับส.ส.ที่กระทำดังกล่าวแล้ว และขอให้สำนักรัฐมนตรีเข้าไปดูเรื่องระเบียบการรับบริจาค และระเบียบการจ่ายสิ่งของต่างๆ ออกไปให้ผู้ประสบภัย คาดว่าจะมีระเบียบเพิ่มมากขึ้น" วิม ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้มีระเบียบที่ชัดเจนในการจ่าย เพื่อให้ถึงมือผู้ประสบภัยอย่างแท้จริง โดยของส่วนใหญ่ทาง ศปภ.สั่งให้ทหารนำรถมาขนของทั้งหมด เพื่อไปแจกจ่ายกับผู้ประสบภัย โดยสามารถตรวจสอบได้เพราะรถทหารที่มาให้บริการเหล่านั้น นำถึงยังชีพไปแจกจ่ายที่ใดบ้าง ส่วนกรณีที่มีการนำป้ายขนาดใหญ่ติดชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาติดไว้ข้างรถและติดชื่อไว้กับสิ่งของบริจาคนั้น โฆษกศปภ.ชี้แจงว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำถุงยังชีพมาบริจาคให้กับ ศปภ.และไม่ได้นำของบริจาคลงจากรถ เพียงแต่มีการแจ้งให้ ศปภ.ทราบว่า จะนำของยังชีพไปให้ผู้ที่เดือดร้อนที่ไหน โดย ศปภ.ได้แจ้งกลับไปว่า ต้องนำไปบริจาคให้กับจังหวัดต่างๆ ที่ยังขาดแคลน "การเอารูปพ.ต.ท.ทักษิณ ไปติดไว้ อาจเป็นความนิยมส่วนตัว ยืนยันว่าสิ่งของที่กลุ่มเสื้อแดงนำมาบริจาค นั้น เป็นของเขานำมาเอง" โฆษก ศปภ.ระบุ สำหรับกรณีที่ กลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ก โพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊ค และ ทวิตเตอร์ รณรงค์ว่าจะไม่บริจาคผ่าน ศปภ.นั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร จะนำของไปบริจาคที่ไหนก็ถือว่าเป็นการบริจาคให้กับประชาชนที่ประสบภัย ไม่บริจาคผ่าน ศปภ.เพราะไม่ไว้ใจ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะการบริจาคสิ่งของให้กับผู้ที่เดือดร้อนเป็นเรื่องที่ดี ถ้าไม่มีใครบริจาคทางรัฐบาลก็ต้องดำเนินการซื้อจองบริจาคเพื่อแจกจ่าย ประชาชนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้วันเดียวกัน โฆษกศปภ.แถลงข่าว ชี้แจงถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายของรับบริจาคเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนที่ประสบอุทกภัยว่า เป็นอำนาจการตัดสินใจของสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งหมด เพื่อไม่ให้สิ่งของไปกระจุกอยู่จุดเดียว ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ผู้รับผิดชอบการเบิกจ่ายสิ่งของบริจาค นั้นยืนยันว่าขณะนี้สำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากศปภ.เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเบิกจ่ายสิ่งของบริจาคทั้งหมด คือ นายการุณ โหสกุล และนายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย โดยมีคณะกรรมการประมาณ 6 คน แต่จะต้องมีลายเซ็นต์ของนายการุณ และนายสุรชาติ กำกับเท่านั้น จึงจะนำสิ่งของออกมาได้ ขณะที่สถานการณ์เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 25 ต.ค.2554 ระดับน้ำบริเวณดอนเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศปภ.ได้สูงขึ้นจนต้องปิดถนนวิภาวดีทั้งขาเข้าและขาออก ทำให้ภายในศปภ.ได้เคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ เพื่อป้องกัน พร้อมทั้งปิดจุดรับเรื่องร้องเรียนและขอรับความช่วยเหลือของประชาชนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่อยู่ชั้น 2 อาคารภายในประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ปิดรับทั้งเรื่องร้องเรียน และงดแจกจ่ายถุงยังชีพและเรือให้ประชาชนที่มาขอรับความช่วยเหลือชั่วคราว โดยอ้างว่าต้องเคลียร์คน และสิ่งของบริจาคที่อยู่ชั้น 1 หากน้ำท่วมจะทำให้การขนย้ายสิ่งของลำบาก อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง และระบุด้วยว่า ถึงแม้จะรับเรื่องไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะยื่นเรื่องต่อที่ใคร เนื่องจากว่าแต่ละจุดปิดรับเรื่องแล้ว แต่จะเปิดรับเรื่องร้องเรียนใหม่ หลังจากที่ทราบว่าจะย้ายไปจุดใดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทำให้ประชาชนที่มาขอความช่วยเหลือเดินทางกลับไปมือเปล่า เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเหตุผลที่ปิดรับเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าจำเป็นที่ต้องเก็บสิ่งของ แต่จะมีเจ้าหน้าที่บางคนมาช่วยรับเรื่องไว้ก่อน หลังจากถูกสอบถาม ทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่มานั่งประจำจุดรับร้องเรียนจากประชาชนอีกครั้งเพื่อส่งต่อไปยังเขต ชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือบอกว่า ถ้าไม่เดือดร้อน ก็คงไม่มาขอรับบริจาคสิ่งของ หรือมาร้องเรียนเช่นนี้ ขณะที่ 2 ส.ส.กทม.ทั้ง การุณ โหสกุล และสุรชาติ เทียนทอง อ้างว่าติดภารกิจช่วยน้ำท่วม ขอเคลียร์ตัวเองวันนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2554, 23:06:03 สส.นนทบุรี พท.ท้าแดงตั้งโต๊ะบริจาคราชประสงค์
posttoday.com 26 ตุลาคม 2554 เวลา 22:21 น. | ส.ส.เพิ่อไทยนนทบุรี ท้าแดงทำบัญชีแจกแจงการบริจาคหากโปร่งใส แนะตั้งโต๊ะรับบริจาคที่ราชประสงค์วัดความนิยม ชี้เป็นส.ส.ของประชาชนไม่ใช่กลุ่มสี นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ตอบโต้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดง ที่ระบุว่าคนเสื้อแดงไม่ใช้อภิสิทธิ์รับของบริจาค ช่วยน้ำท่วมว่าเรื่องนี้ถ้าโปร่งใสจริง ก็ควรทำบัญชีแจกแจงการบริจาคให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความสบายใจต่อผู้บริจาค เพื่อกระจายสิ่งของไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึง ท้าแดงวัดใจ ตั้งบริจาคแยกราชประสงค์ เมื่อถามว่ากรณีที่คนเสื้อแดง จะจัดงานระดมเงินบริจาควันที่ 29ต.ค.เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกครั้ง นายฉลอง ตอบว่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าจะดีกว่านี้ น่าไปตั้งเต๊นท์โต๊ะรับบริจาคแยกราชประสงค์ อยากรู้ว่าจะมีคนมาเป็นหมื่นหรือไม่ หากมาจริงบริจาคแค่คนละ100บาทก็น่าจะได้เงินเป็นล้านบาท จะดูว่าจะมีเสื้อแดงมา โดยโดยที่ไม่ให้ส.ส.จัดหรือขนคนมาหรือไม่ ถ้าวันนี้ยังมั่นใจในกระแสเสื้อแดง ที่บอกว่าแดงทั้งแผ่นดินและมีเยอะจริง การเลือกตั้งในกทม.หลายเขตคงไม่สอบตกอย่างนี้ ขอท้าเลย สมัยหน้า ถ้าแน่จริง ทั้งนายณัฐวุฒิและนายจตุพร พรหมพันธู ควรไปลงสมัคร ส.ส.เขตเลย จะมาลงที่นนทบุรี หรือในเขต กทม.ก็ได้ จะได้รู้ถึงความนิยม อย่าไปหนีลงอันดับต้นๆในระบบบัญชีรายชื่อ โต้มีจิตวิญญาณ ภาวะผู้นำเหนือนปช. นายฉลอง ยังได้ตอบโต้ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีจิตวิญญาณของคนเสื้อแดงว่า ตนเข้าใจจิตวิญญาณการต่อสู้ของเสื้อแดง และเข้าใจดีจิตวิญญาณและมีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำมากว่าแกนนำ นปช. แต่ในวันสลายชุมนุม แกนนำเสื้อแดงกลับหนีเอาตัวรอด ไม่มีวุฒิภาวะผู้นำรับผิดชอบกับที่พาคนไปร่วมชุมนุมเลย มีคนที่ไปร่วมชุมนุมตาย กลับไม่มีความรับผิดชอบและไม่มีอยู่เป็นคนสุดท้าย เหมือนแกนนำเสื้อเหลืองอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไม่เคยทิ้งอยู่เป็นคนสุดท้ายยอมถูกจับก็อยู่ด้วย ซัด”ตู่-เต้น”หายตัว ไม่รับผิดชอบเด็กตาย “ผมรู้ว่าคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่ม 80% ที่ออกมาต่อสู้เพราะศรัทธาผลงานพ.ต.ท.ทักษิณ กระแส น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งนโยบายพรรคเพื่อไทย ที่เหลือ20%เป็นแดงแสวงหาประโยชน์ หากินกับเสื้อแดง ผมมีความรับผิดชอบ และเข้าใจกับการต่อสู้คนเสื้อแดงในการต่อสู้พาคนเข้าไปแล้ว มีเด็กที่ไทรน้อยไปร่วมชุมนุมเขาถูกยิงตายก็ดูแลรับผิดชอบตั้งแต่งานศพถึงวันเผา ส.ส.นนทบุรีมาดูแลกันหมด แต่แกนนำเสื้อแดงอย่าง นายจตุพร นายณัฐวุฒิ หายหัวไปไหน ไม่เห็นมาช่วยงานเลย ที่ผ่านมาเวลาจัดกิจกรรมวันเกิดใน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดแก้วฟ้าก็ไม่พ้น ส.ส.ก็เสียเงิน มีแต่จะจ่ายเงินให้กับคนเสื้อแดงทั้งนั้น นายณัฐวุฒิ มีบ้านใหญ่โตหลังเป็นสิบล้าน ย่านนนทบุรี เคยควักเงินบริจาคช่วยเหลือคนเสื้อแดงบ้างหรือไม่”นายฉลอง ย้ำ ข้องใจมีรัฐบาลแล้ว เสื้อแดงจัดกิจกรรมไม่เลิก นายฉลองกล่าวอีกว่า ส่วนตัวแปลกใจ เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งแล้ว และมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว ทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงยังจัดกิจกรรมอะไรกันนักหนา ไม่รู้ว่ามันมีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ ส่วนตัวเองยังศรัทธาเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ที่ต่อต้านรัฐประหาร หรือที่จะล้มรัฐธรรมนูญ 50 ก็เห็นด้วย แต่ถ้าคิดจะล้มเจ้า ตนไม่เอาด้วย เพราะคนในพื้นที่มีความรู้และเห็นว่าศรัทธาในแนวนี้ ก็ไม่ต้องมาเลือกตน ซึ่งคนเสื้อแดงไม่ใช่จะมาทำถูกทุกเรื่อง อะไรที่ถูกก็ต้องชื่นชม อะไรที่ถูกรังแก ก็ต้องพูด แต่วันนี้ อย่าทำให้คนรังเกียจไปมากกว่า ไม่เข้าใจจุดประเด็นแก้กม.จ้องเล่นงานทหาร “ทุกวันนี้ชาวบ้านก็เห็น ทหารมาช่วยเรื่องน้ำท่วมมากมาย แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมบางคนจ้องจะจุดประเด็นสร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะการจะแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ที่จะยิ่งไปสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นไปทำไม ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเล่นงานทหาร ผมอายเขา วันนี้เราต้องละลายสี ไม่มีกลุ่ม มวลชนควรเก็บเอาไว้ เมื่อใดที่เคลื่อนไหว หรือพูดเรื่องสีจะทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองไม่จบ ไม่สิ้น”นายฉลอง ย้ำ ชี้เป็น ส.ส..ของ ประชาชนไม่ใช่กลุ่มสี นอกจากนี้ นายฉลอง ยังกล่าวอีกว่า การได้กลับมาเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย มันเลยจุดประสงค์ไปแล้ว เมื่อได้รับเลือกตั้ง เข้ามาเป็นส.ส.ก็ควรเป็น ส.ส.ของประชาชน ไม่ใช่ ส.ส.ของกลุ่มใดหรือสีอะไร ต้องเข้าใจหลักการนี้ ไม่ใช่ไม่พอใจเรื่องอะไร ก็จะเอามวลชนมาบีบจะเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งการจะผลักดันเอากฎหมายอะไร ควรให้เป็นไปตามกลไกลสภาฯจากเสียงที่มีอยู่ในสภา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 ตุลาคม 2554, 23:15:31 ขึ้น ฮ. ตรวจพื้นที่???? (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd267813_6819460_7221033_982651photo.jpg) รถวิ่งออกจาก ศปภ. ของที่ออกไปมันของบริจาคจากประชาชนไม่ใช่เหรอ? (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd986842_8478247_3385106_2545024photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 ตุลาคม 2554, 23:28:48 "กรณ์" แฉ "ปู" บิดเบือนเส้นทางน้ำ ชนวนจ่อท่วมใจกลางกทม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 ตุลาคม 2554 21:31 น. "กรณ์" จวก "ยิ่งลักษณ์" ผันน้ำแหวกหลักปฎิบัติ ทำให้น้ำเจ้าพระยาขึ้นสูงสุดในประวัติการณ์ เสี่ยงใจกลางกรุงเทพฯจมน้ำนาน ตัดเส้นทางอำนวยความสะดวก การบริหารจะเป็นอัมพาต ส่งผลให้ ปชช.กลายเป็นผู้ประสบภัยอย่างสาหัส จี้ตอบเลี่ยงผันน้ำผ่านทางตะวันออกต้องการรักษาพื้นที่ไหนเป็นพิเศษหรือไม่ วันนี้ 27 ต.ค. เมื่อเวลา 15.32 น. นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงผ่านเฟซบุ๊ก เรื่องการบิดเบือนเส้นทางระบายน้ำ ผ่านกรุงเทพมหานคร ว่า สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ประเทศไทย ถือเป็นเรื่องวาระสำคัญ เร่งด่วน เป็นงานหลักที่สุด ที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ เพราะรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเพื่อให้วิกฤตินี้ คลี่หลาย หรือสาหัสซ้ำเติม จากที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ได้ทำการลงพื้นที่ ตรวจสอบ ดูแลประชาชน และศึกษาถึงระบบการระบายน้ำ ได้เรียนรู้ถึงหลักปฏิบัติของการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติตามที่ได้กระทำผ่านมาตั้งแต่อดีต รวมทั้งได้เรียนเชิญนักวิชาการผู้มีความสามารถในเรื่องนี้เฉพาะทางได้แก่ ๑) รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมศาสตร์ และการป้องกันสาธารณภัย และผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานเพื่อสิ่งแวดล้อมนานาชาติ สิรนธร ๒) ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของ เปลือกโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ๓) รองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร นายธีระชนม์ มโนมัยพิบูลย์ ในฐานะตัวแทนผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ มาร่วมให้ข้อมูลทางวิชาการ และเสนอแนวทางที่หากรัฐบาลนำไปปฏิบัติตาม จะทำให้เกิดผลดีต่อประเทศ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงชาวกรุงเทพมหานครที่เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติอุทกภัยอยู่ในขณะนี้ พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ได้ตรวจพบว่า การระบายน้ำในปัจจุบันของรัฐบาล และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นการบิดเบือนเส้นทางระบายน้ำ ไม่สอดคล้องตามหลักวิชา หลักปฏิบัติจากอดีต และเป็นไปอย่างผิดหลักธรรมชาติของภูมิประเทศของกรุงเทพมหานคร จากที่คณะทำงานได้ลงพื้นที่ศึกษาพบกว่า การที่จะทำการระบายน้ำลงสู่ทะเลอ่าวไทยได้เร็วที่สุดอย่างสมดุลนั้น คือ การระบายผ่านทางหลักๆ ๓ ทางซึ่งคือ ๑) ทางตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน ๒) ทางแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านกลางกรุงเทพมหานคร และ ๓) ทางตะวันออก ผ่านทางแม่น้ำบางปะกง และนอกจากนี้ ทางน้ำที่ใช้ระบายเพิ่มพิเศษคือ ระหว่าง แม่น้ำเจ้าพระยากับ แม่น้ำบางปะกง ยังมีทางระบายพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้อยู่แล้ว ซึ่งคือ คลองด่าน และสถานีสูบน้ำต่างๆ ในจังหวัดสมุทรปราการ ปัญหาหลักที่พบ คือ การบิดเบือนเส้นทางระบายน้ำ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สมดุลในการระบายน้ำ ของ ๓ ทางหลักนี้ โดยเฉพาะทางพื้นที่ทางตะวันออกของกรุงเทพมหานคร คือ สถานีสูบน้ำต่างๆ ที่จะช่วยให้ระบายน้ำไปทางตะวันออก แทบไม่ได้มีการระบายเลยในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งมีการเริ่มให้มีการสูบน้ำระบายเพียงแค่ไม่กี่วัน และยังไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ การระบายน้ำหลักถูกกดดันให้น้ำมาอยู่ที่ แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นทางเส้นหลักที่อยูตรงกลาง ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ดังจะเห็นได้ว่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับความสูง เหนือระดับน้ำทะเลปกติ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ การระบายน้ำที่ไม่มีความสมดุลเช่นนี้ จะเกิดความเสี่ยงให้มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานในใจกลางเมือง กรุงเทพมหานคร และจะก่อให้เกิดความเป็นอัมพาตของระบบการบริหารจัดการทั้งระบบในประเทศ การทำงานของราชการส่วนกลางทั้งหมดจะถูกหยุด เนื่องจากเป็นไปได้สูงมากที่ จะขาดระบบสาธารณูปโภคที่ส่วนกลางจำเป็นต้องใช้เช่น ระบบไฟฟ้า และน้ำประปา ดังนั้นจะทำให้ ศูนย์ดูแลภัยพิบัติ และศูนย์ดูแลประชาชนทั่วประเทศ จะกลับกลายเป็นผู้ประสบภัยอย่างสาหัสอย่างไม่สามารถทำอะไรได้เอง พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะทำงาน จึงมีข้อเสนอ ในวิธีแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนี้ ๑) พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ต้องการให้รัฐบาลทบทวน ระบบการดำเนินการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยให้เป็นไปอย่างสมดุล ตามหลักปฏิบัติที่ผ่านมา และเป็นไปอย่างธรรมชาติ ผ่านทาง ๓ ช่องทางหลัก ซึ่งหมายถึง ให้มีการระบายน้ำทางตะวันออกมากขึ้น โดย เปิดการระบายน้ำในคลอง ๖ ถึง คลอง ๒๑ รวมทั้งเปิดการสูบน้ำที่สถานีสูบน้ำที่ขึ้นกับกรมชลประทาน สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจสั่งการโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นที่คลองแสนแสบ คลองประเวศบุรีรมย์ และคลองสิบสาม ตัดคลองหกวา เพื่อช่วยลดภาระการระบายน้ำที่หนักอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ทันที ๒) พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ต้องการให้รัฐบาลชี้แจงความชัดเจน หากสุดท้ายแล้วรัฐบาลไม่ประสงค์จะทำตามข้อเสนอ ว่าเป็นนโยบายโดยตรงของรัฐบาลที่ต้องการจะเลี่ยงการระบายน้ำทางตะวันออกใช่ หรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร ต้องการรักษาเขตพื้นที่ไหน อย่างไร เป็นพิเศษหรือไม่ เพราะการตัดสินใจว่าจะกระทำ หรือไม่ทำตามข้อเสนอนี้ จำเป็นต้องทำเป็นการเร่งด่วน และมีคำชี้แจงที่ชัดเจน เนื่องจาก ภายในไม่กี่วันข้างหน้า กรุงเทพมหานคร จะประสบปัญหา มวลน้ำมหาศาลจากทางเหนือ ไหลลงมา สมทบกับน้ำทะเลที่หนุนขึ้นมาจากอ่าวไทย ๓) พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ต้องการให้รัฐบาล มีนโยบายในการดูแลแก้ปัญหาอันเป็นผลกระทบที่เนื่องมาจากเหตุอุทกภัยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดทั้ง ๒๑ จังหวัด ทั้งที่กำลังท่วมอยู่ และพื้นที่ที่อยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูแล้ว ดังนี้ ๓.๑) การแก้ปัญหาในเรื่องปัญหาการขาดแคลนสินค้า และราคาสินค้าแพง รัฐบาลจำเป็นต้องร่วมมือกับภาคเอกชน อย่างจริงจังเร่งด่วน เช่นหากสินค้าใดมีปัญหาทางการผลิต ขอให้พิจารณาการนำเข้าสินค้า หรือ หากสินค้าใดผลิตได้ แต่ประสบปัญหาการขนส่ง ขอให้พิจารณาเข้าร่วมมือกับภาคเอกชนในเรื่องดังกล่าว ๓.๒) ปัญหาสังคม อันเป็นผลสืบเนื่องจาก การสูญเสียในเรื่องต่างๆ จากอุทกภัย ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต บาดเจ็บ ทั้งสภาพทางร่างกาย และจิตใจ รวมทั้งการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง และหน้าที่การงาน ๓.๓) แผนฟื้นฟูต่างๆ หลังจากนี้ควรมีคณะทำงานที่ต้องเร่งทำเป็นการเร่งด่วน โดยพรรคประชาธิปัตย์ จะนำเสนอต่อไปเช่นกัน ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เอง นอกจากมี ศูนย์อาสาฯคนไทยช่วยน้ำท่วม ที่ลงพื้นที่ นำถุงยังชีพดูแลประชาชนในทุกเขต ทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง มีช่องทางการระดมทุนช่วยเหลือบริจาคผ่านมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช แล้ว ยังมีการริเริ่มจะทำโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอีก ๓ โครงการได้แก่ ๑) โครงการ น้ำล้านขวด ล้านน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในทุก พื้นที่อุทกภัยในขณะนี้ ๒) โครงการศูนย์พักพิง โดยร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ๓) โครงการโรงครัว พรรคประชาธิปัตย์ โดยระดมสมาชิกพรรคจากทางภาคใต้เป็นหลัก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้น้อยมา มาเป็นกำลังสำคัญในการดูแลเรื่องอาหาร การกินของชาวกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ และหากรัฐบาล หรือศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ต้องการความช่วยเหลือจากส่วนนี้ของโครงการที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจัดทำ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้ความร่วมมือ โดยตลอดเสมอมา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ตุลาคม 2554, 18:39:00 รอยเตอร์ชี้ “น้ำท่วมไทย” ตัดสินชะตาอนาคต “ยิ่งลักษณ์”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สำนักข่าวรอยเตอร์เสนอบทวิจารณ์ระบุ ขณะที่อุทกภัยร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษกำลังลุกลามเข้าถึงใจกลางกรุงเทพมหานคร รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีอายุได้เพียง 3 เดือนเศษๆ ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการแก้ไขวิกฤตน้ำที่ย่ำแย่เหลือทน ทั้งด้านความร่วมมือเชิงนโยบาย, การสื่อสารกับประชาชน ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานคร บทวิจารณ์ที่เขียนโดย มาร์ติน เพตตี้ (Martin Petty) และ เจสัน เซป (Jason Szep) ชี้ว่า ท่ามกลางสถานการณ์ขั้นวิกฤตที่มวลน้ำมหาศาลอาจทลายพนังกั้นเข้าท่วมเมืองหลวงที่มีประชากรกว่า 12 ล้านคน ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ การตัดสินใจและความผิดพลาดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นสิ่งที่นักวิจารณ์และผู้รู้ทางการเมืองทางการเมืองกำลังจับตามอง การตัดสินใจและความผิดพลาดเหล่านี้ ด้านหนึ่งสามารถที่จะทำลายอนาคตทางการเมืองของเธอ ตลอดจนของรัฐบาลที่ยังมีอายุไม่มากของเธอ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อาจจะกระตุ้นความกล้าหาญของเธอ ด้วยการให้ความเป็นอิสระแก่ตัวเธอที่จะผละออกมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายผู้ทรงอำนาจของเธอ นักการทูต, นักวิเคราะห์อิสระ และบุคคลใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีหญิงวัย 44 ปี ต่างระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลเพื่อไทย น่าจะผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเธอทุ่มงบประมาณฟื้นฟูภาคธุรกิจ และปรับปรุงระบบจัดการน้ำของไทยให้มีประสิทธิภาพ “จริงอยู่ที่ประชาชนอาจจะไม่พอใจ นายกฯควรใช้มาตรการป้องกันที่เข้มแข็งกว่านี้ แต่ท่านทราบดีว่าจะพาพวกเราให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร” เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ “การฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลดจะเป็นเครื่องพิสูจน์ภาวะผู้นำของท่าน” มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินที่สูงขึ้นเรื่อยๆในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทำให้สโลแกน “สยามเมืองยิ้ม” เริ่มห่างไกลความจริงเข้าไปทุกที นับตั้งแต่เหตุสลายชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว, การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2008, รัฐประหาร ปี 2006 และสึนามิในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 2004 วิกฤตอุทกภัยในปีนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 377 รายตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีประชาชนได้รับผลกระทบอีกกว่า 2.2 ล้านคน ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและนิคมอุตสาหกรรมใน จ.ปทุมธานี, นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา โรงงานประกอบรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ จมหายใต้บาดาล ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยในช่วงปี 2011/12 ลดลงราว 6 ล้านตัน หรือประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 19 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่ตัวเลขจีดีพีซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 4.1 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ก็หดลงเหลือเพียง 2.6 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่เปรียบเสมือนยืนอยู่กลางตาพายุใหญ่คงหนีไม่พ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ มือใหม่ในสนามการเมืองที่นักวิจารณ์ต่างปรามาสว่า ไร้ศักยภาพและขาดความกล้าตัดสินใจ นอกจากตัวผู้นำเองจะถูกหัวเราะเยาะที่สวมรองเท้าบูตแบรนด์เนมลงไปลุยน้ำท่วมแล้ว รัฐบาลของเธอยังถูกตำหนิว่า ไม่ประกาศเตือนประชาชนและภาคธุรกิจให้เตรียมป้องกันน้ำอย่างทันท่วงที ทั้งยังพยายามปกปิดข่าวร้ายไม่ให้ประชาชนทราบด้วย ซึ่งนายกฯก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง แม้แต่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ก็ช่วยบรรเทาปัญหาได้ไม่ดีพอ และการเตือนภัยยังค่อนข้างสับสน ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีรายหนึ่งเตือนให้ประชาชนในจังหวัดที่อยู่ติด กทม. เร่งอพยพ แต่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เจ้าหน้าที่อีกรายกลับยืนยันว่า ยังคุมสถานการณ์ได้ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลรับรองว่ากรุงเทพมหานครจะไม่ถูกน้ำท่วมอย่างแน่นอน แต่วันนี้กลับยอมรับอย่างหมดท่าว่าจะท่วมอย่างน้อย 1 เดือน ทำให้บางคนเลิกฟังประกาศจากทางการไปแล้ว “ทุกวันนี้คนไทยไม่เชื่อมั่นในตัวนายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอีกต่อไป คนเริ่มกักตุนอาหารและน้ำดื่ม และหันมาฟังข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์แทน” นายกานต์ ยืนยง กรรมการผู้อำนวยการศูนย์วิจัย สยาม อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต ระบุ ในการปรากฏตัวต่อหน้าผู้สื่อข่าวครั้งหลังๆ นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดูมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยหมดแรง หลายครั้งหลายคราเหมือนกับเธอเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาขณะที่เสียงพูดก็สั่นเครือ ซึ่งตรงกันข้ามเลยกับช่วงการรณรงค์หาเสียงที่เธอดูราวกับเต็มไปด้วยพลังงานและความเชื่อมั่นอย่างไร้ขอบเขตจำกัด ทว่าสิ่งที่กำลังถูกวางเป็นเดิมพันอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่เพียงแต่ภาพลักษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่เป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย การขยายตัวของพื้นที่ภาคอุตสาหกรรมในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาได้แปรเปลี่ยนประเทศที่ครั้งหนึ่งสร้างขึ้นรอบๆ นาข้าวและสถานตากอากาศชายทะเล ให้กลายเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคของโรงงานอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ อีกทั้งกลายเป็นฟันเฟืองตัวสำคัญยิ่งยวดตัวหนึ่งในสายโซ่อุปทานของโลก (global supply chain) นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งในปทุมธานี, นนทบุรี และ อยุธยา ต้องปิดตัวลงเพราะกระแสน้ำหลากเข้าท่วม ส่งผลให้คนงานราว 650,000 คนต้องตกงานชั่วคราว และทำให้โรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกประสบภาวะชะงักงัน ตั้งแต่อุตสาหกรรมรถยนต์จนถึงดิสก์ไดรฟ์ บริษัทโตโยต้า ถูกบังคับให้ต้องตัดลดการผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือ ทั้งนี้มีบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตญี่ปุ่นประมาณ 1,800 แห่งทีเดียวเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทย และจำนวนมาก เป็นต้นว่า แคนนอน อิงก์, ไพโอเนียร์, และ โซนี่ คอร์ป ต่างได้รับความลำบากถึงขั้นประสบภาวะชะงักงันทางด้านการผลิตหรือการขนส่งแจกจ่ายสินค้า เลอโนโว กรุ๊ป บริษัทจีนที่มีฐานะเป็นผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีมากเป็นอันดับสองของโลก แถลงว่า น้ำท่วมในไทยจะทำให้ซัปพลายด้านฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ ขาดแคลนในช่วงประมาณเดือนมีนาคมปีหน้า บริษัทแห่งนี้เป็น 1 ในบริษัทใหญ่ๆ หลายสิบแห่งทั่วโลกที่แจ้งว่าได้รับผลกระทบในลักษณะนี้ ความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ท้าทายในมุมมองของนักวิเคราะห์การเมืองก็คือ นายกฯยิ่งลักษณ์จะสามารถสั่งการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพื่อชดเชยความสูญเสียในภาคอุตสาหกรรม, ภาคธุรกิจ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้หรือไม่, จะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนมาได้มากน้อยแค่ไหน และจะหาทางป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร “สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ แผนจัดการในระยะยาว เพราะเราจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถ้าทำได้ทุกอย่างจะจัดการง่ายขึ้น” นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการขาดดุลงบประมาณปี 2555 ราว 400,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด “ระบบชลประทานของเราถูกออกแบบเพื่อใช้ในภาคเกษตรกรรม, ผลิตน้ำประปา และผลิตไฟฟ้า แต่จากนี้ไปเราจะต้องปรับปรุงให้สามารถรองรับอุทกภัยที่เกิดจากพายุและน้ำท่วมขังได้ นี่คือสิ่งงสำคัญที่สุด” นายธีระชัย บอก คาดหมายกันว่า แผนการใช้จ่ายฟื้นฟูหลังน้ำท่วมน่าจะผ่านการอนุมัติของรัฐสภาที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ครองเสียงสองในสามในสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว ทว่ามันก็ยังคงมีอุปสรรคอีกมากมาย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 ตุลาคม 2554, 10:39:21 บทความ "เอิน กัลยกร" ถึงนายกฯ ซัดทำภาพลักษณ์ผู้หญิงตกต่ำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2554 05:08 น. "เอิน กัลยกร" เขียนบทความถึงนายกฯ ซัดสอบตกทุกด้าน ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้นำประเทศ แต่ทำภาพลักษณ์ผู้หญิงตกต่ำ ทำให้เห็นว่าผู้หญิงอ่อนแอ ไม่สามารถเป็นผู้นำได้ พร้อมตั้งข้อสงสัยที่ผ่านมาบริหารพาบริษัทรอดมาได้อย่างไร หรือว่าไม่ได้ทำงานเอง เหน็บถ้าไม่มี "พี่ชาย" ป่านนี้คงทำได้แค่นั่งสวยรอให้สามีชื่นชม เมื่อวันที่ 26 ต.ค. น.ส.กัลยกร นาคสมภพ หรือที่รู้จักกันในนาม "เอิน กัลยกร" อดีตนักร้อง - นักแสดง ชื่อดัง ได้เขียนบทความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว (Kalyakorn Earn Naksompop) ชื่อเรื่องว่า "จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)" จนกระทั่งบทความได้ถูกเผยแพร่ต่อเป็นจำนวนมาก เนื้อหามีดังนี้ "ตอนแรกก็ว่าจะเก็บไว้เขียนหลังน้ำท่วม ..แต่ก็นะ เราก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะถึงเมื่อไหร่ ที่สำคัญคือ หลังจากที่ได้ดู นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกแถลงการณ์ทางทีวีเมื่อคืนี้ ...บอกตรงๆ ละเหี่ยใจ และอดใจไม่ให้เขียนบทความนี้ไม่ได้แล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย จริงๆ ตอนที่คุณยิ่งลักษณ์ได้ตำแหน่ง ผู้หญิงทั้งในและต่างประเทศ ก็รู้สึกยินดีที่ประเทศไทยได้มีนายกหญิงคนแรก เราเองได้เขียนลงเฟซบุ๊คว่า ส่วนตัวไม่ถือว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกหญิงคนแรก เหตุเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับการเลือกตั้งเพราะความสามารถของเธอเอง แต่เป็นเพราะคนต้องการผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเธอต่างหาก ประชาชนที่เลือกเธอ ไม่ใช่เพราะชื่อ “ยิ่งลักษณ์” แต่เป็นเพราะนามสกุล “ชินวัตร” ที่เป็นสิ่งการันตีว่าเธอคนนี้คือ “สายตรง” ดังนั้นเราจะนับว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกไม่ได้ เราจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจริงๆก็ต่อเมื่อ เธอคนนั้นต่อสู้ฟันฝ่ามาด้วยตัวเอง และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า “ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้” เท่านั้น แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ สรุปว่า ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงประดับประวัติศาสตร์กับเขาเสียที และจากวันที่เธอรับตำแหน่ง เราก็ควรจะดูแต่ผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของเธอคนนี้ ซึ่งแรกๆ นั้นเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ คุณยิ่งลักษณ์ แม้จะดูไม่แข็งแรงห้าวหาญ แต่เธอมีความละมุนในบุคลิกที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลที่เป็นที่กังขาของสังคมดูดีขึ้น แม้นโยบายของเธอจะเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง แต่ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยู่ที่ว่าใครมองมุมไหน แต่เวลาเธอไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านแล้วถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์นี่สิคะ แม๊... ดูดี สรุปว่าภาพลักษณ์ดูดีขึ้น เพราะเรามีนายกหญิงที่ดูดี ดูสง่า เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศไทย จำได้ว่าตอนหาเสียง ผู้สนับสนุนเธอชอบบอกว่าเธอนี่แหล่ะ ที่จะเป็น “สตรีขี่ม้าขาว” ที่จะเข้ามากอบกู้ประเทศไทย ตามคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แม้ไม่ได้สนับสนุนพรรคเธอ ก็แอบหวังลึกๆ ว่า “เป็นจริงก็ดี” ถึงตอนนี้ ถ้ามีคนที่สามารถพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติทางการเมืองไปได้ จะเป็นใครมาจากฝั่งไหนก็สนับสนุนทั้งนั้น ยิ่งเธอปะยี่ห้อว่าเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับหน้าที่สำคัญที่สุดในประเทศ คือการรับผิดชอบดูแลคนกว่า 70 ล้านคน งานใหญ่นะคะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงทำงานด้วยกัน ก็แอบเชียร์อยู่ อยากให้เธอเป็นนารีขี่ม้าขาวจริงๆ ประเทศเราจะได้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเสียที แต่แล้วอุทกภัยก็มาถึง มวลน้ำมหาศาลที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณยิ่งลักษณ์ ผลเป็นอย่างไร ...ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ไม่ใช่แค่คุณยิ่งลักษณ์สอบตกทุกด้าน ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ เธอยังทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงนั้นเสียหาย ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ แต่การเป็นผู้หญิงทำงาน เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถ เหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หลายคนต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย หลายคนต้องใช้เวลามากกว่าผู้ชาย เพื่อจะลบอคติที่ว่า “ผู้หญิงอ่อนแอ” หรือ “ผู้หญิงมีดีได้แค่สวย” เป็นผู้หญิง ต้องทนคนที่เข้ามาหวังหาเศษหาเลย ต้องปกป้องตัวเองโดยต้องไม่ให้กระทบกับงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราเก่งพอ เพราะเราไม่สามารถไปนั่งกินเหล้า ”เที่ยวผู้หญิง”กับเจ้านายเหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เพราะเราไม่สามารถเล่นมุกฮาแบบลามกเต็มที่เหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เราไม่สามารถมีช่วงเวลาส่วนตัวขนาดนั้นกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายได้ เราจึงต้องใช้ความสามารถเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันยุคนี้แล้ว ไม่มีแล้วเรื่องความไม่เท่าเทียม ...มีค่ะ ยังมีอยู่ เป็นผู้หญิงค่ะ ทำงานค่ะ และยังเจอทุกสิ่งอย่างที่พูดมากับตัวเองค่ะ และไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวที่เจอ จึงได้เข้าใจและพูดได้ คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นอกจากจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นนายกที่ดีได้ ยังต้องพิสูจน์ด้วยว่า “ความสามารถไม่เกี่ยวกับเพศ” คุณเป็นนายกหญิงคนแรกนะคะ คุณแบกรับภาพลักษณ์ตรงนี้เอาไว้อยู่ค่ะ คุณต้องลุย (ลุยจริงๆ ไม่ใช่แค่ลุยออกสื่อ) คุณต้องแข็งแรง และคุณต้องเก๋า ...ต้องเอาให้อยู่ ...แต่คุณยิ่งลักษณ์ทำไม่ได้ค่ะ การที่สื่อที่เป็นผู้ชายไม่กล้าว่าหนักๆเหมือนที่ว่านักการเมืองคนอื่น หรือนักวิชาการไม่กล้าวิจารณ์แรงๆเหมือนที่วิจารณ์นักการเมืองผู้ชาย เพราะเกรงว่าจะเป็นการ “รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ” หรือพราะ “สงสาร” ก็ตาม คือหลักฐานว่ามันมีเส้นหนาๆกั้นอยู่ระหว่างเพศชายและหญิง ส่วนตัวนายกเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเธอออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยแข็งแรง ด้วยคำพูดที่ไม่เคยเข้มแข็ง และด้วยข้อความที่ไม่เคยชัดเจน นอกจากนั้นเธอยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดเองได้เลย เธอทำให้เห็นเลยว่า ความละมุนของเธอนั้น จริงๆแล้วมาจากความอ่อนแอ คุณยิ่งลักษณ์ตอกย้ำทุกวัน ว่าผู้หญิงอ่อนแอ ว่าผู้หญิงพูดจาเป็นงานเป็นการไม่รู้เรื่อง ว่าผู้หญิงคุมลูกน้องไม่ได้ ว่าผู้หญิงตัดสินใจไม่เป็น ว่าผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ หรือทำไม่ได้ ตอกย้ำว่าผู้หญิงทำงานใหญ่ไม่ได้ ว่าผู้หญิงสุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้หญิงวันยังค่ำ ที่ได้แต่แต่งตัวสวยไปวันๆโดยที่ทำอะไรไม่เป็น ...เสียค่ะ เสียหายอย่างยิ่ง ลองนึกดูนะคะ แม้ในอนาคตจะมีผู้หญิงที่มีความสามารถ แต่ใครจะอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันขยาดนะคะ ประมาณว่าทดลองแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จบแล้ว ยิ่งถ้าคนที่ไม่มีแบ๊คใหญ่ขนาดแบ๊คของคุณยิ่งลักษณ์ ยิ่งไม่ต้องหวัง แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? ...ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้ ถ้าไม่มี “พี่ชาย” คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ ...แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช็อปปิ้ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม สรุปคือผิดหวังค่ะ เสียใจ และรู้สึกแย่ที่ผู้หญิงซึ่งได้รับตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้คนแรก กลับทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงด้วยกันตกต่ำลงกว่าเดิม แต่งตัวสวยๆ หน้าผมเป๊ะนั้นไม่ผิดหรอกค่ะ ที่ผิดคือทำได้แค่นั้นจริงๆ ยอมรับค่ะ ว่าการที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาก็กลัวเหมือนกันว่าจะมีผลกระทบกับชีวิต ว่าอาจจะมีผู้สนับสนุนนายกออกมาล่าหัว โทษฐาน “วิจารณ์ผู้นำอันเป็นที่รักยิ่ง” แต่ต้องพูดค่ะ พูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ฝักฝ่ายทางการเมือง พูดในฐานะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถวิจารณ์ฝ่ายการเมืองได้ ...พูดในฐานะที่เป็นผู้หญิง ย้ำนะคะ ไม่ว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาจากพรรคไหนก็ตาม หากได้เป็นนายกแล้วทำงานอย่างนี้ ก็จะออกมาพูดแบบนี้เหมือนกัน เพราะคุณยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้ขี่ม้าขาว และเธอไม่ใช่สตรีในตำนาน (ก็อย่างที่คนข้างตัวเคยพูดไว้) สุดท้าย คุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นได้แค่ “สตรีขี่ม้าน้ำ” เท่านั้น" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 ตุลาคม 2554, 22:25:42 ขอให้ผมเป็นฝ่ายคิดไปเองเถิดนะครับ
ผมตั้งข้อสังเกตว่าน้ำท่วมคราวนี้มีส่วนคล้ายเหตุการณเผาเมืองปีที่แล้ว เริ่มจากการบริหารน้ำในเขื่อน เหมือน รื้อ รั้วบ้านออกไป เวลาเกิด ภัยจึงเดือดร้อน การบริหารจัดการที่พยายามทำเรื่องให้ยุ่งยากล่าช้าขึ้น ศปภตั้งมา 1 เดือนแล้วนอกจากทำงานเหมือนตลกเชิญยิ้มแล้วยังกีดกันไม่ให้คนอื่นมาทำงานด้วยเช่นthaiflood ทนไม่ไหวถึงกับถอนตัว · การทำงานเริ่ม จาก ทองไม่รู้ร้อน ไม่ อีนังขังขอบกับ ภัยของประชาชน · จากนั้น โกหก เพื่อ ป้องกันความตื่นตระหนก เช่น กรณี นวนคร · ต่อมา แจ้งข่าวว่า จะเกิดอะไรขึ้น (หลังจากที่ประชาชนทราบข่าวเรียบร้อยแล้ว จากสื่อ อื่นๆ) ทิศทางน้ำเดินวนไปเวียนมา กว่าจะออกทะเลอีกเป็นเดือน กีดกันกั๊กของบริจาคเพือเอาหน้า ครอบงำสื่อสารพัดยังดีว่าไม่สามารถครอบโซเชี่ยลมีเดี่ยได้ ตำรวจหายสาบสูญปล่อยคนปล้นจี้กันตามสบายเช่นแถวปทุมบางบัวทองรถจอดหนีน้ำกันตามสบายทุกสะพานทางด่วน ปีก่อนห้างที่ไฟไหม้จนวอดแค่ข้ามถนนไปก็เจอกรมตำรวจแล้ว ไม่มีการบอกว่ารัฐบาลจะทำอะไรมีแต่บอกว่าจะทำให้ดีที่สุด ความขัดแย้งเกิดขึ้นโดยทั่วไปตั้งแระหว่างฝ่ายการเมืองกับข้าราชการแบบว่าสั่งให้เขาไปขุดดินมือเปล่าสั่งให้ไปเปิดประตูน้ำแต่ปล่อยชาวบ้านแถวนั้นมารุมอัดเจ้าหน้าที่ แม้รมตก็ทะเลาะกันเองแย่งกันแสดงความคิดเห็นแย่งกันแจกของบริจาค แม้ต่างชาติจะยื่นมือมาช่วยก็ทำเป็นเฉยๆไม่ตื่นเต้น คราวก่อนใครจะออกไปดับไฟไหม้จะโดนลอบยิง อาคารหลายแห่งเลยโดนไฟไหม้จนวอด ทีแรก ผมคิดว่า ผู้นำ และ ทีมงานโง่ แต่ เมื่อ วาน ผมได้ ข้อ สังเกต และ ข้อ สรุปว่า ไม่ใช้เช่นนั้น ผมคิด(ไปเองว่า) · มีการวางแผนทำลายประเทศอย่างบูรณาการ · ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก · คนขอเข้ามาช่วย ก็เพิกเฉย ไม่สนใจ · กีดกันความช่วยเหลือ เท่าที่ทำได้ที่ดังคือ Thai Flood ถอนตัว อเมริกา ถอนตัว · ไม่มีการร่วมแรงแข็งขันว่าจากนี้ จะทำอย่างไร แบบรูปธรรม จัดต้องได้ มีแต่ สั่งให้คนอื่นไปทำ แบบ สั่งให้ คนไปขุดดินมือเปล่า เช่น ให้ กรมชลไปบริหารน้ำโดยลำพัง · ผู้นำ และ ทีมงานสามารถทนได้ กับความเดือดร้อนตั้งแต่ อยุธยา อ่างทอง จะ 2เดือนแล้วครับ ส่วนบางบัวทอง ปทุม ปล่อยให้อยู่กันตามยะถากรรม โจร ขโมย ปล้น กันตามสบาย · จังหวัดที่ติดกรุงเทพ ล้วนเดือดร้อน คนกรุง ไป แย่งกิน แย่งใช้ ที่พักเต็มหมด คนที่โดนน้ำท่วมเดือดร้อนอย่างที่เห็นกันใน ทีวี แต่ คนที่น้ำยังมาไม่ถึง กำลัง ประสาทกิน อีกเป็น ล้านครอบครัว ตอนนี้ทุกอย่างหยุดชะงักหมด ดังนั้น น้ำ จะ ค่อยๆ ระ บาย อย่างช้าๆ ผม คาดว่า เรา จะ อยู่อย่างงี้ไปอีก 3-4 สัปดาห์ จนอ่วม จนอ่อนล้า คนอ่อนแอ สิ้นหวัง ปกครองง่ายนะครับ พอน้ำลด จะมี เทพ มาจากต่างแดน บอกว่าจะ กลับมาเนรมิต ให้ทุกอย่างกลับมาดังเดิม วันที่กลับมา จะมี การปะทะกันอีก แบบ เหลืองแดง เพราะคราวนี้ คนเดือดร้อน คับแค้น ร่วม 10 ล้านครัวเรือน ส่วนทางโน้น มี ลิ่วล้อ แดงไว้ คอย รับมืออยู่แล้ว ผมใช้เวลานานมาก ใน การ ตัดสินใจว่า จะ แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้หรือไม่ แต่ ตกลง ทำไป เพราะ เชื่อ ว่า ผลดี มากกว่าผลเสีย การรู้ก่อนว่าจะมี พายุใหญ่ ย่อมดีกว่า ไม่รู้ไม่คาดคิด ขอให้ ดูแล ตัวเองและครอบครัวให้ดีนะครับ ไว้น้ำก็ลด ตามข่าวก็ พอสม พอควรอย่าเกาะติด เดี๋ยวจะบ้าเสียก่อน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 ตุลาคม 2554, 21:14:56 แก้ท่วมเด่นเกินหน้าเชือดไก่ผู้ว่าฯปทุมฯ
27 ตุลาคม 2554 เวลา 08:02 น. | โดย...ทีมข่าวการเมือง posttoday.com อยู่ดีๆ กระทรวงมหาดไทยก็มีเรื่องให้ตื่นเต้น เมื่อมีคำสั่งสายฟ้าแลบ ย้าย “พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” ผวจ.ปทุมธานี เข้ากรุผู้ตรวจราชการกระทรวง โดยที่ไม่มีสัญญาณอะไรก่อนหน้านี้ และหากว่ากันตามตรงแล้ว ค่อนข้างผิดธรรมเนียมประเพณีของกระทรวงคลองหลอดแห่งนี้ ที่จะโยกย้ายสักทีก็ต้องโยกย้ายกันเป็นบัญชีใหญ่ถึงขั้น 40-50 ตำแหน่ง เพราะเมื่อสิ้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีข้าราชการระดับ 10ซึ่งมีตั้งแต่อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง เกษียณอายุราชการวมกันมากกว่า 20 ตำแหน่ง ไม่นับรวมถึงรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกษียณอายุราชการอีก 20 ตำแหน่งเช่นเดียวกัน อันที่จริงชื่อชั้นของ “พีระศักดิ์” ติดอยู่ใน “แบล็กลิสต์” อยู่แล้ว เนื่องจากเติบโตแบบก้าวกระโดดในยุคที่พรรคภูมิใจไทยครอบครองอำนาจปกคลุมกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มาโดยตลอด เพราะถูกเลือกให้เป็น ผวจ.บุรีรัมย์ เมืองหลวงของพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่ปี 2552 และหลังจากดำรงตำแหน่งเพียงปีเดียวเท่านั้น ก็ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นจังหวัดเกรดเอทันที ทำให้ทุกฝ่ายหมายตาว่าเก้าอี้ของพีระศักดิ์นั้น หากมาด้วยตัวเองคงไม่มีใครดันขึ้นมาได้ไกลจนถึงขนาดนี้ เมื่อฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง รัฐบาลใหม่เข้ามาควบคุมมหาดไทยแทน นอกจากจะมี “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” อดีตปลัดกระทรวงฯ เป็น รมว.มหาดไทยแล้ว ยังหอบเอา “ชูชาติ หาญสวัสดิ์” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองปทุมธานีมาเป็น มท.2ด้วย ซึ่งทุกครั้งที่ชูชาติมอบนโยบายหรือไปเป็นประธานการประชุมที่ไหน ก็จะหยิบยก “ปทุมธานี” ขึ้นมาเป็นตัวอย่างในการแก้ปัญหาที่ “ไม่บูรณาการ” ทุกครั้ง เพราะผู้ว่าฯ มาแล้วก็ไป ไม่เคยสนใจจะรู้พื้นที่จริง และมักจะพูดว่า ความสำเร็จทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน จ.ปทุมธานีไม่เคยมาจากข้าราชการประจำ หรือผู้ว่าฯ เลย แต่เกิดจากฝ่ายการเมืองเท่านั้น! เสียวสันหลังไปถึงพีระศักดิ์ จนมีคำร่ำลือมาจากศาลากลางปทุมธานี ว่าเขาเริ่มแพ็กของเตรียมไปรับตำแหน่งผู้ตรวจตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. ซึ่งเข้าใกล้ฤดูกาลโยกย้ายของกระทรวงมหาดไทย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีคำสั่งลงมาเสียที เนื่องจากเกิดมหาอุทกภัยขึ้นก่อน “ปทุมธานี” เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ต้องรับน้ำเหนือเต็มๆ ต่อมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งพีระศักดิ์เองก็ออกแอ็กชันเต็มที่จนประทับใจ “อารี ไกรนรา” เลขานุการ รมว.มหาดไทย ที่เอ่ยปากชมให้ฟังว่า พีระศักดิ์นั้นตั้งใจทำงาน และรู้พื้นที่ใน จ.ปทุมธานี ดีมากคนหนึ่ง ถึงกับควงกันขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจพื้นที่กัน 2-3 ครั้ง จนสนิทสนมกันแนบแน่น และยิ่งพีระศักดิ์เป็น “สิงห์ทอง” จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจูนกันได้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากผู้มีอำนาจของกระทรวงมหาดไทยออกมาแล้วว่า “ทำงานดีขนาดนี้ ให้อยู่ที่เดิมแก้ปัญหาไปก่อนก็แล้วกัน” จนกระทั่ง “มหาอุทกภัย” คืบเข้าใกล้ จ.ปทุมธานี จริงๆ บทบาทของพีระศักดิ์ก็มากขึ้นตามไปด้วย วันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะถูกน้ำท่วมจนเสียหายทั้งหมดเพียง 2 วัน พีระศักดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่า น้ำจะท่วม จ.ปทุมธานี นั้น จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีพายุลูกใหญ่อย่างพายุเกย์ผ่านกลางเมืองเท่านั้น เมื่อส่งเสียงผ่านออกมาทุกคนก็มั่นใจเต็มที่ว่า จ.ปทุมธานี จะต้องรอดพ้นจากปัญหาน้ำท่วมแน่นอน และจะส่งผลทำให้ “กรุงเทพฯ” ปลอดภัยตามไปด้วย แต่ถัดจากนั้นมาเพียงไม่กี่วัน จ.ปทุมธานีก็เริ่มเอาไม่อยู่ เมื่อน้ำเริ่มลงต่ำเข้ามาเรื่อยๆ ท่วมลามไปตั้งแต่บ้านเรือนในเขต อ.สามโคก คลองหลวง ลาดหลุมแก้ว ธัญบุรี ท่ามกลางข่าวลือและข่าวจริงที่ว่ามีชาวบ้านมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากเพื่อขัดขวางการเปิดปิดประตูระบายน้ำ และการทำลายคันกั้นน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำท่วมพื้นที่ของตัวเอง จนบางพื้นที่ถึงกับมีข่าวว่านำอาวุธปืนมาจ่อเจ้าหน้าที่กรมชลประทานและเจ้าหน้าที่ของจังหวัด จนเกิดเป็นโมเดล “ผู้มีอิทธิพลขวางทางน้ำ” ขึ้นมา เพราะ จ.ปทุมธานี นั้นมี สส.เป็นรัฐมนตรีถึง 2 คน นอกจาก “ชูชาติ” แล้ว ยังมี “สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล” เป็น รมช.ศึกษาธิการ รวมถึง สส.ปทุมธานีทั้ง 6 คนก็ล้วนเป็น สส.พรรคเพื่อไทยยกจังหวัด ถึงขั้นพีระศักดิ์ร้องไห้ออกทีวีว่า “ไม่ต้องเอาผมไว้ในตำแหน่งก็ได้ แต่ขอให้จังหวัดผมรอดก็พอ” และขอให้ยก จ.ปทุมธานี ให้ทหารเป็นคนจัดการแทน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขอให้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดูแลจังหวัดแทนเขาเพื่อยุติเหล่าผู้มีอิทธิพล เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาถูกกดดันเป็นอย่างหนักจากทั้ง สส.ในพรรคและผู้ใหญ่ในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ผ่านมาเกือบ 2 สัปดาห์ พีระศักดิ์ก็ถูกเด้งจริง ท่ามกลางเสียงครหามากมายว่าเป็นการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” และถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงว่า เพราะเหตุใดถึงจะต้องย้ายพีระศักดิ์ที่มีภาพของคนทำงานเพื่อปกป้องจังหวัดจนวินาทีสุดท้ายมาตลอด โดย “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” มท.1 ตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า เหตุที่ย้ายพีระศักดิ์เข้าไปนั่งในกระทรวงนั้น เพราะพีระศักดิ์เหนื่อยกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมมามากแล้ว แต่ก็ถูกข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยและสื่อมวลชนวิจารณ์กันระงมไปหมดว่า ถ้าย้ายเพราะพีระศักดิ์เหนื่อยจากน้ำท่วม ทำไมจึงไม่ย้าย ชัยโรจน์ มีแตง ผวจ.นครสวรรค์ วิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา หรือผู้ว่าฯ จังหวัดอื่นๆ ที่เหน็ดเหนื่อยจากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมตามไปด้วย เพราะคงไม่ใช่มีพีระศักดิ์คนเดียวที่เหนื่อย วันรุ่งขึ้นยงยุทธจึงตอบแก้เกี้ยวไปว่า เหตุที่ย้ายพีระศักดิ์ก็เพื่อกระชับการประสานงานระหว่างกระทรวงมหาดไทยและ ศปภ.ให้ทำงานกันได้ใกล้ชิดมากขึ้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วทุกคนก็รู้ดีว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่พอใจพีระศักดิ์ เนื่องจากค่อนข้างเป็นคน “กร้าว” และ“ดื้อรั้น” รวมถึงมักจะพูดตรงๆ ทำให้หลายครั้งดูเหมือนเป็นการให้ร้ายรัฐบาล แม้พีระศักดิ์จะยอมรับการโยกย้ายโดยดุษฎี และไม่ขออุทธรณ์คำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่แน่นอนว่า นี่คือการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ของ “ยงยุทธ” ที่ย้ำเตือนให้รู้ว่า ต่อแต่นี้ไปข้าราชการมหาดไทยห้าม “ขัดคำสั่งนักการเมือง” และห้าม “เด่นเกินหน้าเกินตา” อีกต่อไปแล้วจะสามารถทำงานกันต่อไปได้ราบรื่น! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2554, 10:17:02 พระเอกสรยุทธ์-นางเอกปู กับน้ำท่วมตอผุด
โดย บัณรส บัวคลี่ 31 ตุลาคม 2554 13:48 น. ผู้จัดการออนไลน์ เวลาผ่านไปไวจริง ๆ เผลอแผล็บก็ผ่านไปปีนึงแล้วจนหลายท่านอาจจะจำไม่ได้แล้วว่าช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว(2553) ก็เกิดอุทกภัยน้ำท่วมพื้นที่ภาคกลางของประเทศแบบที่เกิดคราวนี้แหละ ในตอนนั้นสื่อจำนวนมากทั้งสื่อดริฟท์ สื่อดราม่า สื่อการเมืองต่างพากันพรรณนาเสียใหญ่โตบ้างก็ยกให้เป็นสถิติพิบัติภัยจากน้ำในรอบหลายสิบปี บ้างเอาเรือไปถึงที่เกิดเหตุป้ายน้ำตาหยดแหมะ ๆ เพื่อรายงานความทุกข์ยากแสนสาหัสของพี่น้องผู้ประสบภัย ไปถึงที่ไหนเอาไมค์จ่อปาก เดือดร้อนไหม ลำบากไหม มีใครมาช่วยยัง ต้องการอะไร ? เรตติ้งของสื่อที่รายงานเรียบ ๆ ไม่หวือหวาเอาเฉพาะเนื้อ ๆ ว่าเป็นน้ำท่วมตามปกติไม่มีใครอยากฟังหรอกกดรีโมตหนีมาดูรายงานของสื่อดราม่ากันสนุกกว่า ช่วงนั้นรัฐบาล ปชป.เองก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไรนักหรอกเพราะขยับตัวช้า(ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาด้วยซ้ำ) ไม่เหมือนภาคเอกชนที่ขยับเร็วกว่าจึงไม่แปลกที่ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา จึงมีบทบาทโดดเด่นทั้งเรื่องการส่งทีมไปปาดน้ำตารายงานความทุกข์ยากแสนสาหัสลุยน้ำกันเห็น ๆ ออกทีวีเช้าเย็นลากข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาสั่งราชการทางอ้อมแถมด้วยตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยช่อง 3 มีการบริจาคท่วมท้น มติชนสุดฯ (ซึ่งคงไม่ต้องมาดัดจริตนิยามกันแล้วว่าเป็นสื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทย)ได้ทีจับสรยุทธ์มาแต่งซุปเปอร์แมนขึ้นปกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 พาดหัวเก๋ไก๋ไฉไลเกิ้นนนน..ว่า“พระเอกตัวจริง” ซึ่งไม่ต้องอธิบายต่อว่ามันมีนัยสะท้อนให้คิดต่อว่าแล้วใครล่ะที่เป็น “พระเอกตัวปลอม”และมีผลแคนนอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งระดับไหน !!? อันที่จริงคุณูปการของสรยุทธ์และช่อง 3 ในห้วงนั้นก็มีอยู่โดยเฉพาะการกระตุ้นให้คนไทยมีจิตสาธารณะยื่นมือมาช่วยผู้ประสบอุทกภัย แต่ในความดีงามดังกล่าวก็มีผลทางการเมืองแฝงอยู่ไม่เพียงเท่านั้นผลที่ไม่พึงประสงค์ก็มีแฝงอยู่เพราะอิทธิพลของสื่อหลักมีผลตรงต่อทัศนคติของสังคม กระแสการรายงานแบบดราม่าทำให้ภาพของปัญหาน้ำท่วม(ที่เป็นเรื่องปกติมาก ๆ ของคนที่ราบภาคกลาง)กลายเป็นสภาวะไม่พึงประสงค์เป็นสิ่งแปลกแยกเป็นปัญหารันทดเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส ฯลฯ ขึ้นมา ผมเชื่อของผมว่าการ Built ของสื่อดราม่าที่บ่มสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลต่ออาการตื่นตระหนก Panic เกินเหตุของคนกรุงในปีนี้นอกเหนือจากปัจจัยที่เมืองกรุงฯ ว่างเว้นจากศึกน้ำมาหลายปีจนคนรุ่นใหม่แทบไม่มีประสบการณ์รับมือกับน้ำท่วมเลย ในที่สุดกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าคำพรรณาของสื่อแบบดราม่าเมื่อพ.ศ. 2553 ในทำนองว่านี่เป็นน้ำท่วมสาหัสในรอบหลายทศวรรษ ท่วมมากท่วมใหญ่อะไรทั้งหลายแหล่เร้าอารมณ์ให้คนตาตื่นนั้นมันแค่เด็ก ๆ เมื่อเทียบกับภาวะผลกระทบและพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในปีนี้ น้ำท่วมรอบนี้สาหัสจริง ๆ ทั้งต่อคนทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม มองในแง่ดีการที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่กับข่าวสารติดตามสถานการณ์น้ำย่อมทำให้เกิดความเข้าใจต่อภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ระบบของน้ำฯลฯ มากขึ้นชื่อคลองที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ได้รู้จักตอนนี้ มวลน้ำเป็นก้อน ๆ ไหลแบบไหนไปทางไหน เจ้า ลบ.ม.ต่อวินาทีนี่มันขนาดไหน ฯลฯ และที่สำคัญมีหลายเรื่องหลายประเด็นที่เราบังเกิดตาสว่างขึ้นมา ข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายในอินเตอร์เน็ต ในโซเชี่ยลมีเดียมีทั้งแบบบวกลบต่อรัฐบาลก็ปกติของสื่อประเภทนี้แหละครับที่ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกและความเห็นส่วนตัวใส่ลงไป ขาที่เชียร์รัฐบาลก็พยายามจะเตือนสติกันให้ระวังการเสพข่าวจากโซเชี่ยลมีเดียและให้ดูจากสื่อที่เชื่อถือได้เช่น NBT (ฮา!) แต่โดยรวมคือขาที่เชียร์รัฐบาลอยากให้คนเลิกเสพอะไรที่มันดราม่า กระตุ้นอารมณ์ในทำนอง Emotional Report สกู๊ปเรื่อง “หยุดกวนน้ำให้ขุ่น ขวางรัฐบาลแก้อุทกภัย”ของ DNN (ทีวีแดง) ที่แพร่หลายในเฟซบุ้คตอนหนึ่งเขาก็บอกตรง ๆ ทำนองว่า “การรายงานข่าวก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมเกินจริง ไปรายงานในที่ท่วม เร้าอารมณ์ผู้ชม ข่าวควรรายงานเฉพาะข้อเท็จจริง การรายงานใช้คำว่าวิกฤตและน้ำท่วมหนักทั้ง ๆ บางแห่งไม่หนัก” ฟังสกู๊ปชิ้นนี้ปุ๊บนึกถึงสื่อดราม่าที่คนเสื้อแดงเคยชื่นชมปั๊บเลย !! ใครว่าไงไม่รู้ล่ะ ผมฟังสกู๊ปทีวีแดงเรื่องนี้ภาพแรกที่ลอยมาคือสรยุทธ์ใส่ชุดซุปเปอร์แมนเป็นพระเอกลุยน้ำท่วมท่วมกลางสมองมือที่ชูสลอนของผู้ประสบภัยที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส !!! ทีวีแดงกล่าวไม่ผิดหรอกครับที่ว่าไม่ควรดูสื่อประเภทปาดน้ำตารายงาน วิกฤติโน่น สาหัสนี่เร้าอารมณ์ เพราะหลักการของการรายงานข่าวในสถานการณ์ภัยพิบัติไม่ควรใส่อารมณ์เร้าคนดู เพียงแต่มาพูดช้าไปหน่อยคือมาพูดเอาตอนที่รัฐบาลตัวเองมาบริหารประเทศ หากทีวีแดงรายงานเรื่องนี้เมื่อปี 2553 ตอนที่สรยุทธ์ได้รับยกย่องจากมติชนสุดฯ ให้สวมชุดซุปเปอร์แมนเป็นพระเอกตัวจริง อย่าปฏิเสธเลยว่าคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยกลับชมชอบกับวิธีการรายงานข่าวแบบดังกล่าว จนกระทั่งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่บานปลายทะลักเข้ากรุงฯ ศปภ.ที่เคย “เอาอยู่” ก็เลิกใช้คำนี้ไปแล้วเพราะต้องขนของหนีน้ำเป็นผู้ประสบภัยเอง วิธีการรายงานข่าวแบบดราม่าปาดน้ำตาตอกย้ำคำวิกฤติสองคำก็วิกฤติกลายเป็นวิธีการรายงานที่สำนักข่าวเสื้อแดงไม่ชอบ รัฐบาลปูแดงก็ไม่ชอบ คนที่กลาง ๆ อยากฟังข่าวสารเขาก็ไม่ชอบมานาน เรตติ้งสถานีข่าวกลับตกเป็นของสถานีที่รายงานเรียบ ๆ กว้างขวางครอบคลุมไม่ใส่อารมณ์ลงไป พิบัติภัยของจริงกลายเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพและความเชื่อถือวิธีการรายงานข่าวของสื่อทีวีพร้อมกันไปด้วย “พระเอกตัวจริง” ที่มาพร้อมกับ Emotional Report จึงกลายเป็นสินค้าตกยุคพ้นสมัยไปทันที เพราะขนาดสื่อแดง DNN ยังประกาศโต้ง ๆ ว่าไม่นิยมการรายงานแบบเร้าอารมณ์ น้ำท่วมรอบนี้ไม่จำเป็นให้หนังสือรายสัปดาห์ฉบับไหน “ยกใคร” หรือ “อวยใคร” ให้เกินพอดีเพราะพระเอกนางเอกตัวจริงประชาชนจิตอาสามีอยู่ทั่วไปในพื้นที่ประสบภัย และที่สำคัญน้ำท่วมรอบนี้ยังกระชากหน้ากากของนางเอก พระรอง และตัวประกอบทั้งหลายแหล่พร้อมกันด้วย นอกจากไม่มีพระเอกตัวจริงแล้ว “นางเอก”ที่นักการเมืองสอพลอจำนวนหนึ่งเคยบอกสรรพคุณกับสื่อมวลชนว่าเธอเป็นซีอีโอนักบริหารมืออาชีพเป็นหญิงแกร่งที่ผ่านกิจการหมื่นล้านมาแล้วก็ถูกน้ำพัดพาหายไปเหลือแค่หญิงกลางคนวัยสี่สิบต้นที่น่าสงสารซีดเซียวเหนื่อยล้าคนหนึ่ง เมื่อสถานการณ์สร้างวีรบุรุษได้.. สถานการณ์ก็ยังกระชากหน้ากากนางเอกได้เช่นกัน ! น้ำลดตอผุดฉันใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคยได้รับ “คำอวย” จากคนเสื้อแดงให้เป็นสุดยอดซีอีโอนักบริหารหญิงแกร่งอะไรนั่นก็ถูกสถานการณ์น้ำพิสูจน์ล่อนจ้อนแล้วว่าเป็นแค่การยกก้นกันเองสื่อไทยสื่อเทศพูดตรงกันว่าเธอขาดภาวะผู้นำ สถานการณ์วิกฤตของประเทศระดับนี้ภาวะผู้นำเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ของการขับเคลื่อนกลไก ของการพยุงรักษาสิ่งต่าง ๆ และต่อการนำพาประเทศให้พ้นจากหายนะภัย ในแง่ปัจเจกระหว่างคนกับคนผมเห็นใจนายกฯปู-ยิ่งลักษณ์นะครับจำเป็นต้องแบกของที่ไม่อยากแบก บางเวลาต้องกล้ำกลืนกับสิ่งที่ตัวเองไม่มีความสุขแต่เมื่อนึกถึงส่วนรวมแล้วก็จำเป็นต้องตำหนิ ประเทศชาติไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ออฟฟิศทดลองงาน ประเทศไทยไม่ใช่ของคน 15 ล้านคนที่เลือกเพื่อไทย แต่เป็นของคนอีก 55 ล้านที่ไม่ได้เลือกด้วย น้ำท่วมรอบนี้ทำให้เราตาสว่างขึ้นหลายเรื่อง ปัญหาน้ำที่ใกล้ตัวที่สุดแต่คนจำนวนมากกลับไม่เคยมองจนกระทั่งภัยมาจึงได้เห็นว่าผังเมืองเราไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศอย่างยิ่ง ผมนึกถึงเคยมีกลุ่มคนที่ประท้วงโครงการใหญ่อย่างไนท์ซาฟารีและพืชสวนโลกว่าตั้งขวางทางน้ำไหล และจะแย่งสูบน้ำจากพื้นที่ดอยแต่คนส่วนใหญ่ไม่ฟังเหตุผลคำคัดค้านดังกล่าวหาว่าขวางความเจริญจนมาปีนี้ 2554 กระมังที่เหตุผลทำนองว่าไม่ควรสร้างโครงการใหญ่ขวางทางน้ำจึงค่อยดังขึ้นมาในสังคม น้ำท่วมรอบนี้ทำให้คนเสพสื่อตาสว่างขึ้นว่า ทันทีที่ภัยลามมาใกล้ถึงตัวเขาจะเลือกเสพและเชื่อสื่อแบบไหน ? แบบเร้าอารมณ์หรือแบบให้ข้อมูลไม่หวือหวา น้ำท่วมรอบนี้ทำให้สิ่งที่เราเรียกว่าการเมืองในสถานการณ์ภัยพิบัติชัดเจนขึ้นมา ในยุคหนึ่งมีคนจำนวนหนึ่งชมชอบอยากเห็นการรายงานข่าวแบบเร้าอารมณ์เพียงเพื่อให้กระทบต่อรัฐบาลที่เขาไม่ชอบ แต่พอพวกเขามาเป็นรัฐบาลเองกลับต้องการสื่อที่รายงานเรียบ ๆ ไม่หวือหวาเร้าอารมณ์ และกล่าวหาว่าสื่อที่รายงานแบบดังกล่าวไม่หวังดี (ทางการเมือง) ต่อรัฐบาล แล้วเราก็ได้เห็นพระเอก-นางเอกที่เคยถูกยกย่องอวยขึ้นในสถานการณ์หนึ่งถูกน้ำของจริงพัดพาหัวโขนคำอวยออกไป ไม่เหลือภาพพระเอก-นางเอกของสังคมการตลาดดราม่า(และการเมืองดราม่า)ต่อไป โบราณท่านว่าน้ำลดตอผุดเพื่อเปรียบเปรยว่าความจริงที่เคยถูกปิดบังย่อมถูกเปิดเผยสักวันหนึ่งวันยังค่ำ ... แต่ก็น่าประหลาดแท้สำหรับเรื่องบางเรื่องในประเทศสารขัณฑ์ต้องรอให้น้ำท่วมใหญ่เสียก่อนเจ้าตอที่ว่าจึงค่อยผุดขึ้นมาให้ชาวประชาได้เห็นกัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2554, 11:05:51 ความเชื่อมั่นไทยจ่อ เหว ต่างชาติอัด รัฐไร้น้ำยาแก้
posttoday.com โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส คือหนึ่งในบริษัทหลายพันแห่งมีโรงงานจมน้ำ และออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรับประกันให้มั่นใจว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งนับเป็นท่าทีต่อเนื่องของบรรดาบริษัทข้ามชาติ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งจัดการกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 50 ปีโดยเร็ว เพียงแต่ครั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มพุ่งเป้าเป็นพิเศษไปที่ทิศทางในอนาคต กับ “ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย” ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเริ่มจะสั่นคลอนลงไปตามแรงกระเพื่อมของน้ำ ที่เข้ากระทบท่วมนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งในประเทศ “ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยขึ้นอยู่กับตรงจุดนี้ จำเป็นต้องมีการจัดทำแผนทบทวนเรื่องการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมจากภาวะน้ำท่วมอย่างสมบูรณ์ และแผนการที่ว่านี้ก็จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย” ริชาร์ด ฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฮานา กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก แน่นอนว่า Credibility หรือความน่าเชื่อถือของประเทศไทย หรืออาจสื่อความหมายได้อีกว่า “ความน่าเชื่อถือต่อศักยภาพในการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย” นั้น คือประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติกำลังจับตามากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อการพิจารณาหรือทบทวนแผนการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย หากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า ภาวะน้ำท่วมใหญ่กลืนนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางการลงทุนของต่างชาติในไทย นับตั้งแต่เกิดนิคมอุตสาหกรรมขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมให้เริ่มกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของต่างชาติ ดังเช่นที่ พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 500 ล้านบาท ในการเข้าฟื้นฟูบริษัทเหล่านี้ รวมถึงก่อสร้างโครงสร้างต่างๆ เพื่อเบี่ยงเส้นทางน้ำ ทว่า เงินจำนวนนี้ก็ยังไม่น่าวิตกเท่ากับความเชื่อมั่นของต่างชาติต่อประเทศไทยในระยะยาว “นักลงทุนทุกรายต่างก็สอบถามเข้ามาตลอดว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอยขึ้นอีกในปีหน้าหรือปีถัดไป ซึ่งเราจำเป็นต้องรับประกัน ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา” พงษ์ศักดิ์ กล่าวกับบลูมเบิร์ก แม้จนถึงขณะนี้จะยังไม่มีบริษัทใดส่งสัญญาณแรงๆ ว่าจะทบทวนแผนการลงทุนในไทย แต่ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งที่มีฐานการผลิตในไทย ก็อาจทำให้ใครร้อนๆ หนาวๆ ได้เหมือนกัน ฮอนด้า มอเตอร์ คือตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด กับตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีงบประมาณแรก ที่มีผลกำไรสุทธิลดลงถึง 77.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แน่นอนว่า ผลกำไรที่ดิ่งลงจากรายได้สุทธิที่ลดลงเหลือเพียง 9.22 แสนล้านเยน (ราว 3.51 หมื่นล้านบาท) ไม่ได้เป็นปัญหาจากน้ำท่วมในประเทศไทย ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบหลักๆ มาจากแผ่นดินไหวพ่วงสึนามิเมื่อเดือน มี.ค. ในหลายพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น รวมถึงปัจจัยค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างหนัก แต่ภาวะน้ำท่วมในไทยก็เป็นตัวดับฝันของฮอนด้า และอีกหลายบริษัทที่หวังจะฟื้นกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อชดเชยความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อต้นปี ฮอนด้า มอเตอร์ ต้องเลื่อนการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังออกไปก่อน ระหว่างการแถลงผลประกอบการครึ่งปีแรกเมื่อวันที่ 31 ต.ค. เพราะยังต้องประเมินความเสียหายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฮอนด้านั้น เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวที่โรงงานผลิตรถยนต์ต้องจมน้ำเสียหาย ซึ่งล่าสุดหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันในญี่ปุ่น นิกเกอิ ระบุว่า ฮอนด้าอาจต้องปิดโรงงานที่น้ำท่วมนานถึง 6 เดือน ขณะที่บริษัท ทีดีเค (TDK) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ก็ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานลงทั่วโลก 1.1 หมื่นอัตรา หรือราว 12% จากพนักงานทั้งหมด 8.5 หมื่นอัตรา เมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีผลภายใน 2 ปีนี้ โดยเป็นมาตรการลดรายจ่ายเพิ่มผลกำไรให้บริษัท แม้จะไม่ได้ระบุในเหตุผลของการเลย์ออฟรอบนี้ แต่ทีดีเคก็มีโรงงานในประเทศไทยถึง 4 แห่ง ซึ่งทั้งหมดต้องระงับการผลิตลงชั่วคราวจากปัญหาน้ำท่วม จนส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตอย่างหนัก ทางด้านหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล ได้รายงานอ้างบรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองว่า การฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม คือภารกิจสำคัญที่เป็นบททดสอบนายกรัฐมนตรีชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอาจรวมถึงรัฐบาลทั้งชุดหลังจากที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือน ปัจจุบันโรงงานเกี่ยวกับยานยนต์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์หลายแห่งในเขตนิคมอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ ต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมและได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในไทยที่ต้องระงับการผลิตเพราะน้ำท่วมนั้น มีสัดส่วนมากถึง 1 ใน 4 ของโลก ขณะที่ภาคยานยนต์นั้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 1 อย่างโตโยต้า มอเตอร์ ได้รับผลกระทบรวนเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลกทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐ เช่นเดียวกับฮอนด้า มอเตอร์ ที่อาจจะไม่สามารถฟื้นการผลิตเต็มรูปแบบในโรงงานที่ถูกน้ำท่วมนานถึง 6 เดือน “การให้คะแนนในการแก้ปัญหาของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อาจจะออกมาดีมาก หรือแย่มาก แต่จะไม่มีการตัดเกรดแบบให้ผ่านกลางๆ แน่ และหัวใจสำคัญของบททดสอบนี้ก็อยู่ที่ว่า ยิ่งลักษณ์จะจัดการกับกระบวนการฟื้นฟูครั้งนี้อย่างไร” ไมเคิล มอนเตซาโน นักวิเคราะห์จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์ กล่าวกับวอลสตรีต เจอร์นัล เพราะนอกจากน้ำท่วมครั้งนี้จะกระทบต่อโรงงานกว่า 1 หมื่นแห่ง ที่ต้องหยุดการผลิตลงโดยไม่มีกำหนดแล้ว ก็ยังกระทบต่อตำแหน่งงานถึงราว 6.6 แสนอัตรา ที่เป็นหัวใจสำคัญของพี่น้องชาวไทยทั้งชนชั้นกลางและคนหาเช้ากินค่ำด้วย ขณะที่ คริส เบเกอร์ นักเขียนและนักวิจารณ์ทางการเมืองในไทย มองว่า ยังเป็นเรื่องยากมากที่จะบอกได้ว่าลูกเต๋าจะออกมาอย่างไรสำหรับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ “คิดว่าผลลัพธ์ที่จะออกมา ยังคงอยู่ในมือของยิ่งลักษณ์และรัฐบาล ซึ่งที่สุดแล้วอาจจะออกมาตรงข้ามกับที่นักวิจารณ์พูดไว้ก็ได้” เบเกอร์ กล่าว ซึ่งชี้ชัดว่า ณ วันนี้ รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ยังมีโอกาสที่จะโชว์ศักยภาพแก้ปัญหา และแสดงให้เห็นความสามารถในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด ทว่า หากโอกาสผ่านพ้นไปโดยไม่สามารถแสดงให้เห็นความน่าเชื่อถือ หรือเครดิตใดๆ ที่ประเทศไทยควรจะมีในฐานะฮับการผลิตสำคัญแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้.... ไม่นักลงทุนต่างชาติก็รัฐบาลไทย ที่อาจจะไปพร้อมกับน้ำ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2554, 19:38:57 ชะตากรรม...ผู้อพยพ
โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com ผมเขียนคอลัมน์ขณะที่ตัวเองได้กลายเป็น "ผู้อพยพ" พร้อมครอบครัว อีก 9 ชีวิต มาอยู่ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ฟังแล้วดูดีที่ได้มาเที่ยวทะเล คนที่ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพน้ำท่วมบ้านหลังแรกที่บางบัวทอง นนทบุรี และอีกสองสัปดาห์น้ำก็เข้าท่วมบ้านที่เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนี้หรอก การตกอยู่ในสภาพเป็น "ผู้อพยพ" ทุกอย่างมันเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องควักเงินออมออกมาใช้ ส่วนหนึ่งใช้เงินล่วงหน้าจากบัตรเครดิต และไม่มีทีท่าว่าตัวเลขจะบานปลายไปมากแค่ไหน นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมแซมบ้านช่องให้กลับมาเอาแค่พออยู่อาศัยได้ พ่อ แม่ ลูก จำต้องพลัดพราก ผมและภรรยา ก็ต้องทิ้งลูกๆ กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ จะไม่เรียกว่านี่คือสภาพ "บ้านแตกสาแหรกขาด"...ได้หรือ ถึงกระนั้น ผมขอเป็นกำลังใจสำหรับเพื่อนสื่อคนอื่นๆ ที่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกันกับผม ผมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัย ที่ต้องพลัดพรากบ้านไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้เมื่อไรจะได้กลับเข้าบ้าน เพื่อนบ้านบางคนสูญสิ้นอาชีพไปแม้จะเป็นแค่ชั่วขณะ ได้บอกกับผมว่า "ป้าเห็นเขาขายของ แล้วอยากกลับเข้าบ้านไปเอาอุปกรณ์ออกมาทำมาค้าขาย แต่น้ำก็ยังท่วมสูง" ชีวิตเล็กๆ วิถีเล็กๆ ยังมีอีกนับล้านคนที่จะต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกันนี้ ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทำไมผู้อพยพที่ศูนย์พักพิงดอนเมือง จึงไม่ยอมย้ายไปไหน เพราะเขาไม่รู้ชะตากรรมว่าจะต้องย้ายไกลจากบ้านไปอีกมากน้อยแค่ไหน ผู้ที่พลัดพรากจากบ้านโดยผู้อื่นกำหนดชะตากรรม ไม่ต่างจากผู้ที่ "สูญสิ้นอิสรภาพ" ผมเชื่อว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่มีใครที่ยอมรับชะตากรรมโดย "ดุษณี" คนเดือดร้อนจากน้ำท่วมมีเป็นล้านๆ คน เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของคนเพียงไม่กี่คน คนไม่กี่คนที่ไม่ยอมให้กรมชลประทาน ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนก่อนวันที่ 15 ก.ย. เพียงเพราะต้องรอเก็บเกี่ยวข้าวในที่นาของกลุ่มทุนตะวันออกกลาง และกลุ่มทุนการเมืองในพื้นที่หลายจังหวัดภาคกลาง คนไม่กี่คนที่ไม่ยอมให้ระบายน้ำออกไปทาง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ไปลงแม่น้ำบางปะกง เพียงเพราะกลัวน้ำจะไหลเข้าท่วมสนามกอล์ฟของตัวเองที่สร้างขวางทางน้ำทั้งที่คลองแห่งนี้ ใช้ระบายน้ำเหนือออกจากกรุงเทพฯ มาตั้งนมนาน น้ำเหนือมันจึงไปหยุดที่คลอง 13 ไม่ไปบางน้ำเปรี้ยว แต่มันถูกผันมาท่วมคนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกแทน คนไม่กี่คนที่ผมพูดถึงอยู่นี้ คือ ผู้ผลักความเดือดร้อนไปสู่ประชาชน เพื่อประโยชน์ส่วนตน คนไม่กี่คนที่ผมพูดถึงอยู่นี้ คือ ผู้ที่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "นิวไทยแลนด์" ที่ต้องใช้เงิน 9 แสนล้านใน 5 ปี การกู้เงินจำนวนมหาศาล แค่ "เงินปากถุง" 3 เปอร์เซ็นต์ นั้น ถือว่ามากมายไม่ต้องไปคิดเลยว่าเคยถูกยึดเงินไปเท่าไร คนไม่กี่คนเหล่านี้นอกจากไม่สำนึกว่า...เพียงเพราะคิดเอาประโยชน์ส่วนตน...ได้ทำคนเดือดร้อน แล้วยังไม่มีสำนึกรับผิดชอบ พวกเขายังคิดจะกู้เงิน มาใช้กลบความผิดของตน โดยไม่ละอายใจ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 พฤศจิกายน 2554, 21:17:52 เกิดมาก็หลายสิบปี ต้องขอบคุณท่านนายกจริงๆครับ.
ที่ทำให้ผมได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่าน.ไม่ว่าจะเป็น 1.ได้เห็นรถจอดเต็มแม่งทุกสะพาน เหลือทางวิ่งแค่ช่องเดียวทั่ว กทม 2.ได้เห็นถุงทรายราคาแพงพอๆกับถุงข้าว 3.ได้เห็น มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม แม่งหมดห้าง 4.ได้เห็น เซเว่น ร้าง มีเหลือแต่ พนักงานคิดเงิน 5.ได้เห็นของที่ทุกบ้านต้องมี คือ กระสอบทราย 6.ได้เห็นน้ำท่วม กทมและปริมณฑล แบบมิดหัวแบบตัวเป็นๆ 7.ได้เห็นเรือพลาสติกราคาแพงเท่ารถมอเตอร์ไซค์ 8.ได้เห็นของบริจาค กองเป็นภูเขาแต่ชาวบ้านยังไม่มีของกิน 9.ได้เห็นผู้นำประเทศอ่านภาษาไทยออกทีวี แบบกึกๆกั๊กๆ 10.ได้เห็น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต 11.ได้เห็นนิคมอุตสาหกรรมแตก 7 นิคมแบบเละเทะ 12.ได้เห็นปัญญาชนกรอกทราย 13.ได้เห็นควายบริหารประเทศ 14.ได้เห็นน้ำใจและความแน่วแน่ ของทหารแบบไม่เคยคิดสงสัย ว่าเค้าทำเพื่อใคร เพื่ออะไร ทั้งที่ โดน สส ท่านด่าอยู่ทุกวัน. _____ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพราะคำว่า "เอาอยู่ค่ะ" ขอบคุณท่านจากใจจริงๆครับ__ ____ โดย: ยาฆ่ารากหญ้า ตราหมาแดง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: jeam ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 10:29:48 ....คลายเครียด....
นักหนังสือพิมพ์ปากจัดนายหนึ่งถูกฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท เนื่องจากเขาไปเรียกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง (ไม่รู้รัฐบาลไหนเหมือนกัน) ว่า “ควาย” หลังจากการไต่สวนหลายนัดศาลก็ตัดสินให้นักหนังสือพิมพ์มีความผิดตามฟ้อง แล้วลงโทษปรับ 5,000 บาทกับจำคุก 1 เดือน โดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน นักหนังสือพิมพ์รับคำตัดสินอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก “ยังงั้น ถ้าผมเรียกควายว่ารัฐมนตรี ผมจะมีความผิดไหมครับ” เขาถามผู้พิพากษา "อืม..." ผู้พิพากษาลังเล “ก็คงจะไม่ผิดอะไร” นักหนังสือพิมพ์ยิ้มรับคำตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปหารัฐมนตรีคู่กรณี “ไงครับ? ท่านรัฐมนตรี!” emo42 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2554, 10:52:46
รัฐมนตรี = ควาย นายกรัฐมนตรี = ?? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 พฤศจิกายน 2554, 09:54:49 ทุ่งอุตสาหกรรม” ที่โลกลืม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ น้ำยังไม่ทันลด สันดานนักเลือกตั้งก็โผล่หางขึ้นเหนือน้ำเน่าเริ่มออกลายใส่ร้ายป้ายสีกัน พรรคโน้นอมน้ำ พรรคนี้อมของบริจาค ว่ากันว่า น้ำหลากทุ่งมาถึงเมืองกรุงส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ยังไม่เท่ากับกลิ่นน้ำลายนักเลือกตั้งที่เล่นเกมโต้วาทีบนความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ สถานการณ์มหาอุทกภัยในชั่วโมงนี้ มิได้มีแค่ที่จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนแสนสาหัส “นครปฐม” กับ “สมุทรสาคร” เป็นอีกสองจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจาก “น้ำแปลกหน้า” ที่มาจากทุ่งเจ้าพระยา และทุ่งปทุมธานีฝั่งตะวันตก สมทบด้วย “น้ำเจ้าถิ่น” จากแม่น้ำท่าจีน ที่เอ่อล้นฝั่งเข้าท่วมชุมชนและย่านเศรษฐกิจมานานแรมเดือนแล้ว ข่าวสารอุทกภัยในฝั่งตะวันตก ปรากฏผ่านสื่อน้อยมาก จนผู้คนในท้องถิ่นแถวนั้นตัดพ้อต่อว่า “เราเป็นพลเมืองชั้นสอง” นาทีที่มวลน้ำข้ามทุ่งบางใหญ่เข้าคลองมหาสวัสดิ์ ทุ่งพุทธมณฑล ทุ่งบางเลน และทุ่งนครชัยศรี ก็จมน้ำระดับมิดหัวแล้ว กระทั่งน้ำข้ามถนนบรมราชชนนี เข้ามาที่หัวถนนพุทธมณฑลสาย 4 ผู้คนตื่นตระหนกน้ำจะท่วมฝั่งธนบุรี แต่หารู้ไม่ว่ามวลน้ำทะลักล้นไปทางถนนพุทธมณฑลสาย 5 บวกกับน้ำล้นฝั่งท่าจีน ก็ทำให้ถนนพุทธมณฑลสาย 7 บางพื้นที่เจอกับภาวะน้ำท่วมขัง การที่น้ำเข้าท่วมถนนพุทธมณฑลสาย 4 และ สาย 5 ย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ ไม่แพ้นิคมอุตสาหกรรมแถบทุ่งเจ้าพระยา และทุ่งรังสิตที่จมบาดาล เพราะแถวถิ่นนี้เปรียบเป็น “ทุ่งอุตสาหกรรมเก่าแก่” หรือ “ดงโรงงาน” ที่เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ คำขวัญประจำ “เทศบาลเมืองไร่ขิง” อ.สามพราน จ.นครปฐม ก็บอกชัด “ไร่ขิงศูนย์ราชการ พุทธสถานล้ำค่า การศึกษารุ่งเรือง เลื่องชื่อการเกษตร เขตอุตสาหกรรม นำชุมชนพัฒนา” สามพราน จึงไม่ใช่ดินแดนส้มโอหวาน ข้าวสารขาว และสาวสวยเช่นเมื่อวันวาน หากแต่วันนี้ สามพรานเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอุตสาหกรรม เช่นเดียวกันกับคำขวัญประจำ “เทศบาลนครอ้อมน้อย” อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ที่ว่า “ศรัทธาหลวงพ่อเพ็ง หลวงพ่อพักตร์ อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ลือไกลอุตสาหกรรม งามล้ำเบญจรงค์” หรือพูดจาภาษาชาวบ้านก็ว่าย่านโรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ และสามพราน บริเวณรอยต่อสาย 4 กับสาย 5 รอยต่อกระทุ่มแบน-สามพราน คือย่านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก มีโรงงานผลิตสินค้าประเภทอาหารแปรรูป แช่แข็ง เสื้อผ้า สิ่งทอ พลาสติก และเครื่องประดับต่างๆ ในหน้าประวัติศาสตร์แรงงานไทย “กลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่” ถือว่าเป็นทัพหลวงของขบวนการกรรมกรไทยยุค 14 ตุลาคม 2516 ปัจจุบัน กรรมกรอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ ยังมีบทบาททางการเมืองภาคประชาชน ภายใต้การนำของ วิไลวรรณ แซ่เตีย เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ ได้นำสิ่งของไปบริจาคช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมย่านนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ บางปะอิน บ้านหว้าไฮเทค และ สหรัตนนคร ดังนั้น อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ และ สามพราน จึงไม่ใช่แผ่นดินเกษตรกรรมที่จะกลายเป็น “แก้มลิงตะวันตก” ให้เมืองใหญ่อยู่รอดปลอดภัย หากแต่น้ำท่วมดงโรงงานย่านนี้จริง ย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ “แรงงานรากหญ้า” น้ำแปลกหน้ามาถึงทุ่งอุตสาหกรรมเก่าแก่แล้ว ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่ามันจะเข้าท่วมกี่โรงงานกี่ย่านอุตสาหกรรม หลังจากน้ำลด ภาวะข้าวยากหมากแพงคงมาเยือน แรงงานหลายแสนคนตกงาน นักเลือกตั้งมัวแต่ถกเถียงกันเรื่องใครเป็นต้นตอน้ำท่วม? ใครบริหารจัดการวิกฤติน้ำท่วมล้มเหลว? วางแผนเยียวยากันไม่ทั่วถึงและไม่ทันเหตุการณ์ ระวัง “เหยื่ออุทกภัย” ที่เป็นแรงงานรากหญ้าจะเอาคืน! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 พฤศจิกายน 2554, 21:34:52 ยิ่งลักษณ์ ยิ่งแก้ ยิ่งแย่
posttoday.com 04 พฤศจิกายน 2554 เวลา 07:15 น. | ออกอาการ “ลิงแก้แห” ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหยิง!!! ผ่านมาเกือบ 3 เดือน นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาตุปัดตุเป๋ไป หนักขึ้นเรื่อยๆ โดย...ทีมข่าวการเมือง ออกอาการ “ลิงแก้แห” ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหยิง!!! ผ่านมาเกือบ 3 เดือน นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาตุปัดตุเป๋ไป หนักขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงต่อว่าต่อขานทั้งจากชาวบ้านชาวช่องที่ต้องทนทุกข์กับสภาพน้ำท่วมขังมายาวนาน รวมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวกรุง ที่รัฐบาลไม่อาจปกป้องพื้นที่ไว้ได้อย่างที่เคยประกาศ เดิมทีน้ำท่วมครั้งนี้มีความพยายามจะโยงให้เข้าใจว่าเป็น “เหตุสุดวิสัย” ที่ถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากพายุเนสาด ไห่ถาง นาลแก ประดังประเดเข้ามาแบบต่อเนื่อง จนส่งผลให้ระดับน้ำเหนือค้างอยู่ในพื้นที่มากเป็นประวัติศาสตร์ ยากจะทยอยระบายออกลงสู่ทะเลได้ทันท่วงที แต่จนถึงวันนี้ ทั้งท่าที ความตั้งใจ แนวนโยบาย มาตรการรับมือที่ออกมา ล้วนแต่ตอกย้ำถึงความล้มเหลวในการ “บริหารจัดการ” แก้ปัญหาที่ยิ่งแก้ ยิ่งนำไปสู่ปัญหาใหม่ๆ แก้เท่าไหร่ก็ไม่จบสิ้น ที่สำคัญยังฉุดรั้งพาตัว “ยิ่งลักษณ์” เข้าไปติดอยู่ในวังวนปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ย้อนดูไปตั้งแต่นโยบายตั้งต้น “2P 2R” เตรียมตัว ป้องกัน แก้ปัญหารวดเร็ว และดูแลชดเชย มาจนถึง “บางระกำโมเดล” ที่มองกันว่าไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าแผนปกติ แต่กลับถูกขยายผลใช้ไปทั่วทุกพื้นที่ ครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ลุกลามบานปลายด้วยสมมติฐานที่ว่ารัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าที่จะเกิดขึ้น จนทำให้การเตรียมการป้องกันน้ำเหนือก้อนใหญ่เป็นไปอย่างสะเปะสะปะไร้ระบบเอาจริงเอาจัง จนปัญหาลุกลามหนักขึ้นถึงขั้นตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เมื่อวันที่ 4 ต.ค. แทนที่ศูนย์อำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) ที่แต่งตั้ง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ เป็นประธานแบกรับแรงเสียดทาน แต่เอาเข้าจริง ศปภ. ในฐานะหน้าด่านสำคัญที่บูรณาการทุกภาคส่วนมาร่วมรับมือแก้ปัญหาน้ำท่วม ก็ไม่อาจแม้แต่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยข้อมูลที่กลับไปกลับมา ไปจนถึงการไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบ สถานการณ์น้ำท่วมหนักขึ้นเรื่อยๆ 5 ต.ค. ระดับน้ำเจ้าพระยาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เกินระดับวิกฤต ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และลุกลามมาถึงนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ สร้างความเสียหายนับแสนล้านบาท การประเมินสถานการณ์ผิดครั้งนั้น นำไปสู่การแสดงออกว่าจะปกป้องรักษานิคมอุตสาหกรรมมากกว่าการประกาศแจ้งเตือน อพยพลำเลียงสิ่งของเครื่องจักรต่างๆ เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา ไม่ต่างจากนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ อีก 7 แห่ง ที่ทยอยท่วมไล่ตามมา ทว่า... ท่าทีของรัฐบาลยังแสดงความมั่นใจต่อการรับมือน้ำท่วมครั้งนี้เรื่อยมา จนน้ำเริ่มทะลักคันกั้นน้ำคลองรังสิตที่พัง ส่งผลให้น้ำท่วม กทม. ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. คำนวณระยะเวลาจากวันที่ 522 ต.ค. รัฐบาลมีเวลากว่าครึ่งเดือนกับการรับมือมวลน้ำจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยการวางแผนระดมสรรพกำลังเร่งระบายไปทางตะวันตกหรือตะวันออก แต่ก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายเมื่อมีปัญหาติดขัดรายพื้นที่ สุดท้ายสถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ จน“ยิ่งลักษณ์” ออกมาแถลงยอมรับสถานการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า กทม.ชั้นในมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมในวันที่ 25 ต.ค. หลังจากที่เคยประกาศจะปกปักรักษาพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจให้พ้นน้ำท่วม จนถึงวันนี้สถานที่สำคัญต่างๆ ถูกน้ำท่วมกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง กองทัพอากาศที่ต้องขนย้ายเครื่องบินหนีน้ำ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ที่ต้องขนยุทโธปกรณ์หนีน้ำไป จ.กาญจนบุรี ไปจนถึงที่ตั้งของศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ แม้แต่สนามบินดอนเมือง สถานที่ตั้ง ศปภ. ที่มั่นใจนักหนาว่าน้ำจะไม่ท่วม แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานแรงน้ำ จนต้องย้ายมาที่ตึก ปตท. ซึ่งกำลังถูกมวลน้ำไล่กระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ จนต้องเสริมถนนเตรียมความพร้อมสถานการณ์ที่น้ำเริ่มไหลเข้าสู่ใจกลางกรุงขึ้นทุกที หลายต่อหลายจุดตามคันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ ที่มีปัญหาเรื่องการเปิดการปิดเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างคนต้นน้ำกับปลายน้ำ ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลแก้ไม่ตก และส่งผลให้ลุกลามบานปลายเรื่อยๆ ยังไม่รวมถึงปัญหาความล่าช้าในการเข้าไปแก้ไข ที่มองว่าตั้งรับน้ำที่จะมาแทนที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าและไปหาทางป้องกันอย่างทันท่วงที จุดเสี่ยงอย่างประตูน้ำคลองสามวาที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกับมวลชนที่ออกมากดดันการเปิดน้ำ ที่งัดกันไปงัดกันมาระหว่างประชาชนในพื้นที่กับความพยายามปกปักรักษา “นิคมอุตสาหกรรมบางชัน” ที่ตั้งโรงงาน 93 แห่ง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท ปัญหานี้ลุกลามยืดเยื้อจน “ยิ่งลักษณ์” ต้องมาบัญชาการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อยุติเด็ดขาด ยังคงมีการต่อรองขอเปิด ขอหรี่ประตูนี้ไม่จบสิ้น ยังไม่รวมกับปัญหาการจัดการในเรื่องระบบให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึง มีการเล่นพรรคเล่นพวกให้กับคนบางสี บางพื้นที่ จนถึงปัญหาของบริจาคตกค้างที่ลอยน้ำประจานอยู่ที่สนามบินดอนเมือง ในขณะที่พื้นที่รอบๆ กทม.น้ำเริ่มท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่หลายพื้นที่น้ำท่วมค้างเดิมตั้งแต่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี ฯลฯ ยังกลับไม่มีวี่แววว่าจะสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้ แม้ฝนจะหยุดตกไปได้สักพัก ช่วงเวลาที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูงสุดผ่านไปแล้ว ปัญหา “น้ำท่วม” ยังไม่คลี่คลาย ปัญหาใหม่อย่าง “น้ำเน่า” เริ่มเข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่จะลุกลามไปถึงโรคระบาดที่สุ่มเสี่ยงต่อความสูญเสียอีกมากมาย สิ่งที่ทำได้เวลานี้ยังเป็นเพียงแค่การบรรเทาอาการด้วยการเร่งผลิตอีเอ็มบอลไปหย่อนกระจายแต่ละพื้นที่ดังจะเห็นจากที่ “ยิ่งลักษณ์” ลงพื้นที่ดอนเมือง วัดไผ่เหลือง ตลาดโกสุมรวมใจ ชุมชนสรงประภา 7 ที่น้ำเริ่มเน่าส่งกลิ่นแล้ว พร้อมนำอีเอ็มบอลไปหย่อนลงน้ำ นี่แค่ส่วนหนึ่งของปัญหาใหม่ๆ ที่ตามมาจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด และไม่รู้ว่าจะมีปัญหาใดๆ เพิ่มเข้ามาอีกในช่วงอย่างน้อย 1 เดือน กว่าสถานการณ์จะกลับมาสู่สภาวะปกติ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 04 พฤศจิกายน 2554, 21:50:26 มา ครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: มีนา ที่ 04 พฤศจิกายน 2554, 23:15:39 ตะวัน..เราก็มา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 21:52:08
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 22:42:59
มาแล้ว แจกถุงยังชีพ ? ป่าววววว........ emo47 emo47 emo19:((: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 23:03:21
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 พฤศจิกายน 2554, 23:20:15 ตุ๊กตาบาร์บี้ คอลเลคชั่น รุ่นพิเศษ
-จำนวนที่ผลิต 1 ชิ้นเท่นั้น -สถานที่ผลิต Thailand Only -ร้องไห้ได้ หัวเราะได้ -เคลื่อนไหวได้ Body ทุกส่่วน ซ้ายหัน ขวาหันได้ -บริเวณใบหน้า ใช้วัสดุอย่างหนา ทนทาน -สามารถใช้ Remote Control ได้ แม้มีระยะ ไกลถึงดูไบ -สวมใส่แว่นหรูสีดำสนิท 1 อัน ป้องกันการเห็น -สวมรองเท้าบู้ท สีแดงสด ทำจากหนังควายอย่างดี -ค่าใช้จ่ายในการผลิตตุ๊กตาตัวนี้มูลค่าถึง 15 ล้านบาท -ราคาตั้งขายตอนนี้ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ยังขายไมได้ -ขอยืนราคาไว้ 60 วัน หากยังไม่ได้รับการสั่งซื้อ ถุงดำมี ไม่ง้อ จึงขอแจ้งมาเพื่อให้ได้อ่านๆกัน เพื่อทราบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 09:23:33 ลือว่อนเน็ต! ศปภ.ฟาดหัวคิวงบถุงยังชีพ 20-50%
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤศจิกายน 2554 23:52 น. ASTVผู้จัดการ - ชาวเน็ตกังขาถุงยังชีพ ศปภ.ไม่สมราคา แกะถุงออกมาพบสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมเค้ก ยาแก้ปวด เครื่องอุปโภค ตีราคาแค่ 200-350 บาทเท่านั้น ขณะที่ก่อนหน้านี้สำนักนายกฯ เผยขออนุมติงบ 50 ล้านจัดซื้อถุงยังชีพชุดละ 500 บาท ตั้งข้อสงสัยฟาดหัวคิวจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ วันนี้ (5 ต.ค.) ในเว็บไซต์เฟซบุ๊กได้มีการแชร์ภาพถุงยังชีพที่ติดตราสัญลักษณ์ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเจ้าของภาพที่ใช้นามแฝงว่า “Tukta Perace” ได้ระบุข้อความในภาพว่า ถุงยังชีพแบบ 800 บาท ศปภ. ซื้อไปหนึ่งแสนชุด เป็นเงิน 80 ล้านบาท เปิดดูข้างในถุงมีแค่นี้ ช่วยประเมินให้ทีว่าราคามัน 800 บาทจริงหรือ โดยในภาพดังกล่าวมีสิ่งของประกอบด้วย ข้าวสารขนาด 5 กิโลกรัม 1 ถุง, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6 ซอง, ขนมปัง 6 ชิ้น, อาหารกระป๋อง 2 กระป๋อง, ยาพาราเซตามอล ชนิดแผง 10 เม็ด 2 แผง, โลชั่นทากันยุง 2 ซอง, ยาสระผม 1 ขวด, กระดาษชำระ 1 ม้วน, ผ้าอนามัย 1 ห่อ, เทียนไข 6 เล่ม และไฟแช็ก 1 อัน ภาพดังกล่าวถูกส่งต่อในเครือข่ายเฟซบุ้คจำนวนกว่า 1,700 คน โดยไม่นับเฟซบุ๊กอื่นๆ ที่นำภาพไปโพสต์ต่อ รวมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตถึงราคาสินค้าที่นำมาบรรจุในถุงยังชีพของ ศปภ. โดยผู้ใช้นามแฝง “OOm Owlet” ได้ลองเปรียบเทียบราคาสินค้า ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห่อละ 5 บาท 10 ห่อ เป็น 50 บาท, เทียน 10 บาท, แชมพู 12 บาท, ปลากระป๋อง 16 บาท 2 กระป๋องเป็น 32 บาท, ข้าวสารแบบถูก ถุงขนาด 5 กิโลกรัมถุงละไม่เกิน 70 บาท, ผ้าอนามัย ซานิต้า 23 บาท, ทิชชู่ 12 บาท, ไฟแช็ค 8 บาท, ยาแก้ปวดหัว แผงละ 8 บาท 2 แผงเป็น 16 บาท, ขนมปังห่อละ 4 บาท ถ้าซื้อเป็นโหลในแม็คโคร ตกอันละ 3.25 บาท 10 ซองเป็น 40 บาท, ถุงใส่ของสกรีนโลโก้ กิโลกรัมละ 48 บาท ประมาณ 150 ใบ หากคิดแบบแพงตกใบละ 32 สตางค์ต่อถุง และมีโลชั่นกันยุง 2 ซอง 16 บาท ส่วนเจ้าของนามแฝง “SaNdzz Sureeporn รักในหลวง” ระบุว่า ราคาสินค้าในถุงยังชีพของ ศปภ.ชุดนี้โดยประมาณ เพราะซื้อจำนวนมาก คาดว่าได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห่อละ 3.5 บาท 6 ห่อเป็น 21 บาท, ขนมเค้ก 3 บาท 6 ห่อเป็น 18 บาท, ยาพาราเซตามอล แผงละ 5 บาท 2 แผง 10 บาท, เทียน 7 บาท, ครีมกันยุง 7 บาท, ปลากระป๋อง 10 บาท 2 กระป๋อง 20 บาท, ข้าวสารเดาว่าเป็น 50 บาท, ทิชชู 6 บาท, ผ้าอนามัย 10 บาท และค่าถุงพิมพ์ชื่อ ศปภ. 5 บาท อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าชมภาพในเฟซบุ้คดังกล่าวส่วนใหญ่ต่างแสดงความคิดเห็นว่า ราคาสินค้าของถุงยังชีพของ ศปภ.ชุดนี้น่าจะอยู่ในระหว่าง 200-350 บาทเท่านั้น และตั้งข้อสังเกตว่า ศปภ.อาจมีการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่นำไปบรรจุลงในถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายจำเริญ ยุติธรรมสกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการบริหารจัดการสิ่งของบริจาคและดูแลการบรรจุถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย เปิดเผยเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ได้มีการขออนุมัติจัดซื้อถุงยังชีพเพิ่มเติมในราคาชุดละ 500 บาท จำนวน 1 แสนชุด รวมเป็นเงิน 50 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่ได้รับจากการบริจาคของประชาชนและหน่วยงานต่างๆผ่านศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เพื่อใช้ดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งได้รับการอนุมัติหลักการจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการจัดซื้อ คาดว่าจะได้รับถุงยังชีพชุดแรกประมาณวันที่ 2 พ.ย.นี้ โดยจะทยอยจัดส่งครั้งละประมาณ 1-2 หมื่นชุด ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นที่น่าสังเกตว่า สิ่งของบริจาคที่มาจาก ศปภ. ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการผ่าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่ศูนย์ ศปภ.ปฏิบัติหน้าที่ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง อาทิ กรณีของบริจาคที่มาจากประชาชนถูกนักการเมืองหรือกระทรวงต่างๆ ถูกนักการเมืองและ ส.ส.สอบตกนำกระดาษระบุชื่อว่าตนเองเป็นผู้บริจาคแนบไปด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาเสียงทางการเมือง, กรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเขียนข้อความลงในกองสิ่งของบริจาคว่าเป็นเจ้าของ ห้ามเคลื่อนย้าย, กรณีที่นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก เลขานุการ รมช.มหาดไทยร้องขอเรือบริจาคให้แก่ตนเอง รวมทั้งมีการแถลงข่าวภายหลังว่าของบริจาคทั้งหมดที่เข้ามาอยู่ใน ศปภ. อยู่ในความรับผิดชอบของนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ซึ่งภายหลังได้ให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว นอกจากนี้ภายหลังเมื่อน้ำจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ได้เข้าท่วมท่าอากาศยานดอนเมือง ศปภ.ได้ย้ายสถานที่ไปยังอาคารเอนเนอร์ยี คอมเพล็กซ์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยปล่อยให้สิ่งของบริจาค เสื้อผ้าและสุขาลอยน้ำจมอยู่ใต้น้ำอีกด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 09:45:39 ข่าวเก่า เอามาเล่าใหม่จาก ศูนย์ข้อมูล อสังหาริมทรัพย์ ที่มา http://www.reic.or.th/home_eng/news/news_detail.asp?nID=570&p=9&s=15&t=14 เด็กทรท.รุมฉีกฟลัดเวย์ 10บิ๊กอสังหารอส้มหล่น ( December 19, 2004 ) กลุ่มทุนอสังหาฯ-นักการเมือง ดิ้นอีกรอบ !ขอปรับสีผังที่ดินแนว"ฟลัดเวย์ " กว่าแสนไร่รอบสนามบินสุวรรณภูมิ วิ่งฝุ่นตลบ ล็อบบี้รัฐบาลทักษิณขอปรับสีผัง ระบุหัวโจกใหญ่ เป็นกลุ่มส.ส. พรรคไทยรักไทยเขตมีนบุรี "วิชาญ มีนชัยนันท์" ครอบครองที่ดิน กว่า1,000 ไร่ เผย10 บิ๊กนักพัฒนที่ดิน ตุนที่ดินในเขตเขียวลายเพียบ ไล่ตั้งแต่ "ประสงค์ เอาฬาร-หมอบุญ –ศุภาลัย-พฤกษา –แลนด์แอนด์เฮาส์-เค.ซี –บีแลนด์-ประภาวรรณกรุ๊ป รวมถึงตระกูลดัง"อัศวเหม" และอดีตเจ้าแม่อาวุธ "ราศี บัวเลิศ" พ้องเสียงผลักดันอยากปรับสีผังเป็นสีเหลือง ขณะที่ "วิษณุ" สั่งกทม.รื้อร่างผังเมืองใหม่ข้อ 38 อ้างให้อำนาจกทม.เกินขอบเขต พร้อมฟันธงเลื่อนประกาศใช้หลังเลือกตั้ง "อภิรักษ์"ผู้ว่ากทม.เสียงอ่อยแก้ไม่แก้สีผังแล้วแต่ครม. สืบเนื่องจากหนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มนักการเมืองที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ขอแก้ไขผ่อนปรนร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร(กทม.)ฉบับใหม่ ที่จะประกาศใช้แทนผังเมืองรวมกทม.ฉบับที่ 414ที่หมดอายุลงไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2547 และกทม.กำหนดที่จะประกาศใช้ในช่วงสิ้นปี 2547ไม่เกินเดือนมกราคม2548นั้น ล่าสุดนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าขณะนี้ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2547 ที่ผ่านมา และ คาดว่าจะสามารถประกาศได้ในราวต้นปี 2548 แต่ยังไม่สามารถระบุว่าจะเป็นช่วงไหนขึ้นอยู่กับครม.จะพิจารณาแก้ไขหรือจะมีการเลื่อนการประกาศผังเมืองกทม.ใหม่ออกออกไป ต่อข้อถามที่ว่าจะต้องมีการแก้ไขเนื้อหาสาระเพิ่มเติมหรือไม่ หากเอกชนเห็นว่าร่างผังดังกล่าวมีความเข้มงวดเกินไป นายอภิรักษ์กล่าวว่า ยอมรับว่าร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับที่จะออกมาบังคับใช้แทนผังเมืองฉบับเก่าที่หมดอายุลง เนื้อหาสาระน่าจะเหมาะสมแล้ว เพียงต้องการให้ภาคเอกชนและประชาชนร่วมทำความเข้าใจและวางแผนพัฒนาที่ดินตามผังเมืองในอนาคตมากกว่า อย่างไรก็ดีกรณีที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของร่างผังเมืองรวมกทม.ตามที่มีการร้องเรียนให้แก้ไขหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับครม.ว่าจะเห็นสมควรอย่างไร ในขณะที่ แหล่งข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทางสำนักนายกรัฐมนตรี โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กำหนดจะนำร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่เข้าครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบภายหลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือในการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ที่เชื่อว่ารัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีเสียงข้างมาก และเข้ามาบริหารประเทศต่ออีกสมัย ทั้งนี้ทางสำนักนายกรฐมนตรี ได้ท้วงติงว่ากทม.ไปพิจารณาร่างผังเมืองข้อ 38 ใหม่ ที่กำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินรองหรือพื้นที่โควต้า10 % ของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลัก อาทิ การอนุญาตให้พัฒนาเชิงพาณิชย์10 % ในพื้นที่สีเขียว ซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเป็นหลักฯลฯ โดยตั้งข้อสังเกตุว่า ไม่จำเป็นต้องสอบถามจาก กทม. อีกว่าใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ได้ เพราะจะเกิดความล่าช้าและมอบหมายให้กทม.ไปหารือกับกฤษฎีกาว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไร อย่างไรก็ดีตามข้อเท็จจริงแล้วกรณีที่มีการประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ล่าช้าออกไปแหล่งข่าวกล่าวยืนยันว่า เพราะ มีกลุ่มนักการเมืองหลายกลุ่มในพื้นที่ อย่างกรณีของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี พรรคไทยรักไทย และพวกพ้อง เป็นแกนนำในการวิ่งล็อบบี้รัฐบาลพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอปรับสีผังบริเวณแนว "ฟลัดเวย์" หรือพื้นที่สีขาวทะแยงเขียวทั้งหมด ที่กำหนดให้เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม โซนตะวันออก บริเวณรอบสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน กว่าแสนไร่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บริเวณเขตมีนบุรี เขตหนองจอกบางส่วน เขตลาดกระบัง เขตคลองสามวา ที่ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่กำหนดให้ใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเท่านั้นหากต้องการจัดสรรที่ดินเชิงพาณิชย์จะต้องมีขนาดแปลงที่ดินขนาด 1,000 ตารางวา หรือ 2.5 ไร่ขึ้นไป จากผังเดิมกำหนดให้พัฒนาตั้งแต่ 100 ตารางวาขึ้นไปได้ โดยเสนอให้ปรับจากสีขาวทะแยงเขียวหรือเขียวลายเป็นเป็นพื้นที่สีเหลือง หรือที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย เพื่อสามารถพัฒนาได้ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นแนวพระราชดำริ กำหนดให้เป็นแนวฟลัดเวย์หรือพื้นที่รับน้ำมาตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากทางตอนเหนือของกทม.เพื่อระบายลงสู่อ่าวไทยเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นกทม.จึงไม่สามารถที่จะปรับตามที่เอกชนและนักการเมืองกลุ่มดังกล่าวต้องการได้ แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้แล้วช่วงที่ผ่านมา มีนักลงทุน นักการเมืองได้พยายามยืมมือประชาชนเจ้าของพื้นที่ โดยร่วมกับกลุ่มพัฒนาที่ดิน ส่งเรื่องร้องเรียนมายังกทม.และสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดเสียงร้องเรียนจำนวนมากๆ เพื่อต้องการผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องเพราะมีที่ดินอยู่ในแถบนั้นไม่ต่ำากว่า1,000 ไร่ ทั้งนี้จากปัญหาในเรื่องของการเรียกร้องการปรับสีผังแนวฟลัดเวย์ ดังกล่าว ทางกทม.จะร่วมกันหาทางออกกับกรมชลประทาน ด้วยการขุดคลองระบายน้ำใหม่ ขึ้นมาแทนที่แนวฟลัดเวย์ที่กำหนดเป็นพื้นที่รับน้ำทั้งหมด ซึ่งจะสามารถปรับพพื้นที่แนวฟลัดเวย์ที่เหลือเป็นพื้นที่สีเหลืองในอนาคต ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ เวลาในการศึกษาเรื่องนี้ ราว 2 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป แต่ขณะนี้กทม.ขอยืนยันว่าจะขณะนี้ไม่ปรับเปลี่ยนสีผังแต่อย่างเด็ดขาด" จากการสำรวจของ "ฐานเศรษฐกิจ"พบว่ามีกลุ่มนักการเมืองและบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่มีที่ดินอยู่ในพื้นที่ขาวทะแยงเขียวจำนวนมาก อาทิกลุ่มของวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี พรรคไทยรักไทย และพี่น้องที่เป็นทั้งสมาชิกสภากทม.(ส.ก.)และสมาชิกสภาเขต กทม.(ส.ข.) โดยมีที่ดินรวมกันประมาณ กว่า1,000ไร่ กลุ่มนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัทเวชธานีกรุ๊ป มีที่ดิน ประมาณ 500 ไร่ ,นางราศรี บัวเลิศ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทแชลเลนจ์ กรุ๊ป มีที่ดินบริเวณย่ายสุวินทวงค์ จำนวน 600 ไร่ ,นายประสงค์ เอาฬาร กรรมการบริษัท ฟอร์ร่าวิล์ จำกัดและในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมีที่ดินบริเวณสุวินทวงค์ จำนวน 300 ไร่ บริษัทศุภลัย จำกัด(มหาชน) ของนายประทีบ ตั้งมติธรรม มีที่ดินอยู่ย่านสุวินทวงค์ 50 ไร่ นอกจากนี้บริษัทพฤกษา จำกัด มีที่ดินประมาณ 300 ไร่ ของนายเจ้าพ่อบ่านราคาถูก นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ บริษัทเค.ซีกรุ๊ป ของนายอภิสิทธิ งามอัจฉริยะกุล มีที่ดินประมาณ 2,000 ไร่บริเวณคลองสามวา บริษัทแลนด์แอนเฮ้าส์จำกัด(มหาชน) ของนายอนันต์ อัศวโภคินมีทีดินจำนวน 50 ไร่ นาง เพียงใจ อัศวโภคคิน ซึ่งเป็นมารดาของนายอนันต์ มีที่ดินอยู่บริเวณเขตลาดกระบังใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 2 แปลงรวม 1,000 กว่าไร่ นายวันชัย ชูประภาวรรณ เจ้าของบริษัทประภาวรรณกรุ๊ปมีที่ดินย่านสุวินทวงค์ประมาณ 100-200 ไร่ บางกอกแลนด์ มีที่ดินหลายร้อยไร่ และยังพบว่าตระกูลดังเมืองปากน้ำ"อัศวเหม"เองก็มีที่ดินในย่านดังกล่าวหลายร้อยไร่เช่นเดียวกันกัน ทางด้านนายวันชัย ชูประภาวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทประภาวรรณ กรุ๊ป กล่าวว่า มีที่ดินบริเวณพื้นที่ขาวทะแยงเขียวย่านสุวินทวงค์ จำนวน 100 ไร่ แต่ที่ผ่านมาได้ทะยอยพัฒนาไปบ้างแล้วเพราะซื้อเก็บไว้นานแล้ว โดยได้ขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทิ้งไว้ ก่อนหน้าที่ผังเมืองรวมกทม.ฉบับปัจจุบันที่หมดอายุลง จะบังคับใช้ ดังนั้นจึงสามารถพัฒนาขนาดพื้นที่ 50-100 ตารางวาได้ อย่างไรก็ดีหากมีการชะลอใช้ผังเมืองฉบับใหม่ออกไป ก็จะเป็นผลดี เพราะพื้นที่ดังกล่าวกำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม หากจะทำจัดสรรต้องมีขนาดแปลง 1,000ตารางวา หรือ 2.5 ไร่ขึ้นไป แต่ขณะนี้มีปัญหาว่าบ้าหรูในบริเวณรอบหนองงูเห่าเริ่มขายไม่ออกแล้ว ที่ผ่านมาตนพยายามอุทธรณ์ให้มีการปรับเปลี่ยนสีผังมาโดยตลอด และเห็นว่าส.ส.วิชาญ มีความตั้งใจจริงในการทำงานในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนมากกว่า ในขณะที่นายแพทย์ บุญวนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท เวชธานีกรุ๊ป กล่าวเช่นกันว่า มีที่ดินอยู่ในพื้นที่ขาวทะแยงเขียว เขตมีนบุรี ประมาณ 400-500 ไร่ ซื้อมาเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถพัฒนาอะไรได้ คงจะต้องรอกทม.ปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินก่อน ที่ผ่านมาเอกชนก็เรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณนี้แต่ก็ขึ้นอยู่กับกทม.ว่าจะดำเนินการอย่างไร นอกจากนี้แล้ว นายประสงค์ เฮาฬาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ร่าวิลล์ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าบริษัทมีที่ดินอยู่ย่านสุวินทวงศ์ 300 ไร่ ซึ่งเดิมทีได้พัฒนาโครงการมาแล้วส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว 100 ตารางวา ตามผังเมืองฉบับเก่า ทางด้านนาย อภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล ประธานกรรมการ บริษัท เค.ซี.กรุ๊ป ให้ความเห็นว่า มีที่ดินอยู่ประมาณ 1,000 ไร่ ขณะนี้เหลือ 200-300 ไร่ บริเวณ เขตคลองสามวา โดยที่ผ่านมาได้ยื่นขออนุญาตจัดสรรไว้ก่อนเมื่อปี 2542 ช่วงผังเมืองฉบับเก่า ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็ต้องรอต่อไป อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาได้ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วของปรับสีผังเป็นสีเหลือง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวควรยกเลิกแนวเฟลัดเวย์เพราะไม่เคยปรากฎว่ามีน้ำท่วม นอกจากนี้แล้วในหลวงท่านให้ก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ ที่จังหวัดสระบุรี และแก้มลิง ซึ่งไม่น่าจะมีผลกระทบเกี่ยวกับน้ำท่วมอีกต่อไป ที่สำคัญทำเลดังกล่าวอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นานนี้ควรจะเปิดใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยเฉพาะบ้านทาวน์เฮ้าส์อาคารชุดเพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานย่านนี้ได้แล้ว อย่างไรก็ดีได้มีเอกชนและประชาชนได้ร้องเรียนผ่านนายวิชาญ ซึ่งเป็นส.ส.ในพื้นที่จำนวนมาก ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะเรียกร้องรัฐบาลให้แก้ไขในเรื่องดังกล่าว ทางด้านนายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าเป็นเกมการเมืองที่จะยื้อประกาศใช้ผังเมือง รวมกทม.ฉบับใหม่ออกไป แม้ว่าที่ผ่านมา3 สมาคมบ้านฯ ได้แก่ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมอาคารชุดไทย ได้เรียกร้องให้มีการผ่อนปรนการใช้ประโยชน์ที่ดินมาหลายครั้งแล้วก็ตามไม่ว่าจะ เป็นที่สภาผู้แทนราษฎร, กทม. ฯลฯ แต่ก็เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วไป เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยราคาถูกในเขตกทม.ได้ แต่ขณะนี้ได้มีกลุ่มนักการเมืองที่มากกว่า 1-2 ราย ในพื้นที่ ต้องการวิ่งเต้นของแก้ไขผังบริเวณแนวฟลัดเวย์เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งมองว่าไม่น่าจะทำเช่นนั้น หากจะช่วยประชาชนจริงๆ ควรผลักดันเพื่อขอแก้ไข ทั้งหมดจะดีกว่า นอกจากนี้แล้วทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการสภาฯเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากผลกระทบของร่างผังเมืองกทม.ฉบับดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยตรงอีกด้วย นายโชคชัย บรรลุทางธรรม นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยกล่าวว่า เชื่อว่าสาเหตุที่รัฐบาลได้เลื่อนการพิจารณาร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ออกไป พิจารณาหลังการเลือกตั้งเนื่องจาก เล็งเห็นถึงความไม่พร้อมของร่างผังเมืองฉบับดังกล่าวมากกว่า โดยเฉพาะความเข้มงวดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่จะเป็นปัญหาอุปสรรคของเอชนและประชาชนเจ้าของที่ดิน อย่างไรก็ดีสมาคมฯอาจจะจะอาศัยจังหวะนี้เข้าร้องเรียนต่อสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยผลักดันในการแก้ไขผังต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 10:18:17 มา ครับ มารับ EM ball
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน แก้ระบบให้ถูกต้องแล้วคนในระบบจะถูกต้องเอง เริ่มหัวข้อโดย: Samrotri2517 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 10:47:58 (http://i274.photobucket.com/albums/jj266/kobnokkala/17-3.jpg) ปัญหาประเทศทั้งหมดแก้ได้ด้วยการเมือง ถ้าการเมืองถูกต้องเป็นประชาธิปไตย มีตัวแทน ทุกสาขาเป็นตัวแทน ซื้อเสียงยาก นักธนกิจการเมืองไม่สามารถซื้อตัวแทนได้ จะแก้ปัญหาได้ั (http://i274.photobucket.com/albums/jj266/kobnokkala/ThinkPink.jpg) มาร่วมรณรงค์ให้ สส.ที่เป็นตัวแทนต้องร่วมแก้(รัฐธรรมนูญกำหนดให้ สส.เสนอแก้ได้) แก้ให้เป็นสภาประชาธิปไตย5000 แทน สภา500 ต้องใช้พลังประชาชนในการทำสิ่งยากๆนี้ เพราะเป็นการทุบหม้อข้าว สส.ยากมาก ๆๆๆ !!! ต้องใช้พลังมวลชนรวมกันเพื่อทำการแก้นี้ (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd23173_1458588_3478325_5421982photo.jpg) ที่ประชุมกรรมการสภามหาวิยาลัยแห่งประเทศไทย(ทกสท.)ทำหน้าที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องแต่งตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ สสร.ให้สงสัยความเป็นกลาง ใช้นายกสภามหาวิทยาลัย ที่ได้รับการเลือกจากคณบดีทั้งมหาวิทยาลัยให้เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย ให้ทุกแห่งรวมกัน เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ สสร.ได้ มีคณบดีทุกคณะในมหาวิทยาลัยเป็นกรรมการที่ปรึกษา จะเป็น ร่่างรัฐธรรมนูญที่ทันสมัยเพราะคณบดีและนายกสภามหาวิทยาลัยต้องทันสมัยที่สุด เมื่อได้ ร่างรัฐธรรมนูญแล้วนำมาให้ประชาชนลงประชามติได้ ไม่ต้องใ่ช้กรรมการการเลือกตั้ง กกต.ในการเลือกตั้ง ใช้"ศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชน" ที่กระทรวง ไอซีที กำลังจัดให้มีทุกชุมชน http://thaitelecentre.org/main/index.php ทำ หน้าที่แทนได้ เมื่อมาใช้สิทธิ์ให้ลงทะเบียนทางไอซีที จะลงซ้ำไม่ได้อีกเมื่อใช้สิทธิ์ไปแล้ว เมื่อลงทะเบียนแล้วให้เข้าใช้สิทธิ์แล้วพิมพ์สำเนาให้เก็บไว้ ถ้าสงสัยผลการโหวตขอสุ่มตรวจว่า ผลการลงคะแนนตรงกันหรือไม่ ถ้าหมดข้อสงสัยก็ประการผลการใช้สิทธิ์ได้ทันที พรรคการเมืองยังมีอยู่เหมือนเดิมแต่ส่งได้เฉพาะทีมรัฐบาล เข้ามาดีเบตแข่งกันในสภา ที่มีสมาชิกสภา เป็นนายกกลุ่มตามที่รัฐธรรมนูญต้องกำหนดให้เข้ามาเป็น สส.ได้เป็นผู้ฟังการดีเบต เมื่อเลือกได้รัฐบาลจากพรรคหนึ่งแล้ว ให้พรรคการเมืองอันดับรองได้เป็นรัฐบาลเงาด้วยเพื่อให้ เข้ามาเป็นสมาชิกสภา เพื่อร่วมแก้ปัญหาที่นายกกลุ่ม คือ สส.เสนอเข้ามา สภาจะจัดกลุ่มปัญหา ที่คล้ายกันไว้ด้วยกัน แล้วแก้ไขตามลำดับความสำคัญด้วย..... (http://i274.photobucket.com/albums/jj266/kobnokkala/kzcx8d-7abc1d.jpg) วงจรคุณภาพ Plan Do Check Act : PDCA โดยสมาชิกสภาฯ ร่วมกันระดมสมองคิดวิธีแก้ ให้เป็นแผน Plan ให้รัฐบาลนำไปทำ Do มีหน่วยประเมินผลการทำงาน Check ให้สภาทราบเพื่อ ร่วมแก้ไข Act or Approved เมื่อได้แผนใหม่ ให้รัฐบาลนำไปทำต่อ วงจรคุณภาพPDCA หมุนไปตลอดปัญหาก็จะน้อยลง ผลงานของนายกกลุ่ม และ พรรคการเมือง ที่เป็นรัฐบาลกับรัฐบาลเงาที่ช่วยแก้ปัญหาในสภา จะเป็นตัวชี้วัดให้ได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองสมัยต่อไป สภาเผด็จการรัฐสภา 500VSสภาประชาธิปไตย 5000 Open Group 814 Members87 Photos11 Docs ที่ https://www.facebook.com/groups/165921873483752/ emo28:win: emo28:win: emo28:win: หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 12:13:09
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 พฤศจิกายน 2554, 12:15:17
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 พฤศจิกายน 2554, 10:26:02 กลุ่ม111"จี้ปลด"ยิ่งลักษณ์"พ้นนายกฯเซ่นน้ำท่วมก่อนพรรคพัง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ แกนนำ"บ้านเลขที่ 111"จี้ปลดพ้น"ยิ่งลักษณ์"พ้นนายกฯสังเวยน้ำท่วม ก่อนพรรคพัง ดัน"เฉลิม-ประชา"คั่วนายกฯ ขัดตาทัพ เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองขึ้มภายในพรรคเพื่อไทย(พท.) ต่อบทบาทการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย โดยแหล่งข่าวจากกลุ่มบ้านเลขที่ 111 เปิดเผยว่า เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาแกนนำกลุ่มได้หารือและมีข้อเสนอว่า กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยควรจะโหวต เพื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ใหม่ เพราะหากปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริหารประเทศต่อไป คะแนนของพรรคจะติดลบมากกว่านี้ "เสียงสะท้อนจากหลายพื้นที่น้ำท่วม ถล่มนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เละเทะ โดยเฉพาะเรื่องภาวะผู้นำ ไม่กล้าตัดสินใจ นายกฯ ไม่สามารถสั่งการให้ข้าราชการ และรัฐมนตรีต่างพรรคปฏิบัติตาม หรือแม้กระทั่งนักการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย นายกฯ ยังไม่สามารถสั่งได้ และที่สำคัญชาวบ้านที่เป็นฐานเสียงของพรรคหลายคนรับไม่ได้กับการบริหารจัดการเรื่องน้ำของรัฐบาล" แกนนำจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ระบุด้วยว่า ผู้ที่ถูกเสนอชื่อให้ขึ้นมาเป็น "นายกฯ ขัดตาทัพ” ในเบื้องต้น คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี หรือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม "ร.ต.อ.เฉลิม นกรู้ที่สุดในวิกฤติน้ำ เขาชิ่งออกจากระบบ ไม่มีข่าวด้านลบเลย จุดเด่นของ ร.ต.อ.เฉลิม คือกล้าคิด และกล้าตัดสินใจ แต่ พล.ต.อ.ประชา มีปัญหา ตอนนั่ง ศปภ. ทั้งประเด็นการสื่อสารและสั่งงาน ที่ไม่มีประสิทธิภาพ" แหล่งข่าวระบุ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 พฤศจิกายน 2554, 10:30:39 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2554 06:09
กองทัพประเมิน“ยิ่งลักษณ์”สอบตกแก้น้ำท่วมแจงยิบ12เหตุผล โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ กองทัพประเมิน "ยิ่งลักษณ์" สอบตกแก้น้ำท่วม แจงละเอียด 12 เหตุผล"ขาดภาวะผู้นำ-สั่งใครไม่ได้-การเมืองครอบ-ปกปิกข้อมูลประชาชน" ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง และกรุงเทพมหานคร(กทม.) ส่งผลต่อการตั้งคำถามถึงความรู้สามารถในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดยเฉพาะภาวะความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งล่าสุดก็มีการประเมินกันในแวดวงกองทัพด้วย แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพ เปิดเผยเมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) ว่า ภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของไทย ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือและถกเถียงกันในระหว่างการประชุมนายทหารระดับสูงของกองทัพ โดยเห็นตรงกันว่า นายกฯ ขาดความเด็ดขาดและกล้าตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ ส่งผลให้มวลน้ำมหาศาลถาโถมเข้าสู่กทม. และนำพาให้ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างหนัก ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพ ได้สรุปข้อผิดพลาดของนายกฯ ในการบริหารจัดการน้ำท่วม มีทั้งหมด 12 ข้อ ประกอบด้วย 1.ขาดประสบการณ์ในการบริหารราชการ และไม่เข้าใจในการใช้เครื่องมือทางฝ่ายบริหารที่มีอยู่ ทั้งในส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น 2.เลือกใช้กฎหมายที่มีอยู่ไม่ถูกต้องต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ต้องให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บริหารจัดการ ขณะที่รัฐบาลเองไม่กล้าที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์ตั้งแต่ต้น 3.เรื่องกำหนดตัวบุคคล หรือจัดองค์กรในการเข้ามาดูแลศูนย์ปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ใช้คนไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องน้ำเข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะ ผอ.ศปภ. แทนที่จะเป็นกระทรวงมหาดไทย แต่เป็นกระทรวงยุติธรรม 4.บทบาทของฝ่ายการเมืองมีลักษณะเป็นการทำเพื่อหวังผลทางการเมือง บนความทุกข์ของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการแจกของ โดยแจกให้เฉพาะคนกลุ่มคนเสื้อแดง หรือผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลเป็นหลัก ทำให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนในหลายจุด 5.ความไม่เข้าใจของนายกฯ และรัฐมนตรี และศปภ. ต่อภูมิศาสตร์ หรือภูมิสถาปัตย์ หรือกายภาพของประเทศ ว่าทิศทางเดินทางของน้ำควรเดินไปทางไหน ซึ่งไม่เข้าใจธรรมชาติของน้ำ และธรรมชาติของภูมิภาค 6.รัฐบาลไม่เลือกพื้นที่ หรือจัดระดับความสำคัญว่า รัฐบาลจะให้พื้นที่ใดเป็นพื้นที่สงวนไม่ให้เกิดความความเสียหาย แต่รัฐบาลแก้ไขปัญหาโดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป็นตัวตั้ง แทนที่จะเอามิติทางสังคมของประเทศไทยเป็นตัวตั้ง 7.การบริหารจัดการน้ำของนายกฯ แก้ปัญหาแบบคล้ายๆ ขายผ้าเอาหน้ารอด คือการเอาคนในพื้นที่ไปอยู่ท้ายน้ำ และเอาคนไปอยู่เส้นทางน้ำผ่านทั้งหมด จึงทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นทวีคูณ แม้แต่ ศปภ.ยังต้องอพยพและไปอยู่ท้ายน้ำเหมือนกับการอพยพประชาชน 8.รัฐบาล และ ศปภ.ปกปิดข้อมูลที่สำคัญบางอย่างกับประชาชน คือปริมาตรน้ำที่มีอยู่ พูดภาษาราชการเกินไป แทนที่จะบอกว่าขณะนี้ระดับไหนถึงไหน ขณะที่ปริมาตรน้ำเข้ามาใน กทม. แจ้งกันในเฟซบุ๊ก ทำให้ข้อมูลข่าวสารได้รับเพียงประชาชนคนชั้นกลางที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำไม่เคยรับรู้เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด 9.การเมืองระหว่างรัฐบาลกับผู้ว่าฯ กทม.ที่ใช้เวทีบริหารจัดการน้ำ มาชิงพื้นที่ทางการเมือง ส่งผลให้การบูรณาการทั้งระบบล้มเหลว 10.วิธีการของรัฐบาลที่เรียกว่าจับราชการแยกออกจากกัน ด้วยการสร้างอาณาจักรตำรวจ ขึ้นมาแข่งกับทหาร โดยมอบหมายภารกิจของทหารให้ตำรวจทำ แทนที่จะให้จับโจรผู้ร้าย 11.การสื่อสารของรัฐบาลไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนในการนำเสนอให้ประชาชนได้รับรู้ ที่ผ่านมารัฐบาลเสนอข้อมูลแบบซ้ำไปซ้ำมา และ 12.เรื่องการขุดเจาะถนนเพื่อระบายน้ำถือว่ามีความจำเป็น แต่รัฐบาลปฏิเสธที่จะทำเรื่องดังกล่าว นายทหารระดับสูงจากกองทัพ ยังยืนยันด้วยว่า แม้กองทัพจะมองเห็นจุดด้อย และวิจารณ์การบริหารของนายกฯ แต่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ต้องกลัวว่าทหารจะออกมาปฏิวัติ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ กองทัพต้องเลือกที่จะช่วยเหลือประชาชนก่อน และที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ออกมาย้ำหลายครั้งว่า ทหารไม่ปฏิวัติแน่นอน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 พฤศจิกายน 2554, 14:52:19 "คมทหารเฉือนคมการเมือง" By thaipost Created 3 Nov 2554 - 00:00
"ยิ่งลักษณ์" คนเก่งออกอาการ "ปัดความรับผิดชอบ" แล้วมั้ยล่ะ หนูเหนื่อย หนูตั้งใจทำงาน ๒๔ ชั่วโมง หนูขอความเห็นใจ หนูชักไม่สนุกแล้วนะ และหนูก็ไม่รู้เรื่องประตูน้ำ พี่ๆ ผู้มีบารมีในพรรคเขาสั่งให้หนูเปิดประตู หนูก็เปิด เปิดแล้วน้ำแตกพรูเข้าท่วมกรุงเทพฯ อาจท่วมหมดทั้ง ๕๐ เขต หนูก็ไม่รู้ ๑๒-๑๗ พ.ย.นี้ หนูจะไปประชุมเอเปกที่ฮาวาย หนูจะไปแสดงวิสัยทัศน์ผู้นำถึง "วิธีเอาอยู่" ให้แต่ละประเทศเขาฟัง! พวกผู้นำเอเปกจะบอกเวลคัม หรือเวรกรรมก็ไม่รู้นะ รู้แต่ว่าการใช้อาญาสิทธิ์ตามกฎหมายพิเศษสั่งให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.เปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาให้ทะลักเข้ากรุงเทพฯ ชั้นในครั้งนี้ ความดี-ความชอบ "ถ้ามี" ยกให้ยิ่งลักษณ์ แม่ย่านางเหนือหัวคนในพรรค นปช.เพื่อไทยแต่ผู้เดียว แต่ถ้าไม่มี...!? มีแต่เสียงก่นด่ากับการเอาอำนาจนายกฯ มาเล่นแบบ "หนูไม่รู้" แล้วหนูก็สนุกกับอำนาจ สั่งไปเรื่อยจนน้ำเลื้อยไล่ตามมาจ่อคอหอยถึง ศปภ.ที่กระทรวงพลังงานขณะนี้ หนูไม่ต้องเครียด หนูไม่ต้องรับผิดชอบหรอก เพราะพวก ลุง ป้า น้า อา หัวหงอก-หัวดำทั้งหลาย เขาตั้งคณะทำงานเป็น "ตุ๊กตาเสียกบาล" แทนให้แล้วตอนนี้! ฉะนั้น ความวิบัติจากการปล่อยให้ชาวบ้านทุบประตูคลองสามวา และที่สั่งเปิดประตูให้น้ำไหลเข้ามาชั้นใน เป็นการเอาใจนักการเมืองในพื้นที่เลือกตั้งของพรรคนั้น ยิ่งลักษณ์ไม่รู้เรื่องด้วยนะ... เพราะยิ่งลักษณ์เป็น "นายกฯ ลอยตัว" น่ะ! พื้นที่กรุงเทพฯ มี ๑,๕๖๘ ตารางกิโลเมตร แต่จะจมหมด หรือจะจมบางพื้นที่ รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมที่เหลือในย่านนั้นด้วย ชะตาอนาคตก็ฝากไว้ที่คลองสามวา กับคลองหกวา รวม ๙ วานี่แหละ ซึ่งผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ก็อธิบายความสำคัญให้นายกฯ ทราบครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ถึงขนาด "สั่งด้วยวาจา" ครั้งแรก ผู้ว่าฯ จำต้องขัดคำสั่ง เพื่อเห็นแก่สถานการณ์รวมอันเลวร้าย-ถ้าเปิด แทนที่ยิ่งลักษณ์จะใคร่ครวญทวนทบ กลับเป็นคุณหนูไขลานให้พวกมังเกี้ยม-มังกือการเมืองในพรรค ส่งคำสั่งเป็น "ลายลักษณ์อักษร" (สำหรับมัดตัวเอง) ให้ผู้ว่าฯ กทม.ต้องทำ ธ่อ...ก็คุณเธอประกาศใช้อำนาจพิเศษ เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ผู้เดียว เมื่อสั่งแบบมีหลักฐานเช่นนี้ กทม.ก็จำต้องเปิดประตูให้น้ำไหลเข้า จะให้เข้ากี่เซน-กี่เมตรก็ช่างเถอะ ที่แน่ๆ จากการเปิดประตูนั้น น้ำกรูเกรียวเข้าชั้นนอก-ชั้นใน ทั้งไชชอนขึ้นมาเป็นน้ำพุตามท่อระบาย วิภาวดีรังสิต "ทั้งสาย" กลายเป็นที่ประทับแม่พระคงคา อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็จงเตรียมรับมือกันไว้ เมื่อดูตามเส้นทางทัพ และเดาใจแม่พระคงคา รวมถึงนาคราชาที่ยกทัพมาสมทบทางบาดาล "ทำเนียบรัฐบาล" เป้าหมายต่อไป! ต่อให้ตั้งบังเกอร์สูงท่วมหัวรายรอบทำเนียบฯ อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ก็เหอะ แล้วคอยดูความอัจฉริยะเหนือ "การหยั่งคำนวณด้วยมนุษย์" ของกองทัพน้ำ จะเห็นเองว่า ไพร่พลน้ำแทงทะลุแนวต้านทานเข้ายึดชั้นในทำเนียบรัฐบาลได้ด้วยวิธีไหน? ทุกคนในรัฐบาลตอนนี้อยู่ในสภาพ "ปากแข็ง-ตูดนิ่ม" โดยเฉพาะยิ่งลักษณ์ ไม่สนุกในอำนาจแล้ว อยากโบ้ยภาระให้คนอื่นมารับไปแบกแทน แต่พวกชายกระโปรงกลัวตกเก้าอี้ ทำเป็นยกยอปอปั้น ห้อมล้อมตบไม้-ตบมือให้กำลังใจ...ยิ่งลักษณ์เก่ง ยิ่งลักษณ์เป็นเลิศในธรณี ยิ่งลักษณ์หามีหญิงใดเทียม ยิ่งลักษณ์ต้องอยู่ ยิ่งลักษณ์ สู้...สู้ เป็นนายกฯ ต่อไป! ผมเพิ่งประจักษ์กับหู-กับตาตัวเองจากข่าวบ่ายวานนี้ (๒ พ.ย.๕๔) ว่าคนที่ซ่อนคมในฝัก คนที่รู้จักเล่นกับอำนาจโดยไม่เสียอำนาจ และคนที่สามารถสลายศาตราเป็นแพรพรรณได้ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ คือ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา"! "ขอให้รัฐบาลสั่งมา" ทหารทำหมด ไม่บ่น-ไม่ท้อ-ไม่แย้ง-ไม่แข็งต่ออำนาจ ถูกบางคนด่า บางคนค่อนแคะ...ทหารนิ่ง เอาไงสั่งมา ทำให้ได้ทั้งนั้น เต็มที่-เต็มร้อย ไม่กั๊ก-ไม่อู้ พร้อมจมอยู่-ลอยอยู่ คู่กับพี่น้องประชาชนในทุกทิศ-ทุกที่ ที่ "แม่ทัพหญิง" บัญชา แต่นั่นก็สามัญ แต่ที่วิสามัญคือเมื่อวานอย่างที่ว่า ท่านที่ติดตามข่าวคงทราบ ปัญหาที่คลองสามวา ด้วยนักการเมืองพื้นที่ประจบเอาใจชาวบ้าน การทำความเข้าใจกับชาวบ้านไม่ให้พังประตูระบายน้ำจึงเป็นไปได้ยาก ถึงระดับรัฐบาลเองก็ไม่มีน้ำยา มองตากันไป-มองตากันมา แต่ไม่มีใครกล้าพูดอย่างที่ใจคิด คือในความเป็นจริงวิกฤติบ้านเมืองเช่นนี้ ที่ไหนๆ เขาก็ต้องประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่เมื่อเขาสอนให้นายกฯ หญิงพูดเก๋ๆ ว่า เราสู้กับน้ำ ไม่ได้สู้กับคน...ไม่ใช้ก็อย่าใช้ ใครเขาจะไปว่าอะไร แล้วก็อย่างที่เกิดกับทุกแห่งเวลานี้ ฝูงชนสับสน-วุ่นวาย กูจะเอางี้ มึงจะเอางั้น ตีกัน พังพนัง พังประตูกั้นน้ำกัน แล้วใครก็จัดการใครไม่ได้ ตำรวจน่ะเรอะ เฮอะ...อย่าพูดดีกว่า! พูดกันชัดๆ ในใจรัฐบาลตอนนี้ อยากโบ้ยปัญหาที่บริหารกันจนเละเทะให้ทหารแบก ก็มาดูกันนะครับว่า "ทหารอาชีพ" อย่างพลเอกประยุทธ์ เมื่อ "การทหาร" ใกล้ที่จะถูก "การเมือง" ลากเข้าไปทำหน้าที่ "ลาโง่" ช่วยแบกภาระ แล้วท่านจะใช้ "คมทหาร" เฉือน "คมการเมือง" อย่างไร? คม "พลเอกประยุทธ์" คมเช่นนี้....... "ปัญหาที่คลองสามวาที่มีการพยายามทำลายพนังกั้นน้ำ ผมไม่ได้ตำหนิใคร ซึ่งเขาเข้าใจว่าถ้ากั้นน้ำตรงนี้ได้ ระดับน้ำจะลดลงและน้ำจะท่วมน้อยลง แต่เบี่ยงน้ำไปแล้วก็ลดลงไม่ได้ ๑๐๐% มันก็ยังท่วมอยู่เหมือนเดิม แต่ความคุ้มค่าการที่น้ำเข้ามาในพื้นที่ กทม.มากๆ จะทำให้น้ำท่วมทั้ง ๕๐ เขต หรือเข้าไปในนิคมบางชัน อาจจะทำให้หนักกว่าเดิม ดังนั้นจะต้องดูว่าจะดูแลกันอย่างไร คิดว่าฝ่ายการเมืองคงจะดำเนินการ ผมไม่อยากไปก้าวก่าย ส่วนการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น การใช้กฎหมายมีอย่างเดียว คือการบังคับใช้ว่าทำอย่างไรไม่ให้คนทำลายพนังกั้นน้ำ คือการเอากำลังไปต่อสู้กับประชาชน ยกตัวอย่างเมื่อเดือนเมษา-พฤษภาที่ผ่านมา ไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุมในพื้นที่ที่กำหนด ก็จำเป็นจะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เช่นเดียวกันต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในการห้ามประชาชนเข้ามารื้อคันกั้นน้ำ ซึ่งการเผชิญหน้ากันจะต้องสู้กันอย่างเมื่อวันก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดันกับประชาชน สรุปว่าชาวบ้านก็ดันแนวทะลุ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำรุนแรงไม่ได้ กฎหมายปกติกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ต่างกัน การขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ "ผิดกฎหมาย" อยู่แล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะต้องรับผิดชอบก็จะต้องเอากฎหมายปกติ ถ้าใช้คนไม่ได้ก็จะต้องมีกระบี่กระบองไปสู้กัน หรือใช้มาตรการป้องกัน หรือมาตรการการปราบจลาจลในทำนองนั้น โดยตั้งแนวเจ้าหน้าที่ไม่ให้ชาวบ้านเข้ามา แล้วท้ายที่สุดก็จะตีกัน ก็จะกลับไปเหมือนวงรอบเก่า เพราะตัวอย่างมีมาตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา นั่นคือการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มีประโยชน์ มันก็มีประโยชน์ แต่ถ้าใช้กันจะทำให้ทะเลาะเบาะแว้งไปเรื่อยๆ ปัญหาคือ แล้วเราจะอยู่กันด้วยการใช้กฎหมายให้มันแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนหาทางออกไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะถูกสั่งมา ประเทศไทยจะอยู่กันแบบนี้หรือเปล่า? ผมไม่เข้าใจ...สิ่งที่สำคัญคือ จะต้องให้ความรู้กับประชาชนให้รู้จักเสียสละ รู้จักให้-รู้จักรับ และรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบประเทศไทย ถ้าอยู่กันด้วยกันกฎหมาย คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ จากน้ำท่วม เมื่อจบแล้วก็คงตีกันเรื่องอื่น ก็จะต้องมาบังคับใช้กฎหมาย อยากถามว่า...วันนี้ประชาชนยอมรับกฎหมายเท่าไหร่ อยากถามว่า...มันผิดกฎหมายหรือไม่ มันก็ผิดกันทั้งหมด จะเอาจับติดคุกให้หมด ที่ทำลายพนังคันกั้นน้ำ มีรูปอยู่แล้ว ไปจับมาดำเนินคดี สิ่งนี้ทำได้หรือไม่...ก็ทำไม่ได้ ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ก็ถูกบังคับให้ต้องทำ ท้ายที่สุดก็จะต้องตีกับประชาชน และจะได้อะไรมา แต่ผมคิดว่า..ไม่ได้ เมื่อติดคุกก็จะต้องมีการประกันตัว สถานการณ์ก็จะกลับไปวงรอบเก่า” ครับ..อย่างนี้เรียกว่า "ฉลาดเป็นกรด" เป็นกรดด้วยส่วนผสมลงตัวระหว่างบู๊กับบุ๋น ก็ค่อยหายใจโล่งอกขึ้นหน่อยที่บ้านเมืองมีทหารที่ "เข้าใจอำนาจ-เข้าใจประชาชน" ได้แบบหยิน-หยาง ถ้างั้นก็...๑๒-๑๗ พ.ย.นี้ ยิ่งลักษณ์ฉวยโอกาสประชุมเอเปก "ลี้ภัยความรับผิดชอบ" ไปแอ่นระแน้ที่ฮาวาย หรือจะแอบพบพี่ชายตัวดีด้วยก็ได้...รีบไปเถอะ อยู่ก็รำคาญหู-รำคาญตาชาวบ้านที่หลงเชื่อว่า "เอาอยู่" แล้วมิดหัวเปล่าๆ แต่ที่คุยว่าจะแสดงวิสัยทัศน์ให้แต่ละประเทศเชื่อมั่นไทยด้วย "เอาอยู่โมเดล" นั้น...ไหว้ล่ะ ไม่ต้องก็ได้ ขึ้นไปอ่านผิดๆ ถูกๆ "ขายขี้หน้าประเทศ" เค้าน่ะ! เปลว สีเงิน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 10:47:12 จากใจเสื้อแดงถึงนายกฯปู"เราผิดหวังในตัวคุณ"
08 พฤศจิกายน 2554 "ว่ากันตามตรงเราพื้นที่สีแดง ทำไมความช่วยเหลือให้ไม่ถึง เราเลือกนายกหญิงมาเพราะหวังว่าจะเห็นใจเราจะช่วยเรา เราเสียใจหวังว่าจะมาช่วยมาอะไรพวกเราบ้าง" โดย....พรสวรรค์ นันทะ หลังสถานการณ์น้ำท่วมรุกคืบไหลเข้าพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในอย่างต่อเนื่อง คนกรุงเพทฯและประชาชนทั่วไปก็เรียกร้องให้ชาวชุมชนย่านคลอง 8 , 9 และ 10 เสียสละปล่อยให้น้ำท่วมบ้าน และยอมให้ปิดประตูระบายน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำหลากไหลเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้ประชาชนในแถบนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด อดไม่ได้ที่จะน้อยใจและฝากความในใจถึงรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำนองว่าเราผิดหวังในตัวคุณ นางปริชาติ วัฒนเขจร อายุ 40 ปี แกนนำชาวบ้านหมู่ 22 ต.บึงทองหลาง อ.ลำลูกกา จ ปทุมธานี เขตพื้นที่เสื้อแดง ฝากคำพูดจากหัวใจถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่า พวกเราชาวบ้านแถบนี้ รักเรา เราเลือกกาคะแนนให้พรรคเพื่อไทยมาตลอด เพราะเรารักท่านนายกฯทักษิณ ชินวัตร และคิดว่าน้องสาวท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นามสกุลเดียวกันจะช่วยชาวบ้าน โดยเฉพาะพวกเราที่เป็นคนรักกันได้ดีกว่านี้ เราขยับหนีน้ำต่อไม้กระดานมาตลอดสูงขึ้นมาตลอด จนตอนนี้ไม่รู้จะหนีไปไหนแล้วมันชนหลังคาบ้านแล้ว ถุงยังชีพสักถุง หรือมาโผล่หน้ามาคุยมาถามไถ่พวกเราบ้าง ไม่เคย เราคนที่นี้ไม่ใช่ไม่เสียสละ เราเสียสละจนไม่มีที่ไปแล้ว มีไหมจะมาถามไถ่หรือส่งตัวแทนมาพูดคุยให้กำลังช่วยเหลือกันบ้างเกือบ 3 เดือนมานี่ แทบไม่เคยมีใครเยียบมาเลย เธอบอกว่า ที่นี้หมู่ 22 มีทั้งหมด 62 ครัวเรือน ท่วมร้อยเปอร์เซ็นต์ในพื้นที่หน้าทดและหลังทด ไม่เคยได้ถึงยังชีพจากศปภ.หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เราได้ถุงยังชีพพระราชทานมากันแล้วรอบหนึ่งที่วัดสุวรรณแต่ได้เพียง 27 ครัวเรือน จากรัฐบาลถ้าจะมีก็มีเงินชดเชยครอบครัวละ 5,000 บาท มารอบแรกก็ไม่ครบ เพราะ 62 หลังคาเรือน ได้มา 33 หลังคาเรือน ที่เหลือล็อต 2 ยังต้องรอเงินก่อนไม่รู้เมื่อไร "ว่ากันตามตรงเราพื้นที่สีแดง ทำไมความช่วยเหลือให้ไม่ถึง เราเลือกนายกหญิงมาเพราะหวังว่าจะเห็นใจเราจะช่วยเรา เราเสียใจหวังว่าจะมาช่วยมาอะไรพวกเราบ้าง ไม่ต้องตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ก็ได้ แค่เป็นตัวแทนได้ พูดจากใจเราเลยนะ รักคนลำลูกกาเราบ้างคะแนนจากลำลูกกาไม่ใช่น้อยๆนะ ถ้าไม่รักท่านนายกฯทักษิณ คนลำลูกกาคงไม่ไห้พรรคเพื่อไทย ช่วยเราบ้างทีคะแนนยังอยากได้จากทุกคนอยากได้เยอะๆ ถ้ายังเป็นอย่างนี้เราคงไม่รักกันแล้ว เราบอกตามตรงเราผิดหวังท่านนายกฯยิ่งลักษณ์”นางปริชาติกล่าวตัดพ้อ" นางปริชาติ กล่าวว่า ถึงการบริหารงานท่านนยกฯยิ่งลักษณ์จะไม่เก่งเหมือนท่านทักษิณ แต่ก็น่าจะดูแลเราบ้าง หรือจะให้เราเสียสละจะให้เราท่วมต่อมาคุยกับเราบ้างบอกเราบ้าง ว่าจะช่วยอะไรยังไงบ้าง มีเจอตัวบ้างแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด และรองผู้กำกับการจังหวัดเท่านั้น ซึ่งบางทีก็ชี้แจงไม่ได้ทั้งหมด วันนี้เราจึงอยากจะบอกว่าผิดหวังในตัวคุณ นายบัณฑิต ขันมณี อายุ 66 ปี กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านเราไม่แน่ใจว่าทางรัฐบาลจะช่วยอะไรเราบ้าง เพราะเรารู้สึกสับสนที่รัฐบาลและกทม.เหมือนทำงานไม่ลงรอยกัน ทำให้ตอนนี้เราต้องช่วยตัวเอง น้ำท่วมมา 3 วันแล้ว ส.ส.ของเขตเรานายวิชาญ มีนชัยนันท์ จากพรรคเพื่อไทย ยังไม่เคยแวะมาให้เห็นเลย ไม่มีถุงยังชีพมาช่วย แต่เราก็ไม่หวัง เพราะเรายังน้ำไม่สูงเดือดร้อนไม่มากเข้าใจมาก และไม่คาดหวังเพราะขนาดพื้นที่เสื้อแดงเองทั้งเขตยังช่วยไม่ได้เท่าที่ควร ชาวบ้านอีกรายเป็นชายวัยกลางคนในชุมชนแถบนี้ ขอแสดงความเห็นบ้างว่า ถามหน่อยครับ คนข้างนอกคนกรุงเทพฯบอกว่าขอให้เราเสียสละบ้าง พวกเรารู้สึกแย่มาก น้ำจะจมมิดอยู่แล้ว อะไรก็ไม่มาช่วยเราบ้าง จริงๆ ให้มา 5,000 บาทไม่ครบด้วยแถวๆนี้ ลำลูกกา บึงทองหลาง ลำไทร พืชอุดม เพราะบ้านเราจมน้ำ ท่านจะปลูกบ้านให้เราใหม่เหรอ จะซ่อมบ้านให้เราหรือก็ไม่ แต่เรียกร้องจังให้เราเสียสละ ได้เราพร้อมจะเสียสละแต่แสดงออกมาบ้างมาท่านนึกถึงเรา ให้ท่านฯนายกมาอยู่ไหมบ้านน้ำท่วม 3 เดือนท่านอยู่ได้หรือไม่ เราอยากรู้จัง ไม่ใช่เรียกร้องให้เราเสียสละอยากเดียว เคยนึกบ้างไหมว่าเราจะอยู่ยังไง กินอะไร งานไม่มีทำ แต่เงินต้องใช้กินทุกวัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 12:05:14 ไอ้เหลิม จะเป็น นายก............อันธพาลครองเมือง 2555 ไม่เสียดาย ที่ได้เกิดทันชาติ นี้ ........ emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):)
อยาก ตาย หนี การร่วมชาติกับมัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 13:14:37
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 พฤศจิกายน 2554, 21:57:19 บริหารผิด-ตัดสินใจพลาด...น้ำท่วมใหญ่จากการเมืองล้วนๆ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหิดล วิเคราะห์ตัวเลขปริมาณน้ำและทิศทางการไหล ก่อนสรุปน้ำท่วมใหญ่เกิดจากบริหารผิด-ตัดสินใจพลาด และปมการเมือง รศ.สุชาติ นวกวงศ์ อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เขียนในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค เสนอมุมมองเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าในขณะนี้ โดยเปิดข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่าปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาทางการเมือง หาใช่การพร่องน้ำจากเขื่อนตามที่มีการกล่าวหากัน ที่มาของมวลน้ำ "น้ำในปีนี้มากจริงครับ เขื่อนภูมิพลระดับเก็บกักปกติประมาณ 13,400 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ประมาณ 7,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีฝนตกมากในช่วงเดือน ก.ค. น้ำจึงเริ่มสะสมในเขื่อนดังกล่าวจนเกือบเต็ม ประมาณเดือน ส.ค.น้ำยังไม่เต็มเขื่อน แต่ฝนตกเติมโดยพายุ สรุปว่ามีน้ำเริ่มเต็มเขื่อนปลายเดือน ส.ค. ส่วนเดือน ก.ค.เริ่มน้ำท่วมที่บางระกำ จ.พิษณุโลก จ.สุโขทัย และ จ.พิจิตร น้ำเริ่มไหลมากขึ้นในแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน จนที่สุดกลางเดือน ก.ย.น้ำไหลผ่านที่ จ.นครสวรรค์ ประมาณ 4,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อยากรู้ว่าน้ำไหลวันละกี่ล้านลูกบาศก์เมตร ให้เอา 86,400 ไปคูณ ดังนั้นมีน้ำไหลผ่านที่นครสวรรค์วันละ 4,400 x 86,400 = 380,160,000 ลูกบาศก์เมตร รวมระยะเวลา 40 วัน (20 ส.ค.ถึง 30 ก.ย.) จึงมีน้ำผ่านที่นครสวรรค์รวมตัวเลขคร่าวๆ 380,160,000 x 40 = 15,206,400,000 ลูกบาศก์เมตร (เลขกลมๆ คือ 15,000 ล้านลูกบาศก์เมตร) และนี่คือที่มาของตัวเลขน้ำ 1.5 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรที่พูดกัน น้ำเหล่านี้ไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ ลงสู่เขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท และก่อนถึงเขื่อนเจ้าพระยา น้ำได้ล้นแม่น้ำออกไปในทุ่งและที่ต่ำ เหลือน้ำที่ผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่ชัยนาท 3,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำมาที่เขื่อนเจ้าพระยา 3,800 x 86,400 = 328,320,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งก็คือปริมาตรน้ำรวม 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรนั่นเอง การพร่องน้ำหรือไม่พร่องน้ำในเขื่อนไม่เกี่ยว สำคัญที่ตัวเลขรวม ต้องตั้งใจติดตาม แล้วจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับระบบการจัดการน้ำในช่วง 2 เดือนมานี้ ตัวเลขที่จะวิเคราะห์ต่อไปนี้ ขอให้เป็นตัวเลขสถิติภายใน 40 วันเท่านั้น ส่วนตัวเลขอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังเป็นช่วงปลายน้ำท่วมและน้ำล้น สุพรรณฯแห้ง-บางโฉมศรีแตก จาก จ.นครสวรรค์ น้ำล้นทุ่งไป 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เหลือมีน้ำมาที่เขื่อนเจ้าพระยา 3,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา 3,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อยากทราบว่าเป็นตัวเลขต่อวันเท่าใดให้เอา 86,400 ไปคูณทุกที่และทุกครั้ง ส่วนทางขวาของเขื่อนเจ้าพระยามีคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำท่าจีน โดยปกติถือเป็นคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวาของเขื่อนเจ้าพระยา ตามปกติรับน้ำได้ประมาณ 300-500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในช่วงน้ำที่วิเคราะห์ (40 วัน) คลองมะขามเฒ่าไม่เปิดระบายน้ำ ดังนั้นน้ำ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (คิดแค่ 400 เท่านั้น) จึงต้องมารวมกับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยา วิ่งผ่านเขื่อนเจ้าพระยา กลายเป็น 4,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ล้นความสามารถของลำน้ำเจ้าพระยา 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือ 43,200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันน้ำ ส่วนเกินต่อวันนี้ไปไหน มันก็ต้องวิ่งไปฝั่งตะวันออก ไปทางฝั่งลพบุรี ไป อ.ท่าวุ้ง น้ำนี้วิ่งไปทางตะวันตกไม่ได้อีก เพราะประตูน้ำพลเทพ (จ.ชัยนาท) ที่อยู่ต่ำลงมาไม่เปิด ประตูพลเทพนี้ถ้าเปิดน้ำก็จะวิ่งไปทุ่งเดิมบางนางบวช ศรีประจันต์ (จ.สุพรรณบุรี) แต่ประตูพลเทพก็ไม่เปิดหรือเปิดน้อย ดังนั้นน้ำทั้งหลายส่วนเกินจึงต้องวิ่งไร้ทิศทางไปทุ่งฝั่งตะวันออก นั่นคือวิ่งไปทุ่ง อ.บ้านหมี่ อ.ท่าวุ้ง ของ จ.ลพบุรี และอำเภออื่นๆ ของ จ.ชัยนาทและสิงห์บุรี ทั้งๆ ที่ในทุ่งที่กล่าวมาก็มีน้ำฝนน้ำทุ่งอยู่บ้างแล้ว นี่คือสาเหตุที่มาของประตูบางโฉมศรีแตก เพราะประตูน้ำต้องรับแรงอัดของน้ำที่มากเกินเหตุ เส้นทางน้ำเข้ากรุง ขณะเดียวกันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาได้น้ำมาเติมอีกอย่างน้อย 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (วันละ 103,680,000 ลูกบาศก์เมตร) จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถึงเวลานี้น้ำทุกส่วนล้นตลิ่งแม่น้ำ ข้ามฟากไปนิคมโรจนะ นิคมไฮเทคและอื่นๆ น้ำที่ล้นแม่น้ำก็ล้นเข้าไปเป็นน้ำทุ่ง น้ำมหาศาลที่ล้นเข้าทุ่งประมาณ 1,500-1,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คิดเป็นมวลน้ำอย่างน้อย 5,000-6,000ล้านลูกบาศก์เมตรในรอบ 40 วัน เข้าทุ่งด้านบนของกรุงเทพฯ แยกเป็น 2 ส่วน ไปทางตะวันออก 1 ส่วน และตะวันตก 1 ส่วน ถ้าจับหารสองก็จะได้ส่วนละ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ตะวันออกไปตามคลองรังสิตและรวมกับน้ำคลองระพีพัฒน์ ส่วนน้ำฝั่งตะวันตกมุ่งหน้าตามทิศของคลองพระพิมล คลองหนึ่งที่ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ และคลองบางบัวทอง ที่สุดคลองบางบัวทองทนไม่ได้แตก เป็นมหาวิปโยคอยู่ทุกวันนี้ ส่วนน้ำในคลองระพีพัฒน์ ประมาณ 200-300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทียังคงไปทางใต้ ไประพีพัฒน์แยกตก แยกใต้ และรวมกับน้ำทุ่งรังสิต กดดันคลองสามวาอยู่ในขณะนี้ คลองสามวาจะรอดหรือไม่คงต้องลุ้นกันว่าคลองก่อนหน้านั้นคือคลองหกวารอดหรือเปล่า แต่เข้าใจว่าขณะนี้คลองหกวารอดแล้ว เพราะแรงกดดันน้อยลง เนื่องจากประตูคลองสามวารั่วโดยจงใจ น้ำท่วมทุ่งจากบางบัวทองยังคงมุ่งหน้าต่อไปที่คลองมหาสวัสดิ์ซึ่งเป็นคลองเชื่อมระหว่างคลองบางกอกใหญ่กับแม่น้ำท่าจีน ส่วนหนึ่งของคลองมหาสวัสดิ์อยู่ในเขตกรุงเทพฯ เข้าใจว่า กทม.ทราบดีว่าน้ำทุ่งที่ไหลมามีปริมาณมาก เพราะไม่ใช่น้ำบางบัวทองอย่างเดียว น้ำจากทุ่งคลองพระยาบันลือ คลองพระพิมลก็ขอมาร่วมด้วยช่วยกัน ในส่วนตัวผมไม่เชื่อตัวเลข 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรอยู่แล้ว เพราะเป็นตัวเลขที่โอเวอร์เกินเหตุ เพราะน้ำตั้งมากมายยังคงเป็นน้ำท่าในแม่น้ำเจ้าพระยา วันละ 3,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (เท่ากับ 276,480,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน) ยังคงไหลลงทะเลไป พนังกันน้ำของคลองมหาสวัสดิ์ ที่วัดปรุณาวาส เขตทวีวัฒนา ทนไม่ไหว แตกก่อน ทำให้เกิดน้ำท่วมเขตทวีวัฒนา และโดยรอบมหาวิทยาลัยมหิดล าลายาที่ผมทำงานอยู่ (มหิดลยังเอาอยู่ คำพูดของนายกฯ) และลุกลามไปทั่วในพื้นที่กรุงเทพฯ นครปฐม สมุทรสาคร บริหารผิด-ตัดสินใจพลาด ปัญหาที่ต้องวิเคราะห์คือไม่มีน้ำเข้าทุ่งที่ อ.เดิมบางนางบวช ศรีประจันต์ ดอนเจดีย์ อ.เมืองสุพรรณฯ และบางระจันด้วย พื้นที่ตรงนี้ประมาณ ต่ำๆ 5 แสนไร่ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 800 ล้านตารางเมตร ถ้ายอมให้น้ำ เข้าไปขังในทุ่งสูง 1.5 เมตร จะได้น้ำขังในทุ่งในรอบ 40 วันเท่ากับ 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือไม่ก็ควรให้น้ำส่วนนี้ไหลไปตามแม่น้ำท่าจีน ไหลผ่านลำน้ำผ่านทุ่งดังกล่าวไปผ่านสุพรรณฯ คำถามคือไม่มีการชะลอน้ำในทุ่งดังกล่าว ทำไมถึงไม่มี เมื่อไม่มีการชะลอน้ำด้วยเหตุต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว หรือมีแต่น้อยมากจนมวลน้ำไม่สมดุลกัน น้ำส่วนที่ไม่สมดุลนี้จึงเทรวมไปฝั่งตะวันออก รวมไหลเป็นวิปโยค และยังมีส่วนเกินถูกกักขังด้วยพนัง ถูกบังคับด้วยขั้นตอนต่างๆ การไหลของน้ำจึงผิดเพี้ยนไม่มีรูปแบบ ประกอบกับเมื่อพื้นที่ใหญ่อย่างสุพรรณฯไม่ยอมให้น้ำท่วม และยังมีการบังคับน้ำให้ไหลไปท้องที่อื่น น้ำจึงมีการไหลจากการจัดการที่ผิดรูป ที่สุดควบคุมไม่ได้กลายเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเห็นมา ผมอาจจะถูกคัดค้านโดยบางคนว่าสุพรรณฯเขาก็มีน้ำท่วมนะ ผมก็ไม่ได้ว่าน้ำไม่ท่วม แต่น้ำที่ท่วมนั้นมันท่วมบริเวณที่มันต้องท่วมอยู่แล้ว เช่น บริเวณหน้าตลาด อ.บางปลาม้า หน้าตลาดเก้าห้อง ล่าสุดเอารูปน้ำท่วมที่บ้านท่าระหัดที่ อ.เมืองมาให้ดูเป็นขวัญตาว่าน้ำก็ท่วมสุพรรณฯนะ นั่นเป็นน้ำจิ้ม ทุ่ง อ.สองพี่น้องของผมน้ำไม่ท่วมทุ่งครับ แต่ปี 2538 ผมขับรถผ่านทุ่งบางลี่ (ทุ่งสองพี่น้องนี่แหละครับ) น้ำท่วมทุ่ง รถผมผ่านแต่เกือบต้องจมกลางทาง ระหว่างสุพรรณฯไป อ.สองพี่น้อง ระยะทางประมาณ 25-30 กิโลเมตร ซึ่งเห็นข้อแตกต่างกันชัดเจนกับปีนี้ สรุปในเบื้องต้นว่าการบริหารจัดการน้ำภายใต้แรงกดดันทางการเมือง ท้องถิ่นและระดับชาติไม่เป็นผลดี เพราะทำให้รูปแบบการไหลของน้ำผิดรูปไป น้ำต้องไหลแบบธรรมชาติ ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีภายใต้องค์ความรู้เชิงวิชาการทรัพยากรน้ำ ฉะนั้นมวลน้ำที่มากมายเมื่อรวมกับการบริหารน้ำผิด การตัดสินใจผิดของผู้นำอีกหลายครั้ง จึงกลายเป็นมหันตภัยน้ำท่วมทุกวันนี้" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2554, 08:51:14 การ์ตูนฝรั่งล้อนายกไทย
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd660788_9993992_3833819_268850photo.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd789966_692974_6389217_5372759photo.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd143563_9629179_4367513_6177431photo.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd459315_8815115_5770463_7879738photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2554, 20:11:25 ทำตัวเหมือนนางฟ้า แต่แก้ปัญหาเหมือนควาย (เส้นใต้บรรทัด)
โดย จิตกร บุษบา http://www.naewna.com/news.asp?ID=287396 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางการบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อปีพุทธศักราช 2538 มาออก อากาศให้ชมกันหลายครั้งในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ซาบซึ้งว่า ประเทศของเรามีองค์พระประมุขที่ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระปรีชาสามารถเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ชัดว่าพระองค์ท่าน ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยเมตตาห่วงใยพสกนิกรอยู่เสมอ แต่ก็น่าเศร้าใจ ที่แนวทางหลายประการที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้นั้น มิได้มีการนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผล มาสำนึก สำเหนียกกันก็คราวน้ำท่วมใหญ่มาก ในปัจจุบันนี้แหละ ว่าสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานแนวทางให้นั้น ถูกต้องทั้งหมด ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองไหนๆ ก็ตาม เริ่มต้นจาก ประมุข หรือ ผู้นำ ที่มีความรู้ความสามารถ พูดง่ายๆ ว่า มีสมอง และ มีหัวใจ ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความกรุณา หรืออาจเรียกว่า มีมโนธรรม ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีข้าราชการที่ดี ที่มีความจงรักภักดี ที่เอาใจใส่ เฝ้าถวายคำแนะนำหรือข้อมูลในด้านต่างๆ อย่างเที่ยงตรง และน้อมนำอัญเชิญเอา ภูมิปัญญา หรือ ภูมิรู้ ไปขยายผล ปฏิบัติให้บังเกิดผล โดยสร้างความร่วมมือกับพี่น้องประชาชน และปฏิบัติคู่เคียงกันไป พูดอย่างเป็นธรรม จากปี 2538 ถึงปัจจุบัน ไม่ใช่ความผิดอะไรของรัฐบาลนี้ ที่ไม่มีการดำเนินการตามแนวพระราชดำริ มันเป็น ความละเลยที่ทบๆ กันมาหลายรัฐบาล และหลายกลุ่มข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และน่าตำหนิ แต่เมื่อเกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้แล้วสิ น่าสนใจว่า นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะรัฐมนตรี ได้ใส่ใจต่อ ภูมิรู้ ที่พระองค์ท่าน พระราชทานเป็นแนวทางไว้บ้างหรือไม่ ใส่ใจที่จะขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายรายงานและขอพระราชทาน แนวปฏิบัติในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบ้างหรือเปล่า ถ้ายิ่งลักษณ์มีปัญญาปราดเปรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่แค่อ่าน ภาษาไทยที่มีคนเขียนให้ให้ถูกต้องทั้งหมดยังไม่มีปัญญา ฉะนั้น หน้าที่ของความเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้รอบรู้ทุกเรื่อง จึงสมควรต้องสรรหาผู้รู้มาอยู่ใกล้ตัว ตั้งเป็นคณะทำงาน ฟังเขา แล้วใช้อำนาจของนายก รัฐมนตรี สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องลงมือปฏิบัติ แต่ดูเหมือนยิ่งลักษณ์เขลาเกินกว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ซึ่งเป็น โศกนาฏกรรมอย่างที่สุดของประเทศชาติ เพราะยิ่งลักษณ์อยู่กับคนรอบข้างที่เอาแต่สอพลอ ปั้นแต่งภาพลักษณ์ของเธอราวกับเป็น นางฟ้า ด้วยกิจกรรมสร้างภาพต่างๆ นานา แต่มีเนื้อหาในทางปฏิบัติอย่างตื้นเขิน ยิ่งลักษณ์ห่วงแต่ปัญหาการเมือง ซึ่งก็คงเป็นไปตามคำแนะนำของนักการเมืองรอบๆ ตัวเธอ ทั้งที่เปิดเผยและที่ซุกอยู่ใต้กระโปรง จึงสาละวนอยู่แต่กับพรรคและพวก ทั้งๆ ที่ทุกข์ของประชาชนอยู่ตรงหน้า และควรจะรู้ตัวว่า ปัญญาของตัวเองก็ไม่มี เธอเพิกเฉยละเลยตั้งแต่ตัวเลขปริมาณน้ำในเขื่อนที่มากเกินปกติ ขณะที่ฝนยังตกเหนือเขื่อนอยู่ตลอดเวลา กระทั่งเกิดอุทกภัยย่อยๆ ในหลายจังหวัด แต่เธอกับพรรคก็ยังวุ่นวายกับการหาทางช่วยพี่ชายให้พ้นผิด ทั้งๆ ที่บางความผิด ศาลพิพากษาไปแล้ว หลังผ่านกระบวนการต่อสู้ในศาลอย่างสมบูรณ์แบบ โดยตัวทักษิณเอง ขณะที่น้ำท่วมไล่เรื่อยลงมาทีละจังหวัด ทีละจังหวัด ยิ่งลักษณ์กับคณะรัฐมนตรี ห่วงแต่หาเสียงกับโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ยกเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ฯลฯ ไม่มี สัญชาตญาณ ของผู้นำที่จะเห็น ภัย ซึ่งใกล้เมืองหลวงเข้ามาเรื่อยๆ แม้มีคนเตือน คนเสนอ คนให้ข้อมูล เธอก็ไม่เคยใส่ใจหรือให้ความสำคัญ กระทั่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจมบาดาล นิคมอุตสาหกรรมโรจนะจมน้ำ ตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจผุดขึ้นทันที พร้อมเสียงโอดครวญของนักลงทุนต่างชาติ ยิ่งลักษณ์กับพวกถึงเพิ่ง ตื่น ในการตื่นนั้น ปัญญาของเธอมิได้ตื่นตาม ยิ่งลักษณ์กับพวกยังมองปัญหาเป็น ปัญหาการเมือง มากกว่า ปัญหาบ้านเมือง แทนที่จะวางแผนจัดการกับมวลน้ำมหาศาล จึงมุ่งจัดการกับ ภาพลักษณ์ ของยิ่งลักษณ์ เช่น ให้ยิ่งลักษณ์ควงดาราไปแจกของช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะทำอยู่แค่จังหวัดสองจังหวัดก็เลิกกัน เช่นเดียวกับการตั้ง ศปภ. ขึ้นมา ก็มุ่งแก้ปัญหา คะแนนนิยม มากกว่าแก้ปัญหาน้ำท่วม เพราะหากอยากแก้ปัญหาน้ำท่วม ยิ่งลักษณ์ต้องแต่งตั้ง ผู้รู้ เป็นหัวหน้า ศปภ. ซึ่งไม่ใช่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อย่างแน่นอน ขณะที่คนใน ศปภ. ก็คลาคล่ำไปด้วยคนโง่ แต่อยากทำงาน อยากมีตำแหน่ง อยากออกโทรทัศน์ แต่ผลักผู้รู้ไปอยู่ห่างๆ ในที่สุด ปทุมธานีก็จมน้ำไปอีกจังหวัด นนทบุรีเกือบทั้งจังหวัด และกรุงเทพมหานครก็วิกฤติตามมา ถามว่าจากวันที่มี ศปภ. จนถึงวันนี้ เราได้เห็นยิ่งลักษณ์ลงไปฟัดกับปัญหาอย่างเต็มที่ จนเรานึกห่วงใยเธอ เอาใจช่วยเธอ อยากจะแบ่งเบาภาระออกจากบ่าทั้งสองของเธอบ้างไหมครับ เห็นแต่ความฉาบฉวย แต่งตัวสวยไปออกงาน เหมือนยิ่งลักษณ์แยกไม่ออกระหว่าง การออกงาน กับ การทำงาน เธอมุ่ง สร้างภาพ มากกว่า สร้างคุณภาพ เธอไม่เคยมียุทธศาสตร์กับเรื่องต่อไปนี้เลย 1.น้ำ : ยิ่งลักษณ์และ ศปภ. ไม่เคยให้ข้อมูลน้ำกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง เธอพูดแต่เพียงว่ารัฐบาลจะทำเต็มที่ แต่ไม่เคยบอกเลยว่าจะทำอะไร อย่างไร มีคนเสนอวิธีรับมือกับมวลน้ำมากมาย ทั้งผู้นำ ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และข้าราชการที่มีประสบการณ์ แต่ดูเหมือนข้อเสนอเหล่านั้นไม่เคยกระทบถึงโสตประสาทของเธอ ในที่สุดการไม่มียุทธศาสตร์ การไม่ให้ความจริง การพูดผิด รับประกันผิด และไม่เตือนภัยให้ทันการณ์ ชาวบ้าน โรงงาน ผู้ประกอบการเป็นฝ่ายรับทุกข์ 2.คน : ยิ่งลักษณ์ออกอาการเป็นทุกข์เป็นร้อนกับคนที่ถูกน้ำท่วมครั้งไหนบ้าง เธอเคยกุลีกุจอสั่งการให้คนที่เป็นเครือข่าย ของมหาดไทย ของศปภ. และของรัฐทั้งหมด ลงไปจัดการกับปัญหา การกิน การนอน การขับถ่าย การอยู่อาศัยในพื้นที่ปลอดภัยของประชาชนบ้างไหมครับ เธอยิ้มสดใส สวมรองเท้าบู๊ทสวย แต่งหน้าฉ่ำ ผมเรียบกริบ อยู่ทรงเสมอ ในขณะที่ประชาชนรออาหาร รอความช่วยเหลืออยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ เธอช่างเยือกเย็นจนเข้าขั้นอำมหิต ทั้งคนที่น้ำท่วมแล้วและยังไม่ท่วม ล้วนไม่อาจพึ่งพาเธอและไม่เห็น น้ำใจ ของเธอ 3.อาหารสำรอง : ยิ่งลักษณ์บริหารสถานการณ์วิกฤติ โดยปล่อย ให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการ ประทังชีวิตขาดตลาด ความไม่เชื่อถือในข้อมูลรัฐบาลทำให้ผู้คนแตกตื่น หาทางมีชีวิตของตนเอาเอง จึงเกิดการกักตุนสินค้า ขณะที่โรงงานและแหล่งผลิตก็ไม่ได้รับการปกป้อง น้ำท่วมเสียหายไปเป็นจำนวนมาก กระทบต่อการผลิตเพื่อส่งเข้าสู่ตลาด แต่รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมารองรับ มีออกมาก็เมื่อปัญหาขาดแคลนหนักหน่วงแล้ว 4.การอพยพ : ยิ่งลักษณ์กับ ศปภ. สั่งอพยพคนอย่างมักง่าย เตือนภัยไม่เคยทันการณ์ ทำให้การอพยพของประชาชนเป็นไปอย่าง ฉุกละหุก ได้แต่สั่งให้คนอพยพ แต่ไม่มีการเตรียมการรองรับ ทั้งเรื่อง การเดินทาง ถนนหนทาง ที่หมายปลายทาง ปล่อยให้ประชาชนกระเสือกกระสนไปกันเอง ภายหลังจึงตั้งจุดนัดหมาย จัดรถบริการให้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว 5.ระบบการสื่อสาร : ในภาวะวิกฤติ รัฐบาลต้องรู้ว่า ช่องทางการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็น ถามว่ารัฐบาลได้ดำเนินการอย่างไร ให้การสื่อสารของประชาชนเป็นไปโดยง่าย ไม่ล่ม ไม่หลุดบ้างหรือไม่ 6.ปฏิบัติการช่วยเหลือฉุกเฉิน : ความที่เป็นโรคประสาท กลัวทหารจะปฏิวัติ เพราะไปด่าเขาไว้มาก ไปป้ายสีเขาไว้เยอะ ไม่กล้า ใช้ทหารในช่วงแรกๆ ส่งผลให้ประชาชนติดจมอยู่ในบ้านเรือนที่น้ำไหล บ่าเข้าท่วมอย่างมากมาย กว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ประชาชนก็พากัน สาปส่งในความไม่พร้อมและไม่มีน้ำใจในเรื่องนี้กันขรมทีเดียว ถึงวันนี้ ยิ่งลักษณ์กับพวกก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เรื่องน้ำโยนให้เป็นงานของ ผู้ว่าฯ กทม. แม้จะมีแนวโน้มดีขึ้น ที่นายกฯ ส่งมอบผู้คน อำนาจ และการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ให้บ้าง ดีกว่าตอนที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับบริวารออกมาสร้าง ความตึงเครียดทางการเมืองอย่างผิดกาลเทศะ เธอเริ่มออกงานถี่ขึ้น กระโจนหนีจากความล้มเหลวไปสู่การ ขายฝัน เรื่องการเยียวยาฟื้นฟู สวมรอยเอาความสำเร็จของคนนครสวรรค์มาเป็น โมเดล อย่างหน้าด้านๆ พร้อมๆ กับบีบน้ำตาแลกข่าว และลงพื้นที่อิทธิพลของตน อย่างพระนครศรีอยุธยา ไปกดปุ่มเครื่องสูบน้ำและทาสีบ้าน ซึ่งไม่ใช่งานของคนระดับนายกฯ ไม่เพียงแต่ไม่เข้าหาผู้รู้หรือรวบรวมผู้รู้มาแก้ปัญหา ยิ่งลักษณ์ ยังปล่อยปละละเลยให้คนเสื้อแดง โดยเฉพาะบางคนเป็นถึง สส. ของพรรค พูดจาวนเวียนฉวัดเฉวียนใส่ไคล้สถาบัน ว่าน้ำท่วมครั้งนี้นั้น เกี่ยวพันกับโครงการฝนหลวง และดึงเอาเขื่อนซึ่งเป็นพระนามมาปลุกระดมให้ประชาชนผู้หลงผิด เข้าใจผิด เกลียดชังและหมิ่นหยามสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเลวทรามต่ำช้า ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น คือ หลักชัยทางปัญญา ที่ดีที่สุดในเรื่องการจัดการระบบน้ำทั่วประเทศ ชาวบ้านผู้ประสบความเดือดร้อนจาก ถนนเทวดา ถนนเชื่อมต่อจากโทลล์เวย์ถึงตึก ศปภ. ที่ ศปภ. เนรมิตเพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง แต่ส่งผลให้น้ำเอ่อท้นเข้าบ้านเรือนประชาชนในละแวกตึกเอนเนอยี่ กระทรวงพลังงาน พูดในสิ่งที่จับใจคนไทยเหลือเกินว่า ผมก็เลยอยากจะถามผ่านไปหาท่านนายกฯ ว่า ทำไมคุณถึงทำตรงนี้ ในเมื่อทางด้านหลังน้ำไม่ท่วม คุณสามารถมาได้ นั่นคือ ผลกระทบของชาวบ้านที่เขาเดือดร้อน คุณพูดอยู่ปาวๆ ว่าเสียสละ เเต่คุณไม่เสียสละเพื่อลุยน้ำมาหาประชาชนบ้าง เเล้วคุณจะเป็นผู้นำที่ดีได้ยังไง ในเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอยากรู้ทุกข์สุขประชาชน ยังเดินลุยน้ำลุยโคลน แล้วคุณเป็นใคร คุณเป็นแค่นายกฯคนหนึ่ง ในสถานการณ์อย่างนี้ ความสวยงามและความฉาบฉวยไม่ช่วย อะไร ความเห็นอกเห็นใจและสติปัญญาต่างหากที่ประชาชนต้องการ คนไม่ได้ต้องการนางฟ้าที่ปัญญาควายๆ คนต้องการอีเพิ้ง อีเยิน อีปลวก ฯลฯ คนหนึ่ง ที่ทำ ทุกอย่างได้ เพื่อทุเลาปัญหาของประชาชน นั่นคือผู้นำที่คนทุกชาติต่างก็ต้องการในภาวะวิกฤติครับ จิตกร บุษบา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 พฤศจิกายน 2554, 23:22:13 อ.จุฬาฯ จ่อฟ้อง รบ. บริหารงานพลาด จนน้ำท่วมทรัพย์สินเสียหาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤศจิกายน 2554 22:14 น. "ดร.ณรงค์" ตั้งโต๊ะชวนร่วมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล เหตุบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด ทำให้ทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ระบุจ่ายค่าชดเชย 5 พันบาทต่อครัวเรือนไม่เพียงพอกับค่าเสียหายจริง ที่โดยเฉลี่ยอย่างต่ำก็ 4-5 หมื่นบาท วันนี้ 9 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยว่า มีสมาชิกสภาทนายความเข้าชักชวนให้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด ทำให้ทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนกำลังชักชวนเพื่อนอีก 4,000-5,000 คน ร่วมลงชื่อฟ้องร้อง ทั้งนี้ หากเป็นในต่างประเทศ เพียงแค่คนเดินตกท่อ ก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้แล้ว แต่นี่น้ำท่วมบ้านเรือนเสียหายต่อหลังอย่างต่ำก็ 4-5 หมื่นบาท แต่จ่ายค่าเสียหายชดเชยให้แค่ 5,000 บาทต่อครัวเรือน ถือว่าน้อยมากไม่เพียงพอ "ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำเป็นคนต่างจังหวัดก็รู้ว่าเวลาน้ำมามากไหลบ่าข้ามตลิ่งไปกั้นหมดก็ไม่อยู่ ถ้าน้ำมา 3 เมตรก็ควรกั้นแค่ 2 เมตรให้ล้นมาแล้วอีก 1 กิโลเมตรค่อยกั้นอีก 1 เมตร จนกระทั่งหมดเรียกว่าการผ่อนน้ำหากทำอย่างนี้แต่แรก ไม่เกี่ยงกันอยู่ก็จะผ่อนหนักเป็นเบาได้" รศ.ดร.ณรงค์ กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 พฤศจิกายน 2554, 16:03:10 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2554 01:00 เฉลา กาญจนา เขาว่า..นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีอำนาจ..สั่งการไม่ได้จริงไหม? โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้น่าจะเป็นความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศ บ้างก็บอกว่ามันเป็น "มหาอุทกภัย" ที่คนต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ถนนในกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยกลายเป็นคลอง จากถนนรถวิ่ง กลายเป็นเรือพาย จากทางด่วนกลายเป็นที่จอดรถ เป็นภาพที่ปรากฏไปทั่วโลก หันไปที่การบริหารจัดการน้ำท่วมของรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่ง "รู้สึกตีบตัน" อย่างมาก เป็นนายกฯ ทั้งทีดูเหมือนจะสั่งการใครแทบไม่ได้เลย มันเกิดอะไรขึ้น ประเด็นนี้กลายเป็นคำถาม ที่ต้องการคำตอบของคนทั้งประเทศไปแล้ว ฉะนั้นหากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังเป็นผู้นำประเทศอยู่ ต้องมีอำนาจสั่งการและจัดการปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่านี้ อย่าปล่อยให้สังคมเข้าใจว่า "เป็นนายกฯ แต่ไร้อำนาจ จนไม่สามารถสั่งการใครได้ ฉะนั้นต้องใช้ภาวะผู้นำให้มากกว่านี้" พยายามวิเคราะห์การแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลมาเกือบ 2 เดือน แต่มองไม่ออกว่า จะจัดการอย่างไร สิ่งที่ปรากฏ กลับเห็นมวลน้ำ "ท้าทายอำนาจรัฐ" ขยายวงกว้างขึ้นทุกวัน ท่วมต่างจังหวัดจนระบาดเข้ามายังพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ ทุกซอกทุกมุม สิ่งที่ประชาชนต้องรับสภาพ ณ เวลานี้ มีเพียงการประกาศพื้นที่เฝ้าระวัง เตรียมอพยพ ขนของขึ้นที่สูง ทั้งที่รัฐบาลควรมีมาตรการอะไรมากกว่านี้หรือไม่ การตั้งคณะกรรมการขึ้นมามากมาย ไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ ตราบใดที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีอำนาจสั่งการ พูดง่ายๆ คือบริหารจัดการไม่ได้ ฉะนั้นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา ก็ช่วยอะไรไม่ได้ นายกฯ ควรกลับไปทบทวนดูว่า คณะกรรมการแต่ละชุดที่ตั้งขึ้นมา ทำงานเต็มที่แล้วหรือยัง มีการเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบอุทกภัยมากน้อยแค่ไหน ที่แย่ไปกว่านี้ ในยามที่บ้านเมืองวิกฤติ ความขัดแย้งอย่างหนักที่เกิดขึ้น ระหว่างหน่วยงานรัฐอย่างกรมชลประทานกับกรุงเทพมหานคร แค่เรื่องเครื่องสูบน้ำ ก็ยังตกลงกันไม่ได้ เรื่องอย่างนี้นายกฯ ต้องทุบโต๊ะจัดการทันที! นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ต้องพิสูจน์ภาวะผู้นำ วิธีแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่อาจเยียวยาพี่น้องประชาชนได้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องถามตัวเองก่อนว่า สิ่งที่เกิดขึ้น "ไหวไหม ทำได้ไหม เอาอยู่ไหม" วิกฤติที่มันใหญ่โตขนาดนี้ เกินความสามารถคนที่ชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" แน่นอน แต่ที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่ารัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมนายกฯ สั่งการอะไรไม่ได้ เรื่องนี้หากมองย้อนกลับไป เมื่อครั้งมีการตั้งรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ถ้าจะบอกว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกรัฐมนตรีเลย ก็ไม่น่าจะผิด ฉะนั้นการจะสั่งการใคร ให้ทำอะไร จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่สามารถให้คุณให้โทษกับใครได้แม้แต่น้อย รัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยจึงใช้วิธี "ดื้อเงียบ" การบริหารจัดการท่ามกลางวิกฤติที่ใหญ่โตขนาดนี้ สำคัญยิ่ง ผู้นำต้องใช้อำนาจ จัดการเด็ดขาด ถ้ายังต้องพึ่งพาการสั่งการจากแดนไกล ที่ไม่ได้เผชิญอยู่กับภาวะน้ำท่วม ความน่าเชื่อถือหรือแรงศรัทธาก็จะลดน้อยถอยลง การแก้ปัญหาที่เห็นอยู่ เป็นเพียงมาตรการโปรโมชัน "ลดแลกแจกแถม" ระยะสั้น แต่สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติและนักธุรกิจต้องการ คือแผนและมาตรการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลมากกว่า เช่นเดียวกับการลงพื้นที่แจกจ่ายถุงยังชีพ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถาวร เป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนระยะสั้นเท่านั้น จริงๆ ถ้าคิดว่า "เอาไม่อยู่" ก็ควรบอกพี่ชายไปเลยว่า "ไม่ไหว" ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้กำลังใจ หรือขับไล่นายกฯ แต่ควรบอกพี่ชายว่าปัญหามันใหญ่จริงๆ ค่ะพี่ขา... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 พฤศจิกายน 2554, 22:45:28 http://www.oknation.net/blog/black/2011/11/09/entry-2
http://www.oknation.net/blog/black/2011/11/09/entry-2 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 พฤศจิกายน 2554, 20:28:20 “คำนูณ” ชี้จุดอ่อน กยอ.ไร้อิสระ อยู่ใต้เงา “ครม.ปู” แค่บิ๊กแบ็กกันกระเพื่อมให้รัฐบาล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2554 11:52 น. “คำนูณ” ชี้จุดอ่อน กยอ.อยู่ใต้เงา “ครม.ปู” ทำงานไร้อิสระ แค่บิ๊กแบ็กกันแรงกระเพื่อมให้รัฐบาล ไม่กล้าวางยุทธศาสตร์ฉีกนอกกรอบ ขาดการมีส่วนร่วมภาค ปชช. แนะควรทำงานผนวกกับ คกก.ชุด “อานันท์-ประเวศ” ร่วมกันกำหนดอนาคตโยงกับการปฏิรูปประเทศ หวัง “ดร.โกร่ง” มีไอเดียใหม่หาเงินฟื้นฟูโดยไม่ต้องกู้ แนะรีดภาษีจากคนได้ประโยชน์จากคันกั้นน้ำ วอน กทม.ยอมปล่อยมือให้คนฝั่งธนฯ ปกครองตนเอง นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวอภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา พิจารณาเรื่องด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีการลงมติกรณีปัญหาภัยพิบัติอันเนื่องมาจากอุทกภัยว่า เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. ที่มี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ประกอบด้วยดรีมทีมที่มีความรู้ความสามารถหลายคน มาวางยุทธศาสตร์ระยะยาว แต่เสียดายที่ไม่ได้มาร่วมฟังการประชุมของรัฐสภาเพื่อนำไปกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ และก็ดีเพราะรัฐบาลไม่ต้องปรับ ครม.ให้เกิดแรงกระเพื่อม แต่ก็มีจุดอ่อนคือ ไม่มีความเป็นอิสระ เพราะเป็นกรรมการของรัฐบาล ทำให้การวางยุทธศาสตร์ที่จะฉีกกรอบออกไปคงจะทำได้ยากเพราะสถานการณ์ขณะนี้จำเป็นต้องมีแนวคิดใหม่ๆ ฉีกกรอบออกไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดการมีส่วนร่วมภาคประชาชน เมื่อเทียบกับคณะกรรมการอิสระที่ตั้งขึ้นในยุครัฐบาลชุดที่แล้ว หลังเหตุการณ์ทางการเมือง มีการหยิบฉวยคณะกรรมการจากภาคประชนที่ทำไว้อยู่แล้ว คือชุดชอง นพ.ประเวศ วะสี และชุดของนายอานันท์ ปันยารชุน ที่ทำให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ก็ไม่ขัดข้องถ้าจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นอีกทีม เหมือนบอร์ดบริหาร ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรอง “ผมเกรงว่า กยอ.อาจเป็นได้เพียงแค่บิ๊กแบ็ก ทำได้แค่ชะลอกระแสน้ำเท่านั้น แต่ถ้าจะทำให้ดียิ่งกว่านั้น คือ ต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมภาคประชาชนเข้าไป” นายคำนูณกล่าวย้ำ นายคำนูณเสนอว่า การวางนโยบายระยะยาวต้องเชื่อมโยงกับการปฏิรูปประเทศโดยองค์รวม ไม่ควรทิ้งคณะกรรมการชุดของนายอนันต์ และชุดของ นพ.ประเวศ ควรพิจารณาจะเอามาผนวกกันอย่างไร และเห็นด้วยที่จะทำให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นเรื่องถาวร แต่อยากติงวิธีการหาเงินมาทำ ตนคาดเดาว่านายวีรพงษ์อาจจะเสนอให้มีการออกพระราชกำหบดให้ใช้เงินงบประมาณไปพลางก่อน หรือน่าจะเอาทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้หมื่นล้านดอลลาร์ ด้วยการแก้ พ.ร.บ.เงินตรา และ พ.ร.บ.ธปท. หรือ ออก พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อมาฟื้นฟู แต่ตนอยากเห็นแนวคิดใหม่ๆ ที่หาเงินโดยไม่ต้องไปกู้ทั้งหมด หรือไม่กู้เลย คือการเก็บภาษี เช่นอาจจะเรียกเก็บภาษีกับจากคนได้ประโยชน์จากการสร้างคันกั้นน้ำเป็นต้น อย่างไรก็ตาม นายคำนูณยังกล่าวในฐานะคนฝั่งธนบุรีว่า กทม.มีขนาดใหญ่เกินไปทำให้บริหารจัดการได้ไม่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลควรจะทำบุญกับคนฝั่งธนฯ ด้วยการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.การปกครองส่วนท้องถิ่น โดยแยกฝั่งธนบุรีออกมาจาก กทม. และให้มีผู้ว่าราชการเป็นจองตัวเอง เพื่อให้คนฝั่งธนมีการทำงานที่ต่อเนื่อง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 พฤศจิกายน 2554, 14:35:52 สภาเดือด"ศิริโชค"แฉคลิปรอบดึก เสื้อแดงตะลุยของบริจาค ศปภ. แฉ"จตุพร"ลั้นลาเชียงราย หาเสียงนายกฯ อบจ.
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 10:45:57 น. มติชนออนไลน์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ปชป. อภิปรายโดยฉายเพาเวอร์พอยท์ฉายภาพของบริจาคศปภ. เรือที่มีการติดป้ายสัญลักษณ์เครือข่ายเสื้อแดงข้อความ "ใช้ในราษฎรคนเสื้อแดงเท่านั้" รวมถึงภาพรถยีเอ็มซีทหารที่ติดป้ายชื่อนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. เพื่อไทย ก่อนอธิบา ว่า เห็นคำโกหกของผู้ทรงเกียรติแล้วรับไม่ได้ น้ำเยอะจริง แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะบริหารผิดพลาดได้ ผู้ที่อนุมัติแจกของบริจาคที่ศปภ.ในตอนแรก คือ นายการุณ และนายการุณได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับเอ ไม่ทราบนายการุณดูกฎหมายดีแล้วหรือยัง เพราะ ส.ส.เป็นฝ่ายนิติบัญญัติจะไปยุ่งฝ่ายบริหารไม่ได้และผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ และยังพบว่าน้ำบริจาคที่นายจตุพร พรมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อ้างว่ามีนายทุนบริจาคผ่าน ส.ส.เพื่อไทยเพื่อนำไปบริจาคแต่ละคนนั้น ปรากฏว่าเป็นยี่ห้อเดียวกันหมด และในใบจองให้นายจตุพร จำนวนทั้งสิ้น 722 แพ็ค แสดงว่ามีการหารกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศิริโชคยังเปิดคลิปตำรวจ บชน.5 ขนถุงยังชีพตราสำนักนายกฯ ลงจากรถบรรทุก เข้าไปเก็บในสำนักประสานงานเลือกตั้งเขตสายไหมของนายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที และกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา นายจตุพร นายก่อแก้ว พิกุลทอง นางสุนีย์ เหลืองวิจิตร ไปจ.เชียงราย ปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกฯ อบจ.เชียงราย เวทีไพร่แดงหัวใจไม่แพ้ ของกลุ่ม 24 มิถุนาฯ ทั้งที่น้ำท่วมจะตายกันอยู่แล้ว ฝ่ายค้านลงพื้นที่ นี่ไปหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น มีแกนนำเสื้อแดงปราศรัยระบุเราได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ยังมีขวนการจ้องล้ม เพราะมีการลอบเปิดน้ำจากเขื่อนในตอนกลางคืน ส่วนนายก่อแก้วพูดเรื่องแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ส่วนนายจตุพรปราศรัยด่าทหาร ว่าพล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา ผบ.ทบ.บอกจะไม่ปฏิวัติในตอนน้ำท่วม แสดงว่าจะปฏิวัติหลังน้ำลด นี่คือสิ่งที่พวกนายจตุพรไปทำกัน ที่พูดว่าจะปรองดองก็เพียงหน้าสื่อ "นายจตุพรเป็นคนหน้าดำ แต่ตอนนี้หน้าขาวแล้ว แต่เสียใจที่นายจตุพรระบุว่าดีใจที่น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ขบวนการล้มรัฐบาลในเดือนธันวาคมทำไม่ได้" นายศิริโชคกล่าว ทำให้นายจตุพรตอบโต้อย่างดุเดือดว่า "ยืนยันว่าไม่เคยเอาของบริจาคจากไปทำอะไรทั้งสิ้น นายศิริโชคกล่าวเท็จ ผมมีพ่อและแม่เป็นคนไทย ต่างจากนายศิริโชค พี่น้องของผมมีจิตใจกุศลเอาของไปให้ แต่คนมันจิตใจอกุศล เหมือนที่ไปพบนายวิคเตอร์บู๊ท ผมไปเชียงรายไประดมความรู้สึกให้พี่น้องมีอารมณ์ร่วม แล้ววันนี้ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้ว ใครที่ว่าหลังน้ำลดจะเกิดจลาจล เพราะผมเคยพูดว่าขบวนการล้มรัฐบาลจะเกิดเดือนธันวาคม ชาตินี้ผมไม่เคยคิดชั่วแบบนายศิริโชคคิดชั่ว" ด้านพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และผอ.ศปภ. ชี้แจงว่า สาเหตุที่ตั้งนายการุณเพราะเป็น ส.ส.ในพื้นที่น้ำท่วม จะไม่ให้ส.ส.ไปดูแลประชาชนเลยหรือ นายศิริโชคสวนกลับว่า เสียใจที่นายจตุพร ที่พาดพิงไปถึงบิดาตนที่เสียชีวิตไปแล้ว บิดาตนเป็นคนลาวไม่ได้ผิดอะไร เพราะคนอีสานก็เป็นคนลาว จะด่าก็ด่าตนอย่าพาดพิงบรรพบุรุษ "นอกจากนี้พล.ต.อ.ประชายังโกหก เพราะตามคำสั่งศปภ ที่ 23/2554 พล.ต.อ.ประชาได้ลงนามแต่งตั้งให้นายการุณ เป็นกรรมการของบริจาค มีนายธีรชัย วุฒิธรรม เป็นเลขาฯ และที่อ้างว่าตั้งนายการุณเพราะเป็นส.ส.พื้นที่น้ำท่วมนั้นโกหก เพราะยังตั้งนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทปราการ เพื่อไทย และแกนำนเสื้อแดงด้วย แล้วสมุทรปราการท่วมตรงไหน ดังนั้น การกระทำของพล.ต.อ.ประชา ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266 แน่นอน"นายศิริโชคกล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 พฤศจิกายน 2554, 14:38:31 "วิลาศ" แฉถุงยังชีพภาค 2 บริษัทที่เสนอราคากับในใบเสร็จต่างกัน หักหน้า มท.1 อย่ามาอ้างหนีน้ำท่วม "ทะเบียนการค้า" ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 23:30:00 น. มติชนออนไลน์ ที่รัฐสภา การประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 เมื่อเวลา 17.15 น. นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ ส.ส.กทม. ปชป. อภิปรายว่า เรื่องเงินบริจาคเป็นที่สนใจของประชาชนรวมทั้งต่างชาติ เพราะมีการโกงกัน รวมทั้งการบริหารผิดพลาดของ ศปภ. ถุงยังชีพสำหรับผู้ประสบภัยได้เปลี่ยนเป็นถุงปลิดชีพผู้ที่จัดการเรื่องนี้ทั้งหมด และหลังจากนี้จะมีข้าราชการถูกออกจากราชการ เพราะนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย บอกตนว่าจะเอาจริง และไม่แน่ใจว่าจะมีรัฐมนตรีกี่คนถูกปรับออกเพราะไปเกี่ยวข้อง วันนี้จึงเป็นภาคสอง ส่วนที่นายยงยุทธชี้แจงว่าราคาแพงเพราะมีค่าขนส่งไปหลายจุดนั้นไม่ใช่ เพราะของไปส่งที่ ศปภ.ที่เดียว และที่อ้างว่าร้านเอื้อธนพัฒน์ ลงที่อยู่ในใบเสนอราคาและใบเสร็จต่างกัน เพราะย้ายหนีน้ำท่วม ไม่เข้าใจว่านายยงยุทธเข้าใจหรือไม่ว่าน้ำจะท่วมไม่ท่วม แต่ทะเบียนการค้าไม่มีวันเปลี่ยน แล้วที่อ้างว่าใช้ที่อยู่เลขที่ 78 หมู่ 4 ก็ไม่ใช่ร้านธนพัฒน์ แต่เป็นที่ตั้งบริษัทเอกไรท์ ที่ประกอบกิจการให้เช่าโกดังสินค้า ไม่รู้ไปเอาที่ไหนมาอ้าง ดังนั้นมีการทุจริตและฮั้วกันหรือไม่ จึงไม่ยอมรับความจริง นายวิลาศกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการซื้อสุขามือถือกระดาษ ราคาชุดละ 245 บาท ทั้งที่เครือซิเมนต์ไทยขายแค่ชุดละ 111 บาท โดยซื้อจากบริษัทเติมคอร์เปอร์เรชั่น จำนวน 3 หมื่นชุด ประเด็นคือ บริษัทเติมนั้น จดทะเบียนรับจ้างติดตั้งซ่อมบำรุงตรวจสอบบำบัดน้ำเสีย หรือเครื่องกำจัดมลพิษ โดยมีที่อยู่ที่เดียวกับ หจก.พูนเจริญฯที่ขายถุงยังชีพและเรือ และแปลกที่กระทรวงมหาดไทยมักซื้อของจากบริษัทเติมทุกครั้ง "แล้วที่สำคัญ พบว่ามีบริษัทตั้งอยู่ที่อยู่ที่เดียวกัน เป็นทาวน์เฮาส์ที่กำลังถูกน้ำท่วมในตอนนี้ และท่วมมาตั้งแต่ก่อนส่งถุงยังชีพให้ ปภ.ด้วยซ้ำ โดยทาวน์เฮาส์หลังนี้มีป้ายอยู่ 2 ป้าย ซ้ายมือเขียน หจก.พูนเจริญฯ ทางขวาเป็นป้ายบริษัทเติมคอร์เปอร์เรชั่น เป็นเครือเดียวกันหมด และ ปภ.ซื้อของเป็นร้อยล้านบาท ทั้งหมดที่ทำทำเพื่อใคร โครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทนี้มีนามสกุลอะไรที่โยงกันหรือไม่ เท่านี้ก็คงมีเหตุผลพอที่จะปรับ ครม." นายวิลาศกล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: มีนา ที่ 12 พฤศจิกายน 2554, 14:45:07 ...มาอ่านค่ะ
...ยินดีที่ตะวันยังมาโพสท์ได้ แสดงว่าบ้านปลอดภัย emo4:)) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 พฤศจิกายน 2554, 21:21:01
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 12 พฤศจิกายน 2554, 22:18:19 มา ครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 พฤศจิกายน 2554, 22:53:23
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 13 พฤศจิกายน 2554, 23:26:51 หมู่บ้านรวมโชค โชคชัย4 น่าจะ ปลอดภัย แล้ว เล่นเอาเครียด มานาน ทำให้" กินได้แต่ไม่อร่อย นอนนะหลับแต่ไม่ฝัน " emo20:)):) emo20:)):)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: pusadee sitthiphong ที่ 13 พฤศจิกายน 2554, 23:31:10 ดีใจด้วยค่ะ น้องน้ำกรุณาอย่ามาเยี่ยมกันอีกนะ มามากเกินไปไม่ค่อยชอบ เนอะพี่ปึ๊ดเนอะ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 พฤศจิกายน 2554, 09:31:13
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 พฤศจิกายน 2554, 10:02:10 ทำไม มาร์ค ยังไม่ไล่ปู !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ เกาะกระแส โดย...ก้อนกรวด 00 มองอีกมุมหนึ่งถือว่าเป็นการแสดงความ “เขี้ยว” ทางการเมืองในระดับขั้นสูงกันเลยทีเดียวสำหรับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป.ที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการกดดันให้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออก หรือยุบสภาในช่วงนี้ เพราะรู้อยู่แล้วว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมของ รัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯถือว่า “ไร้ภาวะผู้นำ” ไร้สติปัญญาอย่างสิ้นเชิง ทำให้มีเสียงก่นด่าอยู่ทุกวัน และนี่ว่ากันเฉพาะในช่วงที่น้ำยังท่วมสูงอยู่ แต่หลังน้ำลด อยู่ในช่วงการฟื้นฟู จะยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิมอีก 00 ความหมายก็คือปล่อยให้ “โชว์โง่” ต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สถานการณ์จริง “ประจาน”ผู้นำต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองได้แต่นั่งเฝ้ามองอย่างใจเย็น มิหนำซ้ำอีกมุมหนึ่งยังได้ภาพของความเป็น “สุภาพบุรุษ” ไม่ซ้ำเติมฉกฉวยซ้ำสถานการณ์ในยามที่บ้านเมืองต้องการความร่วมมือ และที่สำคัญถ้าสมมุติว่า ยิ่งลักษณ์ ทนแรงกดดันไม่ไหวร้องกรี๊ดแล้วสะบัดก้นลาออกไปก็จะมี “หุ่นเชิด”คนใหม่ของ ทักษิณ ชินวัตรจากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเสียบแทน หรือหากคิดเพ้อเจ้อว่ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ในช่วงเวลานี้ ประเมินสถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่ยังเชื่อว่า มาร์ค-ปชป.ยังสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้อยู่ดี แม้ว่าช่องว่างอาจจะลดลงมาก็ตาม 00 สู้รอคอยอย่างใจเย็น รอให้สถานการณ์ลากไปจนสุดทาง จะได้หมดข้อกังขาทำนอง “ของปลอม”ก็คือของปลอม ไม่ใช่เทวดาอย่างที่มีการสร้างภาพตบตามานาน อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ต่างกัน ทำให้การต่อสู้ครั้งต่อไปกลับมาสู่สถานการณ์ปกติ สูสี แพ้ชนะกันไม่ขาดเหมือนเช่นที่ผ่านมา เหมือนกับ “ล้างไพ่” แล้วมาเริ่มใหม่จริงๆ 00 ไม่น่าเชื่อว่าภาพลักษณ์ของ เก่ง-การุณ โหสกุล ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย จะสร้างความเกลียดชังจากชาวบ้านทั่วไปได้มากถึงเพียงนี้ พิสูจน์ได้จากข่าวที่ปรากฏอยู่ในเว็บเมเนเจอร์ออนไลน์เมื่อวันก่อนรายงานว่าเขาถูกชาวบ้านย่านดอนเมืองคนหนึ่งชกปากแตกเย็บ 5 เข็มเพราะมีคนเข้าไปเปิดอ่านมากนับแสนคน และเมื่อเลื่อนลงมาอ่านคอมเมนท์แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีอารมณ์รุนแรง “ด่ากันยับ” พร้อมกับประกาศให้รางวัลคนที่ใจถึงดังกล่าวแบบไม่อั้น มันก็สะท้อนให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเขาน่าประทับใจเพียงใด 00 เสร็จสิ้นกันไปแล้วทั้งการอภิปรายงบประมาณปี 55 และการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อถกแก้ปัญหาน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความอดทนของชาวบ้านด้วยเช่นกันว่า ถ้าใครทนฟังพวก “ส.ส.สถุน” อภิปรายในสภา บ้าน้ำลาย บิดเบือนข้อมูล แก้ต่างให้กับรัฐบาลกันอย่างหน้าด้านๆ ได้นานต่อเนื่องกันได้ถือว่าเป็น “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” ประเภท “ใจด้านชา” ได้ดีจริงๆ เพราะถ้าจะบอกว่า “เสียเวลาเปล่า” เปลืองค่าน้ำค่าไฟโดยไร้ประโยชน์ ทุด !! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 พฤศจิกายน 2554, 10:13:42 กรณ์” สงสาร “ปู พรีเซ็นเตอร์” ชี้หมดอนาคตการเมือง-กังขางบฟื้นฟู 9 แสนล.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ บทสัมภาษณ์นายกรณ์ จาติกวณิช ในเว็บไซต์ไทยพับลิก้า ”กรณ์” ชำแหละ รบ.ยิ่งลักษณ์ แก้น้ำท่วม ชี้ ดึง “สุดารัตน์” ขึ้น ฮ.-วิชาญ คุมประตูคลองสามวา เป็นเรื่องการเมือง ปัดออกมาช่วยน้ำท่วมสร้างผลบวกแก่พรรค แต่รัฐบาลกลับทำตรงกันข้าม เห็นใจ “ยิ่งลักษณ์” แค่พรีเซ็นเตอร์โฆษณา เชื่อ งบ 9 แสนล้าน ทำลายความเชื่อมั่นจากต้นเหตุการเมืองมีผลประโยชน์ เมื่อวันที่ 9 พ.ย.นายกรณ์ จาติกวณิช รองนายกรัฐมนตรีเงา รองหัวหน้าภาค กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไทยพับลิก้า ในหัวข้อ “กรณ์ จาติกวณิช” เปิดอภิปรายนอกสภาน้ำท่วม-ถนนลื่น-นารีแหกโค้ง กับ “บูทเจ้าปัญหา” รองเท้าไม่กัด แต่คนกัด ซึ่งกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าอาจกลายเป็นจุดจบของรัฐบาลก่อนครบวาระ โดยกล่าวว่าการบริหารจัดการน้ำท่วมในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มองว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของพรรคเลย เพราะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นเป็นหน่วยงานที่ค่อนข้างอิสระ ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรฯ ผู้ว่าฯ กทม.ต้องสวมหมวก กทม.ไม่ใช่สวมหมวกพรรค จะสังเกตเห็นว่าพวกตนไม่เคยไปยุ่ง ไม่เคยมี ส.ส.ประชาธิปัตย์ ไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการของกทม. แม้แต่คนเดียว ทั้งนี้ ในขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. เต็มไปด้วย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ดังนั้น จะเห็นว่า กทม. เป็นอิสระ แต่ถ้ามีแนวทางบริหารที่เห็นไม่ตรงกัน เราก็พูดคุย ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยกสายคุยกับผู้ว่าฯ และยกสายคุยกับคนใน ศปภ.ด้วย อย่างตอนที่ลงพื้นที่แล้วเห็นระดับน้ำในคลองประปาสูงขึ้น นายอภิสิทธิ์ก็ยกหูถึง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เดี๋ยวนั้นเลยเพื่อบอกให้รีบมาดู ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องการเมือง กทม. แต่เป็นเรื่องการเมืองวันที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำภาค กทม.พรรคเพื่อไทยเข้ามา • การเมืองกักน้ำกรุงเทพฯ ตอ. “เพื่อนผมดูแลสนามกอล์ฟอยู่ที่บางบ่อ ติดกับคลองด่าน จ.สมุทรปราการ เขาบอกว่าสนามกอล์ฟนี้แล้งเลย ต้องปั๊มน้ำมารดสนามกอล์ฟทุกวัน อย่างเครื่องสูบน้ำที่คลองด่าน เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด เพราะตามสถิติมันใช้งานอยู่แค่ร้อยละ 10 ดังนั้นน้ำไม่ได้ไปจริง นอกจากนี้สถานีสูบน้ำ 3 สถานีหลักในฝั่งตะวันออก ทั้งสถานีหนองจอก ประเวศบุรีรมย์ และคลองสิบสาม ซึ่งมีเครื่องสูบทั้งหมด 52 เครื่อง เราลงพื้นที่เห็นว่าแทบจะไม่ได้เปิดเลย นี่คือสาเหตุให้ฝั่งตะวันตก ฝั่งธนบุรีเละตุ้มเปะเลย น้ำมันถึงทะลักเข้ามาที่ช่วงกลางทั้งวิภาวดีฯ ดอนเมืองไง นอกจากนี้ระบบน้ำทั้งหมดตั้งแต่คลองหกถึงคลองยี่สิบเอ็ด สร้างไว้เพื่อระบายไปทางนั้น นั่นคือทางน้ำ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลทางการเมืองในเรื่องการปกป้องพื้นที่ของตัวเอง หรือความหวาดกลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ผมไม่รู้ แต่เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ไม่ผันน้ำไปฝั่งตะวันออก” นายกรณ์ กล่าว นายกรณ์ กล่าวว่า ตนอยู่กับนายอภิสิทธิ์ตลอดตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำท่วมจนถึงตอนนี้ ยืนยันได้ว่าไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย แต่ตัวละครของทาง ศปภ. หรือรัฐบาลที่ออกมาเป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น อย่างบทบาทของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ เขตมีนบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาในเรื่องการเปิด-ปิดประตูคลองสามวา ซึ่งตนสงสัยว่าไปทำหน้าที่อะไร เพราะเป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี และไปมีส่วนร่วมในการทำลายทรัพย์สินที่อาจจะทำให้นิคมอุตสาหกรรมทั้งนิคมต้องจมน้ำ อันนี้ยังไม่รวมพื้นที่ กทม.ชั้นในที่ท่วมเพิ่มขึ้น ถามว่ารับผิดชอบอย่างไร ตนอยากเห็นคนออกมาฟ้อง หรือคุณหญิงสุดารัตน์ที่ออกมามีบทบาท ทั้งการนั่งเฮลิคอปเตอร์ หรือการได้ออกสื่อ ซึ่งตนเห็นว่ามาในฐานะอะไร และเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ • งดประชุมสภา ส.ส.เอาเปรียบ ปชช. เมื่อถามถึงสมมติฐานของพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการปรากฏตัวของคุณหญิงสุดารัตน์คือเกี่ยวข้องกับการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในช่วงต้นปี 2555 นายกรณ์ตอบว่ามันมีการเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว แต่ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิด เราก็ทำงานของเราไป ทั้งการตั้งมูลนิธิเพื่อระดมเงินบริจาค ก่อนรัฐบาลจะเริ่มเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ มีโครงการอาสาคนไทยช่วยน้ำท่วม วันเดียวกับที่พวกเขาไปเตะฟุตบอลที่เขมร พวกตนเตะฟุตบอลระดมเงินช่วยน้ำท่วม คือความตื่นตัวมันเร็วกว่ากัน เมื่อถามว่า แม้คนในพรรคประชาธิปัตย์จะลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง แต่ภาพที่เด่นชัดกลับเป็นการจ้องจับผิดรัฐบาล ชวนไปสาดน้ำลายในสภามากกว่า นายกรณ์ตอบว่า ไม่เห็นมีสภาให้ประชุมตั้งเดือนกว่าแล้ว “จริงๆ มันตรงกันข้ามกับที่ถามด้วย เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน คุณอภิสิทธิ์เคยให้ความเห็นว่ายังไม่ควรเปิดสภา หลังจากนั้นเขาเรียกประชุมเลย ก่อนมาสั่งยกเลิกในนาทีสุดท้าย คือเหมือนกับว่ารัฐบาลทำตรงข้ามกับสิ่งที่เราแนะนำ มาครั้งนี้ก็ยกเลิกอีก ซึ่งผมรับไม่ได้ เพราะไม่รู้จะอธิบายกับประชาชนอย่างไร คุณบอกให้หยุดยาว (รัฐบาลประกาศวันหยุดราชการกรณีพิเศษระหว่างวันที่ 27-31 ตุลาคม) ให้ประชาชนอพยพ เขาหยุดจริง อพยพจริง ตอนนั้นบ้านเขาน้ำยังไม่ท่วม พอครบ 5 วันเนี่ย คุณไม่ต่อวันหยุดให้เขา ซึ่งบ้านเขาน้ำท่วมแล้ว อพยพไปก็ต้องอพยพกลับมา ค่าใช้จ่ายมากมาย มาถึงที่อยู่ก็ไม่มี เดินทางก็ไม่สะดวก แต่คุณให้เขาทำงาน สุดท้ายคุณยกเลิกประชุมสภา ทำไมประชาชนต้องทำงาน แต่ ส.ส.ไม่ต้องทำงานล่ะ บอกว่า ส.ส ยุ่ง ยุ่งอะไร งานของเราอยู่ในสภา” • เย้ย “ลาก่อนน้ำท่วม” แค่คิดก็ผิด-เก้าอี้ “นายกฯ ปู” ไม่ใช่งานถนัด ในตอนหนึ่ง นายกรณ์ เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้มองว่าสถานการณ์นี้ต้องสร้างอะไรให้กับพรรค และไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นบวกกับพรรคประชาธิปัตย์ เราพยายามออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน แต่การรับรู้อยู่ในวงจำกัดอยู่แล้ว เพราะสื่อบ้านเราก็อย่างที่รู้กัน และเราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปบริหารแทนรัฐบาล คันไม้คันมือกันมาก เพราะเชื่อว่าทำได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ทำได้ ดังนั้นโอกาสทำสถานการณ์ให้เป็นบวก ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถามว่าเราได้อานิสงส์อะไร ก็อาจจะเกิดจากการเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพ หรือความรู้เพียงพอในการบริหารจัดการ การเมืองเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ ถ้าเราอยู่กับที่ แต่เขาตกลงมา ทางการเมืองก็พูดได้ว่าเราได้ประโยชน์ แต่เราไม่ได้หวังผลในเรื่องประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ เมื่อถามว่า ประเมินว่าจำนวนคนที่ผิดหวังกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะมากขึ้นหรือไม่ เพราะเมื่อเดือนกันยายน 2554 เคยเขียนในเฟซบุ๊กเชิญชวนให้สมาชิกพรรคเพื่อไทย 15 ล้านเสียง ที่รู้สึกผิดหวังกับนโยบายของรัฐบาล มารวมกับ 11 ล้านเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ตอบว่า ทางการเมืองนั่นคือเป้าหมายอยู่แล้ว ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งมองว่าหลายสิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดจะทำเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่เมื่อเขาได้รับเลือกแล้ว อะไรที่เคยสัญญาไว้ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นจะเสียหลักทางการเมืองหมด ใครคิดจะพูดอะไรก็ได้ แต่ไม่มีผลในทางปฏิบัติ โดยยกตัวอย่างโครงการลาก่อนน้ำท่วมของพรรคเพื่อไทย สะท้อนว่า คิดผิดตั้งแต่แรก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาคดีอาญาแผ่นดิน คิดไว้ว่าจะใช้เงิน 4 แสนล้านบาทในการถมที่ สร้างเขื่อนป้องกันน้ำทะเลไม่ให้เข้ามาที่ กทม. ลองนึกภาพดู หากทำแบบนั้นไปแล้ว มันมีผลอย่างไรต่อการป้องกันอุทกภัยครั้งนี้ เขาหันหน้าไปทางนั้น นึกว่าศัตรูมาจากทางนั้น ความจริงศัตรูมันมาจากข้างหลัง มาจากน้ำเหนือ ซึ่งคิดผิดหมด ดีไม่ดียิ่งไปถมที่ ยิ่งทำให้ระบายน้ำไม่ได้อีกต่างหาก ดังนั้นแค่คิดก็ผิดแล้ว ถึงวันนี้พูดได้เลยว่าตนและพรรคไม่ได้มีเจตนาล้มรัฐบาล เหมือนที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามพูด พวกเราไม่มีปัญหาเลยในการทำงานในฐานะฝ่ายค้านต่อไปจนกระทั่งเขายุบสภา ซึ่งไม่รู้จะเป็นเมื่อไร ส่วนตัวคิดว่าเขาน่าจะคิดเปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องยุบสภา เพราะคนส่วนใหญ่เลือกเพื่อไทยมาแล้ว เชื่อว่าก็ยังอยากได้พรรคเพื่อไทยอยู่ พรรคเพื่อไทยก็บริหารต่อไป แต่มันไม่ใช่ “ผมเข้าใจเกม ณ วันนั้น คุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวเลือกทางการตลาดที่ดีที่สุด พวกผมคิดมาตั้งแต่ต้นปี 2554 ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเลือกตั้งคือ ถ้าเขาเอาคุณยิ่งลักษณ์ออกมาเล่นในช่วงโค้งสุดท้าย และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่บทบาทของคุณยิ่งลักษณ์จบแล้ว ผมเห็น ผมก็สงสารเขานะ เขาจะชอบงานที่ทำอยู่หรือไม่ ผมไม่รู้ แต่มันไม่ใช่งานที่เขาถนัด คนอื่นในพรรคคุณก็มีตั้งเยอะ เอาคนที่เป็นนักการเมือง หรือรู้ระบบราชการ เคยบริหารองค์กรมาจริงๆ จังๆ คุณก็มีรองนายกฯ ตั้งหลายคน ก็เลือกมาสักคนสิ” นายกรณ์กล่าว เมื่อถามถึงสมมุติฐานว่าหลังน้ำลด อาจมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ มีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายกรณ์ตอบว่าไม่ใช่สมมติฐาน แต่เป็นความเห็นส่วนตัว ยืนยันว่าตนและพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการล้มรัฐบาล ไม่มีความพยายามจะทำเช่นนั้นด้วย แต่ส่วนตัวมองว่าอย่าดันทุรังเลย ประเทศชาติต้องการมืออาชีพ ถ้าพูดกันอย่างแฟร์ๆ นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้มาในฐานะมืออาชีพ แต่มาในฐานะสัญลักษณ์ เป็นตัวเรียกคะแนน บทบาทหน้าที่นั้นทำได้ดีที่สุดเต็ม 100 แต่มันจบไปแล้ว และมีความชัดเจนว่าจบแล้วเพราะบังเอิญเกิดวิกฤตที่ท้าทาย ต้องการมืออาชีพจริงๆ มาบริหาร และพิสูจน์ให้เห็นว่านางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ใช่มืออาชีพในการบริหาร ทั้งนี้ แรงผลักสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนตัวนายกฯ คือ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว เมื่อถามว่า หากไม่เปลี่ยนตัวนายกฯ การปรับคณะรัฐมนตรี ถือว่าเพียงพอหรือไม่ในการกู้วิกฤตศรัทธา นายกรณ์เห็นว่าก่อนจะทำอะไรขอให้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาก่อน มองว่าปัญหาที่ผ่านมาคืออะไร แล้วค่อยมาว่ากัน ผู้นำต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหา และสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าที่ผ่านมาคืออะไร หลังจากนั้นการกระทำมันจะมีตรรกะ มีเหตุผล แต่อยู่ดีๆ ตั้งใจจะไม่พูดอะไรเลย แล้วก็เปลี่ยนตัวละคร คนเขาก็นึกว่าเป็นเรื่องการเมืองอีก หาแพะอีก มันยังไม่มีการสื่อสารว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ผิดพลาดตรงไหน วันก่อนนายกฯ ยังมาพูดเลยว่าตอนมารับตำแหน่ง น้ำในเขื่อนเต็มแล้ว เมื่อพูดอย่างนี้จะให้คนมั่นใจได้อย่างไรว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง หรือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวนายกฯ ซึ่งมีอยู่ 2 อย่างคือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กับตั้งใจพูดเท็จ ไม่มีทางเลือกที่ 3 ตนคิดว่านางสาวยิ่งลักษณ์รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้รู้ข้อมูลจริง ไปฟังเขามาแล้วนึกว่าเป็นจริง • คาด “ธีระ” อึดอัด-เพื่อไทยโยนบาป เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์จากพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาประกาศขอดูพื้นที่ กทม. ฝั่งตะวันตกเองว่าเป็นเพราะอะไร นายกรณ์ตอบว่า ถ้าให้ตนเดานายธีระคงอึดอัดว่าพรรคเพื่อไทยกำลังให้เขาเป็นแพะ ซึ่งตัวนายธีระรู้งานอยู่แล้ว แน่นอนที่สุดคือมีนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นเจ้านาย แต่นอกจากนั้นเขาเป็นลักษณะเทคโนแครต (ข้าราชการประจำ) มากกว่านักการเมือง ดังนั้นส่วนหนึ่งก็คือทำในระบบราชการ โดยรอรับฟังคำสั่งจากนายบรรหารด้วยต่างหาก ทีนี้ระบบราชการของกรมชลประทานบกพร่อง เพราะระบบทั้งหมดอยู่ที่การวัดน้ำในลำน้ำ ไม่เคยมาวัดน้ำในทุ่งนา ดังนั้นที่นายธีระออกมาพูดเมื่อ 10 วันก่อนว่ามวลน้ำก้อนใหญ่ผ่านไปแล้ว พวกตนฟังอยู่รู้ทันทีเลยว่าเขาหมายถึงน้ำในแม่น้ำ แต่ไม่ได้เอาน้ำในทุ่งมาคำนวณ ซึ่งตนก็ยังแปลกใจว่าทำไมนายธีระถึงพลาดได้ “มันเป็นเพราะระบบกรมชลประทาน ตัววัดทุกตัววัดในแม่น้ำ สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือนักการเมืองมีสัญชาตญาณในการปกป้องพื้นที่และฐานเสียงของตัวเองเยอะกว่ามองส่วนรวม เพราะระบบมันพาไป บางทีคนทั่วไปจะรู้สึกว่าทำไมไม่มองภาพใหญ่ ทำไมไม่มองส่วนรวม แต่ระบบเลือกตั้ง เราไม่ได้เลือกโดยคนส่วนรวม แต่เลือกโดยคนในพื้นที่ ดังนั้นสัญชาตญาณสำคัญคือต้องดูแลคนในพื้นที่ก่อน ซึ่งผมไม่ได้พูดถึงพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่พูดถึงทุกพรรค คนที่เป็นผู้นำต้องบริหารในระดับประเทศ ต้องรู้ว่าทางโน้นเขาต้องพูดอย่างนี้ ทางนี้ต้องพูดอย่างนั้น เพื่อปกป้องเขตพื้นที่ของเขา หน้าที่ของผู้ที่อยู่ข้างบนคือบริหารให้ส่งผลดีที่สุดแก่ประเทศและส่วนรวม ปัญหาคือไปคาดหวังกับผู้นำไม่ได้ เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่มีความรู้ วันที่เขามารับตำแหน่ง กรมชลประทานอยู่กระทรวงไหน เขารู้หรือเปล่า ผมยังไม่รู้เลย แล้วเราจะคาดหวังให้เขารู้ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยทำงานการเมืองมาก่อน ผมไม่ได้ว่าเขานะ แต่พูดตามข้อเท็จจริง” นายกรณ์กล่าว นายกรณ์กล่าวย้อนไปถึงตอนสมัครเลือกตั้งครั้งแรก ปลายปี 2547 เริ่มหาเสียง ตนต้องถามนายอภิสิทธิ์ว่า ส.ก. (สมาชิกสภา กทม.) ส.ข. (สมาชิกสภาเขต) คืออะไร มีหน้าที่อะไร ซึ่งตนไม่รู้จริงๆ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยออกไปเลือก ส.ก. และส.ข. เลือกแต่ส.ส. เท่านั้น เราไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในวงการดังนั้นบังเอิญเรามีผิดคน ผิดจังหวะ และไม่สามารถบริหารความขัดแย้งทางการเมืองที่มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติได้ ก็เลยส่งผลตามที่ปรากฏ ซึ่งมันเป็นเงื่อนไข ประเทศไหนก็ตามที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นแบบนี้ สำคัญคือตัวผู้นำต้องสามารถฝ่าเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดได้ แต่เขาเพิ่งเข้ามา เขาทำไม่ได้ ตนเห็นใจ แต่มันเหมือนกับ เขาเป็นตัวที่ใช้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณา มันไม่ใช่ตัวที่จะมาทำจริงแค่นั้นเอง • ยันไม่คิดล้มรัฐบาลปู ทหารทำไปตามหน้าที่ นายกรณ์กล่าวต่อว่า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของการล้มรัฐบาล ไม่ใช่จริงๆ จากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลประชาชน ซึ่งมีความรู้สึกว่ารัฐบาลห่างเหินประชาชนมาก ตนแทบไม่เห็นบทบาทของสำนักนายกฯ เลย ตอนน้ำท่วมสมัยเรา ทหารก็ส่วนทหาร สำนักนายกฯ ก็ส่วนสำนักนายกฯ และภาคประชาชนก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ครั้งนี้มีทหาร มีภาคประชาชน และตนอยากจะเสริมด้วยซ้ำว่ามีฝ่ายค้าน แต่บทบาทของรัฐบาลในการลงไปช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่ค่อยเห็น เหมือนกับเขาพึ่งพาทหารให้ทำแทน ซึ่งมันไม่เห็นลีดเดอร์ชิป (ภาวะผู้นำ) ใครเป็นคนนำ ใครเป็นตัวละครเอก น่าแปลกใจว่าทำไมไม่มี กลายเป็นปัญหาเรื่องของบริจาคอะไรต่างๆ กลายเป็นว่าเสื้อแดงคุม เมื่อถามว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทหารโดดเด่นขึ้นมาหลังเคยถูกคนบางส่วนยี้ใส่ คิดว่ากองทัพจะมีบทบาทอย่างไรหลังจากนี้ นายกรณ์ตอบว่า ก็แค่คนบางกลุ่มที่ยี้ทหาร ตนเห็นทหารปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย ตามสิ่งที่เขาคิดว่าเขาควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบมาตลอด แต่ครั้งนี้มันมีนัยยะทางการเมืองน้อยกว่า คือไม่มีเลย ในแง่บทบาทของทหาร มันจึงทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้นว่าทหารมีไว้ช่วยประชาชน ก็เป็นเรื่องที่ดี ตนเชื่อว่าลึกๆ คนไทยส่วนใหญ่มองทหารในทางบวกมากๆ มองว่าเป็นที่พึ่งได้มากกว่าสถาบันทางการเมืองด้วยซ้ำไปหากดูประวัติศาสตร์ของไทย เมื่อถามว่า คนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์กับกองทัพตัดกันไม่ตายขายกันไม่ขาด เป็นไปได้หรือไม่ที่กองทัพจะเป็นตัวช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจในทางการเมืองอีกครั้ง นายกรณ์ตอบว่าไม่เกี่ยวกันเลย ต้องเอาความจริงมาพูดกัน หากวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งที่ออกมา จะเห็นว่าในเขตทหารส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นการเหมารวมมันเป็นเรื่องของจินตนาการทางการเมือง ที่พยายามโยงพรรคประชาธิปัตย์เข้ากับอะไรก็ไม่รู้ ตนไม่คิดว่าเป็นประเด็น นอกจากฝ่ายตรงข้ามพยายามกุขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเกลียดชังทั้งพรรคประชาธิปัตย์และทหาร เลยกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับทั้งที่แต่โดยข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น • กังขางบ 9 แสนล้านเอาไปทำอะไร? เมื่อถามว่า หลังน้ำลดวิกฤตที่รัฐบาลต้องเผชิญคืออะไร นายกรณ์ตอบว่าเรื่องความเชื่อมั่นสำคัญมาก มันก็มีคำถามแน่นอนว่า แล้วจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า นักลงทุนเขาต้องถาม และเขาต้องมีสมมุติฐานก่อนเลยว่าจะเกิด เพราะเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศเป็นสิ่งที่นานาประเทศสนใจ และถ้ามันมีโอกาสเกิดขึ้นอีก คำถามคือเราพลาดไปอย่างไร มีอะไรจะเร่งทำเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องเสนอ “แต่นี่ยังไม่ทันไร คุณบอกแล้วว่าจะใช้เงิน 8-9 แสนล้านบาท ซึ่งผมมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเขายังไม่รู้เลยว่าจะเอาเงินไปทำอะไร หรือถ้าบอกว่ารู้แล้ว ก็ทำตามที่หาเสียงไว้ไง ลาก่อนน้ำท่วม ซึ่งมันตอบโจทย์ผิด ดังนั้นยังไม่ทันไร ผมว่าเขาเริ่มจะทำลายความเชื่อมั่นของก้าวต่อไปในการฟื้นฟู เยียวยา และป้องกัน เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่ามีประเด็นการเมือง มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเป็นตัวนำมากกว่าตัวสาระ ตอนนี้พยายามเบี่ยงเบนปัญหาเฉพาะหน้า เพราะรู้ว่ามันเละแล้ว ก็เลยดันให้คนไปพูดถึงเรื่องอนาคต แต่มันไม่ใช่ครับ วันนี้ยังไม่จบ คุณเอาตรงนี้ให้จบก่อน” นายกรณ์กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 10:06:28 บิณฑ์ เห็นอะไรที่ ศปภ.ดอนเมือง http://www.youtube.com/watch?v=_Xnp2OaEvxs&feature=player_embedded หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 10:34:46 พิรุธจัดซื้อจัดจ้าง"ปภ." แกะรอย2บริษัทรับเหมา วันที่"ถุงยังชีพ"ส่งกลิ่น
วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เ หมายเหตุ - ภายหลังพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อถุงยังชีพ สิ่งของอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่อนุมัติโอนเงินบริจาคจำนวน 158 ล้านบาท จากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้ทำการจัดซื้อสินค้าหลายรายการ เฉพาะในรายการถุงยังชีพ จำนวน 1 แสนถุง ราคาถุงละ 800 บาท วงเงิน 80 ล้านบาท มีการจัดซื้อสินค้าหลายรายการเพื่อบรรจุในถุงยังชีพ ปรากฏว่ามีราคาแพงกว่าราคาท้องตลาด และมีบริษัทเพียง 2 รายรับงานคือ ร้านเอื้อธนพัฒน์ รับจัดหา 4 หมื่นถุง วงเงิน 32 ล้านบาท และ หจก.พูนเจริญพาณิชย์ รับจัดการ 6 หมื่นถุง วงเงิน 48 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม พบข้อมูลว่าทั้ง 2 บริษัทประสบปัญหาสภาพคล่อง และมีภาวะขาดทุนสะสมหลายปีติดต่อกัน ล่าสุดผู้สื่อข่าว "มติชน" ได้ตามแกะรอยที่มาในการเสนอเรื่องจัดซื้อของ ปภ. ก่อนที่บริษัทเอกชนทั้ง 2 แห่ง จะได้งานนี้ไป พบความผิดปกติในขั้นตอนจัดทำใบเสนอราคาและใบเสร็จ นอกจากนี้ ยังพบผู้ถือหุ้นในบริษัทรายหนึ่งมีนามสกุลเดียวกับอดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้วย จากการตรวจสอบเอกสารขออนุมัติจัดซื้อสิ่งของอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 8 รายการ ตามบันทึกข้อความของกองคลัง กลุ่มงานพัสดุและการจัดซื้อ เลขหนังสือที่ มท.0603 (พจ.) 6014 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2554 มีความขัดแย้งกับคำพูดของนายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดี ปภ. ที่ระบุถึงวงเงินในการจัดซื้อถุงยังชีพว่า "ไม่เกิน 80 ล้านบาทแน่นอน" เนื่องจากในบันทึกดังกล่าวได้อ้างถึงบันทึกด่วนที่สุดที่ มท. 06107/6461 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2554 สำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย แจ้งให้กองคลังดำเนินการจัดหาสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 9 รายการ (ตัดข้อเสนอให้จัดซื้อสุขามือถือพลาสติกออกไป 1 รายการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาในการส่งมอบภายใน 7 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับใบสั่งซื้อ ต่อมากองคลังได้ประสานกับผู้ที่มีอาชีพขายสิ่งของให้มาเสนอราคา จำนวน 9 รายการข้างต้น แต่ปรากฏว่ามีผู้เสนอราคาจำนวน 8 รายการ ซึ่งในส่วนของถุงยังชีพมีผู้เสนอราคาเข้ามา 2 ราย เป็นที่น่าสังเกตว่าการอนุมัติจัดซื้อ ตั้งแต่เอกชนเสนอราคา ส่วนราชการออกใบสั่งซื้อ ล้วนดำเนินการเสร็จสิ้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2554 ทั้งหมด ทั้งนี้ ในใบเสนอราคาของร้านเอื้อธนพัฒน์ พบข้อสังเกตคือ ใบเสนอราคาเลขที่ 032/54 รายการข้าวสาร 100 เปอร์เซ็นต์ และสินค้าอุปโภคอื่น ลงที่อยู่เลขที่ 78 ม. 4 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลทะเบียนการค้าจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าที่อยู่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบริษัท โรงสีเอกไรซ์ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการให้เช่าโกดังสินค้า ขณะที่ในใบเสร็จรับเงินของร้านเอื้อธนพัฒน์ที่ออกให้ ปภ. หลังรับเงิน เลขที่ A 026/54 กลับลงที่อยู่ 9/12 ม.5 ถ.ราชพฤกษ์ ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งไม่ตรงกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าในใบเสนอราคาของร้านเอื้อธนพัฒน์ ได้เสนอราคารายการข้าวสารชนิด 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดบรรจุ 5 กิโลกรัม ราคาถุงละ 192 บาท ในใบเสร็จรับเงินกลับระบุเป็นรายการข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ แต่เก็บเงินในราคาเท่ากัน ส่วน หจก.พูนเจริญพาณิชย์ นอกจากจะได้งานถุงยังชีพไปแล้ว ยังได้ขายเรือไฟเบอร์กลาสกับ ปภ.อีก นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ ปภ.ได้จัดซื้อจากเอกชนหลายราย อาทิ เต็นท์นอนหลายขนาด สุขาเคลื่อนที่ สุขามือถือกระดาษ รวมถึงเรือไฟเบอร์กลาส ในส่วนของการจัดซื้อสุขามือถือกระดาษ 3 หมื่นชุด ราคาชุดละ 245 บาท วงเงิน 7,350,000 บาทนั้น จัดซื้อจากบริษัท เติมคอร์ปอเรชั่น (2008) จำกัด ซึ่งพบข้อมูลทะเบียนการค้า ระบุมีที่ตั้งบริษัทที่เดียวกับ หจก.พูนเจริญพาณิย์ ที่ขายถุงยังชีพและเรือไฟเบอร์กลาสคือ เลขที่ 11/11 ม.9 ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. หมายเลขโทรศัพท์ 0-2457-7467 เมื่อผู้สื่อข่าวลองโทรศัพท์ไปยังหมายเลขดังกล่าว ปรากฏว่าไม่มีใครรับสาย ขณะที่เมื่อโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 0-2889-3628 ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของ หจก.พูนเจริญฯ (www.pooncharoen.com) ปรากฏว่ามีเสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติระบุว่า "สวัสดีค่ะ ห้างหุ้นส่วนจำกัดพูนเจริญพาณิชย์ กด 1 บริษัทเติมคอร์ปอเรชั่น กด 2 ส่งแฟกซ์ กด 3 ติดต่อโอเปอเรเตอร์ กด 0 ค่ะ" แต่ก็ไม่มีใครรับสายเช่นกัน สำหรับ หจก.พูนเจริญฯ จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยระบุว่าประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายพลาสติก-ค้าปลีก ขณะที่บริษัทเติมฯ ระบุว่าประกอบกิจการบดย่อยเศษพลาสติก ซึ่งทั้ง 2 บริษัทปรากฏชื่อกรรมการผู้จัดการเป็นคนเดียวกันคือ นายบุญเติม โนนจันทร์ เมื่อตรวจสอบงบการเงินของบริษัทเอกชนที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุจริตการจัดซื้อถุงยังชีพ 5 ปีหลังสุด พบสิ่งที่น่าสนใจ ดังนี้ หจก.เอื้อธนพัฒน์ (AUEA THANAPHAT LTD.,PART.) ปี 2549 มีรายได้ 337,630 บาท รายจ่าย (จากต้นทุนขายและ/หรือบริการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) 600,903 บาท รวมขาดทุน 263,273 บาท ปี 2550 มีรายได้ 407,342 บาท รายจ่าย 686,237 บาท รวมขาดทุน 278,895 บาท ปี 2551 มีรายได้ 511,226 บาท รายจ่าย 779,329 บาท รวมขาดทุน 268,103 บาท ปี 2552 มีรายได้ 369,317 บาท รายจ่าย 626,864 บาท รวมขาดทุน 257,547 บาท ปี 2553 มีรายได้ 313,137 บาท รายจ่าย 587,333 บาท รวมขาดทุน 274,196 บาท จะเห็นได้ว่า หจก.เอื้อธนพัฒน์ประกอบธุรกิจขาดทุนมาตลอด 5 ปีหลัง และเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละปีเพียง 1 ล้านบาทเศษเท่านั้น แต่กลับสามารถจัดหาถุงยังชีพให้กับ ปภ.จำนวน 4 หมื่นถุง มูลค่า 32 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 7 วันตามใบสั่งซื้อของ ปภ.ได้ ขณะที่ หจก.พูนเจริญพาณิชย์ (POON CHAROEN PANICH LIMITED PARTNERSHIP) ปี 2549 มีรายได้ 10,821,450 บาท รายจ่าย 10,019,914 บาท รามกำไร 801,536 บาท ปี 2550 มีรายได้ 29,098,950 บาท รายจ่าย 30,970,261 บาท รวมขาดทุน 1,874,311 บาท ปี 2551 มีรายได้ 3,032,366 บาท รายจ่าย 4,020,444 บาท รวมขาดทุน 988,078 บาท ปี 2552 มีรายได้ 85,709,520 บาท รายจ่าย 82,060,446 บาท รวมกำไร 3,649,074 บาท ปี 2553 มีรายได้ 100,460,681 บาท รายจ่าย 102,902,198 บาท รวมขาดทุน 2,441,517 บาท หากดูรายรับและรายจ่าย รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนของ หจก.พูนเจริญพาณิชย์ พบว่าไม่น่ามีปัญหาในการจัดหาถุงยังชีพให้กับ ปภ.จำนวน 6 หมื่นถุง มูลค่า 48 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 7 วัน แต่สิ่งที่น่าสนใจกลับเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคือ น.ส.พุฒมาลย์ ศรีสันต์ เพราะมีนามสกุลเดียวกับนายสามชาย ศรีสันต์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยชุดแรก (20 ก.ย.2550-20 ก.ย.2551) อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อถุงยังชีพ สิ่งของอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้ง 8 รายการได้ดำเนินการภายใต้งบประมาณ 135,877,500 บาท โดยผ่านการตรวจรับพัสดุจากคณะกรรมการ 3 คน มีนายภูมิชาย อินทรวิเชียร นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นประธาน มีนายปิยะ วงศ์ลือชา ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองคลัง เป็นผู้เสนอเรื่องต่ออธิบดี ปภ. ก่อนที่นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดี ปภ. ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดี ปภ. จะเป็นผู้ลงนามอนุมัติในที่สุด หน้า 2,มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2554 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 10:44:51 คุณหมอประเสริฐ ทองเจริญ" ชำแหละ 4 นิสัย(เน่า)เสียของคนไทยที่แก้ไม่หาย
คนไทยเชื่ออะไรง่ายๆ จริงไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เชื่อไปแล้ว ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับคนไทย 4 เรื่อง 1) คนไทยเชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ไม่สอบสวนว่า ต้นตอมาอย่างไร เช่น ถ้ามีคนไปลือว่า คุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) เป็นผู้ขายแปลงเพศมา อาจจะมีคนเชื่อ และบอกว่า ปกติ ตระกูลนี้ต้องคางเหลี่ยม จะสวยได้อย่างไร คนไทยเชื่อข่าวลือมาก เชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ของจริงมีคนชี้แจงจะไม่ฟัง ข่าวร้ายมาที่ 1 ข่าวลือมาที่ 2 สิ่งที่ผมไม่ชอบมากขณะนี้คือ อยากได้ของฟรี คนขายหวยถึงรวย กล้วยออกปลีกลางต้น ก็ไปขูดเลข ไหว้ ต้นไทรมีอะไรออกมาผิดปกติ ก็ไปไหว้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยอยู่เฉย ๆ แล้วรวย ผมว่า ไม่มี ตอนนี้ผมนั่งดูอีเมลล์และเก็บพวก Spam ทุกวัน ผมกำลังเก็บไว้ พวกต้มตุ๋นทั้งหลาย เช่น ท่านถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านดอลลาร์ ผมก็ถามตัวเองว่า ผมไปทำอะไรถึงถูกหวย Yahoo โปรโมชั่น ผมก็ไม่เคยใช้ Yahoo เขาจะให้โปรโมชั่นผมได้อย่างไร บางทีมีเรื่องธนาคารในอัฟริกาจะโอนเงินมาให้ ผมจะนำมาวิเคราะห์ และพิมพ์แจกว่า ผมไม่เชื่อเพราะอะไร ตอนนี้มีเมียคนที่ 2 ของกัดดาฟี จะเอาเงินออกจากประเทศอย่างไร ช่วยรับไว้หน่อยได้หรือไม่ ภรรยาคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจก็มี เป็นลูกสาวคุณวัฒนา อัศวเหมก็มี ผมจะวิเคราะห์ให้ฟัง ว่าคนพวกนี้เขาไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก เขาจะลงทุนโยกย้ายอะไรเขามีวิธีทำ ถ้าเขาเชื่อให้ผมทำ แสดงว่า เขาอยากจะเจ็งเร็ว ๆ ผมจะมีปัญญาไปทำอะไร ประโยคชอบขึ้นว่า Can I trust you ถ้ามึงเชื่อกูก็โง่เต็มที่ เรื่องไม่ดีของคนไทยเรื่องที่สามคือ วิสัยทัศน์มองใกล้ ไม่ค่อยมองไกล ผมไม่ได้ว่า ทุกคน คนส่วนหนึ่งชอบชักจูงคนส่วนใหญ่ให้เชื่อตาม คือ คนมองใกล้ไม่มองไกล เรื่องไม่ดีเรื่องที่สี่ของคนไทยคือ คนไทยนับถือคนรวย เห็นว่า คนรวยเป็นคนดี แม้แต่พระในวัดดังองค์หนึ่ง ที่ผมทราบเรื่องนี้ เพราะพ่อเพื่อนผมเป็นคนนำมาบวช จนได้เป็นพระดังอยู่ในเขตกรุงเทพฯ มีโยมอุปัฏฐากไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังคุณพ่อพระไม่ไป เวลาคนจะมาหา ให้ลูกศิษย์ไปดูว่า คนที่จะมาพบนั่งรถอะไรมา เสียพระไปแล้ว คนเขาจะเดินมา หรือพายเรือมาก็เป็นเรื่องของเขา มันจะมาหาที่พึ่งทางใจก็ให้เขาพบสิ นี่ขนาดเป็นพระ แล้วคนธรรมดา ผมเคยด่าพระในใจครั้งหนึ่ง ทนไม่ไหว สมัยที่ใครต่อใครไปรุมที่วัดพระธรรมกาย มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่อยู่วัดนี้ ได้รับรถเบนซ์จากวัดพระธรรมกาย ก็มีหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ว่า จริงหรือไม่ว่า วัดดังกล่าวเอารถมาถวายท่าน พระองค์นั้นตอบว่า ผิดด้วยหรือที่อาตมาจะนั่งรถเบนซ์ ผมดูทีวีแล้ว หลุดปากออกมาทันที่ว่า ผิดตั้งแต่แม่เอ็งคลอดเอ็งออกมา ทำไมไม่ให้สำลักน้ำคร่ำตาย ไม่ใช่ผิดวันนี้ มันผิดตั้งแต่ตอนเกิดแล้ว เป็นพระผู้ใหญ่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร ควรจะพูดว่า ได้รับกิจนิมนต์ต้องเดินทางบ่อย ปลอดภัยดี ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่กลับตอบว่า ผิดด้วยหรือ ที่อาตมานั่งรถเบนซ์ ผมรับไม่ได้ คือ มันแสดงให้เห็นว่า คนรวยคือ คนดี บางคนอาจจะรวยขึ้นมาด้วยการค้าของผิดกฎหมาย ฟอกเงิน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 19:21:14 แฉวง ครม.แอบซุกร่าง พ.ร.ฎ.ขออภัยโทษ “ทักษิณ” แก้หลักเกณฑ์เอื้อชัด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ แฉ “ปู” อาศัยจังหวะชุลมุนช่วยพี่ชาย ทำทีร่วมประชุม ครม.ไม่ทัน ส่งซิก “เหลิม” นั่งหัวโต๊ะดันวาระลับแก้ พ.ร.ฏ.ขอพระราชทานอภัยโทษ “นช.แม้ว” ก่อนวางเกณฑ์ใหม่อายุเกิน 60-ต้องโทษไม่เกิน 3 ปี-ไม่ต้องติดคุก ได้รับอภัยโทษ 5 ธันวาฯ นี้ ชี้เอื้อ “ทักษิณ” ชัด ปูดแผนกัน “ยิ่งลักษณ์” พ้นข้อครหา อ้าง ฮ.ไร้เรดาร์บินกลางคืนไม่ได้ แต่เตรียมชุดพร้อมค้างคืน กองทัพยัน ฮ.รัสเซียสมรรถนะพร้อม วันนี้ (15 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.) โดยอ้างว่าเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาร์นำทางนั้น จากกรณีดังกล่าวแหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยโดยยืนยันว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาร์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาร์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯ สามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่านายกฯ น่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืน แล้วอ้างเรดาร์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (15 พ.ย.) ทันทีที่คณะของนายกฯ และสื่อมวลชนเดินทางมาถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) ทุกคนในคณะต่างสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความและตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยสีน้ำเงินชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะให้คณะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี ไว้แล้ว เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินมาถึงในเวลา 11.00 น.และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังคงประชุมอยู่ แต่ปรากฎว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่เข้าร่วมประชุม แต่ใช้เวลาช่วงดังกล่าวบันทึกเทปสัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมอาเซียน จากนั้นเมื่อเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้เดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐสภา แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้มีวาระจร “ลับ” ในการพิจารณาและลงมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.... ซึ่งจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการเข้ารับพระราชทานอภัยโทษ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 โดยเป็นการประชุมลับ มีการเชิญเจ้าหน้าที่ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกทั้งหมด เหลือเพียงคณะรัฐมนตรีเท่านั้น รวมทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และยังมีการดึงเอกสารออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ตามระบบปกติอีกด้วย รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเนื้อหาที่คณะรัฐมนตรีไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น มีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการรับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการออกกฎหมายอภัยโทษ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จากการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรม ก็ได้มีการโยกย้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง พ.ต.ท.สุชาติ วงศ์อนันตชัย มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน พร้อมกับยังมีการปรับปรุงโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ให้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษในคดีการเมือง เพื่อเตรียมใช้เป็นสถานที่คุมขัง พ.ต.ท.ทักษิณ ในระยะสั้นๆ อีกด้วย รายงานข่าวแจ้งว่า ในความเป็นจริง ร.ต.อ.เฉลิมได้รับมอบหมายให้เป็นรองนายกฯคนที่ 3 ต่อจากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ คนที่ 1 ซึ่งเดินทางร่วมคณะกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ คนที่ 2 ซึ่งติดภารกิจเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แปซิปิก (เอเปก) ที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เมื่อรองนายกฯ 2 ลำดับแรกไม่อยู่ หน้าที่การเป็นประธานในที่ประชุมจึงตกมาถึง ร.ต.อ.เฉลิม โดยก่อนหน้านี้ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลได้มีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม เข้ามาเป็นรองนายกฯ เพื่อดูแลเรื่องการขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง อีกทั้งรัฐบาลยังต้องการอาศัยช่วงชุลมุนที่พรรคฝ่ายค้านและประชาชนยังให้ความสนใจเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในการเดินหน้าเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเห็นว่าหากรอให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ การเดินเรื่องขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกระชั้นชิดเกินไป และอาจไม่สำเร็จ รวมไปถึงการอาศัยช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ดำเนินการเดินหน้าเรื่องนี้ เพื่อกันไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง หลีกเลี่ยงข้อครหาจากสังคมในการเอื้อประโยชน์ให้พี่ชายตัวเองด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 22:52:27 “ปู”ไม่รู้ ครม.ลักไก่ช่วย“พี่แม้ว” -รมต.พร้อมใจกันใบ้ “เหลิม”ไล่นักข่าว“ไม่ต้องมาถาม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ รมต.นัดกันเลี่ยงตอบ ลักไก่ออก พ.ร.ฏ.อภัยโทษ เอื้อ“นช.แม้ว” “เฉลิม” ฉุนความลับรั่ว อารมณ์เสียใส่สื่อ “พิชัย”บอกพูดไม่ได้ เดี๋ยวเขาตีปาก ด้าน“ปลอดประสพ” ยกคติพจน์ลูกเสือ เมื่อเป็นประชุมลับก็พูดไม่ได้ ขณะ“ยงยุทธ” ลอยตัว ตามนายกฯ ไปสิงห์บุรี อ้างไม่เห็นวาระประชุม “หมอวรรณรัตน์” ยกมือยอมแพ้โนคอมเมนต์ ด้าน “ยิ่งลักษณ์”ปัดไม่ทราบเรื่อง โบ้ย“เฉลิม”แจงรายละเอียด ช่วงเย็นวันที่ 15 พ.ย. ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีวาระการประชุมลับเรื่องการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักพยายามติดต่อสอบถามรัฐมนตรีที่ร่วมประชุมถึงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ทำเป็นหน้าที่ประธานในการประชุม ครม.นัดนี้ และกำลังอยู่ระหว่างร่วมประชุมที่รัฐสภา แต่ ร.ต.อ.เฉลิมได้ปฏิเสธที่จะพูดกับผู้สื่อข่าวที่โทรศัพท์เข้าไปสอบถาม โดยกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างมีอารมณ์ว่า “ไม่พูด ไม่คุย ไม่ต้องมาถาม แล้วก็ไม่ต้องมาหาด้วย” ขณะที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แสดงความแปลกใจขณะที่เดินทางเข้าร่วมประชุมที่รัฐสภา โดยกล่าวเพียงว่า “รู้กันได้อย่างไร เดี๋ยวเขาตีปากเอา เขาใม่ให้พูด” เช่นเดียวกับนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ลูกเสือเสียชีพ อย่าเสียสัตย์ มันเป็นการประชุมลับ ไม่รู้เรื่อง ขออนุญาตนะครับ” ด้าน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น โดยออกตัวว่าตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะร่วมคณะไปกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี และเพิ่งกลับมาในช่วงสายวันนี้ ทั้งยังดึงผู้สื่อข่าวที่ร่วมคณะไปด้วยมายืนยันว่า ไปมาด้วยกัน ทำให้ไม่ทราบเรื่อง รวมทั้งยังไม่เห็นวาระการประชุมด้วย ส่วน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อพบกลุ่มสื่อมวลชนที่ดักรออยู่หน้าห้องประชุมรัฐสภา พร้อมถามว่าได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้าด้วยหรือไม่ ทำให้ นพ.วรรณรัตน์ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนยอมแพ้ แล้วพูดว่า “โนคอมเมนต์” ก่อนจะเดินหนีขึ้นรถออกไปทันที ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปฏิเสธ ไม่ทราบเรื่องที่คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมลับพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ พ.ศ.... โดยนายกรัฐมนตรี ตอบเพียงสั้นๆ ว่า ขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ที่ ครม.ได้พิจารณาเป็นวาระประชุมลับดังกล่าว ได้ระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้น ยังมีการตัดเงื่อนไขแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตการซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกจะเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเป็นการเอือประโยชน์ได้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 22:56:07 'พีรพันธุ์'เผยรมต.ให้ข้อมูลถกลับตัดม.4 พ.ร.ฎ.อภัยโทษ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ อดีตรมว.ยุติธรรม ชี้ผู้ที่ไม่เคยถูกจำคุก หลบหนีทั้งหลาย ได้รับอานิสงค์ และพ้นความผิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ยุติธรรม เขียนข้อความผ่านเฟสบุ๊ค "Pirapan Salirathavibhaga" ระบุถึงกรณีการประชุมลับของ ครม.วันที่ 15 พ.ย.2554 ซึ่งมีการพิจารณาพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2553 ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ว่า ผมแปลกใจที่ภารกิจนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ทำไมกองทัพบกถึงไม่ได้จัดเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์คให้ใช้ แต่กลับให้ ฮ.ที่ไม่มีเครื่องเดินอากาศในเวลากลางคืนเป็นพาหนะ และถ้าการเดินทางกลับกลางคืนไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลนั้น ทำไมเช้านี้ นายกฯจึงไม่กลับมาให้ทันประชุม ครม. ผมเองชักสงสัยแล้วว่ากลับไม่ทันจริงๆ หรือว่ามีวาระซ้อนเร้นอะไรเป็นพิเศษในการประชุม ครม.จึงต้องให้คนอื่นเป็นประธานที่ประชุมแทน จะเกี่ยวอะไรกับการมีมติชนิดเป็นประโยชน์ส่วนครอบครัวนายกฯหรือไม่ จะใช่เรื่องที่ประชุมลับในขณะนี้หรือไม่ อีกไม่นานก็จะรู้กัน แล้วเรื่องที่ผมสงสัยก็กลายเป็นจริง คิดว่าอีกสักครู่คงมีรายละเอียดเผยแพร่ ไม่น่าเชื่อว่าในยามที่ประชาชนทุกข์ยากจากน้ำท่วม ยังจะกล้าทำอย่างนี้อีก แล้วที่ต้องไปค้างคืนโดยอ้างว่าบินกลางคืนไม่ได้ กลายเป็นเรื่องจัดฉาก ภารกิจนี้เพื่อพี่จริงๆ จับตาพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแบบทั่วไปประจำนี้ มีการเปลี่ยนเงื่อนไขคุณสมบัติผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ จะลดเกณฑ์เพื่อช่วยใคร อย่างไร นักโทษคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะเข้าเกณฑ์ได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกานี้หรือไม่ ครม.ต้องมีคำตอบ กระทั่งเวลาประมาณ 21.30 น.นายพีระพันธุ์ เขียนข้อความอีกครั้งระบุว่า "ครม.ที่ไม่เห็นด้วยบางคน แอบเล่าว่าร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุม ครม.วันนี้ ได้ตัดมาตรา 4 ที่เคยเขียนเอาไว้ในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแบบเดียวกันนี้ทุกฉบับที่ผ่านมา ซึ่งของเดิมจะระบุว่าผู้ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องเป็นผู้ซึ่ง "ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ" ออกไปทั้งหมด ซึ่งแปลว่าผู้ที่ไม่เคยถูกคุมขังหรือถูกจำคุก เช่น ผู้ที่หลบหนีการจำคุกทั้งหลาย ก็จะได้รับอานิสงค์และจะพ้นความผิดไม่ต้องถูกจำคุกไปทั้งหมด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติจริงๆ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ครม. ถึงต้องปิดเงียบและทำเป็นเรื่องลับทั้งๆที่การออกพระราชกฤษฎีกาเช่นนี้ตามปกติไม่เคยทำเป็นเรื่องลับและไม่เคยต้องประชุมลับ ระดับลับสุดยอดด้วย" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 พฤศจิกายน 2554, 23:03:38 ครม.ถกลับผ่านกม.อภัยโทษ"ทักษิณ"
posttoday.com สะพัด!ครม.พิจารณาลับช่วงท้ายการประชุมผ่านร่างพรฎ.อภัยโทษ เผยหลักเกณฑ์เอื้อประโยชน์ให้ "ทักษิณ" พ้นผิด "ยิ่งลักษณ์"อ้างไม่รู้เรื่อง โยน"เฉลิม"แจง แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) อภัยโทษเนื่องในวรโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยได้พิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องลับช่วงท้ายการประชุมครม. ทั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เสนอเรื่องเข้าที่ประชุมเป็นวาระจร เพื่อพิจารณา และ หลังเสร็จสิ้นการประชุมก็ได้เรียกเอกสารเรื่องนี้คืนจากรัฐมนตรีที่เข้าประชุมทั้งหมด แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า การประชุมลับครั้งนี้ครม.ได้พิจารณาเรื่องอื่นด้วยทำให้เกิดความสับสนว่ามีการพิจารณาเรื่องพรฎ.อภัยโทษหรือไม่ เมื่อได้ตรวจสอบกับรัฐมนตรีบางคนก็ได้รับการยืนยันว่าที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้และได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วจริง "พรฎ.อภัยโทษกรรมดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษไว้ดังนี้ คือ ผู้ต้องโทษที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และไม่จำเป็นต้องได้รับโทษมาก่อน ซึ่งตามหลักเกณฑ์นี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะอยู่ในข่ายได้อภัยโทษทันที"รัฐมนตรีคนหนึ่งระบุ อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบกับรัฐมนตรีสายพรรคเพื่อไทยบางคนก็ปฏิเสธว่าเป็นการประชุมลับเรื่องอื่น อนึ่งการประชุมครม.วันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยโดยได้มอบให้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมแทน ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเพียงสั้นๆว่า "ยังไม่รู้รายละเอียดเลยค่ะ ขอให้ท่านเฉลิมเป็นคนชี้แจง" นายศิริโชค โสภา ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กSirichok Sophaว่า"ผมมีลางสังหรณ์อยู่แล้ว ว่าทำไมนายกปูถึงแกล้งไม่มาประชุมครม.อ้างว่าฮ.ไม่มีเรดาร์ปรากฎว่าวันนี้มีครม.มีการประชุมลับ ไล่เจ้าหน้าที่ออกจากห้องหมด และมีการผ่านพรฎ. อภัยโทษ เรียบร้อยแล้ว เป็นวันที่เศร้าที่สุดวันหนึ่งของประเทศไทย" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 14:15:44 น้ำใจจากจีน-ความไม่โปร่งใสของรบ.?
ขอให้ทุกคนเข้มแข็งและเก็บพลังไว้ให้ดี พวกเราคงได้รวมพลังกันแน่ในอนาคต บทความข้างล่างนี้ หากเป็นจริง แสดงให้เห็นได้ว่า เราอยู่ใต้การนำของกลุ่มคนที่แสนโง่และแสนทราม อย่างไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี *โง่เสียจนคิดว่าประชาชนโง่เหมือนพวกเขา จะไม่รู้ข่าว รู้คิด รู้แค้น รู้เอาคืน บ้าง... ฯลฯ *ทรามเสียจนทุกลมหายใจเข้าออก- แม้ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติ และชาติ ทุกข์ยากแสนสาหัสอยู๋ในภาวะตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในทุกด้าน-ในปัจจุบันขณะ- ยังมีแก่ใจคิดถึงการโกงกิน เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงใหญ่ๆ ฯลฯ ขอสาปแช่งเหมือนที่ ส.ส.หญิง ในสภาคนหนึ่งสาปไว้กลางสภา วันที่ 10-11-2554 ว่า ขอให้พวกนี้ พร้อมลูกหลาน-บรรพบุรุษ ถอยลงมา-ขึ้นไป ไม่น้อยกว่าสามชั่วคน จงประสบความพินาศฉิบหาย ไม่ว่าจะในภพนี้ หรือ ภพหน้า *ภพนี้ก็ขอให้ไม่ได้มีโอกาสใช้เงิน/ผลประโยชน์ที่โกงมา ขอให้เป็นอัมพาต นั่งกินนอนกิน(ไม่ได้ด้วยตนเอง) ทรมานตนและลูกหลานญาติมิตรอยู่นานๆ ฯลฯ *ภพหน้าก็ขอให้ไม่พ้นจากเปรตภพ ฯลฯ ขอให้ประเทศชาติของเราเจริญรุ่งเรืองขึ้น ในเร็ววัน โดยปราศจากกาฝากของชาติพวกนี้..... ************************************************************************************************************* น้ำใจจากจีน-ความโปร่งใสของรัฐบาล: ขยายปมร้อน โดยศรายุทธ สายคำมี sarayut@nationgroup.com ถึงน้ำจะยังไม่ลงไปทะเลแต่ยังคงนองอยู่ในทุ่งรอวันกระหน่ำคนเมืองหลวงอยู่ แต่คนไทยทั้งประเทศก็คงจะรับรู้แล้วว่า น้ำใจนั้นบ่าท้นจนล้นใจผู้ประสบภัย ถึงแม้ว่าหลายพื้นที่ความช่วยเหลือจะยังไปไม่ถึงก็ตาม จีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ต้องเรียกว่า เป็นมหามิตรของประเทศไทย นับแต่เกิดมหาอุทกภัยตั้งแต่เริ่มต้น จีน โดยผ่านเอกอัคราชทูตจีนประจำประเทศไทย ก็ประสานให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ และเงินสด โดยครั้งแรก นายหลิว หนิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงชลประทานของจีน ก็มาแนะนำถ่ายทอดประสบการณ์จากวิกฤติการณ์น้ำท่วมในจีน รัฐมนตรีของจีนบอกว่า มีภาษาจีนอยู่ 6 ตัว ซึ่งเป็นปรัชญาของคนจีนในการอยู่กับน้ำ คือ ซ่างซวี่ จงซู เซี่ยผาย ซึ่งก็คือ การกักเก็บช่วงบน-ขุดลอกช่วงกลาง-ระบายช่วงล่าง ความจริงสิ่งที่รัฐมนตรีจีนว่ามานั้น ก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ใครที่พอจะอ่านออกเขียนได้ ฟังแล้วก็น่าจะเข้าใจได้ดีว่า กักเก็บช่วงบนนั้น หมายถึงอะไร ขุดลอกช่วงกลาง หมายถึงอะไร ส่วนระบายช่วงล่างนั้นยิ่งไม่ต้องแปลความ คนไทยทั้งประเทศต่างก็รู้ดีว่า ธรรมชาติของน้ำนั้นไหลลงสู่ที่ต่ำ ก็คือ "ช่วงล่าง" หากอยากจะระบายน้ำลงเร็ว ก็ต้องอำนวยความสะดวก ทำทางระบายให้น้ำ ไม่ใช่ไปตั้งกำแพงกั้น ข้อแนะนำของรัฐมนตรีจีนนั้นมอบให้ตั้งแต่ก่อนที่น้ำจะผ่าน จ.ปทุมธานี แต่จนถึงวันนี้ บ้านเรายังวนอยู่กับการวางถุงทรายยักษ์ หรือที่เรียกว่า "บิ๊กแบ็ก" กันนั่นแหละ แถมเมื่อวันอังคาร นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังไปเซ็นตั้งทีมฝรั่งเป็นที่ปรึกษาในด้านการจัดการน้ำ ทั้งที่แถ่กลับไปทบทวนปรัชญาของรัฐมนตรีจีนที่เขาอุตส่าห์มาถ่ายทอดให้ แล้วไปสั่งการคนทำงานให้ถูกตัวก็น่าจะบรรเทาความเสียหายให้แก่ กทม.ได้บ้าง แต่ก็เลือกที่จะไปจ้างฝรั่งให้เสียเงินเสียทองเสียงบประมาณโดยที่เมื่อนัก ข่าวพยายามถามเหตุถามผล ก็เลี่ยงที่จะชี้แจง ความช่วยเหลือจากจีนนั้นไม่ใช่แค่เพียงถ่ายทอดประสบการณ์หากแต่ยังได้มอบ เงินสด 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็น เรือ เครื่องกรองน้ำ มาให้ในก่อนหน้านี้ แล้วที่สำคัญมีข่าวว่าในช่วงนั้นจีนก็แสดงความจำนงที่จะมอบเครื่องสูบน้ำ ขนาดใหญ่ให้แก่ประเทศไทยอีกด้วย เรื่องนี้มีการแอบกระซิบยืนยันจากกองทัพอากาศที่ในจังหวะนั้น ดอนเมืองยังตั้งกำแพงยันกับน้ำไหว แต่ก็ย่ำแย่เต็มที เพราะยังขาดเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พอมีข่าวว่า จีนจะมอบเครื่องสูบน้ำมาช่วยลูกทัพฟ้า ที่ต้องมาเจอกับมหาอุทกภัย ก็พากันดีใจกันยกใหญ่ แต่ก็ได้แค่ดีใจ เพราะรัฐบาลไทยได้ปฏิเสธความช่วยเหลือตรงนั้น เพิ่งมาถึงบางอ้อ ก็วันที่ 18 ต.ค. สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า ยิ่งลักษณ์ ได้สั่งให้ไปประสานงานกับประเทศจีน เพื่อขอซื้อเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ โดยใช้งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย ซื้อมาแล้วจะไปไว้ที่ไหน ศปภ.จะเป็นผู้พิจารณา ฟรีไม่เอาว่างั้นเถอะ ! ก็ไม่เป็นไร รัฐบาลอาจจะพยายามแสดงให้โลกเห็นว่า น้ำท่วมแค่นี้จิ๊บจ๊อย ..เอาอยู่คร้า...ก็ว่ากันไป แต่คนกองทัพอากาศนี่สิพากันค้อนปะหลับปะเหลือก เพราะรู้กันอยู่ว่า ลงได้สั่งซื้อแล้วก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าเครื่องสูบน้ำจะมาถึง ดอนเมืองก็ไม่รู้เห็นไงแล้ว ในที่สุดดอนเมืองก็เสียเซลฟ์ วันนี้คงไม่กล้าไปยืดอกบอกใครเขาได้ว่าที่นี่มัน "ที่ดอน" ไม่ใช่ที่ลุ่มรับน้ำ ศปภ.ที่ไปตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ที่นั่น จากที่ก่อนหน้านั้นคุยโตว่า ชัยภูมิสุดยอด ก็พากันอพยพหนีน้ำกันจ้าละหวั่น...แน่นอนคนที่คิดใช้ดอนเมืองตั้งศูนย์ บัญชาการ ก็ฉากหลบแว๊บ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปตอบคำถาม เพราะนี่หากเป็นการทำศึกสงคราม การเลือกชัยภูมิเช่นนี้ แล้วถูกตีแตกพ่ายยับ โทษไม่ได้มีแค่ เอาปี๊บคลุมหัวเป็นแน่ ก็เอาเถอะ! เพราะจะว่าไปมันก็เป็นแค่อีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ประสีประสาของ รัฐบาลนี้เท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ความช่วยเหลือของจีนก็ไม่ได้ลดลง หรือคิดอะไรให้มันมากความ ยังคงติดต่อประสานส่งมอบเครื่องสูบน้ำให้ประเทศไทย ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พ.ย. นายกว่าน มู่ เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย บอกว่า ได้ส่งมอบเครื่องสูบน้ำให้ไทย 500 เครื่อง เรือยนต์ ยาฆ่าเชื้อ ประเด็นที่ทูตจีนเอาเครื่องสูบน้ำมาให้นั้นไม่เท่าไหร่ เพราะถือเป็นน้ำใจกันอยู่แล้ว แต่ทูตจีน บอกว่า เครื่องสูบน้ำที่ ยิ่งลักษณ์ สั่งให้ซื้อนี่สิมันน่าคิด เพราะทูตจีนบอกว่า ไม่ได้ผ่านรัฐบาลจีน แต่ไปซื้อผ่านเอกชนจีน ก็คงจะใช้วิธีพิเศษ เพราะเป็นสถานการณ์เร่งด่วน เหมือนๆ กับ ซื้อสุขากระดาษ ซื้อถุงยังชีพ ตามที่เป็นข่าวในก่อนหน้านี้ ที่ได้ราคาสูงเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่า ในสถานการณ์วิกฤติอย่างนี้ ก็ยังคงมีการ "แบ่งๆ กันไป" อย่างสม่ำเสมอ ทูตจีน ยังบอกด้วยว่า เครื่องสูบน้ำที่รัฐบาลสั่งซื้อจากเอกชน ก็คงจะแพงด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นการซื้อในสถานการณ์วิกฤติ น่าสงสารคนไทยจริงๆ ได้รัฐบาลฝึกหัดบริหารประเทศ แล้วยังมีเรื่องเทาๆ ดำๆ ไม่โปร่งใสเข้ามาซ้ำอีก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 15:00:23 ลางหายนะจากการสวดสืบชะตา-สะเดาะเคราะห์
ทักษิณกับลางหายนะจากการสวดสืบชะตา-สะเดาะเคราะห์ และในกรณีเป็นประธานในพิธีทอดกฐินพระราชทานแทนนายกยิ่งลักษณ์ ทำแทนกันได้หรือ สมควรหรือไม่ ในตอนเช้า ผมได้อ่านเอ็นทรี่เรื่อง ทักษิณ..มีสิทธิ์อะไร..มาเป็นประธานทอดกฐินพระราชทาน..แทน...ยิ่งลักษณ์ (ขอบคุณภาพจากอินเดีย...ที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ) เบื้องต้นเลย ผมคิดทันทีว่า ทำแทนกันได้ด้วยหรือ ผมจึงเข้าไปที่เฟสบุ๊คของกคพ. กัลยาณมิตรเครือข่ายวิถีพุทธเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง จากรูปภาพ ซึ่งแน่นอน ย่อมเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะผูกโยงเรื่องราวได้ ภาพต่อไปนี้ ผมจะนำภาพเฉพาะที่มีคำบรรยายมาเผยแพร่ เป็นภาพจากเฟสบุ๊คของ"กคพ. กัลยาณมิตรเครือข่ายวิถีพุทธ (PongThailand)" โดยใช้ชื่ออัลบั้มภาพว่า"ทักษิณ ชินวัตร @ WatPa Buddhagaya" โดยมีคำบรรยายในภาพรวมว่า "วัดป่าพุทธคยา จะจัดงานทอดกฐินในวันที่ ๕ พ.ย.นี้ โดยได้มีกำหนดการที่ นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินทางมาร่วมงาน และพบกับพี่ชายของเธอ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้เดินทางมาถึงแล้วในวันที่ ๔ พ.ย. เพื่อทำพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ตามแบบล้านนา แม้พิธีถวายผ้ากฐินพระราชทานจะเสร็จสิ้นลงในช่วยบ่ายวันที่ ๕ พ.ย. แล้ว แต่ก็ยังไร้เงาของ ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรีผู้เป็นน้องสาว" http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/377335.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd540948_2983269_9208394_9827644photo.jpg) ภาพจากเฟสบุ๊คภาพนี้ ตามป้ายได้มีข้อความบ่งบอกไว้ชัดเจนแล้ว และ ภายใต้คำอธิบายภาพว่า "ป้ายต้อนรับ นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะเดินทางมาทอดผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดป่าพุทธคยา ในวันเสาร์ที่ ๕ พ.ย. ๒๕๕๔ ซึ่งขณะนี้พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้มาถึงล่วงหน้าแล้ว เพื่อทำพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ตามแบบล้านนา"จากภาพทำให้เข้าได้ว่า ทักษิณ ชินวัตร มาร่วมพิธีกรรมในฐานะผู้ร่วมงานคนหนึ่ง โดยนอกจากจะมีการทอดกฐินพระราชทานแล้ว ก็ยังมีงานทำบุญต่ออายุพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ซึ่งจัดเพื่อทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะ ทักษิณได้เดินทางมาล่วงหน้า ๑ วัน คือ วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนงานอัญเชิญผ้ากฐินพระราชทาน ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งนายกจะต้องมาร่วมงานในฐานะผู้แทนพระองค์ถวายผ้าพระกฐิน ขอให้ทุกท่านเอาภาพป้ายของวัดป่าพุทธคยากับข้อความในป้ายนี้ ใช้เป็นหลักนะครับ กับการพิจารณาพฤติกรรมของบุคคล http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/379081.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd595276_6826051_1617985_5239005photo.jpg) กับคำบรรยายใต้ภาพว่า"มาถึงแล้ว พระเอกของงาน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางมาเข้าร่วมพิธีสวดสืบชะตา สะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ที่จัดขึ้นให้เขาเป็นการเฉพาะ แต่ทว่าในระหว่างการสวดได้มีเหตุไฟฟ้าช็อต ทำให้ไฟและเครื่องเสียงดับไปชั่วเวลาหนึ่ง!!!" นี่คือหัวข้อที่วิจารณ์กับการทำบุญของทักษิณ ที่เกิดปัญหาในระหว่างงาน http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297523.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd743261_3431721_9236954_3427706photo.jpg) ใต้ภาพในเฟสบุ๊คมีคำบรรยายภาพว่า"สีหน้าดูมีความกังวล ภายหลังไฟฟ้าช๊อตทำเอาไฟดับและเครื่องเสียงขัดข้องอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง กลางงานสวดสืบชะตาสะเดาะเคราะห์แบบล้านนา ที่จัดขึ้นช่วงดึกวันที่ ๔ พ.ย.๒๕๕๔ ณ วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย"ผมว่าระหว่างนั้น ทักษิณคงจะใจไม่ดีพอสมควร ส่วนใครจะมีความคิดเห็นประการใด ก็ตามสะดวกครับ http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297524.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd497930_6447802_194250_1094799photo.jpg) "ทักษิณ ชินวัตร สีหน้าดูมีความกังวล จนต้องชะโงกดูหน้าต่าง ภายหลังไฟฟ้าช๊อตทำเอาไฟดับและเครื่องเสียงขัดข้องอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง กลางงานสวดสืบชะตาสะเดาะเคราะห์ แบบล้านนา ที่จัดขึ้นช่วงดึกวันที่ ๔ พ.ย.๒๕๕๔ ณ วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย และวันพรุ่งนี้ ตามกำหนดการจะได้พบกับ นายกปู ยิงลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่มาทำบุญทอดผ้ากฐินพระราชาทาน"คำบรรยายภาพระบุไว้ ในที่สุดก็ผ่านงานสะเดาะเคราะห์ของทักษิณไป โดยมีลางเกิดขึ้น จะเป็นดี หรือ ร้าย สุดแท้แต่กรรมดี กรรมชั่วของบุคคล โดยวันต่อมาก็คือวันที่ ๕ พฤศจิายน ๒๕๕๔ ตามอัลบั้มจะเห็นรัฐมนตรีบางคน ปลัด ก.มหาดไทย ส.ส.หลายคน รวมทั้ง น้องชายแท้ๆของทักษิณมาร่วมงาน ผมคงไม่ได้นำภาพมาแสดงทั้งหมด ต้องการชมเพิ่มเติมกรุณาคลิกไปดูภาพที่อัลบั้มบนเฟสบุ๊ค ตามลิงค์นี้ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.2189059574186.2106897.1477998443&type=1 http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297525.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd569653_6661794_6052925_4031731photo.jpg) เมื่อคืนทักษิณนอนพักที่วัดป่าพุทธคยา คำบรรยายใต้ภาพ"กองกำลังตำรวจอินเดียนำอาวุธหนักครบมือและรถจับกุมคุมขัง มาเฝ้าระวังความปลอดภัยหน้าอาคารที่พัก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ภายในวัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย" http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/297526.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd728847_6844352_4927448_272240photo.jpg) มาถึงภาพสำคัญแล้วครับ ที่นายกยิ่งลักษณ์ กับทีมงาน หรือ อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาต่างๆต้องให้คำอธิบายต่อสังคมให้ได้ กับคำบรรยายภาพที่ชัดเจนว่า"เสร็จสิ้นพิธีถวายผ้ากฐินพระราชทานแล้ว แต่ยังไร้เงา นายกยิ่งลักษณ์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จึงปฏิบัติหน้าที่แทนน้องสาว เป็นประธานในพิธีแทน" ผมขอนำภาพจากเว็บผู้จัดการ อีก 2 ภาพ มาประกอบด้วย โดยเนื้อหาข่าว ดังนี้ "สำนักข่าวเอเอฟพีเผยภาพ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทอดกฐินไหว้พระ ณ วัดป่าพุทธคยา ในรัฐพิหารของอินเดีย เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีออกมายืนยันปฏิเสธว่า ไม่มีกำหนดการเดินทางไปอินเดีย เพื่อพบกับพี่ชาย ตามที่เป็นกระแสข่าว ในเวลาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี" เหตุใด ภาพกับข่าวจึงไปเปิดเผยที่สำนักข่าวเอเอฟพี ซึ่งเป็นสื่อต่างประเทศ เหตุใดสื่อในประเทศไทยไม่นำข่าวนี้มาเปิดเผยให้ทราบกัน ถ้าไม่มีภาพจากเฟสบุ๊คของกคพ. กัลยาณมิตรเครือข่ายวิถีพุทธ บางที ข่าวนี้ คนไทยทั้งประเทศอาจไม่ทราบกันเลย ก็อาจเป็นได้ http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/554000014935801.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd667137_9193157_4270618_4807357photo.jpg) http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/165/48165/images/554000014935802.jpg (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd444575_6015863_680036_3853565photo.jpg) นี่คือสิ่งที่นายกยิ่งลักษณ์ ต้องตอบสังคมให้ได้ กับป้ายที่บ่งบอกว่าเป็นการอัญเชิญผ้ากฐินพระราชทาน เมื่อนายกไปไม่ได้ เหตุใดจึงไม่มีหนังสือแต่งตั้งให้ใครไปทำการแทน เพราะงานนี้ไม่ใช่งานทอดกฐินธรรมดา ซึ่งในทางปฎิบัติ เข้าใจว่า เมื่อไม่สามารถไปได้ ก็ต้องแจ้งไปยังสำนักพระราขวัง หรือ โดยวิธีใดๆที่พึงปฎิบัติตามจารีตประเพณี ตามป้ายในภาพแรกที่ได้โพสไว้ ระบุว่า"พณฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อัญเชิญผ้ากฐินพระราชทานถวายแก่พระสงฆ์"งานนี้ไม่ใช่เล่นๆนะครับ เมื่อนายกมาไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม เท่าที่ทราบเธอไปนครสวรรค์ ทักษิณผู้พี่ชาย ทำแทนได้หรือ หากทักษิณปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีจริง เป็นประธานในพิธี อยากทราบว่าในฐานะอะไร จริงอยู่แม้จะเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อไม่ปรากฎว่าได้มีกฎหมายใดๆยกเลิก หรือ ทำให้พ้นผิดจากความผิดอาญาที่ศาลได้ตัดสินไป และัคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในฐานะอะไร คิดว่าคงไม่ต้องอธิบายความ น่าจะเข้าใจกันได้ ทุกอย่างต้องคลีนและเคลียร์ให้ชัดเจน เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าพยายามทำให้เป็นเรื่องเล็กๆและอย่าปล่อยให้เงียบหายไป หรือ เพิกเฉยไว้จากผู้มีหน้าที่ เพราะหากใช่ ตามที่ได้ตั้งข้อสงสัยไว้ ก็เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 23:25:55 พ.ร.ฎ.อภัยโทษส่อ"โมฆะ"!
โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี มติครม. 15 พ.ย. แสดงให้เห็นการกระทำผิดหลายกรรม หลายวาระ และตราพ.ร.ฎ.ที่เป็นโมฆะ ตั้งแต่แรก การหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (15 พ.ย.) ที่มีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมวานนี้ มีรายงานข่าวออกมาว่าเห็นชอบพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ อีกกระแสอ้างว่าต้องส่งตีความ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กระจ่าง แต่หากเห็นชอบจริง จะมีปัญหาด้านกฎหมายตามมาอีกมาก และอาจจะเข้าข่าย"โมฆะ"ได้ ทั้งนี้ในการประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นการลับ โดยมีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ที่ระบุหลักเกณฑ์ของ "นักโทษ" ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวคือ 1.เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ตราขึ้นสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า "ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น" ออก ทั้งนี้ ยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับโทษ ซึ่งหากเป้นเช่นนั้นเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ และเขายืนยันมาตลอดว่าสามารถทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศโดยถูกกฎหมายได้ อย่างไรก็ตาม หลักการ "ตรากฎหมาย" ของไทย นั้น จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายที่มีความสำคัญตามลำดับคือ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และพ.ร.ฎ.ตามลำดับ ดังนั้น พ.ร.ฎ.อภัยโทษ หากออกโดยครม.วันที่ 15 พ.ย.แล้วนั้น จึงไปขัดกับพ.ร.บ.อภัยโทษ ที่ยกเว้น คดียาเสพติด และคดีคอร์รัปชั่น จะไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ กรณีนี้ หากมีมติคณะรัฐมนตรี 15 พ.ย.จริง!ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่ว่า "รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใด ของกฎหมาย กฎ หรือ ข้อบังคับ ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้น เป็นอันใช้บังคับ มิได้" เมื่อมีการตรากฎหมายเล็กขัดกฎหมายใหญ่ก็สามารถฟ้องร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เพิกถอนพ.ร.ฎ. ดังกล่าว เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับพ.ร.บ.อภัยโทษ นั่นเอง นอกจากนี้ การประชุมลับวันที่ 15 พ.ย. ยังแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า กล่าวคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยอ้างว่าเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาร์นำทางนั้น แหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยโดยยืนยันว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาร์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาร์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯ สามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่า นายกฯ น่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้วอ้างเรดาร์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ และเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 พ.ย.ว่า ทันทีที่คณะของนายกฯ และสื่อมวลชนเดินทางมาถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) ทุกคนในคณะต่างสวมเสื้อยืดสีขาว สกรีนข้อความและตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยสีน้ำเงินชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะให้คณะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี ไว้แล้ว เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาถึงในเวลา 11.00 น. และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คณะรัฐมนตรียังคงประชุมอยู่ แต่ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่เข้าร่วมประชุม แต่ใช้เวลาช่วงดังกล่าวบันทึกเทปสัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมอาเซียน จากนั้นเมื่อเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้เดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐสภา กรณีนี้เองเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ครบองค์ประกอบการกระทำ จึงเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ "ละเว้นการกระทำที่มีผลเป็นการกระทำ" แม้ไม่เข้าร่วมประชุมครม.ก็ไม่อาจพ้นไปจากความรับผิดนี้ได้ เมื่อนักการเมืองกระทำความผิดทางอาญา จึงสามารถฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ รวมถึงคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ในห้องประชุมทั้งหมดก็จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เพราะไม่ปรากฎว่ามีใครแสดงความเห็นแย้งต่อการออกพ.ร.ฎ. ดังกล่าว ประการต่อมา ประชาชนยังสามารถฟ้องต่อศาลปกครอง ได้ ตามมาตรา 3 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง กรณีนี้มีคดีตัวอย่างที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ เคยฟ้องเพิกถอนพ.ร.ฎ.แปรรูปรัฐวิสาหกิจ มาแล้ว ประเด็นต่อมา ผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี "ส่อ" ว่ากระทำการหรือละเว้นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ ได้อีกทางหนึ่งด้วย มติครม. 15 พ.ย. แสดงให้เห็นการกระทำผิดหลายกรรม หลายวาระ และตราพ.ร.ฎ.ที่เป็นโมฆะ ตั้งแต่แรกแล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 23:28:48 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 01:00 วีระศักดิ์ พงศ์อักษร "ยิ่งลักษณ์" กลัวทำไม?...อภัยโทษ "ทักษิณ" โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "จะว่าไปแล้วนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจค้างสิงห์บุรี เบี้ยวการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น ถือว่าไม่เนียน หากไม่สามารถเดินทางกลางคืนได้จริงเพราะเรดาร์ ก็สามารถกลับช่วงเช้ามืดมาทันการประชุม หรือไม่ก็ให้ที่ประชุมเลื่อนออกไปเล็กน้อยเพื่อรอนายกรัฐมนตรี" สิงห์บุรี ไม่ได้ไกลมาก..หากติดภารกิจร่วมประชุมเอเปค ก็ให้อภัยกันได้ จึงไม่แปลกหากจะมีสงสัยดังๆ ว่า "จงใจ" เบี้ยวประชุมคณะรัฐมนตรี เปิดทางให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม ครม. (ลับ) แทน เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่กรรมการบริษัท..ที่เมื่อมีส่วนได้เสียแล้วขอออกจากที่ประชุม แต่นี่คือประเทศชาติ ที่สำคัญไปกว่านั้นวาระก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดา..แต่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับทำให้น่าสงสัย ! ในการประชุมวานนี้นั้นมีวาระจร (ลับ) ในการพิจารณาและลงมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.... ซึ่งจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการเข้ารับพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 วาระธรรมดา...ที่นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องเลี่ยงประชุมให้ "คนสงสัย" แม้จะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม เพราะทุกปีทุกนายกฯ ก็ทำกันทั้งนั้น สมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งหากใครเข้าข่ายหลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น เมื่อดูจากหลักเกณฑ์พื้นฐานปี 2553 ที่ออกในสมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็น่าจะเข้าเกณฑ์ดังกล่าว มาตรา 6 (ง) ระบุว่า "เป็นคนมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรหรือทะเบียนรายตัวของเรือนจำในกรณีไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ต้องเหลือโทษจำคุกไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ หรือเป็นคนมีอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปีขึ้นไป" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าหลักเกณฑ์ พื้นฐานนี้ ส่วนหลักเกณฑ์.."ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษ..." หลักเกณฑ์นี้ก็ปลดล็อกไม่ยาก...ก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรมก็ได้ล้างคุกสันติบาล ทำเป็น "ที่กักขังวีไอพี" รอไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากคณะรัฐมนตรี จะพิจารณาเรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ...ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งหากอดีตนายกฯ เข้าเกณฑ์ก็ควรได้รับสิทธิเช่นคนอื่น ดูประเพณีปฏิบัติที่ทำกันมาตลอด "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็ไม่เห็นจะกลัวอะไร หรือไม่อะไรที่เปลี่ยนแปลง ลึกลับผิดไปจากก่อนหน้านี้ และนายกรัฐมนตรี เท่านั้นจะให้คำตอบนี้! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 23:31:40 'แก้วสรร'ชี้'ทักษิณ'ตัดสินใจแลกหมัดออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "แก้วสรร"ชี้"ทักษิณ"ตัดสินใจแลกหมัด กรณีออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ แจงหาก"กฤษฎีกา" เห็นด้วยหมดทางค้าน ทำได้แค่ถอดถอนอย่างเดียว นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.ให้สัมภาษณ์รายการเก็บตกจากเนชั่น ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชลแนลถึงกรณีมติ ครม.ให้ออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้ผลประโยชน์ด้วยว่า การขอพระราชทานอภัยโทษ สามรรถทำได้สองกรณีคือ 1.ทำเฉพาะราย ซึ่งเสื้อแดงก็เคยเข้าชื่อไปแล้ว และ 2. ในกรณีวาระอันเป็นมงคล ซึ่งตราขึ้นโดยพระราชอำนาจ จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งก็ทำกันมาหลายครั้ง หากถือตามแบบแผนที่มีมาตลอด หากอยากได้ประโยชน์ก็ต้องมาติดคุกซึ่งตนก็คิดว่าเขาได้เตรียมการเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมโรงพักบางเขน หรือการตั้งคนไปเป็นอธิบดีราชทัณฑ์ อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวก็ยังมีด่านสองคือ ความผิดต้องห้ามปล่อยตัวที่แนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับเรื่องคอร์รัปชั่นดังนั้นหากจะใช้ช่องทางนี้เขาต้องทั้งมอบตัวก่อนและตราพระราชกฤษฎีกาใหม่ นายแก้วสรร กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าเกิดน้ำท่วม ซึ่งไม่เป็นไปตามแผน และเขาคงไม่เข้ามาติดคุก พ.ร.ฎ. ที่ออกวานนี้ แสดงว่าเขาตัดสินใจแลกหมัด เพราะเขาตราว่าไม่ต้องติดคุกก็อภัยโทษได้ และดึงความผิดคอร์รับชั่นอกจากแนบท้าย พ.ร.ฎ. ปัญหาคือข้อแรกคือการที่ไปถวายร่าง พ.ร.ฎ.ว่าหนีคดีและอภัยโทษได้นั้น เป็นการเอาสิ่งที่ขัดรัฐธรรมนูญไปถวายในหลวงเพราะคำพิพากษายังไม่ถูกบังคับ แต่กลับจะทำลายคำพิพากษา เป็นการขัด รัฐธรรมนูญ ซึ่งตนหวังว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะแนะนำให้ถูกต้อง นายแก้วสรรกล่าวต่อว่า การที่เอาคดีคอร์รัปชั่นออกจากบัญชีแนบท้ายและบอกว่าไม่สำคัญ มีค่าเท่ากับคดีหมิ่นประมาท ต้องอธิบายว่าทำไมถึงไม่สำคัญ เรื่องนี้คนได้ประโยชน์มีเพียง พี่ชายนายกฯคนเดียว อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร เป็นการตรากฎหมายเฉพาะบุคคลใช่หรือไม่ เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อส่วนรวมต่อหน้าที่หน้าที่หรือไม่ นายแก้วสรรยังกล่าวถึงขั้นตอนหลังจากนี้ว่า ต้องส่งไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจสอบและแนะนำ ครม. หากถูกต้องก็ผ่านเลย แต่หากไม่ถูก ครม. ก็ยาก อย่างไรก็ตามหากผ่านถึงขั้นถวายราชเลขาธิการ เมื่อถึงขั้นนั้นก็ไม่ควรพูดกันอีก อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่าจะยับยั้งได้หรือไม่ นายแก้วสรรกล่าวต่อว่า เป็นอำนาจของเขาเราทำได้แต่ท้วงติง ออกแถลงการณ์คัดค้าน แต่หากจะดื้อทำก็ไม่มีใครค้านเขาได้ เหลือสุดท้ายก็ต้องลงโทษคือยื่นถอดถอนจากกรณีฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ สงสัยนายกฯส่อเจตนาไม่สุจริต เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะระบุว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะไม่เข้าประชุม นายแก้วสรรกล่าวต่อว่า เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่อง จะแกล้งหรือเสแสร้งปกปิด ก็ตามสบาย แต่นี่ยิ่งส่อเจตนาไม่สุจริต ต่อข้อถามที่ว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม นายแก้วสรรระบุว่า ไม่ได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีไว้ใช้ตรวจสอบอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่นี่เป็นอำนาจอภัยโทษขององค์ประมุข ฝ่ายบริหารมีหน้าที่เสนอ ถูกผิดไม่มีศาลตรวจสอบได้ ศาลปกครองก็ตรวจสอบไม่ได้ หากเกิดจริงไม่มีใครตรวจสอบ แต่ตัวคนทำเอามาถอดถอนได้ "เขากล้าขนาดนี้เขาไม่แตะเบรกแล้ว ก็ถอดถอนไปเลย ถ้ารัฐบาลยังอยู่เขาก็จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมทักษิณทั้งหมด เพราะหากเข้ามาได้ก็จะพ้นแต่คดีที่ดินรัชดา แต่การแก้รัฐธรรมนูญจะให้พ้นจากคดีอื่นด้วย" นายแก้วสรร กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 23:33:36 คณาจารย์นิติฯแถลงต้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษพรุ่งนี้-ปลัดยธ.บวชพระ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ คณาจารย์นิติศาสตร์ฮือแถลงการณ์ต้านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ เอื้อ"ทักษิณ"พรุ่งนี้ ขณะที่คนใกล้ชิดยืนยันปลัด ยธ.ลาบวช ไม่รู้เรื่องดันอภัยโทษ นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเคยเคลื่อนไหวออกแถลงการณ์คัดค้านข้อเสนอลบล้างผลพวงการรัฐประหารปี 2549 ของคณะนิติราษฎร์ เปิดเผยว่า คณาจารย์คณะนิติศาสตร์จะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาอภ้ัยโทษ (ร่างพ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ) ของรัฐบาล ที่มีเนื้อหาเอื้อประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงบ่ายวันที่ 17 พ.ย.นี้ โดยคาดว่าจะมีคณาจารย์ร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์หลายสิบคน ด้านความเคลื่อนไหวของ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะได้รับรู้ถึงการผลักดันร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ฉบับใหม่ด้วยนั้น แหล่งข่าวจากกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า นายกิตติพงษ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะได้ลาราชการไปอุปสมบทตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ย.แล้ว ขณะนี้จำวัดอยู่ที่วัดสามพระยา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2554, 23:38:14 'สยามสามัคคี'ออกแถลงการณ์ต้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษทักษิณ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สยามสามัคคี' ออกแถลงการณ์ต้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ช่วย 'ทักษิณ' ระบุ ไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมาย จี้ ครม. แถลงมติต่อปชช. ขู่ พร้อมปลุกมวลชนร่วมต่อต้าน ที่โรงแรมสยามซิตี้ กลุ่มสยามสามัคคีได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง 'คัดค้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ่วงทักษิณ แก้หลักเกณฑ์กฎหมาย กดดันพระเจ้าอยู่หัว' หลังจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษพ.ศ.2554 เมื่อวันอังคาร(15พ.ย.)ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญแตกต่างจากพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฉบับที่ผ่านมา คือ 1. การกำหนดคุณสมบัติของผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2.การไม่ระบุระยะเวลาการเข้ารับโทษ 3.การตัดบัญชีลักษณะความผิดแนบท้ายว่าด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งประเด็นนี้คณะกรรมากฤษฎีกามีความเห็นคัดค้านเอาไว้ จึงก่อให้เกิดความสงสัยแก่สังคมถึงเจตนาและความสุจริตในการกระทำดังกล่าว พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กล่าวว่า ทางกลุ่มมีความเห็นว่ามีประเด็นที่สังคมควรได้รับคำตอบอย่างชัดเจนจากครม.ดังนี้ 1.เหตุใดต้องมีการประชุมลับ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวถือเป็นราชนิติประเพณีที่ถือปฎิบัติกันมาต่อเนื่องยาวนาน และเป็นประโยชน์ต่อสังคม และการบริหารงานยุติธรรม 2.เหตุใดต้องมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติ ระยะเวลาการรับโทษ การตัดบัญชีลักษณะความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ 3.การยกเลิกบัญชีลักษณะความผิดตามกฎหมายว่าด้วยทุจริตคอรัปชั่นจะเท่ากับว่าครม.ชุดนี้มีนโยบายส่งเสริมให้มีการทุจริตคอรัปชั่นใช่และสร้างบรรทัดฐานว่าผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่ 4.หน้าที่ของรัฐ หน่วยงานรัฐและประชาชนต้องร่วมมือเพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษมิใช่ผ่านร่างพ.ร.ฎ.เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษ มิใช่ผ่านผ่านพ.ร.ฎ.เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษทุกรูปแบบใช่หรือไม่ พล.ท.นันทเดช กล่าวต่อว่า หลักการในการตรากฎหมายใดๆต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ มิใช่ประโยชน์เฉพาะบุคคล และจะต้องคำนึงถึงการยอมรับของประชาชน มิใช่การตรากฎหมายที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงต่อสังคม และที่สำคัญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ได้บัญญัติเอาไว้อย่างชัดเจนวา พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพ.ร.ฎ.โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และ มาตรา 191 ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชทานอภัยโทษ "แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เรื่องการออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษนั้นเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเป็นการสมควรหรือไม่ที่คณะรัฐมนตรีจะนำเสนอร่างกฎหมาย ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมอย่างรุนแรง ถวายต่อพระมหากษัตริย์ในวาระอันเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง การตรากฎหมายอภัยโทษในวาระเฉลิมพระชนม์พรรษาอันเป็นมงคลยิ่ง เป็นทานบารมีและพระราชกุศลอันยิ่งใหญ่ จึงต้องไม่กระทำการใดอันเป็นกระทบกระเทือนต่อเบื้องพระยุคลบาท" พล.ท.นันทเดช กล่าว อยากเรียกร้องต่อรัฐบาล ให้เปิดเผยข้อมูลล ข้อเท็จจริงรายละเอียดของร่างพ.ร.ฎ.ดังกล่าวต่อสาธารณชนโดยทันทีและขอเรียกร้องต่อประชาชนทุกภาคส่วนให้ร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องชอบธรรมของพ.ร.ฎ.ดังกล่าว ตลอดจนแสดงออกถึงการต่อต้านคัดค้านร่างพ.ร.ฎ.ฉบับนี้ในทุกรูปแบบอย่างถึงที่สุด ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า การขอพระราชอภัยโทษมีหลักการอยู่ 2 ประการ คือ 1.การขอกราบบังคมทูลเป็นเฉพาะบุคคลโดยญาติ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำแล้วแต่ติดตรงที่ตัวเองไม่ได้รับโทษในไทย ประกอบกับกรมราชทัณฑ์ไม่เคยยอมรับว่าคนหนีคดีจะเข้าลักษณะขออภัยโทษได้ 2.การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปตามรัฐธรรมนูญรองรับไว้ ซึ่งมีระเบียบของกรมราชทัณฑ์รองรับและมีการตราพ.ร.ฎ.ไม่ใช่อำนาจนิติบัญญัติแต่เป็นอำนาจฝ่ายบริหาร และจะไม่มีทางนำไปสู่การตีความของศาลรัฐธรรมนูญได้เลยเพราะอำนาจศาลรัฐธรรมนูญญตีความได้เฉพาะพ.ร.บ.เท่านั้น และที่สำคัญไม่ได้เป็นคำสั่งทางปกครองเพราะเป็นอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริย์ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมาบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องไม่ได้เพราะการตราพ.ร.ฎ.นายกฯถือว่าเป็นผู้ทั้งเสนอพ.ร.ฎ.ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ" นายแก้วสรร กล่าว นายแก้วสรร กล่าวด้วยว่า แนวปฎิบัติที่ทำมา คือ ต้องถูกควบคุมตัวตามกฎหมายเพื่อให้เกิดการต้องโทษและจะนำไปสู่การอภัยโทษได้ แต่ปรากฎว่าครม.มีมติตัดความผิดลักษณะดังกล่าวออกไป ดังนั้น ฝ่ายบริหารไม่สามารถใช้อำนาจเสนอพระราชทานอภัยโทษได้ เพราะเป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารมาหักล้างอำนาจฝ่ายตุลาการเนื่องจากคดีที่ดินรัชดาของพ.ต.ท.ทักษิณถือว่าเป็นที่สุดแล้ว เท่ากับว่าการตราพ.ร.ฎ.ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายบริหารเป็นการมาแทรกแซงอันเป็นการหักล้างทำลายอำนาจตุลาการ นับว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญซึ่งฐานการกระทำนี้เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีถูกถอดถอนทั้งคณะ "หลักการอภัยโทษต้องเป็นการลดโทษจากการมีความประพฤติดีโดยจะไม่มีการปล่อยตัวทันทีซึ่งถือเป็นหลักปฎิบัติมาโดยตลอด และต่อให้แก่หรือเจ็บป่วยอย่างไรจะไม่มีการปล่อยตัวในคดีคอรัปชั่นและยาเสพติดเด็ดขาด" นายแก้วสรร กล่าว นายสมชาย แสวงการ สว.สรรหา กล่าวว่า ถือว่าเป็นการซ้ำเติมประชาชนในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น รัฐบาลไม่สมควรมาอ้างถึง 15 ล้านเสียงเพราะรัฐบาลกำลังจะเป็นผู้สร้างวิกฤตการเมืองขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม ขณะเดียวกัน ต้องมีการตรวจสอบว่าการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาอ้างไม่รู้เรื่องหรือปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีและน้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ โดยจากนี้ต่อไปต้องมีการพิสูจน์เจตนาของนายกฯด้วยว่าจงใจค้างคืนที่สิงห์บุรีเพื่อไม่กลับประชุมครม.หรือไม่เนื่องจากมีรายงานว่ากองทัพเตรียมจะนำเฮลิคอปเตอร์ไปรับเพื่อให้เดินทางกลับมายังกทม. "หลังจากนี้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้มีวิกฤติภัยธรรมชาติแล้ว และต่อจากนี้จะมีวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้นอีก จึงขอเรียกร้องให้ครม.ที่มีการประชุมลับ ออกมาแถลงผลการประชุมในเรื่องนี้ เพื่อชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจทันที"นายสมชาย กล่าว ขณะที่พ.ญ.พรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ สว.สรรหา กล่าวว่า ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมกันสร้างบุญกุศล ซึ่งการอภัยโทษจะได้กุศลนั้นจะต้องดำเนินการกับบุคคลที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ แต่ถ้ามีการทำลักษณะนี้ถือว่าไม่เป็นการสร้างบุญกุศลเพราะบุคคลดังกล่าวไม่ได้มารับโทษตามกฎหมาย ตรงกันข้าม จะทำให้บุญกุศลอันดีนั้นแปดเปื้อนไปด้วย "ที่สำคัญในเมื่อนายกฯไม่สามารถรักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้จากเหตุการณ์น้ำท่วมแต่อย่างน้อยควรรักษาคำพูดของตัวเองที่เคยบอกว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อคนคนเดียว เพราะมิฉะนั้นแล้วนายกฯจะไม่รักษาตัวตนของตัวเองได้" พ.ญ.พรพันธุ์ กล่าว นายนิติธร ล้ำเหลือ กล่าวว่า การตราพ.ร.ฎ.เป็นการทำลายหลักการตรวจสอบ หลักการกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมายที่สำคัญหลักการควบคุมสังคมได้ถูกทำลาย ในทางกลับกันพ.ร.ฎ.นี้เป็นการฟื้นฟูการคอรัปชั่น ที่ทำให้บุคคลสามารถกระทำความผิดได้โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้น แม้ว่าพ.ร.ฎ.จะยังไม่มีการตราออกมาแต่ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วจากการแสดงเจตนาให้เห็นว่ามีความจงใจในการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ "ส่วนตัวจะรวบรวมองค์กรต่าง ๆ เพื่อรวบรายชื่อถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน โดยจะไม่รอการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาครม.สามารถออกพ.ร.ฎ.โดยตัดลักษณะความผิดในเรื่องคดีทุจริตได้หรือไม่" นายนิติธร กล่าว จากนั้นนายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสว.สรรหา กล่าวว่า ในวันที่ 22 พ.ย.เวลา 10.00น. กลุ่มสยามสามัคคคีจะมีการประชุมอีกครั้งที่โรงแรมสวนดุสิตเพลซเพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 09:20:34 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 00:30 เฉลา กาญจนา แกะรอยการเมือง kanchanatuk@hotmail.com เบื้องหลัง "อภัยโทษ" เข้า ครม. โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ตกเป็นข่าวใหญ่ไม่แพ้น้ำท่วม แต่คนละความหมาย คนละอารมณ์ คนละความรู้สึก เรื่องที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2554 ซุ่มพิจารณา "วาระจรลับ" เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. .... เขาว่ากันว่า เป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ซ้ำร้ายเนื้อหาของ พ.ร.ฎ. ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แถมมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2553 ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้ที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษ ต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันออก นี่เป็นเนื้อหาสาระที่สื่อนำมาเผยแพร่กันสนั่นเมือง หากเรื่องที่ว่าทั้งหมดเป็นจริง จะไปเอื้อให้ คุณทักษิณ ชินวัตร อยู่ในเกณฑ์ที่ว่าด้วยหรือไม่? สังคมไทยพิจารณากันเอาเอง ที่สำคัญต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า เรื่องนี้สำคัญมากน้อยแค่ไหน หากเทียบกับวิกฤติน้ำท่วมที่พี่น้องประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่ในเวลานี้... สิ่งที่น่าคิด การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2554 มัน "กลับตาลปัตร" คนที่ควรจะอยู่ในที่ประชุม แต่กลับไม่อยู่ อย่าง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รองนายกฯ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่งจะไม่อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือไม่ นายกฯ เท่านั้น ที่ควรจะมีคำตอบ สิ่งที่เกิดขึ้น ถามว่า นายกฯ จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่รู้ไม่เห็นได้หรือไม่? ในฐานะผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในคณะรัฐมนตรี ยิ่งเป็นวาระจรด้วยซ้ำ นายกฯ จะไม่รับรู้เลยหรือ ปกติการเสนอวาระจรเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกฯ ก็ไม่ได้ให้เสนอเข้าได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ? ทุกเรื่องที่เข้าคณะรัฐมนตรี นายกฯ ต้องเซ็นรับทราบก่อนหรือไม่? ตามกฎระเบียบราชการเวลาจะเสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี กระทรวงต้นสังกัดต้องทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อกฎหมายและความถูกต้อง เมื่อพิจารณาเสร็จต้องส่งกลับไปให้รองนายกฯ ที่รับผิดชอบในสายงานของตัวเองลงนาม สุดท้ายเอกสารก็ต้องกลับมาที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นปกติที่ทุกเรื่องก่อนจะบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ต้องเสนอเรื่องให้นายกฯ พิจารณา หรือรับทราบ เรียกว่า "นายกฯ ก็ต้องรับรู้ทุกเรื่อง" เช่นเดียวกับเรื่องพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ....ที่เจ้าของเรื่องอย่าง กระทรวงยุติธรรม แม้จะเป็นวาระจรลับ เรื่องนี้ก็ต้องแจ้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อทำบันทึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน เห็นสมควรเสนอเป็นวาระจร นายกฯ เองก็ต้องเห็นชอบ ฉะนั้นเรื่องนี้ทั้งนายกฯ และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะไม่รู้เลยหรือ ฉะนั้น แม้ว่า นายกฯ จะไม่อยู่ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี แต่เป็นเรื่องสำคัญ ยังไงเสีย นายกฯ ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่รับ..ไม่รู้..ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่นายกฯ ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของการบกพร่องการบริหารราชการแผ่นดินที่รองนายกฯ ปฏิบัติการเอง จะเป็นการ "สอดไส้" วาระหรือไม่ เรื่องนี้นายกฯ ต้องออกมาชี้แจงสังคมให้ได้ นายกฯ ลืมเรื่องนี้หรือยัง...เมื่อ 25 สิงหาคม 2554 อำพน กิตติอำพน บอกชัดเจนว่า นายกฯ ได้เสนอกฎระเบียบการเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ควรเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า วาระจร ต้องน้อยที่สุด เรื่องต่างๆ ที่เสนอต้องรอบคอบ เชื่อมโยงกับส่วนราชการต่างๆ หากเรื่องที่ไม่มีความเร่งด่วน "นายกฯ จะไม่ให้เสนอเป็นวาระจร เพื่อให้ ครม.นำไปพิจารณาก่อน" ดังนั้น แม้การ พ.ร.ฎ. จะเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีก็ตาม สำคัญยิ่ง ต้องเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถูกกาลเทศะ ต้องเปิดเผย "ไม่ใช่งุบงิบทำกัน" อย่างที่เป็นอยู่ ถ้าจะงุบงิบ หรือไม่ต้องการให้สังคมรับรู้ มันน่าจะเป็นเรื่องของความมั่นคงประเทศ หรือวางแผนจะไปสู้รบกับประเทศใดก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำไม่น่าจะใช่ สำหรับการอภัยโทษ ปกติก็มีการกระทำกันอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว เป็นประเพณีปฏิบัติ เป็นการกระทำเพื่อสาธารณะ แต่ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง นายกฯ ต้องออกมาชี้แจง อย่าปล่อยให้สังคมสับสนจนกลายเป็นวิกฤติรอบใหม่สำหรับประเทศไทยอีกเลย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 09:24:10 เห็นด้วย
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 09:27:36 "สุวัตร" เตรียมยื่นปปช.ฟันครม. ชี้ช่วยให้พ.ร.ฎ.อภัยโทษไม่ถึง "ในหลวง" ได้ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2554 วันที่ 16 พ.ย. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้ร่วมแสดงทัศนะต่อกรณีพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV นายสุวัตร กล่าวว่า การที่ครม.ผ่านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ถือว่าทำเพื่อคนๆเดียว หลักการออกกฎหมายต้องมีดังนี้ 1.กฎหมายต้องประกาศใช้ทั่วไป ทั่วประเทศ อย่างเช่นคนที่เข้าข่าย อายุเกิน 60 ปี มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี คนเหล่านี้ก็จะได้ถอนฎีกา ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ควรให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ แต่นี่กลับปิดเงียบ เจตนาจะปิดบัง ถ้าของดีทำไมต้องปิดบัง 2.เป็นกฎหมายที่ใช้เสมอไป แต่นี่ออกเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณอย่างเดียว อย่างเช่นการระบุอายุเกิน 60 ปี จำคุกไม่เกิน 3 ปี แล้วตัดคดีคอร์รัปชั่นออกเพื่อให้ได้รับอภัยโทษด้วย 3.การออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับคำตัดสินศาล หนีความผิด แล้วต่อมาออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ เป็นการทำลายรากเหง้ากฎหมายทั้งสิ้นทั้งปวง ทำลายนิติรัฐ เศรษฐีไม่ต้องติดคุก ตาสีตาสาติดคุกเต็มไปหมด พ.ร.ฎ.อภัยโทษนี้ผิดหมดทั้งหลักกฎหมาย หลักคุณธรรมศีลธรรม และสาเหตุที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่อยู่ในที่ประชุม ก็เพราะมีคนเตือนไว้แล้วว่าอาจถูกฟ้อง นายยงยุทธก็ไม่อยู่ ปล่อยให้ร.ต.อ.เฉลิม เป็นหน่วยกล้าตาย แต่อย่างไรก็ไม่รอดต้องฟ้องครม.ทั้งชุด "ผมจะยื่นฟ้องไปที่ปปช.ให้ดำเนินคดีครม.ทั้งชุด ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ครม.ชุดนี้ทำการโดยทุจริต ออกกฎหมายให้ทักษิณ เข้าองค์ประกอบเลย แอบงุบงิบทำ ไม่เปิดเผย จึงเป็นการร่วมกันออกกฎหมายที่ขัดต่อหลักกฎหมาย ครม.ทั้งชุดต้องถูกร้องไปที่ปปช. หลังจากนั้นปปช.ก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ แล้วจะมีผลคือ ถ้าพ.ร.ฎ.อภัยโทษนี้ไปถึงองคมนตรี เพื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ตนก็จะส่งจดหมายตามไป ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันอยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯก็จะไม่ถูกกดดันให้ลงพระปรมาภิไธย" นายสุวัตร กล่าว นายสุวัตร กล่าวอีกว่า กรณีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ลง พระองค์ก็จะมีแต่เสีย หากไม่ลงเสื้อแดงก็ด่า นักโทษที่รออยู่ก็โกรธ หากลงพระประมาภิไธย ซึ่งก็เป็นพ.ร.ฎ.อภัยโทษที่ขัดหลักกฎหมาย ขัดจารีตประเพณี ซึ่งท่านไม่เคยขัดต่อหลักกฎหมายเลย เราต้องทำเรื่องแจ้งไปที่องคมนตรี เพื่อบังคมกราบทูลฯ ว่า กำลังสอบว่ากฎหมายชอบหรือไม่ชอบ กำลังตั้งกรรมการสอบกันอยู่ ก็จะทำให้พระองค์ท่านมีทางเลือก กฎหมายนี้ถ้าผ่านชาวบ้านตีกันแน่ พันธมิตรและองค์กรอื่นๆ ไม่ยอมแน่นอน ที่ผ่านมารัฐบาลวางแผนเตรียมการเพื่อประสงค์ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง วางแผนมานาน แต่มาทำเรื่องนี้ตอนนี้เพราะคิดว่าพันธมิตรฯไม่มีน้ำยา เห็นว่าน้ำท่วมอยู่ถ้าพันธมิตรฯออกมาก็โดนด่า ตนบอกได้เลยว่าน้ำท่วมครั้งนี้ เป็นการจงใจทำให้น้ำท่วม แล้วให้ร.ต.อ.เฉลิมมาทำเรื่องนี้ มันสอดรับกันทั้งหมดเลย เรื่องนี้ตนไม่ยอม จะไม่ให้ตีกินง่ายๆ นายปานเทพ กล่าวว่า ไม่ว่าจะมีพระราชวินิจฉัยอย่างไร มีสภาพแรงกดดันอย่างแน่นอน ถ้าตัดสินพระราชหฤทัยเป็นคุณต่อพ.ต.ท.ทักษิณ เขาก็จะได้รับชัยชนะ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลต้องการก็จะเกิดแรงกระเพื่อมจากฝ่ายที่รักพ.ต.ท.ทักษิณ ตรงนี้สุ่มเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง ต้องไม่ลืมพ.ร.ฎ.อภัยโทษนี้ ไม่ได้ทำเงียบๆ อย่างที่ร.ต.อ.เฉลิมอ้าง เพราะมีการเคลื่อนขบวนถวายฎีกา เป็นสถานภาพทางการเมืองที่รู้อยู่แล้วว่าจะเสนออย่างไร คาดเดาได้หมด ดังนั้นการที่จะบอกว่าเป็นความลับ ต้องรอพระราชอำนาจวินิจฉัยก่อน เป็นข้ออ้าง เพราะสังคมรู้อยู่แล้ว เรื่องนี้ล่อแหลมมากต่อการเผชิญหน้า "สถานการณ์แบบนี้ผู้ที่มีสติปัญญา และมีจริยธรรมมีคุณธรรม ต้องไม่เดินหมากนี้ให้ทรงใช้พระราชอำนาจ สามารถเรียกได้ว่าบังคับให้เดิน หรือจะเรียกว่าอำมหิตก็ได้" นายปานเทพ กล่าว กรณีนี้เป็นการทำให้หลักนิติรัฐถูกทำลาย อันตรายมากต่อกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต ต่อไปนักการเมืองทำอะไรไม่มีวันผิด เป็นสังคมที่อันตราย สังคมเกิดมิคสัญญีจากประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ไปโดยปริยาย นายปานเทพ ยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์ที่รัฐบาลสั่นคลอน ทหารภาพลักษณ์ดีขึ้น สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือดึงต่างชาติเข้ามา การเลือกยูเอ็นเข้ามาเพื่อให้เห็นว่าหากใครมาโค่นล้มจะไม่เป็นสากล และทำให้ต้องเร่งอภัยโทษพ.ต.ท.ทักษิณให้เร็วขึ้น เพราะดีกว่าปล่อยให้ภาพลักษณ์เลวร้ายกว่านี้ เลยเกิดแนวคิดที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เตรียมเสนอญัติติคณะกรรมการด้านปรองดองแห่งชาติ เพื่อรวบรวมคนหลายๆกลุ่มมาอยู่บนโต๊ะเดียวกัน เพื่อทำให้รู้สึกว่าพวกเขาจัดการกันเองได้ ไม่ต้องมีระบบอื่นเข้ามา เป็นหลักคิดที่ไม่มั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาล และรู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียอำนาจไป แบบนี้ทำให้ทุกฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกันไปโดยปริยาย ซึ่งเมื่อพันธมิตรฯถอนตัวออกมา ทำให้ฝ่ายที่เหลือเผชิญหน้ากัน แล้วต่างก็ต้องหาแนวร่วมถึงจะอยู่รอด มันจึงไม่แปลกที่พันธมิตรฯยืนบนภู จะมีเสียงเรียกร้องให้ออกมาทำอะไร แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็ต้องยื่นมือมาปรองดองหรืออาาจถึงขั้นปฏิรูปก็ได้ ส่วนพ.ร.ฎ.อภัยโทษ อย่าเพิ่งตกใจว่าจะทำอะไรไม่ทันแล้ว เพราะที่ผ่านมาพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ไม่ได้ออกล่วงหน้านานๆ ที่ผ่านๆมามักออกวันที่ 10 ธ.ค. แล้ววันรุ่งขึ้นบังคับใช้ทันที ด้านนายสุริยะใส กล่าวว่า ถ้าออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ มันง่ายอย่างนี้ คงไม่ยากที่จะนิรโทษกรรมให้ทั้งเครือข่ายทักษิณ พวกนี้คงไม่จบแค่นี้แน่นอน ตนคิดว่าหมากนี้เป็นเกมเร็ว แล้วจะจบเร็ว พ.ต.ท.ทักษิณคงมองแล้วว่าเหตุการณ์น้ำท่วมนี้ทำคนตาย 500 กว่าคน ยากที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับมาชนะเลือกตั้งอีกรอบ ก็เลยตัดสินใจเล่นเกมเร็ว และปลายทางคงไม่ต้องการแค่นี้ เรื่องการกกดดันพระราชอำนาจ อยากถามปลัดกระทรวงยุติธรรม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เพราะก่อนร่างพ.ร.ฎ.อภัยโทษจะเข้าครม. จะต้องมีชงเรื่องขึ้นมาก่อน ปลัดกระทรวงยุติธรรมจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ นักข่าวควรถามปลัดยุติธรรม ซึ่งเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปกติการพระราชทานอภัยโทษ เป็นประเพณี เป็นพระราชกุศล แต่วันนี้ถูกบิดเบือนให้เป็นการเมือง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการพระราชทานอภัยโทษต้องตอบให้ได้ อีกคนที่ต้องถามคือนายธงทอง จันทรางศุ ก่อนจะมาเป็นโฆษกศปภ. พล.ต.อ.ประชา เคยแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 11 คณะกรรมการกลั่นกรองฎีกาแดง มันโยงกันอยู่ นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ตนคิดว่างานของพวกเราสุดท้ายหนีไม่พ้นงานมวลชน สู้กับพ.ต.ท.ทักษิณตามกฎกติกายากเหลือเกิน เขาพลิกแพลงเก่งมาก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 09:53:14 "สมคิด เลิศไพฑูรย์-สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" มองพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ต่างกรอบคิด แต่เห็นแย้งรบ.เหมือนกัน (ถ้าทำจริง)
วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น. จากกระแสข่าวการประชุมลับ ผ่านร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ (พ.ร.ฏ.อภัยโทษ) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (15พ.ย.) นั้น กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย โดยมีคนต้องข้อสงสัยว่า จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่? และเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าประชุม ครม. แต่มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในที่ประชุมแทน ผู้ตั้งข้อสงสัยต่างก็เคลือบแคลงใจมากยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่ชัดว่า ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.ฏ.อภัยโทษ จริง แต่วิวาทะในเรื่องนี้ก็กลายเป็นประเด็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ไปเรียบร้อยแล้ว มติชนออนไลน์จึงทำการสัมภาษณ์ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน ถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งนำความเห็นที่ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์แสดงความเห็นในประเด็นเดียวกันผ่านทางเฟซบุ๊ก มาเผยแพร่คู่กันด้วย ติดตามอ่านได้ ณ บัดนี้ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ระบุว่า ข้อเท็จจริงแรกก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ในฐานะนักกฎหมายแล้ว การออกพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ต้องออกตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และจะออกนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ เพราะการออกพ.ร.ฏ.อภัยโทษ ที่นักกฎหมายพูดกันก็คือ คนที่จะได้รับการอภัยโทษตามเงื่อนไข ต้องถูกคุมขังอยู่ ซึ่งหลักการหลักๆ จะเป็นแบบนี้ แต่เวลานี้เราอย่าไปพูดว่า รวมถึงคุณทักษิณด้วยหรือไม่ เพราะพ.ร.ฏ.อภัยโทษตัวนี้ เรายังไม่เห็นเลย ถ้าเห็นแล้วถึงจะพูดได้ว่า เป็นไปตามหลักกฏหมายหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่พ.ร.ฏ.อภัยโทษจะออกในช่วงนี้ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการอภัยโทษในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง 5 ธันวาคม หรือวันสำคัญ และก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ มีการทำมาโดยตลอด แต่จะรวมถึงคุณทักษิณหรือไม่นั้น ต้องดูตัวพ.ร.ฏ.อภัยโทษโดยตรง ในฐานะนักกฎหมายก็ยังพูดไม่ได้ว่ารวมถึงคุณทักษิณหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อบอกว่า การผ่านร่างดังกล่าวเป็นการประชุมลับ ในกรณีของคุณทักษิณเอง เราพูดมาตลอดว่าไม่ได้ เพราะการจะออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ต้องออกในเงื่อนไขของกฎหมาย นักกฎหมายก็ตีความ 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกบอกว่า ไม่ต้องถูกจำคุกก็ได้ ฝ่ายนี้เป็นฝ่ายข้างน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายข้างมาก บอกว่าต้องถูกจำคุกก่อน แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีนักโทษที่อยู่นอกคุกแล้วจะได้รับการอภัยโทษ และในทางกฎหมายหรือเท่าที่ถามนักกฎหมายด้วยกันเองในหมู่นักกฎหมายก็บอกว่าไม่ได้ รัฐบาลมีหลายช่องทางที่จะนำ "ทักษิณ" กลับมา ส่วนการที่หลายคนสงสัยว่า พ.ร.ฎ.ดังกล่าวออกมาในจังหวะที่นายกฯขาดการประชุมครม.พอดีนั้น อ.สมคิด กล่าวว่า ตรงนี้ไม่มีความสำคัญเพราะนายกฯก็ขาดประชุมได้ และก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่นายกฯไม่มาประชุม แต่ใครมีข้อมูลในเรื่องการพิจารณาพ.ร.ฎ.อภัยโทษก็ควรบอกข้อเท็จจริง นักวิชาการเองก็ต้องค้นคว้า ต้องพูดบนพื้นฐานความเป็นจริง จะพูดลอยๆ ไม่ได้ จะไปบอกว่า ครม.มีการประชุมลับ แบบนี้ก็เสียชื่อนักกฎหมาย ถ้ามีข้อเท็จจริง ถึงจะพูดได้ว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ บนพื้นฐานของกฎหมาย ถ้าบอกว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมือง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ไม่ควรทำ แม้นโยบายจะบอกชัดเจนว่าอยากทำนั่น ทำนี่ ก็ตาม ขณะเดียวกัน ในการกฎหมายผมว่า มีหลายลู่ทางที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เช่น การออกพ.ร.บ. หรือการแก้รัฐธรรมนูญ ที่สามารถทำให้สอดคล้องตามนโยบาย ถ้าอยากทำ เพียงแต่ว่า วิธีการนั้นอาจจะยากกว่าการออกพ.ร.ฏ.อภัยโทษเท่านั้นเอง อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องนี้ควรทำแบบเปิดเผย เพราะคนจะถาม หรือสุดท้ายคนก็รู้อยู่ดีว่าทำอะไรกันอยู่ น่าจะตรงไปตรงมา เมื่อรัฐบาลทำตามระบบ เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนก็อาจจะเห็นด้วยก็ได้ แน่นอนว่าการที่หลายคนวิจารณ์ เพราะรัฐบาลทำโดยไม่มีใครรู้ ถ้ารัฐบาลทำโดยไม่มีคนรู้ อาจจะมีปัญหาทางการเมืองตามมาด้วยก็ได้ มากกว่านั้น พ.ร.ฏ.อภัยโทษเป็นกฎหมายออกตามความในพ.ร.บ. และพ.ร.บ.ที่ว่าด้วยการอภัยโทษก็มีหลายมาตรา สิ่งที่พูดกันมากก็คือ นักกฎหมายอ่านกฎหมายแล้วไม่เหมือนกัน มาตราที่เกี่ยวข้องกับการอภัยโทษมีอยู่ 3-4 มาตรา มาตราแรกพูดไม่ชัดเจน เหมือนกับว่าไม่ต้องอยู่ในที่คุมขังก็ได้ มาตราที่เหลือ พูดว่าต้องอยู่ในที่คุมขัง ฉะนั้น ถ้าฝ่ายที่บอกว่าไม่ต้องอยู่ในที่คุมขังก็ได้ ก็จะใช้มาตราแรก ซึ่งสวนทางกับอีกฝ่ายหนึ่งที่บอกว่าต้องอยู่ในคุกเท่านั้น จึงจะอภัยโทษได้ แต่สุดท้ายแล้วในทางปฏิบัติก็ไม่เคยมีกรณีที่ว่า ผู้ไม่ต้องถูกคุมขังมาก่อนได้รับการอภัยโทษ เรื่องนี้รัฐบาลต้องระมัดระวัง ว่าจะทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย ประเด็นนี้ไม่ใช่เฉพาะทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นประเด็นทางการเมืองด้วย เพราะในทางกฎหมายไม่มีปัญหาอะไรมาก หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพ.ร.ฏ.อภัยโทษ ถูกประกาศใช้ แล้ว "ทักษิณ" กลับมา อ.สมคิด เชื่อว่า พ.ร.ฏ.อภัยโทษจะมีคนคัดค้านเยอะ นี่ขนาดยังไม่รู้เลยว่ามีจริงหรือไม่จริง คนยังคัดค้านเลย ถ้ามีจริงแล้วคนก็จะคัดค้าน ก็อาจจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็มีปัญหาเรื่องน้ำอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเปิดศึกด้านที่ 2 ด้านที่ 3 ก็จะยิ่งลำบาก และอย่างที่บอกไปคือ การที่จะเอาคุณทักษิณกลับมาไม่ใช่เรื่องกฎหมายโดยเฉพาะ แต่เป็นเรื่องการเมืองหรือเป็นเรื่องของความชอบธรรม ผมคิดว่าคุณทักษิณจะกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับได้ ฉะนั้น รัฐบาลคงต้องดูประเด็นทางการเมืองเป็นหลัก และขอย้ำว่า ในทางกฎหมายไม่มีอะไรมาก อย่างน้อยรัฐบาลก็ถือเสียงข้างมาก ก็สามารถได้ทุกอย่าง แต่การที่ไปทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของคนจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่ใช่คนส่วนใหญ่ก็ตาม รัฐบาลจะต้องแบกรับวิกฤตการณ์ทางการเมือง ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนอยากเจอปัญหานี้ เช่นเดียวกับการออกพ.ร.บ. หรือการแก้กฎหมาย ก็อยู่ที่ความชอบธรรมอีก แม้จะถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม สิ่งที่คนสงสัยก็คือว่า ทำไมทำได้ ทำกับคนอื่นได้หรือไม่ เมื่อตรงนี้ทำได้ อีกหน่อยคนก็หนีคดีหมด แล้วค่อยมาแก้ทีหลัง ตามกระบวนการการขอพระราชทานอภัยโทษก็คือ นายกฯ เป็นคนเสนอเข้าที่ครม. เมื่อเห็นชอบแล้วก็เสนอให้ในหลวงโปรดเกล้า กล่าวคือ นายกฯต้องเป็นคนเสนอเท่านั้น และครม.ต้องเห็นชอบด้วย ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการที่ 3 คือให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธย ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ที่ผ่านกระบวนการลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์เป็นอย่างไร เพราะกฎหมายไม่ได้พูดอะไรไว้ เช่นเดียวกับกรณีการยุบสภาฯ กฎหมายก็ไม่ได้พูดว่า จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ลงได้อย่างไรบ้าง ปัญหาอยู่ตรงนี้ เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุไว้โดยตรง แต่ที่ผ่านมาในหลวงก็ไม่เคยตั้งคำถามว่า ยุบสภาฯทำไม ด้วยเหตุใด แต่คิดว่าการยุบสภาฯ ก็ต่างจากการอภัยโทษ เพราะการยุบสภาฯ เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ มีคณะองคมนตรีคอยกลั่นกรอง "ทักษิณ" ควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่? ท้ายที่สุดแล้ว อ.สมคิด กล่าวว่า รัฐบาลต้องเลือกช่องทางที่ดีที่สุด เพราะความชอบธรรมแต่ละวิธีเท่ากัน และถึงอย่างไรแล้วคนก็ค้านอยู่ดี เพราะคนที่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงมีเยอะ แต่ติดที่อดีตนายกฯทักษิณ ถามว่าควรนิรโทษกรรมคุณทักษิณหรือไม่นั้น ผมว่าอยู่ที่จุดยืนทางการเมืองของแต่ละคน ถ้าเฉพาะประชาชนทั่วไป ผมว่าคนส่วนมากก็เห็นด้วย หรือคนส่วนใหญ่ก็อาจจะเอาด้วย ผมถึงบอกว่า รัฐบาลต้องกลับไปคิด ถ้าทำเพื่อคนส่วนมากจริงๆ ทุกฝ่ายเห็นด้วยแน่ๆ แต่พอโยงไปถึงคุณทักษิณ หรือโยงไปถึงสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คนก็อาจจะตั้งคำถามได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลรัฐบาลต้องเลือกเวลาให้เหมาะสม วันนี้รัฐบาลต้องชี้แจงว่าทำไมจึงเสนอกฎหมายเช่นนั้น เช่นเดียวกับการเสนอร่าง พ.ร.บ.การพนัน เพื่อให้ตั้งกาสิโนได้ ถ้าตรงนี้ไม่ให้คนเข้าถึงข้อมูล รัฐบาลก็จะหมดความชอบธรรม ฉะนั้น รัฐบาลต้องตระหนักในประเด็นนี้ เพราะการบริหารแผ่นดินไม่ใช่เรื่องการปกครองเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเมืองด้วย ////////// ด้าน ดร.สมศักดิ์ ได้โพสต์แสดงความเห็นเรื่อง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ อยู่หลายครั้งในวันที่ 16 พ.ย. ผ่านทางเฟซบุ๊กซึ่งมติชนออนไลน์ขออนุญาตนำข้อความบางส่วนมานำเสนอดังนี้ เกี่ยวกับการแก้ พ.ร.ฎ. อภัยโทษ ผมยังอยากเห็นรายละเอียด แต่ถ้าเป็นไปตามข่าว ผมเองมีข้อไม่เห็นด้วย 2 ข้อ (ที่เคยพูดไปแล้วในแง่วิธีการนี้): (1) การอภัยโทษนั้น ไม่ได้แปลว่า คนที่ถูกอภัยโทษ "ไม่มีความผิด" ตรงข้าม แปลว่า คนนั้นมีความผิด แต่ได้รับการ "อภัย" ในแง่ของ record (ประวัติ - มติชนออนไลน์) ทางการเมือง คนนั้นจะเป็น convicted criminal (ผู้ทำผิดทางอาญาที่ถูกตัดสินแล้วว่าผิดจริง) ซึ่งผมมองว่า ไม่ถูกต้อง ในกรณีทักษิณ (เพราะกระบวนการที่นำมาซึ่งการตัดสินไม่ถูกต้อง) เป็นการไปยอมรับ ในสิ่งที่ไม่ควรยอมรับ (2) ข้อนี้ อาจจะสำคัญยิ่งกว่านั้นอีก คือ การแก้กฎหมาย นั้น จะมีผลระยะยาว ที่จะใช้บังคับใช้กับกรณีอื่นๆ ด้วย (ยาเสพติด, คอร์รัปชั่น ฯลฯ) ซึ่ง ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง ถ้าการแก้นี้ เพื่อช่วยทักษิณ เป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีทางกฎหมายในกรณีอื่นๆ ที่จะเกิดตามมาทั้งหมด อีกหน่อย ถ้ามีกรณีที่มีคนทำผิดจริงๆ และเข้าข่าย พ.ร.ฎ. ที่ถูกแก้ (อายุเกิน 60 คำตัดสินไม่เกิน 3 ปี และไม่เคยติดคุก เช่นอาจจะหนีไป) ก็สามารถ "หลุด" ได้เช่นกัน การแก้กฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมายที่แย่ในตัวเอง (เช่น วิอาญา, พ.ร.ฎ. อภัยโทษ ฯลฯ) ในลักษณะนี้ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ---------- ถ้า (ย้ำ "ถ้า" นะ) เรื่องการแก้ พ.ร.ฎ. อภัยโทษ เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่จะช่วยทักษิณให้รับการปล่อยตัว ผมเสนอว่า ที่จริง สู้รัฐบาล ใช้ "อ๊อพชั่น" (ทางเลือก - มติชนออนไลน์) ที่ออกกฎหมาย "นิรโทษกรรมทั่วไป" (general amnesty) เสียจะดีกว่าอีก เพราะ จะนิรโทษกรรม ปล่อย เสื้อแดงอีกจำนวนมาก ที่ยังอยู่ในคุก รวมทั้งคนที่โดนตัดสินไปแล้ว 20-30 ปี คดีเผาจวนต่างจังหวัด (ซึ่ง เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลไม่มีมาตรการอะไรจะช่วยเลย) และ อาจจะได้รวมถึงคดี 112 ด้วย (แต่อันหลังสุด ผมว่า ต่อให้มี general amnesty รัฐบาล ก็คงไม่กล้า หรือไม่มีกำลังพอจะทำ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ได้ช่วยพวกเสื้อแดงที่กำลังโดนคดีดังกล่าว) แน่นอน general amnesty ย่อมหมายถึง ทหาร อภิสิทธิ์ สุเทพ ก็ได้รับการนิรโทษกรรมได้ หลายคนไม่เห็นด้วย แต่ผมอยากให้ลองคิดชั่งน้ำหนักว่า ระหว่าง การออก/แก้ พ.ร.ฎ. อภัยโทษ (ถ้านี่คือการช่วยทักษิณ) ช่วยทักษิณกลับได้คนหนึ่ง แต่คดีเสื้อแดงอีกเป็นร้อย ไม่ได้อะไรเลย ที่สำคัญ ผมว่า ต่อให้ไม่มี นิรโทษกรรมทั่วไป จริงๆ มีโอกาสหรือ ที่รัฐบาล จะให้มีการ "นำคนผิด/สั่งฆ่า มาลงโทษ" มาขึ้นศาล? ผมว่าไม่มี อันนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจเลย ("ปรองดอง") การนิรโทษกรรมทั่วไป ที่ครอบคลุมทุกฝ่าย ไม่ใช่สิ่งดี (อย่าง 6 ตุลา ก็ใช้วิธีนี้ พวกที่เข้าไปฆ่าคนในธรรมศาสตร์ ก็ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย) แต่ถ้ามองแบบ realistic (อย่างเป็นจริง / เป็นไปได้) ล่ะ? และถ้าเทียบกับการแก้ พ.ร.ฎ. อย่างที่มีข่าวว่ากำลังทำ? ที่สำคัญ ที่ผมห่วงอยู่ตลอด คือบรรดาคนเสื้อแดง เป็นร้อย ที่โดนคดี ทั้งในขั้นตอนขึ้นศาล และที่โดนติดคุก ตัดสินเป็น 20-30 ปีไปแล้ว (และถ้ารวมถึงสมยศ พฤกษาเกษมสุข สุรชัย แซ่ด่าน ฯลฯ)? ที่สำคัญที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ส่วนหนึ่ง เพื่อจะ "ฝาก" บอกไปยัง รัฐบาล และคุณทักษิณ ด้วยว่า ถ้าการแก้ พ.ร.ฎ. นี้ เป็นเพื่อช่วยคุณทักษิณกลับ ก็เป็นอะไรที่ไม่ดีมากๆ นอกจากไม่ถูกต้องในแง่หลักการ ที่สำคัญ มองในแง่ของคนเสื้อแดงที่ติดคุก โดนคดีอีกมาก ที่ไม่มีแนวโน้มว่า จะได้รับการช่วยอะไรเลย ผมว่า ก็เป็นเรื่องไม่ดีด้วย คือ ไหนๆ ถ้าคิดจะทำอะไร ควรคิดถึงเรื่องพวกเสื้อแดงที่ติดคุก หรือโดนคดีกันอยู่ก่อน ไม่ดีหรือ? ---------- เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมทั่วไป สำหรับผู้ไม่ใช่ "แกนนำ" / ผู้บังคับบัญชา ของทุกฝ่าย? (กระทู้นี้ ผมยังมีความไม่แน่ใจในข้อกฎหมาย อาจจะต้องขอแรงให้นักกฎหมายช่วยตอบในแง่ข้อกฎหมายด้วย) คือ ถ้าเราจะสรุปแยกแบ่งรายละเอียด ขณะนี้ มีผู้ได้ถูกดำเนินคดี/ตัดสินไปแล้ว ที่เป็นผลมาจากการเมืองหลัง 19 กันยา ดังนี้ (1) ฝ่าย เสื้อแดง นปช. เพื่อไทย 1.1 ทักษิณ 1.2 แกนนำ นปช. 1.3 มวลชนเสื้อแดง ระดับต่างๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด (คดีเผาจวนต่างๆ เป็นต้น) ในกรุงเทพฯ เอง ถ้าจำไม่ผิด ก็มีคนที่โดนคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือคดีอื่นๆด้วย 1.4 ผู้ได้ถูกดำเนินคดี/ตัดสิน กรณี 112 (ดา, สมยศ, สุรชัย, ตี๋, หนุ่ม ฯลฯ) (2) ฝ่าย พันธมิตร ปชป. ทหาร 2.1 อภิสิทธิ์, สุเทพ, ผบ.เหล่าทัพ ในระหว่างมีการปราบปราม 2552-2553 2.2 แกนนำพันธมิตร (สนธิ, จำลอง ฯลฯ) 2.3 ระดับมวลชน ผู้ปฏิบัติงานพันธมิตร เช่น พวกเข้ายึดสถานี NBT และ พวกเข้ายึดสนามบิน และอื่นๆ ผมกำลังคิดๆว่า เป็นไปได้หรือไม่ (ถ้าเป็นไปได้ ผมคิดว่า จะดีทีเดียว) ที่จะให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ครอบคลุม 1.3 และ 2.3 และ (ต้องพยายามให้ครอบคลุม) 1.4 ด้วย? ในแง่การเมือง ผมว่า มีเหตุผลอยู่ ที่จะให้มีกฎหมายในลักษณะนี้ ส่วนที่ไม่คลุมแบบทั้งหมด เป็น general amnesty เลย เพราะมีปัญหาที่ทั้งฝ่ายเสื้อแดงเอง และฝ่ายตรงข้ามเสื้อแดงเอง เท่าที่สังเกตดู ก็ไม่ยอมรับ (ฝ่ายเสื้อแดง คือต้องการให้ ผู้สั่งการ คือ 2.1 และ 2.2 ได้รับการดำเนินคดี ฝ่ายตรงข้าม คือ ต้องการให้ 1.1 และ 1.2 ถูกดำเนินคดี หรือให้คดีที่ตัดสินไปแล้ว คงอยู่) อย่างข้อเสนอ นิติราษฎร์ ที่หลายคนสนับสนุนนั้น ผมว่า คงต้องมองอย่าง realistic (เป็นจริง / เป็นไปได้) ว่า คงไม่เกิดในระยะเวลาอันสั้น หรือที่มองเห็นในอนาคตข้างหน้า แต่ความจริงคือ มีคนระดับที่ไม่ใช่แกนนำ และผู้บังคับบัญชา ของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดง (1.3) ที่ถูกดำเนินคดี หรือตัดสินลงโทษไปแล้ว จากปัญหาการเมือง ซึ่งคนเหล่านี้ ความจริง มองในแง่ความรับผิดชอบทางการเมือง ก็อยู่ในระดับที่ควรต้องถือว่า ห่างไกลอยู่แล้ว การเล่นงานคนเหล่านี้ ทางกฎหมาย มองในปริบทวงกว้างทั้งหมด ก็ไม่ได้เกิดผลดีแก่สังคมโดยรวม ไม่ว่าจะเชียร์ข้างไหนก็ตาม ที่ผมไม่สบายใจมาตลอด ทุกวัน ทุกสัปดาห์ เป็นปีมาแล้วคือ คนกลุ่มที่กล่าวถึงนี้ กลับเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ---------- เรื่องที่เริ่มมีการก่อกระแสต้าน พ.ร.ฎ อภัยโทษ ที่มีข่าวว่าเพื่อช่วยทักษิณนั้น ผมมองเป็นเรื่องธรรมดานะ - ประชาธิปไตย เรามีสิทธิ์ต่อต้านเขา เขาก็มีสิทธิ์ต่อต้านเรา แต่บอกตรงๆ ว่า ผม งง และขมวดคิ้วมากๆ กับ "การจัดการ" เรื่องนี้ของรัฐบาล ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำในลักษณะเหมือน "ลับๆ ล่อๆ" ซึ่งยิ่งทำให้กลายเป็นเรื่องถูกโจมตี (และที่จริง ก็มีเหตุผลอยู่นะ ที่คนไม่จำเป็นว่าจะต้องแอนตี้ทักษิณ หรือ เหลือง จะรู้สึก "ชอบกล" หรือ ไม่ชอบท่าทีแบบนี้) คือยังไง เรื่องแบบนี้ ในที่สุด ไม่มีทาง "ปิดลับ" ได้อยู่แล้ว แทนที่จะทำแบบนี้ สู้ทำแบบเปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่า ถ้าจะทำนะ (แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการทำ ดังที่เขียนในกระทู้เมื่อเช้า แต่นี่ หมายถึงว่า ถ้าจะทำจริงๆ) โดยเฉพาะ ประเด็นที่ผมไม่เข้าใจมากๆ คือ การที่ดูเหมือนจะมีการพยายาม "กัน" คุณยิ่งลักษณ์ ออกไปน่ะ คือ นอกจากดู "ไม่เนียน" แล้ว ผมมองไม่เห็นว่า จะเป็นผลดีต่อคุณยิ่งลักษณ์ยังไงเลย เพราะยังไง คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เรื่องแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้น ต้องถือเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว ยิ่งไปพยายาม "กัน" (แบบที่ดูเหมือน "ไม่เนียน" นี้) ยิ่งทำให้ ภาพลักษณ์คุณยิ่งลักษณ์ แย่ลงไปอีกนะ ผมว่า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 09:58:48 เลขาฯครม.ตอบ"ไม่ทราบ"อย่างเดียว เรื่องพ.ร.ฎ.อภัยโทษ บอก"รักในหลวงก็เงียบไว้"
วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์ เมื่อเวลา 11.45 น. นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี( ครม.) กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวระบุการประชุม ครม.วาระจรลับเพื่อออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ว่า "ผมไม่ทราบ" เมื่อถามว่า โดยปกติต้องการมีการขอออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษทุกวันที่ 5 ธ.ค. ของทุกปีอยู่แล้วใช่หรือไม่ นายอำพนกล่าวว่า “ก็ควรเป็นอย่างนั้นกระมัง” เมื่อถามย้ำว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนนั้นเป็นเพียงการหารือถึงเรื่องดังกล่าว หรือว่า ครม.ได้มีมติออกมาแล้ว นายอำพนกล่าวว่า “ไม่ทราบ” เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นต้องแถลงข่าวเรื่องนี้ให้ชัดเจนหรือไม่ นายอำพนกล่าวว่า “ไม่ทราบ” เมื่อถามว่า แต่เรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากจนอาจกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งไปแล้ว นายอำพนกล่าวว่า “รักพระเจ้าอยู่หัวก็เงียบไว้” เมื่อถามว่า แต่ความจริงเรื่องในลักษณะนี้ก็น่าจะเผยแพร่ได้มิใช่หรือ นายอำพนกล่าวว่า “ ไม่ทราบ” ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงเรื่องดังกล่าวหรือไม่ นายอำพนกล่าวว่า “ไม่ทราบท่านนายกฯ แต่วันนี้คุยกันเรื่องการประเมินให้ชัดเจน เรื่องของโครงสร้างที่มีอยู่ และเรื่องระบบการใช้งาน ตามที่มีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และไจก้าของญี่ปุ่น ร่วมกับ กยอ.” เมื่อถามว่า รัฐบาลชุดก่อนก็ระบุว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องประชุมในวาระลับ แต่สามารถทำโดยเปิดเผยได้ นายอำพนกล่าวว่า “ถ้าเขามีข้อมูลก็ไปตรวจสอบก็แล้วกัน” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 20:58:59 พรฏ.อภัยโทษเรียกแขก...ฟื้นพธม.
17 พฤศจิกายน 2554 posttoday.com ทุ่มหมดหน้าตักกับภารกิจพา “ทักษิณ” กลับบ้าน !!! ไพ่ใบสุดท้ายอย่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ที่รัฐบาลตัดสินใจเข็นออกมาท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วม แม้รู้ทั้งรู้ว่าจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระลอกใหม่ แต่ดันไปสอดรับกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยขีดเส้นว่าจะกลับมาช่วงเดือน ธ.ค. เพื่อร่วมงานแต่งงานลูกสาว ทุกอย่างเหมือนเป็นหมากที่วางแผนมาหลายตลบ เตรียมการมาเป็นอย่างดีเพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายสูงสุด แม้จะต้องยอมเสี่ยงกับเสียงต้านเสียงค้านทั้งจากมวลชนและอำนาจนอกระบบ แม้จะยังปกปิดเป็นความลับ แต่ข้อมูลที่หลุดออกมาพบว่าเนื้อหาใน พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ถูกล็อกสเปกให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งเรื่องอายุเกิน 60 ปี โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน โดยเฉพาะการตัดถ้อยความข้อยกเว้นเรื่องโทษที่เกี่ยวกับยาเสพติดและคอร์รัปชันออกไป เพื่อลดแรงเสียดทานที่จะส่งตรงไปถึง“ยิ่งลักษณ์” ในฐานะน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณการจัดฉากที่ดูไม่แนบเนียนจึงเกิดขึ้น ทั้งวาง “ยิ่งลักษณ์” ไปติดภารกิจที่ จ.สิงห์บุรี ไม่สามารถกลับมานั่งหัวโต๊ะประชุม ครม. ส่งไม้ให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รับภารกิจหินครั้งนี้ ทว่าข้อมูลที่ตามมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิคของเฮลิคอปเตอร์ที่ว่ากันว่าเป็นเหตุให้นายกฯ ต้องนอนค้างสิงห์บุรี ไปจนถึงเรื่องที่การตัดสินใจไปบันทึกเทปแทนการเข้าประชุม ครม.ที่ยังพอมีเวลาหลังจากกลับมาถึง กทม. ล้วนแต่ตอกย้ำถึงความผิดปกติ ต้องยอมรับว่าตั้งแต่รัฐบาลเข้าทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง อาการลุกลี้ลุกลนเดินหน้าพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ เหมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลทุ่มสุดตัวพยายามผลักดันให้เป็นรูปเป็นร่างด้วยวิธีการต่างๆ ไล่มาตั้งแต่การปัดฝุ่นหยิบเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ของกลุ่มเสื้อแดงกว่า 3 ล้านรายชื่อ ที่ถูกดองไว้นานในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ขึ้นมาพิจารณาเร่งด่วน แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักไปเมื่อติดเงื่อนไขสำคัญ ด้วยการไม่เคยรับโทษมาก่อนและกำลังหลบหนีคดี ถัดมาที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือการเสนอแก้ไข รัฐธรรมนูญที่กำลังเดินหน้าไปตามกระบวนการ แต่ทว่าหากเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่างดูจะกินเวลาข้ามปี โดยเฉพาะในวันที่คนทั้งชาติกำลังให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด ยังไม่รวมกับกระแสข้อเสนอจากหลายฝ่าย อาทิ คณะนิติราษฎร์ที่เรียกร้องให้ล้มเลิกคำพิพากษาของศาลฎีกา ย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนปฏิวัติที่มีเสียงวิจารณ์คัดค้านตามมา แต่แนวทางต่างๆ กว่าจะทำได้ก็ช้ามาก ต้องใช้ทางด่วนอย่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นความเสี่ยงสูงสุดที่รัฐบาลยอมแลก !!! ล่าสุด โจทก์เก่าอย่าง “เสื้อเหลือง” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศจองกฐินพร้อมออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องนี้แบบเต็มตัว ชัดเจนตามแถลงการณ์ฉบับที่ 7/2554 “รำลึก 3 ปีวีรชน 193 วัน กับก้าวต่อไปของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งประกาศในวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะเคลื่อนมวลชนออกมาชุมนุมทันทีเมื่อมีการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทว่า พลังความเข้มแข็งที่เคยปักหลักชุมนุมยืดเยื้อขับไล่รัฐบาลทักษิณในวันนั้น ยังเป็นที่กังขาว่าจะกลับมาเหนียวแน่นดังเดิมได้หรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากเกิดความแตกแยกภายในอย่างรุนแรงหลังจากออกมาตั้งพรรคการเมืองเต็มตัว แต่ล่าสุดสัญญาณจาก สนธิ ลิ้มทองกุลหัวขบวนเสื้อเหลืองที่ออกมาประกาศชัดเจนว่าจะไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ และกำลังจะพิจารณาเนื้อหาสาระของ พ.ร.ฎ.นี้อย่างรอบคอบ และจะประชุมกันเพื่อกำหนดท่าทีโดยเร็วที่สุด “เราจะไม่อยู่เฉย เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ และถือเป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเราก็พูดมานานแล้วว่าถ้าไม่ละเมิดสถาบันหรือช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เราก็จะอยู่เฉยๆ แต่การทำอย่างนี้ถือเป็นการท้าทายประชาชน รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ที่รักความเป็นธรรม และรักพระเจ้าอยู่หัวทั้งประเทศ ผมเตือนว่าพรรคเพื่อไทยต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลัง พวกเราจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่นอน” ตามมาด้วยกลุ่ม 40 สว. ที่ออกมาเคลื่อนไหวชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ฎ.นี้ รวมไปถึงเครือข่ายภาคประชาชน อย่างเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันล่าชื่อยื่นฎีกาถวายคัดค้าน ครม. ออก พ.ร.ฎ. ซึ่งมีประชาชนกว่า 200 คน เข้าร่วมรับฟัง และลงชื่อร่วมถวายฎีกา พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ จึงกลายเป็นการ “เรียกแขก” ดึงให้คู่ขัดแย้งจากระบอบทักษิณในอดีตที่กระจัดกระจายไปนาน ให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง มิพักต้องพูดไปถึงการปฏิวัติรัฐประหารที่หลายฝ่ายพยายามออกมาตีกัน แม้ในข้อเท็จจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อำนาจนอกระบบจะอาศัยความไม่ปกติของสังคมเข้ามารีเซตระบบอย่างที่เคยทำๆ เมื่อบทเรียนความบอบช้ำในอดีตยังตามหลอกหลอนจนถึงวันนี้ ลำพังเสียงของเพื่อไทยในสภาก็ท่วมท้นเกินกว่าที่จะเกิด “งูเห่าภาค 3” หรือการที่กองทัพเข้ามามีอำนาจช่วยพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้ในสถานการณ์เช่นนี้ การฟื้นคืนของพันธมิตรฯ และมวลชนกลุ่มใหม่ที่จะออกมาคัดค้าน พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ จึงจะเป็นแรงเสียดทานที่รัฐบาลกำลังจะต้องเผชิญ และซ้ำเติมให้การบริหารที่กระท่อนกระแท่นอยู่แล้ว ให้เลวร้ายหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 21:03:28 อภัยโทษ ทักษิณ เผาเศรษฐกิจเละเป็นจุล
17 พฤศจิกายน 2554 เ วาระลับของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โดย...ทีมข่าวการเงิน วาระลับของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2555 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นร้อนแต่ในด้านการเมืองเรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ภายใต้แรงผลักของพรรคเพื่อไทย จนอาจทำให้เกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองรอบใหม่เท่านั้น รังสีของผลกระทบจากการอภัยโทษยังลามไปถึงเศรษฐกิจไทยที่ตกอยู่ในอาการโคม่าจากน้ำท่วมและเศรษฐกิจโลก อาการหนักอาจเอาชีวิตไม่อยู่ ตายสนิททั้งพิษนอกพิษใน และยังต้องมาเจอมรสุมการเมืองรอบใหม่อีกแบบไม่ควรเจอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สำหรับนักการเงิน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ เมื่อได้ยินข่าว “ครม.ยิ่งลักษณ์ ยิ่งเหลิม” ลักไก่เห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ถึงกับกุมขมับ หลายคนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อทำใจกับความเสี่ยงและหายนะทางเศรษฐกิจรอบใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาในเวลาอันใกล้นี้ นักธุรกิจ นักการเงินทุกคนต่างฟันธงลงไปคล้ายคลึงกันว่า หากการเกิดจลาจลกลางเมืองหลวงรอบใหม่ เศรษฐกิจไทยต้องตายสนิท นอนจมก้นเหว หาทางฟื้นไม่เจอแน่ เพราะเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อ่อนแอ่เปราะบาง อมโรค ไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนเกิดจลาจลม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดง ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ถึงตอนนี้ทุกคนไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ หากย้อนกลับไปสมัยม็อบเสื้อเหลืองขับไล่ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จนต่อเนื่องมาถึงขับไล่ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551 จนถึงขั้นมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง การปิดสนามบินของม็อบเสื้อเหลืองเป็นเหมือนการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวของไทยช่วงไฮซีซันพังยับเยิน การส่งออกเป็นอัมพาต ทำให้เศรษฐกิจสะดุดเสียหายยับ โชคดีที่เศรษฐกิจไทยช่วงนั้นยังไม่อ่อนแอมาก พื้นฐานแข็งแรง ปัจจัยภายนอกไม่มีกัดกร่อน ปัจจัยลบภายในก็มีเรื่องการเมืองที่ไม่สงบและยืดเยื้อ แต่พอหักกลบลบหนี้ต้องถือว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบสาหัส เศรษฐกิจไตรมาส 4 ของปี 2551 ที่เดิมว่าจะขยายตัวติดลบถึง 4.3% จากเดิมที่ 3 ไตรมาสแรกขยายตัวเฉลี่ยได้ถึง 5% ทำให้ทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.6% ชะลอตัวลงมากเมื่อเทียบกับการขยายตัวปี 2550 ที่ 4.9% หลังจากนั้น ปี 2552 และปี 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยโดนม็อบเสื้อแดงพ่นพิษลากยาวต่อจากม็อบเสื้อเหลือง จนแทบจะเรียกได้ว่าเกิดสงครามการเมืองถึง 2 ปีติด กระทบเศรษฐกิจบอบช้ำหนัก การขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2552 ติดลบ 2.3% สาเหตุปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจโลก ขณะที่การขยายตัวเศรษฐกิจปี 2553 ขยายตัวได้ 7.8% แม้ว่าจะมีปัญหาม็อบเสื้อแดงเผาเมือง แต่โชคดีเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การส่งออกขยายตัวดี การท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มเป็นปกติ รวมทั้งรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น โดยอัตราการว่างงานอยู่ในอัตราที่ต่ำ และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจากการทำงบประมาณขาดดุล 34 แสนล้านบาท และยังมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุนกระจายรายได้อีกทางหนึ่งด้วย จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาช่วงปี 2551-2553 ถึงแม้มีปัญหาการเมือง ก็ยังโชคดีว่าพื้นฐานดี ความเสี่ยงต่างประเทศไม่รุนแรง และมีการระดมกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจยังยืนอยู่ได้ไม่ยาก แม้ว่าจะลงเหวติดลบ แต่ก็สามารถปีนกลับมาขยายได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2554 เทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ต่างกันราวฟ้ากับดิน ปัจจัยภายนอกจากต่างประเทศกระทบหนักเพราะอยู่ในห้วงระส่ำ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวไม่ชัดเจน หนี้ยุโรปที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้กระทรวงการคลังประเมินว่ากระทบการขยายตัวของไทย 0.2% ซึ่งหากปัญหาลุกลามมากขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบกับไทยมากขึ้น ขณะที่ในประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่หลายคนพอจะจินตนาการได้ ฤทธานุภาพของน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ลากยาวหลายเดือน จมนิคมอุตสาหกรรมไป 7 แห่ง บ้านเรือนจมอยู่ใต้น้ำนับไม่ถ้วน น้ำท่วมขังมาแล้ว 12 เดือน และยังไม่มีท่าทีจะแห้งภายใน 12 สัปดาห์ตามที่รัฐบาลคุยไว้ ทั้งหลายทั้งปวงมีการคาดกันว่าน้ำท่วมทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวหายไป 2% เป็นอย่างน้อย ย้ำว่าเป็นอย่างน้อย เมื่อรวมกับผลกระทบเศรษฐกิจต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 45% เหลือแค่ 1.82.6% เท่านั้น เรียกว่าหายไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ยังมีการประเมินกันว่าผลกระทบน้ำท่วมจะลามไปถึงปี 2555 ให้ล้มระเนระนาด หากรัฐบาลมีแผนฟื้นฟูไม่ดี จะทำให้การขยายตัวเดี้ยงไม่เป็นไปตามแผนที่รัฐบาลประมาณไว้ว่าจะขยายตัวได้ 45% เพราะตอนนี้ความมั่นใจทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมีปัญหาหนักในเรื่องของความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล ที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยไม่ยอมต่อประกันให้ผู้ประกอบการ ทำให้มีการคิดย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น เป็นลางร้ายซ้ำเติมการลงทุนการส่งออกเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย ยิ่งล่าสุดมีมรสุมการเมืองรอบใหม่ในเรื่อง “อภัยโทษให้กับนายทักษิณ” เข้ามาสุมไฟเศรษฐกิจไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่มีเวลาหายใจ เพราะแทนที่รัฐบาลจะมีเวลาไปฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายยับเยินให้กลับมาเหมือนเดิมไวที่สุด ก็ต้องมานั่งแก้ต่างดับไฟร้อนการเมืองที่ดูแล้วยิ่งแก้ยิ่งติดใจ เศรษฐกิจก็ยิ่งอึดอัดอมทุกข์ อมไข้ เหมือนเป็นฝีหัวช้าง รอวันหนองแตก ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเรื่องกฎหมายอภัยโทษ รัฐบาลก็แก้ปัญหาน้ำท่วมได้แย่ ขาดประสิทธิภาพ มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส ยังมีคนโดยเฉพาะใน กทม.ยังอยู่ในน้ำเน่า ขณะที่แผนฟื้นฟูหลังน้ำท่วมก็ยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง นอกจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเป็นไม้ค้ำยันรัฐบาลเท่านั้น จะเห็นว่าแค่ร่างกฎหมายอภัยโทษหลุดมาแค่วันสองวัน ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านแทนที่จะได้เดินหน้าปรองดองช่วยกันดึงเศรษฐกิจให้พ้นจากจมน้ำเน่า กลายเป็นว่าฝ่ายค้านต้องนั่งตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลที่ออกกฎหมายอภัยโทษ ขณะที่รัฐบาลก็ต้องหาทางหนีทีไล่ เอาตัวรอดจากการออกกฎหมายแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไปวันๆ สุดท้ายเศรษฐกิจก็เคว้ง เพราะทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องมางัดข้อสู้กันกับความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ ที่ทำท่าลุกลามขยายวงกว้างเร็วขึ้น เพราะมีมวลชนไม่พอใจรัฐบาลที่แอบช่วยนายใหญ่ ซึ่งอ่อนไหวต่อการเป็นสงครามการเมืองกลางเมืองรอบใหม่ กรณีที่เลวร้ายมากสุด หากเกิดวุ่นวายเหมือน 3 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำกว่า 2.6% ที่ประเมินไว้อย่างแน่นอน ส่วนปีหน้าก็ประเมินแทบไม่ได้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เพราะความขัดแย้งรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอด จากปิดสนามบิน มาปิดเมืองเผารถเมล์ มาถึงปิดเมืองเผาบ้าน ยิงกัน ไม่ต่างอะไรกับสงครามกลางเมือง ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจประเมินว่า หากมีความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่จะใหญ่กว่า แรงกว่า และเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ปัญหารุมเร้า หากมีปัญหาการเมืองรุนแรงเข้ามาเพิ่ม ก็ถึงเวลาเศรษฐกิจไทยหมดอนาคต หากวันนี้รัฐบาลยังเดินหน้าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของคนคนเดียว โดยไม่คำนึงภาพรวมของสังคมและเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเอาไม่อยู่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 21:05:54 ประธานสภาอุตฯ หางโผล่ หนุนพา “ทักษิณ” กลับบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ASTVผู้จัดการรายวัน - ประธาน ส.อ.ท.เปิดเผยตัวตนหนุนรัฐบาลออก พ.ร.ฎ. พา “ทักษิณ” กลับบ้าน อ้างรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งต้องเคารพประชาธิปไตย แต่พอถามจุดยืนต้านคอร์รัปชันกลับอ้ำอึ้ง อ้างไม่รู้รายละเอียด พ.ร.ฎ. นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการพิจารณาวาระลับการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ ซึ่งมีเนื้อหาที่เป็นคุณต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ต้องการเห็นประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องความขัดแย้ง เพราะกรณีนี้มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้าน แต่ไทยได้ผ่านจุดการเลือกตั้งมาแล้วคงจะต้องเคารพฟังเสียงคนส่วนใหญ่ “มันมีทั้งการคัดค้านและสนับสนุน แต่ขณะนี้เรามีการเลือกตั้งแล้วก็ต้องเคารพเสียงคนส่วนใหญ่ที่เลือกมา 15 ล้านเสียง เอกชนเป็นห่วงหากขัดแย้งเพราะไม่เกิดประโยชน์ ปัญหาการเมืองเรามันฝังรากลึกมายาวนานแล้วจะต้องหาทางแก้ไข ควรเดินไปข้างหน้าได้แล้ว” นายพยุงศักดิ์กล่าว รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามกลับว่า การกระทำของรัฐบาลในช่วงภาวะน้ำท่วมควรที่จะทบทวนหรือไม่ นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า เราเองไม่อยากพูดประเด็นการเมือง แต่รัฐบาลเองสามารถที่จะทำเรื่องต่างๆ ได้เหมือนที่เราต้องทานข้าว แล้วหยุดทานได้หรือไม่ เหมือนกับที่รัฐบาลเองก็สามารถที่จะพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่ต้องดูแลภาพรวมทั้งสังคม เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เนื้อหา พ.ร.ฎ.เป็นการส่งสัญญาณว่าการคอร์รัปชันจะเป็นเรื่องปกตินั้นมองเรื่องนี้อย่างไร นายพยุงศักดิ์ ระบุว่า ไม่รู้รายละเอียดของเนื้อหา ส่วนประเด็นที่ ส.อ.ท.ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชันจะมีการพิจารณาปัญหาการทุจริตของรัฐบาลโดยเฉพาะกรณีถุงยังชีพหรือไม่นั้น เห็นว่า มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นๆ อยู่แล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 21:08:36 คณาจารย์ 7 ม.ดัง เข้าชื่อค้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ-ชี้จุดชวนขัดแย้งซ้ำเติมวิกฤต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ยังหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เป้าหมายหลักในการออกพระราชกฤษฎีกาพระราขทานอภัยโทษของรัฐบาลชุดนี้ คณาจารย์ 7 มหาวิทยาลัย เข้าชื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลทบทวน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ระบุประชาชนกำลังทุกข์ยากจากอุทกภัย แต่รัฐบาลกลับประชุมลับออก พ.ร.ฎ.แบบปิดบังซ่อนเร้น ส่อเจตนาช่วย “ทักษิณ” นำสู่ความแตกแยกขัดแย้ง ซ้ำเติมภาวะวิกฤต จี้เปิดเผยรายละเอียดร่าง พ.ร.ฎ.พร้อมแจ้งเหตุผลโดยเร็ว วันที่ 17 พ.ย. คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย 7 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงการณ์ จำนวน 88 คน ได้ลงนามในแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ตามที่ ครม.ได้ประชุมลับเพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ มีดังนี้ เรียกร้องรัฐบาลให้ยุติการสร้างเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม ใช้อำนาจรัฐให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม เป็นไปตามหลักสุจริตอย่างเปิดเผยโปร่งใสและเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ในขณะที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งสำคัญที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนนับล้านๆ ครัวเรือน ท่ามกลางความทุกข์ยากของผู้คนที่ต้องต่อสู้กับชะตากรรมอันสืบเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของฝ่ายรัฐ แทนที่รัฐบาลจะต้องระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเยียวยาความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน รัฐบาลภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับฉกฉวยโอกาสในภาวะวิกฤตมหาอุทกภัยดังกล่าวอาศัยการประชุมลับของคณะรัฐมนตรีออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษโดยมีความมุ่งหมายเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นการกระทำที่เป็นการลุแก่อำนาจที่มีลักษณะเป็นการปิดปังซ่อนเร้น หากสภาพการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้กรณีนี้อาจจะนำไปสู่การสร้างความแตกแยกซ้ำเติมวิกฤตจากมหาอุทกภัยที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ คณาจารย์ดังมีรายนามข้างท้ายนี้ ขอเรียกร้องและคำชี้แจงจากทางรัฐบาล ดังนี้ ๑. ให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินการใดๆที่เกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่สอดคล้องกับ “นิติประเพณี” ที่ได้กระทำมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขหลักเกณฑ์เพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับอภัยโทษตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือ “นิติประเพณี” ที่ได้กระทำกันมา ๒. การเสนอเรื่องร่างพระราชกฤษีกาอัยโทษในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ หรือไม่ ๓. เพื่อให้กระบวนการตรากฎหมายที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนเป็นไปโดยเปิดเผยและโปร่งใส ให้รัฐบาลนำร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเปิดเผยต่อสาธารณชนโดยเร็ว เพื่อให้สาธารณชนได้แสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวว่าสอดคล้องกับกฎหมายหรือ “นิติประเพณี” หรือไม่เพียงใด ๔. ขอให้รัฐบาลชี้แจงเหตุผลในการตัดหลักเกณฑ์ของผู้อยู่ในข่ายที่จะได้รับการอภัยโทษตามร่างพระราชกฤษฎีกาโดยเฉพาะในประเด็น ดังต่อไปนี้ ก. ผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษไม่จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกักขังหรือมีตัวอยู่ในการควบคุมของทางราชการหรือไม่ ข. การอภัยโทษครอบคลุมคดีเกี่ยวกับยาเสพติดหรือคดีทุจริตหรือไม่ และ ค. หลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี และจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่เพียงใด คณาจารย์ดังมีรายนามข้างท้ายขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจรัฐให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรม กระทำการอย่างตรงไปตรงมาตามหลักสุจริตและเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม หากรัฐบาลยังมีพฤติการณ์ใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส กระทำการเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ รัฐบาลจะต้องพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจจะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมท่ามกลางวิกฤตมหาอุทกภัยที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ รายชื่อคณะอาจารย์ที่คัดค้าน พ.ร.ฎ.ขออภัยโทษ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 1. รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ 2. ดร.ชำนาญ วัฒนศิริ 3. รศ.สุปราณี อัทธเวรี 4. ดร.สมสิริ รุ่งอมรรัตน์ 5. ดร.จรูญ รุ่งอมรรัตน์ 6. ดร.สรรเสริญ จำปาทอง 7. ดร.ชะบา จำปาทอง 8. ดร.ร่มเย็น โกไศยกานนท์ 9. อ.ทรงสรรค์ อุดมศิลป์ 10. ดร.พลวัต ประพัฒน์ทอง 11. รศ.ดร.วาริณี เอี่ยวสวัสกุล 12. รศ.ดร.มุกดา หนุ่ยศรี 13. รศ.ดร.ศรีนวล โอสถเสถียร 14. รศ.พ.ต.อ.หญิง ดวงกมล ปิ่นเฉลียว 15. ผศ.ดร.อารี ชีวเกษมสุข 16. ดร.ชื่นจิตร โพธิศัพท์สุข 17. ดร.เรณุการ์ ทองคำรอด 18. อ.สุพัตรา มะปรางหวาน 19. อ.วณิภา ทับเที่ยง 20. รศ.ดร.จุฑา มนัสไพบูลย์ 21. ผศ.ศุภสิน สุริยะ 22. ผศ.ดร.บุษบา สิทธิการ 23. ผศ.ดร.แสงจันทร์ กันตะบุตร 24. อ. ดร.ปิยธิดา เพียรลุประสิทธิ์ 25. อ. ดร.ณัฐพรพรรณ อุตมา 26. อ. ดร.ฉัตรฤดี จองสุรียภาส 27. อ. ดร.ชัชชญา ยอดสุวรรณ 28. อ. ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ 29. ดร.ภูมิพัฒน์ มิ่งมาลัยรักษ์ 30. อ. ร.อ.กำจัด เล่ห์มงคล 31. อ.วิยะดา เสรีวิชยสวัสดิ์ 32. อ.วราพงษ์ กาญจนาภา 33. อ.ชัยวัฒน์ ทองอินทร์ 34. อ.รัชฎาภรณ์ พุฒจร 35. อ.สุจิตราภา พันธ์วิไล 36. อ.เดชอนันต์ บังกิโล 37. อ.สุดศิริ รุ่งเรือง 38. อ.ตุลยา ตุลาดิลก 39. อ.นรเศรษฐ์ พลศิลปะ 40. อ.ณัฎฐิรา หอพิบูลสุข 41. อ.อิสรี แพทย์เจริญ 42. อ.เอกกวีร์ วินิจเขตคำณวน 43. อ.รตนพร เพ็ญพิมล 44. อ.ณัฐภรณ์ ภูริปัญญวานิช 45. อ.อรวรรณ จำพุฒ 46. อ.สุเทพ นิ่มสาย 47. อ.พินทุสร อ่อนเปี่ยม 48. อ.ประสพศิริ ประเทศรัตน์ 49. อ.พรพิมล ไชยสนิท 50. อ.ภัทรพร กัลยา 51. อ.พรวศิน ศิริสวัสดิ์ 52. อ.นัดดากร นิมิตรุ่งทวี 53. อ.ณรัฐ หัสชู 54. อ.ธิดารัตน์ บัวดาบทิพย์ 55. รศ.ดร.วัฒนา สุวรรณแสง จั่นเจริญ 56. ดร.สุรพันธ์ จั่นเจริญ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 1. รศ.ดร.อัจฉรา จิตตลดากร 2. รศ.ดร.ดุสิต เวชกิจ 3. รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คงสม 4. รศ.ดร.อัจฉรา โพธิ์ดี 5. รศ.ดร.สัจจา บรรจงศิริ 6. ผศ.ดร.มณฑิชา พุทชาคำ 7. ผศ.จิตติมา กันตนามัลลกุล 8. รศ.ส่งเสริม หอมกลิ่น 9. อ.คณธิศ มุงจองกลางกุล 10. อ.ปิลันธนา แป้นปลื้ม 11. อ.อิงอร ไชยเยศ 12. อ.ปริชาติ ดิษฐกิจ 13. อ.สิริลักษณ์ นามวงศ์ 14. รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ 15. รศ.ดร.จีระ ประทีป 16. ผศ.ทวี สุรฤทธิ์กุล 17.อ.คมสันต์ โพธิ์คง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1. รศ.ดร.วิจิตรา ฟุ้งลัดดา วิเชียรชม 2. รศ.ดร.สุรศักดิ์ มณีศร 3. ผศ.ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์ 4. รศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 1. อ.จุมพล ชื่นจิตรศิริ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ 1. ดร.สุวิมล เฮงพัฒนา สถาบันบัณพิตพัฒนบริหารศาสตร์ 1. รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน 2. รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ 3. ผศ.ดร.นวลนดา สงวนวงษ์ทอง 4. ผศ.ดร.สมบัติ กุสุมาวลี 5. ผศ.ดร.วิวรรณ เอื้อพันธ์วิริยะกุล 6. ผศ.ดร. อนันต์ วัฒนกุลจรัส 7. รศ.ดร.จิรประภา อัครบวร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1.ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 พฤศจิกายน 2554, 21:19:20 “เหลิม” เดือดดวลฝีปากนักข่าว โดนจี้ออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษเพื่อ “แม้ว” เมินม็อบต้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันนี้ (17 พ.ย.) ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้ายจะตั้งกระทู้ถามสดถึงการประชุมลับของคณะรัฐมนตรีที่มีการพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ที่อาจมีเนื้อหาเอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ตนพยายามชี้แจงให้มากที่สุด แต่ว่าคงลงรายละเอียดไม่ได้ เพราะหากชี้แจงแล้วสุดท้ายบทสรุปไม่เป็นไปตามที่ตนชี้แจงก็จะเกิดความเสียหายกับทุกภาคส่วน แต่ขอยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และไม่ทำอะไรเพื่อคนคนเดียวโดยเด็ดขาด กรอบกฎหมายเป็นอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น แนวคิดและนโยบายของแต่ละรัฐบาลมีความแตกต่างกัน นโยบายของพรรคการเมืองก็แตกต่างกัน อย่างกรณีนโยบายการรับจำนำหรือประกันราคาข้าวก็เห็นแตกต่างกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพูดเช่นนี้เท่ากับว่าการคืนความเป็นธรรม หรือการพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านเป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ขอไม่พูดรายละเอียด เพราะใน พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ ไม่ได้กำหนดตัวบุคคล หากมีกฎหมายแล้วก็ต้องประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา คงจะพูดก่อนไม่ได้ ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ ส่วนการที่มีการวิจารณ์รัฐบาลกระทำระคายเบื้องพระยุคลบาทนั้น ตนขอไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องไม่บังควร แต่ยืนยันว่ารัฐบาลทำภายใต้กรอบของกฎหมาย เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม เคยออกเอกสารเกี่ยวกับขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ ถึงขณะนี้ยังยืนยันขั้นตอนตามเอกสารเดิมหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ตนไม่เคยจัดทำเอกสารดังกล่าว คงเป็นความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงการรวบรวม พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ของปี 50 และปี 53 มาบอกนักข่าว ไม่ใช่เป็นเอกสารของตน ซึ่งยอมรับว่าหลักการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ของทุกรัฐบาลล้วนจะแตกต่างกัน เพราะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน บางรัฐบาลก็เขียนกฎเกณฑ์อยู่เหนือกฎหมาย สำหรับรัฐบาลชุดนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการมากว่า 20 คน ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่รัฐบาลทำเอง เป็นเรื่องที่กระทรวงยุติธรรมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการต่อ ซึ่งหาก ครม.อนุมัติแล้วจะส่งไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาความถูกต้องอีกครั้ง หากกฤษฎีกาเห็นว่าไม่ผิดกฎหมายก็จะส่งเรื่องเพื่อนำทูลเกล้าฯ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาขององคมนตรีอีกด้วย เมื่อถามว่า เมื่อเป็นการเสนอเรื่องโดยกระทรวงยุติธรรม เหตุใดจึงบอกว่าไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า อะไรก็ตามที่ไม่ผิดกฎหมาย ตนกล้าทำ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เมื่อถามย้ำว่ามีความกังวลหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวตอบว่า น้ำผึ้งไม่ได้มีหยดเดียว แต่น้ำผึ้งมีเป็นขวด ตนเชื่อว่าไม่มีเรื่องอะไร พวกที่ไม่เข้าใจก็ชี้แจงเมื่อเรื่องเสร็จก็จะเรียบร้อยทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผย เพราะเรื่องยังไม่แล้วเสร็จ ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักษ์สันติ ในฐานะอดีต รมว.ยุติธรรม สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ไม่ถือเป็นความลับ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า นักการเมืองจะเห็นเหมือนกันได้อย่างไร หากเห็นเหมือนกันตอนเลือกตั้งก็คงได้คะแนนเท่ากันไปแล้ว เมื่อถามต่อว่า หากประเด็นเรื่องออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ไม่ใช่ความลับแล้วมีเหตุผลใดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องลับเพราะยังไม่แล้วเสร็จ การจะเป็นความลับหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี ไม่มีอะไรพิเศษ บางคนสงสัยว่าเหตุใดตนต้องรับผิดชอบในเรื่องการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ก็เป็นเพราะตนจบดอกเตอร์ทางกฎหมาย ส่วนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ก็ชำนาญด้านรัฐศาสตร์ สำหรับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ก็เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งครั้งนี้อาจจะไม่ใช่กณรีพิเศษเพียงครั้งเดียว ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ตามปกติการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า หากพูดอะไรไปก็เกรงว่าจะกระทบใจนักข่าว ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ พิจารณา 311 วาระในวันเดียวยังสามารถทำได้ และหากทำเหมือนกันทุกเรื่อง พรรคประชาธิปัตย์คงไม่แพ้เลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทยคงไม่ได้มาถึง 265 ที่นั่ง ต่อข้อถามถึงความเป็นห่วงในฐานะคณะรัฐมนตรี ว่าจะเกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และมีการออกมาชุมนุมกันอีกครั้ง ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เชื่อว่าคงไม่มี อีกอย่างส่วนตัวไม่เคยมองโลกในแง่ร้าย ในเมื่อรัฐบาลทำตามกฎหมาย ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากเป็นเรื่องที่ทำผิดกฎหมายตนคงไม่เอาด้วย ส่วนการเคลื่อนไหวของนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดรที่จะมีการรวบรวมมวลชนนั้น ตนไม่ทราบ และไม่เคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดง จึงไม่รู้ว่าเป็นการระดมมวลชนแบบใด เมื่อถามว่า การถวายคำแนะนำถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการรับรองของคณะรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เมื่อถามย้ำอีกว่า ในส่วนของความเหมาะสมและเหตุผลที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งของบ้านเมืองอยู่ในขอบข่ายที่ต้องนำมาพิจารณาหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ไม่มีอะไรขัดแย้ง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของสังคมออนไลน์หรือกลุ่มต่างๆ เพื่อต่อต้านนั้น ถือเป็นสิทธิ สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยต้องรับฟังความเห็นทุกภาคส่วน เมื่อถามต่อว่า หากมีความมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่ทำถูกกฎหมายแล้ว เหตุใดจึงไม่สามารถเปิดเผยได้ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลาแม่คุณทูนหัว” เมื่อถามว่า หากทำเช่นนี้มองหรือไม่ว่าจะเป็นการกดดันองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะต้องทำตามในสิ่งที่มีการถวายคำแนะนำ รองนายกฯ กล่าวตอบว่า “ผมไม่ตอบ เพราะหากยืนสัมภาษณ์ต่อไป คุณสมจิตร (น.ส.สมจิตร นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานที่โทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ซึ่งเป็นผู้ถาม) อาจจะเป็นผู้ที่ติดคุก” สำหรับกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าหลักเกณฑ์ใน พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ที่ออกในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังมีการระบุว่าผู้ที่ได้รับการอภัยโทษ ต้องมาอยู่ในสถานที่คุมขังก่อน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เรื่องนี้ตนสามารถตอบได้ซ้ำไปซ้ำมาว่าจะทำได้ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย รวมทั้งขอปฏิเสธด้วยว่า เหตุที่ไม่เปิดเผยเรื่องออกมาตอนนี้ ไม่ได้กังวลว่าสังคมจะออกมาต่อต้าน เพราะไม่มีความจริงใดที่จะปิดบังเป็นความลับได้ตลอด ส่วนใครจะออกมาต่อต้านก็ขอให้ต้านไป ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเกิดความขัดแย้งขึ้นในช่วงวันมหามงคล คณะรัฐมนตรีจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวตอบว่า “คุณสมจิตรเป็นนักข่าวมานาน ผมไม่อยากต่อว่า อะไรที่มันเปิดไม่ได้ ผมก็ยังไม่เปิด คุณถามผมไม่จนหรอก คำถามนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าถาม รู้สึกว่าคุณกล้าจริงๆ เลย” เมื่อถามอีกว่า คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับมาภายในปีนี้ตามที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ตนปราศรัยในช่วงเลือกตั้ง ที่เมื่อไปในพื้นที่ที่มีคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ หากไม่พูดถึงจะเป็นไปได้อย่างไร ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับมาหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะว่า พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ยังไม่ออก ผู้สื่อข่าวพยายามถามย้ำว่า หากพูดเช่นนี้แล้ว ความรับผิดชอบของนักการเมืองในการปราศรัยหาเสียงอยู่ที่ใด ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวถึงกรณีผู้เสียชีวิต 91 รายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าเรื่องนี้ยังไม่มีคนตายเลย เหตุใดจึงพยายาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้มีโอกาสเข้าร่วมงานฉลองมงคลสมรสของ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวหรือไม่ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “แล้วคุณจะไปพาดพิงอะไรเรื่องครอบครัวคนอื่น ซึ่งผมคงตอบคำถามแทนไม่ได้ มีเคเบิลทีวีช่องไหนขอให้นำคำพูดของคุณสมจิตรไปออกทุกคำพูดหน่อย” เมื่อกล่าวจบ ร.ต.อ.เฉลิมได้เดินออกจากวงล้อมสื่อมวลชน โดยกล่าวทิ้งท้ายว่าตนไม่เคยหนีนักข่าว เพราะเป็นคนชอบพูด แต่ที่ต้องไปวันนี้ เพราะกลัวมีคนติดคุก ผู้สื่อข่าวรายงานในระหว่างการให้สัมภาษณ์นั้น บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด และมีการตอบโต้กันไปมาระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิมกับผู้สื่อข่าวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคำถามถึงการเอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ครั้งนี้ รวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้พระราชอำนาจ โดย ร.ต.อ.เฉลิมได้พยายามหลีกเลี่ยง โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรและอาจเข้าข่ายการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมไปถึงพยายามตักเตือนผู้สื่อข่าวว่า บางคำถามมีความไม่เหมาะสม และขอให้ทีวีดาวเทียมบางช่องนำถ้อยคำของผู้สื่อข่าวไปออกอากาศทั้งหมดอีกด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 10:48:27 นครสวรรค์รับครัวเรือนละ 30,000 บาท ที่อื่นได้รับเท่าไหร่เอ่ย
เห็นภาพแล้วยิ่งเลอะจริง ๆ ทำไปได้ไงเนี่ย …. ทำไมชดเชยที่นครสวรรค์ได้หลังละ 30,000 บาท แจกกันครึกครื้น แต่ที่อื่นท่วมเหมือนกันแต่ให้เพียงหลังละ 5,000 บาท หาเสียงล้วนๆ หรือเลือกปฏิบัติ ถ้าเป็นเงินส่วนตัว เขียนป้ายแบบนี้ก็ไม่ว่าอะไรศรัทธาด้วย แต่ถ้าเป็นเงินหลวง ต้องเสมอภาคทุกหลัง 30,000 ภาพนี้ดูแล้วคิดว่ามันโจ๋งครึ่มไปไหมครับ หมายเลข 1. ถ้าเป็นเงินส่วนตัวของท่าน เขียนป้ายแบบนี้ผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ ศรัทธาด้วย แต่ถ้าเป็นเงินหลวง ก็ต้องเสมอภาคทุกหลัง 30 000 นะครับ หมายเลข 2. ท่านกำลัง"กำกับการโพสต์" ให้โชว์เงินสดเหรอครับ หมายเลข 3. ป้ามือไม่มีแรง เงินสดไม่แบออกมา เลยมีผู้เอามือมาช่วยกลัวไม่เห็นเงิน หมายเลข 4. ชูขึ้นมาสูงๆ เดี๋ยวไม่เห็นเงิน หมายเลข 5. กำกับการโพสต์ถ่ายให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ยังด้านกันอีกหรือครับเขียนไม่อายแผ่นดินไทย ลูกน้องท่านทำเรื่องใหญ่ๆไว้เยอะในของบริจาค แต่นี่ ท่านทำเองเลยนะนายกฯ ลาออกไปเถอะครับ!!!! เงินภาษีผม มาเขียนว่าบริจาคโดย ท่านได้ไง เงินท่านเหรอที่บริจาคน่ะ (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd30007_7204973_2658983_7338433photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 11:57:07 คลายเครียดครับ พี่น้อง
โรคบ้าๆ ที่มากับน้ำท่วม 555 อยากดูภาพประกอบ คลิก ไฟล์ ใต้หัวข้อ โรคเป๋อ http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-01.jpg โรคนี้ค้นพบครั้งแรกในจังหวัดปู้เอ่อ มณฑลยูนาน ประเทศจีน จึงเรียกกันว่าโรคปู้เอ่อ คนไทยเราเรียกเพี้ยนเป็น โรคปูเอ๋อ ต่อมาจึงลดรูปเหลือเพียง โรคเป๋อ เท่านั้น สาเหตุของโรคเกิดจากการขาดสารไอโอดีนมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายจึงไม่สามารถสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาสมอง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะคิดเฉื่อย ทำช้า มีปัญหาในการพูด พูดจาตะกุกตะกัก ลิ้นไม่สัมพันธ์กับฟัน พูดผิดบ้างถูกบ้าง แม้จะมีโพยให้อ่านก็ยังอ่านผิดอ่านถูก หากอาการหนักขึ้น จะทำให้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่สามารถควบคุมได้ บางครั้งอยู่ดีๆ ก็หัวเราะขึ้นมาในลิฟท์ หรือบางทีนั่งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ก็ร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ หากอาการหนัก ถึงขั้นจำแนกความแตกต่างของสิ่งของไม่ได้ เช่น แยกแยะระหว่างเรือดำน้ำ กับเรือดันน้ำไม่ออก เห็นหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก หรือไม่รู้ว่าเดือนพฤศจิกา ควรลงท้ายด้วย คม หรือ ยน ให้รีบนำส่งแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด หากโรคนี้เกิดกับผู้นำประเทศ จะมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า cAIDS ซึ่งมาจาก (crab's Abnormal, Idiot, and Dumb Syndrome) หรือภาวะภูมิผู้นำบกพร่อง ไม่ควรให้บริหารประเทศต่อไป เพราะจะทำให้ฉิบหายกันหมด เหมือนดังนิทานเรื่องแม่ปู กับลูกปู ที่แม่ปูไม่มีทางพาลูกปูเดินตรงทางได้ วิธีป้องกันสำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้คือ ทานอาหารที่มีสารไอโอดีน ซึ่งมีมากในอาหารทะเล แต่ในยามน้ำท่วม คงยากที่จะหาอาหารทะเลกินกัน จึงขอแนะนำให้พกเกลือไอโอดีนติดตัวไว้ใช้ในการปรุงรสอาหาร น้ำท่วมป(ล)อด http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-02.jpg เป็นอาการเกิดจากความดัน(ทุรัง)โลหิตสูงเกินปกติ ทำให้มักจะแสดงอารมณ์แบบสุดโต่ง ตัดสินใจผิดพลาด แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง (ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ) ยามใดมั่นอกมั่นใจก็ออกมาแสดงท่าทีขึงขัง โชว์พาวฯ เต็มที่ ประกาศกร้าว แต่พอผลออกมาแป้กก็ทำลอยหน้าลอยตา เหมือนไม่ได้ทำอะไรไว้ วันดีคืนดีก็ทำหน้าตาตื่นออกมาตะโกนโหวกเหวกให้ชาวบ้านขวัญผวา แต่จริงๆ ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเด็กเลี้ยงแกะในนิทาน หลังๆ ชาวบ้านรู้ทัน เลยไม่ให้ค่าอะไรต่อไปอีก ผู้ที่รู้สึกว่าเกิดอาการนี้ขึ้นกับตัวเอง ควรจะอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องเสนอหน้าออกมาให้ความเห็นอะไรอีกแล้ว เพราะมันไร้ค่า พูดไปก็เหมือนไม่พูดเพราะไม่มีใครสนใจฟังแล้ว ถ้ายังขืนทู่ซี้ต่อไป จะเกิดอาการเสียเซลฟ์จนพูดไม่ออก กลายเป็นโรคน้ำท่วมปากไปในที่สุด คางครก http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-03.jpg โรคนี้จะมีอาการคางบวมคล้ายโรคคางทูม แต่รุนแรงกว่าคือปูดบวมออกมาคล้ายรูปครก น่าเกลียดน่ากลัวมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตอแหล (Torlae Virus) อาจจะถึงขั้นตอแหลขึ้นสมองคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดคือความจริง คอยเพ้อแต่เรื่องทหารจะปฏิวัติ แรกๆ ก็ว่าทหารจะฉวยโอกาสน้ำท่วมปฏิวัติ ต่อมาก็เล่นลิ้นว่าโชคดีที่น้ำท่วมทหารเลยไม่ได้ปฏิวัติ พอเห็นประชาชนชื่นชมการทำงานของทหารในภาวะน้ำท่วมและต่อว่ารัฐบาลที่แก้ปัญหาไม่เอาอ่าว ก็ออกมาใส่ร้ายว่าทหารช่วยน้ำท่วมไม่เต็มที่จงใจจะวางยารัฐบาล ในขณะที่ตัวเองไม่เห็นทำ 5 อะไรกับเขา เอาแต่แหกปากไปวันๆ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ ควรจะสงบปากสงบคำไว้ เพราะถ้าขืนยังพูดตอแหลมากอาการจะยิ่งหนัก ครกที่คางจะยิ่งใบใหญ่ขึ้น อาจจะถึงขั้น ช็อกตาถลน กัดลิ้นตัวเอง ใครเห็นเข้าควรสงเคราะห์ด้วยการเอาสากยัดปาก แล้วตำแรงๆ สักทีสองที พองขน http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-04.jpg ในช่วงน้ำท่วม ควรทำความสะอาดเท้าทุกครั้งหลังลุยน้ำ ไม่งั้นอาจจะติดเชื้อราฟอเก็ตฟุต (Forget Foot) หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าโรควัวลืมตีน ลักษณะพิเศษของโรคนี้ก็คือเชื้อจะลามอย่างรวดเร็วไปที่ผิวหนังรอบตัว เกิดขี้เรื้อนขึ้นในรูขุมขน ขนลุกขนพอง เวลาเดินไปไหนมาไหนต้องเดินกร่างกางแขน เพราะเดี๋ยวขนที่พองจะทิ่มตัวทำให้น้ำหนองไหล ผู้ที่เป็นหนักจะมีอาการทางประสาทที่เรียกว่า จองหองพองขน ได้ดีนิดหน่อย ทำเบ่งไปทั่ว ชูคอลอยหน้าลอยตา คล้ายกิ้งก่าได้ทอง อยากได้เรือก็ขู่จะเอาดื้อๆ คุยโวว่าตัวเองใหญ่กว่าอธิบดี ชาวบ้านเห็นแล้วสมเพช เหมือนคนเล่นไพ่ที่ตัวเองถือแค่ดอกจิก แต่นึกว่าตัวเองเจ๋งกว่าโพธิ์ดำ อัณฑะพาล http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-05.jpg โรคนี้เป็นอาการแทรกซ้อนของคนที่เป็นมะเร็งที่ลูกอัณฑะ ฮอร์โมนของร่างกายไม่สมดุลย์ ส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ ทำให้เป็นคนมี 2 บุคลิก ยามอยู่ต่อหน้าก็ดูใสซื่อ มีเมตตาการุณอ่อนน้อมถ่อมตน แต่พอลับหลังก็โหสถุลมาก ชอบใช้กำลังทำตามความต้องการตัวเอง เห็นแก่ตัวไม่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้ หัวค่ำออกมาเจรจาอย่างดิบดี แต่พอตกดึกก็ยกพวกกลับมาพังคันดินกั้นน้ำ คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ควรแก้เคล็ดโดยให้ผู้หญิงช่วยถีบสักทีสองที อาการจะทุเลาลงชั่วคราว แต่ถ้าจะป้องกันอาการกำเริบอย่างถาวร ควรเอาโซ่ล่ามอัณฑะผูกไว้กับเสาบ้าน ไม่ควรปล่อยออกมาเพ่นพ่าน สร้างความเดือดร้อนข้างนอก ตานขโมย http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-06.jpg โรคนี้เกิดจากพยาธิในท้องและลำไส้ที่คอยแย่งอาหารที่กินลงไป ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ผอมแห้งหนังติดกระดูก คล้ายๆ เปรตขอส่วนบุญ แม้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองจะร่ำรวยมหาศาล มีอันจะกินแค่ไหน แต่กินเท่าไรก็ให้พยาธิไปหมด เลยทำให้กินเท่าไรไม่รู้จักพอ แล้งน้ำใจ หนักขึ้นถึงขั้นขโมยของคนอื่นเขามากินมาใช้ ในช่วงน้ำท่วมควรระวังให้ดี คนที่ป่วยเป็นโรคนี้มักอยู่ตามแหล่งรับบริจาคกลางของรัฐ คอยจองของที่ประชาชนบริจาคเข้ามาติดชื่อสวมรอยว่าเป็นของตัวเอง ขนาดส้วมที่ญี่ปุ่นบริจาคมาให้ มีป้ายติดเห็นๆ ว่ามาจากญี่ปุ่น ก็ดันมีคนเอาชื่อไปเขียนไว้ที่ส้วมซะงั้น ตาแด๊งแดง http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-07.jpg โรคตาแด๊งแดง มีอาการรุนแรงโรคตาแดงหลายเท่านัก เหตุเพราะภูมิคุ้มกันทางปัญญาต่ำ จึงทำให้ไวรัสแดงเข้าทำลายกระจกตาดำอย่างถาวร ทำให้มีโลกทัศน์แคบ มองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นคนหนีคุกเป็นพระเจ้า ในยามน้ำท่วมควรมีการตรวจคัดกรองผู้ที่จะเอาของไปบริจาคให้ชาวบ้านก่อน ไม่งั้นหากคนที่ป่วยเป็นโรคนี้นำของไปบริจาคจะบริจาคให้ไม่ทั่วถึง เพราะถ้าบ้านไหนไม่ติดธงแดง หรือใส่เสื้อแดง จะไม่เอาของให้ ส่วนผู้ประสบภัยที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเกิดทหารเอาของมาแจกก็จะด่าทหาร ถ้าอาสาสมัครเอาของไปให้ ก็จะบังคับให้เขาไปใส่เสื้อแดงมาก่อนถึงจะยอมรับของ แต่พอเขาทำท่าจะกลับก็ดันเสียดายร้องตะโกนบอกไปว่า ให้เอาของวางทิ้งไว้ตรงนั้น เดี๋ยวไปหยิบเองซะงั้น ข้อนิ้วอักเสบ http://mblog.manager.co.th/uploads/2449/images/flood-08.jpg โรคนี้มักเกิดกับคนที่เล่น facebook โดยเฉพาะภาวะน้ำท่วมอย่างนี้อัตราการเกิดข้อนิ้วอักเสบจะพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว เหตุเพราะคนอ่านโพสต์ที่ด่าการทำงานล้มเหลวของศปภ. และความปัญญาอ่อนของผู้นำประเทศแล้วรู้สึกโดนโจ กด like ให้แทบไม่ทัน บางครั้งสะใจเกินไปหน่อย ถึงขั้นกระทืบ like กดแรงเกินพิกัดติดกันหลายครั้ง ส่งผลให้นิ้วทำงานเกินกำลังเดี้ยงไป จนต้องเข้าเฝือก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ ลดละความพยายามเอานิ้วมือซ้ายกดแทน คาดว่าหากนิ้วชี้มือซ้ายเดี้ยงไปอีก คงได้เอานิ้วกลางกดแทน ที่มา - http://mblog.manager.co.th/kenjionline/th-118053/ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 22:40:23 เนชั่นทันข่าว ข่าวด่วนธุรกิจ The Nation จ่าย 1 พันแลกลงชื่อหนุนพ.ร.ฎ.อภัยโทษ 18 พย. 2554 20:38 น. นายจำเรือง นกเล็ก นักจัดรายการวิทยุท้องถิ่นคลื่นความถี่ 87.5 เม็กกระเฮิร์ท จ.สิงห์บุรี เปิดเผยว่าได้รับแจ้งจากประชาชน ว่า ขณะนี้ในพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี มีแกนนำประชาชน ได้นำเงินไปให้กับประชาชนรายละ 1,000 บาท โดยขอให้ประชาชนที่รับเงินนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านมาให้ พร้อมรับรองลายมือชื่อไปมอบให้ เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการสนับสนุนพระราชกฤษฎีการดังกล่าว ซึ่งก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งนำสำเนาบัตรประจำตังและสำเนาทะเบียนบ้านไปมอบให้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 23:14:21 'ตุลย์'นำค้านอภัยโทษ'ทักษิณ'-ส.ว.สรรหาร่วมชุมนุม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "หมอตุลย์"นำทีมเปิดปราศรัยค้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ"ทักษิณ" ขณะที่กลุ่มส.ว.สรรหาเข้าร่วมการชุมนุม สวนลุมพินี - เมื่อเวลา 16.00 น. นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อหลากสี เปิดเวทีปราศรัยที่บริเวณลานด้านหน้าอนุสาวรีย์ ร.6 พร้อมกับตั้งโต๊ะล่ารายชื่อให้ประชาชนร่วมลงชื่อในหนังสือคัดค้านกระทรวงยุติธรรมถวายฎีกาช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หลังจาก ครม.ผ่านมติเห็นชอบ พรฎ.อภัยโทษ โดยมีประชาชนจำนวนมาก มาร่วมฟังการปราศรัยและร่วมลงชื่อ โดย นพ.ตุลย์ กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า จะนำรายชื่อทั้งหมดไปยื่นให้นายกฯ โดยนัดชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันอังคาร ที่ 22 พ.ย.เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นวันประชุม ครม. ทั้งนี้ในหนังสือคัดค้าน ได้ระบุเหตุผล 3 ประการ 1.ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นฎีกาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะลงนาม โดยบุคคลที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ และไม่เคยมีธรรมเนียบปฏิบัติช่วยหนักโทษหนีคดี 2. เมื่อมีการถวายฎีกาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมเป็นการระคายเคื่องต่อเบื้องพระยุคลบาท เพราะคนที่ ลงนามไว้เป็นจำนวนมากถึงกว่าล้านคน หากฎีกาถูกยกอาจมีความไม่พอใจหรือพาให้มีความรู้สึกไม่ดีต่อสถาบัน 3. ผู้หลบหนีคดีไม่เคยสำนึกผิดหรือถูกคุมขัง ยังทำตัวเป็นปรปักษ์ต่อชาติ จึงไม่น่าจะเข้าข่ายได้รับการพิจารณา ดังนั้น ขอให้กระทรวงยุติธรรมและบุคคลทุกฝ่าย หยุดการกระทำอันเป็นการละคายเคืองเบื้องยุคลบาท โดยการที่จะนำเสนอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัย นพ.ตุลย์ ปราศรัยอีกว่า เวลา 13.30 น. วันจันทร์ที่ 21 พ.ย. จะเดินทางไปที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อคัดค้านร่าง พรฎ.อภัยโทษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการชุมนุมมีเพียงเจ้าหน้าที่เทศกิจกทม. และ ตำรวจจราจรคอยอำนวย ความสะดวก ส่วนบนสะพานไทยเบลเยี่ยม คอยดูความมปอลดภัย ด้านกลุ่มสยามสามัคคี พร้อมด้วยเครือข่ายนักวิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมจัดเสวนา เรื่อง "พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ซ้ำเติมวิกฤต่ระเทศไทย" ที่อาคารสโมสรพลเมืองอาวุโสแห่งเมืองกรุงเทพ (ลุมพินี ฮอลล์) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่เวทีเสวนาจะเริ่ม ทางทีมงานได้จัดแสดงดนตรี ขับกล่อม จาก นายวสันต์ สิทธิเขต และ นายประทีป ขจัดภัย ให้กับประชาชนที่มาร่วมรับฟัง นอกจากนั้นแล้วมีบุคคลสำคัญทยอยเดินทางมาร่วมเวทีแล้ว อาทิ นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต สว., นายสมชาย แสวงการ, น.ส.สุมล สุตวิริยะวัฒน์ สว. สรรหา นายประสาร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมเคลื่อนไหวคัดค้านร่างพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 ว่า ตนยังไม่ทราบว่า กลุ่มดังกล่าวจะเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง แต่กลุ่มสยามสามัคคีนั้น ต้องเดินตามแนวทางที่ได้วางไว้ อย่างไรก็ตามคาดว่างานเสวนาดังกล่าวจะมีประชาชนมาร่วมไม่ตำกว่า 1,500 คน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 พฤศจิกายน 2554, 23:20:38 ปูแจงขออภัยโทษทักษิณสื่อนอก
ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์สื่อนอก อ้างเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา อ้อนนักลงทุนต่างชาติอย่าพึ่งหนีไทย สำนักข่าวซีเอ็นบีซีของสหรัฐรายงานโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาครั้งที่ 19 ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียว่า อยากจะขอให้นักลงทุนต่างชาติทั้งหลายโปรดได้เชื่อมั่นและลงทุนในไทยต่อไป และรัฐบาลขอให้คำมั่นว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นซํ้าอีกในอนาคต อย่างแน่นอน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากต่างแสดงความข้องใจและสงสัย ตลอดไปจนถึงการออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกี่ยวกับแผนบริหารจัดการปัญหานํ้าท่วมของภาครัฐที่ไม่มีความแน่นอนและขาดเอกภาพในการทำงานจนสร้างความสับสนเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกต้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะพลิกวิกฤติที่เกิดขึ้นมานี้ให้กลายเป็นโอกาส ด้วยการยกเครื่องแผนบริหารจัดการนํ้าใหม่ขึ้นใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่ารัฐบาลจะยังคงจะยึดถือแนวนโยบายการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศต่อไป โดยผ่านทาง นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า(300 บาท/วัน) ถึงแม้ว่าจะมีผู้ประกอบการหลายภาคส่วนแสดงความคัดค้านก็ตาม โดยกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้มองว่าจะทำให้ต้นทุนในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในภาวะซบเซา "เราต้องกลับมาแก้ไขปัญหาที่รากฐานของปัญหา และปัญหาสำคัญของไทยก็คือช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนและคนรวยที่มีอยู่มาก ดังนั้นนโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นตํ่าของรัฐบาลอย่างน้อยก็จะกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาช่องว่างทางรายได้ตรงนี้" ส่วนประเด็นด้านการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษซึ่งในขณะนี้กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย ที่กำลังเป็นที่สนใจของสื่อในประเทศและต่างประเทศนอกเหนือจากเรื่องนํ้าท่วม ว่าจะนำมาซึ่งความแตกแยกในการเมืองไทยครั้งใหม่ ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า กระบวนการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาและตัดสินใจอยู่ "มันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่จะมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับนักโทษ ก่อนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ 5 ธันวาคม ของทุกๆปีอยู่แล้ว ทั้งนี้กระบวนการทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาเสนอชื่อผู้สมควรได้รับพระราชทานอภัยโทษอยู่" ยิ่งลักษณ์กล่าวปิดท้าย ความเห็นผู้อ่าน คุณ psmart: 18 พ.ย. 2554 ,23:15 น. อ้า ปาก ก้อ เห็น ลิ้น เป็๋น แฉกๆ แล้วววววววว ปู เอ๋ยยยยยยยยยยยยย !! ถูกใจ 0 คน ขัดใจ 0 คน คุณ ffun: 18 พ.ย. 2554 ,23:15 น. น่าสงสารนายกหญิงคนนี้จริงๆ อะไรหนอที่ดลจิตดลใจให้เธอมารับทุกข์แทนพี่ ชาย....ถ้าเธอไม่ได้เป็นนายกฯ เธอจะมีชีวิตอยู่สุขสบาย ไม่ต้องตากแดด ลุย น้ำ ลุยฝน เหนื่อยกาย ทุกข์ใจแสนสาหัสแบบทุกวันนี้ ........ .......ถ้าเธอได้สนทนาธรรมกับ พระรักเกียรติ แห่งศูนย์ปฏิบัติธรรมวัง พญานาค วัดใหม่สุขธนะศรีนคราราม บ้านวังชัย ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี เธอจะได้แนวความคิดที่ดี ใช้หลักธรรมของพุทธศาสนา เพื่อ ช่วยให้ตัวเธอและพี่ๆของเธอ รู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับวัตถุ ..... ...... เธอจะได้พบกับสัจธรรมของชีวิตและความสุขที่แท้จริง ......พระรักเกียรติ กล่าวตอนหนึ่งว่า"อาตมารู้จักทักษิณดี เคยบอกแล้วว่า โทษจำคุก 2 ปี แต่เมื่อจำคุกจริงๆ ไม่ถึงหรอก อย่างมากไม่กี่เดือน เมื่อมาจำ คุกจริงแล้ว ให้รัฐบาลของน้องตัวเอง (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ขออภัยโทษ ตามหลักปรองดองเลย ปัญหาจะได้จบความสามัคคีจะได้เกิด มิฉะนั้นจะตอบ คำถามคนอื่นอย่างไร จะต้องยอมนิรโทษกรรมให้คนอื่นด้วยหรือไม่ และจะตอบ คำถามคนที่ติดคุกยอมรับโทษตามกฎหมายได้อย่างไร สิ่งที่จะทำเพื่อคนคนเดียว นั้น ไม่มีวันที่จะสร้างความปรองดองได้ ตราบเท่าที่ยังมีคนไม่ยอมรับ และไม่ได้ รับการปฎิบัติบนมาตรฐานเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ" พระรักเกียรติกล่าว ถูกใจ 0 คน ขัดใจ 0 คน คุณ slim: 18 พ.ย. 2554 ,23:14 น. ประโคมข่าวประชาสัมพันธ์โดยไม่สามารถทำได้จริงก็คือการตอแหลดีๆนี่เอง.....ต่างชาติ เขาไม่โง่หรอก ใครเขาจะมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรงอีก ในเมื่อทุกอย่างไม่ทำตาม ครรลอง.... ถูกใจ 0 คน ขัดใจ 0 คน คุณ psmart: 18 พ.ย. 2554 ,23:12 น. ตรง ประ เด็น เข้ม สุดๆ..... คุณ jaa เห็นด้วยยยยยยยยยยยยยยย !! ถูกใจ 0 คน ขัดใจ 0 คน คุณ psmart: 18 พ.ย. 2554 ,23:08 น. ปู แดง ออก มา หลอ แหล อีก แล้ววววววววววววววว ครับ ท่าน !! ถูกใจ 1 คน ขัดใจ 0 คน คุณ pj2011: 18 พ.ย. 2554 ,23:03 น. การขออภัยโทษให้กับผู้ต้องขัง ไม่ใช่จะมีการขอทุกปีไปส่วนใหญ่จะมีวาระต่างๆ อย่างเช่นปีนี้ เป็นปีที่คนไทยร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 84 พรรษา * *พระเจ้าอยู่หัว ปัญหาเก่าไม่แก้ ดันหาปัญหาใหม่มาให้คนไทยอีกแล้ว คน ตระ*ลนี้ รู้จักคำว่า คุณแผ่นดิน กันบ้างหรือไม่ ถูกใจ 1 คน ขัดใจ 0 คน คุณ daffodil: 18 พ.ย. 2554 ,22:53 น. คนๆนี้ การกระทำและคำพูดสวนทางกันตลอด... ถูกใจ 1 คน ขัดใจ 0 คน คุณ purity: 18 พ.ย. 2554 ,22:53 น. ถ้ามันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่จะมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วทำไมต้องเป็นถึงขั้น ประชุมลับเหมือนกับว่ากระทบความมั่นคงของประเทศ ถูกใจ 1 คน ขัดใจ 0 คน คุณ data11: 18 พ.ย. 2554 ,22:47 น. ไม่อยู่เมืองไทยน้ำลดหลายพื้นที่เลยหรือว่าแผ่นดินมันสูงขึ้น ถูกใจ 1 คน ขัดใจ 0 คน คุณ purity: 18 พ.ย. 2554 ,22:42 น. ปัญหารากฐานของไทยคือการศึกษาต่างหาก สังเกตได้ว่ามีตั้ง 15ล้านเป็นอย่างน้อยที่ไม่มี.... ถูกใจ 3 คน ขัดใจ 0 คน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 13:23:27 YouTube: ปู Fail โกอินเตอร์ อ่านโพยต้อนรับฮิลลารี่ คลินตัน ผิด ฮาได้อีกไม่ผิดหวัง emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):)
ปู Failโกอินเตอร์ อ่านโพยต้อนรับ ฮิลลารี่ คลินตัน จาก welcome เป็น overcome emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) emo20:)):) เชิญคลิก พบความฮา..กับปูเชิญยิ้มได้แล้วครับ...5555555 http://www.youtube.com/watch?v=MY8UnkUVHEA&sns=fb www.youtube.com หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 13:35:06 รายการ ทีนี่ไทยพีบีเอส ช่วงตอบโจทย์ สัมภาษณ์ เป็นเอก รัตนเรืองผกก.หนังชื่อดัง ออกอากาศทางสถานไทยพีบีเอส วันที่ 16 พ.ย. 54 น่าสนใจทีเดียว...คลิกเลย http://www.youtube.com/watch?v=R4aEm-equs0 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 13:40:06 Subject: FW: ขอขอบคุณท่านนายกหญิงจิงๆๆ เกิดมาก็หลายสิบปี ต้องขอบคุณท่านนายกจริงๆครับ... ที่ทำให้เราได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น....... ได้เห็น นายกหญิงคนแรกและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่กลับนำความฉิบหายมาให้กับประเทศมากที่สุด ได้เห็น รถจอดเต็มแม่งทุกสะพานและทางด่วน เหลือทางวิ่งแค่ช่องเดียวทั่ว กทม ได้เห็น ถุงทรายราคาแพงพอๆกับถุงข้าว ได้เห็น มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม แม่งหมดห้าง ได้เห็น ไข่ไก่ที่โคตรแพงฟองละ 8 บาท และยังหาซื้อไม่ได้ ได้เห็น เซเว่นร้าง มีเหลือแต่พนักงานคิดเงิน ได้เห็น shelf ที่ว่างเปล่าในโลตัส ได้เห็น แม่งน้ำดื่มแพงกว่าน้ำมัน ได้เห็น ของที่ทุกบ้านต้องมี คือ กระสอบทราย ได้รู้ รสชาติของนำ้ดื่มจากคลองประปาผสมศพคนตายลอยคอ คละน้ำเน่า ได้เห็น สันดานคนไทย vs นิสัยคนญี่ปุ่น เมื่อเจอวิกฤติ ได้เห็น น้ำท่วมกทมและปริมณฑล แบบมิดหัวแบบตัวเป็นๆ ได้เห็น คนถูกจระเข้กัดที่กลางเมืองหลักสี่ ได้เห็น คนพายเรือกลางถนน แล้วต้องปีนจากเรือขึ้นไปต่อรถไฟฟ้า ได้เห็น ว่าทำไมเครื่องบินแม่งถึงเรียกว่าเรือบิน ได้เห็น ที่ดอนกลับน้ำท่วมแต่แม่งที่หนอง(งูเห่า)น้ำไม่ท่วม ได้เห็น ไอ้คนเตี้ยมันโคตรเก่งและโคตรเอี้ย มันสั่งได้ว่าให้น้ำมันท่วมหรือไม่ท่วมตรงไหนก็ได้ ได้เห็น ที่สุพรรณบุรีสูงกว่าภูเขา น้ำจะไม่ท่วมตลอดปีตลอดชาติ ได้เห็น คนนั่งเก้าอี้หรือนั่งบนกล่องกระดาษก็ขี้ได้ด้วย ได้เห็น รถก็ห่อเป็นของขวัญได้เหมือนกัน ได้เห็น เรือพลาสติกราคาแพงเท่ารถมอเตอร์ไซค์ ได้เห็น ค่าเรือจ้างมหาโหดต้องควักจ่ายเป็นพัน ได้เห็น คนแม่งต้องนั่งคุกเข่ากด ATM ได้เห็น ความหมายของคำว่า "เอาอยู่" ก็คือ "ฉิบหาย ณ บัดดล" ได้เห็น ของบริจาคกองเป็นภูเขาแต่ชาวบ้านยังไม่มีของกิน ได้เห็น คนเลวชาติเอาของบริจาคไปใส่ชื่อเอี้ยๆของตัวเอง ได้รู้ว่า ประเทศไทยมีเดือนที่ 13 คือพฤศจิกาคม ได้เห็น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต ได้เห็น นิคมอุตสาหกรรมแตก 7 นิคมแบบเละเทะ ได้เห็น ตลาดน้ำที่แม่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่พุทธมณฑล 1 - 6 ได้เห็น คนตกงานเป็นล้านคนในพริบตา ได้เห็น คนแก่ คนพิการ ต้องถูกหามลงเรืออย่างน่าสงสารและสมเพช ได้เห็น หมาและแมวถูกทิ้งเป็นพันๆตัว ได้เห็น ธนาคารใหญ่สีลมตั้งบังเกอร์สูง แม่งอย่างกับจะไปรบกับเขมรแดง ได้เห็น พัทยาและหัวหินแทบระเบิดเต็มไปด้วยผู้อพยพ ได้เห็น คนกลางมุ้งเป็นบ้านนอนเต็มสะพานลอย ได้เห็น คนถูกไฟดูดตายเป็นร้อย ได้เห็น วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ถูกน้ำท่วม ได้เห็น คนใช้แหจับปลากลางถนนวิภาวดี ได้เห็น บ้านริมทะเลสาบเป็นแสนๆหลัง ได้เห็น ครอบครัวกระเด็นกระดอน ปู่ย่าตายายไปอยู่ต่างจวฺ. พ่อแม่ไปอยู่โรงแรม. ลูกวัยรุ่นไปอยู่คอนโดเพื่อน, สัตว์เอาไปฝากเลี้ยง ได้เห็น ปัญญาชนกรอกทราย ได้เห็น ควายบริหารประเทศ ได้เห็น ประจักษ์ตากับความหมายที่ว่านำ้ท่วมไม่กลัว แต่กลัวผู้นำโง่ ได้เห็น คนที่แม่งเป็นแต่ตัดริบบิ้น, ทาสี และยืนบีบน้ำตาก็เป็นนายกประเทศไทยได้ ได้เห็น นายกผมตั้ง ปากแดง แก้มชมพู แม่งสวยทุกวัน ไม่ว่าปชช.จะตกทุกข์ได้ยากยังไง ได้เห็น ไอ้น้องน้ำมันโคตรเก่งเลย สอบเข้าได้ตั้งหลายมหาวิทยาลัย ได้เห็น ทหาร 1 คนมีค่ามากกว่า ส.ส. ทั้งสภา แต่มีเงินเดือนไม่ถึง 10% ของส.ส. 1 คน ได้เห็น น้ำใจและความแน่วแน่ ของทหารแบบไม่เคยคิดสงสัย ว่าเค้าทำเพื่อใคร เพื่ออะไร ทั้งที่ โดน ส.ส. ของพวกที่นั่งด่าอยู่ทุกวัน... บลา . บลา บลา!! #บลา และสุดท้าย ได้เห็น นายกไทยหน้าด้านที่สุดในโลก ทำประเทศไทยฉิบหาย 9 แสนล้าน ยังหน้าด้านไม่ลาออกไป แต่กลับบีบน้ำตาให้คนสงสาร ____ทั้งหมด ทั้งมวลนี้เพราะคำว่า "เอาอยู่ค่ะ" ขอบคุณท่านจากใจจริงๆครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 14:07:15 ถวิล เปลี่ยนสี RCU 15
” ยันไม่ถอดใจ สู้เพื่อความเป็นธรรมต่อ ชี้ “ปู” หมดสิทธิยื้อแก้คำร้อง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “ถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาฯ สมช.โพสต์เฟซบุ๊ก ยันสู้เพื่อหาความเป็นธรรมต่อ ไม่มีถอดใจ หลังกลไก ก.พ.ค.อืดกว่า 2 เดือนไร้ความคืบหน้า ระบุ “ปู” หมดเวลายื้อเพราะขยายเวลาแก้คำร้องจาก ก.พ.ค.ครั้งที่ 2 แล้ว นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลาขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯ สมช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กมีเนื้อหาว่า “ข่าวของผมเงียบหายไปนาน ไม่ใช่เพราะผมนั้นถอดใจหรือเลิกล้มที่จะต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม แต่เป็นเพราะ 1.เรื่องอุทกภัยหลายจังหวัดเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเทียบกับเรื่องของผม จึงอยากให้โอกาสของทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสนใจในการร่วมกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้ผ่านพ้นทุกข์ครั้งนี้โดยเร็ว 2.อย่างไรก็ตาม เรื่องของผมนั้นก็ยังอยู่ในกระบวนการและเดินไปตามขั้นตอนของ กพค.อยู่ดี และความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้คือ นายกรัฐมนตรี ในฐานะคู่กรณีได้ขอขยายเวลาในการแก้คำร้องของผมออกไปอีก 30 วัน เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้ขอขยายมาแล้ว 30 วัน ซึ่งได้สิ้นสุดลงในวันที่ 5 พ.ย.54 ที่ผ่านมา” สำหรับ นายถวิล ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งเลาขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร.มาดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช. เปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตพี่สะใภ้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็น ผบ.ตร. การย้ายนายถวิลออกจากตำแหน่งเกิดขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าบริหารประเทศได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็มีการแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.วิเชียรไปดำรงตำแหน่งเลขฯา สมช. และน.ส.ยิ่งลักษณ์เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) แต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็น ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่กว่า 20 จังหวัดของประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมอย่างหนักจนนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่งจมน้ำ ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมที่จมน้ำรายหลังสุด คือ นิคมฯ นวนคร ที่ประสบกับภัยน้ำท่วมในวันที่ 17 ตุลาคม ก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์จะแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เป็น ผบ.ตร.เพียงสองวัน ขณะที่นายถวิลได้ใช้สิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค. เมื่อวันที่ 12 กันยายน ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี มีมติโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยมีนางสายสุนีย์ ธูปทอง เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียน ซึ่งในสำนวนคดีได้ระบุผู้ถูกร้องคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม จนถึงขณะนี้เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการของ ก.พ.ค. กระทั่งนายถวิลได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คในข้างต้น ทั้งนี้ ตามระเบียบของ ก.พ.ค.จะสามารถขอขยายเวลาการแก้คำร้องได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 30 วัน เท่ากับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ หมดสิทธิขยายเวลาเป็นครั้งที่สามและต้องยื่นการแก้คำร้องต่อ ก.พ.ค.หลังจากยื้อเวลามานานกว่า 2 เดือน และครบกำหนดการขยายเวลาครั้งที่ 2 ไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ถวิล..สู้ๆๆๆ.... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 14:20:17 ลับ + อภัยโทษ + ทักษิณ = ความขัดแย้งรุนแรงรอบใหม่ ความปรองดองแห่งชาติ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ผมไม่เชื่อว่าใครอยากจะเห็นเมืองไทยเรา กลับเข้าไปสู่วังวนแห่งการเผชิญหน้า และความรุนแรงรอบใหม่ แต่อาการลับๆ ล่อๆ ของรัฐบาลและลีลาอันน่าสงสัยของผู้นำรัฐบาล ต่อร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ทำให้เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่าสังคมไทยจะถูกผลักให้กลับไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่อีกแล้ว เพราะถ้าใครรู้ว่าหากทุจริตคอร์รัปชันในหน้าที่ ฉ้อฉลต่อประชาชน แม้จะถูกจับได้ ศาลตัดสินว่าผิดเต็มประตู แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะได้รับการอภัยโทษ, เขาก็จะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการที่โกงกินบ้านเมืองโดยไม่หวั่นกลัว ในทำนองเดียวกัน ถ้าหากเขารู้ว่าคนที่ถูกตัดสินจำคุกด้วยข้อหาค้ายาเสพติดก็มีสิทธิที่จะได้รับการอภัยโทษ, เขาก็จะเห็นว่าปัญหายาเสพติดของบ้านเมืองที่รัฐบาลทุกรัฐบาลอ้างว่าเป็นนโยบายสำคัญอันดับต้นๆ นั้น, ความจริง เขาก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังสักเท่าไหร่ หากสองเรื่องนี้มาผสมผสานเป็นเรื่องเดียวกันใน “เหตุผลแนบท้าย” ของร่างกฎหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษที่คณะรัฐมนตรีเสนอ, ก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณจากรัฐบาลว่าคอร์รัปชันกับยาเสพติด เป็นความผิดปกติที่ไม่ร้ายแรง, ใครถูกจับได้ก็สามารถขออภัยโทษกันในวันข้างหน้าได้ แต่ถ้าหาก “เหตุผลแนบท้าย” ที่ว่านี้ให้กรณีคนติดคุกได้รับอภัยโทษเพียงเฉพาะปีนี้เท่านั้น, ผมก็ต้องตั้งข้อสงสัยว่านี่เป็นการ “ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ” สำหรับคนบางคนเท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่าคำกล่าวอ้างเรื่อง “นิติรัฐ” และ “ความยุติธรรม” สำหรับคนทุกชนชั้นทุกกลุ่มคนในสังคมของรัฐบาลก็เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อหาเสียงเท่านั้น รัฐบาลยืนยันว่า 1. จะไม่ทำอะไรผิดกฎหมาย และ 2. จะไม่ทำอะไรเพื่อคนใดคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เพราะไม่ต้องสัญญา รัฐบาลไหนก็ทำสองอย่างนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่คำถามก็คือว่าหากทำอะไรที่สร้างความแตกแยกให้กับบ้านเมืองมากขึ้น และส่งสัญญาณว่าด้วยค่านิยมต่อเรื่องคอร์รัปชันและความผิดเรื่องยาเสพติดในทางตรงกันข้ามกับความถูกต้องชอบธรรมแห่งสังคม, จะมิเป็นการสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงที่จะทำให้ประเทศชาติขยับใกล้หายนะอีกรอบหนึ่งหรือ? ในขณะที่ทั้งรัฐบาล, ฝ่ายค้าน, และภาคประชาชนได้ประกาศให้ “ความปรองดองแห่งชาติ” เป็นเป้าหมายร่วมกันตามที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เรียกร้องต้องการ, ไฉนเราจึงเห็นความเคลื่อนไหว “ในทางลับ” และ “กิจกรรมผิดปกติ” ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร (15 พ.ย.) ที่ผ่านมา? คนที่ถูกศาลตัดสินจำคุก แล้วหลบหนีออกไป กล่าวหาว่ากระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งเขา และไม่เคยยอมรับว่าตนได้ทำผิดจะขออภัยโทษได้อย่างไร? นี่ย่อมเป็นคำถามที่สังคมไทยต้องหาคำตอบจากรัฐบาล...หากลงท้าย คนที่จะได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลเขียนภาษาของร่างพระราชกฤษฎีกาให้ไปเอื้อต่อคุณทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดแจ้ง และหากเป็นเช่นนั้นจริง ต่อแต่นี้ไป ใครที่ถูกศาลตัดสินว่าผิดแล้วกระทำเช่นเดียวกันอย่างนี้...คือหลบหนีคำสั่งศาล, กล่าวหากระบวนการยุติธรรม, และไม่ยอมรับว่าตนได้กระทำผิดตามคำพิพากษาก็จะต้องเรียกร้องสิทธิที่จะได้รับการอภัยโทษได้เช่นกัน...อย่างนั้นหรือ? นี่มิใช่การสร้างตัวอย่างเพื่อบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและส่งสัญญาณว่าหากคุณมีอำนาจทางการเมืองเพียงพอ, คุณก็สามารถง้างทุกอย่างได้ รวมทั้งกฎหมายและกติกาว่าด้วยความถูกต้องเป็นธรรมหรือ? รัฐบาลควรจะต้องเคารพและอย่างน้อยก็ให้เกียรติขั้นพื้นฐานกับสติปัญญาของคนในสังคมไทย เพราะการที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่า “ไม่ทราบรายละเอียด” ของร่างพระราชกฤษฎีกาขออภัยโทษเพราะไม่ได้เป็นประธานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนั้น ย่อมจะทำให้คนไทยไม่น้อยรู้สึกถูกเหยียดหยามว่าไร้สติปัญญาที่จะรู้ทันลูกเล่นทางการเมืองที่ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร เบื้องหลังการที่นายกฯ ค้างคืนที่สิงห์บุรี จนมาประชุมคณะรัฐมนตรีวันนั้นไม่ได้นั้นย่อมไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า ไม่ว่านายกฯ จะทราบหรือไม่ทราบเรื่องนี้, ผู้ที่จะสนองพระบรมราชโองการในกรณีนี้ก็คือนายกรัฐมนตรีเอง ในคำตัดสินให้จำคุกคุณทักษิณ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีนี้มีสาเหตุหลักคือความชัดแจ้งของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ในการใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับภรรยาของตน และหากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลงนามสนองพระบรมราชโองการในกฎหมายที่ให้อภัยโทษพี่ชายตนเองด้วย, ก็หนีไม่พ้นข้อครหา “ผลประโยชน์ทับซ้อน” อีกเช่นกัน ผลต่อส่วนบุคคล ต่อกลุ่มคน ต่อพรรค ต่อรัฐบาล หรือต่อฝ่ายค้านก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับว่าหากเรื่องนี้ไม่ดำเนินการให้เป็นที่ยอมรับของสังคมส่วนที่มีคำถามเหล่านี้, คำว่า “ปรองดอง” ก็จะโบยบินออกไปทางหน้าต่าง ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่คุณทักษิณจะต้องทำร้ายน้องสาวของตนเอง ที่อาสามาแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คุณทักษิณจะยอมให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ แอบยัดไส้คดีของตนเพื่อให้รอดจากความผิดอย่างไร้ความสง่างามเช่นนี้ เพราะเมื่อคุณทักษิณ เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเอง และต่อต้านสิ่งที่คุณทักษิณอ้างว่าขาดความเป็นธรรมในอดีต ก็ควรจะต้องกลับมาต่อสู้คดีอย่างองอาจกล้าหาญสมกับความเป็นลูกผู้ชาย และไม่ควรจะทำให้ประเด็นร่าง พ.ร.ฎ.นี้กลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งอย่างรุนแรงให้กับคนไทยอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผู้รักประเทศชาติคนไหน จะก่อให้เกิดเหตุที่จะผลักดัน ให้เกิดการเผชิญหน้ารอบใหม่ในประเทศของเรา ให้บอบช้ำหนักหน่วงไปกว่านี้แล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 พฤศจิกายน 2554, 20:41:55 Yingluck did it again!
ตัวอย่างความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของนายกฯยิ่งลักษณ์ Good afternoon ladies and gentlemens of the media, it is a greats pressure and ฮอนเน่อ for me to welcome the Secretary….and to คอนเก็ตจูเลด him on his re-election (คำนี้คนสวยลิ้นพันกัน เพื่อนที่เขาฟังบอกว่ากลัวเธอจะออกเสียง R ไม่ใช่ L ) ... รวมๆก็ว่าเขามีปัญหาเดียวกับภาษาไทยคือรอ เรือ ลอ ลิง ออกเสียง l r t th sh ch ไม่ได้ และ เติม s ผิดที่ Emphasize อ่านว่า เอ็มพาไซ้ Flood อ่านว่า ฝัด มีประโยคหนึ่ง พูดว่า Thai Government is working around the clock and to helping relief of flood-effect people in the cooperation with the publics and private sector. มีคน comment ว่า กลัวเธอจะพูดเป็น Thai Government is working aloud the cock .. .................แถมให้ อันนี้ เป็นคำถามจาก AFP วันที่แถลงกับ Clintion ดูลีลาการตอบของทั้งสองแล้ว ....เอ้อออออ no comment จาก web site US department of State QUESTION: Thank you, Madam Secretary. Thank you, Madam Prime Minister. I wanted to follow up a little bit on what you’re talking about the political reconciliation. You mentioned that with the floods, Madam Secretary, with the floods that it was important to have reconciliation. For both of you, do you feel that all sides in Thailand are on the same side right now at this time of floods? Are people working together? What are the signs you see on that? And if I can kind of follow up to the prime minister, there have been reports that your cabinet is working on an amnesty that could potentially affect former Prime Minister Thaksin. I wanted to see if you could comment on that, say whether that is true, and if so, why? SECRETARY CLINTON: Well, I will start by reiterating that we have encouraged the Thai Government to continue to move forward with the political reconciliation process, to address the violence that surrounded the political unrest of recent years, particularly through the Truth and Reconciliation Commission for Thailand. This encouragement from us comes from our shared commitment with Thailand to democratic values and institutions that underpins both of our nations and our alliance. And we are encouraged by the many steps that the government continues to take to consolidate strong, democratic institutions, to ensure good governance, to guarantee the rule of law, and to protect the rights and freedoms of its citizens. The free and fair elections that were held in Thailand in August demonstrated Thailand’s commitment to the democratic process. It is certainly up to the government and people of Thailand to determine exactly how to proceed, but we are encouraging it and quite heartened at the steps we have seen taken. PRIME MINISTER YINGLUCK: (Inaudible) to go back to your questions, your question is – sorry that I missed this cabinet meeting because by coincident of the trip that – to go back, was on Monday night. And in this detail, I think I’ll – the deputy prime minister will handle this. But normally in the process, that will be the common process, and everything we have to make sure that it’s (inaudible) law and then will be applied for everyone. Thank you. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 พฤศจิกายน 2554, 19:24:53 “ประชา” ถอย! ยันใช้ พ.ร.ฎ.อภัยโทษยุค ปชป.ลั่น “ทักษิณ” ไม่ได้ประโยชน์แน่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ รัฐมนตรียุติธรรม แจง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ใช้ของเก่ายุค ปชป.ทำไว้เหมือนเดิม ทุจริต-ยาเสพติด-หนีคุก ไม้่ได้รับประโยชน์ ทำไขสือ“ทักษิณ” สั่งถอย อ้างออกมาแถลงช้า เพราะเป็นเรื่องลับ ซ้ำยังติดน้ำท่วม แต่แย้มหากได้พระราชทานอภัยโทษจริงตนก็ไม่อยู่ เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 20 พ.ย. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึงการออกร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินการในทางลับ การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษทุกปีที่ผ่านมาก็ดำเนินการในทางลับมาโดยตลอด และดำเนินการเกือบทุกปีในช่วงโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช แต่เนื่องจากมีการวิพากษ์วิจารณ์และทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นคนเสนอร่างฯ จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจ นายประชากล่าวต่อว่า ในเรื่องนี้นั้นนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลที่แล้ว ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2554 คำสั่งที่ 67/2554 ว่าด้วยเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการพระราชทานอภัยโทษ มีคณะบุคคลได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา 20 คน ประกอบด้วยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน รองปลัดกระทรวงยุติธรรมหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาพฤตินิสัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นรองประธาน และมีกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ เช่น ราชเลขาธิการ หรือผู้แทน หรือเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม หรือผู้แทน อธิบดีกรมคุมประพฤติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า จากนั้นคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้เสนอหลักเกณฑ์การพระราชทานอภัยโทษต่อนายพีระพันธ์ ซึ่งได้มีความเห็นชอบในหลักการ โดยมีเนื้อหาสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ให้ขอพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวให้แก่นักโทษเด็ดขาดซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป โดยไม่มีเงื่อนไข เว้นคดีต้องโทษประหารชีวิตและคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ 2.ขอพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวให้แก่นักโทษเด็ดขาดที่มีอายุตั้งแต่ 60-69 ปี โดยยกเลิกหรือผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ เท่าที่จะกระทำได้ เว้นแต่คดีซึ่งต้องโทษประหารชีวิตความผิดร้ายแรง และมีกำหนดโทษสูง และคดียาเสพติดให้โทษ ซึ่งเดิมการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2553 เงื่อนไขเหล่านี้ถูกกำหนดไว้ในบัญชีความผิดท้าย พ.ร.ฎ.ก็ยังมีอยู่ เงื่อนไขนี้นายพีระพันธ์เห็นชอบและตนก็ได้เห็นชอบตามนั้น ทั้งนี้ร่างฯ ของนายพีระพันธ์เนื้อหาสาระที่ได้เห็นชอบไปนั้น เราไม่มีการหักล้างอะไร เป็นเพียงถ้อยคำเท่านั้นที่แตกต่างไปบ้าง พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า จากนั้นเมื่อตนเข้ารับหน้าที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวก็ได้เสนอเรื่องมาตนอีกครั้ง ตามที่นายพีระพันธ์เห็นชอบไปแล้วนั้น ซึ่งตนได้เซ็นรับทราบ และเห็นควรดำเนินการต่อไป เมื่อ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เรื่องจึงกลับไปคณะกรรมการและร่างฯขึ้นมาและเสนอตนอีกครั้ง ซึ่งตนได้แทงเรื่องไปว่ามอบให้กรมราชทัณฑ์นำร่างนี้ไปหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ป.วิอาญา) แล้วนำกลับเสนอตนอีกครั้งว่ามีการหารือและกฤษฎีกามีความเห็น ซึ่งตนเห็นชอบ และเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ร่างนั้นตนขอเรียนด้วยความสัตย์จริงว่าเป็นเรื่องลับ เพราะอยู่ขั้นตอนดำเนินการ คือส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาดำเนินงาน เมื่อพิจารณาแล้วก็จะนำเข้าคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง “มีการถามต่อมาว่าร่างฯ นี้เอื้อประโยชน์ให้คนใดคนหนึ่งหรือไม่ ตอบด้วยความสัตย์จริงว่าไม่มีแล้ว คนต้องโทษการทุจริต ตามกฎหมาย ป.ป.ช.ก็ยังอยู่ในบัญชีแนบท้าย ผู้ต้องหาเกี่ยวกับยาเสพติดก็ยังอยู่ ไม่ได้ขาดหายไปไหน การวิพากษ์วิจารณ์อาจทำให้ประชาชนสับสน จึงต้องเรียนให้ชัดเจนและไม่น่าห่วงอะไร เพราะเป็นร่างฯ ที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีส่วนใดขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่อย่างใด และที่ห่วงทำประโยชน์คนใดคนหนึ่งก็ยืนยันว่าไม่มี” พล.ต.อ.ประชากล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคฝ่ายค้านจะนำเรื่องดังกล่าวมาอภิปรายด้วย ได้เตรียมความพร้อมแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ตนตอบได้ แต่หากเรื่องใดเป็นเรื่องลับ คงพูดไม่ได้ เพราะเป็นชั้นความลับของเอกสารของคณะรัฐมนตรี คงตอบได้เพื่อไม่ให้สับสน แต่ในเนื้อหาที่ยื่นมาไม่มีเรื่องนี้ แต่ดีใจที่จะได้ชี้แจง และมีหลายเรื่องที่ต้องอภิปราย ว่าความจริงคืออะไร เมื่อถามว่าโทษทุจริตมีการตัดออกหรือไม่ คนที่ไม่ได้รับโทษหรือคนที่หนีคดีมีโอกาสได้รับประโยชน์จากร่าง พ.ร.ฎ.นี้หรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ยืนยันว่า “ไม่มีครับ” เมื่อถามต่อว่ายืนยันว่าต้องเป็นนักโทษที่ติดคุกมาก่อน พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า “ถูกต้องครับ” เมื่อถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะแถลงภายหลังที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีจดหมายเปิดผนึกออกมา พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าใครมีหนังสืออะไร แต่ในฐานะที่รับผิดชอบ มีการวิพากษ์วิจารณ์ จึงตัดสินใจมาให้ข้อมูล เมื่อถามว่าตอบให้ชัดได้เลยหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.นี้ พล.ต.อ.ประชา หยุดคิดแล้วย้อนถามว่า “จะให้ตอบเลยเหรอครับ ถูกต้องครับไม่ได้ประโยชน์” เมื่อถามว่าการที่ออกมาแถลงความชัดเจนเป็นเพราะกระแสการต่อต้านรุนแรงขึ้น และส่อจะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งอีกครั้งใช่หรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ที่จริงแล้วเรายุ่งกับน้ำมาพอสมควร เดือดร้อนกันมหาศาล เราก็มาเจอปัญหาอย่างนี้อีก เรื่องความลับราชการก็คงทราบดีถึงระเบียบปฏิบัติ มีข้อห้ามกำกับ แต่ถ้าจะเกิดผลเสียหายต่อส่วนรวมตนในฐานะคนรับผิดชอบ ตนก็ออกมาชี้แจง เมื่อถามว่าคณะรัฐมนตรีสัปดาห์นี้จะมีการพิจารณาต่อหรือไม่ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ต้องดูที่กฤษฎีกา ยืนยันร่างฯ ของตนและนายพีระพันธ์ไม่ได้ขัดแย้งกัน เมื่อถามว่านายพีระพันธ์ระบุว่าร่างฯ ที่คณะกรรมการเสนอมาและเข้าคณะรัฐมนตรีขัดแย้งกัน พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า มันก็น่าจะไม่จริง เมื่อถามว่าแต่เดิมการพิจารณาร่าง พ.ร.ฎ.แต่เดิมไม่มีการประชุมลับทำไมครั้งนี้ถึงประชุมลับ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า พระราชกฤษฎีต้องเป็นเรื่องลับ ดูกฎหมายได้ เมื่อถามว่าหลังออกมาให้ความชัดเจนความขัดแย้งจะคลี่คลายได้หรือไม่ เพราะคนเสื้อแดงเตรียมที่จะระดมคนมาชนกับกลุ่มที่คัดค้านเรื่องนี้ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ จึงต้องรีบมาชี้แจง อยากให้บ้านเมืองเดินได้ บอบช้ำมามากแล้ว เรื่องน้ำก็สาหัส เรื่องในอดีตก็หนักหนา แล้วจะมามีเรื่องนี้อีกหรือ “ผมในฐานะผู้รับผิดชอบก็เรียนชี้แจง ถ้าผมพอมีเกียรติอยู่บ้าง ก็คงจะได้รับความเชื่อถือบ้างในข้อมูลนี้”พล.ต.อ.ประชา กล่าว และว่า การมาชี้แจงไม่ได้ช้าเกินไป เพระเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องลับอยู่ เมื่อถามว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่มาชี้แจงว่าทักษิณ ไม่ได้ประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.นี้ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า มันพูดไม้ได้ เป็นเรื่องความลับ เมื่อถามว่าหากสุดท้าย พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการอภัยโทษ จะทำอย่างไร พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า “ผมก็ไม่อยู่” พร้อมกับหัวเราะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 พฤศจิกายน 2554, 19:53:29 สุริยะใส"ทวิตวิพากษ์จดหมาย"แม้ว" 3 ปมสำคัญ ซัดเดินเกมนิรโทษกรรมให้ตัวเองตลอดเวลา
manager.com ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิากายน นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ทวิตข้อความในชื่อ @Suriyasai ถึงกรณีจดหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ลับลวงพราง ทักษิณร่อน จม.บอกเสียสละเพื่อปรองดอง ผมอ่าน จม.คุณทักษิณที่เขียนด้วยลายมือล่าสุดกรณี พ.ร.ฎ.อภัยโทษว่าตนพร้อมเสียสละ นั้น มี 3 ปม ที่ต้องตีความ ปมแรก ใน จม.ไม่มีบรรทัดไหนประกันว่าคุณทักษิณจะไม่เป็น 1 ในจำนวน 26,000 นักโทษที่ได้อภัยโทษในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ถ้ามีชื่อโผล่มา ก็คงมีคำอธิบายว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลและเป็นพระราชอำนาจ ตนไม่เกี่ยว ทุกฝ่ายควรหยุดเคลื่อนไหวเพราะมีพระราชวินิจฉัยแล้ว ปมสอง ใน จม.บอกว่า ตนพร้อมเสียสละ แม้ไม่ได้รับความเป็นธรรมมา 5 ปี พี่น้องที่สนับสนุนผมก็อย่าผิดหวัง แสงแห่งธรรมปรากฏทุกอย่างจะจบเอง ข้อความนี้ย้ำยืนยันว่า คุณทักษิณยังไม่ยอมรับผิดตามคำพิพากษาศาล และแน่นอนย่อมไม่มีวันรับโทษใดๆ แต่ให้ผู้สนับสนุนรอ วันแสงแห่งธรรม นัยยะหนึ่งก็ประกันว่าคุณทักษิณไม่ได้อยู่เฉย แต่เดินเกมนิรโทษกรรมให้ตัวเองตลอดเวลา หาช่องหาจังหวะรุกบ้างถอยบ้าง เฉกเช่น พ.ร.ฎ.นี้ ถ้าสุดท้ายต้องถอยเพราะแรงต้านมากกว่าที่คิด ไม่ได้จมไปกับมวลน้ำ อีกไม่เกิน 3 วัน นายกฯ จะแถลงด้วยตัวเองว่า รัฐบาลนี้จะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว ปมสาม วาทกรรม รู้จักให้อภัย หรือ Forgive and Forget ลืมเรื่องเก่าเข้าสู่มิติใหม่ๆ... เอาเข้าจริงๆ คนที่ยังลืมไม่ได้และยังจมปรักอยู่ อยู่กับอดีตที่รุ่งโรจน์ ปล่อยวางไม่ลงก้าวสู่มิติใหม่ๆ ไม่ได้ก็คือ คุณทักษิน นึกถึงช่วงวอดีโอลิงก์ปลุกม็อบราชประสงค์ ก็คงจะเห็นภาพชัด ประเทศนี้ยังต้องการความเสียสละอีกมาก เพื่อก้าวสู่มิติใหม่ๆ ผมว่าเริ่มต้นที่ผู้นำอย่างคุณทักษิณกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลนี่ต่างหากเป็น แสงธรรม ของทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบคุณทักษิณ ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 20 พฤศจิกายน 2554, 22:36:37 สวัสดีครับตะวัน รายการที่นักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิวิพากษ์วิจารณ์เมื่อ 2 วันก่อน http://www.youtube.com/watch?v=qYDCYzdVudg http://www.youtube.com/watch?v=zlFnrAfDCTs http://www.youtube.com/watch?v=_41uM2paq2Q หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 พฤศจิกายน 2554, 22:55:53
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:24:36 ปูด "แม้ว" ผวารบ.ล่ม กลับใจสั่งถอย พ.ร.ฎ.อภัยโทษ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ แหล่งข่าวพท. ปูดเบื้องหลังสั่งเบรก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ชี้"แม้ว" ผวากระแสต้านแรงฮือเคลื่อนไหวล้มรบ. โยนคำสั่งตัดไฟต้นลมห้ามตัดแต่งเนื้อหาพ.ร.ฎ. ตั้งข้อสังเกตสัญญาณสั่งถอยเนื้อหาไม่ชัดเจน กลบประเด็นมุ่งอภัยโทษทักษิณ เชื่อหวันตกเป็นเป้าโจมตีแทรกแซงการเมือง หลังรบ.ระบุเป็นความลับ ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า หลังจากรัฐบาลตัดสินใจเดินเกมเสนอร่างพ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ เพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนำเข้าสู่การพิจารณาของครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุมครม. แทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่ปรากฎว่าเกิดกระแสต่อต้านจากสังคมเป็นวงกว้าง ทั้งยังเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามที่จ้องถล่มออกมาเคลื่อนไหวอีกรอบ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีอาจเกิดวิกฤติรอบใหม่ส่งผลร้ายต่อรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้สั่งให้ตัดไฟแต่ต้นลม บอกรัฐบาลให้แก้ไขร่างพ.ร.ฎ.ใหม่ โดยไม่ให้กระทำการใดๆตัดหรือเพิ่มเนื้อหาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกันนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เขียนจดหมายส่งสัญญาณถอย และสั่งการให้พล.ต.อ.ประชา ออกมาแถลงข่าวปฏิเสธว่า รัฐบาลจะดำเนินการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับจดหมายที่พ.ต.ท.ทักษิณเขียนนั้น มีสัญญาณถอยแต่เนื้อหายังคลุมเครือ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ พูดชัดไม่ได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับบอกว่าพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษมีจุดมุ่งหมายทำเพื่อประโยชน์ตนเอง นอกจากนั้นเรื่องนี้รัฐบาลยังระบุว่าเป็นความลับ หากพูดไปจะเท่ากับแทรกแซงรัฐบาล หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:26:44 "ปานเทพ" แจงยังมีเวลา รอสถานการณ์สุกงอม ค่อยเคลื่อนไหวยังไม่สาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ "ปานเทพ" แจงเหตุ 3 เหตุผลยังไม่ด่วนเคลื่อนไหว เชื่อมวลชนต้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษเยอะ "พล.ต.อ.ประชา" ไม่พลิ้วตระบัตสัตย์แน่ ประกอบกับยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย รบ.ยังเปลี่ยนเนื้อหาประชุมได้ ชี้หากรบ.เล่นลิ้น พธม.ยังมีเวลาแก้ไขสถานการณ์ ลั่นชุมนุมทั้งทีต้องขจัดข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด วันที่ 21 พ.ย. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สัมภาษณ์สดผ่านรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ถึงสาเหตุยังไม่ชุมนุมเคลื่อนไหวว่า (1.)เดิมที พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขียนจดหมายส่งสัญญาณถอย พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เรายังไม่เชื่อมั่นต่างคิดเป็นการเล่นคำ หวังให้ประชาชนเข้าใจผิด หรือไม่ก็ต้องการแยกให้ภาพตัวเองออกจากรัฐบาล แต่หลังจากพล.ต.อ.ประชา ออกมาย้ำว่าจะยึดตามโครงสร้างเดิมเมื่อ 2553 ด้วยเหตุนี้ย่อมไม่ใช่ขั้นตอนที่พันธมิตรฯ จะไปคัดค้านเนื้อหาใดๆอีก จึงหมดเงื่อนไขชุมนุม (2.) แม้ท่าทีของครม. ประกอบกับแกนน้ำเสื้อแดง จะระบุพร้อมเคลื่อนไหวช่วยพ.ต.ท.ทักษิณเต็มที่ มีเหตุอันชวนให้เราเข้าใจได้ว่ามีการเอื้อประโยชน์ต่อพ.ต.ท.ทักษิณ จริง แต่ต่อให้เราเข้าใจได้ว่า มติคณะรัฐมนตรี แก้ไขร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษแล้ว ทั้งหมดยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานทั้งสิ้นว่าน่าจะเป็นการทำเช่นนั้น ยังไม่เคยมีใครให้เราเห็นเอกสารจริงๆเลยว่ามีการแก้หรือไม่ เป็นช่องว่างทำให้รัฐบาลยังสามารถเปลี่ยนเนื้อหาประชุมได้ตลอด ดังนั้น เมื่อเรายังจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ยังไม่ชัดเจน ที่ชัดเจนที่พึงจะพอมีตอนนี้คือสัญญาณที่ รมว.ยุติธรรม ผู้เป็นต้นเรื่องส่งออกมา ด้วยเหตุนี้ ทำให้เงื่อนไขพันธมิตรฯในการไปชุมนุมที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาอ่อนลง อย่างไรก็ดีไม่ได้หมายความว่า เราจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็น แต่การไปชุมนุมในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน สู้เก็บออมกำลังไว้ชุมนุมในสถานการณ์ที่ชัดเจนมากกว่านี้ดีกว่า 3. แม้ที่ผ่านมาครม.จะเก็บความลับในการประชุมได้ แต่ในขั้นตอนต่อไปจะต้องส่งเรื่องไปคณะกรรมการกฤษฏีกา หากไม่มีการแก้ไขจริง ในขั้นตอนนี้ เราน่าจะรู้ได้ ยังมีเวลาพอที่จะดูเนื้อหาเอกสาร และยังยับยั้งได้ทัน กลับกันหากไปชุมนุมในสถานการณ์ที่ไม่ชั้ดเจน จะเป็นการลดทอนกำลังโดยไม่จำเป็น และอาจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่ไม่หวังดีได้ นายปานเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณ หรือ พล.ต.อ.ประชา ตระบัตสัตย์ ตนเชื่อว่าสถานการณ์ในฝ่ายรัฐบาลจะเลวร้ายไปกว่านี้ ทังนี้จากที่สังเกตข้อความในจดหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถวิเคาะห์ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และยังไม่พร้อมรับผิด อีกอย่างกำลังห่วงเรื่องบรรยากาศปรองดอง ในโอกาสนี้ขอถือโอกาสเตือนไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ หากมีการเผชิญหน้าระหว่างมวลชนกลุ่มต่างๆ หลังการตรา พ.ร.ฎ.อภัยโทษ จนเกิดการปะทะบาดเจ็บล้มตาย คนที่จะอยู่ไม่ได้ในท้ายที่สุดคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยภายใต้องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เรายังไม่ตัดสินใจชุมนุมในตอนนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:29:00 สยามสามัคคี เมิน “แม้ว” ถอย! ชี้พฤติกรรมรัฐน่าสงสัย นัดล่าชื่อ ส.ว.พรุ่งนี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “สยามสามัคคี” เมิน “นช.แม้ว” เขียนจดหมายเปิดผนึก ออกตัวไม่ขอเอี่ยว พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ยังไม่ไว้ใจรัฐงุบงิบออก กม.พิสดาร ชี้ ต้องเคลื่อนไหวดักทาง หวั่นลักไก่จนเสร็จแล้วเบรกไม่ทัน วันนี้ (20 พ.ย.) พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ในฐานะแกนนำกลุ่มสยามสามัคคี เปิดเผยว่า ทางกลุ่มยังคงเดินหน้าคัดค้านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ....ต่อไป แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเขียนจดหมายเปิดผนึกออกมาว่า พ.ร.ฎ.ดังกล่าวจะไม่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองก็ตาม เนื่องจากพฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมานั้น ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลง โดยเฉพาะประเด็นการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ที่ขัดต่อหลักนิติรัฐ และเข้าข่ายแทรกแซงการใช้อำนาจของตุลาการ ทั้งนี้ ถือว่ารัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่ง ทางกลุ่มจึงต้องออกมาเคลื่อนไหว เพื่อที่จะเป็นการป้องปรามไม่ให้รัฐบาลออกกฎหมายที่ขัดหรือละเมิดกฎหมายด้วยกันเอง “หลายฝ่ายท้วงติงว่าการกระทำยังไม่แล้วเสร็จ การออกมาเคลื่อนไหวจึงไม่เหมาะสม แต่ทางกลุ่มเห็นว่าหากไม่เริ่มคัดค้านตอนนี้ แต่รอจนกว่า พ.ร.ฎ.ออกมาและเป็นการกระทำที่เสร็จสมบูรณ์คงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะออกมาเคลื่อนไหว” พล.อ.สมเจตน์ ระบุ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวด้วยว่า ในสัปดาห์หน้าทางกลุ่มจะเคลื่อนไหว 3 รูปแบบ คือ วันที่ 21 พ.ย.จะมีการล่าชื่อ ส.ว.เพื่อยื่นคัดค้านต่อราชเลขาธิการ และองคมนตรี ส่วนวันที่ 22 พ.ย.จะส่งตัวแทนกลุ่มจะไปแสดงตัวต่อ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เพื่อขอยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ และในวันที่ 25 พ.ย.จะมีการชุมนุมที่สวนลุมพินี อนึ่ง พล.อ.สมเจตน์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม จะแถลงข่าวยืนยันว่า ร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษยังคงเป็นร่างเดิมที่ทำไว้ในรัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยไม่มีการตัดเงื่อนไขแนบท้ายที่ว่าจะไม่พระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องขังคดียาเสพติดและคดีทุจริต รวมทั้งผู้ที่หลบหนีคำพิพากษา ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ได้รับประโยชน์จากการพระราชทานอภัยโทษในปีนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:47:26 ฝ่าไฟแดงไม่สำเร็จ กระแสต้านหนัก-ไร้สัญญาณตอบรับ
โดย...ทีมข่าวการเมืองposttoday.com โดนต้านมากๆ ทักษิณ ชินวัตร เลยต้องแสดงจุดยืนต่อพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ ทว่า เนื้อหาในแถลงการณ์จากดูไบเขียนด้วยลายมือก็ไม่ชัดเจน ออกได้ทุกมุม แน่นอนฝ่ายต้าน ย่อมไม่ไว้ใจในบท “หลายหน้า” ของทักษิณ เพราะตีความได้สองทาง ด้านหนึ่ง เดินหน้าออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษพ่วงตัวเอง รุกแบบเงียบๆ ต่อไป อ้างว่า “รัฐบาลนี้ไม่ทำเพื่อผม” แต่มองอีกมุม ทักษิณส่งสัญญาณถอยจริง แต่ไว้ฟอร์มไม่ให้เสียหน้า แถลงการณ์ที่อ้างเหตุผล “ถอย” 3 ข้อ “ขอเสียสละเพื่อส่วนรวม” นัยว่า ไม่ขอได้ประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.อภัยโทษเนื่องจาก 1.สถานการณ์ขณะนี้บ้านเมืองกำลังเดือดร้อนจากมหาอุทกภัย จำเป็นต้องมีความสามัคคีปรองดองภายในชาติ ถึงจะร่วมกันผ่านให้พ้นจากวิกฤตโดยเร็ว 2.ไม่อยากเห็นความพยายามใดๆ ที่จะทำให้บรรยากาศความปรองดองที่กำลังเกิดขึ้น เสียหาย 3.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระประชวรอยู่ เราต้องไม่ทำให้พระองค์ทรงหนักพระราชหฤทัยเป็นอันขาด พิจารณาลึกๆ ทักษิณ ไม่ได้ปฏิเสธว่า เขาได้ประโยชน์จากออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษของรัฐบาลน้องสาว โดยระบุว่า “มีข่าวว่า อาจมีผมรวมอยู่ด้วย...แต่ผมยังเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่ทำเพื่อกลุ่มเดียว” ถามว่า “เงื่อนไข” ที่ทักษิณเป็นห่วง จึงต้องยอมถอย เพิ่งเกิดขึ้นหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะช่วงที่รัฐบาลผลักดัน พ.ร.ฎ.อภัยโทษในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็อยู่ในช่วงที่ประชาชนเดือดร้อนจากวิกฤตน้ำท่วมอย่างหนัก และในหลวงก็ทรงพระประชวรและทรงเป็นห่วงพสกนิกรที่ทุกข์ร้อนจากปัญหาน้ำท่วม ช่วงดังกล่าว ทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ส เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ว่า เรื่อง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ อยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัย เป็นคำตอบสุดท้ายของทักษิณว่าไม่ยอมถอย ไม่ว่าใครจะคัดค้านหนักหน่วงแค่ไหน ทั้งหมดอยู่ที่สถาบัน แต่ผ่านมา 2 วัน แถลงการณ์วานนี้เจ้าตัวอ้างว่า เป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วม ห่วงในหลวง และห่วงความขัดแย้ง จึงขัดแย้งกับที่ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ส ทำไมทักษิณถึงยอมถอยและสั่งให้น้องสาวตัวเอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลิกช่วยพี่? เดิมการประเมินของฝ่ายทักษิณ เชื่อว่า เกมนี้จะได้มากกว่าเสีย... ได้ก็คือ ทักษิณได้กลับไทยฟรีๆ โดยไม่ต้องติดคุก ถ้าเสียก็อาจถูกด่า มีกลุ่มม็อบต้านออกมายุบยับ รัฐบาลอาจเสียรังวัดบ้าง แต่รัฐบาลก็มีม็อบแดงคอยช่วย บวกลบแล้ว น่าจะพอเอาอยู่ จนรัฐบาลน้องสาว “วางแผนแยบยล” เสนอ พ.ร.ฎ.อภัยโทษพ่วงพี่ชายแบบลองดูกันสักยก อ้างว่า เป็นเรื่องลับ ป้องกันฝ่ายคัดค้านหยิบมาโจมตี เมื่อเกิดกระแสต้านมากๆ นี่จึงทำให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พลิกพลิ้วได้ว่า พ.ร.ฎ.อภัยโทษไม่เอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ เพราะต้องเป็นบุคคลที่รับโทษแล้วเท่านั้น ซึ่งถ้าบริสุทธิ์ใจจริง มีคำถามว่า เหตุใด พล.ต.อ.ประชา ไม่ออกมาปฏิเสธตั้งแต่แรก รอจนทักษิณส่งสัญญาณถอย อย่างไรก็ดี ข่าววงในแจ้งว่าก่อนหน้านี้ “นายใหญ่” อ้างแกนนำกลุ่มการเมืองต่างๆ ขอให้มั่นใจ เพราะเคลียร์ระดับสูงไว้แล้ว พรรคร่วมอย่าต่อต้าน สุดท้ายไม่รู้ว่าที่อ้างต่อสายคุยเสร็จสรรพ เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม หรือแกล้งอ้างเพื่อสยบแรงกระเพื่อมภายในรัฐบาล เพราะการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นเป้าหมายของทักษิณอยู่แล้ว ดังที่เจ้าตัวและแกนนำเสื้อแดงประกาศมานานว่า น่าจะมีข่าวดีในเดือน ธ.ค.และจะกลับมาฉลองงานแต่งลูกสาวปลายปีนี้ ทว่าเหตุที่ฝ่ายดูไบกลับลำ ประเมินว่า พ.ร.ฎ.อภัยโทษไม่น่าจะสำเร็จ เพราะประการแรก กระแสต่อต้านภายนอกที่ยังรุนแรง เดิมเพื่อไทยคาดว่า “ม็อบต้าน” น่าจะอ่อนพลังลง และฝ่ายเหลือง แกนนำหลักชุมนุมคัดค้านก็เงียบ แต่กลับไม่เป็นดังคาด ปมขอพระราชทานอภัยโทษพ่วงทักษิณครั้งนี้ กลับเรียกแขกให้เครือข่ายกลุ่มต้านทั้งหลายกลับมาเข้มแข็ง แค่ยกแรก ทั้งม็อบหลากสี ม็อบเหลือง ตัวละคร นักเคลื่อนไหวก็โผล่มาแบบเต็มเหนี่ยว ทั้งของเดิม ของใหม่ นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แก้วสรร อติโพธิ ฯลฯ ตามด้วยกิจกรรมคัดค้านหลายรูปแบบ ทั้งการเข้าชื่อของกลุ่มประชาชนเพื่อถวายฎีกา และเข้าชื่อถอดถอน ครม.ทั้งคณะ กลุ่ม สว. ลงชื่อ กลุ่มนักวิชาการออกแถลงการณ์คัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตร นัดชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวันนี้ ทักษิณ จึงรีบชิงตัด “ไฟแต่ต้นลม” รวมถึงตัดเกมฝ่ายค้านหยิบเรื่องนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา ประการต่อมา สัญญาณจากในกลุ่มกูรู นักกฎหมายรุ่นเดอะในกฤษฎีกา ที่ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนซึ่งวันนี้กำลังก่อปฏิกิริยาภายใน ขณะที่สัญญาณจากระดับบนก็ไม่แจ่มชัด อีกประการ ถ้ารัฐบาลดันทุรังไปเรื่อยๆ แรงกดดันจะตกอยู่ที่ “ทักษิณ” กระทบไปที่ “ยิ่งลักษณ์” และรัฐบาลทั้งคณะ ซึ่งยังสาหัสจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผิดพลาด ไม่เฉพาะการเผชิญหน้าของม็อบเหลือง ม็อบแดงที่จะเป็นวิกฤตความขัดแย้งอีกรอบ เสี่ยงต่อการนองเลือดกับ “ปมทักษิณ” ม็อบน้ำที่เดือดร้อนก็อาจมาผสมโรงจนรัฐบาลน้องสาวอาจจบไม่สวยแน่และมีอันต้องพังก่อนวัยอันควรจากวิกฤตศรัทธาที่จะมาเร็วกว่าที่คิด เพราะแก้ปัญหาให้ตัวเองเร็วมากกว่าแก้ปัญหาให้คนส่วนใหญ่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 09:56:13 การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2554 ไม่รับ"อภัยโทษ"รอ"นิรโทษกรรม" โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี การไม่ขอรับอภัยโทษในคดีที่ศาลฎีกานักกาเมือง ตัดสินจำคุำ 2 ปี ดูเหมือนจะทำให้ "ทักษิณ" เป็นพระเอก แต่ความจริงเขายังมีคดีค้างในศาลอีกจำนวนมาก มติ "ลับ" คณะรัฐมนตรีที่มี เฉลิม อยู่บำรุง นั่งหัวโต๊ะประธานการประชุม เรื่องการเสนอพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ พ.ศ..... ซึ่งเนื้อหาที่ยัง "ปิดลับ" แต่ที่สุดได้เปิดเผยโดยแหล่งข่าวในคณะรัฐมนตรี ว่า ได้ตัดเนื้อหา ในส่วนของพ.ร.ฎ.2553 เรื่องความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดคดีคอร์รัปชัน ไม่ให้ได้รับการอภัยโทษ รวมถึงตัดเนื้อหาในส่วนของนักโทษที่หลบหนีคดี ให้ได้รับอภัยโทษโดยไม่ต้องอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ จากเนื้อหาที่สอดรับกันทั้งหมดนี้ ผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษ 26,000 คน ซึ่งจะรวม ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โดนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก 2 ปี ในคดีทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ท่ามกลางเสียนเพรียกของความ "ถูกต้อง-ชอบธรรม" ได้มีกลุ่มหนุนกลุ่มต้านแนวทางดังกล่าว โดยกลุ่มหนุนแน่นอน ย่อมจะเป็นคนเสื้อแดง ทั้ง กอ สุขสวัสดิ์ แกนนำคนเสื้อแดงลำปาง และ ขวัญชัย สารคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ซึ่งคนหลังนี้ขู่ว่าจะนำมวลชนมา "ชน" กับกลุ่มต่อต้าน ซึ่งก็คือ กลุ่มสยามสามัคคี ที่นำโดย พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ที่ก่อนหน้านี้ ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง "คัดค้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ่วงทักษิณ แก้หลักเกณฑ์กฎหมาย กดดันพระเจ้าอยู่หัว" และอีกกลุ่ม เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มเสื้อหลากสี ที่มี ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ในฐานะผู้ประสานงานเป็นแกนนำ เข้าชื่อถวายฎีกา คัดค้านพ.ร.ฎ.อภัยโทษ และก่อนที่จะถึงวันที่ 21 พ.ย. ที่ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยผ่านหน้าเฟซบุ๊ก ว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีการยื่นหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และจัดชุมนุมเพื่อคัดค้าน "ร่างกฎหมายเพื่อทักษิณ หยุดทำลายหลักนิติรัฐ" ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. 2554 ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ล่าสุดฝ่ายประชาสัมพันธ์ พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่จดหมายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เขียนขึ้นด้วยลายมือ โดยมีข้อความว่า ที่ดูไบ สหรัฐ อาหรับอิไมเรตส์ 20 พฤศจิกายน 2554 พี่น้องไทยที่เคารพรัก เนื่องด้วยขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤตจากปัญหาน้ำท่วม ผมเป็นห่วงและต้องการให้ประเทศและพี่น้องประชาชนผ่านพ้นวิกฤตโดยเร็ว ซึ่งต้องการความสามัคคีปรองดองในชาติ จึงจะร่วมกันฝ่าฟันภัยธรรมชาติในครั้งนี้ได้ ผมขอสนับสนุนทุกมาตรการที่จะนำไปสู่ความปรองดองในชาติ และไม่อยากเห็นความพยายามใดที่จะทำให้บรรยากาศนี้เสียหาย และผมพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวทั้งๆที่ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมมากว่า 5 ปีแล้ว เพื่อพี่น้องประชาชนผมจะอดทน จากการเสนอพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษประจำปีซึ่งปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ คบ 84 ปี จึงมีข่าวว่าอาจจะมีผมรวมอยู่ด้วย ผมมั่นใจในหลักการที่ว่ารัฐบาลจะไม่ทำการใดๆ ที่ให้ประโยชน์แก่ผมหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ยิ่งกว่านั้นการกระทำใดๆ ในช่วงนี้ต้องเป็นไปเพื่อนำประเทศสู่ความปรองดองและฟันฝ่าวิกฤตจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วมใหญ่เท่านั้น อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระประชวรอยู่ เราต้องไม่ทำให้พระองค์ทรงหนักพระราชหฤทัย เป็นอันขาดและผมก็มั่นใจว่าท่านนายกฯของเรามีแนวคิดและความตั้งใจเช่นเดียวกับผม สำหรับพี่น้องที่สนับสนุนผม ห่วงใยผมก็ขออย่าใดผิดหวัง เพราะเมื่อแสงแห่งธรรมปรากฏทุกอย่างจะจบเอง เพราะบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะขัดแย้งอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ ท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องทุกฝ่ายที่รักชาติบ้านเมืองจริง ต้องรู้จักคำว่า "Forgive and Forget" คือรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน ลืมเรื่องเก่าๆเข้าสู่มิติใหม่ของวันพรุ่งนี้ เพื่อบ้านเมืองและลูกหลานเราครับ ด้วยความรักและคิดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากมีการเผยแพร่จดหมายฉบับภาษาไทยซึ่งเขียนด้วยลายมือแล้ว ยังมีการแผยแพร่จดหมายฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ ด้วย เพียง 5 วันที่จุดประเด็นเรื่องพ.ร.ฎ.อภัยโทษ ทำให้หนึ่งช่วยกลบข่าวน้ำท่วมที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ที่ปล่อยประชาชนเดือดร้อนทั่วทุกหัวระแหง มีคนตายไปแล้วกว่าครึ่งพันคน ดูเหมือนเพื่อไทย ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ จะยอมถอยในเรื่องที่จะนำ ทักษิณ กลับประเทศมาร่วมงานแต่งลูกสาวในเดือนธ.ค.นี้ แต่ความจริงแล้ว เรื่องนี้มีการวางพล็อตเรื่องสอดรับกันเป็นฉากๆ ซึ่งต้องย้อนกลับไปที่ รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 16 พ.ย. อนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคมาตุภูมิ ได้เสนอเลื่อนญัตติด่วนที่ 5 เรื่อง ขอให้สภาฯ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ เป็นผู้เสนอ ในวันเดียวกัน ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาตามวาระในญัตติด่วน ที่ 4 เรื่อง ขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อเสนอลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จากคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ และวันที่ 18 พ.ย. มีการประชุมกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ นัดแรก ที่ประชุมมีมติให้ พล.อ.สนธิ เป็นประธาน กมธ.ส่วนรองประธานมีทั้งหมด 5 คน คือ วัฒนา เมืองสุข พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทย สามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ และ ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย พล.อ.สนธิ แถลงว่า จะนำผลสรุปของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีคณิต ณ นคร เป็นประธาน มาเป็นพื้นฐานของกรอบแนวความคิด และจะใช้สถาบันที่เป็นกลางเพื่อศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีทางในการปรองดอง อาทิเช่น สถาบันพระปกเกล้า โดยมีระยเวลาการทำงาน 30 วัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 13 ก.ย.2554 ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าคณะรัฐมนตรี เห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอ เรื่องแต่งตั้ง อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 3 วรรค 2 กำหนดว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะสมาชิกกลุ่มสยามสามัคคี กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ถึงกรณีที่ ทักษิณ ส่งจดหมายไม่ต้องการขอพระราชทานอภัยโทษ ว่า ก่อนหน้านี้ 1 วัน ทราบว่ามีการวางแผนให้ ทักษิณ เขียนจดหมายขึ้นมา เพราะเมื่อหยั่งกระแสที่มีเสียงคัดค้านจำนวนมาก ก็จะเล่นบทให้ "ทักษิณ" เป็นพระเอกเป็นผู้เสียสละ ด้วยข้ออ้างเพื่อให้เกิด "ความปรองดอง" ก่อนหน้านี้มีข่าวมาโดยตลอดว่า พรรคเพื่อไทย โดยการคิดของคนบนชั้น 26 ได้เตรียมการมาแต่ต้น กล่าวคือ การเล่นเกมเสียสละเพื่อการปรองดอง พร้อมกับการตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่มีจุดหมายปลายทางคือ การออก "กฎหมายนิรโทษกรรม" ให้กับคนทุกสี รวมถึงคนบ้านเลขที่ 109 บ้านเลขที่ 111 นี่จะสอดรับการตั้ง ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ที่จะศึกษาและมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ให้ ตั้ง ส.ส.ร. 3 เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเดียว และจุดมุ่งหมายเดิมของเพื่อไทย เสื้อแดง และทักษิณ หากเดินตามแผนนี้สำเร็จ ทักษิณ จะได้รับนิโทษกรรม ความผิดทั้งหมดที่ตัวเองและบริวารก่อขึ้น โดยคดีเหล่านี้ยังคาอยู่ในศาลฎีกานักการเมืองอีกหลายคดี และบางส่วนอยู่ในชั้นสอบสวนของป.ป.ช. รวมถึงการกลับมาเล่นการเมือง ตามที่ทักษิณ เคยลั่นวาจาเสมอว่าจะกลับมาเป็นนายกฯ เมื่อประชาชนต้องการ และวันนี้คนเสื้อแดง จำนวนมากยังต้องการ ทักษิณ อยู่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 พฤศจิกายน 2554, 23:03:27 แก้วสรร อติโพธิ ถอดรหัส "การเมืองไทยกำลังแปลงร่างเป็นระบอบทักษิณใหม่"
> > > "ทักษิณ" ได้เรียนรู้แล้ว วางแผนแล้วและกำลังทุ่มเทจะกลับมาใหม่ เมื่อมอง "ทักษิณ" ให้ไกลและลึกจะพบว่ารัฐบาล "ปู" เป็นเพียงรัฐบาลเฉพาะกาลรับงานจัดตั้งผู้คนปูทางให้ "ทักษิณ" กลับมาเท่านั้น ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ในทางสังคมจิตวิทยาการเมืองจะยังผลเป็นเช่นการรัฐ ประหารที่ราบคาบมาก จากนั้นกระแสนี้ก็จะนำไปสู่การรื้อรัฐธรรมนูญ สถาปนาระบอบทักษิณ (รวมศูนย์) ที่เบ็ดเสร็จมั่นคงในที่สุด > > ระยะจัดตั้ง > > 1.ฟูมฟักขบวนการเสื้อแดง ( 2552-ปัจจุบัน) > > 2.ชนะเลือกตั้งตอบแทนรากหญ้าดึงชนชั้นกลางเป็นแนวร่วม(กรกฎา 2554) > > 3.ส่งคนยึดราชการสำคัญ (สิงหา – ตุลา 2554) > > ระยะรัฐประหาร > > 4.ตราพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสครบ 7 รอบในหลวง ( ธันวา 2554) > > 5.ทักษิณกลับมาถูกกักขังและได้รับอภัยโทษ ( พฤศจิกา 2554) > > ระยะสถาปนาระบบรองรับระบอบ > > > 6.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ : เนื้อหาและกระบวนการ (กันยา 2554- มิถุนา 2555) > > 7.รัฐธรรมนูญใหม่..เลือกตั้งใหม่..ระบอบทักษิณใหม่(สิงหา 2555) > > > ฐานคิดของบทวิเคราะห์นี้ > > แผนการกลับสู่อำนาจของทักษิณ - ทักษิณ ได้คิดและวางแผนและลงมือตามแผนแล้วด้วยว่า ต้องกลับมาครองอำนาจให้ได้เร็วที่สุด และมั่นคงที่สุด โดยมีขั้นตอนสำคัญคือ > > 1.ชนะเลือกตั้งด้วยมวลชนแดง+เงิน+สินบนประชานิยมสุดขั้ว > > 2.ให้รัฐบาลปูทำหน้าที่พาทักษิณ กลับบ้านในช่วงพระราชทานอภัยโทษ 5 ธันวาคม พร้อมฉวยโอกาสกำราบกลุ่มขัดขวางให้ราบคาบ > > 3.สร้าง กระบวนการสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ มี ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ร่วมกับนักวิชาการที่สำคัญตัวว่าหัวก้าวหน้าอีกจำนวนหนึ่งทำงานออกแบบและเผย แพร่ความคิด จากนั้นเข้าสวมบทบาทเป็นแกน ส.ส.ร. แล้วจบด้วยประชามติทั้งประเทศที่ต้องจุดพลุ “ประชาธิปไตย”กันสุดเหวี่ยง ราวกับวันชาติสหรัฐเลยทีเดียว > > 4. เลือกตั้งใหม่ได้ระบอบทักษิณใหม่ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวิทยาการเมือง โดยครรลองความเปลี่ยนแปลงข้างต้น แม้ตัวระบบตามรัฐธรรมนูญจะยังดูเป็นระบบผู้แทนอยู่ก็ตาม แต่ตัวความคิดและความเคลื่อนไหวในระบอบการปกครองใหม่จะบิดเบือนไปจากระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง > > > การกลับมาของทักษิณ ในธันวา 2554 จะมีค่าไม่ต่างจากการรัฐประหาร ทุกสถาบันทั้งสูงต่ำจะชะงักงัน และสยบยอม เปิดทางโล่งต่อการรื้อรัฐธรรมนูญใหม่ในกลางปี 2555 > > > โครงสร้างรัฐธรรมนูญใหม่จะมีเพียงสภาเดียว องค์กรอิสระจะถูกยกเลิกหรือลดอำนาจและถือกำเนิดโดยคัดสรรของสภาผู้แทน สำหรับอำนาจตุลาการ นั้น ตุลาการตำแหน่งสูงและคณะกรรมการตุลาการ จะถูกกลืนให้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสภา อำนาจฝ่ายบริหารจะมีมากขึ้นทั้งอำนาจปรับกระทรวงทบวงกรม โยกย้ายข้าราชการระดับสูงได้โดยลำพัง จนเป็นเสมือนระบบกึ่งประธานาธิบดี > > > ในส่วนความเคลื่อนไหวนั้น ขบวนการคนเสื้อแดงจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว ใช้เครือข่ายเข้ายึดกุมการปกครองท้องถิ่นระดับต่าง ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน สถานีวิทยุชุมชนเสื้อแดงจะถูกพัฒนาเป็นโครงข่ายสื่อสารของขบวนการมวลชนแดง ครอบคลุมทั้งประเทศและเจาะลึกได้ทุกพื้นที่ > > > สำนักข่าวแดง ผลิตสื่อล้างสมองต่าง ๆ จะลงหลักปักฐานทั้งสื่อเคเบิ้ลทีวี จานดาวเทียม และรายการวิทยุชุมชนแดงด้วยความเคลื่อนไหวแบบสองขาร้อยปากอย่างนี้ ในที่สุดแล้วการเลือกตั้งต่างๆ ก็จะเป็นเพียงพิธีกรรม รองรับอำนาจของมวลชนเสื้อแดงเท่านั้น > > นอกจากระบบและความเคลื่อนไหวแล้ว ในส่วนความคิดนั้น แนวคิดในเชิงอุปถัมภ์อำนาจนิยมจะต้องถูกทำนุบำรุงอย่างเต็มพิกัด ทักษิณ คือความหวังที่พึ่งได้สำหรับทุกคน > > ใครขวางทักษิณคือคนที่ขวางอนาคตของชาติ ลูกปืนคือเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดและปัญหายาเสพติด เอ็นจีโอ และนักวิชาการคือคนเพ้อเจ้อ อนาคตทุกคนมีทักษิณดูแลอยู่แล้ว พบทักษิณได้ทุกเวลาทุกที่ในสื่อรอบตัวทุกชนิด > ระยะจัดตั้ง > > > ขั้นตอนสำคัญในการกลับมาของระบอบทักษิณก็คือ การจัดตั้งยึดฐานกำลังทั้งในระบบและนอกระบบการปกครอง ให้พร้อมต่อการยึดอำนาจกำราบเสี้ยนหนามให้จงได้ ซึ่งก็มีสามขั้นตอนย่อยคือ > > 1. ฟูมฟักขบวนการคนเสื้อแดง (2550–ปัจจุบัน) ระบอบทักษิณเดิมมีโครงข่ายอุปถัมภ์ในชุมชนต่างๆ อยู่แล้ว ยังขาดแต่วาทะกรรมแห่งความเกลียดชัง นักจัดตั้ง ความเคลื่อนไหวรวมหมู่ ทุนรอน และสื่อล้างสมองที่สมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งบรรดานายหน้าค้าอำนาจของชุมชนต่างๆ และซ้ายเก่าทั้งปวง ก็ได้เข้ารับงานพัฒนามวลชนเสื้อแดงอย่างถึงรากถึงโคนมาตลอด จนใช้งานเปล่งศักยภาพได้สูงสุด นำชัยชนะในสนามเลือกตั้งมาให้ทักษิณได้อย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งที่ผ่านมานี้ > > > ขบวนการเสื้อแดงจะต้องพัฒนาขยายตัวรุกเข้ายึดอำนาจในระบบต่อไปทั้ง กองทุนหมู่บ้าน อบต.และเทศบาลต่างๆ สำหรับการใช้กำลังนั้น คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งจะถูกจัดตั้งแทรกซึมเข้าไปอยู่ในระบบอาสาสมัครต่างๆ ของภาครัฐ ไม่เว้นแม้แต่ระบบลูกจ้างป่าอนุรักษ์ ทั้งหมดนี้ต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นมาเป็นทหารบ้านจับปืนต่อสู้กับกองทัพได้เสมอ โดยมิต้องพูดถึงกองกำลังอันธพาลที่พร้อมจะรังควานเป้าหมายได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว > > > การแทรกคนเสื้อแดงเข้าไปถือปืนของรัฐนี้เห็นได้ทั้งในกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากร โดยมุมมองเช่นนี้การแต่งตั้งแกนนำเสื้อแดงเข้าไปมีตำแหน่งในกระทรวงต่างๆ ส่วนหนึ่ง จึงมิอาจมองอย่างตื้นเขินเห็นเป็นเพียงการให้รางวัลเท่านั้น เพราะถ้าเข้าใจถึงแผนการเข้ายึดฐานที่ตั้งต่างๆ ในอำนาจรัฐแล้วก็จะเห็นได้ในทันทีว่า นี่คือส่วนหนึ่งของขบวนการแปลงร่างการเมืองการปกครองไทยนั่นเอง > > > 2.ชนะเลือกตั้ง ขายนโยบายประชานิยมสุดลิ่มทิ่มประตู (กรกฎา 2554 ) ระบอบทักษิณชนะเลือกตั้งปี 2554 ด้วยการตลาดประชานิยมที่ต้องตาต้องใจ ด้วยฐานมวลชนที่คึกคักในหลายพื้นที่ และการจัดการที่แม่นยำ > > ข้อที่น่าสังเกตในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คือสินค้าประชานิยมที่ทักษิณ คิดและโฆษณาขึ้นมาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู คลุมเป้าหมายทุกชนชั้นทุกวัย โดยไม่คำนึงเลยว่าจะทำได้หรือไม่ในระยะยาว ขอแต่เพียงให้ได้ใจ ได้คะแนนได้อำนาจก่อนก็เป็นอันเพียงพอ ซึ่งก็ทำให้คู่แข่งทั้งหลายและนักวิชาการทั้งปวงงงงันกันเป็นอันมากว่าจะ เป็นการหลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งแม้จนปัจจุบันนี้ก็ยังพากันไล่ล่าคาดคั้นกันอยู่ทุกวัน > > การไล่ล่าคาดคั้นเช่นที่ว่านี้นับเป็นความหลงผิดอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกวางแผนให้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจทำหน้าที่พาทักษิณ กลับบ้านภายใน 1 ปีเท่านั้น ไม่มีทั้งเวลาและหน้าที่ต้องทำให้นโยบายที่สัญญาไว้เป็นจริงแต่อย่างใด > > > 3.ส่งคนยึดราชการสำคัญ (สิงหา – ตุลา 2554) ราชการสำคัญในที่นี้คือราชการที่จำต้องใช้เพื่อเป็นฐานในการกลับมาของทักษิณ เริ่มจากที่ต้องใช้งานโดยตรงคือตำรวจและราชทัณฑ์ กองกำลังที่ต้องใช้เสริมหรือแทรกแซงหรือก่อกวนฝ่ายตรงข้ามทั้งอาสามหาดไทย และลูกจ้างหน่วยอนุรักษ์ป่า จากนั้นจึงเป็นฐานรอบนอกคือสื่อของรัฐทั้งหมด > > > ระยะรัฐประหาร > > 4.เตรียมพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษครบ 7 รอบในหลวง (ตุลา 2554) การอภัยโทษเป็นการทั่วไป โดยพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 7 รอบ ใน 5 ธันวา 2554 นี้ หากถือแบบอย่างตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษปีก่อนๆ ก็จะมีบทบัญญัติอภัยโทษด้วยเหตุสูงอายุของผู้ต้องขังที่อายุเกิน 60 ปีและเหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีอย่างแน่นอน คงเหลือแต่ปัญหาว่าจะวางเงื่อนไขให้ต้องเคยต้องโทษมาก่อนหรือไม่ซึ่ง ตัวอย่างในพระราชกฤษฎีกาปี 2550 จะกำหนดว่าต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม มาในปีล่าสุดคือปี 2553 ก็ผ่อนคลายเลิกเงื่อนไขนี้ไป > > > เชื่อได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะต้อง พยายามให้กฤษฎีกาปี 2554 ยืนหลักการไม่มีเงื่อนไขเช่นปี 2553 อย่างแน่นอน จากนั้นจึงให้ทักษิณ กลับมามอบตัวรับฟังคำพิพากษาให้ศาลออกหมายขัง แล้วถูกคุมขังในโรงเรียนพลตำรวจบางเขน สักระยะหนึ่งประมาณ 2 อาทิตย์ (สถานที่นี้ รัฐมนตรียุติธรรม พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ได้เร่งประกาศเป็นเรือนจำไปเรียบร้อยแล้ว ) จากนั้นเมื่อประกาศพระราชกฤษฎีกาแล้ว ทักษิณก็จะพ้นการคุมขังประมาณวันที่ 10 ธันวาคม ไปในที่สุด > > > แผนการนี้เชื่อได้เกินครึ่งแล้วว่า เป็นแผนจริงของทักษิณ เพราะมิใช่การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการเฉพาะรายเหมือนฎีกาแดง 3 ล้าน เป็นเรื่องที่ยอมเข้ามาถูกคุมขังให้ได้จังหวะจนได้พระมหากรุณาธิคุณเช่น เดียวกับนักโทษอื่นๆ ทำให้ลบภาพสองมาตรฐานออกไปได้ และยังได้อ้างพระมหากรุณาธิคุณปิดปากฝ่ายต่อต้านอีกด้วย > > > 5.การกลับมาถูกขังและการพ้นโทษของทักษิณ (พฤศจิกา 2554) ประเมินได้ว่าช่วงพฤศจิกายน 2554 นี้ ทักษิณจะสามารถสร้างภาพในระดับสากลให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและความร่วมมือ มีแรงหนุนจากธุรกิจน้ำมันระดับโลกอย่างแน่นหนา ภายในประเทศเองนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็พยายามลากเข็นนโยบายหลักให้เห็นลวกๆ ไประยะหนึ่งแล้ว ทั้งการลดราคาน้ำมันและจำนำข้าว > > > การกลับมาของทักษิณในพฤศจิกานี้ จึงมีความพร้อมในทางการเมืองอยู่มาก คงเหลือแต่ด่านในทางกฎหมายเท่านั้นว่าจะฟันฝ่าต่อไปอีกได้หรือไม่ เพราะมีคดีความที่ฟ้องศาลแล้ว เป็นจำเลยแล้ว และรอดำเนินคดีอยู่หลายคดีด้วยกัน ซึ่งต่อปัญหาคดีเหล่านี้ฝ่ายทักษิณ ก็จะต้องฟันฝ่าต่อไป โดย .. > > > > 1.ต้อง เดินหน้าใช้ ส.ส.เพื่อไทย และส.ว.แดงในสภาแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในนามของการปฏิรูปหลักนิติธรรมแห่ง ชาติ ตรากฎหมายนิรโทษกรรม หรือเพิกถอนการดำเนินคดีทั้งปวงให้สิ้นสุดไปให้ได้ > > 2.ระหว่างนี้ต้องไม่ยอมให้ศาลในคดีที่เหลือใช้อำนาจคุมขังทักษิณ โดยการปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวเป็นอันขาด > > > หากผ่านด่านข้อ 2 ไปได้ ทักษิณก็จะพ้นที่คุมขัง พ้นโทษคดีที่ดินรัชดา > ในนามของการพระราชทานอภัยโทษ แล้วเดินหน้าร่างรัฐธรรมนูญใหม่สถาปนาระบอบใหม่ โดยไม่มีใครมีกำลังเผยอหน้าเป็นเสี้ยนหนามได้อีกต่อไป ทั้งในและนอกระบบ จนสามารถกล่าวได้ว่าการพ้นโทษในธันวาคมนี้ มีผลเทียบได้ไม่ต่างจากการรัฐประหารแต่อย่างใดเลย > > ด่านข้อ 2 นี้ ลูกบอลจะตกอยู่ที่ กระบวนการยุติธรรม ว่า จะสามารถตั้งหลักเริ่มดำเนินคดีที่เหลือกับทักษิณได้หรือไม่เมื่อใด และที่สำคัญจะให้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งหากไปถึงวันพิจารณาเปิดคดี นำตัวจำเลยทักษิณ ไปศาลพร้อมคำขอประกันเมื่อใด มวลชนแม่ยกแดงจะต้องแห่แหนไปล้อมศาลอย่างแน่นอน โอกาสประทะซึ่งหน้าระหว่างนิติรัฐกับกำลังมวลชน ก็จะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดโดยพลัน การเกิดเหตุการณ์ชุลมุนทางอำนาจเหมือนกรณี 6 ตุลาคมจะเป็นไปได้สูงยิ่ง > > > ระยะสถาปนาระบบเพื่อรองรับระบอบทักษิณ(รวมศูนย์) > > > 6.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เนื้อหาและกระบวนการ (กันยา 2554 - สิงหา 2555) โฟกัสของรัฐธรรมนูญใหม่จะอยู่ที่การปรับระบบตรวจสอบเสียใหม่ แล้วจึงตราบทเฉพาะกาลย้อนหลังไปมีผลลบล้างการเอาโทษทั้งปวงที่กระทำต่อ ทักษิณ ไว้ ทั้งในระดับ คตส. ป.ป.ช.และศาลฎีกาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ทักษิณก็เดินหมากให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการพิเศษ ชื่อ คอ.นธ. มี นายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานทำการศึกษาและประชาสัมพันธ์สร้างกรอบคิดฝังลงไปในสังคมเป็นการปู ทางไว้ก่อนแล้ว > > > จนในราวเดือน มีนา 2555 กระบวนการเลือก ส.ส.ร.ก็จะเริ่มขึ้น โดยต้องมีพิมพ์เขียวเตรียมไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งนอกเหนือจากแนวทางที่ได้จาก คอ.นธ.แล้ว ก็น่าจะล่วงเข้ามามีบทบัญญัติยกเลิกวุฒิสภาด้วยอีกส่วนหนึ่ง > > > ในส่วนกระบวนการนั้นก็แน่นอนว่าต้องมีการประชาสัมพันธ์ถ่ายทอดการร่างรัฐธรรมนูญ ใหม่เป็นการใหญ่ แล้วนำไปสู่การลงประชามติขอความเห็นจากประชาชน แล้วนำมาขอมติรับรองจากรัฐสภาอีกชั้นหนึ่ง > > น่าเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้ จะถูกปรุงแต่งแสดงตัวเป็นประชาธิปไตยอย่างสุดแรงเกิดทั้งการยกเลิกวุฒิสภา, จำกัดอำนาจองค์กรอิสระทั้งปวง,การให้สภาผู้แทนรับรอง กต.หรือตุลาการระดับสูง หรือองค์กรอิสระ, การนำระบบลูกขุนมาใช้ในศาลไทยฯ เป็นต้น > ทั้งหมดนี้ ในปัจจุบันต้องมีแนวทางและเจ้าของความคิดซุ่มร่างวางแนวไว้แ??้วทั้งสิ้น และในไม่ช้าผู้สมคบทางวิชาการเหล่านี้จะปรากฏตัวให้เห็นเป็นตัวเป็นๆอยู่ใน คน.อธ.อย่างแน่นอน > > > 7.รัฐธรรมนูญใหม่..เลือกตั้งใหม่..ระบอบทักษิณ ใหม่ ( สิงหา 2554) ประเมินได้ว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะต้องถูกเร่งรัดอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการเร่งปล่อยกระแสความคิดเรื่องหลักนิติธรรมแห่งชาติโดยกลไก คอ.นธ.มาตั้งแต่เดือนที่สองของรัฐบาล แล้วต้องตามด้วยการสร้างเวทีสาธารณะกระพือความเห็นตามเป็นระลอกไปตลอด จนไม่ต้องเสียเวลาทำความคิดในสังคมให้มากมายในช่วงร่างรัฐธรรมนูญอีกต่อไป กรณีจึงเป็นไปได้ว่าน่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ในราวเดือนมิถุนายน 2555 แล้วอีก 2 เดือนต่อมาก็จะได้นายกรัฐมนตรีใหม่ชื่อทักษิณ ชินวัตร > > > การปกครองนับแต่นั้นจะเป็นระบอบทักษิณใหม่ มีฐานมวลชนเสื้อแดงเกลื่อนอยู่ในชุมชนทุกแห่ง นายหน้าหรือแกนนำจะแทรกอยุ่ใน อบต.และเทศบาลต่างๆ ข้าราชการที่สวามิภักดิ์จะถูกแต่งตั้งมาดูแลพื้นที่ทั้งปวง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 09:01:36 รื้อคดีที่ดินรัชดา ชี้ชัด"แม้ว"ผิด ตัวการทำชาวบ้านล้มละลาย http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148597 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 09:25:20 ประมวลสองด้าน พิสูจน์ดี-ชั่ว ร่าง ‘พ.ร.ฏ.อภัยโทษ’ ฉบับลับหมกเม็ดใต้น้ำท่วม
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd771674_4188548_582723_1256775photo.jpg) นับตั้งแต่วันที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลายคนก็รู้ดีว่าน้องสาวคนนี้ย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้พี่ชายได้กลับมายังแผ่นดินเกิดไม่วันใดก็วันหนึ่ง และแล้ววันนั้นมันก็มาถึง เพราะในช่วงวิกฤตน้ำท่วมที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีโดยการนำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมวาระลับเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการเข้ารับพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งเนื้อหาของ พ.ร.ฎ. ซึ่งมีการคุยกันนั้นมีอยู่หลายจุดที่จะเข้าข่ายที่จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนักโทษหนีคดี แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ย่อมกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคม ซึ่งความเห็นโดยรวมก็ได้แบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน คือขั้วที่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเป็นหลักดังนั้นจึงไม่ยอมให้ พ.ร.ฎ. ที่เอื้อประโยชน์แก่คนใดคนหนึ่งคลอดออกมาโดยง่าย ส่วนอีกฝั่งก็คือพวกที่รักและคิดถึงนายของเขา จึงอยากให้ พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ออกมาพานายของเขากลับบ้าน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้น การรับฟังเหตุผลของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้และสมควรทำ ซึ่งหลังจากได้รับข้อมูลเหล่านี้มาแล้ว แต่ละคนก็คงจะประมวลผลกันได้ว่าเหตุผลของฝั่งไหนฟังขึ้นหรือไม่ขึ้นอย่างไร มิบังควรได้รับอภัยโทษ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน รัฐบาลต้องฟังประชาชนควบคู่ไปด้วย ถ้าอยากจะฟังพ.ต.ท.ทักษิณด้วยก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากอาเซียนแล้วต้องรีบประกาศว่าไม่ทำแล้วเพื่อให้สังคมเกิดความสบายใจ จะได้เดินหน้าในเรื่องอื่นที่มีความสำคัญมากกว่า ส่วนแนวคิดที่รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องว่ากันต่อไปว่าทำเพื่ออะไร ตนอยากย้ำว่าถ้าทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ของส่วนรวมก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าทำเพื่อมุ่งตอบโจทย์คน ๆ เดียวฝืนหลักกฎหมายหลายอย่างก็จะเป็นปัญหา หลักก็มีง่าย ๆ เพียงเท่านี้ เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เรื่องนี้เป็นการโยนหินถามทาง เพื่อจะฉวยโอกาสช่วงที่มีกระบวนการต่อต้านขึ้นมาจำนวนมาก ก็เลยแสดงอาการเข้าเกียร์ถอย เพื่อที่จะหนีการเผชิญหน้า พฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ต่างอะไรกับนักย่องเบา ที่จะเข้าไปขโมยทรัพย์สิน เมื่อเจ้าของรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็โยนของที่ขโมยทิ้งไป เพื่อจะให้ตัวเองพ้นจากความผิด ดังนั้นเรื่องนี้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และทำเพื่อตัวเองทั้งหมด แก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เรื่องนี้เป็นเรื่องการออกกฎหมายของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับจดหมายหรือเจตนาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลต้องนำร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ มาให้ประชาชนดูให้ชัดเจนไปเลย อย่ามาอ้างว่าเป็นความลับ เพราะหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับความลับก็มีอยู่ คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ไม่ได้อยู่ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า ลับก็คือความลับ ทั้งนี้ เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะหยุดเรื่องนี้หรือจะแก้ไข โดยการออกคำสั่งระงับร่างฉบับเก่า และให้กระทรวงยุติธรรมแก้ไขใหม่ ถ้าโปร่งใสและชัดเจนทุกอย่างก็จบ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ คนเราต้องมีความสง่างาม โปร่งใส อย่างกรณีตนก็ถูกกล่าวหาจาก คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ในคดีหวยบนดิน และกล้ายาง ก็ยังต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สู้คดีอย่างโปร่งใส ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณสมควรอย่างยิ่งที่จะสู้คดีอย่างโปร่งใส เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอดีตผู้นำที่จบสาขาบริหารงานยุติธรรม และจบจากโรงเรียนตำรวจ ควรเดินตามเส้นทางสุภาพบุรุษ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้บ้านเมือง ทำทุกอย่างสง่าผ่าเผย สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การกระทำเช่นนี้ถือนี้เป็นเรื่องที่น่าเกลียด และเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้ามาก วันนี้การกระทำของพรรคเพื่อไทยพิสูจน์ชัดเจนว่า การเมืองปัจจุบันที่เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย คือการเมืองที่มุ่งช่วยคนคนเดียวจริงๆ และเป็นการจงใจจะทำลายหลักนิติรัฐ โดยอ้างเรื่องนี้บังหน้า การเมืองในลักษณะนี้ไม่ใช่การเมืองปรองดอง หรือการสร้างความสามัคคี แต่เป็นการเมืองเพื่อคนคนเดียว พันธมิตรฯ ไม่นิ่งเฉยแน่นอน โดยทางแกนนำพันธมิตรฯ กำลังจะพิจารณาเนื้อหาสาระของ พ.ร.ฎ.นิรโทษกรรม อย่างรอบคอบ และจะประชุมกันเพื่อกำหนดท่าทีโดยเร็วที่สุด นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี หากเรื่องดังกล่าวเป็นจริง รัฐบาลจะต้องมีคำชี้แจงว่าทำไมต้องแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม เพราะบ้านเมือง ประชาชน กำลังได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม หากมีการพยายามดำเนินการเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ จริง รัฐบาลนี้ก็อยู่ไม่ได้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะอยู่อย่างไม่มีความสุขเช่นกัน เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ผ่านมาการออกกฎหมายลักษณะดังกล่าวก็ทำกันมาตลอด ในโอกาสสำคัญๆ แต่มีปัญหาตรงที่ร่างนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ อาจได้ประโยชน์ด้วย เลยถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก เพราะของเดิมที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ กำหนดเงื่อนไขยกเว้นคดีพาเสพติดและคดีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย ดังนั้น ครม.เมื่อตัดสินใจเอง ก็ต้องรับผิดชอบในปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย กงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบาย สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คิดว่าหากจะมีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษควรจะเป็นพระราชกฤษฎีกาที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ในทางการเมืองมาก จนเกิดการปะทะที่รุนแรงและทำให้เสียภาพลักษณ์ต่อประเทศไทย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภาพรวมจะดีกว่า ทวี ชูทรัพย์ อดีตอธิบดีกรมราชฑัณฑ์ ข่าวมันออกมาว่า ครั้งนี้มันเป็นการล็อกสเปก คนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องมีอายุเกิน 60 ปี ต้องโทษจำคุกต่ำกว่า 3 ปี และลงท้ายว่าจะติดคุกมาก่อนหรือไม่ติดก็ได้ ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ และมาบอกกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าเป็นอย่างนี้อย่าเอาด้วยเลย ไม่รู้เลยว่าจะมาไม้ไหน ในร่างฯ ที่เห็นเป็นการยกโทษจำคุกตามมาตรา 55 เป็นอำนาจศาล จะเอามาออก พ.ร.ฎ. อภัยโทษไม่ได้ นี่ประการแรก ประการต่อมา คนที่ไม่เคยติดคุกจะไม่มีต้นฉบับอะไรอยู่ที่กรมราชทัณฑ์ ไม่มีอะไรสักอย่าง จะมาอ่านหนังสือพิมพ์ว่า คนนั้นต้องโทษไม่เกิน 3 ปี อายุเกิน 60 ปี จะต้องปล่อยไป ตัวก็ไม่มีให้ปล่อย ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการ สติปัญญาของพวกเขาไม่ได้โง่กว่าเรา เราเองยังคิดออกตามหัวข้อนี้ว่า อภัยโทษจะเป็นการเพิ่มวิกฤตของบ้านเมือง เรายังรู้แล้ว เขาจะไม่รู้หรือ เขารู้ แต่เขากำลังทดสอบพวกเรา อย่าสอบตกเด็ดขาด เขากำลังมองว่าพันธมิตรฯ แตกแล้ว เขากำลังมองว่า สีโน้นสีนี้มีจำนวนก็แค่สองพันสามพัน เขาคิดว่าเขาได้ย้ายข้าราชการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว สื่อหลายรายอยู่ในมือเขาแล้ว เขามั่นใจว่าเขาจะชนะแน่นอน แล้วเราจะยอมหรือ? ------------------------------------------------------------------------- สู้เพื่อนายใหญ่...ได้กลับแผ่นดินไทย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ (คดียาเสพติดและคดีคอร์รัปชัน) เป็นการออกเพิ่มเติมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เติมได้ เราก็มีสิทธิตัดทิ้งได้ คุณเติมฉันไม่ว่า แต่ฉันตัดอย่ามาโวย ทั้งนี้การออกพระราชกฤษฎีกาถือเป็นอำนาจของ ครม.ที่มีสิทธิทำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำเข้าสภาฯ หารือ เหมือนสมัยที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกฤษฎีกากู้เงิน 4 แสนล้านบาท เชื่อว่าพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษจะไม่จุดชนวนให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองให้มีการปลุกม็อบสีต่างๆ ตามมาภายหลัง เพราะเราเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 15 ล้านเสียง ซึ่งทุกประเทศเช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ก็ต้อนรับประเทศไทยที่เข้าสู่ประชาธิปไตย มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน และก็เคยทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ พรรคประชาธิปัตย์อย่ามาหมกมุ่น ตามจองล้างจองผลาญ พ.ต.ท.ทักษิณ สังคมสัมผัสได้ถึงความอิจฉาริษยาและความเห็นแก่ตัวของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กลัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ประโยชน์ และกลัว พ.ต.ท.ทักษิณจนขนหัวลุก การดำเนินการของรัฐบาลเป็นการทำเพื่อส่วนรวม ไม่ได้มุ่งหวังทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คุณสมบัติของผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป โทษไม่เกิน 3 ปี และมีข้อติติงในเรื่องคดียาเสพติดและทุจริต ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณก็ไม่ได้ถือว่ามีโทษทุจริต เพราะเป็นเพียงการเซ็นรับรองในกรณีที่ดินรัชดาฯ เพียงแต่เขาอ้างว่าไม่ถูกต้อง ในฐานะข้าราชการที่ไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้เป็นการฉ้อโกงใดๆ ปัญหาทางกฎหมายเรียกว่า เป็นปัญหาทางเทคนิคข้อกฎหมายไม่ใช่ปัญหาทุจริต ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา เคยมีกรณีกระทรวงยุติธรรม มีความเห็นว่ามีรายชื่อที่ไม่สมควรได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่เมื่อผลท้ายสุดก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ที่ผมบอกว่าเป็นความลับ เพราะรักษาความในประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง ที่ต้องรักษาความลับไว้ เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นอาจถูกยื่นถอดถอนได้ ฐานทำผิดวินัย พวกผมกว่าจะได้มาเป็นรัฐบาลยากลำบาก เมื่อได้เป็นแล้วก็อยากเป็นให้ครบ 12 ปี ที่ไม่บอกไม่ใช่ว่าผมกลัวใครต่อต้าน ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร การที่กลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน เป็นกลุ่มคนเก่าๆ ที่อยู่หลังฉากต้องการทำลายอดีตนายกฯ ทักษิณเพียงอย่างเดียว ไม่เคยคิดถึงคนอื่น ทุกวันนี้ครอบครัวของนักโทษที่อยู่ข้างนอกหลายชีวิต หลายหมื่นครอบครัวต่างรอความหวังในวันที่ 5 ธันวาคม ผมขอฝากไปยังผู้ที่เขียนบทอยู่ข้างหลังที่สร้างปัญหากับประเทศว่า ขอให้หยุดได้แล้ว บ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อไป และนี่คือความต้องการที่เป็นหัวใจสำคัญของเราในการเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย ปัณณวัฒน์ นาคมูล ผู้ประสานงานกลุ่ม นปช. จังหวัดอุตรดิตถ์ หากได้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาประเทศไทย จะเป็นการช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมรอบนี้ได้โดยเร็ว เนื่องจากที่ผ่านมาก็เห็นการแก้ปัญหาให้แก่บ้านเมืองแล้วว่าเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จะเรียกความเชื่อมมั่นของนักลงทุนภาคเอกชน และชาวต่างชาติได้ รวมทั้งการวางแผนเพื่อรับมือกับกับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคมได้ให้โอกาสให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่บ้านเมือง ทุกคนรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ผิดอะไร แต่ที่ต้องอยู่ต่างประเทศเพราะเกิดจากการกลั่นแกล้งทางการเมือง ที่คิดจะทำลายล้างกันอย่างเดียว แต่ถึงเวลานี้บ้านเมืองเกิดวิกฤตทำให้ขาดคนดีมีฝีมือเข้ามาแก้ไข อยากให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ส่วนรวม ช่วยกันนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาประเทศไทย และเชื่อว่าความปรองดองในบ้านเมืองจะเกิดขึ้นตามมา ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย วันนี้ต้องพูดกันตรงๆ ว่ามวลชนคนเสื้อแดงมีมากกว่ามวลชนที่คัดค้านการขอพระราชทานอภัยโทษอยู่แล้ว ที่ผ่านมาคนเสื้อแดงรู้สึกเหมือนถูกกระทำมาตลอด ยิ่งถ้าต้องให้ยอมรับการกลั่นแกล้งทั้งหมดอีกยิ่งเป็นไปไม่ได้ จึงไม่แปลกเลย หากมีคนคัดค้านการขอพระราชทานอภัยโทษแล้วมวลชนคนเสื้อแดงจะออกมา วันนี้คนเสื้อแดงทุกคนพร้อมอยู่แล้ว หากเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะกลายเป็นมวลชนชนมวลชน ซึ่งประเทศจะเสียหายมากกว่านี้ จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอดีตแกนนำ นปช. ประเทศไทยไม่เคยมีประเพณี แต่ในทางหลักการทำได้ เพราะเป็นเรื่องพระราชอำนาจ ผมคิดว่า สมเด็จนโรดมสีหนุ กษัตริย์ กัมพูชา เคยให้อภัยโทษกับคนที่เกี่ยวข้องในการทำรัฐประหารแต่ล้มเหลวในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ปี 2540 โดยคนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย ผมยังเคยไปพบเขาเลย กลุ่มสมเด็จนโรดม รณฤทธิ์ กลุ่มพระพุทธะเสรี กลุ่มซอนซาน เวลานั้นกัมพูชามีนายกฯ 2 คน อีกคนคือ สมเด็จรณฤทธิ์ บริหารไปมา ก็เกิดความขัดแย้ง จึงทำรัฐประหารมีการยิงกัน แต่ล้มเหลว แล้วหนีมาอยู่ไทย ผมยังไปเยี่ยมเขา ต่อมาสมเด็จฯฮุนเซน ก็เห็นว่าเพื่อความปรองดองชาติ จึงกราบทูลให้ สมเด็จสีหนุ พระราชทานอภัยโทษ ต่อมาสมเด็จนโรดม รณฤทธิ์ เคยถูกฟ้อง ศาลตัดสินจำคุก ก็หนีไปอยู่ประเทศอื่น สมเด็จนโรดม สีหมุณี ก็พระราชทานอภัยโทษ แม้ว่า สมเด็จนโรดม รณฤทธิ์ จะไม่ได้อยู่ในคุก ฉะนั้น โดยหลักการ ก็คลุมถึงคนที่หลบหนีก็ได้ แต่ประเทศไทย ไม่เคยมีประเพณีนี้ .......... แต่หลังจากการถกเถียงกันด้วยข้อมูล เหตุผลรวมไปถึงอารมณ์ของทั้งกลุ่มผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกำลังดำเนินไป ล่าสุด ข้อถกเถียงเหล่านั้น ก็ค่อยๆ เงียบเสียงลงชั่วคราว เนื่องมาจาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ได้ออกมาให้คำมั่นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาว่า แท้จริงแล้ว พ.ร.ฎ. อภัยโทษที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น เป็นพ.ร.ฎ. ที่ไม่เอื้อประโยชน์กับใครเป็นพิเศษ และในส่วนของบัญชีแนบท้ายที่เกี่ยวกับเรื่องของคดีทุจริตและคดียาเสพติดก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม “ผมขอเรียนด้วยความสัตย์จริงว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องลับและอยู่ระหว่างการดำเนินการ เมื่อผ่าน ครม.แล้วก็ส่งให้กฤษฎีกาตรวจและกลับเข้าสู่ ครม. และที่มีการถามว่า พ.ร.ฎ.ดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือไม่ ตอบด้วยความสัตย์จริงว่าไม่ เพราะบัญชีแนบท้ายคดีทุจริตตามกฎหมาย ป.ป.ช.ก็อยู่ในร่างโดยสมบูรณ์ และไม่มีเนื้อหาที่ขัดต่อ ป.วิอาญา ยืนยันว่าเนื้อหาสาระร่าง พ.ร.ฎ.ของผม เหมือนร่าง พ.ร.ฎ.ที่นายพีระพันธุ์เสนอ เพียงแต่บางถ้อยคำอาจมีความแตกต่างกันบ้าง” แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ใช่ว่าภาคประชาชนจะนิ่งนอนใจได้ เพราะจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทักษิณและพรรคพวก ล้วนแต่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว และเชี่ยวชาญในเรื่องของการหลอกล่อหมกเม็ดและลักไก่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ จึงเป็น พ.ร.ฎ. ที่คนไทยทุกคนต้องเฝ้าระวังเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา >>>>>>>>>> ……… เรื่อง : ทีมข่าว CLICK ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 10:25:21 หาช่องล้างนิติรัฐ อุกฤษอ้างยุติสองมาตรฐานรับไม้แม้วยึดสื่อรัฐชวนเชื่อ
ข่าวหน้า 1Thaipost.net 22 พฤศจิกายน 2554 - "อุกฤษ" รับไม้ต่ออ้างยุติธรรมสองมาตรฐาน หาช่องล้างกฎหมายครั้งใหญ่ รอน้ำลดยึดโทรทัศน์-วิทยุโฆษณาชวนเชื่อ เสื้อแดงอีสานยังชุมนุมต่อ "ขวัญชัย" ให้เหตุผลกลุ่มต้านรัฐบาลไม่หยุดแดงก็ไม่หยุด ส.ว.-ภาคประชาชนไม่เชื่อคำพูด "ประชา" ลุ้นจับตารัฐบาลใกล้ชิดหวั่นลักไก่ช่วย "ทักษิณ" เป็นจังหวะที่สอดรับการเขียนจดหมายยอมถอย จากการมีชื่อในพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุกในคดีคอรัปชั่น โดยเมื่อวันจันทร์ นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 มี 4 ข้อ ตอบสนองความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะกรณีที่ระบุว่ายุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งมีการประโคมกันมาอย่างยาวนาน แถลงการณ์ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ระหว่างนี้มีน้ำท่วมใหญ่ ประชาชนจำนวนมากได้รับความทุกข์แสนสาหัสต้องอพยพหนีน้ำ ไม่พ้นแม้แต่คณะกรรมการและคณะทำงานของ คอ.นธ. จึงทำให้ไม่มีการประชุมตามที่กำหนดไว้ แต่ได้มอบหมายให้กรรมการทุกคนทำงานตามที่มอบหมายไว้ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการเมื่อน้ำลดลงและมีความสะดวกในการจัดประชุม 2.อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ประธานคณะกรรมการ คอ.นธ.จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เพื่อส่งเสริมหลักนิติธรรมให้เป็นผลทางรูปธรรม โดยมุ่งหวังที่จะให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมตามกฎหมายและหลีกเลี่ยง "ความยุติธรรมสองมาตรฐาน” รวมทั้งให้ความเห็นในการเตรียมออกกฎหมาย เพื่อใช้บังคับแก่ประชาชนในประการที่อาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อหลักนิติธรรม 3.เอกสารดังกล่าวจะเป็นรูปแบบ "ความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.)" โดยจะส่งตรงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะติดตามผลว่าความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวได้รับการพิจารณาหรือไม่ 4.เมื่อส่งความเห็นและข้อเสนอแนะไปแล้ว จะให้ทำลงในเว็บไซต์ของ คอ.นธ. และอาจมีการทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรายการโทรทัศน์ของ คอ.นธ. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยทุกสัปดาห์ โดยจะเริ่มเมื่อปัญหาน้ำท่วมได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทางทหาร และตนได้พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นการส่วนตัวแล้วว่า เราจะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องของภาคการเมือง และทุกคนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบได้ดำเนินการไปตามหน้าที่ ส่วนกองทัพจะดูแลเรื่องทุกข์สุขของประชาชน ฟื้นฟูผู้ที่ประสบอุทกภัยต่อไป จะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องดังกล่าว ส่วนเรื่องนี้จะเป็นการสร้างเงื่อนไขทางสังคมหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ ต้องไปถามผู้ที่เกี่ยวข้อง "เราคุยกันแล้วถึงแนวความคิดเรื่องการปรองดอง และขณะนี้ก็กำลังดำเนินการอยู่ กองทัพทำงานให้ในนามของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุขความสบายใจตามนโยบาย และภาพของความรักความปรองดองก็เกิดขึ้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่อยากรักษาไว้" เขาบอกว่า ไม่อยากให้มีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ เพราะมันไม่สมควร แต่เท่าที่ทราบขณะนี้ทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายและกำลังสบายใจขึ้น นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ส่งจดหมายชี้แจงตอบโต้ประเด็นการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณเขียนจดหมายเรื่องนิรโทษกรรม เพราะกลัวรัฐบาลล้มเนื่องจากแรงต้านว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทราบเนื้อหาและรายละเอียดของร่าง พ.ร.ฎ.ที่รัฐบาลกำลังจะพิจารณา และไม่ทราบว่าจะมีการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ใครบ้าง ไม่ทราบว่าข้อสรุปเป็นอย่างไร เพราะแม้แต่รัฐมนตรีบางคนก็ยังไม่ทราบ แต่เมื่อเรื่องนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งมีความรักและเป็นห่วงประเทศ อยากเห็นความสามัคคีปรองดอง จึงเห็นว่าควรรีบสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลาม และแม้ท่านไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะนอกจากมีการยึดอำนาจท่านที่ประชาชนเลือกมา ยังมีการตั้งบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อท่านมาสอบสวนคดี ซึ่งขัดกับหลักนิติรัฐและนิติธรรมโดยสิ้นเชิง แต่ท่านพร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวของท่านเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ที่อาจเอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เรื่องนี้ฝ่ายค้านถามตนมาตลอด ไม่สามารถพูดได้เพราะเป็นความลับ เนื่องจากยังไม่ได้มีการรับรองในข้อกฎหมายดังกล่าว ที่จะต้องรอฟังจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อนว่า สามารถใช้ได้หรือไม่ มีความเห็นอย่างไร ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรกลุ่มต่างๆ ก็เตรียมการชุมนุมแล้ว "ถึงแม้ว่าจะเคยบอกเอาไว้ระหว่างหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาก็ตาม ซึ่งเคยบอกแล้วว่าเป็นแค่นโยบายเท่านั้น แต่ผมจะไม่ใช้วิธีนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็มีวิธีที่จะทำให้ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ยังไม่ขอบอกตอนนี้ว่าเป็นวิธีการอะไร" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว ขณะที่คนเสื้อแดงยังคงเคลื่อนไหวหนุนให้มีการขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มพลังมวลชนในนาม "กลุ่มรักสันติ” จาก 14 หมู่บ้าน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ กว่า 200 คน นำโดยนางสำรวย ศรีมะเรือง ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีตำบลเจริญสุข เป็นแกนนำกลุ่มพลังมวลชน ได้รวมตัวกันเดินทางมาชุมนุมพร้อมชูป้ายข้อความต่างๆ อาทิ "ชาวบุรีรัมย์สนับสนุน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เพื่อความปรองดองของชาติ, ทำบุญ ให้อภัยทาน สร้างสมานฉันท์ ให้อภัยโทษ และหยุดเล่นกีฬาสี มาให้อภัยกันเถิด” เพื่อแสดงพลังสนับสนุนพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พร้อมให้กำลังใจและสนับสนุนการทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย เช่นเดียวกับที่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายจักรวุฒิ ไตรวัลลภ หรือ "ตี๋ไก่" แกนนำคนเสื้อแดงโคราช นำแนวร่วมจำนวนกว่า 200 คน มาแสดงพลังสนับสนุนร่วมผลักดันร่าง พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา ประธานกลุ่มแดงรักเจ้า กล่าวถึงกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หยุดชุมนุมคัดค้าน พ.ร.ฎ.ว่า คนเสื้อแดงจะยังคงเดินหน้าชุมนุมใน 20 จังหวัดภาคอีสานต่อไปเหมือนเดิมตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากยังคงมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลยังไม่หยุดการเคลื่อนไหว ซึ่งคนเหล่านี้รับแผนมาเพื่อทำลายรัฐบาลโดยเฉพาะ ดังนั้น ถ้าจะให้เรายุติการชุมนุมก็ต้องให้คนเหล่านี้หยุดการเคลื่อนไหวเสียก่อน แต่ถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ไปขับไล่อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่ไปยุ่งเลย "เชื่อว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะไม่ทำให้เกิดความรุนแรงแตกแยกเพิ่มมากขึ้น แต่เป็นเพียงการตั้งเวทีปราศรัยเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนขบวนไปไหน ปราศรัยเสร็จเราก็กลับ จึงไม่น่าที่จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น” นายขวัญชัยกล่าว วันเดียวกันนี้ ที่ประชุมวุฒิสภามีการหารือก่อนเข้าสู่วาระการประชุม โดย รศ.พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา ได้ขอหารือโดยฝากไปยังนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้ทราบว่าตามที่ พล.ต.อ.ประชายืนยันว่า จะคงไว้ซึ่งฐานความผิดที่ไม่ควรได้รับการพระราชทานอภัยโทษ คือความผิดคดียาเสพติดและความผิดฐานทุจริต ถ้าลบล้างออกไปก็เท่ากับว่ารัฐบาลหลอกลวงประชาชนมาตั้งแต่ต้น เพราะเคยระบุไว้ในการแถลงนโยบายว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการของรัฐบาลนี้ "ถ้ามีการถวายพระราชกฤษฎีกาที่ด่างพร้อยเช่นนี้ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระ ปรมาภิไธย โดยมีนักโทษจำนวน 26,000 คนเป็นตัวประกัน เท่ากับว่าเป็นการกดดันพระองค์ท่านอย่างชัดเจน และคนไทยที่จงรักภักดียังมีมากกว่า 50 ล้านคนคงจะไม่ยอม ทางที่ดีที่สุดขอให้นายกรัฐมนตรีแถลงย้ำให้ประชาชนมั่นใจและสบายใจมากกว่านี้” รศ.พรพันธุ์กล่าว ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา หารือว่าตนทราบว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้เขียนจดหมายถึงคนไทย แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าจะไม่ขอรับสิทธิ์พระราชทานอภัยโทษ เพื่อลดปัญหาที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ ดังนั้น ตนขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ออกมาแถลงถึงความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าว เพื่อให้สังคมเกิดความเข้าใจไม่ขัดแย้งกัน ที่ทำเนียบองคมนตรี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน พร้อมแนวร่วม เดินทางเข้ายื่นหนังสือคัดค้านการตรา พ.ร.ฎ.ต่อคณะองคมนตรี เนื่องจากเห็นว่าร่างกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะนั้นผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง การนำร่างกฎหมายที่ผิดหลักกฎหมายเช่นนี้ขึ้นกราบบังคมทูลถวาย เพื่อขอให้ทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น ย่อมเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เขาบอกว่าแม้ พล.ต.อ.ประชาจะระบุว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 จะเหมือนกับพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2553 ในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่ก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะเห็นด้วย และปฏิบัติตามคำแถลงของ พล.ต.อ.ประชา และหากไม่มีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษจริง ก็อาจมีการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมหรือพระราชบัญญัติล้างมลทินในภายหลังด้วย” นพ.ตุลย์กล่าว ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวว่า จากข้อมูลที่เราสืบทราบมา ในร่างพระราชกฤษฎีกาที่เขาจะส่งไปให้สำนักงานกฤษฎีกาพิจารณานั้น เขามีข้อความที่ระบุชัดว่า แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ติดคุกอยู่ก็สามารถจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งตรงนี้เรายอมไม่ได้เพราะเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ แต่ทีนี้พอเราแถลงข่าววันเสาร์ วันอาทิตย์เขาถอย พี่น้องเราทั่วประเทศไทยกำลังขึ้นมา เราก็เลยต้องแจ้งให้เขาหยุด แต่ก็มีหลายฝ่ายซึ่งเขายินดีที่จะมาก็เลยมากัน ทั้งหมดนี้ขอยืนยันในเจตนารมณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าเราเป็นคนที่มีเหตุผล "หากเขาไม่ถอย เราเชื่อมั่นว่าเราคงจะชุมนุมยาวนาน แล้วก็จะมีคนเข้ามาร่วมเป็นหมื่นเป็นแสนอย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ทำในเรื่องของพระราชกฤษฎีกาที่จะยกโทษให้โดยที่ไม่ต้องมารับโทษ เป็นเรื่องที่คนทุกภาคส่วนของสังคมไม่ยอมรับ” นายสนธิกล่าว. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 10:30:33 “อภัยโทษ” สู่โจทย์ “นิติราษฎร์”
เปลว สีเงิน 22 พฤศจิกายน 2554 - Thaipost.net วันนี้ ผมสบาย เพราะคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ "นักกฎหมายอิสระ" ให้มุมมองและแนวทางรับมือปัญหาทักษิณทั้งกับปัญหาเฉพาะหน้า ว่าด้วยเรื่อง พ.ร.ฎ.อภัยโทษ และทั้งการคลี่คลายปัญหาสู่จุดจบถาวรผ่านบทความเรื่อง "ควันหลง" อภัยโทษ สู่โจทย์ "นิติราษฎร์" ตามแนวคิด-แนวทางนักกฎหมาย นับเป็นการเปิดทางแคบให้กว้าง ใช้เดินได้โดยไม่ต้องกระแทกไหล่กันทั้งฝ่ายเอาและไม่เอาทักษิณได้น่าสนใจครับ ต่อไปนี้ทั้งหมด เป็นบทความของคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ "นักกฎหมายอิสระ" ครับ........ พวกเราอย่ายอมให้คำแถลงของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่ยืนยันว่า “คุณทักษิณ” ไม่เข้าข่ายผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษ (ตามร่างพระราชกฤษฎีกาที่เป็นข่าว) ทำให้พวกเราสบายใจแล้วกลับไปเครียดกับน้ำท่วมเอาเสียง่ายๆ แต่ขอให้พวกเรากลับมาทบทวนแบบน้ำนิ่งไหลลึกว่า “กระแสข่าว” การอภัยโทษ และ “กระแสตอบรับ” ที่ผ่านมานั้นได้ทำให้เราเห็น “ควันหลงเรื้อรัง” อะไรในสังคมไทยที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่าปัญหาของคนที่รักหรือไม่รัก “คุณทักษิณ” เสียด้วยซ้ำ? 1.ควันหลงถึงผู้ตื่นตระหนก : ท่านไว้ใจรัฐบาลนามสกุลชินวัตรได้นานแค่ไหน? ในบทความนี้ ผู้เขียนไม่ติดใจจะตัดสินว่าคุณยิ่งลักษณ์มีเจตนาจะช่วยพี่ชายตนเองหรือไม่อย่างไร แต่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารไปยังผู้ที่ตื่นตระหนก เพราะเชื่อว่าคุณยิ่งลักษณ์มีเจตนาจะช่วยพี่ชายตนเองโดยแน่ แล้วถามต่อว่า กระแสข่าว “การอภัยโทษ” เพียงไม่กี่วันก่อนได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและน่าตื่นตระหนกเพียงนี้ แล้วอะไรจะเป็นหลักประกันว่า รัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลหลังการปลดปล่อยบ้าน 111 ชุดหน้าจะไม่พยายามดำเนินการทำนองนี้อีก? อย่าลืมว่านอกจากกฎหมายจะเปิดช่องให้การ “อภัยโทษ” ทำตามวาระโอกาสได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องผ่านสภาแล้ว รัฐบาลยังมีเครื่องมืออื่น เช่น การ “นิรโทษกรรม” กล่าวคือ ไม่ใช่แค่ให้อภัยธรรมดา แต่ถึงกับลบล้างความผิดจนไร้โทษ หรือหากจะแยบยลกว่านั้น ก็อาจใช้วิธี “ชะลอการลงโทษ” (reprieve) หรือลด-เปลี่ยนโทษ (commute) เช่น แทนที่จะให้จำคุกก็นำตัวมากักขังในบ้านแทน (house arrest/home confinement) ก็เป็นได้ คำถามคือ ประชาชนฝ่ายที่ตื่นตระหนกกับการช่วยเหลือคุณทักษิณนั้น จะเล่นบทบาทได้แต่เพียงผู้ตามเก็บหมากที่เดินโดยนักการเมือง และต้องมาทนลุ้นระทึกกับกระแสข่าวเป็นระยะต่อไปเช่นนี้ หรือจะมีวิธีการรวมพลังกับฝ่ายที่ไม่ตื่นตระหนก เพื่อจัดการให้เหตุนี้คลี่คลายไปได้ (นอกไปจากการชุมนุมที่ยืดเยื้อหรือการอาศัยอำนาจนอกระบบ) หรือไม่? หนึ่งในวิธีที่เป็นไปได้นั้น อาจต้องลองนึกย้อนไปถึงข้อเสนอนิติราษฎร์ หากเรานำข้อเสนอดังกล่าวมาปรับปรุงให้ประชาชนเป็น “ฝ่ายรุก” ผ่านกระบวนการเจรจาต่อรองก่อนทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกระทำอย่างเปิดเผยและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้เพื่อออกแบบวิธีล้างคำพิพากษาเก่า แล้วนำคุณทักษิณและผู้อื่นกลับเข้าสู่กระบวนการศาลใหม่ในยามปกติ โดยต้องมีขั้นตอนเชื่อมโยงที่รัดกุมชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย (ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงไปที่ศาล แต่กำลังพูดถึงกระบวนการเชื่อมโยงจากการล้างคดีเก่าไปสู่การเริ่มต้นคดีใหม่ มิใช่ล้างแล้วปล่อยไว้ลอยๆ ถึงเวลา ป.ป.ช.ไม่ฟ้อง อัยการไม่ฟ้อง ทุกอย่างเงียบไป ความรุนแรงก็อาจกลับมาอีก) หากทำได้เช่นนี้ จะเข้าท่ากว่าการปล่อยให้ประชาชนเป็น “ฝ่ายรับ” เก็บหมากการเมืองหรือไม่? ผู้เขียนเคยเตือนไปแล้ว และก็จะเตือนอีกครั้งว่า หากท่านไม่พอใจกับข้อเสนอนิติราษฎร์เพียงเพราะท่านไม่พอใจคุณทักษิณ ก็ขอท่านทบทวนให้ดีว่า “คุณทักษิณในแบบที่ท่านไม่พอใจ” มีเครื่องมืออื่นที่ดี และสะดวกทางยิ่งกว่าข้อเสนอนิติราษฎร์อีกมากจริงหรือไม่? 2.ควันหลงถึงขบวนการนิติราษฎร์ : ท่านพร้อมจะสร้างพันธมิตรทางความคิดของท่านมากแค่ไหน? ขบวนการนิติราษฎร์ก็เช่นกัน ผู้เขียนเคยเตือนไปแล้ว และก็จะเตือนอีกครั้งว่า ผู้ที่พร้อมจะร่วมอุดมการณ์ล้มล้างลัทธิรัฐประหารพร้อมกับท่านนั้นมีอยู่มาก แต่เขาเหล่านั้นอาจจะไม่อยากร่วมเป็นแรงสนับสนุนท่านเลย หากวิธีการนำเสนอและสื่อสารของท่านยังคงแข็งทื่อ และกวาดมองว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านในทันทีต้องเป็นผู้สมยอมลัทธิรัฐประหารในทันใด ในโลกนิติศาสตร์ปัจจุบันที่ก้าวพ้นยุคของหลักการทฤษฎีในหมู่ผู้ปกครองนี้ ท่านไม่อาจยึดมั่นแต่เพียง “กฎหมายที่ควรจะเป็น” เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจใน “มนุษย์ที่เป็นอยู่” เช่นกัน ขบวนการนิติราษฎร์อาจเริ่มขยายพันธมิตรจากภายในสถาบันเก่าแก่ที่ภูมิใจในเสรีภาพทางวิชาการของท่าน หากท่านทำให้เพื่อนผู้ทรงปัญญารู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับอัธยาศัยทางวิชาการที่ตอบรับกับสภาพความคาดหวังของเขาเหล่านั้นไม่ได้ สถาบันของท่านก็จะไม่ต่างอะไรไปกับสถาบันเก่าแก่อีกแห่งที่ภูมิใจในความเป็นน้องพี่ที่กลมเกลียว แต่เกรงใจกันจนไม่ค่อยได้พบเห็นนวัตกรรมทางความคิดอะไรได้สะดวกนัก ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ขบวนการนิติราษฎร์ได้พัฒนา ปรับปรุงข้อเสนอที่ไม่เพียงสะท้อนหลักการทางกฎหมาย แต่ยังสอดคล้องกับจิตวิทยาทางการเมืองอย่างแหลมคมและแยบยล โดยเฉพาะในประเด็นจุดเชื่อมโยงระหว่างการล้มล้างคดีเก่าและการเริ่มต้นกระบวนการใหม่ให้มีการเชื่อมโยงที่รัดกุมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อรวมพลัง “ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหารตราบใดที่ทักษิณรับผิด” เข้ากับ “ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหารไม่ว่าทักษิณจะต้องรับผิดหรือไม่” และเชื้อเชิญ “ฝ่ายที่เชื่อว่ายังไงทักษิณก็ไม่ผิด” เพราะหากคุณทักษิณบริสุทธิ์แล้วจะมีเหตุใดต้องกลัวศาลพิจารณาคดีใหม่ ไม่แน่ว่าขบวนการนิติราษฎร์อาจนำไปสู่การรวมกลุ่มอำนาจในสังคมไทยเข้าด้วยกันอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็เป็นได้! 3.ควันหลงถึงครูบาอาจารย์สื่อสารมวลชน : จรรยาบรรณว่าด้วยแหล่งข่าวอยู่ที่ใด? “กระแสข่าวอภัยโทษ” เริ่มต้นมาจาก “แหล่งข่าว” ที่ไม่เปิดเผย เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ดูจะคลี่คลายหลังมีการแถลงข้อแคลงใจจนมีการยุติการเคลื่อนไหวชุมนุม ซึ่งหากรายละเอียดเป็นจริงมาแต่ต้น เหตุใดรัฐบาลจึงไม่อธิบายให้ชัดมาแต่แรก? และแหล่งข่าวที่ว่านี้คือใคร? สำนักข่าวใดได้ข่าวนี้มาแต่แรก? มีการตรวจสอบและรายงานระดับความน่าเชื่อถืออย่างไร? แหล่งข่าวนี้สมควรจะได้สอบถามความจริงได้จาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แต่แรกหรือไม่? หากสุดท้าย รัฐบาลอธิบายไม่ทันจนเกิดการปะทะวุ่นวายในยามวิกฤติเช่นนี้ สื่อหรือผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ? หากสื่อมวลชนผู้มีจรรยาบรรณตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ประชาชนก็อย่าได้แต่รอ ขอให้ท่านได้ใช้ช่องทางที่กฎหมายให้อำนาจท่านไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลเกี่ยวกับการประชุม ครม.ลับที่เป็นข่าว โดยอาศัยช่องทางตาม “พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540” เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร อีกวิธีคือ การเรียกร้องกดดันให้ผู้แทนของท่านในสภาได้ใช้อำนาจตาม “พระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554” เพื่อเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร หรือเป็นเพียงการสร้างกระแสผ่านสื่อมวลชนอันเป็นการซ้ำเติมความกังวลให้กับพี่น้องประชาชนที่ลำบากในยามน้ำท่วมเช่นนี้? หวังว่าเพดานทางปัญญาของสื่อมวลชนไทยจะไม่จบที่การ “ตีข่าวหักมุม” หรือ “วิเคราะห์ทางที่หินถูกโยน” แต่เพียงนั้น 4.ควันหลงถึงพวกเราทุกคน : คนไทยมีปัญญาเพียงแค่ยกมวลชนตีกันเช่นนั้นหรือ? อาการเรื้อรังของสังคมไทยที่ปรากฏชัดจาก “กระแสการอภัยโทษ” นั้นไม่ได้ต่างไปจาก “กระแสประตูระบายน้ำ” ในภาวะวิกฤติอุทกภัย ทั้ง 2 เหตุการณ์พิสูจน์ว่า ในยามที่สังคมไทยมีปัญหานั้น ก็เป็นจริงดังที่ถูกสอนให้เชื่อว่าคนไทยสามัคคีกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวจริง แต่สามัคคีกลมเกลียวเฉพาะกับ “พวกเดียวกัน” เท่านั้น แต่สังคมไทยยังไม่คุ้นชินกับการต่อสู้ตามกติกาที่ต้องรอ ผู้เขียนเป็นห่วงอย่างยิ่งกับตรรกะของฝ่ายที่กล่าวว่ารัฐบาลไม่ควรเสนอการอภัยโทษตามข่าว เพราะจะทำให้ผู้คนแตกแยกออกมาตีราฆ่าฟันกันอีกรอบ ซึ่งเป็นตรรกะที่อันตรายไม่ต่างไปจากการยอมให้บ้านเมืองปกครองโดยกำลังมวลชนเป็นสำคัญ (might is right) หากคิดได้เช่นนี้ ต่อไปการกระทำใดจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ก็คงดูแต่เพียงว่าจะมีผู้เคลื่อนไหวปะทะกันหรือไม่ หากมีกำลังปะทะ ก็ไม่ควรทำ กระนั้นหรือ? ตรรกะที่ถูกต้องคือ การถามว่าการกระทำนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ และหากเราเชื่อว่าการออกการอภัยโทษตามข่าวเป็นการใช้อำนาจที่ผิดกฎหมาย แต่รัฐบาลยืนยันว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย เราก็ต้องใช้อำนาจทางปัญญาต่อสู้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะคัดค้านโดยสันติ จะเข้าชื่อแก้กฎหมาย หรือสู้คดีในศาล ฯลฯ การชุมนุมกันไม่ควรถูกสันนิษฐานว่า จะต้องเป็นการยกมวลชนตีกัน ส่วนใครที่ใช้วิธีก่อความไม่สงบนอกวิถีแห่งกฎหมาย กฎหมายก็ต้องจัดการโดยเด็ดขาดให้ประจักษ์เป็นปกติ และหากรัฐใช้กำลังเกินควร ก็ต้องหาคนรับผิดชอบตามปกติ จะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ยากเกินปัญญาคนไทยนั้น กระนั้นหรือ? ตรงกันข้าม หากเรายอมเชื่อว่าการออกการอภัยโทษตามข่าวเป็นการใช้อำนาจที่ “ผิดกฎตามใจฉัน” หรือ “ผิดเกณฑ์ศีลธรรมความดีงามบาปบุญคุณโทษอันเป็นสัจจะของฉัน” และในเมื่อจิตใจและความดีงามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีแก้ปัญหาก็คงวนเวียนอยู่กับวาทกรรมมักง่ายที่ว่า “อย่าทำมันเลย เดี๋ยวคนเขาตีกัน…แต่ถ้ามันยังทำ ฉันก็จะตีมัน” แม้ผู้เขียนจะไม่อยากให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ทนายวิ่งไล่รถพยาบาล แต่ก็สงสัยเหลือเกินว่า คนไทยเรามีปัญญาเพียงพอที่จะไม่หลีกเลี่ยงปัญหา เพียงเพราะข้ออ้างมวลชนปะทะกันได้หรือไม่หนอ? หมายเหตุ บทความนี้ต่อเนื่องจากบทความของผู้เขียนเรื่อง “รัฐประหาร-ทักษิณ-นิติราษฎร์ : ๓ คำเตือนที่คนไทยต้องรู้” ที่ http://on.fb.me/nd9GR1 -วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ facebook.com/verapat.pariyawong หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 23:08:25 “ชมรมสื่อกำมะลอ” ยื่นสภาการฯ สอบ “ไทยโพสต์-กรุงเทพธุรกิจ” อ้างละเมิดจริยธรรม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ คนเสื้อแดงอ้างตัวเป็นชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นหนังสือร้องเรียนสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ อ้าง “กรุงเทพธุรกิจ-ไทยโพสต์” เสนอข่าวเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ และเพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ นสพ.ฉบับอื่นเคยถูกตรวจสอบมาแล้ว เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตยและคณะ ได้เข้าพบ นายสวิชย์ บำรุงสุข ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนหนังสือพิมพ์องค์กรสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ 2 ฉบับ ได้แก่ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2554 และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2554 โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ขาดซึ่งจริยธรรมของนักหนังสือพิมพ์ที่ดี ซึ่งต้องเสนอข่าวด้วยความถูกต้องเป็นจริงสู่สาธารณชน โดยต้องไม่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในเนื้อหาสาระเพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายและปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ในยุคที่แมลงวันตอมแมลงวัน เรามีสิทธิที่จะตรวจสอบความเหมาะสมในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนด้วยกัน เพื่อให้เกิดความปรองดองและประคับประคองให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ดีขึ้น ดังนั้น ชมรมฯ จึงรวมตัวกันร้องเรียนต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ให้ดำเนินการตรวจสอบจรรยาบรรณการทำหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ดังเช่นที่เคยปฏิบัติกับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ มาแล้ว ด้าน นายสวิชย์ บำรุงสุข ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์สภาการหนังสือพิมพ์ฯ กล่าวว่า สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว และจะดำเนินการตามข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์ฯว่าด้วยการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ.2540 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 โดยขั้นตอนภายหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้ว ทางสำนักเลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ จะส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวให้แก่คณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อดำเนินการส่งเรื่องไปยังผู้ถูกร้องเรียนให้ชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวภายใน 15 วัน หากผู้ถูกร้องเรียนชี้แจงกลับมา ทางสำนักเลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ จะส่งคำชี้แจงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องเรียนทราบ หากเป็นที่พึงพอใจคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ จะมีมติให้ยุติเรื่องร้องเรียน แต่หากผู้ร้องเรียนไม่พึงพอใจ คณะอนุกรรมการฯ จะนำกลับมาเข้าขั้นตอนการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทางคณะอนุกรรมการฯ จะส่งข้อสรุปดังกล่าวให้แก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายรับทราบ และหากข้อสรุปไม่เป็นที่พอใจ ทั้งผู้ถูกร้องเรียน และผู้ร้องเรียนสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน โดยคณะกรรมการจะตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขึ้นมาพิจารณาก่อนส่งผลให้คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ พิจารณารับรองหรือไม่รับรอง เพื่อหาข้อยุติต่อไป อนึ่ง จากการตรวจสอบข้อมูลชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มี นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เป็นเลขาธิการนั้น เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน และพบว่าได้เคลื่อนไหวตามแนวทางของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา บุคคลกลุ่มนี้ได้เข้าร่วมกับนายสิงห์ทอง บัวชุม อดัตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวจัดงานทำบุญวันเกิด 4 ภาคให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 62 ปี ที่วัดแก้วฟ้า โดยในการจัดงานครั้งดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากในงานดังกล่าวได้นำรูปหล่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มาร่วมพิธีและใช้ชื่องานว่า “62 ปี คืนคนดีกลับบ้าน บูชาคุณแผ่นดิน” ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มคนดังกล่าวได้ยื่นหนังสือต่อผู้จัดการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เพื่อให้ดำเนินการลงโทษ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ซึ่งเป็นสื่อมวลชนที่ถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ จน ร.ต.อ.เฉลิม ไม่พอใจและเดินหนี โดยอ้างว่า น.ส.สมจิตต์ ได้ตั้งคำถามต่อ ร.ต.อ.เฉลิม ในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเลือกข้างพรรคการเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 พฤศจิกายน 2554, 23:13:20 ‘ยิ่งลักษณ์’ทำคนไทยแบกหนี้อ่วม ‘จุฬาฯ-มธ.’ชี้หนักกว่ายุคไอเอ็มเอฟ! โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ‘จุฬาฯ-มธ.’ ชำแหละการบริหารงานของ 2 รัฐบาล ‘ปู-มาร์ค’ กู้เงิน-ทึ้งงบประมาณทำประชานิยม-แบ่งปันผลประโยชน์กันเอง ชี้ภาระหนี้สินใหม่-เก่าจะทำให้ประเทศไทยถึงขั้นล้มละลาย พบหมกเม็ดหนี้จริงอาจถึง 8 แสนล้านบาท มีสิทธิ์ต้องเข้าโปรแกรมฟื้นฟูกับ IMF รอบ 2 ขณะที่ภาคการลงทุนประสานเสียง ขอภาวะผู้นำ “ยิ่งลักษณ์” แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชี้ต่างชาติมอง “นายกฯ-ครม.”อ่อน ต้องตั้ง ‘กยอ.’ ยิ่งลดความเชื่อมั่น ปัญหาวิกฤตน้ำท่วมในประเทศไทยที่เกิดขึ้นรุนแรงมากว่า 2 เดือนนั้น ต้องยอมรับว่านอกจากจะส่งผลต่อคนไทยหลายครอบครัวแล้ว ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับภาคเศรษฐกิจไทยด้วย โดยมีผู้เชี่ยวชาญประเมินกันแล้วว่าปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายให้ประเทศไทยสูงมากถึง 1-3 แสนล้านบาท แม้ว่ากระทรวงการคลัง คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะตกลงร้อยละ 1.8 จากที่ประมาณการไว้เบื้องต้นที่คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2555 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ5.0 และมองว่าความจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมทั้งจากภาครัฐและเอกชน จะส่งผลให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจในปี 2555 เพิ่มขึ้นทั้งด้านการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งการอัดฉีดเงินของรัฐบาลจากการตั้งงบประมาณขาดดุล 400,000 ล้านบาท จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งการที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รู้ตัวดีว่ายังมีบารมีทางการเมืองระดับนานาชาติไม่มากนัก จึงตัดสินใจตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2554 โดยให้ ดร.โกร่ง หรือวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานกรรมการ และมี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ และกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ นอกจากนี้ยังมีชื่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, พันศักดิ์ วิญญรัตน์, กิจจา ผลภาษี, ประเสริฐ บุญสัมพันธ์, วิษณุ เครืองาม, ศุภวุฒิ สายเชื้อ, เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมตั้ง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นที่ปรึกษาวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วย ชื่อคนระดับเซียนล้วนๆ! ดังนั้นแม้รัฐบาลจะตัดสินใจทำอะไรขึ้นมาหลายอย่าง เพื่อแก้ความผิดพลาดที่ประเมิน ว่า “เอาอยู่” โดยเฉพาะความพยายามป้องกันนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอยุธยา มาถึงปทุมธานี และเข้าเขตกรุงเทพฯ รอบนอก ที่ล้วนแต่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนจบสิ้น แล้วรัฐบาลค่อยเอางบประมาณเยียวยาผู้เดือดร้อนซึ่งมีจำนวนมากมาย แทนที่จะใช้งบฯ ลงทุนเพื่อการป้องกันซึ่งสามารถทำได้ ประเมินได้ ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มวิกฤตน้ำท่วมในภาคเหนือ นั่นหมายถึง เงินจำนวนมหาศาลที่จะต้องนำมาใช้ เมื่อรวมกับเงินอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นโครงการประชานิยมของพรรคเพื่อไทยซึ่งอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยต้องเตรียมตัวแบกหนี้มหาศาล และอาจร้ายแรงกว่าช่วงที่ประเทศไทยต้องเข้าแผนฟื้นฟูกับไอเอ็มเอฟในครั้งก่อน! เตรียมรับมือหนี้สาธารณะพุ่ง! ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีอยู่ 2 ส่วนที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ได้แก่ หนี้สาธารณะที่การเมืองกำลังจะทำให้คนไทยมีหนี้สินต่อครัวเรือนสูงขึ้น และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ตกต่ำลง และมีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตในระยะยาว ในส่วนของหนี้สาธารณะ ดร.ตีรณ ยอมรับตามตรงว่า ที่น่าเป็นห่วงคือไม่ว่านักการเมืองพรรคไหน ขณะนี้ต่างรุมทึ้งประเทศไทยจนประชาชนไทยต้องรับหนี้ท่วมหัวทั้งสิ้นแปลว่า ไม่ว่าจะพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทย กำลังจะทำสิ่งเดียวกัน และเพิ่มภาระให้ประชาชนทั้งสิ้น โดยหนี้สาธารณะของไทยขณะนี้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง กล่าวคือ ขณะที่ยังไม่เกิดวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ประมาณร้อยละ 40 ซึ่งกล่าวตามจริง มูลค่าหนี้สาธารณะขณะนี้คือร้อยละ 40 แม้ยังไม่ได้สร้างปัญหาให้ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม แต่มูลค่าหนี้สาธารณะนี้ถือว่าสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจโลกอยู่ในขาลง และไทยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงแค่ร้อยละ 2-3 ก็มีโอกาสที่ไทยจะใช้หนี้ไม่ได้อยู่มาก ปรากฏว่า การตั้งงบประมาณปี 2555 ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปนั้น กลับมีการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลสูงถึง 3.5 แสนล้านบาท โดย ครม.มีมติอนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 วงเงิน 2.33 ล้านล้านบาท แยกเป็นรายจ่ายประจำ 1.839 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุน 3.84 แสนล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 5.4 หมื่นล้านบาท รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 5.1 หมื่นล้านบาท รายได้สุทธิ 1.98 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งตัวเลขการขาดดุลงบประมาณเป็นตัวชี้ว่ารัฐบาลกำลังจะก่อหนี้สาธารณะก้อนใหญ่เพิ่มในอนาคตอันใกล้นี้ “หนี้สาธารณะของไทยตอนนี้มีสูงอยู่แล้ว แต่มีโอกาสที่จะขึ้นสูงอีกจากการขาดดุลงบประมาณเพิ่มได้ ซึ่งยังไม่รู้เท่าไร ขึ้นอยู่กับจำนวนเม็ดเงินที่จะกู้ รัฐบาลบอกประมาณร้อยละ 43.5 แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่ยังไม่รวมกับตัวเลขที่ซ่อนอยู่ ซึ่งตามกรอบงบประมาณของไทย ไทยก็ยังสามารถสร้างหนี้สาธารณะได้ถึงร้อยละ 60 ของ GDP ซึ่งยังเป็นระดับที่เรียกว่าเกิดวิกฤตแล้วแต่ก็ยังพอรับได้ สิ่งที่ต้องดูคือ ถ้าเศรษฐกิจโลกขาขึ้น ประเทศไทยจะไม่มีปัญหามากนัก แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกขาลง การมีหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 50-60 ของ GDP ถือว่าเสี่ยงมากที่จะไปถึงจุดที่คืนหนี้ไม่ได้ และอาจต้องเข้าระบบฟื้นฟูเศรษฐกิจกับ IMF อีกครั้ง” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:42:07 คดีพะรุงพะรัง แม้วรอนิรโทษกรรมอย่างเดียว
กรุงเทพธุรกิจ โดย...ทีมข่าวการเมือง ปิดเกมอภัยโทษทักษิณไปยกแรก หลังโดนจับไต๋ได้ว่าแอบซุกประโยชน์ให้นายใหญ่ได้รับสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษจนต้องแก้เกมพัลวัน ในที่สุด พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม แถลงปิดคดีร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ไม่ได้แก้ไขหรือเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมกลับไปใช้ พ.ร.ฎ.ตามเนื้อหาเดิม ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายไปวานนี้ เหตุผลที่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผยร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ปล่อยให้เป็นเรื่องลับๆ ล่อๆ ร่วมสัปดาห์ ก็เพื่อใช้ความคลุมเครือนี้เป็นประโยชน์กับรัฐบาลในการ “สับขาหลอก” หากผลักดัน พ.ร.ฎ.เอื้อนายใหญ่ไม่สำเร็จ ก็อ้างได้ว่าไม่ได้แก้ไขร่าง พ.ร.ฎ. ทุกอย่างจึงไม่ผิดประเพณี ก็เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องลับไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง ตามร่างเดิมที่รัฐบาลผ่านร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษในการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ตามที่สี่อแทบทุกสำนักรายงานตรงกัน ระบุว่า มีการปรับปรุงเนื้อหาต่างจาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยตัดลักษณะความผิดท้าย พ.ร.ฎ.เกี่ยวกับยาเสพติดและทุจริตคอร์รัปชันออกไป เท่ากับล็อกสเปก เอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ ผู้ต้องโทษคดีทุจริต 2 ปี กระแสต้านที่ออกมา แต่คนในรัฐบาลอ้างว่าเป็นเรื่องลับพูดไม่ได้ อยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัย ทว่าบรรดารัฐมนตรีกลับทำพิรุธ ชี้แจงคนละทางจนขัดกันเอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ประธานหัวโต๊ะการประชุม ครม.ลับ ชี้แจงฝ่ายค้านในสภาว่า รัฐบาลนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษเหมือนรัฐบาลที่แล้ว เพราะรัฐบาลมีความคิดของรัฐบาล ก่อนแก้ต่างว่า คดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ของทักษิณไม่ถือเป็นคดีทุจริต แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. อีกคนที่ตอกย้ำว่า รัฐบาลได้ปรับเนื้อหา พ.ร.ฎ.จริง คือ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ สายตรงทักษิณ ยืนยันว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.ฎ.ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อรัฐบาลประชาธิปัตย์เติมได้ เราก็มีสิทธิตัดทิ้งได้ “คุณเติมฉันไม่ว่า แต่ฉันตัดอย่ามาโวย” เป็นการยืนยันว่า ร่าง พ.ร.ฎ.ที่ผ่าน ครม.ได้แก้ไขจาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษยุครัฐบาลอภิสิทธิ์จริง ซึ่งใช้ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลสุรยุทธ์ และรัฐบาลทักษิณ เมื่อกระแสคัดค้านลุกลามใหญ่โต คณาจารย์ 7 มหาวิทยาลัยเกือบร้อยคนลงชื่อคัดค้าน กลุ่มหลากสี กลุ่มสยามสามัคคี โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทักษิณจึงชิงออกแถลงการณ์ไม่ขอรับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ เกรงจะลามมากระทบรัฐบาล ต่อมาในช่วงบ่าย พล.ต.อ.ประชา ออกมารับลูกแถลงทันทีว่า ร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ยึดตามฉบับเดิมที่ผ่านในรัฐบาลอภิสิทธิ์ปี 2553 ที่เสนอเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกปีที่ 60 วันที่ 5 พ.ค. 2553 พลิกเกมไม่มีการแก้ไข ไม่มีการตัดทอนนักโทษคดีทุจริต เหมือนอย่างที่ “สุรพงษ์” กับ “บิ๊กเหลิม” พูดเป็นนัยไว้ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีกระแสคัดค้านออกมา และพรรคเพื่อไทยเก็บความลับแผนหมกเม็ดในร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฉบับนี้ได้อยู่หมัด ทักษิณก็อาจได้รับการพระราชทานอภัยโทษพ่วงกับนักโทษชั้นดีรายอื่น 2.6 หมื่นคน ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554 แต่ใช่ว่าทักษิณจะกลับไทยโดยไม่มีเรื่องกวนใจ เพราะคดีที่ปลดล็อกได้คงมีเฉพาะคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ทว่าเจ้าตัวยังมีคดีความเป็นชนักติดหลังรออยู่เบื้องหน้า เนื่องจากคดีความยังไม่ถึงสิ้นสุด แต่ศาลได้จำหน่ายออกจากสารบบชั่วคราว เพราะทักษิณหลบหนีไปต่างประเทศ 1.คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ 4,000 ล้านบาท 2.คดีแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคมเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป 3.คดีทุจริตการออกหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวโดยมิชอบ 4.คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือซุกหุ้นที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องหลังศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ทักษิณถูก คตส.สอบสวนและส่งต่อไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งหลายคดีได้หลุดไปในชั้นอัยการด้วยเหตุที่อัยการอ้างว่าสำนวนไม่สมบูรณ์จึงสั่งไม่ฟ้อง แต่ทาง ป.ป.ช.ยืนยันจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ คือ คดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีการปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มบริษัทเอกชนที่ ป.ป.ช.สอบสวนเอาผิดทักษิณและพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย โดยมีรายงานว่า ป.ป.ช.กำลังให้ทีมงานของสภาทนายความเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ก่อนสิ้นปีนี้ หากศาลฎีกาฯ รับฟ้องจะทำให้มีคดีทักษิณอยู่ในชั้นศาลฎีกาฯ อีก 2 คดี รวมเป็น 6 คดี ยังมีคดีที่อยู่ในชั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีกหนึ่งคดี คือ คดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอสอบสวนทักษิณกับแกนนำ นปช.รวม 25 คน ในช่วงการชุมนุมคนเสื้อแดง ดังนั้น ถ้าทักษิณได้ประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษจริง ก็ยังมีความเสี่ยงหากต้องเดินทางกลับไทย ที่อาจต้องเข้าคุกเข้าตะรางจากหมายจับและคดีความที่เหลือที่จะเริ่มกลับมาเดินหน้านับหนึ่ง แม้จะขอประกันตัวได้ แต่พฤติกรรมการหลบหนีที่ผ่านมา คงทำให้ศาลไม่เชื่อใจอีก ทางดีที่สุดของทักษิณ คือ ล้างไพ่ ยกเลิกทุกคดีความ เหมือนอย่างที่ “บิ๊กเหลิม” เตรียมสเต็ปใหม่ชงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมปีหน้า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:44:06 กมธ.ปรองดองซัดกันนัวพท.เสนอช่วยแดงติดคุก
กมธ.ปรองดองซัดกันยับ เพื่อไทยเสนอแนวทางช่วยแดงติดคุก ปชป.สวนกลับไม่เหมาะสม พร้อมเตรียมเชิญคอป.ให้ข้อมูลอุปสรรคปรองดอง ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน มีความเห็นร่วมให้เชิญตัวแทนจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มาชี้แจงถึงกรอบการทำงานที่ผ่านและแนวทางการสร้างความปรองดองมาที่ประชุมกมธ.ในวันที่ 29 พ.ย. พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ที่ประชุมกมธ.ต้องการเชิญคอป.มาให้ข้อมูลเป็นหน่วยงานแรกเพราะถือว่าเป็นภาคส่วนสำคัญที่สุดต่อการสร้างความปรองดองในฐานะที่เป็นภาคส่วนในการสนับสนุนเรื่องมาโดยตลอด ทำให้กมธ.เล็งเห็นว่าคอป.ควรจะมาให้ความรู้และปัญหาอุปสรรคของการทำงานที่ผ่านมา เพื่อที่ช่วยให้การทำงานของกมธ.มีแนวทางที่ชัดเจนต่อไปในการเดินหน้าสร้างความปรองดอง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า นอกจากนี้ กมธ.จะนำประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้มาพิจารณาด้วยโดยจะพิจารณาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น พ.ร.ก.กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 และที่ประชุมมีความเห็นจะเสนอเรื่องให้สภาฯขยายเวลาการทำงานเพิ่มเติมออกไปอีก 90 วันจากกำหนดเดิมที่จะหมดวาระในวันที่ 17 ธ.ค. สำหรับการประชุมกมธ.ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 9.30 น.เป็นไปอย่างดุเดือดเมื่อกมธ.ในซีกของพรรคเพื่อไทยหลายคนต้องการผลักดันให้กมธ.เร่งพิจารณาหาแนวทางให้ความช่วยเหลือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ซึ่งถูกคุมขังในข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 ขณะที่ กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์แย้งว่าถ้าดำเนินการเฉพาะส่วนนี้จะเท่ากับว่าเป็นการละเลยส่วนอื่นที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันเช่นกัน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การสร้างความปรองดองต้องดำเนินการให้ถูกจุดและเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายควรต้องเป็นอย่างยุติธรรม ซึ่งส่วนตัวไม่ได้ขัดขวางในการดำเนินคดีกับบุคคลตามข้อหาที่ทางการได้ตั้งเอาไว้ แต่ควรจะให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขาให้ได้รับสิทธิ์การประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดีในชั้นศาล “โดยในขั้นตอนเห็นว่าต้องเชิญกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมาชี้แจงถึงความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ได้รับหมายตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว พร้อมด้วย กรมราชทัณฑ์ เนื่องจากคิดว่าจะเป็นหน่วยงานที่รับทราบถึงพฤติกรรมและความประพฤติของผู้ถูกคุมขังได้ดีที่สุด ซึ่งถ้าเราได้ข้อมูลส่วนนี้มาจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการขอประกันตัวในชั้นศาลด้วย”นายณัฐวุฒิ กล่าว นายวัฒนา เมืองสุข สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยในฐานะรองประธานกมธ. กล่าวว่า สนับสนุนแนวความคิดของนายณัฐวุฒิ แต่เห็นว่าควรประสานไปยังสำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรมให้รับทราบถึงแนวทางนี้ด้วยเพื่อชี้ให้เห็นว่าคดีเหล่านี้เป็นลักษณะของคดีการเมืองไม่ใช่คดีอาญาปกติทั่วไป ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้บรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลายลงไปได้ ปรากฎว่าภายหลังจากนายวัฒนาได้นำเสนอแนวคิดในการประสานงานกับสำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรม ทำให้สส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวแสดงไม่เห็นด้วย โดยนายสุทัศน์ เงินหมื่น สส.บัญชีรายชื่อ แย้งว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานเพราะจะดูเหมือนกมธ.กำลังกดดันการใช้ดุลยพินิจของศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง โดยคิดว่าแค่เชิญกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมาให้ข้อมูลก็น่าจะเพียงพอแล้ว นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้ที่ประชุมกำหนดลำดับความสำคัญของประเด็นที่จะพิจารณาให้ดีว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไปหรือไม่ เช่น ถ้าจะพิจารณาเรื่องผู้ถูกคุมขังในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี2553 ก็ต้องพิจารณาเรื่องการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมด้วยหรือไม่ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจที่ถูกเผาอาคารสถานที่ เป็นต้น “ที่สำคัญการจะพิจารณาว่าผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดแต่อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้หมายความว่าศาลจะพิจารณาให้ประกันตัวตามความเห็นของคอป.ทุกกรณี” นายนิพิฏฐ์ กล่าว ทั้งนี้ เมื่อการประชุมเริ่มมีการโต้เถียงกันระหว่างสองพรรคการเมืองมากขึ้นทำให้พล.อ.สนธิ ต้องตัดบทการประชุมหลายครั้งด้วยการกล่าวต่อที่ประชุมกมธ.จะต้องพิจารณาในภาพรวมและอุปสรรคของการสร้างความปรองดองทั้งหมดโดยจะเริ่มจากการเชิญคอป.มาร่วมประชุม ซึ่งทำให้กมธ.ของทั้งสองพรรคเกิดความพอใจ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:48:52 การบ้าน 'บนเส้นทางวิบัติ' เปลว สีเงิน thaipost.net 23 พฤศจิกายน 2554 - เกม "กินบ้าน-ชิงเมือง" นับวันจะซับซ้อนด้วยเล่ห์กลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ต้องเปิดหูเป็นเรดาร์ เปิดตาเป็นหน้าจอ เปิดใจเป็นเครื่องสแกน และเปิดสมองเป็นเครื่องกำจัดขยะ นั่นคือ ต้องรับรู้ทุกสิ่งให้มากเข้าไว้ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ ตราบใดที่เรายังมีชีวิต ตราบนั้นเราต้องอยู่กับมัน อยู่กับความต่างนั้น เพราะต้องไม่ลืม จักรวาลเกิดจากมวลสารอัดแน่นแล้วระเบิดแตกกระจาย โลกก็แค่ "สะเก็ดแห่งการแตกแยก" ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าเรารักจะอยู่ในโลกแห่งการแตกแยกใบนี้ให้มีชีวิต-ชีวา ต้องหมั่นบริหาร "ความต่าง" เพื่ออยู่ร่วมกับ "ความต่าง" นั้นให้ลงตัวให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ร่วมในลักษณะพอใจหรือเกลียดชัง ไม่เช่นนั้น เราจะหาสุขจากการลงตัวในชีวิตไม่ได้เลย! เรื่องทักษิณว่าด้วย พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ยังไม่จบ เพียงเปลี่ยนองค์ประกอบฉากเท่านั้น เพื่อความชัดเจนค่อยๆ คุยทีเปลาะดีกว่านะ เอาเป็นว่าด้วยพลังสังคมชาวธรรม การโยนหินถามทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ไม่ต้องติดคุกก็อภัยโทษได้" เป็นอันพับไป พับไปแบบไหน เอ้า...ก็ลองฟังแต่ละตัวละครเขาร้อง-รำวานนี้ (๒๑ พ.ย.๕๔) ตามลำดับก็แล้วกัน เริ่มจากจาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะเจ้าของเรื่องอภัยโทษ "ถ้าผมมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีที่พอจะเชื่อถือได้ ก็ขอให้เกียรติและศักดิ์ศรีตรงนี้เอาตำแหน่งของผมเป็นประกัน ไม่ได้ทำให้เสียหาย ขอให้สบายใจ กฤษฎีกายืนยันว่า (พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ) ถูกต้องทุกประการ ซึ่งในวันนี้เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงนาม ก็นำเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ ได้เลย วันนี้ทุกอย่างก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว เพราะพระราชกฤษฎีกาจะได้ทันในวันที่ ๕ ธันวาคม โดยมีทั้งหมด ๒๖,๐๐๐ รายชื่อ ไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด" มาดูคนต่อไปที่จะต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" หลังตอบนักข่าวฝรั่งตอนนางฮิลลารีมาเยือน I miss the cabinet แล้ว ก็ตอบเป็นครั้งที่สองกับนักข่าวไทยที่ย้ำถาม "อภัยโทษครั้งนี้ไม่มีชื่อทักษิณแน่นะ" ว่า "ไม่มีค่ะ แต่ในรายละเอียดขอเรียนว่าการพิจารณารายชื่อยังมีอีกหลายขั้นตอน วันนี้เป็นเพียงขั้นตอนการผ่าน ครม. ซึ่งถือเป็นความลับที่เราไม่สามารถพูดได้ แต่ดิฉันไม่มีการที่จะเลือกปฏิบัติอยู่แล้ว ขอยืนยัน" นักข่าวถามต่อด้วยคำถามค้างใจประมาณว่า "ก็แล้วทำไม่บอกเสียแต่แรกล่ะ" นายกฯ ขวัญใจช่างภาพตอบว่า "รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ที่นำรายชื่อเสนอ ซึ่งต้องเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนต่างๆ มีหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามมติ ซึ่งมตินั้นก็ต้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาก่อนและนำมาเสนอ มันเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่เราจะสามารถนำรายชื่อมาพิจารณาได้ เพราะขั้นตอนแรกคือพูดถึงเรื่องหลักการก่อน จากนั้นจะไปที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง" นี่ละน้าาาา...ไอ้ ๔๙ วันเป็นนายกฯ น่ะ มันเป็นปมด้อยมากกว่าปมเด่น...รู้มั้ย ดันไปยกก้นในสิ่งที่เจ้าตัวไม่มีอยู่ในตัวเองกันอยู่ได้ ขอเรียนท่านนายกฯ หญิงด้วยความหวังดี ทีหลังอย่าปล่อยทื่อด้วยการตอบกับใคร-ที่ไหนเชียวว่า "รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้นำรายชื่อเสนอ"!? แล้วใครล่ะ ที่ต้องเป็นผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ถวายตามกฎระเบียบการขอพระราชทานอภัยโทษ และใครล่ะเป็นผู้ลงนาม "รับสนองพระบรมราชโองการ"? ไม่ใช่ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ดอกหรือ!? ทีหน้า-ทีหลังอย่าพูดว่า "รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ที่นำรายชื่อเสนอ" เชียวนะ ตัวเองเป็นอะไรอยู่ตอนนี้ และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ แล้วยังอยากจะเป็นนายกฯ มันไม่เหมือน CEO บริษัทขายซิมที่ลูกเถ้าแก่-น้องเสี่ยก็แต่งหน้ามานั่งแจกยิ้มเล่นโก้ๆ ได้ เอ้า...มาดูตัวแสดงร่วมฉากรายต่อไป "นายอัชพร จารุจินดา" เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พูดง่ายๆ คือคนตรวจปรูฟกฎหมายรัฐบาล เรื่องหลักๆ เมื่อผ่าน ครม.ก่อนประกาศใช้ ต้องให้กฤษฎีกาปรูฟก่อน ถ้ามีผิดก็จะเสนอให้รัฐบาลแก้ไข ส่วนรัฐบาลจะแก้หรือไม่แก้ เป็นเรื่องแต่ละรัฐบาลจะตัดสินใจเอง ส่วนเรื่อง พ.ร.ฎ.นี้ นายอัชพรบอกว่า "การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นไปตามหลักแนวทางปฏิบัติการพระราชทานอภัยโทษเหมือนที่ผ่านมา โดยไม่มีการตัดในส่วนเนื้อหาข้อยกเว้นการทุจริตคอรัปชั่นหรือยาเสพติดออก ส่วนเนื้อหารายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นเรื่องลับ แต่ยืนยันว่าเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด......" ครับ..ก็หมายความว่า พ.ร.ฎ.พระราชอภัยโทษปีนี้ เนื้อหาหลักจะเหมือน พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ๒๕๕๓ คือนักโทษคดียาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ทุจริตคอรัปชั่น ไม่อยู่ในข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษ และอย่างที่เกรงกัน ทักษิณดอดเข้ามามอบตัว นอนเรือนจำ ๕ ดาว โรงเรียนพลตำรวจบางเขนให้มีคุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์อภัยโทษซักวัน-สองวัน ก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ถ้าเป็นอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลยืนยัน เป็นอันหมดไป ถึงกลับมาติดคุกก็ไม่ได้ เพราะทักษิณเป็นนักโทษในความผิดทุจริตคอรัปชั่น! เอาละ..มีผูก ก็ต้องมีแก้ โบราณท่านว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยเอาอยู่ ก็เอาด้วย...กูปล้ำซะเลย ปล้ำลีลาไหน เจ้าชู้ยักษ์..เจ้าชู้ไก่แจ้ หรือเจ้าชู้ประตูดิน ก็มาดูกัน จากคนสำคัญของเรื่องคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เพื่อนเลิฟผมเอง นักข่าวถามแหย่ว่า....ที่ทักษิณไม่กล้ากลับตอนนี้เพราะกลัวคดีเก่าที่ค้างใช่มั้ย? ท่านรองฯ แอคอาร์ตตอบว่า “ผมเชื่อว่าท่านไม่กลับ เพราะท่านเป็นพญาหงส์ไม่ลงหนองน้ำเล็ก ไม่เหมือนพวกที่ยังไม่เห็นข้อเท็จจริงก็ออกมาเฮ้ว รัฐบาลชุดนี้สับขาหลอกเป็น พอถูกสับขาหลอกเต้นเป็นเจ้าเข้าเลย” เออ..จริงของเขา "พญาหงส์" ย่อมไม่ลงหนองน้ำเล็ก แต่ที่มุดรูท่อระบายน้ำขึ้นมาเลื้อยเพ่นพ่านทำเนียบฯ เป็นประจำนั่นล่ะ สงสัยจะเป็นพันธุ์ "หงส์เดี้ย"? เรื่องนี้ไว้วิจัยกันทีหลัง มาต่อดีกว่า นักข่าวสับขาถามบ้างว่า "ไม่ใช่มั้ง...เขาตัดมาตรา ๔ ที่ให้ติดคุกก่อนจึงจะได้รับอภัยโทษ ทักษิณก็เลยไม่กลับเข้ามา" นักเลงบางบอนสวนทันที “ไม่มีหรอกกกก บ้า...เขาจะทำไม สมมุติทำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา แล้วอีก ๔ คดีว่าไง เกิดไม่ได้รับประกันตัว หรือประกันแล้วถูกอายัดไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศว่าอย่างไร เขาไม่ทำหรอก ผมจบดอกเตอร์ออฟลอว์นะ แต่จะสับขาหลอกเพื่อเช็กเขาว่า ถ้าทำเฉยๆ จะมีอะไรมั่ง ไม่ได้เช็กกระแสก่อนออก พ.ร.บ. เพราะกระแสสังคมเขาเอาอยู่แล้วว่าให้กลับ แต่จะเช็กพฤติกรรมคนพวกนี้ว่าเป็นอย่างไร จะออกมาแบบไหน แล้วจะเช็กว่ามีเพิ่มไหม มีแต่ลดลง ถ้าออกมาเป็น พ.ร.บ.ทำโดยรัฐสภา ใครจะขวางได้ พวกรัฐประหาร ติดคุกก็ยังมี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ใจเย็นๆ” สรุปก็คือ เมื่อไม่ได้ด้วย พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ รัฐบาลก็จะไปออก "พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" อย่างที่ท่านรองฯ บอก "พ.ร.บ.ทำโดยรัฐสภา ใครจะขวางได้......" ใช่...ใครจะขวาง ในเมื่อรัฐบาลเสียง "ล้นสภาฯ" พยักหน้ากับ ส.ว.ร่วมทาสอีกซักหยิบมือ ก็ปั๊มกฎหมายได้ตามใจชอบ อย่าว่าแต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเลย แก้เพื่อไปร่างรัฐธรรมนูญเทิดทูนทักษิณใช้เป็นกฎหมายหลักของประเทศ เขาก็กำลังจะทำกันเป็นซีรีส์หนังเกาหลีอยู่ตอนนี้! น้ำลด เห็นอะไรก่อนรู้มั้ย...ไม่ใช่เห็นขยะ? แต่เห็นนิติราษฎร์ของวรเจตน์ชูคอ เห็น คอป.ของคณิตเคลื่อนไหว เห็น คอ.นธ.ของอุกฤษคืบคลาน กระทั่งกรรมาธิการปรองดองของ "สนธิ-บัง" จอมปฏิวัติกลับกลอกเป็น "กระจอกสภา" ปฏิวัติแล้วมาทำหน้าที่..เจว็ดปรองดอง! ฉะนั้น ผมจึงขอฝากการบ้านท่านทั้งหลาย รวมทั้งกลุ่มคุณหมอตุลย์ กลุ่มสยามสามัคคี รวมทั้งกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ก พ.ร.ฎ.เป็นแค่กองหลอน ดังนั้น อย่าหย่อนมือด้วยตายใจ เพราะที่จะตามมาหลัง "กองหลอน" สลายไปก็มี ๑.พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีทักษิณและโจรก่อการร้ายเผาบ้าน-เผาเมืองเป็นเป้าหมาย ๒.แก้รัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร.เขียนรัฐธรรมนูญฉบับทักษิณาจักรไทย ๓.นิวไทยแลนด์ เกิดในคราบ กยอ. ที่มี ดร.โกร่งเป็นมือทำงาน กำลังออก พ.ร.บ.ให้อำนาจเป็นรัฐบาลที่ ๒ ๔.ไทยกำลังเสีย ๔.๖ ตร.กม. ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมรับ "เขตปลอดทหาร" ในพื้นที่ ๑๗.๓ ตร.กม.ตามคำสั่งศาลโลก เพราะนั่นจะทำให้ทหารไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ของเราได้ เท่ากับถูกยึดทางพฤตินัยไปในขั้นแรกทันที! เอาละ ฝากรักไว้คร่าวๆ แค่นี้ก่อน เมฆทะมึนจากอากาศ และจากน้ำมือมนุษย์ก่อ ตั้งเค้าทะมึนมาแล้ว ผมเกรงว่าหลังวันที่ ๑๐ ธันวาไปแล้ว สิ่งที่หวั่นตามข้อ ๔ ผมขอภาวนา ขออย่าเป็นจริงเลย เพี้ยงงงง! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 12:44:13 ถ้า ยิ่งลักษณ์ จมน้ำตาย แล้ว “เหลิมส้มหล่น” เป็นนายกฯ!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ เชื่อว่าหลายคนคงนอนไม่หลับกับคำพูดที่ว่าเวลานี้ ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กำลังแย่งกันประจบประแจง ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหวังเป็นนายกรัฐมนตรี “ส้มหล่น” หาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมไปแล้ว หากพิจารณาสถานการณ์ตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า เวลานี้ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์กำลังพบกับแรงกดดันจากสังคมรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนพบความจริงแล้วว่าเธอไม่เหมาะในทางการเมือง ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งใดก็ตาม อย่าว่าแต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลย แค่ตำแหน่งธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางคู่ควร เพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “เธอไม่มีความสามารถ” ไม่มีความรอบรู้ ไม่มีภาวะผู้นำใดๆ เลย ที่ผ่านมาตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นเดือนสองเดือนแรกก็เริ่มเห็นแนวโน้มกันมามากแล้ว แต่เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์น้ำท่วม เป็นไฟลท์บังคับที่ต้องแสดงฝีมือออกมาให้เห็น แต่ผลที่ออกมาล้วนออกมาล้วนแล้วแต่สร้างความสับสน ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง สร้างความผิดหวังไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง ดังนั้น เมื่อรูปการยังเป็นแบบนี้ต่อไปมันก็ย่อมส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ของ ทักษิณ ชินวัตรในอนาคตอีกด้วย เพราะถ้ายิ่งลักษณ์ยังทำผลงานได้ห่วยแตกแบบนี้ มันก็คงไม่อาจเปิดเกมรุกในเรื่องอื่นได้เลย ตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือ การสั่งถอยกรณี พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ นอกเหนือจากเป็นเรื่องของการเอาเปรียบคนอื่นอย่างน่าเกลียดจนสร้างอารมณ์ร่วมในการต่อต้านกันรอบทิศแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะความไม่ประทับใจรัฐบาลและรัฐมนตรีแต่ละคนไม่ได้เรื่อง เพราะถ้ายังขืนดันทุรังเดินหน้าก็กลัวจะพังกันทั้งขบวน เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้มันก็เป็นได้สูงที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัว เพื่อ “กำหนดเกม” กันใหม่ แต่คำถามก็คือ ถ้ายิ่งลักษณ์ ต้องลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จริงๆแล้วเมื่อพิจารณาจากตัวเลือกที่เหลือแล้วใครที่อาจได้เป็น “นายกฯส้มหล่น” บางคนมองไปที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เมื่อพิจารณาจากการแข่งขันกันประจบประแจง ทักษิณ ชินวัตร ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยใช้วิธีการที่เอาเปรียบคนอื่นไม่ต่างจากพวก “อภิสิทธิ์ชน” แบบไร้มาตรฐาน ทั้งที่เคยโจมตีกล่าวหาคนอื่น ทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง แต่เป็นเพราะสังคมตื่นตัวรู้ทันทำให้ต้องถอยกลับไปชั่วคราวเพื่อตั้งหลักใหม่ อย่างไรก็ดี เป็นการชี้ให้เห็นว่า ในสถานการณ์ชุลมุนก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่หวังฟลุกลุ้นตำแหน่งแบบไม่ต้องลงทุน โดยไม่สนใจว่ามันน่าเกลียด หรือถูกรุมโห่อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน แม้ว่าในความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะคนอย่าง ทักษิณ ย่อมไม่มีทางไว้ใจคนอื่น แต่ในเส้นทางฝันทุกคนก็ย่อมมีสิทธิ์ฝันกันได้อยู่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ระหว่าง เฉลิม กับ พล.ต.อ.ประชา นาทีนี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะเป็นไปได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่รับรองว่าในใจลึกๆ คงจะมีการฝันหวานกันบ้าง แต่ขณะเดียวกันปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเจอก็ต้องบอกว่าสำหรับ พล.ต.อ.ประชา น่าจะมีอุปสรรคมากกว่า เนื่องจากกำลังจะขึ้นเขียงให้ฝ่ายค้านถล่มในศึกซักฟอกในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งก็พอมองเห็นภาพอยู่แล้วว่าที่ผ่านมาเละเทะขนาดไหน เป็นการเลือกตีเข้าไปที่จุดอ่อน แม้ว่าในภาพรวมจะต้องลาก ยิ่งลักษณ์ ลงมาด้วยก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า สำหรับ เฉลิม ในใจลึกๆ ย่อมต้องการให้ถล่มจน พล.ต.อ.ประชาจนหมดสภาพก็เป็นได้ เพราะในทางการเมืองถือว่าเป็นคู่แข่งในเส้นทางสู่ฝันข้างหน้า แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นสูตรสำเร็จเสมอไป ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับความพอใจ รวมไปถึงผลประโยชน์ที่เจ้าของพรรคจะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้เห็นคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ยังเดินหน้าประจบต่อเนื่อง โดยไม่สนใจความรู้สึกของสังคมว่าจะคิดอย่างไรยังยืนยันว่าจะต้องหาทางทำให้ ทักษิณ พ้นจากความผิดให้ได้ พร้อมทั้งอ้างตรรกะการเลือกตั้ง อ้างเสียงส่วนใหญ่มาใช้สำหรับการลบล้างความถูกความผิด ความหมายก็คือ เมื่อพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเข้ามาด้วยเสียงส่วนใหญ่ นั่นแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านต้องการให้ทักษิณกลับเข้ามา ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลงานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า วัดจากผลประโยชน์ที่ ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของคนพวกนี้จะได้ประโยชน์ และเมื่อเปรียบเทียบจากความจริงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งการตั้ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาแล้ว ถือว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นแบบนี้ทำไมคนอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง จึงไม่มีสิทธิ์ฝันไกลถึงนายกรัฐมนตรีสักครั้งในชีวิตไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน อย่าได้ถามถึงความรู้สึกของชาวบ้านว่าจะสยดสยองเพียงใด!! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2554, 12:47:19 อนาคตฝากไว้ที่ ยิ่งลักษณ์ !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ เกาะกระแส โดย...ก้อนกรวด 00 หลายคนมองตรงกันว่า “การถอย” ของ ทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้เป็นการถอยเพื่อ “ผ่อนแรงต้าน” ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป นั่นคือเป็นการ “ตัดไฟ” ก่อนที่จะลุกลามจนขยายวงกว้างควบคุมไม่ได้ จะเสียการใหญ่ในภายหน้า ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไข รธน. เพื่อลบล้างความผิดแบบ “แพ็กเกจ” การออกกฎหมายล้างมลทิน นิรโทษแบบที่ไม่เคยมีความผิด ฯลฯ อย่างน้อยต้องรอให้พวกบ้านเลขที่ 111 ได้หลุดออกมาเสียก่อนก็ยังดี ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นการ “หยั่งกระแส” เอาไว้ก่อนว่าแรงต้านนั้นแรงแค่ไหน 00 เชื่อว่าการถอย ไม่รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ คงทำให้ ทักษิณ และเครือข่ายต้องกลับมาประเมินสถานการณ์กันใหม่ เพราะนี่คือคำตอบที่สะท้อนกลับมาอย่างทันควัน และหากยังดันทุรังเดินหน้ารับรองว่าต้อง “ลุกฮือ” พร้อมกันทั่วประเทศแบบรุมสหบาทากันอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน ประกอบกับผลงานของรัฐบาล “หุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำผลงานอย่างไร้มาตรฐาน “เปลือยกาย” ให้เห็นอย่างล่อนจ้อนในเวลาอันรวดเร็วมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เหมือนกับว่า ทำงานไม่ได้เรื่องแต่ดันจะมาใช้สิทธิพิเศษ “เอาเปรียบ” คนอื่นไม่สิ้นสุด มันก็ย่อมสร้างความรำคาญเป็นธรรมดา 00 ดังนั้นหากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และต่อเนื่องไปถึงวันข้างหน้า การที่ ทักษิณ จะสมหวัง จะมีโอกาสได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือไม่ ส่วนสำคัญมันก็ขึ้นอยู่กับ “สติปัญญา” ของ น้องสาวตัวเองคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นส่วนสำคัญ เพราะถ้าทำผลงานได้ดีมันก็มีโอกาส “มั่วนิ่ม” ทำตามใจได้สะดวกขึ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยมีผลสำรวจออกมาจนตื่นตะลึงกันไปแล้วว่า “แม้จะโกงถ้าทำให้อยู่ดีกินดีก็ยอมรับได้” แม้ว่าเป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยน แต่สะท้อนให้เห็นว่าในยุคหนึ่ง ทักษิณ สามารถสร้างภาพลวงตาหลอกต้มชาวบ้านมาได้จนถึงวันนี้ แต่สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น เพราะต้องเจอกับมหาอุทกภัย ต้องพิสูจน์ฝีมือกันตามความเป็นจริง ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น ต้องถอยกรูด ไม่เป็นขบวน 00 ขณะเดียวกันมองอีกมุมหนึ่ง บางครั้ง ทักษิณ นี่น่าสงสารเหมือนกัน เหมือนกับว่า คนรอบตัวล้วนแล้วแต่ต้องการเข้ามาหาประโยชน์แทบทั้งสิ้น กรณีการออก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าวก็มีเรื่องของการ “เอาใจ” ทักษิณ จนเกินความพอดี ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็มี “เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ต้นตอของเรื่อง เพราะคนพวกนี้รู้ดีว่า สติปัญญาของ ยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างไร แอบลุ้นอยู่ในใจลึกๆเรื่อง “นายกฯส้มหล่น” ในวันหน้าหากเข็ญกันต่อไปไม่ไหวจริงๆ 00 สิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่ได้เรื่อง และเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสะสมความไม่พอใจของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอีก นั่นคือกรณี “เบี้ยยังชีพ” ผู้สูงอายุ ที่ พรรคเพื่อไทยเคยเกทับปชป.เอาไว้ว่าจะเพิ่มให้สูงขึ้น เป็นเท่าตัว แต่ของจริงก็คือเวลานี้ผ่านมาสองสามเดือนแล้ว “คนแก่” ทั่วประเทศยังไม่ได้รับสักบาท อยากถามไปถึง รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมฯสันติ พร้อมพัฒน์ และนายกฯคนสวยว่าเมื่อไหร่จะจ่าย คุณตาคุณยายจะแห้งตายกันอยู่แล้ว อย่าดีแต่โม้ !! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2554, 13:02:27 แดงแฉกันเองซัดตั้งหมู่บ้านหวังเงินแม้ว
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ที่ปรึกษามูลนิธิ111แฉเสื้อแดงบางกลุ่มลุยตั้งหมู่บ้านแดงหวังเอาเงินจาก "ทักษิณ" นายสมชัย แสงทอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)พร้อมด้วยนางเพ็ญศิริ ณรงค์แสง แกนนำกลุ่มนปช. อ.พาน ได้ทำพิธีเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงขึ้นที่บริเวณวัดคีรีธรรมาราม บ้านทุ่งผักกูด ม.13 ต.ป่าหุ่ง อ.พาน โดยมีแกนนำไปทำพิธีเปิดและร่วมปราศรัย เช่น นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ที่ปรึกษามูลนิธิ 111 นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายจิรโรจน์ กีรติศักดิ์วรกุล แกนนำกลุ่มรักประชาธิปไตยแดงพะเยา ฯลฯ นพ.ประสงค์ กล่าวว่า เรื่องกฎหมายสองมาตรฐาน คนเสื้อแดงถูกลงโทษติดคุกแต่คนเสื้อแดงไม่ติดคุก รวมทั้งเรียกร้องให้มีการขยายหมู่บ้านเสื้อแดงออกไปและหากมีการปฏิวัติรัฐประหารอีกก็จะได้นำคนเสื้อแดงออกมาต่อสู้ อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของการปราศรัย นพ.ประสงค์กล่าวว่าปัจจุบันมีคนเสื้อแดงบางกลุ่มจัดตั้งหมู่บ้านเพื่อหวังได้เงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเป็นพฤติกรรมที่หวังได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเองฝ่ายเดียวด้วย แต่ก็ยังอยากให้เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงมากๆ เพราะจะทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันนำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีอยู่ได้นานๆ และ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้กลับบ้านเร็วๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2554, 13:06:19 ซักฟอก ประชา เกมกระทบชิ่ง ยิ่งลักษณ์?
โดย...ทีมข่าวการเมือง การจัดทัพวางตัว 10 ขุนพลลงศึกซักฟอก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ของประชาธิปัตย์ เที่ยวนี้ถูกจับจ้องไปที่ 3 ประเด็นใหญ่ อย่างเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดที่ทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายรุนแรงแล้ว การแต่งตั้ง สส.เป็นกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ รวมทั้งประเด็นสำคัญอย่างเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อถุงยังชีพและสิ่งของอุปโภคบริโภค ที่ประชาธิปัตย์เปิดประเด็นอัดรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่า “เป้าหมาย” การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่ทำงานมาได้เพียงแค่ 4 เดือนนั้น ไม่ได้หวังผลถึงขั้นทำให้เสียงข้างมากจากพรรครัฐบาลหันมาโหวตไม่ไว้วางใจ แม้เวลานี้ พล.ต.อ.ประชา จะถูกโดดเดี่ยวลอยแพจากรัฐบาลที่พร้อมจะตัดตอนปัญหา สังเวยความรับผิดชอบทั้งหมด เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเอาไว้ แต่ว่ากันว่าปมปัญหาเรื่องปลากระป๋องเน่า ที่ยังตามมาหลอกหลอนประชาธิปัตย์ไม่หยุดหย่อน ทำให้ประชาธิปัตย์ใช้จังหวะนี้เร่งขยายแผล “ถุงยังชีพ” ให้กลายเป็น “ถุงปลิดชีพ” นอกจากจะมีหลักฐานคาหนังคาเขามัดแน่นจนดิ้นไม่หลุดแล้ว อีกด้านหนึ่งยังเป็นการเอาคืนเรื่องปลากระป๋องเน่า ที่ฉุดภาพลักษณ์ความโปร่งใสของรัฐบาลประชาธิปัตย์สมัยนั้นให้มัวหมอง ที่สำคัญท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมที่มูลค่าความเสียหายพุ่งสูงหลายแสนล้านบาท ชาวบ้านหลายพื้นที่ย้งต้องทนทุกข์กับสภาพน้ำท่วมขังที่นานกว่า 2 เดือนจนเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็น ลำพังแค่ความ “ล่าช้า” และ “ไม่ทั่วถึง” ก็ทำให้ชาวบ้านอิดหนาระอาใจกับรัฐบาลและการทำงานของ ศปภ.อยู่แล้ว การเพิ่มชนวนเรื่อง “ทุจริต” เข้ามาอีกยิ่งซ้ำเติมความรู้สึก เพิ่มความทุกข์ ความแค้น ความเจ็บปวด ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาประชาธิปัตย์พยายามขยายประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การชำแหละของในถุงยังชีพที่ถูกวิจารณ์ว่าราคาสูงเกินจริงมาก มาจนถึงของใหญ่อย่างเรือไฟเบอร์กลาส ที่ครั้งแรกซื้อ 30 ลำ ลำละ 2.5 แสนบาท ทั้งที่ราคาปกติอยู่เพียงแค่ 9 หมื่นบาท แม้จะปรับลดราคาจัดซื้อในครั้งที่สอง เหลือลำละ 1.98 แสนบาท แต่ก็เปราะบางแตกง่าย จากการตรวจสอบพบความผิดปกติของการจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตั้งแต่ถุงยังชีพ เรือ ส้วมกระดาษที่ถูกสั่งซื้อจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด พูนเจริญพานิช และบริษัท เติมคอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน การอภิปรายฯ เที่ยวนี้ วิลาศ จันทร์พิทักษ์สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเกาะติดเรื่องการจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต่อเนื่อง ยังมีข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้เปิดเผยเตรียมนำมาชำแหละในเวทีซักฟอกรอบนี้ จุดอ่อนสำคัญของ พล.ต.อ.ประชา คือการชี้แจงทำความเข้าใจในเวทีสภา จึงทำให้ตกที่นั่งลำบากมากยิ่งขึ้น แม้ที่ผ่านจะได้แต่ยืนยันเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ซื้อของ พร้อมโยนว่าไม่มีอำนาจใช้เงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย แต่จากการชี้แจงของ จำเริญ ยุติธรรมสกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพและเครื่องอุปโภค บริโภคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้ยืนยันกับคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ว่าการจัดการเรื่องถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคเป็นภาระหนึ่งของ ศปภ. ในส่วนประเด็นการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดจนทำให้ต่อมามีประชาชนและกลุ่มประชาชนในหลายพื้นที่เริ่มจะยื่นฟ้องร้องเรียกความเสียหายจากรัฐบาล ยังเป็นประเด็นที่ “ประชาธิปัตย์” ดูจะไม่อาจปล่อยผ่านได้ ยิ่งในฐานะ ผู้อำนวยการ ศปภ. ที่เป็นศูนย์กลางการแก้ปัญหาน้ำท่วมเที่ยวนี้ ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ที่สำคัญการอภิปรายการทำงาน ศปภ. ยังกระทบชิ่งต่อไปถึง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบสูงสุดในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร สำหรับปมใหญ่อย่างการลงนามแต่งตั้ง สส.พรรคเพื่อไทย หลายคนให้มาเป็นกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่มีหลักฐานการเซ็นแต่งตั้งมัดแน่น เข้าข่ายความผิดฐานก้าวก่ายแทรกแซงการอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และมาตรา 266 ทว่าประเด็นนี้จะดูแผ่วลงไปเมื่อ “เพื่อไทย” ได้ย้อนกลับว่าสมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมีคำสั่งแต่งตั้ง 19 สส.พรรคประชาธิปัตย์ ไปช่วยงานกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อไทยได้ยื่นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบเรื่องนี้เช่นกัน สุดท้าย กกต.ได้ยกคำร้องด้วยเหตุผลว่า ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า สส.เหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมายหรือไม่ ไล่ดูตัวบุคคลที่จะอภิปรายฯ เที่ยวนี้ เปิดด้วย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค และปิดท้ายด้วย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ที่จะขมวดปมสรุปการอภิปรายฯ ตามรูปที่เคยปฏิบัติมา ขณะที่ สส.ที่จะอภิปรายเที่ยวนี้คร่าวๆ ได้วางตัว “วิลาศ” ไว้ชำแหละปมปัญหาการทุจริตการจัดซื้อต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งยังดึง “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เคยรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยการ กำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ในรัฐบาลที่แล้ว ที่จะรู้ระบบระเบียบการทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่จะมาชำแหละความล้มเหลวการบริหารจัดการของ ศปภ. รวมไปถึง “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะได้ใช้ประสบการณ์ในอดีตมาอภิปรายถึงการแก้ปัญหาบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ กทม.และพื้นที่โดยรอบใกล้เคียง สุดท้ายแม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้ ประชาธิปัตย์จะไม่สามารถหา “หมัดน็อก” จังๆ ได้ แต่ก็เป็นโอกาสนวดรัฐบาลที่กระทบชิ่งไปถึง “ยิ่งลักษณ์” ที่จะทำให้เก้าอี้นายกฯ หญิงสั่นคลอนไปเรื่อยๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2554, 15:24:16 มาร์ค” ยันซักฟอกไม่เหนื่อยฟรี ฉะ “ประชา” เอาแต่พูดเท็จ ไม่แจงข้อกล่าวหา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “อภิสิทธิ์” ยืนยันญัตติซักฟอกไม่เหนื่อยฟรี พวกที่ถูกยื่นถอดถอนต้องเดินหน้าต่อ ผิดหวัง “ประชา” ไม่ตอบข้อกล่าวหา แต่กลับเล่านิทานปล่อยน้ำล้มรัฐบาล ยกย่องพวกทำผิดกฎหมาย ชี้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบถ้าไม่ปรับ ครม. แนะรัฐบาลดูเรื่องแรงงานได้รับผลกระทบแรง จ่ายชดเชยผู้ประสบภัยเพิ่ม พร้อมกำหนดแผนระยะกลาง ทบทวนนโยบายเร่งด่วนก่อน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประเมินภาพรวมของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมว่า ฝ่ายค้านไม่ถือว่าเป็นการเหนื่อยฟรี เพราะเราทำหน้าที่ในการตรวจสอบและคิดว่าประชาชนที่ได้รับฟังการอภิปรายได้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งกระบวนการถอดถอนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปไม่ว่าใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการตรวจสอบโดยตรงและฝ่ายค้านยังได้สะท้อนให้เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมจะไม่มากขนาดนี้ถ้าบริหารจัดการอย่างตรงไปตรงมา และไม่เอาเรื่องการเมืองมาแทรกแซง ซึ่งรัฐบาลควรนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุง ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะไม่มีการปรับ ครม.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายกฯ แต่เมื่อตัดสินใจเช่นนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของท่าน เพราะประเด็นที่ฝ่ายค้านชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวก็ยังมีให้เห็นต่อเนื่อง เช่น ความขัดแย้งของประชาชนที่ยังมีอยู่หลายพื้นที่ หากสภาพเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นายกฯ ต้องผู้รับผิดชอบ การที่รัฐบาลให้ความไว้วางใจในครั้งนี้เท่ากับเห็นว่า พล.ต.อ.ประชาทำได้ดี ทั้งที่ข้อมูลที่ปรากฎออกมานั้นสะท้อนมาจากประชาชน ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจน และยังไม่เห็นว่า พล.ต.อ.ประชาไม่ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านเลย มีแต่ตอบโต้โดยการเอารูปที่ตนไปแจกของที่ จ.พิษณุโลกมาชี้แจงทั้งที่เป็นคนละเรื่องกันเลย เพราะเรากำลังท้วงติงเรื่องคนที่เอาของที่จัดสรรโดยงบประมาณไปบริจาคโดยแอบอ้างเป็นของตัวเอง ขณะที่การทำกิจกรรมสามารถทำได้ เพราะทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา บอกถึงที่มาที่ไป และไม่เคยไปข่มขู่เอาสิ่งของมา เพราะส.ส.ได้ประสานไปยังพื้นที่ตามขั้นตอน ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ได้คุยกับพวกตนว่าไม่มีการพูดเช่นนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พล.ต.อ.ประชากล่าวเท็จ พูดเป็นเล่นว่าฝ่ายค้านไปบังคับผู้ว่าฯ ได้ เรื่องนี้ต้องมีคนโกหกคนหนึ่ง ตนไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่รัฐมนตรีต้องทบทวนตัวเองว่าเอาอะไรมาพูด ส่วนตัวตนเชื่อผู้ว่าฯ แต่สิ่งที่รัฐมนตรีพูด ถือเป็นความพยายามสร้างความสับสน เล่านิยายว่าปล่อยน้ำมาทำลายรัฐบาลทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริง ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังมาก เพราะข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ได้มีการอธิบายเลย “เราไม่ได้มีใครห้ามให้ ส.ส.ไปช่วยเหลือประชาชน แต่ระบบเป็นอย่างนี้จริงหรือ เอาเรือไปแจกแล้วบอกกลัวไม่ได้คืนจึงต้องไปใส่ชื่อ ส.ส. ทั้งที่เรือก็มีชื่อหน่วยงาน มีเลขกำกับอยู่แล้ว สามารถติดตามได้ มันไม่ใช่ประเด็น ทั้งนี้ การชี้แจงของ พล.ต.อ.ประชาเป็นอย่างนี้มาทุกครั้ง ตั้งแต่มีการอภิปรายเรื่องงประมาณ และญัตติน้ำท่วม เป็นความสนุกของท่าน” “ผมเข้าใจดีถึงระบบเสียงข้างมากที่สามารถเป็นผู้กำหนดแนวทางได้ แต่ผมคิดว่าเราไม่ได้เสียเปล่า เพราะเรามีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง เพราะหลายเรื่องเราเคยนำเสนอแต่ก็ไม่สามารถทำได้เป็นระบบ และจะเห็นว่าเราถูกคัดค้านพอสมควร แต่ก็อยากจะติงว่าการอภิปรายครั้งนี้เวลาที่เสียไปกับเรื่องการประท้วง หรือใช้สิทธิพาดพิงเกินขอบเขต แทบจะมากกว่าเวลาการอภิปราย อยากให้รัฐบาลเคารพกระบวนการตรวจสอบของสภาฯ และผมเป็นห่วงว่าถ้ารัฐบาลยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขแนวทาง ที่สำคัญรัฐมนตรีเองกลับลุกขึ้นมาชื่นชมคนที่ทำผิดกฎหมายเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ควรยอมรับว่ามันมีปัญหาแล้วไปแก้ไขจะดีกว่า” นายอภิสิทธิ์กล่าว ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า อยากให้รัฐบาลตั้งหลักให้ได้ว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นปัญหาของส่วนรวม ถ้ายังคิดตามการแบ่งเขตเลือกตั้งหรือคิดเรื่องพรรค เอา ส.ส.ที่อยากจะใช้ประโยชน์ทางการเมืองก็จะทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ขณะนี้ประชาชนกำลังรอการเยียวยาอยู่ อยากรู้ว่ารัฐบาลจะมีคำตอบอะไรที่ดีกว่ามาตรการที่ออกมาแล้ว รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งตนได้กำชับคณะกรรมาธิการให้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น ยิ่งได้เห็นการของบประมาณ เช่น เรื่องข้าวกล่องที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายเห็นได้ชัดว่าไม่มีความรัดกุม จึงต้องมีการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการประเมินความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้อยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็นที่ตนแนะนำรัฐบาลไปมี 3 เรื่องหลัก คือ ให้ความสำคัญกับเรื่องแรงงานให้มาก เพราะจะมีความละเอียดอ่อนและกระทบกับชีวิตของประชาชนโดยตรง ควรจะมีการกำหนดแผนระยะกลาง เรื่องการเงินการคลังที่ต้องรับมือฟื้นฟูเศรษฐกิจและทบทวนนโยบายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและสำคัญ ทั้งนี้ ตนจะเดินหน้าคุยกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากวันพรุ่งนี้ (29 พ.ย.) จะเดินทางไปหารือกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลประเมินปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำขณะนี้เป็นแค่ชั่วคราว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะไปพูดโดยรวมไม่ได้ บางภาคธุรกิจอาจมีการเติบโตในช่วงฟื้นฟู ธุรกิจที่ชะงักไปชั่วคราวก็อาจเริ่มฟื้นตัวเช่นกัน แต่ต้องระวังในส่วนของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกึ่งถาวร หรือถาวร เช่น บางคนที่ไม่ต้องการจะฟื้นฟู หรือจะย้ายฐานการผลิตจะกระทบแน่นอน ส่วนเรื่องแรงงานจะยากที่สุด เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า ความต้องการแรงงานและการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงการว่างงานจะเกิดขึ้นพร้อมกันไป รัฐบาลต้องบริหารให้ดี ซึ่งตนอยากเห็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลก่อน เพราะขณะนี้จะเห็นเพียงแต่การของบประมาณจากจังหวัดและกระทรวง โดยไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนในการจัดลำดับความสำคัญ ทั้งนี้ การที่รัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นแบบรูปตัววีนั้น ก็อยู่ที่การจัดการ แต่คงไม่เกินขึ้นตามธรรมชาติ เพราะรัฐบาลต้องเข้าไปดูแล “ถ้าเป็นผมวันนี้ต้องแยกนโยบายต่างๆ ให้ชัดเจน คือ ส่วนที่ทำให้กำลังซื้อ และการดำรงชีวิตของประชาชนอยู่ได้ด้วยการเยียวยาแบบขั้นบันไดที่พูดในสภา และส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานควรจะแยกออกจากกัน และดูสัดส่วนให้เหมาะสมเพื่อที่จะได้เดินไปครบถ้วนทุกด้าน” ส่วนเรื่องการเดินหน้าถอดถอนนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ควรจะมีเพิ่มเติมจากการรวบรวมข้อมูลในการอภิปรายครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ส.ส. ส่วนจะมีคนอื่นเพิ่มเติมหรือไม่คงต้องไปดูข้อเท็จจริงก่อน เพราะยังมีหลายข้อมูลที่ยังไหลเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยนำญัตติถอดถอนมาอ่านในที่ประชุมสภาฯ ทั้งที่เป็นความลับนั้น ก็ต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่า เป็นเอกสารอะไร และได้มาอย่างไร ซึ่งโดยหลักการแล้วอยู่ระหว่างการดำเนินการของ ป.ป.ช. ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะนำเรื่องการทุจริตรถไฟฟ้าในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไปอภิปรายนอกสภาฯ นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แต่ละพรรคใครอยากไปทำกิจกรรมอะไรก็ทำได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ตนไม่หวั่นไหว แต่ทุกคนต้องตรงไปตรงมา และยอมรับการตรวจสอบ ไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงกรณีที่ตำรวจจะมีการส่งสำนวนคดี 13 ศพที่มีการอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐให้อัยการสูงสุดนั้นก็ต้องทำไปตามขั้นตอนของกฎหมายเช่นกัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หลังจากที่ปิดการประชุมสภาฯ สมัยสามัญทั่วไป ฝ่ายค้านจะลงพื้นที่เดินหน้าทำกิจกรรมทั้งลงพื้นที่ภาคใต้ และพื้นที่ที่ต้องทำการฟื้นฟู จากนั้นก็จะกลับมาพิจารณาเรื่องบประมาณกันต่อในสมัยประชุมนิติบัญญัติต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2554, 18:54:12 ที่แท้ “พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์” นำชาวบ้านเปิด ปตร.คลองพระยาสุเรนทร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ โฆษก กทม.เปิดโปง ที่แท้ “พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์” ข้าราชการการเมืองสำนักนายกฯ นำชาวบ้านเปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์โดยพลการ ทั้งยังแจ้งความกล่าวหา กทม.ต้องการให้น้ำท่วมจังหวัดอื่นที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง วันนี้ (28 พ.ย.) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เวลา 15.30 น. นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษก กทม. เปิดเผยว่า จากกรณีที่เมื่อคืนที่ผ่านมามีประชาชนกลุ่มหนึ่งเปิดบานประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์โดยพลการ จาก 1 เมตร เป็น 1.50 เมตร อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. ได้โทรศัพท์หารือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.มาโดยตลอดเกี่ยวกับการเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ เพราะมีประชาชนในจังหวัดปทุมธานีเรียกร้องให้มีการเปิดประตูเพิ่มสูงขึ้น หลังจากนั้นได้มีหนังสือด่วนที่สุดจาก ศปภ.เลขที่ 369/2554 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ขอความอนุเคราะห์ กทม.ให้ดำเนินการต่างๆ เปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์เป็น 1.50 เมตร เพื่อบรรเทาปัญหาและลดความขัดแย้งของประชาชน และทาง กทม.ได้มีหนังสือถึง ศปภ. ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน เพื่อแจ้งให้ทราบว่าไม่สามารถเปิดได้ เพราะจะส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 19/2554 ลงวันที่ 23 ต.ค. 2554 ซึ่งให้อำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในการใช้ดุลพินิจในการเปิดประตูระบายน้ำตามความเหมาะสมและเกิดผลกระทบต่อประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครน้อยที่สุด โดยคำสั่งระบุให้ กทม.บริหารจัดการน้ำจากพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยร้ายแรงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา โดยให้ กทม.เปิดประตูระบายน้ำในเขตพื้นที่รับผิดชอบเพื่อรองรับการระบายน้ำจากกรมชลประทานผ่านระบบสูบน้ำของ กทม.ไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา และคำนึงระดับน้ำที่เหมาะสมเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน นายวสันต์ กล่าวต่อว่า จากนั้นได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าเป็นจิตอาสา จำนวน 30 คน นำโดย พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 10 แอบอ้างคำสั่งของนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศปภ. ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นการขอความอนุเคราะห์ให้เปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์เป็น 1.50 เมตร เป็นการแอบอ้างที่ทำให้ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และศปภ.เสียหาย อีกทั้งยังทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด โดยได้มีการกล่าวหาการทำงานของ กทม.รวมกว่า 3 หน้ากระดาษ จากบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจนครบาลสายไหม วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554 เวลา 19.59 น. ผู้แจ้งคือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ระบุว่า ตามคำสั่งนายกฯ ผู้แจ้งได้ตรวจสอบประตูระบายน้ำของ กทม. พบว่าประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์เปิดเพียง 80 ซม. โดยนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้เปิดที่ 1 เมตร และวันที่ 25 พฤศจิกายน ผู้อำนวยการ ศปภ.สั่งให้เปิด 1.50 เมตร ถือว่า กทม.ขัดคำสั่งนายกฯ และกทม.ต้องการให้น้ำท่วมในพื้นที่ปริมณฑล อาทิ นนทบุรี นครปฐม พระนครศรีอยุธยา ให้นานที่สุด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เกือบทั้งพื้นที่ จึงอยากให้ประชาชนเลิกให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้แก่ประชาชนได้ “การแจ้งข้อความดังกล่าวทำให้ กทม.เกิดความเสียหาย ผู้ว่าฯ กทม.จึงได้ให้ทีมกฎหมายของ กทม.พิจารณาว่าดำเนินการอย่างไรต่อไป กับ พ.ต.ต.เสงี่ยม ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาท การใส่ความ และให้ข้อความที่เป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน พร้อมทั้ง กทม.จะทำหนังสือแจ้งให้ผู้อำนวยการ ศปภ.รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย” นายวสันต์กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการอย่างไรกับกรณีที่ประชาชนในพื้นที่แจ้งวัฒนะ และรามอินทรา เรียกร้องให้ กทม.เร่งระบายน้ำในพื้นที่ นายวสันต์กล่าวว่า วันนี้ขอพูดแค่เรื่องเดียวก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ประวัตินายเสงี่ยม พันตำรวจตรีเสงี่ยม สำราญรัตน์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จังหวัดชุมพร ข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี[1] อดีตประธานสมาคมประมงจังหวัดชุมพร และเป็นผู้ดำเนินการออกบัตรสมาชิกของกลุ่ม นปช.[2] เสงี่ยม สำราญรัตน์ เป็นแกนนำ นปช. ที่ได้ตั้งเวทีปราศัยและยืนยันที่จะติดตั้งจานดาวเทียม DTV ประจำทุกอำเภอในจังหวัดชุมพร[3] นอกจากนั้นแล้ว พ.ต.ต.เสงี่ยม ยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พรก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในกรณีการบุกอาคารรัฐสภา[4] และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในการชุมนุม พ.ศ. 2553 อีกด้วย[5] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2554, 20:48:22 ในขณะที่พวกเราคิดว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังแย่ คนก่นด่ากันทั้งเมือง
น้ำลดเมื่อไหร่ต้องอยู่ไม่ได้ หารู้ไม่ว่า สื่อช่องแดงกำลังทำหน้าที่สร้างความเกลียดชังว่า คนกทม.เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ปล่อยให้คนต่างจังหวัดจมน้ำ สิ่งเหล่านี้มันยิ่งกว่าน้ำมันไว้เติมเชื้อเพลิงความแค้น ความแตกแยกที่ฟังแล้วพร้อมจะทำทุกอย่าง ถ้าถึงเวลามีคนมาเสี้ยมมาบอกให้ทำอะไรเค้าก็จะทำตามแกนนำแดงบอก เมื่อสองวันก่อนนี้ไปเดินเล่นตลาดนัดแถวบ้าน เจอขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมถูกมากแค่ 900 เอง แค่มีจานแดงทรูเก่าก็เสียบแทนได้เลย เด่วนี้เวลาเรายกเลิกจานแดงไปเค้าจะเก็บแต่กล่องไป ซื้อมาลองก็เลยไม่แปลกใจว่าทำไมเสื้อแดงทั้งหลายถึงขยายตัวได้มากขนาดนี้ เพราะในบรรดาช่องดูฟรีร้อยกว่าช่อง มีช่องเสื้อแดงเป็นสิบๆช่อง ผลัดกันเอานักวิชาการเสื้อแดง เอาณัฐวุฒิ เอาจตุพร เอาพิธีกร ที่มีวาทะศิลปในการประดิษฐ์คำพูด ปั้นเรื่องยุยงให้เกลียดชัง ผลัดกันระดมออกตลอด 24 ชม. แล้วเพื่อนผมซึ่งอยู่สายไหมเค้าก็บอกว่า ไอ้กล่องรับแบบนี้ แถวบ้านเค้าไม่ต้องเสียเงินซื้อด้วยซ้ำ เค้าติดกันให้ฟรีๆรวมจานด้วย ในขณะที่พวกเราคิดว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังแย่ คนก่นด่ากันทั้งเมือง น้ำลดเมื่อไหร่ต้องอยู่ไม่ได้ แต่ในความจริงตอนนี้กลับเป็นโอกาศที่ดีของเสื้อแดงและรัฐบาลที่ใช้สื่อดาวเทียมโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างหนัก หากประเทศเรายังมีปัญหาด้านสื่ออยู่แบบนี้ ก็จะมีคนไปพังคันตรงโน้น ตรงนี้ อยู่เสมอแหละครับ เพราะจากการนั่งดูช่องแดงทั้งคืน มันมีแต่สร้างความเกลียดชังว่าคนกทม.เห็นแก่ตัว เอาเปรียบปล่อยให้คนต่างจังหวัดจมน้ำ สำหรับผมซึ่งรู้ไส้รู้พุง รู้สันดานชั่วของคนพวกนี้ มันก็ไม่มีผลอะไรหรอก แต่สำหรับคนหัวใจแดงทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้มันยิ่งกว่าน้ำมันไว้เติมเชื้อเพลิงความแค้นและความแตกแยก ที่ฟังแล้วพร้อมจะทำทุกอย่าง ถ้าถึงเวลามีคนมาเสี้ยมมาบอกให้ทำอะไร เค้าก็จะทำตามแกนนำแดงบอก ยกตัวอย่าง เมื่อคืนทุกช่องแดง เล่นข่าวเอกยุทธ โพสเฟสบุ้คเหน็บเจ๊ปูเปรียบสาวเหนือดังผู้หญิงขายตัว ผมนั่งดูการขยายความของทั้งพิธีกรข่าว ทั้งไอ้เต้นไอ้ตู๋ พวกมันสามารถลากเอาทุกเรื่องมาชง จนคนส่ง sms มาด่าด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ผมลองเข้าเพจเอกยุทธดูก็พบคนเข้ามาตามด่าเป็นร้อยๆกระทู้ ขู่ฆ่าขู่ทำร้าย โดยที่บางคนยืนยันบอกว่าตัวแดงไม่ใช่แดงด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าอะไรครับ พวกเขาเหล่านั้นแม้ไม่เคยไปร่วมชุมนุมร่วมกิจกรรมกับพวกแดงทั้งหลาย แต่ก็ถูกอิทธิพลรายการข่าวของช่องแดงไปโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมครับ ไม่แปลกใจ ที่ทักษินยอมลงทุนสองสามพันล้าน ผุดช่องทีวีดาวเทียมทั้ง ว้อยทีวี สปริงนิว เอเซียอัปเดตขึ้นมา เพราะมันได้ผลจริงๆครับ แต่ที่น่าคิดอีกอย่างก็คือ การกระทำเช่นนี้ ได้ก็เพราะได้รับการสนัยบสนุนจากทรูด้วยแน่นอน เพราะปกติคนทำการค้าย่อมไม่มีทางยอมขาดทุน อยู่ๆมีเหรอที่เรายกเลิกบริการจานแดง กลับเก็บเพียงกล่องรับสัญญาณ กลับทิ้งจานรับให้ฟรีๆอย่างนี้ จะอ้างว่าเผื่อลูกค้าจะกลับมาสมัครใหม่ได้ง่าย ก็ไม่น่าใช่ เพราะลูกค้าสมัครใหม่ก็ต้องได้ค่าติดตั้งเพิ่มเป็นกำไรให้บริษัทอีกต่างหาก แต่นี่กลับไม่สนตรงนี้ แถมพนักงานที่มารับกล่องยังเสนอกล่องดีทีวีให้ทันทีอีกต่างหาก ที่บอกให้ทุกคนได้รับข้อมูลตรงนี้ กันเพื่อให้เราเตือนสติกัน อย่าได้ประมาทพลังของสื่อดาวเทียมกับทีมพิธีกร ที่ได้รับการเทรนจากไอ้เต้นไอ้ตู๋นะครับ เพราะต้องยอมรับในพรสวรรค์ด้านการพูดของพวกมันว่าเก่งจริง หากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ลูกๆ หลานๆ สังเกตุ เวลาเดินทางโดย รถไฟฟ้า บีทีเอส หรือระหว่างที่ขึ้นลิฟท์ในอาคารใหญ่หลายๆ อาคาร จะพบ ทีวี ที่มีโฆษณาและมี คลิปข่าว แทรกมาด้วย ผมเห็นของ ว้อยทีวี บ่อยมากๆ จากข้อมูลที่คุณพี่วิสุตรฝากมานั้น เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เค้าต้องการตอกย้ำฝังลึกในอุดมการณ์ของเค้า ก็สามารถผ่านสื่อพวกนี้ได้อีกทางหนึ่ง เรียกว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เค้าก้อสามารถเพิ่มเติมตอกย้ำข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา . . . . . อย่าหดหู่ อย่าท้อแท้นะครับ เค้ามีเงินนะ ไม่พอ เค้ากำลังสรรหา ปลุกระดมมวลชนให้ใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ท้อแท้หดหู่เมื่อไหร่ พอเห็นครับว่าอนาคตของสยามประเทศจะเป็นอย่างไร ช่วยกันคิดดีกว่าว่าหากวิกฤตมหาอุทกภัยครั้งนี้สามารถทำให้เค้าเติบใหญ่มือเปิบขึ้นมาได้ใหญ่กว่าเดิม การส่งต่อเมล์เพื่อให้รู้ทันเค้า มันพอเพียงรึไม่ ? ขยายวงขบวนการต่อต้านคอร์รับชั่น ให้เข้มแข็งกว่าเดิมดีไหมเอ่ย ? ผ่านสื่อเค้าเลยดีไหมครับมีช่องทางอยู่แล้วน่ะ ? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 พฤศจิกายน 2554, 09:54:09 ผ่านศึกซักฟอกน้ำยังท่วมยิ่งลักษณ์
29 พฤศจิกายน 2554 โดย...ทีมข่าวการเมือง posttoday.com ผลการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นไปตามคาด เมื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ผอ.ศปภ.) ฉลุยตามคาด ด้วยมติ 273 ต่อ 188 เสียง รัฐบาลผสมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเอกภาพจากเสียงข้างมากที่อุ้ม “ประชา” สุดตัว ขณะที่ฝ่ายค้านยุคดาวคนละดวง ก็เกิดรอยร้าวจากผลการซักฟอกครั้งนี้ ยังมีพวกแหกโผแอบไปโหวตให้อีก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ใจแคบไม่ยอมให้ร่วมอภิปราย ส่วน ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานที่ปรึกษาพรรครักษ์สันติ ก็งดออกเสียง ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ก็งดออกเสียงเพราะต้องการเดินเกมปรองดองสมานฉันท์กับฝ่ายเพื่อไทย แต่ฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ถึงจะเห็นต่าง สุดท้ายก็แค่แยกกันเดิน รวมกันตี แรงขับเคลื่อนหลักยังอยู่ที่ประชาธิปัตย์ สำหรับรัฐบาลหลังผ่านศึกครั้งนี้ ดูเหมือนจะโล่งไปอีกเปลาะเพราะเข้าสู่การปิดสมัยประชุมสภาที่ลดอุณหภูมิการเมืองลง มาเปิดสภาอีกครั้งปลายเดือน ธ.ค. ที่จะเข้าสู่การตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังต้องเผชิญความไม่พอใจของประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ขังนาน หลายชุมชนขีดเส้น ขอคำตอบเมื่อไรน้ำจะลด และจะเปิดแนวบิ๊กแบ็กหรือไม่ หากไม่ชัดเจน ยังให้รอน้ำลดถึงสิ้นปี ความแตกแยก อารมณ์เดือดย่อมมีมากขึ้น อีกเรื่องที่รัฐบาลต้องเผชิญ คือ การที่กลุ่มองค์กรต่างๆ สภาทนายความ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จะยื่นฟ้องหน่วยงานภาครัฐที่แก้ปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด พร้อมจัดเวทีสาธารณะวิพากษ์รัฐบาล ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนยังเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการ ในช่วงที่ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลศปภ.ลดน้อยลงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายปิดท้ายของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ว่า รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วมผิดพลาด มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เกิดการทุจริตจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย สรุปความสั้นๆ ศปภ.“ผิดพลาด-ทุจริต-แตกแยก-แบ่งพวก” หากยังปล่อยให้ “ประชา” เป็น ผอ.ศปภ.แก้ไขวิกฤตสำคัญของประเทศต่อไป ก็จะเป็นปัญหา และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย แต่ยิ่งลักษณ์ส่งสัญญาณอุ้ม “ประชา” จะไม่ปรับ ครม.ยืนยันว่า “ประชา” ตอบคำถามฉะฉานครบถ้วน ส่วนฝ่ายค้านไม่มีอะไรใหม่ เอาข้อมูลเก่ามาอภิปราย การปรับ ครม.จึงไม่น่าเกิดขึ้นทันทีหลังอภิปรายเสร็จ เหมือนเช่นการซักฟอกหลายครั้งที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์อาจรอให้รัฐบาลทำงานครบ 6 เดือนก่อน คือ ช่วง ก.พ. หรือไม่ก็ช่วงแกนนำ 111 ไทยรักไทย พ้นคุกการเมืองเดือน พ.ค. 2555 อย่างไรก็ตาม ผลการซักฟอกแม้ฝ่ายค้านไม่สามารถทำอะไร “ประชา” ทางกฎหมายได้ แต่ความน่าเชื่อถือของ “ประชา” ในฐานะ ผอ.ศปภ. ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งตกต่ำลง การชี้แจงในสภาหลายประเด็นทั้งปัญหาการทุจริต การบริหารผิดพลาด การแต่งตั้ง สส.พรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการดูแลจัดการถุงยังชีพไม่ชัดเจน บางเรื่อง “ประชา” ก็ยอมรับตรงๆ ว่า ที่ตั้ง สส.เพื่อไทย เป็นกรรมการ มีผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะแก้เกมระหว่างการอภิปรายด้วยการกระหน่ำประท้วง รบกวนการอภิปรายให้คนดูทางบ้านเบื่อจะได้ไม่เปิดทีวีดู และให้ สส.รัฐมนตรี ที่ถูกพาดพิงลุกขึ้นชี้แจงให้มากเพื่อให้ฝ่ายค้านเสียกระบวนทัพ จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมสละไฮไลต์เด็ด เรื่องถุงยังชีพที่เตรียมอภิปรายไว้ในช่วงดึก การตกเป็น “เป้าเชือด” กลางสภาเพียงลำพัง ขณะที่ ศปภ.ต้นทุนต่ำในสายตาประชาชนอยู่แล้ว พล.ต.อ.ประชา จึงสาหัส โดยเฉพาะซีนสุดท้ายก่อนที่อภิสิทธิ์จะสรุปปิดการประชุม จู่ๆ “ประชา” ก็ท้าทายอภิสิทธิ์เรียกให้มาฟังการชี้แจงเพื่อจะได้รู้ว่า ใครเป็นต้นเหตุอุทกภัย ก่อนจะสรุปว่า เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์วางยาไม่ยอมระบายน้ำออกจาก 2 เขื่อนใหญ่ในช่วงรอยต่อเลือกตั้ง เป็นแผนขงเบ้ง ปล่อยมาทำลายข้าศึก ทำให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องมารับกรรมแทน หากอภิสิทธิ์ ปล่อยน้ำในเขื่อนเหมือนในปี 2553 มหาอุทกภัยก็จะไม่เกิดขึ้น มวลน้ำมากขนาดนี้ต่อให้ “10 ประชา” ก็เอาไม่อยู่ ว่ากันว่า การใช้มุขนี้กลับมาถล่มประชาธิปัตย์ ว่าทำน้ำท่วม ไม่แต่สร้างความแปลกใจให้กับฝ่ายค้านที่เห็นว่า เคยมีการปะทะชี้แจงกันแล้วในเวทีสภาหลายสัปดาห์ก่อน และเป็นข้ออ้างที่มีจุดอ่อน อีกทั้ง รมว.เกษตรฯ ก็ยอมรับความผิดพลาดแล้ว และต้นเหตุไม่ใช่เรื่องการระบายน้ำออกจากเขื่อนช้า พรรคเพื่อไทยเองก็งงว่า ใครเขียนบทนี้ให้ “ประชา” พูด เพราะเปิดทางให้ฝ่ายค้านตอบโต้กลับง่าย เหมือนยื่นดาบให้อภิสิทธิ์มาจัดการ “ประชา” ให้ตายกลางสภา บ้างเกิดคำถามไกลว่า ใครวางยา “ประชา” เป็นทีม 111 ไทยรักไทย หรือฝ่าย ศปภ.เพราะเป็นคำชี้แจงที่เบาหวิวและไม่ใช่บุคลิก “ประชา” ที่เล่นบทท้ารบอภิสิทธิ์ ผลทั้งหมดทำให้ “ประชา” หนึ่งในบุคคลที่พรรคเพื่อไทยวางตัวให้เป็น “นายกฯ สำรอง” หากเกิดอุบัติเหตุกับยิ่งลักษณ์ ต้องจมและสำลักน้ำไปพร้อมกับ ศปภ. อย่าลืมว่า “ประชา” เมื่อครั้งอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน เคยถูกพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อเป็นนายกฯ ชิงกับอภิสิทธิ์ เมื่อปี 2551 เมื่อเข้ามาอยู่กับเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นแกนนำภาคอีสาน มีฐานเสียงจากเสื้อแดงอุดรธานี ซึ่งทักษิณก็ไว้วางใจให้มาเป็น รมว.ยุติธรรม ที่ต้องปฏิบัติภารกิจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม บทสรุปนี้แม้ยิ่งลักษณ์ ไม่ปรับ “ประชา” ออก แต่ก็สูญเสียราคาที่ก้าวขึ้นเป็น “ตัวเลือก” ผู้นำในอนาคต ในสถานการณ์การเมืองที่ยังเปราะบางไม่มีอะไรแน่นอน และแม้ว่ารัฐบาลจะผ่านศึกซักฟอกไปได้แต่ความเสียหาย ความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยน้ำท่วมครั้งนี้ ยังไม่ได้รับการเยียวยา และจากนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่า “ยิ่งลักษณ์” จะอยู่ในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปได้นานแค่ไหน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 ธันวาคม 2554, 22:01:45 คนการเมืองล้วงเงินแบงก์รัฐ
โดย...ทีมข่าวการเงิน เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่รัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาทำงานแบบเต็มตัว งานแรกที่ท้าทายความสามารถคือการบริหารประเทศบนมหันตภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี สร้างความเสียหายจำนวนมหาศาลทั้งชีวิตและทรัพย์สินประชาชนทะลุ 1 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ไม่เว้นวรรค ใช้ช่วงจังหวะเวลาที่ฝุ่นตลบ ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับการต่อสู้กับน้ำท่วม ไม่ค่อยได้เกาะติดเรื่องการเมือง เปลี่ยนแปลงกรรมการรัฐวิสาหกิจแบบเงียบๆ หลายชุด ส่งคนสนิทใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเข้าไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายแห่งเพื่อกำกับ คนใกล้ชิดการเมืองที่ถูกส่งเข้าไปนั่งคุมนโยบายรัฐวิสาหกิจ บางคนก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนเก่งมีความสามารถตรงกับรัฐวิสาหกิจที่เข้าไปเป็นกรรมการ แต่บางคนที่ถูกส่งเข้าไปก็ต้องบอกว่ารับไม่ได้ ทั้งเรื่องความสามารถไม่ตรงกับงาน สถานะไม่เหมาะสม และหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย และหาผลประโยชน์เข้าพรรคเข้าพวก ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรที่เข้าไปเป็นกรรมการ กรณีของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ตั้งกรรมการใหม่แล้วปรากฏชื่อ นางพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธาน นปช. จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นผู้ส่งอีเมลข่มขู่ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เพราะไม่พอใจที่จี้ถามนายกรัฐมนตรีให้เคืองใจถูกส่งไปนั่งเป็นกรรมการหน้าตาเฉยถือเป็นหลักฐานที่ฟ้องชัดว่า รัฐบาลนี้แต่งคนใกล้ชิดการเมืองเข้าเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ โดยไม่ได้ดูความเหมาะสมเลย มองอย่างเป็นธรรม พรทิพย์ มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นกรรมการ ทอท. หรือไม่ จากการสืบประวัติพบว่า พรทิพย์ ไม่เคยผ่านงานด้านการบิน การเงิน หรือธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงมาก่อนเลย ดังนั้น การได้มาเป็นกรรมการ ทอท. จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปตอบแทนทางการเมือง ให้ พรทิพย์ ผู้ซึ่งพยายามสร้างผลงานให้เข้าตาผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลพอใจ นอกจากนี้ ยังมีกรณีของบริษัท อสมท ที่รัฐบาลพยายามตั้งแต่น้ำมายันน้ำลด ที่จะล้างกรรมการชุดเก่าเพื่อส่งคนของตัวเองเข้าไปเป็นกรรมการชุดใหม่ คุมขุมทรัพย์แสนล้านทั้งคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ รวมถึงยังคุมนโยบายการรายงานข่าว รายการต่างๆ ออกมาในทางบวกสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลที่ถูกโจมตีว่ามีปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นช่องทางตีฆ้องร้องป่าวนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ผลักดันออกมาต่อเนื่อง แม้ว่าจะถูกค้านให้ยกเลิกเพื่อนำเงินไปช่วยฟื้นฟูน้ำท่วมดีกว่า อย่างไรก็ตาม การส่งคนการเมืองเข้าไปคุมรัฐวิสาหกิจอะไรก็ไม่ร้ายเท่าส่งคนของตัวเองที่ไม่เหมาะสม หรือไม่มีความสามารถเข้าเป็นกรรมการในธนาคารของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงไทย ที่มีการส่งคนเชียร์รัฐบาลเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ เพื่อเปิดทางให้การเมืองเข้าไปล้วงเงินขอสินเชื่อ เหมือนกับที่รัฐบาลทักษิณ 1 และทักษิณ 2 ทำมา จนเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก และยังเป็นคดีฟ้องร้องให้ความจริงปรากฏ การส่ง วีรภัทร ศรีไชยา เป็นกรรมการแทน พงษ์เทพ ผลอนันต์ หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อวีรภัทร แต่คนในกระทรวงการคลังต่างรับรู้กันว่านี่คือคู่ต่อสู้กับผลประโยชน์ของรัฐตัวฉกาจ ไม่ว่าในคดีเลี่ยงภาษี 1.2 หมื่นล้านบาทของ พานทองแท้ และพินทองทา ชินวัตร เขาเคยยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกรณีอธิบดีกรมสรรพากรกับพวกลำเอียงในการปฏิบัติหน้าที่ วีรภัทร ยังเป็นทนายความให้กับคุณหญิงอ้อพจมาน ณ ป้อมเพชร กับ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ในคดีร่วมกันเลี่ยงภาษีแล้วอัยการไม่ยอมฎีกามาเป็นตัวแทนกระทรวงการคลังในฐานะกรรมการ รวมถึงส่ง อรุณภรณ์ ลิ่มสกุล เป็นกรรมการธนาคารกรุงไทย ซึ่งใครไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร แต่คนในวงการต่างอึ้ง ตะลึงตึงๆๆ หงายหลังผลึ่งกันทั้งบาง เพราะ อรุณภรณ์ นั้นเธอเคยเป็นผู้อำนวยการสายงานการตลาดโพสต์เพด บริษัท เอไอเอส ปัจจุบันเธอถูกดึงตัวไปนั่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารงาน CRM และบริหารช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ช่วยอันดับ 28 มานั่งเป็นกรรมการธนาคารกรุงไทยที่เป็นคู่แข่ง แถมมีอำนาจคุมกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กรณีของธนาคารออมสินที่ผ่านมา ที่มีการส่ง พรรณี สถาวโรดม ผงาดเป็นประธานธนาคารออมสิน เป็นการแหวกธรรมเนียมปฏิบัติที่ตำแหน่งนี้ต้องเป็นปลัดกระทรวงการคลัง หรือข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังจะได้นั่งในตำแหน่งนี้ กรรมการธนาคารออมสิน ยังมีชื่อ นพ.ประเสริฐ หลุยเจริญ ซึ่งเป็นสามี เบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต คนใกล้ชิดบ้านจันทร์ส่องหล้า และถูกวางตัวเป็นปลัดกระทรวงการคลังคนต่อไป หรือจะเป็นชื่อ นงลักษณ์ พินัยนิติศาสตร์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยคม และปสันน์ เทพรักษ์ อดีตกงสุลใหญ่ สถานกงสุลไทย ณ เมืองดูไบ ซึ่งล้วนเป็นการตอบแทนทางการเมืองมากกว่าความเหมาะสม กรณีล่าสุด รัฐบาลยิ่งลักษณ์กระทำการที่ท้าทายความเชื่อถือของสถาบันการเงินของรัฐอย่างยิ่ง เมื่ออนุมัติให้ สส.สอบตกอย่าง เฉลิมชัย จีนะวิจารณะ สดๆ ร้อนๆ ให้เป็นกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ก็เห็นได้ชัดว่า ซึ่งเป็นการวางคนผิดฝาผิดตัว ไม่ได้ดูเรื่องความเหมาะสม เฉลิมชัยนั้น นอกจากไม่มีความสามารถเชี่ยวชาญด้านการเงินแล้ว ยังถูกมองว่าอาจจะเป็นการขัดกับระเบียบคุณสมบัติของการเป็นกรรมการของกระทรวงการคลังอีกด้วย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ และกฎหมายของเอ็กซิมแบงก์โดยตรง ที่ได้ห้ามนักการเมืองเข้ามาเป็นกรรมการ เพราะไม่ต้องการให้เข้ามาแทรกแซงมีผลประโยชน์ทับซ้อน จนสร้างความเสียกับธนาคาร ถึงวันนี้มีการตั้งกรรมการที่ไม่มีความเหมาะสม เป็นคนการเมืองเข้าไปทำให้เกิดความเสี่ยง ส่อทำให้เอ็กซิมแบงก์อาจเกิดอาการโคม่าขึ้นมาได้ นี่คือสนิมเนื้อในที่กัดกินรัฐวิสาหกิจ และแบงก์รัฐให้อ่อน ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้นเงินภาษีเข้าไปอุ้ม อย่าลืมว่าธนาคารรัฐ 34 แห่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ส่งคนเข้าไปนั่งบัญชาการนั้น ในแต่ละปีมีการปล่อยกู้นับ 1 ล้านล้านบาท หากเสียหายไปแค่ 10% ก็ถือว่ามหาศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงควรเป็นหัวเรือใหญ่ ทั้งในฐานะผู้ถือหุ้นรัฐวิสาหกิจ และกำกับดูแลแบงก์รัฐ ต้องไม่ปล่อยให้การเมืองเข้าแทรกล้วงลูกล้างเงินภาษีไปเข้าประโยชน์พวกพ้องและตัวเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นการกระทำอย่างนี้จะเป็นมะเร็งรักษาไม่มีวันหาย หากกระทรวงการคลัง ที่ต้องดูแลการเงินการคลัง และทรัพย์สินของประเทศ ไม่สามารถปกป้องได้ ทั้งรัฐมนตรี และข้าราชการประจำ ก็จะถูกหาว่าเป็นตรายางไม่มีอำนาจ และผู้บริหารที่หวงเก้าอี้มากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ มาตรฐานการปฏิบัตินั้นไม่ใช่ได้มาลอยๆ ผู้ที่มีอำนาจและเป็นนักบริหารที่ดีต้องกล้าที่จะสร้างมันกับมือตัวเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 ธันวาคม 2554, 12:17:59 คำพยากรณ์ของกษัตริย์ถึงกษัตริย์ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” ต้องตอบโจทย์ ก่อนโผซบอ้อมอก “อากู๋แกรมมี่”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ชั่วโมงนี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชายหนุ่มในวัย 40 ต้นๆ ที่ชื่อ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทบาทล่าสุดในการสวมหมวกเป็นพิธีกรรายการ “ตอบโจทย์” ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ที่ทำให้ชื่อของเขาโดดเด่นขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว กระทั่งตามติด “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” แห่งช่อง 3 ชนิดหายใจรดต้นคอเลยทีเดียว แน่นอน หลายคนยังคงจำกันได้ดีกับการที่ภิญโญบินไปสัมภาษณ์ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของคนเสื้อแดงถึงนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ภายหลังการเลือกตั้งจบลง ยิ่งเมื่อนิตยสารผู้ชายชื่อดังอย่าง GM ตัดสินใจนำเขาขึ้นปกในฉบับเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาร่วมกับผู้ชายในวัยเดียวกันอย่างเป็นเอก รัตนเรือง สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ นรอรรถ จันทร์กล่ำ ม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่ บอย โกสิยพงษ์ ดร.ธีระชัย พรสินศิริรักษ์ แมทธิว กิจโอธาน นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ และTyler Brule ภายใต้แนวคิด The Power of 40s ก็ยิ่งทำให้ภิญโญกลายเป็น “หนุ่มเนื้อทอง” อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างไรก็ตาม วันนี้ถึงเวลาที่ภิญโญจำเป็นที่จะต้องตอบโจทย์แล้วเช่นกันกับข้อเขียนที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้คือ “คำพยากรณ์จากกษัตริย์ถึงกษัตริย์” ที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 1633 ซึ่งมีท่าทีหนุนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสำหรับอ้ายอีที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มาพร้อมกับเสียงร่ำลือจากฐานบัญชาการใหญ่ของแกรมมี่ถึงการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างเขากับ”อากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” ในการดำเนินการสถานีข่าวทางโทรทัศน์ กล่าวสำหรับ “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” ต้องบอกว่า เส้นทางชีวิตของเขาผ่านทั้งการเป็นนักข่าว นักเขียน นักสัมภาษณ์ เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks และพิธีกรรายการโทรทัศน์ แต่บทบาทที่ทำให้ชื่อของภิญโญเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างก็คือ การตัดสินใจก่อตั้งนิตยสาร open และสำนักพิมพ์ openbooks ที่ผลิตผลงานโดนใจคนรุ่นใหม่มากมาย จน “ปกรณ์ พงศ์วราภา” บอสใหญ่ค่ายจีเอ็มถึงกับเชื้อเชิญให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจโดยจีเอ็มมีหุ้นอยู่ใน open ถึง 25% แต่เนื่องจากในเวลาถัดมาจีเอ็มต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจและแนวทางการทำหนังสือที่ไม่ลงตัว ทั้งสองฝ่ายจึงจำเป็นที่จะต้องแยกทางกันเดิน ทว่า สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายใหญ่แห่งจีเอ็มก็ยังคงแนบแน่น กระนั้นก็ดี สิ่งที่ทำให้ภิญโญเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมเห็นจะเป็นบทบาทที่เขาสวมหมวกเป็นผู้ดำเนินรายการ “ตอบโจทย์” ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ซึ่งผลของการออกสื่อโทรทัศน์ทำให้ชื่อของภิญโญ ไตรสุริยธรรมาท็อปฮิตติดชาร์ตและถีบตัวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าอย่างรวดเร็ว เร็วจนกระทั่งไปเข้าตา “อากู๋” ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งค่ายแกรมมี่ และนั่นก็เป็นที่มาของการต่อสายตรงจากอากู๋มาถึงปกรณ์ พงศ์วราภา เพื่อเชื้อเชิญให้มารับประทานอาหารร่วมกัน อากู๋กำลังทำสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ภิญโญกำลังเป็นดาวเด่นในแวดวงโทรทัศน์ เมื่อสารเคมีลงตัว การเจรจาธุรกิจบนโต๊ะอาหารจึงบังเกิดขึ้น อากู๋แสดงเจตจำนงชัดเจนที่จะเชื้อเชิญภิญโญให้มาร่วมงานในสถานีข่าวทางโทรทัศน์ที่เตรียมสร้างขึ้นมาใหม่ และแน่นอนว่า สังคมคงจะต้องจับตากันต่อไปว่า ภิญโญจะตอบรับไมตรีจิตจากอากู๋ในครั้งนี้หรือไม่ ถ้าตอบรับ สังคมก็จะต้องจับตากันต่อไปว่า ภิญโญจะรับใช้อากู๋ในระดับไหน ในรูปแบบใด และด้วยวิธีการใด เพราะต้องไม่ลืมว่า สายสัมพันธ์ของอากู๋นั้นไม่ธรรมดา ทั้งความแนบแน่นจนแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร และทั้งความแนบแน่นที่อากู๋มีกับสื่อในเครือมติชนที่เวลานี้ผันตัวไปรับใช้ระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย ขณะที่เมื่อย้อนกลับมาตรวจสอบสายสัมพันธ์ส่วนตัวของภิญโญกับเครือมติชนเองก็จะพบว่าอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเขามีคอลัมน์ชื่อ “ไทยไทย” ใน “มติชนสุดสัปดาห์” และว่ากันว่า หนังสือในเครือของภิญโญ มติชนก็เป็นผู้จัดจำหน่ายให้ ทั้งนี้ สำหรับข้อเขียนล่าสุดของเขาในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 1633 ในหัวข้อเรื่อง “คำพยากรณ์ของกษัตริย์ถึงกษัตริย์” นั้น ได้สะท้อนให้เห็นแนวคิดบางประการของเขาที่มีต่อมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษผู้ที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชนิดต้องหาคำอธิบายเพิ่มเติม แน่นอน ข้อเขียนของภิญโญมีบทสรุปชัดเจนว่า “เห็นด้วย” กับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยหยิบยกตัวอย่างกษัตริย์ของประเทศต่างๆ มาโน้มน้าวให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ถึงเวลาแล้วที่สถาบันกษัตริย์จะต้องเปลี่ยนแปลง “สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีญี่ปุ่นเมื่อเสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบภัยพิบัติหลังเหตุการณ์สึนามิ ทั้งสองพระองค์น้อมพระวรกายลงไปรับฟังปัญหาของประชาชนของพระองค์อย่างใกล้ชิดจนระดับของพระเศียรต่ำกว่าประชาชนที่นั่งอยู่เสียด้วยซ้ำ การวางตัวอย่างเสงี่ยมภายใต้รัฐธรรมนูญที่จำกัดบทบาทมิให้ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้สถาบันกษัตริย์ญี่ปุ่นกลับมาสง่างามได้อีกครั้งหลังจากนำประเทศพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในสงครามโลกครั้งที่ 2” คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ พระมหากษัตริย์ของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชจริยาวัตรที่ไม่ได้แตกต่างจากกษัตริย์ญี่ปุ่นแต่ประการใด หลายคนคงจดจำกันได้กับภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงน้อมพระวรกายจนพระเศียรแทบจะติดกับหญิงชราที่ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ นอกจากนี้ ภิญโญยังได้ยกตัวอย่างเรื่องสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษเอาไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วยว่า “สถาบันกษัตริย์อังกฤษนั้น สื่อมวลชนกระทั่งประชาชนธรรมดาสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นไปโดยสุจริต กระนั้นก็มิได้ทำให้สถาบันเสื่อมถอยลงแต่ประการใด” แน่นอน สิ่งที่คงต้องย้อนถามกลับไปก็คือ ภิญโญต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยหรือไม่ เพราะภิญโญต้องไม่ลืมว่า เหล่ากออันชั่วร้ายของขบวนการล้มเจ้าในประเทศไทยนั้นมิได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจในทางสร้างสรรค์ หากแต่อิงแอบแนบแน่นอยู่กับเกมการเมืองเพื่อหวังผลในการทำลายล้างและทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ พร้อมกับสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ขึ้นมาเสียใหม่ ภิญโญจะทำอย่างไรกับขบวนการล้มเจ้าอันแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับการเมืองที่นำสถาบันกษัตริย์มาใช้ในการปลุกระดมล้างสมองประชาชนคนไทยซึ่งกำเริบเสิบสานอยู่ในขณะนี้ กรณี “อากง” ที่ขบวนการล้มเจ้าปลุกระดมกันขึ้นมาในขณะนี้คือตัวอย่างชัดเจน เพราะในที่สุดคนจำนวนไม่น้อยก็จะเห็นใจอากงว่ากะอีแค่ส่ง SMS ทำไมถึงต้องถูกพิพากษาจำคุกถึง 20 ปี ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว อากงผู้นี้คือแดงฮาร์ดคอร์ตัวพ่อแห่งเมืองปากน้ำที่ถูกล้างสมองจากขบวนการล้มเจ้ากระทั่งส่ง SMS หมิ่นพระบรมเดชานุภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าในต่างกรรมต่างวาระ สถาบันพระมหากษัตริย์ไปทำอะไรให้อากงเจ็บช้ำน้ำใจ ถึงกับทำให้อากงซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่บรรพบุรุษอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึงได้จงเกลียดจงชังเช่นนี้ หรือภิญโญเห็นด้วยกับความเห็นของ “หญิงร่านแห่งล้านนา” ที่มั่วนิ่มอิงกระแสอากงแก้ผ้าโชว์นมเหี่ยวๆ สนับสนุนการแก้มาตรา 112 ประชาชนผู้จงรักภักดีจะเชื่อได้อย่างไรว่า เมื่อแก้มาตรา 112 ให้มีโทษที่ลดลงแล้ว ขบวนการล้มเจ้าจะค่อยๆ เลือนหายไป เพราะขนาดมีบทลงโทษที่หนักขนาดนี้ พวกเขายังมิยำเกรงเลยแม้แต่น้อย แน่นอน ไม่มีใครเชื่อว่าภิญโญเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้า แต่ภิญโญก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้สังคมไทยได้กระจ่างแจ้งเช่นกัน เพราะถ้าจะว่าไปแล้วสายสัมพันธ์ระหว่างภิญโญกับกลุ่มนักเขียนที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 ก็อยู่ในขั้นไม่ธรรมดาเช่นกัน และหลายคนก็เคยมีผลงานรวมเล่มในนามสำนักพิมพ์ openbooks มาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับ “ปราบดา หยุ่น” แกนนำคนสำคัญของกลุ่มนักเขียนดังกล่าว ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในคณะบรรณาธิการของภิญโญเช่นกัน ยิ่งเมื่ออ่านย่อหน้าขึ้นต้นของบทความ “คำพยากรณ์ของกษัตริย์ถึงกษัตริย์” ที่เขียนเอาไว้ว่า “ หนึ่งในประโยคที่ชอบอ้างถึงกันบ่อยๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ก็คือ คำพยากรณ์ของกษัตริย์ฟารุกแห่งอียิปต์ที่ว่า เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 จะเหลือกษัตริย์หรือคิงโพดำ คิงข้าวหลามตัด คิงดอกจิกและคิงแห่งอังกฤษ” ก็ยิ่งทำให้ภิญโญต้องตอบโจทย์เหล่านี้มากขึ้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 ธันวาคม 2554, 22:03:05 นักข่าวเอพีเขียนถึงในหลวง คนไทยควรอ่าน
สำนักข่าวเอพี “ประเทศไทย - สงครามแห่งสายน้ำสงครามแห่งพระมหากษัตริย์” 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 แปลโดย Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya จาก “In Thailand, a battle royal with water”, Associated Press, November 2, 2011 ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขณะที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระประชวร ทรงกำลังสำรวจภาพแห่งความหายนะจาก หน้าต่างโรงพยาบาลชั้น 16 ของพระองค์ พระมหากษัตริย์พระชนม์มายุ 83 พรรษาทรงพบกับบางสิ่งที่ท้าทายพระองค์ อย่างฝังรากลึกมานานแทบตลอดพระชนม์ชีพนั่นคือ “น้ำ” ระดับน้ำได้เพิ่มขึ้น รอบๆ พระองค์ กระแสน้ำไหลท่วมท้นกรุงเทพมหานครและเอ่อล้นตลิ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา "แม่น้ำของกษัตริย์” ไหลเชี่ยวผ่านโรงพยาบาลศิริราชที่ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ในรถเข็นพระที่นั่งมานาน ตลอดระยะเวลา 2 ปีเหตุการณ์น้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ คือ สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเพียรพยายามอย่างอุตสาหะมานะ และอาจมากกว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่เคยพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น พระองค์ได้ทรงส่งสัญญาณเตือนภัยแม้ว่าอาจไม่มีใครใส่ใจในทุกครั้งก็ตามพระองค์ทรงคัดค้านการพัฒนาที่เกินพอดีและทรงเสนอแนวคิดที่จะทุเลาความเสียหาย อย่างใหญ่หลวงจากการขึ้นลงของน้ำประจำปี ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของน้ำจากพายุมรสุม ความทุกข์ของประเทศด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ 400 คน และอีก 110,000 คนไม่มีที่อยู่ คือภาพที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงการเพิกเฉยต่อคำเตือนของพระองค์ รวมถึงข้อจำกัดในความสามารถของมนุษย์ที่พยายามควบคุมธรรมชาติ ซึ่งในบางครั้งนั้นมีความรุนแรงเกินกำลัง นักวิเคราะห์กล่าวไว้เช่นกันว่าในการรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนดังกล่าวนั้น ไม่มีคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียวสามารถทดแทนแผนงาน ที่ผ่านการประสานงานอย่างรัดกุมและดำเนินการโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีหน้าที่ แต่ในบางครั้งนั่นก็คือสิ่งที่นักวิจารณ์มองว่าประเทศไทยกำลังขาดแคลนเช่นกัน แม้กระทั่งปัจจุบัน ขณะที่เมืองหลวงของประเทศไทยและบริเวณโดยรอบกำลังต่อสู้กับความเชี่ยวกราก พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกก็ทรงกำลังเสนอข้อแนะนำถึงวิธีที่ดีที่สุด ในการหาเส้นทางระบายน้ำจากที่ราบทางตอนเหนือเพื่อลงสู่ทะเล แต่ไม่เหมือนกับในอดีต พระมหาษัตริย์ผู้ทรงมีพระบารมีภายใต้รัฐธรรมนูญไม่สามารถทรงทำหน้าที่ตรวจสอบ,ชักจูงหรือในบางครั้งไม่อาจทรงตำหนิติเตียนเหล่าข้าราชการที่ทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพได้ ในฐานะผู้ทรงสืบเชื้อสายจากบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งปวงของไทยในอดีต ซึ่งต่างล้วนทรงถือว่าการควบคุมน้ำคือพระราชกรณียกิจในพระองค์ เริ่มจากหนึ่งในโครงการพัฒนาตามพระราชดำริโครงการแรกคืออ่างเก็บน้ำในปี 1963 เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันน้ำทะเลเข้าท่วมพื้นที่ตากอากาศชายทะเลหัวหิน จนกระทั่งปัจจุบัน โครงการพระราชดำริมีจำนวนมากกว่า 4,300 โครงการ และกว่า 40% ของจำนวนโครงการทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ “พระราชดำริและข้อเสนอแนะของพระองค์นั้นมีปรากฏอยู่อย่างแจ้งชัดโดยปราศจากข้อสงสัย ตลอดในนโยบายและการจัดการแหล่งน้ำต่าง ๆ ของประเทศไทยมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 40 ปี” เดวิด เบลค ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียแห่งอังกฤษซึ่งทำการศึกษา เรื่องนี้ในประเทศไทยกล่าว แม้ว่าจะไม่ทรงผ่านการศึกษาในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา พระองค์นี้ได้ทรงแสดงให้เห็นพระอัฉริยภาพด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ โดยในช่วงทศวรรษ 1990 นั้น พระองค์ได้ทรงใส่พระราชหฤทัยกับเมืองหลวงอันแสนเปราะบางของประเทศไทย “ ในลักษณะที่ดูเหมือนประหนึ่งผู้ทำลายบรรยากาศแห่งความสุขกับช่วงเวลา แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือนประชาชน เรื่องน้ำท่วม การจราจรที่เลวร้ายและความทุกข์ยากแร้นแค้นต่าง ๆ นานาที่กำลังจะเกิดขึ้น ” โดมินิค ฟาวเดอร์ บรรณาธิการอาวุโสของหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่ใกล้วางจำหน่าย ชื่อ “การมองโลกในแง่ร้ายและคำเตือนต่าง ๆ คือสิ่งที่คนไทยไม่อยากได้ยิน” ฟาวเดอร์กล่าวเพิ่มเติมว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรพยายามที่จะแก้ปัญหา ดังเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงไม่ยอมรับ “ข้าราชการ (บางกลุ่ม)ที่โต้แย้งและไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระองค์ว่า “แก้มลิง”โดยมีที่มาจากลิงทรงเลี้ยงเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ซึ่งมักเก็บกล้วยไว้ข้างแก้มจำนวนมาก จากนั้นจึงทยอยนำออกมากลืนกินในภายหลัง กระแสน้ำประจำปีที่ไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ตามเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครนั้น ถูกหันเหให้ลงสู่ “แก้ม” หลังจากนั้นจึงถูกผันลงสู่ทะเลหรือถูกส่งเข้าสู่ระบบชลประทานต่อไป มีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำที่เกี่ยวข้องซึ่งประกอบไปด้วยทำนบ คลองและประตูระบายน้ำ ตลอดจนพัฒนาระบบระบายน้ำในเมืองหลวง ซึ่งทำให้เกิดผลงานในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 จนถึงทศวรรษที่ผ่านมา “เราต้องถือเอาความกราดเกรี้ยวของสายน้ำไว้เป็นครู ถ้าเราสามารถหาหนทางเก็บน้ำที่ไหลท่วม ไว้ในแหล่งกักเก็บน้ำก่อน จากนั้นจึงนำออกมาใช้เมื่อเราต้องการได้ ก็จะเป็นประโยชน์ 2 ชั้น ” กระแสพระราชดำรัสในปี 1990 อย่างไรก็ตาม เบลคกล่าวว่า แผนการณ์ดังกล่าวนั้นมีผลทำให้ชุมชนโดยรอบกรุงเทพมหานคร ต้องเสียสละเพื่อรักษาใจกลางเมืองหลวงไว้และนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งรวมถึงกลุ่มข้าราชการที่รู้ดีเกินควรและทำการผันน้ำลงสู่ทุ่งนาแทนที่จะเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ตามที่วางแผนไว้ นับแต่นั้นแหล่งกักเก็บน้ำหลักถูกย้ายไปสู่ฝั่งตะวันตก พื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกถูกแทนที่ด้วยนิคมอุตสาหกรรม บ้านจัดสรร สนามกอล์ฟและสนามบินนานาชาติ “ สาเหตุสำคัญของน้ำท่วมคือข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเราสร้างบ้านเรือนอยู่บนหนองน้ำ ประเด็นของข้าพเจ้าคือว่า มนุษย์ทำการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติมากเกินไปจากสิ่งที่เคยเป็น ” กระแสพระราชดำรัส ในช่วงแรกเมื่อปี 1971 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือน ถึงการตัดไม้ทำลายป่าอย่างมโหฬารในภาคเหนือว่าจะนำมาสู่การเกิดอุทกภัย การตัดไม้ทำลายป่าจะลดความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน และนั่นได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญของอุทกภัยในปัจจุบัน ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ภาคใต้ ตลอดจนสร้างระบบชลประทานบนเทือกเขาสูงสำหรับชาวเขาในภาคเหนือพระองค์ทรงให้การสนับสนุนการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งแต่ละแห่งมีชื่อตามพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงพระนามของพระองค์เอง แม้ว่าหลังจากนั้นพระองค์จะทรงตระหนักถึงภยันตรายและทรงโปรดการสร้างเขื่อนขนาดเล็ก และทำนบกั้นน้ำแทนก็ตาม พระองค์ทรงแก้ปัญหาความแห้งแล้งด้วยการเลี้ยงเมฆให้เกิดฝนด้วยวิธีโปรยสารเคมีจากเครื่องบิน ซึ่งเป็นวิธีที่ต้องใช้ทั้งความพยายามและโชคช่วยด้วยเช่นกัน “ไม่ใช่ทุกโครงการพระราชดำริล้วนประสบความสำเร็จ มีหลาย ๆ กรณีที่การคิดค้นหรือหลักการ ของพระองค์ถูกนำไปปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมเช่นกัน” เบลคกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงแค่ผู้เสนอ “แนวคิดที่อาจเป็นไปได้ แต่การนำไปใช้นั้นขึ้นอยู่กับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ถ้าพวกเขาแปลความผิดหรือจัดการในทางที่ผิด แนวคิดเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล” สุเมธ ตันติเวชกุล ผู้ดูแลมูลนิธิชัยพัฒนาซึ่งทำหน้าที่สนองงานตามโครงการพระราชดำริ กล่าวว่า ในบรรดาสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อส่วนรวมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งพระราชหฤทัยในการพัฒนาแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน พระองค์ได้ทรงใช้พระราชฐานะของพระองค์เพื่อผลักดันเรื่องนี้ให้เดินหน้าเป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่พระองค์ทรงคิดค้นบางอย่างนั้นนำมาซึ่งความประหลาดใจเช่นกัน เพื่อช่วยขจัดน้ำเน่าเสียอย่างรุนแรงในใจกลางกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำอย่างง่ายด้วยผักตบชวาซึ่งเป็นพืช ที่มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษ หลังจากนั้นจึงทำการสลายพิษในพืชชนิดนี้และนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง รวมถึงใช้ถักทอในงานหัตถกรรม พระองค์ได้ทรงอธิบายถึงเมืองหลวงที่แผ่ขยายอาณาบริเวณ ออกไปใหญ่โตและเต็มไปด้วยน้ำเน่าเสีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยคูคลองมากมายว่า “กรุงเทพมหานครเปรียบเสมือนห้องสุขาที่ไม่มีระบบชักโครก” พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์กังหันน้ำต้นทุนต่ำซึ่งประกอบด้วยวงล้อใบพายอย่างในเรือกลไฟสมัยก่อน และทรงได้รับสิทธิบัตรนานาชาติ ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียว ในบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งหลายทั้งปวงของโลกใบนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 13 ธันวาคม 2554, 09:12:52 คดีซุกหุ้น "ต้นเหตุ" สังคมแหก
เปลว สีเงิน 13 ธันวาคม 2554 เอาล่ะ..."เสาร์เล็งลัคน์" เริ่มสะสมเงื่อนไขสงครามเบ็ดเสร็จแล้ว เพื่อไทยประกาศ "เขียนรัฐธรรมนูญฉบับทักษิณ" พ่วงแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะเดียวกัน ทักษิณแบไพ่ "๖ เงื่อนไขปรองดอง" คืนเงิน-คืนอำนาจ-ยกเลิกคดีทั้งหมด แล้วจบกัน แต่...หอกนั้นคืนสนอง เมื่อคณิต ณ นคร ออกผลงาน คอป.ล่าสุด...ที่บ้านเมืองวุ่นวายมาตลอดนี้ ต้นเหตุจาก "คดีซุกหุ้น" ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติผิดหลักกฎหมาย! สะเทือนครับ...สะเทือน เรียกว่าสะเทือนทั้งมาตรฐานยุติธรรมไทย และมาตรฐานยุติธรรมทักษิณ สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เหมือนคนน้ำเหลืองไม่ดี หัวฝีผุดขึ้นตามแก้มก้นพร้อมๆ กันหลายหัว ชนิดต้องตะแคงตูดนั่ง ขึ้นชื่อว่าหัวฝี มันเกิดจากข้างใน แล้วมาแตกข้างนอก ทางรักษามีทางเดียวคือ ต้องปล่อยให้มัน "กลัดหนอง" จนสุกแล้วแตกหนองไหลของมันเอง ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนรักษา คือเค้นเอาหัว-เอาหนองออกให้หมดจนเห็นเนื้อแดงโบ๋ ขั้นตอนนี้ มันทั้งเจ็บ-ทั้งมัน-ทั้งคัน ดิ้นเชียวล่ะ เห็นเนื้อแดง แสดงว่า "หมดเชื้อ" เหลือแต่แผล รักษาง่าย เพราะเนื้อร้ายหมดแล้ว! ขณะนี้ประเด็นปัญหา ประดัง-ประเดมาพร้อมๆ กัน เราก็จัดลำดับ แล้วค่อยๆ คุยกันไปทีละเรื่อง จะได้ไม่สับสน และลงท้าย ทั้งหลาย-ทั้งปวง ก็จะไปสรุปรวมอยู่ที่ "เรื่องเดียวกัน" ทักษิณน่ะ อ้างเพื่อให้ตัวเอง "พ้นความผิดทั้งปวง" อยู่ข้ออ้างเดียวคือ กฎหมายผลพวงรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม แต่ตรงไหนที่ตัวเองได้ประโยชน์จากกฎหมายนั้น...ก็เป็นธรรม และทำเฉย อย่างเช่น ตอนนี้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งจากกฎหมายเผด็จการ ได้เป็นรัฐบาล ไม่ปฏิเสธการกะซวก "อำนาจรัฐ" ซักคำ! ผมฟัง ๖ ข้อเสนอปรองดองทักษิณ ที่ "ข้ารับใช้" นำมาบอก ไม่อยากจะสน เพราะนั่นมันเป็นข้อเสนอซะที่ไหน มันเป็นเงื่อนไข "เค้นคอประเทศไทย" ชัดๆ ว่า...พวกมึงต้องให้ และพวกกูต้องได้ อย่างที่พวกกูต้องการ ทักษิณและพวกจะยืนยันอยู่ประเด็นเดียวว่า กฎหมายและอำนาจใดก็ตามที่เกิดหลัง ๑๙ ก.ย.๔๙ ถือว่าโมฆะ แล้วย้อนกลับไปก่อนวันที่ ๑๙ ก.ย.๔๙ คืนสถานภาพเดิม ณ ความเป็น "รัฐบาลทักษิณ-นายกฯ ทักษิณ" ให้เขาทั้งหมด! เอาล่ะ...เมื่อยึดจุด ๑๙ ก.ย. เป็นตัวชี้ความถูก-ความไม่ถูกของทักษิณ นั่นก็ควรยึดก่อน ๓ ส.ค.๔๔ อันเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีซุกหุ้นเป็นตัวชี้ความถูก-ความไม่ถูกของสังคมประเทศด้วย เพราะวันนี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ของนายคณิต ณ นคร ที่รัฐบาลทักษิณหวังใช้ "ต่อยอด" กับขบวนการรวบอำนาจกฎหมายประเทศ รายงานผลรอบ ๖ เดือนออกมาแล้ว สรุปว่า "การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของปัญหา เกิดจากกรณีของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2544 ในคดี "ซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 2 คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ลงไปวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี ซ้ำศาลรัฐธรรมนูญยังนำเอาคะแนนเสียง 2 เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงจำนวน 6 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่า "ซุกหุ้น" แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศไทย แต่ที่ผ่านมารัฐยังละเลยและไม่ได้เข้าไปตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากลหรือความที่น่ากังขาของเรื่องนี้ ดังนั้น คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง. นี่ไงล่ะ...ทักษิณขออำนาจและความไม่มีคดีความคืน ก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ ประชาชนก็ขอคดีซุกหุ้นคืน ก่อนตุลาการวินิจฉัยผิดหลักกฎหมาย ๓ สิงหา ๔๔!!! อย่างนี้แฟร์มั้ย หรือถูกมาตรฐานสังคมไทย แต่ผิดมาตรฐานสังคมทักษิณ สรุปว่าไม่แฟร์ เพราะอะไรที่ทักษิณเป็นฝ่ายเสียเปรียบ-เสียประโยชน์ ไม่เป็นโอกาสเพื่อเปลี่ยนประเทศให้แดงทั้งแผ่นดินแล้วล่ะก็ ถือว่าไม่เป็นธรรมกับทักษิณทั้งนั้น? ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒ คนตามที่ คอป.กล่าวในบทสรุปนั้นก็คือ นายผัน จันทรปาน และนายจุมพล ณ สงขลา ถ้ายึดตามหลักที่ คอป.สรุป คดีซุกหุ้น ผลจะออกมา ทักษิณผิดตามข้อกล่าวหาด้วยเสียง ๗:๖ ไม่ใช่เอา ๒ เสียงที่ไม่ได้วินิจฉัยคดีไปนับรวมเป็น "วินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง" จนกลายเป็นทักษิณไม่ผิด ๘:๗!!! และความบิดเบี้ยวตรงนั้น จากวันนั้น มันเป็นหัวฝีฝังเนื้อจนสังคมกลัดหนองอยู่ข้างใน มาแตกเอาในปี ๒๕๔๙ และละเลงหนอง-ละเลงเลือดเรื่อยมาจนถึง ณ วันนี้ ก็ยังซึมไหลปรี่ เพราะหัวฝียังไม่ได้บ่งออก เอามั้ยล่ะ...จะนับจุดเริ่มต้น "ความเป็นธรรม" ตรงที่ ๑๙ กันยา ทำไม จะรักความเป็นธรรมกันจริงๆ ล่ะก็ ย้อนไปเริ่มกันที่ต้นเหตุ คือการวินิจฉัยคดีซุกหุ้น ๓ สิงหา ๔๔ โน่นเลย ไม่โสภากว่าหรือ? พระท่านว่า สิ่งใดเกิดแต่เหตุ ถ้าต้องการดับสิ่งนั้น ก็จงดับที่เหตุ ก็ในเมื่อ คอป.สรุปว่า เหตุที่สังคมแตกแยกวันนี้มาจากการตัดสินคดีซุกหุ้น เราก็ดับความแตกแยกสังคมโดยย้อนกลับไปที่คดีซุกหุ้นดีมั้ย นายคณิต ณ นคร เคยเขียนบทความ "การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย" ไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ เมื่อ ต.ค.๔๙ หลายตอน ผู้สนใจหาอ่านไม่ยาก และท่านสรุปไว้ดังนี้ ..........."คดีซุกหุ้น" ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติขึ้นอย่างน้อยสองประการ คือ เกิดการกระทำที่เป็นการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายอยู่หลายการกระทำ และเกิดอิทธิพลของกระแสทางสังคมและของกระแสทางการเมือง ในคดีที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการคู่ประวัติศาสตร์โลก ตกเป็นจำเลยในข้อหากบฏนั้น ได้มีการกระทำความผิด ฐานบิดเบือนกฎหมาย (Rechtsbeugung) เกิดขึ้น และไม่มีการลงโทษผู้พิพากษา ผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด จนกล่าวกันว่าการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายในคดีดังกล่าว เป็นการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียว เพราะหากผู้พิพากษาใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลี่ยงบาลีแล้ว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็จะถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดินเยอรมัน หลังจากพ้นโทษ ซึ่งจะทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่มีโอกาสที่จะฉีกรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นใหญ่ และเมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่อาจฉีกรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นใหญ่ได้ สงครามโลกครั้งที่สองก็จะไม่เกิดขึ้น และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองไม่เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนก็จะไม่ล้มตายกันจำนวนมาก และที่สำคัญคนยิวก็จะไม่ถูกฆ่าทิ้งเป็นล้านๆ คน (ดู คณิต ณ นคร "ศาลรัฐธรรมนูญกับการตีความกฎหมาย" นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 49 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้า 51) สำหรับ "คดีซุกหุ้น" อันมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นทุกคนยึดหลักกฎหมายแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา -"พตท.43" และ "ศอ.บต." ก็คงจะไม่ถูกยุบ -การฆ่าคนทิ้งเป็นพันๆ คน โดยอ้างเรื่องยาเสพติด ก็คงจะไม่เกิดขึ้น รวมทั้งการตายที่กรือเซะ และตากใบด้วย -การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ชัดเจนจนเกิดทางตันทำท่าว่าจะเกิดการฆ่ากันอีกครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็คงจะไม่เกิดขึ้น -"ซีอีโอ" ซึ่งเป็นเรื่องของการบริหารธุรกิจก็คงไม่เกิดขึ้นในระบบราชการไทย -ระบบราชการที่พังพินาศที่กระทรวงกลาโหม และที่อื่นๆ ก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน (ดู วสิษฐ เดชกุญชร "สัญญาณอันตราย ที่กระทรวงกลาโหม" มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 22 กันยายน 2549) -รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนก็คงจะใช้ได้ต่อไปอีกนานหรือตลอดไป แม้อาจจะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกันบ้างก็ตามที -หลังจากการปฏิรูปการเมืองนั้น กติกาของสังคมได้เปลี่ยนไปมากแล้ว หากแต่ความคิดของคนในสังคมไม่ได้เปลี่ยนไปตามการปฏิรูปการเมือง สภาวะที่เหลือเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้หลังจากการปฏิรูปการเมืองที่เรียกกันทั่วไปว่า "ระบอบทักษิณ" ก็คงจะไม่เกิดขึ้นจนส่งผลให้ต้องมีการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายนั้น ไม่ได้เป็นภัยใหญ่หลวงต่อสังคมโลกเท่านั้น แต่เป็นภัยที่ใหญ่หลวงต่อสังคมไทยเราด้วย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องบัญญัติให้การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายเป็นการกระทำที่เป็นความผิดอาญา เพื่อที่จะได้กำราบปราบปรามนักกฎหมายที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยกันได้บ้าง การที่จะเป็นนักกฎหมายสายวิชาชีพ เป็นพนักงานอัยการ หรือเป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้น ผู้เขียนเห็นว่าไม่ได้มีความยากเย็นแต่ประการใด นักกฎหมายเพียงแต่ทำตนเองให้ผ่านตามขั้นตอนให้ได้เท่านั้นก็เป็นได้สมใจอยาก แต่การเป็นนักกฎหมายสายวิชาชีพ เป็นพนักงานอัยการ หรือเป็นผู้พิพากษา หรือตุลาการที่ดีต่างหากที่ดูจะเป็นยากอยู่ไม่น้อย ยิ่งการเป็นครูกฎหมายด้วยแล้วยิ่งจะยากกว่าการเป็นนักกฎหมายสายวิชาชีพ เป็นพนักงานอัยการ หรือเป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการอีกหลายเท่านัก เพราะครูกฎหมายต้องถ่ายทอดวิชาการที่ถูกต้องแก่ศิษย์ และต้องวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ (ดู คณิต ณ นคร "ครูกฎหมาย" นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 35) ในขณะที่เรายังไม่มีความผิดฐานบิดเบือนกฎหมายนั้น นอกจาก "เนติบริกร" แล้ว "นักกฎหมายนาซี" ก็เป็นนักกฎหมายที่สถาบันการเรียนการสอนกฎหมายชอบที่จะต้องตั้งข้อรังเกียจเช่นเดียวกัน (ดู คณิต ณ นคร "กฎหมายราชภัฏกับนักบัญญัตินิยม" นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 41) อนึ่ง ผู้เขียนใคร่ขอกล่าวส่งท้ายด้วยว่า........ กระแสสังคมในบ้านเมืองเราในระหว่างการดำเนิน "คดีซุกหุ้น" นั้น เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมาก จนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเกิดความหวั่นไหวเลยทีเดียว ท่านผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของบ้านเมืองบางท่าน และเป็นที่เคารพนับถือของคนในสังคม ก็เข้าใจผิดในพฤติกรรมของบุคคล และให้การสนับสนุนบุคคล โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมายอันเป็นหลักของบ้านเมือง บัดนี้ ท่านผู้ใหญ่ดังกล่าวน่าจะมีความเสียใจอยู่ไม่น้อยเลย. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 ธันวาคม 2554, 11:20:01 จดหมายถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
6 ตุลาคม 2547 พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่ ลูกพ่อ ในพื้นแผ่นดินนี้ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้วทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือ ความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้มีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้ พ่อขอบอกลูกดังนี้... 1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต 2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม 3. มีความสันโดษ คือ -มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย -ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง -พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน -ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน 4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า.มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า 'ชั่งมัน' พ่อ 6/10/2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปรารถทิ้งท้าย ***ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน ฉันรัก พ่อฉันจัง สิรินธร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 ธันวาคม 2554, 22:19:28 “ศิริโชค” ยันเครื่องสนิฟเฟอร์แค่ดักข้อมูลขัด รธน.ชัด ซัดไอซีทีไม่จริงจังหวั่นกระทบฐาน พท.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ รมว.ไอซีทีเงา แขวะ “อนุดิษฐ์-เฉลิม” รู้เรื่องคอมพ์น้อยมาก ยันเครื่องตัดสัญญาณเว็บไซต์แค่ดักจับข้อมูล ชี้ ทำไม่ได้แน่เหตุขัด รธน.ละเมิดสิทธิประชาชน ชี้ ปัญหาเหตุไอซีทีไม่จริงจัง เหตุพวกหมิ่นฐานเสียงพรรครัฐ วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ในฐานะ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศเงา (ไอซีทีเงา) พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ขออนุมัติเงินจากคณะรัฐมนตรีซื้อเครื่องตัดสัญญานเว็บไซต์ผิดกฎหมาย(SNIFFER) ราคา 400 ล้านบาท ว่า ตนรู้สึกเห็นใจ ทั้ง นายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีทีและ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์น้อยมาก ตนจึงอยากอธิบายคร่าวๆ เพื่อทั้งสองจะได้ไม่ไปโชว์ความรู้ให้เป็นที่อับอายต่อสาธารณชนอีกต่อไป นายศิริโชค กล่าวว่า โดยหลักการแล้ว การบล็อกเว็บที่ทำผิดกฎหมายเป็นหน้าที่ของกระทรวงไอซีทีที่ต้องประสานกับผู้ให้บริการทางอินเทอร์เนต (ISP) โดยกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้ให้ข้อมูล ว่า IP ไหนที่ทำผิดกฏหมาย และ ISP จะเป็นผู้บล็อก IP หรือเว็บดังกล่าว มิได้มีเครื่องมือวิเศษตามความเข้าใจที่ ร.ต.อ.เฉลิม แต่อย่างใด ขณะที่เครื่อง SNIFFER ราคา 400 ล้านบาทนั้น เป็นการนำฮาร์ดแวร์ไปติดตั้งตามท่อ หรือช่องสัญญาณของทุก ISP ที่มีจุดเชื่อมออกจากประเทศไทยไปสู่ต่างประเทศเพื่อดักจับข้อมูล และเมื่อได้ข้อมูลผู้กระทำความผิดจึงนำไปแจ้งกับ ISP เพื่อบล็อกเว็บดังกล่าว หรือนำข้อมูลไปตามจับคนที่กระทำความผิดต่อไป แต่ปัญหาคือ กระทรวงไอซีทีไม่มีอำนาจในการนำเครื่องดังกล่าวไปติดตาม ISP เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ “ปัญหาบล็อกเว็บไซต์ผิดกฎหมายปัญหาไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือ แต่เป็นเพราะกระทรวงไอซีทีไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันประชาชนก็ทำหน้าที่เป็นเครื่อง SNIFFRER คอยแจ้งรายละเอียดบรรดาเว็บที่หมิ่นสถาบันอยู่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะกลุ่มที่มีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันนั้น เป็นกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เท่ากับเป็นการทำลายฐานเสียงตัวเอง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจัง และอย่าปล่อยให้ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และ นายอนุดิษฐ์ โชว์ความไม่รู้ เพราะจะทำให้ศรัทธาที่มีเหลืออยู่น้อยเต็มทีต้องหมดไป ถึงเวลาที่จะให้ผู้มีความรู้มาให้คำปรึกษา เพื่อรักษาระบบนิติรัฐ และอย่าให้เป็นคณะรัฐมนตรีโจ๊ก” รมว.ไอซีทีเงา กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 ธันวาคม 2554, 22:30:44 การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 14 ธันวาคม 2554 13:48 'อากงปลงไม่ตก'เปิดคำเฉลย!ที่มาแห่งคดีโดยโฆษกศาล โดย : สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม "คดีอากง" โฆษกศาลยุติธรรม ตอบ 5สงสัย ความผิดตามมาตรา 112 หลังกระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจ พลันสิ้นคำอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.311/2554 ระหว่างพนักงานอัยการฯ โจทก์ นายอำพล ตั้งนพคุณ จำเลยอายุ 61 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดง ความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2)(3) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า “คดีอากง” กระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจเหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาท่วมศาลและกระบวนยุติธรรมเช่นน้ำท่วมกรุงเทพฯที่ผ่านมา รวมทั้ง ต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใย วิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นักแต่ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ ซึ่งการนิ่งเฉยของศาลและกระบวนยุติธรรมมิได้มีค่าเป็นตำลึงทองเสียแล้ว ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำความจริงบางประการในท้องสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเฉลยเอ่ยความ เพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ซึ่งมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันดังนี้ 1. อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก 2. ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป 3. อากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว 4. ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล 5. ควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์ ในข้อแรก ผู้ที่เห็นว่า อากงมิได้กระทำความผิดนั้น หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยากสักหน่อย เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิดเพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไปดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ข้อต่อมา ที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง ข้อสอง คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี ข้อสาม แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 ,มาตรา 108/1 ข้อสี่ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ19 ว่า 1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง 2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก 3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น (ก) เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น (ข) เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ 17 ซึ่งกำหนดว่า “1. ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัวหรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง 2. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น” ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯ ให้การยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิ ในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR เป็นสนธิสัญญา พหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศและภาคี 167 ประเทศ ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน...” นอกจากนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421ก็บัญญัติว่า การใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอ ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อห้า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้หรือ ต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหาเช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ดหรือ ข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้ คดีอากง เป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้ ดังนั้น หากท่านผู้อ่านอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรงโดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 ธันวาคม 2554, 21:00:52 สถานทูตมะกันวอนชาวเฟซฯ หยุดข่มขู่-หยาบคาย หลังโดนถล่มหนักแส่ ม.112
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ หน้าบล็อก Canไทเมือง ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น ที่ชักชวนให้แสดงความคิดเห็นไม่พอใจต่อท่าทีของสหรัฐฯ กรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย เฟซบุ๊กสถานทูตอเมริกันประจำประเทศไทย ขึ้นข้อความพร้อมรับความเห็นต่าง แต่วอนอย่าใช้คำหยาบคายรุนแรงข่มขู่ หลังโดนคนไทยถล่มหนัก กรณีโฆษก กต.สหรัฐฯ และเอกอัครราชทูตฯ ประจำประเทศไทย แสดงความเห็นแทรกแซงการดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง ตาม ม.112 วันนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. เฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ขึ้นข้อความเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใจความว่า “เรียนเพื่อนๆ ชาวเฟซบุ๊ก เรายินดีรับมุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายบนหน้าเฟซบุ๊กต่างๆ ของเรา เพียงแต่อยากขอให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจกับเงื่อนไขในการให้บริการเฟซบุ๊กของเรา และโปรดงดเว้นการใช้ภาษาที่หยาบคาย รุนแรง หรือข่มขู่” ก่อนหน้านี้ ในหน้าเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาดังกล่าว มีสมาชิกเฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วย ต่อกรณีที่ นายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ว่า มีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้ สมาชิกเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ที่เข้ามาโพสต์ได้แสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ในเชิงชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างระบอบการปกครองของไทยและสหรัฐฯ และแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา อาทิ “อเมริกา คุณคิดว่าคุณเป็นผู้จัดการของโลกนี้หรืออย่างไร คุณเที่ยวไปแทรกแซงกิจการของประเทศโน้นประเทศนี้ มันกงการอะไรของคุณ ประเทศคุณไม่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ และดีงามเหมือนประเทศไทย เพราะประเทศคุณไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ก็เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ เรามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของเราเอง เพราะพระมหากษัตริย์ ประเทศคุณเสียอีก ชื่อประเทศอเมริกา แต่ใช้ภาษาของประเทศอังกฤษ คุณแทรกแซงเรื่องอื่นเราทนได้ แต่อย่ามาแทรกแซงเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของเรา” บางข้อความระบุว่า “คราวที่ นางยิ่งลักษณ์ มีหวังได้เป็นนายกฯ ยังไม่ทันได้แต่งตั้ง นางคริสตี้ก็รีบออกมาเชียร์สุดๆ แต่ตอนที่นางยิ่งลักษณ์บริหารงานน้ำท่วมแบบเลวทราม เดือดร้อนไปทั่ว นางคริสตี้ เงียบ พอประเทศเกาหลีเขียนแปลนสร้างตึกแฝด คล้ายตึกเวิลด์เทรดถูกชนก็โวยวาย หาว่าทำร้ายจิตใจ ทีเรื่องของตนเองรับไม่ได้ แล้วมา***อะไรกับความรู้สึก และกฎหมายของประเทศอื่น ลองนับดูว่า จริงๆ แล้วใครบ้างในโลกนี้ที่ไม่เกลียด U.S.A.ที่เขาเหล่านั้นยังคงคบค้าสมาคม เพราะไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เหตุใดจึงมักเกิดเภทภัยที่ถูกเรียกว่า “ก่อการร้าย” ต่อสถานทูต และคนอเมริกันทั่วโลก ทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ก็คือ สิ่งเดียวกับที่ประเทศนี้ไปทำไว้ในหลายๆ ที่บนโลก แล้วมักอ้างว่านั่นคือ การปราบผู้ก่อการร้าย และขอสาปแช่งให้เจออีกเรื่อยๆ” จากการตรวจสอบต้นตอของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น พบว่า ในเว็บไซต์โอเคเนชั่น บล็อกเกอร์ที่ชื่อว่า “Canไทเมือง” ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ “ก่อนเดินไปประท้วงสถานทูตอเมริกาพรุ่งนี้ วันนี้เชิญชวนชาวเน็ตไปบอกท่านทูตใน Wall ของ US Embassy Bangkok” เมื่อเวลา 17.00 น.ของวันที่ 14 ธ.ค.โดยระบุว่า “ชวนกันไปแสดงความเห็นใน wall ของท่านทูตอเมริกา ผมไปมาแล้ว คุณไปเขียนหรือยัง” ก่อนจะอ้างถึงข้อความที่ตนนำไปโพสต์ “อย่าเสนอความเห็นทางกฎหมายที่เสมือนว่าไทยเป็นบริวารของอเมริกา เราเป็นรัฐอิสระ มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับอเมริกา เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าประเทศของคุณเพราะฉะนั้นอย่าเอาความรู้สึกของประเทศสาธารณรัฐ มาตัดสินประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรารักประชาธิปไตยพอๆ กับรักประมุขของเรา และที่สำคัญเรามีกระบวนการทางยุติธรรมที่เป็นสากล” หลังจากที่ผู้ใช้นามแฝงคนดังกล่าวโพสต์ข้อความออกไป ปรากฏว่า หลังจากนั้น มีผู้เข้าชมบล็อกดังกล่าว ตามไปโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจที่เฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นจำนวนมาก กระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนในเฟซบุ๊กดังกล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 ธันวาคม 2554, 22:07:17 'วันเผด็จศึก' ของกองทัพทักษิณ
เปลว สีเงิน thaipost.net 14 ธันวาคม 2554 - 00:00 ขณะที่ประชาชนโรยแรง แต่ประชาโจรกลับเข้มแข็ง "ด้วยอำนาจรัฐ" ขึ้นทุกวัน พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก โคจรขึ้นสูงเป็น "ตะวันตรงหัว" แล้วค่อยๆ คล้อยจมหายไปทางทิศตะวันตก แท้จริงแล้วพระอาทิตย์ไม่ได้จมหายไปไหน หากแต่โลกหมุนรอบดวงไฟจึงเห็นไปเช่นนั้นเอง อำนาจก็เช่นกัน ไม่หายไปไหน แต่การใช้อำนาจด้วยสัตย์หรืออสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองตะหากที่จะชักลากผู้ใช้เป็นดวงไฟสว่างจ้า หรือจมหาย...ใต้ธรณี!? ทุกวันนี้ บางคน-บางหมู่คณะก็สะสมความดีจากการกระทำเป็นบารมีทั้งกับสังคมชาติ และกับหมู่คณะตัวเอง แต่บางคน บางหมู่คณะก็ใช้โอกาสที่มีกระทำแต่อนันตริยกรรม สะสมความเป็นสิ่งชั่วให้กับทั้งตัวเองและหมู่คณะ โดยมองข้ามสัจธรรมที่ว่า ผลเกิดจากเหตุ ถ้าสร้างเหตุดี ผลที่ได้รับย่อมดี แต่ถ้าสร้างเหตุไม่ดี ผลที่ออกมาและตัวเองจะต้องเป็นผู้ได้รับ ก็ย่อมไม่ดี! ฝากนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ฝาก ครม.และหมู่คณะยิ่งลักษณ์ ทั้งที่แสดงอยู่หน้าม่าน และชักใยอยู่ตามตำแหน่งทั้งที่เปิดเผยเป็นทางการ และไม่เปิดเผยเป็นทางการ ไม่ว่าซุกอยู่ตามบ้านพิษณุโลก ตามทำเนียบฯ ตามกระทรวงต่างๆ ได้ตระหนัก ก่อนทุกอย่าง "สำนึกได้ก็...สายเสียแล้ว"! ความรู้จากการเรียนมาก-ฉลาดด้วยเล่ห์มาก เมื่อมีโอกาส มีอำนาจ อาจทำให้ร่ำรวย ทำให้ได้ดีมีสุขก็จริง แต่เป็นสุขร้อน จะทุกข์นาน ทรมานด้านจิตวิญญาณจนตาย ต่างกับความสำนึกดี กระทำซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองและต่อชาติกำเนิดของตน เป็นสุขเย็นยั่งยืน สุขด้วยจิตวิญญาณไม่ฝืนคุณธรรม-มโนธรรมสำนึกในความเป็นคน! แต่ทักษิณล่ะ... ขณะนี้ "สุขร้อน" หรือ "สุขเย็น"? เพราะเห็นยึดฤกษ์ "ดวงเมืองแตก" ตั้งเข็ม-เร่งเครื่องเต็มพิกัด ถึงขนาดบินจากดูไบมาเลาะรายรอบเขตประเทศ มาจีนบ้าง ฮ่องกงบ้าง บรูไนบ้าง สิงคโปร์บ้าง และฟังจากข่าวคราว-วันนี้ (๑๔ ธ.ค.) จะมาปักหลักบัญชาการ สั่งงานในภารกิจแตกหักอยู่ที่เขมร งานแต่งงานลูกสาววานซืน ข่าวบอกว่าถ่ายทอดบรรยากาศสดในงานทุกตารางเมตรส่งตรงไปยังสิงคโปร์ อ้างว่าเพื่อให้พ่อได้ชื่นชมเหมือนร่วมอยู่ในงาน แต่ในมุมคิดผม นั่นก็ความจริงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน คนเป็นพ่อต้องการเอกซเรย์พื้นที่ตะหากว่า....มีใครบ้าง มา-ไม่มาในงาน! แน่ละ...กลุ่มเป้าหมาย-ที่มา และกลุ่มเป้าหมาย-ที่ไม่มา จะช่วยให้การคิดคำนวณต่างๆ ของทักษิณ รวมถึงการจัดหมวดหมู่ของเขาชัดเจนขึ้น ตามทัศนคติของเขา การเหิมกล้า กร่างประกาศด้วยศักดาของคนหมู่คณะเพื่อไทยทำนองว่า เปิดสภา ๒๑ ธันวา คือวันปฏิบัติการ The Longest Day ของพวกเขา ด้วยหัวข้อภารกิจจำเพาะ น่าสนุกนัก ๑.แก้รัฐธรรมนูญ นำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็น "รัฐธรรมนูญทักษิณ" ใช้แทนรัฐธรรมนูญประเทศฉบับปัจจุบัน ๒.แก้ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อต้องการให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเข้าไปเอาคนนั้น-คนนี้ตามที่ตัวต้องการไปอยู่ในตำแหน่งนั้น-ตำแหน่งนี้ได้ ก็ชัดเจนดังที่นางธิดา "เมีย ส.ส.เหวง" หัวหน้า นปช.เคยประกาศว่า “กฎหมายนี้ที่ออกในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ขัดขวางไม่ให้พรรคการเมืองมีอำนาจโยกย้ายข้าราชการทหารได้ ตัดไม่ให้กองทัพยึดโยงกับอำนาจประชาชน ถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พ.ร.บ.ฉบับนี้เกิดขึ้นไม่ได้แน่” แต่ดูเหมือนว่า พ.ร.บ.กลาโหมนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติคงคาดคำนวณล่วงหน้าแล้วว่า...สักวัน ฝ่ายการเมืองจะต้องแก้ เขาจึงเขียนเป็นมาตรา ๔๓ (๕) เป็นการปิดทาง เพื่อไม่ให้การเมืองใช้อำนาจแก้ได้เพื่อตัวเอง ดังนี้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๔๓ ในการดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเรื่องดังต่อไปนี้ต้องเป็นไปตามมติของสภากลาโหม (๑) นโยบายการทหาร (๒) นโยบายการระดมสรรพกำลังเพื่อการทหาร (๓) นโยบายการปกครองและการบังคับบัญชาภายในกระทรวงกลาโหม (๔) การพิจารณางบประมาณการทหาร และการแบ่งสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหม (๕) การพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการทหาร (๖) เรื่องที่กฎหมายหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดให้เสนอสภากลาโหม นั่นหมายความว่า ถึงรัฐมนตรีกลาโหมจะทักษิณจ๋า แต่ก็ไม่มีอำนาจเสนอแก้ได้ด้วยอำนาจตัวเอง จะเสนอแก้ได้ต้อง...เป็นไปตามมติสภากลาโหม! แล้วมาตรา ๒๕ ของ พ.ร.บ.กลาโหม เรื่องการบริหารจัดการกำลังพล กรณีการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงและส่วนราชการในกองทัพไทย ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการจำนวน ๗ คนที่มีการแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ๑.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ๒.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ๓.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ๔.ผู้บัญชาการทหารบก ๕.ผู้บัญชาการทหารเรือ ๖.ผู้บัญชาการทหารอากาศ ๗.ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการและเลขานุการ และข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๙ ระบุถึงการวินิจฉัยชี้ขาดมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งทหารชั้นนายพลว่า ให้ถือเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มาประชุม และถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด เมื่อดูตาม พ.ร.บ.แล้ว พูดได้คำเดียวตราบใดที่ ผบ.เหล่าทัพแพ็กกันเป็น "สามัคคี ๔ เหล่า" ยากที่ฝ่ายการเมืองจะเข้ามาบงการเรื่องแต่งตั้ง-โยกย้ายในกองทัพแบบ "จัดแถวอำนาจกองทัพเพื่อสนองอำนาจการเมือง" ถ้าจะแก้ให้ได้จริงๆ ก็ไม่ยาก เพียงฝ่ายการเมืองทำให้กองทัพแยกเป็น "แตกสามัคคี ๔ เหล่า" นั่น...ทุกอย่างจะอยู่ในกำมือทันที กองทัพไทยจะเป็น "กองทัพทักษิณ" ได้ในฉับพลัน มีเงินเป็นแสนๆ ล้าน นึกว่าทำได้ ก็ทำเถอะเพื่อน! เหมือนพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธ ต้องการยึดแคว้นวัชชีของกษัตริย์ลิจฉวี ทำยังไงก็ยึดไม่ได้ เพราะหมู่มุขเสนามหาอำมาตย์ของแคว้นวัชชีมีความสามัคคีเป็นปึกแผ่น ประชุมปรึกษาหารือกันทุกกิจการบ้านเมือง ด้วยยึดประโยชน์แผ่นดินและประชาชนเป็นหลักชี้ขาด สุดท้าย พระเจ้าอชาตศัตรูก็ใช้แผนเนรเทศ "วัสสการพราหมณ์" ออกจากแคว้น วัสสการพราหมณ์ก็ไปเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวี อาศัยที่เป็นพราหมณ์ช่ำชองในศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ กษัตริย์ลิจฉวีเลยให้อยู่ด้วย แล้ววัสสการพราหมณ์ก็ค่อยๆ ยุแหย่ เสี้ยมหมู่มุขเสนามหาอำมาตย์คนโน้นที-คนนี้ทีให้แตกแยก สุดท้าย สภากลาโหมแคว้นวัชชีแตกแยกกัน หมดสามัคคี ทิ้งแป้งจี่หันมากินเกาเหลา เมื่อแตกได้ที่แล้ว เจ้าวัสสการพราหมณ์ก็ส่งซิกให้พระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพไปตีเมืองเวสาลีด่านหน้า และเข้ายึดแคว้นวัชชีได้สำเร็จในที่สุด! นี่...จะแก้ พ.ร.บ.กลาโหม น้องปู-พี่แม้ว และคณะเพื่อไทย ต้องใช้ความร่ำรวยนับแสนๆ ล้านส่ง "วัสสการพราหมณ์ ๒๕๕๔" เข้าไปปลุกปั่น ยุยง ใส่ฟืน ใส่ไฟ ให้ ผบ.เหล่าทัพหวาดระแวงกัน บาดหมางใจกัน ละโมบในอำนาจและลาภยศกัน จน "สภากลาโหม" แตกสามัคคีนั่นแหละ ยึดกองทัพไปเลย ไม่ต้องแก้ พ.ร.บ.ให้เมื่อยตุ้มหรอก ถ้าแบบนั้น! เอ้า...ข้อ ๓ บ้าง ข้อสามก็คือ ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ต้องอ้อมเขาพระสุเมรุหรอก พูดกันให้ตรงไปเลย ออกกฎหมายเพื่อ "ทักษิณคนเดียว" พ้นจากโทษทัณฑ์และคดีความทั้งปวง วันนี้ ๑๔ ธันวา ทักษิณเคลื่อนมาอยู่เขมรแล้ว สมุนหน้าไหนจะคลานไปกราบกรานกอบขี้ตีนทักษิณใส่หัวเพื่อความเป็นอวมงคลกับตนเองและวงศ์ตระกูล ก็รีบไป แบบนี้เท่ากับ แบไพ่เล่น เปิดหน้าชกกันแล้ว! ทักษิณก็จัดเต็ม คณะพรรคก็จัดเต็มพลันที่สภาเปิด กระทั่ง ฮุน เซน ก็เปิดหน้าชกกับประเทศไทย อะร้าอร่ามให้ทักษิณใช้ประเทศเขมรเป็นฐานบัญชาการ และสั่งงานขยี้ขยำยึดประเทศ โดยไม่คำนึงถึงกรอบปฏิบัติของความเป็นประเทศหนึ่ง ที่พึงทำและไม่พึงทำกับประเทศหนึ่ง ก็ดี แยกมิตร-แยกศัตรู, แยกหมู่-แยกจ่า กันให้ชัดเจนลงไป ประเทศไทย "ไม่เข้าตาจน" อย่างที่สถุลชนประเมิน-ประมาณ ด้วยสันดานต่ำกันเช่นนั้นหรอก. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 12:45:56 (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd124748_654105_3671349_544386photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 13:05:29 วันนี้มีแต่เรื่องเลวๆๆ
ปึ้งยกเลิกคำสั่งถอนพาสปอร์ตแดง 16 ธันวาคม 2554 posttoday.com. สุรพงษ์รับยกเลิกคำสั่งถอนพาสปอร์ตแดงทักษิณ ลั่นอยู่ต่างชาติไม่สร้างความเสียหายต่อปท.-ตปท ท้าฝ่ายค้านอยากตรวจสอบให้ใช้เวทีสภาฯ เมื่อเวลา 12.00 น. นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการคืนหนังสือเดินทางเล่มแดงคืนให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องดังกล่าว กรมการกงศุลได้ทำหนังสือผ่านปลัดกระทรวงต่างปะเทศมาถึงตน เรื่อง “พ.ต.ท.ขอทำหนังสือเดินทางแบบธรรมดา” ผ่านเอกอัคราชทูตประจำกรุงอาบูดาบี แต่กรมการกงศุลได้ชี้แจ้งว่าหนังสือเดินทางแบบธรรมดาได้ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ 12 เม.ย. 54 ตามนโยบายของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยคำสั่งของ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ ข้อที่ 23 (7) ระเบียบกระทรวงต่างประเทศ ว่าด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหนังสือเดินทางได้ หากผู้ถือยังอยู่ในต่างประเทศซึ่งอาจก่อนให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ตนและรัฐบาลพิจารณาและเห็นว่าการอยู่ต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ก่อความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น ตนจึงสั่งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การออกหนังสือเดินทางธรรมดา จะเป็นเรื่องของกระทรวง และกรมการกงศุลพิจารณาตามระเบียบต่อไป “ผมจะให้ข่าวครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากจะเสียเวลา เพราะมีหน้าที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตนจะต้องเตรียมงานให้นายกฯ เพื่อไปเยือนประเทศอินเดียและพม่า เพื่อส่งเสริมการค้าขายและสร้างความรุ่งเรืองให้กับประเทศ” นายสุรพงศ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า คำร้องของคนไทยในต่างประเทศ ตนให้ความสำคัญทุกเรื่อง ส่วนการออกหนังสือเดินทาง จะเป็นขั้นตอนของข้าราชการที่จะดำเนินต่อไป อย่างไรก็ดี หากฝ่ายค้านต้องการตรวจสอบก็ให้ใช้เวทีสภา และตนพร้อมที่จะตอบทุกคำถาม แต่ต้องทำให้ถูกต้อง และยืนยันว่าตนทำตามระเบียบข้อบังคับของกระทรวงทุกขั้นตอน ถ้าอยากฟ้องก็เชิญ ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องก็รอให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบ ส่วนการที่มีข่าวปรากฏว่าตนไปประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรต หรือ (ดูไบ) นั้น ยืนยันว่าตนอยู่ที่ประเทศอาบูดาบีไม่ได้ไปดูไบ การให้ข่าวแบบนี้เป็นการนำเรื่องมาปะติดปะต่อและโกหก ทั้งนี้ เราเสียเวลากับเรื่องแบบนี้มามากพอแล้ว ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่ามีการถอนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากแบล็กลิสหรือยัง โดยนายสุรพงศ์ ไม่ได้ตอบข้อซักถาม เพียงแต่ยืนยันว่าทำถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงทุกอย่าง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 22:46:40 ตุลย์'นำประท้วงหน้าสถานฑูตอเมริกา เหตุวิจารณ์ม.112 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เครือข่ายสยามสามัคคียื่นหนังสือสถานฑูตอเมริกา ที่ฑูตสหรัฐฯและโฆษกต่างประเทศเอเซียตะวันออกแสดงความคิดเห็นต่อกฏหมายม.112ตัดสิน"โจ กอร์ดอน" วันนี้(16ธ.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเครือข่ายสยามสามัคคี นำโดยนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ประท้วงและยื่นหนังสือสถานทูตอเมริกา กรณีนายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่ามีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 ธันวาคม 2554, 22:51:55 สมชาย : สหรัฐอย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สมชาย แสวงการ ให้สัมภาษณ์เรียกร้องเอกอัครราชทูตสหรัฐ อย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย เผยเตรียมทำจดหมายทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย และการปกป้องสถาบัน สมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ เรียกร้องเอกอัครราชทูตสหรัฐ อย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย สมชาย เล่าประสบการณ์ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ว่า ผมคือคนที่สถานทูตสหรัฐเชิญให้ไปศึกษาดูงานสิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญ ของสหรัฐหลายรอบ ทำให้ผมทราบว่า สหรัฐเองต่างหากที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นคนอื่นบ้าง ในฐานะ รองประธานกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ วุฒิสภา สมชาย เล่าว่า วันนี้มีการประชุมกันในกรรมาธิการทุกคนเห็นตรงกันว่า จะทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย คริสตี้ เคนนี่ย์ เพราะเราเห็นว่าเป็นทูตคนใหม่ที่เพิ่งจะมาประจำประเทศไทย อาจจะต้องทำความเข้าใจใหม่ ทำความเข้าใจการปกครองของไทยตั้งแต่ปี 2475 เราเรียกการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกฎหมายคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 'ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' มาตรา 3 'อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม' เรามีรัฐธรรมนูญคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ก็เหมือนกับสหรัฐ ที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญไว้คุ้มครองผู้นำตัวเอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไทยเราใช้คุ้มครองผู้นำของไทย เหมือนเขาคุ้มครองประธานาธิบดี โอบามา รองประธานกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ วุฒิสภา กล่าวถึงการที่สหรัฐออกมาแสดงความเป็นห่วงเสรีภาพในประเทศไทย นั้น ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ยืนยันว่า ประเทศไทยมีเสรีภาพเหลือล้นมากกว่าสหรัฐ เพราะขนาดเหตุการณ์เสื้่อเหลือง เสื้อแดง ชุมนุมมีการถ่ายทอดสด ขณะที่สหรัฐ ถ่ายทอดสดการชุมนุมทางการเมืองไม่ได้ หรือการชุมนุมพักค้างอ้างแรม สหรัฐทำไม่ได้ สิ่งที่สหรัฐทำไม่ได้ คือชุมนุมแล้วปลุกระดมให้คนเผาบ้านเผาเมือง หรือวางระเบิด ยิงเอ็ม 79 กลางเมืองหลวง สหรัฐทำไม่ได้ แต่ประเทศไทยทำได้ และทำมาแล้ว ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ สหรัฐแค่เดินเข้าไปหน้าทำเนียบขาว ยังโดนหิ้วไปขัง หรือเหตุการณ์ 911 คนที่จะเข้าสหรัฐ ถูกจับแก้ผ้ามากต่อมาก สหรัฐจึงเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ในการตรวจค้นคนต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสหรัฐ หรือในกรณีการทำสงครามอีรัก สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ห้ามเสนอข่าวบางเรื่อง แต่ประเทศไทยกำลังสำลักเสรีภาพ เรามีวิทยุชุมชนกว่าหมื่รนสถานี มีมากว่าสหรัฐ นายสมชาย กล่าวว่า การที่ไทยจะปกป้องมาตรา 112 ก็คือการปกป้องผู้นำ เหมื่อนคุณปกป้องผู้นำคุณเอง เอกอัครราชทูตสหรัฐต้องเข้าใจความหลากหลาย เรามีจารีต มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกฎหมายไว้ปกป้อง แต่ประเทศคุณ การเดินทางมาประเทศไทย ต้องส่งเครื่องบินมาล่วงหน้า ส่งรถลีมูซีน ส่งอาวุธหนักเข้ามา ยิ่งกว่าสงคราม เพื่ออะไร เพื่อคุ้มกันผู้นำของคุณ เวลานอนโรงแรม แขกคนอื่นยังถูกห้ามเข้าไปกินอาหารห้องเดียวกันกับผู้นำของคุณ เพราะคุณต้องการพิทักษ์ผู้นำประเทศคุณ ดังนั้น คุณต้องเคราพประเทศอื่นที่มีความหลากหลายทางขนบธรรมเนียม การอ้างการใช้สิทธิมนุษยชนตามหลักสหประชาชาติ แต่นั่นจะต้องไม่ละเมิดกฎหมายภายในประเทศ นั้นๆ ด้วย ผมยกตัวอย่างประเทศสหรัฐ ที่อ้างตนเองว่าเป็นประเทศที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน มีกรณี เด็กหนุ่มชาวอังกฤษ ลุค แองเจิล วัย 17 ปี ส่งอีเมล์ไปด่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เขาด่า โอบามาว่า "พริก" คำเดียวเท่านั้น สหรัฐให้ตำรวจอังกฤษไปจับ ลุค แองเจิล แต่ตำรวจอังกฤษก็ไม่ได้ตั้งข้อหาใดกับเด็กหนุ่มคนนี้ สหรัฐต่างหากที่ติดแบล็คลิสต์ห้าม ลุค แองเจิล เข้าสหรัฐตลอดชีวิต อย่างนี้จะเรียกว่าเคารพการแสดงความคิดเห็นตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เอกอัครราชทูตสหรัฐ ได้โปรดศึกษาวัฒนธรรมประเทศอื่นด้วย เพราะเสรีภาพที่คุณอ้างถึงนั้น ประชาชนคนไทยเห็นแล้วไม่สบายใจกับการละเมิดความรู้สึกของคนไทย และเราในนามกมธ. วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา จะทำหนังสือแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงนี้ทั้งหมด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 ธันวาคม 2554, 14:28:15 ย้อนรอยคดีหมิ่นประธานาธิบดี-“อเมริกา”ดินแดนแห่งเสรีภาพจริงหรือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ย้อนรอย 2 คดีดัง ปมคำถามอเมริกาดินแดนแห่งเสรีภาพจริงหรือไม่ เมื่อหนุ่มมะกันเขียนบทกวีข่มขู่ “โอบามา” เจอคุก 33 เดือน ขณะที่เด็กวัยรุ่นอังกฤษส่งอีเมล์ไปยังทำเนียบขาวตอนเมา เรียกประธานาธิบดีเป็นอวัยวะเพศชาย ถูกห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตลอดชีวิต ขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาพยายามแสดงความเห็นห่วงต่อการดำเนินคดีผู้กระทำผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในไทย ในทำนองที่ว่าเป็นการกำจัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐสนับสนุนให้มีเสรีภาพในการแสดงออกในทุกประเทศทั่วโลก และถือว่าเสรีภาพนี้เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ นั้น แต่ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็มีกฎหมายที่เอาผิดกับคนที่ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน โดยมีกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งศาลในมลรัฐเคนตักกีได้สั่งจำคุกผู้ที่เขียนบทกวีข่มขู่นายบารัก โอบามาเป็นเวลาถึง 33 เดือน มากกว่ากรณีนายโจ กอร์ดอน ที่ถูกตัดสินจำคุกในไทยตามมาตรา 112 ด้วยซ้ำ คดีดังกล่าว ศาลในเมืองหลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนตักกี ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2553 ให้จำคุกนายจอห์นนี่ โลแกน สเปนเซอร์ ชาวเมืองหลุยส์วิลล์ วัย 28 ปี เป็นเวลา 33 เดือน ด้วยข้อหาข่มขู่นายบารัก โอบามา กรณีที่นายสเปนเซอร์ได้เขียนบทกวี 16 บรรทัด ซึ่งมีเนื้อหาบรรยายถึงการใช้ปืนสไนเปอร์ลอบยิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์แห่งหนึ่ง สื่อต่างประเทศรายงานว่า นายสเปนเซอร์ได้กล่าวคำขอโทษต่อกรณีที่เขาได้เขียนบทกวีดังกล่าว และให้การว่า ขณะที่เขาเขียนบทกวีนั้น เป็นช่วงที่เขาอยู่ในภาวะโศกเศร้าเพราะการเสียชีวิตของมารดาและได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเชิดชูคนผิวขาว (white supremacist) ซึ่งช่วยให้เขาเลิกยาเสพติดได้ ผู้พิพากษาโจเซฟ เอ็ช.แม็กคินลีย์ จูเนียร์ ได้ตัดสินว่าบทกวีของนายสเปนเซอร์คือสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด จึงถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 33 เดือน และจะถูกคุมประพฤติอีก 3 ปีหลังพ้นโทษจำคุกแล้ว สำหรับบทกวีของนายสเปนเซอร์ที่ชื่อ“สไนเปอร์”นั้นเคยถูกโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ NewSaxon.org ของกลุ่ม white supremacist ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนาซีใหม่ เมื่อปี 2550 และถูกโพสต์ขึ้นอีกครั้งในปี 2552 หลังจากนายโอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ซึ่งจากการติดตามของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ทำให้สามารถจับกุมตัวนายสเปนเซอร์ได้เมื่อต้นปี 2553 โดยบทกวีดังกล่าว ได้พรรณาว่ามือปืนได้สาดกระสุนปลิดชีวิต “ทรราช” ซึ่งต่อมาได้ระบุชัดเจนว่าเป็นประธานาธิบดี ทำให้เขาถูกตั้งข้อหาจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ว่า กระทำการข่มขู่ประธานาธิบดีและข่มขู่เอาชีวิตหรือทำร้ายร่างกายผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งข้อหาข่มขู่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น ถือเป็นข้อหาร้ายแรงมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี และปรับสูงสุด 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,500,000 บาท (เจ็ดล้านห้าแสนบาท) คดีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่ โดยฝ่ายที่ปกป้องนายสเปนเซอร์ให้เหตุผลว่า ข้อความในบทกวีของนายสเปนเซอร์เพียงแค่แสดงความไม่พอใจเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายอัยการระบุว่าข้อความที่ว่า “คนผิวดำต้องตาย” (DIE negro DIE) นั้น เพียงพอแล้วที่จะยกเลิกการให้เสรีภาพในการพูดแก่นายสเปนเซอร์ บทกวี "THE SNIPER" โดย Johnny Spencer "As the tyrant enters his cross hairs the breath he takes is deep His focus is square on the target as he begins to release A patriot for his people he knows this shot will cost his life But for his race and their existence it is a small sacrifice The bullet that he has chambered is one of the purest pride And the inspiration on the casing reads DIE negro DIE He breathes out as he pulls the trigger releasing all his hate And a smile appears upon his face as he seals that monkey's fate. The bullet screams toward its mark bringing with it death And where there was once a face there is nothing left Two blood covered agents stare in horror and dismay Looking down toward the ground where their president now lay Now the screams of one old negro broad pierces thru the air Setting off panic from every eyewitness that was there And among all the confusion the hero calmly slips away Laughing for he knows there will be another negro holiday” ลิงก์อ้างอิง -http://www.huffingtonpost.com/2010/12/06/johnny-logan-spencer-obama-threat_n_792894.html -http://whitereference.blogspot.com/2010/02/johnny-logan-spencer-latest-thought.html -http://www.newser.com/story/81371/man-charged-with-threatening-obama-in-web-poem.html -http://articles.businessinsider.com/2010-02-20/law_review/29977646_1_social-networking-supremacists-pazienza#ixzz1giFCKtcM -http://www.hillbillyreport.org/diary/1201/johnny-logan-spencer-jr-louisville-ky-arrested-for-threatening-barack-obama-with-poem-the-sniper ด่า “โอบามา”โดนห้ามเข้าสหรัฐฯ ตลอดชีพ นอกจากกรณีจำคุกคนเขียนบทกวีแล้ว ยังมีกรณีที่วัยรุ่นชาวอังกฤษถูกห้ามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาตลอดชีวิต หลังจากเรียกนายโอบามาเป็นอวัยวะเพศชาย ทั้งนี้ สื่อมวลชนของอังกฤษได้รายงานเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2553 ว่า นายลุก แองเจล อายุ 17 ปี ชาวเมืองซิลโซ ในเบดฟอร์ดเชียร์ ได้ส่งอีเมล์ไปยังทำเนียบขาว หลังจากที่เขาได้ดูรายการทีวีเกี่ยวกับเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 พร้อมกับเรียกนายโอบามาในอีเมล์นั้นว่า “a prick” ซึ่งเป็นศัพท์สแลงมีความหมายถึงอวัยวะเพศชาย อีเมล์ดังกล่าวถูกสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ ดักตรวจได้ จึงส่งข้อมูลให้ตำรวจอังกฤษทำการสืบสวนสอบสวนต่อและสามารถระบุตัวคนส่งอีเมล์ได้ แม้ว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับเด็กวัยรุ่นชาวอังกฤษคนนี้ แต่เขาก็ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ซาราห์ วิลคินสัน โฆษกสำนักงานตำรวจเบดฟอร์ดเชียร์ บอกว่า อีเมล์ดังกล่าวเต็มไปด้วยภาษาที่ไม่เหมาะสมและข่มขู่คุกคามจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเธอบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ทำอะไรโง่ๆ เท่านั้น ขณะที่นายแองเจลยอมรับว่าได้ส่งอีเมล์ดังกล่าวออกไปขณะกำลังเมา และให้ปากคำต่อตำรวจว่า เขาจำไม่ได้ชัดเจนว่าได้เขียนอะไรลงไปบ้าง นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ ว่า เขาไม่สนใจ แม้ว่าพ่อแม่เขาไม่ค่อยมีความสุขนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น ลิงก์อ้างอิง http://www.theweek.co.uk/people-news/11611/british-boy-gets-us-ban-calling-obama-%E2%80%98prick%E2%80%99#ixzz1gVZWRYdt หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 ธันวาคม 2554, 14:32:26 สื่อนอกตีข่าวคนไทยชุมนุมหน้าสถานทูตมะกัน ตะเพิด'ทูตจอมแส่'กลับบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ บลูมเบิร์ก/เอเอฟพี - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานกลุ่มคนไทยผู้จงรักภักดีรวมตัวประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯเมื่อวันศุกร์(16) ไล่นางคริสตี เคนนี เอกอัครราชทูตอเมริกันออกนอกประเทศ หลังเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศรายหนึ่งตั้งข้อสงสัยเกียวกับคำพิพากษาลงโทษพลเมืองสหรัฐฯฐานความผิดล่วงละเมิดสถาบัน บลูมเบิร์กอ้างคำสัมภาษณ์ของนพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เผยว่าวันนี้(16) กลุ่มสยามสามัคคีได้ยื่นหนังสือถึงสหประชาชาติและสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาหลีกเลี่ยงแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ขณะที่สำนักข่าวแห่งนี้รายงานต่อว่าสมาชิกของผู้ประท้วงราว 200 คน พากันโบกธงสัญลักษณ์และชูพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมตะโกนว่า "คริสตี ออกไป" อยู่ด้านหน้าสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯ "แต่ละประเทศล้วนมีสิทธิ์ในการจำกัดหรือพิจารณาถึงสิทธิต่างๆของตนเองเพื่อปกป้องความมั่นคงและความสันติของประเทศ" นายแพทย์ตุลย์บอกกับบลูมเบิร์ก "เพื่อรักษาสันติและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯและไทย พวกเขาควรหลีกเลี่ยงแทรกแซงระบบยุติธรรมของไทย" อย่างไรก็ตามทางสถานทูตสหรัฐฯได้ออกคำแถลงชี้แจงผ่านเว็บไซต์ว่า "รัฐบาลสหรัฐฯให้ความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย พระบรมวงศานุวงศ์และวัฒนธรรมไทยอย่างที่สุด เราเคารพกฎหมายไทยและไม่ได้แทรกแซงกิจการภายในประเทศของไทย เราสนับสนุนสิทธิการแสดงออกทั่วโลกและมองว่ามันคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าบนหน้าเฟซบุ๊คของสถานทูตสหรัฐฯ แค่เมื่อวันพฤหัสบดี(15) มีคนโพสต์เข้าไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากกว่า 3,300 ความคิดเห็น โดยบางส่วนโจมตีนางคริสตีอย่างรุนแรง จนสถานทูตต้องร้องขอผู้โพสต์งดใช้คำข่มขู่และหยาบคาย นายแพทย์ตุลย์ยอมรับว่าเขารู้สึกเสียใจต่อถ้อยคำที่รุนแรงในเฟซบุ๊คและร้องขอให้กลุ่มผู้สนับสนุนกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแสดงความเห็นเรียกร้องต่อรัฐบาลสหรัฐฯอย่างสุภาพและหันมาเป็นการให้มุมมองอีกแง่หนึ่งจะดีกว่า ผู้ประท้วงหลายคนถือป้ายข้อความว่า "คริสตี เคนนี หุบปากซะ" และ "หากคุณไม่ยอมรับกฎหมายไทยก็ออกไปซะ" ทั้งนี้ทางผู้ชุมนุมได้ร่วมร้องเพลงชาติและสรรเสริญพระบารมีก่อนสลายตัวไป โดยการประท้วงครั้งนี้ในเวลาราว 45 นาที ในเวลาต่อมานางเคนนี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า "การชุมนุมเป็นไปอย่างสันติ" และระหว่างนั้นยังมีการสนทนาด้วยความเคารพซึ่งกันและกันกับเจ้าหน้าที่สถานทูตด้วย ทั้งนี้นายแพทย์ตุลย์เตือนถึงการสมคบคิดที่มีเป้าหมายแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและยืนยันว่าทางกลุ่มจะเดินหน้าความพยายามแก้ไขใดๆ "การโจมตีมาตรา 112 เป็นก้าวย่างแรก และพอไม่มีมาตรา 112 แล้ว คนเหล่านั้นก็จะกำจัดสถาบันออกจากคนไทยอย่างสมบูรณ์" ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำสัมภาษณ์ของ ชัยวัฒน์ สุรวิชัย หนึ่งในแกนนำผู้ประท้วงบอกว่า "เราเรียกร้องให้สถานทูตสหรัฐฯและเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คริสตี เคนนี ออกมาขอโทษต่อชาวไทยทุกคนสำหรับพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อพระมหากษัตริย์ของเรา" เอ[color=#FF5800]เอฟพีรายงานด้วยว่าผู้ประท้วงบางคนชูป้าย "คริสตี หุบปากซะ" และ "เราจะปกป้องมาตรา 112 ด้วยชีวิต" ขณะที่นางหทัยรัตน์ เจริญวัฒนานนท์ วัย 53 ปี หนึ่งในผู้เข้าร่วมชุมนุมบอกว่า "ฉันรักในหลวง ฉันมาเพื่อขอความยุติธรรม ฉันต้องการให้รัฐบาลปราบปรามความเคลื่อนไหวหมิ่นสถาบันให้หมดและไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องในหลวงของเรา"[/color] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 ธันวาคม 2554, 14:39:55 แกนนำสยามสามัคคียันปกป้องสถาบัน ม.112ไม่มีความผิด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "พล.อ.สมเจตน์"ระบุกฏหมายม.112ไม่มีความผิด หนุนตั้งกก.กลั่นกรองขึ้นมาไม่ใช่ทำลายฝ่ายตรงข้าม ชี้กลุ่มสยามสามัคคีเคลื่อนไหวปกป้องสถาบัน วันนี้(17ธ.ค.)พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา และแกนนำกลุ่มภาคีสยามสามัคคี ให้สัมภาษณ์กรณี 15 นักวิชาการเสนอตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการฟ้องร้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ เนื่องจาก มาตรา 112 ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่กลับมีคนบางกลุ่มบางคนนำเอามาตรา 112 ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนไทย หากมีคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่การตั้งคณะกรรมการชุดนี้จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมให้ได้ว่าจะไม่มาเป็นเครื่องมือฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการสังคมจะต้องมั่นใจ และยอมรับในตัวบุคลดังกล่าว ว่าไม่มีความโน้มเอียงในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญบุคคลที่เข้ามาจะต้องมีความยุติธรรมเป็นที่ยอมรับ และเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน " สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่จะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยมีพระราชดำรัสว่าสถาบันสามารถวิจารณ์ได้ แต่บางคนกลับใช้ไปเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือก้าวล่วงไปยังสถาบัน ต้องเข้าใจว่าบางคนใช้ข้อความที่ไม่เหมาะสมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเปรียบเทียบกันแล้วคำพูดเหล่านี้ไม่ควรใช้ ถ้าเป็นบิดามารดาของตัวเราเองถูกกระทำด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสมเราจะรู้สึกอย่างไร ที่ผ่านมาหลายคนมีการกระทำที่ก้าวล่วงไปยังสถาบัน จึงจำเป็นต้องใช้ มาตรา 112" พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ถามว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการชุดดังกล่าวควรประกอบด้วยใครบ้าง พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าบุคคลและองค์กรนั้นเป็นที่ยอมรับกับสังคมว่ามีควรมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เพราะหากเอาบุคคลอื่น หรือองค์กรอื่นที่ไม่มีความจงรักภักดี การทำงานของคณะกรรมการกลั่นกรองก็มีความล้มเหลวแต่แรก ตนเห็นด้วยในข้อเสนอดังกล่าว เพราะมาตรา 112 ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่กฎหมายต้องให้ความคุ้มครองต่อสถาบัน เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ ที่ตราออกมาเพื่อให้ความคุ้มครองบุคคล เช่น ศาล ประมุขของรัฐต่างๆ หรือแม้แต่ประชาชน ก็ยังมีกฎหมายคุ้มครอง กฎหมายมาตรา 112 จึงไม่มีความผิดอะไร ไม่มีความผิดปกติ แต่ความผิดปกติคือการนำ มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม การมีมาตรา 112 เพื่อปกป้องสถาบันและนำคนมาลงโทษ ถามว่า ใครควรเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ก็ควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลเองก็ประกาศนโยบายที่จะปกป้องพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ แนวทางใดที่สามารถทำได้ รัฐบาลก็สมควรที่จะออกมาปกป้อง และดำเนินการ ไม่ใช่ให้ฝ่ายภาคประชาชนออกมาเคลื่อนไหว อย่างกรณีของกลุ่มสยามสามัคคี ที่ออกมาเคลื่อนไหวประท้วงสถานทูตหสรัฐประจำประเทศไทยนั้น ก็เพื่อต้องการปกป้องสถาบันและไม่ต้องการที่จะให้มีการแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 และเรื่องดังกล่าวรัฐบาลควรที่จะออกมาดำเนินการในเรื่องนี้มากกว่ากลุ่มภาคประชาชน ยืนยันว่ากลุ่มสยามสามัคคีไม่อยากจะเคลื่อนไหว แต่จะเคลื่อนไหวเท่าที่จำเป็น เพราะการปกป้องสถาบัน ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง ภาคประชาชนเพียงแต่เป็นผู้สนับสนุน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ธันวาคม 2554, 11:02:37 “อากง” หาใช่ชายแก่ ที่แท้แดงฮาร์ดคอร์ “ล้มเจ้า”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“เชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโทรศัพท์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ก่อเหตุ ข้อความมีลักษณะแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้จำคุกจำเลย 4 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี” พลันสิ้นเสียงคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” ชายวัย 61 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ฟังอย่างสงบอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้หันไปถามเจ้าหน้าที่ศาลเพราะฟังไม่ชัด เจ้าหน้าที่จึงบอกไปว่า "ลุงติดคุก 20 ปี" กล่าวให้ชัดกว่านี้ก็คือ “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เหตุที่จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และส่งข้อความดังกล่าวไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม หลังคำพิพากษา กรณีดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรง โดยกลุ่มคนที่แสดงตัวว่ามีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทลงโทษดังกล่าว บางคนพาลด่าว่าโทษรุนแรงเกินไป บางคนบอกว่าอากงเป็นผู้บริสุทธิ์ อากงถูกใส่ร้าย อากงคือเหยื่อมาตรา 112 ! นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่บทความออกมาโจมตีตามโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมาก ในทำนองว่า “จำเลยเป็นแพะ” ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริง โดยเฉพาะ “ขบวนการล้มเจ้า” ที่ใช้คดี “อากง” เป็นเครื่องมือ โดยการนำไปกระพือ ขยายผลเกินความเป็นจริง “บิดเบือน” ตัดทอนข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจผิด สร้างละครชีวิตอากงขึ้นมาว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะมาตรา 112 เป็นต้นเหตุ ฯลฯ ผสมรวมกับพวกที่ “อยากดัง” สบช่องฉวยโอกาสโหนกระแส “อากง” ตะโกนโหวกเหวกโวยวายในโลกออนไลน์และเฟซบุ๊กเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตยและนักมนุษยชนตัวยง ขณะที่บางคนใช้อากงเป็น “เหยื่อ” เพื่อสนองตัณหาความอยาก(แรง)ของตัวเอง อย่างที่ “หญิงร่านแห่งล้านนา” นักเขียนดอกทอง ได้กระทำ โดยนำกรณี “อากง” ไปอ้างเป็นเหตุในการแก้ผ้า “โชว์นม” ให้สาธารณชนได้ชมในโลกไซเบอร์ สมใจอยาก (จนหลายคนอยากอ้วกออกมาหลังจากได้ “ชมนม” ของเธอ) รวมถึงการรณรงค์ให้เขียนคำว่า "อากง" บนฝ่ามือ แล้วถ่ายรูปมาโพสต์ในเฟชบุ๊ก เพื่อสร้างกระแสความเคลื่อนไหวให้ปล่อย "อากง" โดยพวกเขาสื่อออกมาแบบคิดเองเออเองว่า "อากง" เป็นเหยื่อกฎหมายมาตรา 112 โดยให้ความเห็นว่า "อากง" ชายชราอายุ 61 ปี ไม่น่าจะมีความชำนาญในการใช้โทรศัพท์มือถือ และส่ง SMS และการส่ง SMS เพียง 4 ครั้ง มีโทษจำคุกถึง 20 ปี ในประเทศไทย มันมากเกินไปหรือเปล่า!? แต่ความจริงก็คือ พวกเขาพยายามเอา “นม” และฝ่ามือของตนเองที่เขียนคำว่า “อากง” ปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ประชาชนรับรู้ เพราะ “อากง” ชายวัย 61 ปี ถูกกล่าวหาว่า ส่ง SMS ข้อความเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปเข้าโทรศัพท์ของนายสมเกียรติ เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ 4 ครั้ง ระหว่างวันที่ 9-22 พฤษภาคม 2553 ในช่วงที่คนเสื้อแดงกำลังจุดไฟเผาเมือง! ศาลอาญาตัดสินจำคุกอากง 20 ปี ตามมาตรา 112 และกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การบิดเบือนประเด็นว่า ส่ง SMS เพียง 4 ครั้ง ถูกลงโทษหนักจำคุกถึง 20 ปี ก็ไม่ต่างอะไรจากตรรกะแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ที่ว่า “ทักษิณแค่เซ็นชื่อ ยินยอมให้เมียไปซื้อที่ดิน ทำไมต้องติดคุก 2 ปี” ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยการกระทำที่พยายามอ้างกันว่าไม่เห็นจะเป็นความผิดตรงไหนนั้น แท้จริงแล้ว มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ด้วยเหตุผลที่กระจ่างชัด และกำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจน ทั้งนี้ “อากง” ไม่ได้ผิดเพราะส่ง SMS ที่ผิดเพราะส่งข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อความนั้นเข้าข่ายการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำซากถึง 4 ครั้ง จึงถูกลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี ทั้งๆ ที่ ศาลอาจจะลงโทษมากกว่านี้ก็ได้ เพราะความผิดตามมาตรา 112 มีโทษจำคุกระหว่าง 3-15 ปี หาก “อากง” ส่ง SMS เพียง 2 ครั้ง ก็จะติดคุกเพียง 10 ปี ถ้าส่งครั้งเดียว ก็ติด 5 ปี และหากอากงรับสารภาพ ก็จะได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่ง และอาจจะได้รับการรอการลงโทษก็ได้ เหล่านี้คือ กระบวนการพิจารณาโทษตามปกติของศาล หาใช่การกลั่นแกล้งหรือความอยุติธรรมที่ “อากง” ได้รับไม่! แต่เมื่อไม่รับว่าผิด และไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาจนศาลสิ้นสงสัยได้ ก็ไม่มีเหตุในการลดโทษ รอการลงโทษ คำให้การปฏิเสธของอากงนั้น ผู้ที่ได้อ่านสรุปคำพิพากษาทั้งหมด ก็น่าจะเห็นว่า แค่คำให้การที่ว่า เคยนำโทรศัพท์ที่เสียไปซ่อม แต่วันเวลาที่นำไปซ่อม ที่อ้าง 2 ครั้ง ก็ไม่ตรงกัน และข้ออ้างที่ว่า จำไม่ได้ว่าไปซ่อมร้านไหน ทั้งๆ ที่ต้องไปส่ง ไปรับโทรศัพท์ที่ร้านถึงสองครั้ง ก็ทำให้คำให้การของ “อากง” หมดความน่าเชื่อถือไปเลย ในขณะที่ การพิสูจน์ทางเทคนิคว่า หมายเลขอีมี่ หรือรหัสประจำเครื่องโทรศัพท์ของอากง อาจถูกผู้อื่นปลอมแปลงนั้น ก็ได้มีการพิสูจน์กันต่อหน้าศาลว่า หมายเลขอีมี่ นั้น เป็นของโทรศัพท์ของ "อากง" จริง ทั้งยังจับได้ว่า มีการเปลี่ยนซิมจากเครือข่ายทรู เป็นซิมดีแทค ในช่วงที่มีการส่ง SMS เพื่อปกปิดหมายเลขผู้ส่ง แต่สถานที่ส่งเป็นที่เดียวกัน คือ บ้านของ "อากง" ข้อเท็จจริง อันเป็นพยานแวดล้อมเหล่านี้ ได้ถูกพวกล้มเจ้า พวกอยากมีหัวคิดก้าวหน้า พวกเด็กๆ ที่กำลังหัดพูดคำว่า “ประชาธิปไตย” นักคิดเสื้อแดง นักเขียนเสื้อแดง นักวิชาการเสื้อแดง รวมถึงผู้ที่ร่วมแห่แหน กระพือกระแส "อากง" ตัดตอน และบิดเบือนให้เป็นว่า “หมายเลขอีมี่” เป็นหลักฐานที่อ่อน ไม่น่าจะรับฟังได้ ทั้งหมดนั้นคือขบวนการที่ใช้ “อากง” เป็น “เหยื่อ” เพื่อเซ่นสังเวยความคิดความเชื่อของตัวเอง และทั้งหมดนั้นก็คือ “เครื่องมือ” ของขบวนการล้มเจ้า ที่ต้องการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในประเทศ เพื่อสร้างความ “สั่นสะเทือน” ให้ไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า “อากง” จะคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเป็นแดงฮาร์ดคอร์แถวสำโรงหรือไม่ จะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงทุกครั้งหรือเปล่า จะเป็นผู้ส่ง SMS ด้วยตัวเอง หรือมีผู้อื่นส่งให้!? “คำ ผกา” ถอยไปไกลๆ วันนี้เราจะมา “เปลือยอากง” ให้มันรู้กัน! **“เปลือยอากง” สำหรับ “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี จำเลยในคดีหมิ่นสถาบัน ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี คนนี้ ถูก พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ขณะนั้น) นำกำลังเข้าจับกุม เมื่อเช้าวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ ในซอยวัดด่านสำโรง หมู่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เสียงเคาะประตูหลายครั้งปลุก “อากง” หรือนายอำพล ให้ลุกขึ้นมาเปิด เมื่อประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่ได้ยื่นหมายจับและหมายค้นให้ดู พร้อมขอเข้าตรวจค้น ภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบพบข้าวของระเกะระกะ มีเบาะนอนขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหน้า และเด็กๆซึ่งเป็นหลานของนายอำพล 3 คน กำลังงัวเงียและตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้ภรรยานายอำพล นำเด็กๆไปอยู่บริเวณหลังห้อง จากการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยเครื่องที่ใช้ส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นสถาบันคือ ยี่ห้อโมโตโรล่า สีขาว ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า “พระองค์ท่านไปทำอะไรให้ลุง” พล.ต.ท.ไถง ถามพลางจ้องตารอคำตอบจาก “อากง” หรือนายอำพล แต่ชายชรานิ่งเงียบ มีเพียงแววตาเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป ทั้งนี้ ระหว่างการจับกุม ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงแห่มาที่เกิดเหตุเพื่อขัดขวาง เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดีเกรงจะมีการแย่งตัวผู้ต้องหา จึงรีบนำตัว “อากง” หรือนายอำพลเข้ากองปราบปรามมาสอบสวนต่อ “ผมไม่ได้ทำ โทรศัพท์ผมเสียจึงเอาไปซ่อม และได้เลิกใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ไปนานแล้ว” นายอำพล ให้การปฏิเสธในวันที่ถูกสอบเครียด จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัว “อากง” หรือนายอำพลไปดูร้านซ่อมโทรศัพท์ ภายในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง ที่อากงอ้างว่านำไปซ่อม แต่อากงกลับแสร้งทำเป็นจำไม่ได้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคดีดังกล่าวนายหนึ่งเล่าว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญกระทบกระเทือนกับสถาบันสูงสุดของประเทศ การสืบสวนจับกุมจำต้องกระทำอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด เจ้าหน้าที่ใช้เวลาสืบสวนกระทั่งตามจับกุมโดยใช้เวลาเดือนกว่า แต่อากงก็ได้ปฏิเสธทั้งๆ ที่โทรศัพท์เครื่องที่ส่งข้อความมิบังควรถูกซุกซ่อนอยู่ในบ้านของอากงเอง โดยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้ พบว่าเบอร์ที่ส่งเอสเอ็มเอสมาจากซิมการ์ดหมายเลขเดียวกันทั้งหมด แต่ซิมการ์ดดังกล่าวได้เลิกใช้ไปแล้ว ส่วนโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวตรวจสอบพบว่ายังมีการเปิดใช้อยู่ แต่ได้มีการเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ ทั้งนี้ ทางกองปราบปรามได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 -5 นาย ลงพื้นที่ใน ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวเปิดใช้อยู่ในพื้นที่นั้น โดยเจ้าหน้าที่ฝังตัวหาข่าวนานกว่า 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวโทรเข้า-โทรออกย้อนหลัง กระทั่งเรียกตัวพยานรายหนึ่งซึ่งเป็น “บุตรสาว” ผู้ต้องสงสัยมาให้ปากคำ พยานคนดังกล่าวให้การว่าโทรศัพท์เครื่องนั้น นายอำพล หรือ “อากง” เป็นคนใช้จริง โดยใช้ทั้งซิมการ์ดปัจจุบันและซิมการ์ดที่ส่งข้อความหมิ่นสถาบัน ถือเป็นการปิดคดีที่ใช้เวลานานร่วมเดือน การสืบสวนสอบสวนกระทำในลักษณะคณะกรรมการร่วม และพยานหลักฐานมัดแน่นทั้งสืบจากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ นอกจากนี้ยังมีคำให้การที่มัดตัวอากงโดยลูกสาวอากงเอง กระทั่งศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร “ผมขอยืนยันว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคง เป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักสามัคคีของคนในชาติ และจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลที่ล่วงละเมิดสถาบันอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพได้ ” พล.ต.ท.ไถง กล่าวเสียงเข้มในวันจับกุม **แดงฮาร์ดคอร์ ตัวพ่อ สายปากน้ำ อย่างไรก็ตาม กับคำกล่าวที่ว่า “อากง” ไม่มีใจฝักใฝ่กลุ่มคนเสื้อแดงและไม่น่าจะทราบเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญ แต่ข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนทราบว่า “อากง” หรือนายอำพล คือคนเสื้อแดงระดับ “ฮาร์ดคอร์” สายปากน้ำ คนหนึ่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดย กอ.รมน. และมักเข้าร่วมชุมนุมมั่วสุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่เป็นประจำ และสม่ำเสมอ โดยในที่ชุมนุมจะมีการแจกจ่ายใบปลิวเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญที่กลุ่มคนเสื้อแดงเกลียดชังเพื่อให้สมาชิกโทรไปด่าหรือส่งข้อความป่วน “พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ” ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) หนึ่งในนายตำรวจที่นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้าปิดล้อมซอยวัดด่านสำโรง หมู่ที่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เพื่อจับกุมตัว “อากง” ในวันนั้น ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวกับ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ว่า “ผมไม่สนใจว่าใครจะเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียว วันนี้ผมมองว่า หนึ่ง-สิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง ก็อย่าไปแตะต้อง เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีความเป็นจริง ไปแตะต้องทำไม เป็นสถาบันของชาติ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คนไทยในปัจจุบันทำไมไม่นึกถึงอดีตกันบ้างว่าเราเติบโตในสัญชาติไทยมาได้อย่างไร แล้วทำไมต้องไปยุ่ง หรือต้องไปเชื่อ หรือจะต้องไปฟอร์เวิร์ด หรือต้องตามไปดู หรือต้องไปไลค์ (like) กัน ผมไม่เข้าใจ หรือจะไปมีประเด็นจะต้องไปพูดถึงทำไม “ทำไมเมื่อเป็นคนไทย... คือการอ้างสิทธิเสรีภาพ มันใช่, ทุกคนอ้างได้อยู่แล้ว แต่ต้องถามว่าแล้วชาติไทยที่มีมาและอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ชาติไทยเป็นชาติพิเศษไม่เหมือนชาติอื่น ก็น่าจะต้องรู้ว่าอะไรที่ควรไม่ควร ถ้าถามว่าการที่จะไปกระทำความผิด เมื่อกฎหมายเขียนว่าเป็นความผิด การบังคับใช้หรือการลงโทษลงทัณฑ์ก็ต้องมองไปที่การกระทำนั้นๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่บัญญัติออกมาใช้ในยุคนั้นสมัยนั้น ถ้าย้อนกลับไปสักร้อยสองร้อยปี ผมถามว่าคนประเภทนี้จะถูกทำอะไร คำตอบก็คือ 'เด็ดหัวทิ้ง' ก็กลับข้างดูสิ “แต่ในสังคมไทย ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเรามีชาติกำเนิดเกิดขึ้นมาบนแผ่นนี้ด้วยใคร ต้องถามเลย ไม่ใช่แค่ด้วยพ่อแม่ของตัวเองสองคน เสื่อผืนหมอนใบ แล้วเข้ามาในประเทศ แล้วบอกว่า เฮ้ย! กูทำมาหากินของกู กูเติบโตมาได้ก็เพราะกู แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความตระหนักตรงนี้มันไม่หยั่งลึกเข้าไปในจิตสำนึกของเขา แม้ผมไม่ได้เกิดในยุคนั้น ผมยังมีความสำนึกเลยว่า บรรพบุรุษในสมัยอดีตกว่าจะได้ผืนแผ่นดินนี้มา ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อและเลือดจริงๆ ลองนึกภาพกลับไปดู คุณอาจจะนึกภาพออกก็ได้ “มันจะเอาความรู้สึกที่ว่า กูเกิด ณ แผ่นดินนี้ เวลานี้ ความเป็นประชาธิปไตย ความเป็นเสรีภาพ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างนั้นมันก็ต้องกลับไปอยู่อีกชาติหนึ่งแล้ว หรือคุณก็ตายชาตินี้แล้วคุณไปเกิดอีกชาติหนึ่งก็แล้วกัน คุณไปรอชาติที่มันเปลี่ยนเป็นอย่างที่คุณอยากได้ มันก็กลับข้างกัน คุณต้องคิดบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ด้วยบริบทของกติกาของสัมคม ก็คือกฎหมายที่มาใช้บังคับ... ทีนี้ การกระทำที่อากงเขาทำ มันไปถึงชั้นศาลแล้ว มันเป็นกระบวนการที่ผ่านกระบวนการอันชอบธรรมที่กฎหมายบัญญัติไว้ มันก็สู่กระบวนการโดยชอบแล้ว” ถามว่ามีการกลั่นแกล้งไหม พล.ต.ต.สุพิศาล ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่มีแน่นอน! ผมก็จับคนทุกคนที่มีพยานหลักฐานที่ทำผิดและมีกฎหมายบัญญัติไว้ แต่ผมทำเท่าที่มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้” และกับกรณีที่หลายคนออกมาเรียกร้องว่า “อากง” ถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับโทษที่รุนแรงเกินไป พล.ต.ต.สุพิศาล ให้ความเห็นว่า... “อันนี้ข้อเท็จจริงต้องพิสูจน์สิว่า ตอนนี้มันถึงชั้นศาลไปแล้ว มันถูกตัดสินไปแล้ว แล้วกระบวนการมันไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังมีถึงศาลฎีกา คุณก็ต่อสู้ไปในกระบวนการ ถามว่าถ้าคนมันไม่มายุ่ง หรือไม่ทำอะไร มันจะติดคุกไหม ผมอยากจะรู้ คุณทำมาหากินโดยอาชีพสุจริต โดยไม่แสดงความคิดเห็นแบบนี้ เรื่องนี้ก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าไอ้สิ่งที่คนมันพูดมันไม่ใช่ เจ้านายของเราดีทุกพระองค์ มันทำไมต้องไปกล่าว... ผมไม่เข้าใจ “ส่วนที่บอกว่าโทษรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ทำกับคนแก่ มันเป็นดุลพินิจของทางผู้ที่ลงโทษ ไม่ใช่ดุลพินิจของตำรวจ แต่ถามผมก็คือ แล้วเหตุอันที่ควรกระทำ มันทำซ้ำไหมล่ะ ทำหลายๆ ครั้งหรือเปล่า ถ้าทำครั้งเดียวแบบเข้าไปลักของในซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะอุ้มลูกไปต้องหานมให้ลูกกิน มันก็มีเหตุผลยอมรับได้ว่าเหตุหรือแรงจูงใจเป็นยังไง แต่นี่พิสูจน์แรงจูงใจ มันทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก! มันทำทำไม ถามว่าทำแล้วรู้หรือไม่, รู้! แล้วรู้ครั้งที่หนึ่ง รู้ครั้งที่สอง รู้ครั้งที่สาม รู้ครั้งที่สี่ รู้ครั้งที่ร้อย มันเป็นความผิดไหม มันต้องกลับไปขนาดนี้ ไม่ใช่คิดว่าแค่ปลายนิ้วกู ไม่มีใครเห็นกู กูอยู่หน้าจอ กูจะดูอะไรก็ได้ กูจะทำอะไรก็ได้ คิดว่าไม่มีใครรู้ คนที่อยู่ในหน้าจอทุกจอของโลกเสมือนคิดว่าตัวเองถูกบังด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ คิดว่าไม่มีร่องรอยของหลักฐาน คิดว่าไม่มีใครเห็นตัวตน เรื่องที่เกิดขึ้น พล.ต.ต.สุพิศาล บอกว่าต้องกลับไปดูกำพืดของเขาว่าทำไมเขาถึงเข้ามาสู่... “แรงจูงใจมากกว่าที่ทำ อันนี้ถ้าพูดถึงแง่กฎหมาย การตัดสินคนมันต้องตัดสินด้วย มูลเหตุ หรือแรงจูงใจของการกระทำผิด และแรงจูงใจนั้นเป็นแรงจูงใจที่ถูกหลอกมาไหม เป็นแรงจูงใจที่ถูกกระตุ้นโดยอะไร เป็นแรงจูงใจที่ถูกสะสมมาในชีวิตของตัวเองหรือเปล่า ถูกใช้เป็นเครื่องมือไหม มันก็ต้องมี บางทีผมอาจจะตกเบ็ดล่อเหยื่อคุณก็ได้ มันก็มีหลายประเด็น คุณอยากตกเป็นเหยื่อทำไมล่ะ” อย่างไรก็ตาม กรณี “อากง” พล.ต.ต.สุพิศาล บอกว่าตำรวจทำเท่าที่มีพยานหลักฐาน “ผมยืนยันว่าผมเป็นผู้การที่นี่ ผมไม่ใส่ไข่ ผมยืนอยู่บนความที่ตรงต่อหน้าที่ อะไรได้มาเราก็ได้มาเท่านั้น ผู้ต้องหาอยากหักล้างก็เอามา เราก็ให้หักล้าง แล้วเราให้สิทธิตามกฎหมายที่พึงได้ในยุคประชาธิปไตยเต็มที่ เรียนยืนยันไว้ตรงนี้เลย “ผมก็มีหน้าที่ ทำไปตามหน้าที่ของกฎหมาย ผมไม่ว่าแดงว่าเหลือง ผมบอกให้ นามสกุลผมเขียนว่า 'ภักดีนฤนาถ' นฤนาถ คำนี้แปลว่า 'เจ้าเหนือหัว' ดูเอาก็แล้วกัน ชีวิตผมมีแค่นั้นล่ะ” ผู้การกองปราบ กล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียดังหนักแน่น **อากงปลงไม่ตก อย่างไรก็ตาม จากคดี “อากง” ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนในสังคมแทบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจ รวมถึงต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใย วิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นัก “สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ” โฆษกศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงกรณี “อากง” ที่เกิดขึ้นไว้ในบทความชื่อ “อากงปลงไม่ตก” อย่างน่าสนใจว่า “ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวาง การแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบ ยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้...” ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม “ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิดเพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย” ที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว “สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินี ด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา “แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า” ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง “แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจ และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด” สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ “มาตรการที่เหมาะสม จึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่า ชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป” นั่นคือบางช่วงตอนจากบทความชื่อ “อากงปลงไม่ตก” โดย “สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ” โฆษกศาลยุติธรรม ที่กล่าวไว้อย่างมีเหตุมีผลและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับล่าสุด ที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 15 ปี น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ที่ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูงบนเวที นปช. แม้เจ้าตัวจะทำเป็นเล่นลิ้น อวดดี โดยยืนยันว่าจะไม่อุทธรณ์ ไม่ศรัทธากระบวนการยุติธรรม และจะไม่ขออภัยโทษ ก็ตาม เพราะนี่คือมาตรการที่เหมาะสม ตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น เพราะเหล่ากออันชั่วร้ายของขบวนการล้มเจ้าในประเทศไทยนั้นมิได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจในทางสร้างสรรค์ หากแต่อิงแอบแนบแน่นอยู่กับเกมการเมืองเพื่อหวังผลในการทำลายล้างและทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ พร้อมกับสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ขึ้นมาเสียใหม่ กรณี “อากง” ที่ขบวนการล้มเจ้าปลุกระดมกันขึ้นมาในขณะนี้ คือตัวอย่างชัดเจน เพราะในที่สุดคนจำนวนไม่น้อยก็จะเห็นใจอากงว่ากะอีแค่ส่ง SMS ทำไมถึงต้องถูกพิพากษาจำคุกถึง 20 ปี ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว “อากง” ผู้นี้คือ “แดงฮาร์ดคอร์” ตัวพ่อแห่งเมืองปากน้ำ ที่ถูกล้างสมองจากขบวนการล้มเจ้ากระทั่งส่ง SMS หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในต่างกรรมและต่างวาระ ไม่รู้ว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ไปทำอะไรให้ “อากง” เจ็บช้ำน้ำใจ ถึงกับทำให้อากงซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ที่บรรพบุรุษอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึงได้จงเกลียดจงชังเช่นนี้ แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ “อากง” หาใช่ชายแก่ธรรมดา เพราะตัวตนที่แท้จริงของ “อากง” ก็คือคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ที่ต้องการ “ล้มเจ้า” นั่นเอง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ธันวาคม 2554, 20:51:27 ชาวศรีสะเกษลงมติค้านถอนทหารไทยพ้น “เขาวิหาร” เด็ดขาด - จี้ไล่เขมรพ้น 4.6 ตร.กม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ชาวศรีสะเกษทำประชาพิจารณ์ลงมติ 99 % คัดค้านถอนทหารไทยออกจากเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเด็ดขาด ที่บริเวณสี่แยกบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ วันนี้ ( 18 ธ.ค.) ศรีสะเกษ - ชาวศรีสะเกษ ประชาพิจารณ์ลงมติ 99% คัดค้านถอนทหารไทยออกจากเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเด็ดขาด เตรียมยื่นมติชาวบ้านให้ “ผบ.ทบ.” เพื่อเสนอรัฐบาล ชี้ หากถอนกำลังทหารไทยหมู่บ้านภูมิซรอล แตกแน่ ระบุ 3 เหตุผลต้องคงทหาร เพื่อปกป้องอธิปไตย-เขตแดนยังไม่ชัดเจน-ต้องผลักดันทหารเขมรและชาวกัมพูชาพ้น 4.6 ตร.กม. วันนี้ (18 ธ.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสี่แยกบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายกิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดินและเครือข่ายประชาชนชาวกันทรลักษ์พิทักษ์เขาพระวิหาร พร้อมด้วย สมาชิกของกลุ่ม จำนวนกว่า 30 คน ได้นำเอกสารใบประชาพิจารณ์การถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มาแจกจ่ายให้ประชาชนชาวบ้านภูมิซรอลได้กรอกแบบฟอร์มแสดงความคิดเห็นประชาพิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยจัดแยกเอกสารออกเป็น 2 กล่อง คือ กล่องที่ 1 เป็นกล่องคัดค้านถอนทหารโดยเด็ดขาด กล่องที่ 2 เป็นกล่องให้ถอนทหาร พร้อมให้กรอกความเห็นให้ถอนทหารเพราะอะไร และไม่ให้ถอนทหารเพราะอะไร โดยปรากฏว่า มีประชาชนชาวบ้านภูมิซรอล พากันมากรอกเอกสารลงความเห็นประชาพิจารณ์กันอย่างคึกคัก ซึ่งการประชาพิจารณ์ครั้งนี้ เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16-18 ธ.ค.โดยมีการทำประชาพิจารณ์ทั้งในเขตเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ และทุกหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ของ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการลงความเห็นประชาพิจารณ์ และสรุปผลการประชาพิจารณ์ทั้งหมด นายกิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดินและเครือข่ายประชาชนชาวกันทรลักษ์พิทักษ์เขาพระวิหาร กล่าวว่า ตนและคณะเริ่มออกทำการประชาพิจารณ์ตั้งแต่เย็นวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ (18 ธ.ค.) ปรากฏว่า มีผู้มาลงประชาพิจารณ์รวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 คน ซึ่งสรุปผลจากการประชาพิจารณ์แล้ว พบว่า 99% ประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ คัดค้านการถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหารอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านทุกคนต้องการให้คงกำลังทหารไว้ที่บริเวณเขาพระวิหาร หากไม่มีทหารไทยอยู่บริเวณนี้ หมู่บ้านภูมิซรอลคงจะต้องแตกแน่นอน ทั้งนี้ มีเหตุผล 3 ข้อหลัก ในการให้คงกำลังทหารไทยไว้ที่บริเวณเขาพระวิหาร คือ 1.เพื่อให้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย หากมีทหารไทยอยู่ ชาวบ้านอบอุ่นใจ 2.พื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั่วไปด้าน จ.ศรีสะเกษ ยังไม่มีความชัดเจนในด้านเขตแดน 3. ชาวบ้านต้องการให้ทหารไทยหรือรัฐบาลไทยผลักดันทหารกัมพูชาและชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) บริเวณเขาพระวิหาร รวมทั้งที่ช่องตาเฒ่า และฐานซำแต ใกล้กับทางไปเขื่อนห้วยขนุน ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ ซึ่งมีทหารของกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ และนำเอาลูกเมียมาทำไร่ทำนาในเขตแดนไทย นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ผลสรุปการประชาพิจารณ์ทั้ง 2 กล่อง ตนจะทำเป็นหนังสือยื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยผ่าน พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในวันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. เพื่อเป็นการแจ้งให้ ผบ.ทบ.ได้นำเสนอรัฐบาลให้ทราบว่า ชาวศรีสะเกษที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ไม่ต้องการให้ถอนกำลังทหารไทยออกจากบริเวณเขาพระวิหารอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ชาวศรีสะเกษมีความเข้าใจที่ชัดเจนแล้วว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.บริเวณเขาพระวิหาร เป็นเขตแดนของประเทศไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 ธันวาคม 2554, 20:54:05 “ดร.อาทิตย์” ชี้ ม.112 ต้องมีไว้ปกป้องประเทศ-ระบุหากขาดสถาบันเมืองไทยเป็นแหล่งอันธพาลแน่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต มองปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ไม่ต่างจาก “ทฤษฎีต้มกบ” ศปภ.ขาดความพร้อม ชี้ แนวทางปรองดองต้องเพื่อคนส่วนใหญ่ในชาติ ขณะ “รัฐบาลปู” มุ่งนิรโทษกรรมให้พี่ชายอย่างเดียว เชื่อ ทักษิณยังไม่กลับมา เพราะเดินเกมผิด ยืนยันมาตรา 112 ต้องมี ไว้ปกป้องประเทศ หวั่นไม่มีสถาบันฯ เมืองไทยเป็นแหล่งอันธพาลแน่ วันนี้ (18 ธ.ค.) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เซกชั่นไทยโพสต์แทบลอยด์ ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ ปรองดองมิใช่คืนดี อาทิตย์ อุไรรัตน์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กกรณีที่รัฐบาลมุ่งไปที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหลบหนีคดีที่ดินรัชดาฯอย่างเดียว ซึ่งเห็นว่า เป็นเรื่องที่ผิด และการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ว่า อยู่ที่วิจารณญาณของฝ่ายผู้พิพากษาของเจ้าหน้าที่ และเห็นว่าอย่าบ้าจี้จนทำเกินกว่าเหตุ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ในช่วงแรก ดร.อาทิตย์ กล่าวถึงวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเมื่อไม่เคยเจอวิกฤตมาก่อน จึงไม่มีการเตรียมตัวรับมือพร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งเห็นว่าเหมือนกับทฤษฎีต้มกบ ที่ชาวไอริชทำการเปรียบเทียบปฏิกิริยาตอบสนองของกบ ระหว่างน้ำร้อนกับน้ำเย็น เมื่อกบลงไปอยู่ในน้ำเย็น เพราะคิดว่าจะไม่เป็นอะไร โดยไม่รู้ว่าภัยร้ายใกล้จะมาถึงตัวแล้ว เมื่อน้ำร้อนขึ้นจนได้ที่แล้วก็กลายเป็นกบต้มสุก ไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ก็ออกมาบอกว่าไม่คาดคิด แสดงว่าประเทศที่ควรจะต้องมีความพร้อม มีวิชาความรู้พร้อม มีแผนพร้อม มีการป้องกันเตรียมการพร้อม แต่กลับไม่มีใครพร้อมเลยสักคน • มองทักษิณจำกัดความปรองดองผิด-เชื่อยังไม่กลับไทย ในตอนหนึ่ง ดร.อาทิตย์ กล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองเพื่อหาทางออกให้ประเทศ โดยเห็นว่า เพราะการเมืองเรามันผิดทิศทางไปเลย หากการเมืองไม่ใช่เพื่อประเทศกับเพื่อประชาชน แต่เพื่อตัวเองเพื่อพวกที่อยู่ในการเมืองด้วยกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด ต้องเปลี่ยนตรงนี้ให้ได้ ขณะนี้ถึงขั้นใช้ต่างประเทศมาบีบ หากปัญหาอะไรที่มันเกิดประโยชน์กับพวกเขาพวกเดียว เราก็ต้องตีกลับโต้กลับไปบ้าง ศักดิ์ศรีของเราก็มี เพียงแต่ว่าเงียบกันหมด เอาตัวรอดกันหมด อย่างประชาชนที่เขาต้องฟ้องรัฐก็เพราะเขาไม่มีที่พึ่ง เพราะรัฐบาลไม่คิดถึงเขาเลย ซึ่งการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้รัฐบาลมุ่งไปที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อจะนิรโทษกรรมอย่างเดียว มุ่งคิดแต่เรื่องการเมืองทำเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว ก็อยู่กันอย่างนี้ เท่าที่พูดๆ มาก็ทำเพื่อเขาทั้งนั้น คนไทยยอมอยู่ได้ยังไง เมื่อถามว่า การปรองดองต้องรวม พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า ก็อาจจะจำกัดความคำว่าปรองดองผิดก็ได้ การปรองดองไม่ใช่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ มาปรองดองกับคนนั้นคนนี้ แต่ต้องสร้างความปรองดองในชาติ และการปรองดองในชาติเป็นการสร้างฝ่ายที่สามที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ขึ้นมา เพราะถ้าไปมองว่าเอาสองฝ่ายมายอมกันอย่างนั้นมันไม่ถูก คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้อะไรด้วย และการนิรโทษกรรมไม่ใช่วิธีการปรองดอง แต่ว่าต้องเอาคนส่วนใหญ่ให้อยู่เย็นเป็นสุขขึ้นจะต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งรัฐบาลจะต้องตจั้งโจทย์แบบนี้ก่อน ให้ประชาชนหมดข้อขัดแย้ง แต่ถ้าคิดจะเอาแกนนำสีเสื้อต่างๆ มาปรองดองกันมันก็ไม่มีวันยอมได้ อย่างไรก็ตาม ดร.อาทิตย์เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะยังไม่กลับประเทศไทยในเร็ววันนี้ เพราะเป็นไปได้ยาก “เวลานี้เขาก็มีความสุขอยู่แล้ว เงินทองเยอะแยะ ติดอยู่อย่างเดียว คือ ไม่ได้กลับมาเมืองไทย แต่ความพยายามที่จะทำอย่างนี้เขาเดินเกมผิด แทนที่เขาจะทำดีเพื่อที่เขาจะได้กลับมา เขาก็ไม่ทำ แต่กลับทำให้คนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เขาทำอย่างนี้คนจะไม่ให้อภัยเขา อย่างเรื่องอภัยโทษวันที่ 5 ธ.ค.นั่นคือ แสดงนิสัยของเขาว่าจะต้องเอาให้ได้ ถ้าสมมติว่า ไม่มีเสียงคัดค้านต่อต้านมากๆ เขาหลุดเข้ามาแล้วตอนนั้น อะไรก็ตามที่ทำได้ทุกเสต็ป เขาทำทั้งนั้นแหละ ตอนนี้เขาก็หาโอกาสทำเพื่อนิรโทษให้ตัวเอง” ดร.อาทิตย์ กล่าว และว่า การที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้งในปีหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่อย่างนี้ ก็ต้องหาโอกาสที่จะช่วยตัวเขากลับมามีอำนาจ จะมีบ้านเลขที่ 111 หรือไม่ สภาพบ้านเมืองก็จะต้องเหมือนเดิม ความขัดแย้งที่ยังมีอยู่ก็มีอยู่เหมือนเดิม • ยันมาตรา 112 ปกป้องประเทศ-วอนอย่าบ้าจี้ทำเกินกว่าเหตุ เมื่อถามถึงการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ซึ่งในทางปฏิบัติถูกมองว่ามีปัญหา เพราะด้านหนึ่งถือว่าเป็นเกราะป้องกันสถาบันกษัตริย์ แต่หากใช้แบบสุดโต่งก็จะสะท้อนกลับในทางตรงกันข้าม ดร.อาทิตย์ เห็นว่า กฎหมายนี้มันต้องมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสชัดเจนว่าวิจารณ์ได้ แต่ต้องวิจารณ์ให้ถูก ถ้าวิจารณ์ไม่ถูกก็ผิด และถ้าวิจารณ์ถูกพระมหากษัตริย์ก็ปรับปรุงตัวเอง หากมีอะไรบกพร่องจริง แต่ถ้าอธิบายผิดวิจารณ์ผิดก็เดือดร้อน ซึ่งพระองค์ท่านประชาธิปไตย ฉะนั้น ตนเห็นว่ากฎหมายนี้ต้องมี “กฎหมายนี้ไม่ใช่ปกป้องบุคคล แต่ปกป้องประเทศ ในรัฐธรรมนูญบอกว่าแผ่นดินไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ คนที่ไปแบ่งแยกแผ่นดินก็ต้องถือเป็นศัตรูของประเทศ ต้องถือเป็นความผิด จะให้ยกเลิกกฎหมายนี้ได้ยังไง พระมหากษัตริย์เป็นสถาบัน ถ้าไปจาบจ้วงโดยไม่มีเหตุผลก็ต้องเป็นความผิด และที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมก็ต้องพิพากษาให้ถูก เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ว่าต้องยึดตามตัวหนังสือหรือตัวบท แต่มันอยู่ที่วิจารณญาณของฝ่ายผู้พิพากษา ของเจ้าหน้าที่ อย่าบ้าจี้กับมาตรา 112 จนทำเกินกว่าเหตุ” ดร.อาทิตย์ กล่าว อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ถ้าเราต้องการเป็นประชาธิปไตยทุกอย่างมันละเอียดอ่อน ดังนั้นต้องใช้หลายๆ อย่างประกอบกัน ไม่ใช่แต่เพียงศรีธนญชัยหรือยึดตัวบทอย่างเดียว กฎหมายจำเป็นต้องมี เพราะมีหลายกรณีที่โดนจับๆ ไป ทั้งพูดจา ทำสารพัด อันนั้นสมควรก็อนุโลมไม่ได้ ซึ่งอย่าว่าแต่เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าใครทำอย่างนั้นกับเราซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดา เราก็ต้องฟ้องเหมือนกัน ถ้าไม่มีกฎหมายเลยบ้านเมืองก็ไม่มีขื่อไม่มีแป เป็นสังคมที่ไม่มีเหตุผล “ประเทศมันต้องมีประมุข ประเทศไทยประมุขคือพระมหากษัตริย์ ประเทศอื่นจะมีประธานาธิบดีก็ว่าไป แต่เราพิสูจน์ได้ว่าไม่มีอะไรวิเศษ ประเสริฐเท่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่มีตรงนี้แล้วประเทศเราจะเป็นแหล่งอันธพาลจังโก้ เพราะต้องรับความจริงว่ามันยังมีสภาพอย่างนี้อยู่ แล้วใครจะเป็นประมุขดูแลบ้านเมืองให้มันเข้าร่องเข้ารอยได้” ดร.อาทิตย์กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ธันวาคม 2554, 22:36:17 รอยเตอร์ชี้ "แม้ว" ขโมยซีน "ปู" เยือนต่างแดน หวังเพิ่มบทบาททางการเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหลบหนีคดีไปต่างประเทศ กำลังพยายามสร้างบทบาททางการเมืองในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นน้องสาว มากขึ้น ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจสั่นคลอนสันติภาพอันเปราะบางภายในประเทศ รอยเตอร์ระบุว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักโทษหนีคดีรายนี้ได้เดินทางเยือนหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา เนปาล หรือแม้แต่พม่า ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการปูทางให้กับการเยือนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเยือนพม่าในวันพฤหัสบดี (15) ที่ผ่านมา ได้พบกับประธานาธิบดีเต่งเส็ง และนายพลตานฉ่วย แม้แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดยืนยันว่า เป็นการเดินทางส่วนตัว และไม่มีการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเกิดขึ้นก็ตาม แม้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ วัย 62 ปี ได้ถูกโค่นลงจากตำแหน่งในปี 2006 และต้องลี้ภัยไปอยู่ดูไบ แต่เขากลับไม่เคยเลือนหายไปจากการเมืองไทย และชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทย ยิ่งทำให้อำนาจในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้น นักวิเคราะห์อิสระชี้ว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อนักการเมืองหน้าใหม่อย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งกำลังพยายามออกจากเงาของพี่ชาย และยืนยันความเป็นผู้นำที่แท้จริงของประเทศ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ทั้งยังเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ต่อต้าน และผู้สนับสนุนเขาอีก กานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการสยามอินเทลลิเจนซ์ยูนิต กล่าวว่า "ทุกคนรู้ว่าทักษิณเป็นผู้ที่ชักใยรัฐบาลใหม่อยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีใคร (ในรัฐบาล) อยากออกมาป่าวประกาศ" กานต์ยังระบุว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุด ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการอ้างสิทธิความเป็นตัวแทนของประเทศ ทั้งที่ตามหลักการแล้วเขาเป็นนักโทษคดีอาญานั้น เป็นการข้ามหน้าข้ามตาเกินไป "ในปีที่จะมาถึงนี้ ผมคิดว่าเราคงได้เห็นคุณทักษิณพยายามอย่างหนักที่จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง" เขาเสริม ขณะที่ รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะพยายามให้ความช่วยเหลือน้องสาวผู้อ่อนประสบการณ์ แต่แรงจูงใจหลักของเขาก็คือการได้อยู่ในความสนใจ "มันไม่เหมือนว่าเขาจะแข่งขันกับน้องสาวของเขา แต่เขาต้องการให้ทุกคนเห็นว่าเขายังมีบทบาทอยู่ในรัฐบาลใหม่ชุดนี้" รศ.สุขุมชี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 ธันวาคม 2554, 22:38:48 “ประยุทธ์” ไล่พวกอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างชาติให้แก้ ม.112 ไปอยู่ ตปท.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “พล.อ.ประยุทธ์” ชี้แก้ ม.112 เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด ระบุแม้เราเป็นประชาธิปไตยแต่อย่าเลยเถิด ไล่พวกอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างชาติให้แก้ ม.112 ไปอยู่ต่างประเทศ วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ฝ่ายการเมืองพยายามแก้ไขมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง เป็นความเห็นส่วนตัวของแต่ละฝ่าย แต่ในส่วนของตนซึ่งเป็นฝ่ายความมั่นคงและมีหน้าที่ในการพิทักษ์และปกป้อง ซึ่งตนเฝ้าและติดตามอยู่ เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่อย่าให้เลยเถิดจนมากเกินไป เมื่อถามว่า บางฝ่ายพยายามอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศที่ออกมาระบุให้ไทยปรับปรุงมาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไปอยู่ต่างประเทศก็แล้วกัน พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า พยายามกวดขันเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพราะเป็นไม้มีค่าและมีเหลืออยู่ในประเทศไทย ประเทศเดียวในปัจจุบันอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญ เพราะต่อไปในอนาคตลูกลานจะไม่รู้จักไม้ชนิด ไม้พยุงใช้เวลานานกว่าจะโตขึ้นมาและมีลายที่สวนงาม ถ้ามีการตัดกันมากอีกหน่อยก็คงไปอยู่ในต่างประเทศหมด เช่น หน้าปัดเรือ เรือยอชต์ เรือที่มีราคาแพง ซึ่งตนได้ปรึกษากับอธิปดีกรมทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ช่วยดูว่าไม้พะยูงที่เราจับยึดได้จะทำอะไรที่เป็นสมบัติของชาติได้ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม การทำงานทุกอย่างเป็นเรื่องของความมั่นคง ถ้าฝากความหวังกับเจ้าหน้าที่อย่างเดียว อีกหน่อยประเทศชาติก็หายหมด ดังนั้นประชาชนต้องมีส่วนร่วม มีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศและปฎิบัติตามกฎหมาย ถ้าประชาชนไม่หวงแหนทรัพยากรอีกหน่อยประเทศไทยคงอยู่ไม่ได้ อย่าโยนความรับผิดชอบให้เจ้าหน้าที่อย่างเดียว ซึ่งเราต้องรักษาทรัพยกรเหล่านี้ไว้ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงทำมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ท่านก็ทรงห่วงทุกปี ไม่รู้ว่าประชาชนเป็นห่วงอย่างที่พระองค์ท่านทรงห่วงหรือเปล่า ถ้าทุกคนห่วงอย่างที่พระองค์ท่านห่วง คิดว่าผืนป่าคงอยู่ได้อีกนาน พระองค์ท่านต้องการให้ทุกคนมีความรู้สึกเดียวกัน คือ รักบ้านเมืองของเรา ผมคิดว่าเป็นบ้านเมืองที่ความสุข เลิกทะเลาะกันเสียที” ผบ.ทบ.กล่าว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราคงไม่ไปขอความร่วมมือจากประเทศที่เป็นเส้นทางลำเลียงไปขาย จะไปขออะไรใครในเมื่อเราทำผิดกฎหมาย อย่าไปขอใคร อายเขา จะทำอะไรดเราต้องแก้ที่ตัวเราเองก่อน อย่าไปโทษคนอื่นไม่ได้ ถ้าตราบใดที่คนของเราแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวไม่เคารพกฎหมาย อย่าไปขอร้องคนอื่นเลย อายเขา อย่างไรก็ตาม ก็มีการปฎิบัติตามสนธิสัญญาเอ็มโอยู ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อมีโอกาสและมีงบประมาณก็จะให้ทหารไปดูและทำได้เป็นครั้งคราวไม่ใช่ว่าเราเซ็นเอ็มโอยูแล้วคนจะไม่กล้าตัดไม่ สิ่งสำคัญประชาชนต้องเฝ้าระวัง ทุกเส้นทาง หากมีการขนไม้ต้องดูว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ต้องปฎิบัติตามกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ ยอมรับว่าเป็นความผิดของหลายส่วนคงไปโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้ เส้นทางมีหลายหมื่นกิโลเมตรต่อให้มีด่านจำนวนมากก็เล็ดลอดได้หากคนจะทำความผิด ดังนั้น ประชาชนต้องเฝ้าระวังและต่อต้าน คิดว่าประชาชนรู้แต่เกรงกลัวอิทธิพล ส่วนจะเกี่ยวข้องกับนัการเมืองระดับชาติหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 ธันวาคม 2554, 10:22:51 “ประพันธ์” ชี้ชุมนุมไล่รัฐบาลแบบเดิมไร้ผล รอวันแตกหักเท่านั้น
วันที่ 20 ธ.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV นายประพันธ์กล่าวว่า คดีชันสูตรพลิกศพเสื้อแดงสำคัญ ประชาธิปัตย์ทิ้งเรื่องนี้ไว้ ทำให้เพื่อไทยหยิบยกขึ้นมาต่อยอดเพื่อเล่นงานทหาร และประชาธิปัตย์ ฉะนั้น นโยบายสืบสวน ตำรวจตั้งธงไว้แล้ว กลับคำพยานหมดแล้ว เพื่อปรักปรำทหาร เพียงแต่ยืมปากนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ มาสอบสวนเพื่อปิดสำนวนให้สมบูรณ์เท่านั้น อัยการก็รับลูกไว้แล้ว พร้อมไต่สวน 28 ธ.ค. เมื่อเรื่องนี้ไปถึงศาล แน่นอนหลักฐานไปอย่างนั้น ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร เมื่อพบว่าทหารเป็นคนผิดมันก็จะโยงไปยังคดีอาญาและแพร่ง เพราะแม้มี พ.ร.บ.ฉุกเฉินก็ไม่ได้คุ้มครองทั้งหมด คุ้มครองเฉพาะการปฏิบัติตามหน้าที่ เมื่อการไต่สวนบอกว่าทำเกินสมควรกว่าเหตุก็เข้าข่ายความผิด เพื่อไทยทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงขบวนการล้มเจ้าด้วย การปล่อยให้ขบวนการพวกนี้เดินหน้าต่อไป จะทำให้กองคาพยพของสังคมอ่อนแอลง และเขาจะกลับมาเป็นใหญ่ สัญญาณอันตรายมันกำลังใกล้มาถึงแล้ว นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ทำไมรัฐบาลเดินหน้าทุกแนวรบอย่างรวดเร็ว ตนคิดว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่ 1.เขามีความเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่เป็นรัฐบาลได้ไม่นาน 2.โดยลักษณะบุคลิกของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนต้องทำเร็ว 3.ถูกมวลชนเสื้อแดงกดดันให้รีบล้มอำมาตย์ ให้ช่วยฟอกความผิดให้พวกเขา 4.มีกรอบเวลา เช่น คดีชันสูตรพลิกศพ เขาก็เร่งผิดปกติ เช่นพอสำนวนส่งถึงอัยการ ความจริงอัยการมีเวลาอีก 30-90 วัน เห็นจากการที่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เพิ่งไปให้การสัปดาห์ก่อน สำนวนส่งถึงอัยการแล้ว เพราะตั้งธงไว้แล้ว อัยการก็เร็ว จะส่งไต่สวนวันที่ 28 นี้แล้ว ทีนี้พอเดินหน้าเร็ว ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่ความรุนแรง ขบวนการใต้ดินก็เดินแรง พวกไม่เอาเจ้ากำลังร่วมมือกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก็สนับสนุน ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปเนปาล ที่ไปก็เพื่อศึกษาโมเดลล้มเจ้าของประเทศนั้น การเดินเกมเร็ว แน่นอนมันต้องนำไปสู่การปะทะในสังคม เหตุการณ์ภายในปีนี้หรือต้นปีหน้าสถานการณ์การเมืองร้อนแน่ และอาจถึงจุดแตกหัก เชื่อว่าเรื่อง 16 ศพ กองทัพกำลังตกเป็นเบี้ยล่างของรัฐบาล และตกเป็นลูกไล่ของตำรวจ เกียรติภูมิกองทัพไม่เหลือเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วศาลก็ต้องว่าไปตามสำนวนที่อัยการเสนอมา น่าเป็นห่วง ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ แต่ด้วยความใจร้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะนำไปสู่การปะทะในทางการเมืองเร็วๆ นี้ นายประพันธ์กล่าวต่ออีกว่า ต่อไปนี้การชุมนุมแบบเดิมๆที่พันธมิตรฯเคยชุมนุมจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะพัฒนาการของความขัดแย้งมันเลยขั้นการชุมนุมเพื่อตัดสินปัญหาแล้ว เมื่อก่อนเราชุมนุมเพราะเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณมาจากการเลือกตั้ง นึกว่าอยู่ในอารยชน จะฟังเสียงประชาชนและพิจารณาตัวเอง แต่วันนี้ได้ทดสอบแล้วว่ามันถูกปกครองโดยทรชนประชาธิปไตย ยุคนี้ยิ่งหนักเป็นยุคโจรครองเมือง แล้วจะไปชุมนุมเรียกร้องจากโจรหรือ การต่อสู้ต่อไปนี้ต้องดูว่าสู้กันด้วยรูปแบบไหน การชุมนุมถ้าจะเกิดขึ้นต้องลุกฮือขึ้นแบบปฏิวัติ เช่นในประเทศตูนิเซีย อียิปต์ การชุมนุมเรียกร้องให้รับผิดชอบเลิกได้เลย เพราะนักการเมืองไทยด้านเกินพิกัดแล้ว การต่อสู้ต่อไปนี้ยังไม่มีเหตุที่จะมานับจำนวนผู้ชุมนุม ไม่ว่าใครจะจัดการชุมนุมต้องรอดูว่าท้ายที่สุดแล้วขบวนทัพของแต่ละฝ่ายมันจะปะทะกันรูปแบบไหน จะเป็นการปะทะที่รุนแรงแตกหัก สถานการณ์แบบนี้อย่าถามว่าฝ่ายไหนมีเท่าไหร่ ต้องรอดูว่าปะทะเมื่อไหร่ แต่ละฝ่ายจะกรีฑาทัพตัวเองออกมาเท่าไหร่ ขณะที่ นายปานเทพกล่าวว่า ที่ตนพูดถึง 3 สัญญาณอันตรายจุดแตกหักระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ สัญญาณแรกขบวนการจาบจ้วง ดูหมิ่น และอาฆาดมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้มีแรงต่อต้านมาก รัฐบาลก็จะยื้อเวลาให้นานที่สุด เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองมีความเสี่ยง จึงจะยื้อมาตรา 112 ต่อไป แต่สัญญาณที่ 2 เรื่องไทย-กัมพูชา อันนี้มีเวลากำหนด เพราะศาลโลกต้องตัดสินภายในปีหน้า ถ้าไม่ทำอะไรสูญเสียอธิปไตย ทหารต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยให้รัฐบาลยอมรับอำนาจศาลโลกหรือไม่ เป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก สัญญาณที่ 3 การเอาผิดทหารเป็นธงของรัฐบาล ครอบงำกระบวนการสอบสวน น่าจับตาว่าทหารจะทำอย่างไร ระหว่างยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าผลออกมาว่าผิดก็จะมีความผิดทางอาญา สั่นสะเทือนต่อทั้งกระบวนการสายบังคับบัญชา ทหารก็จะเป็นเหมือนตำรวจที่ไม่กล้าทำอะไรอีกในทุกๆ เรื่อง กลายเป็นองค์กรพิกลพิการ ทำให้ความเชื่อมั่นต่อผู้บังคับบัญชาด้อยลงทันที อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งไม่มีใครฟังแล้ว ทีนี้อย่าว่าแต่ผิดเลย แค่ขึ้นสู่กระบวนการไต่สวนเมื่อไหร่ ตนคิดว่าแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาหวาดวิตกว่าตัวเองมีความเสี่ยงว่าต้องผิด ในแง่ของสถาบันกองทัพก็ไม่น่าจะยอมได้ เพราะกระทบต่อกระบวนการบังคับบัญชาทั้งหมด ตนคิดว่าทหารไม่น่าจะยอมให้ไปถึงจุดนั้น ต้องวัดใจทหารว่าจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างรัฐบาลหรือไม่ ทั้งที่ตัวเองไปเสี่ยงกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ส่วนถ้ารัฐบาลจะทำประชามตินิรโทษกรรมเพื่อช่วยทหาร หวังดึงมาเป็นพวก เสื้อแดงก็จะต่อว่ารัฐบาล และขั้นตอนทำประชามติก็ยาวนานมาก ไม่ทันกระบวนการไต่สวน หรือหากรีบก็เป็นไปไม่ได้ เป็นทรยศต่อมวลชนตัวเอง เลยต้องบี้ให้ทหารเป็นผู้แพ้ กระชับอำนาจทหารให้เป็นของตัวเองจนหมดสิ้น ก่อนเข้าสู่กระบวนการแก้พรบ.กลาโหม ก่อนเข้าสู่การแก้กระบวนการยุติธรรมให้เหลือศาลเดียว ที่ตัวเองสามารถได้ประโยชน์มากที่สุด เลยต้องจัดการเป้าทหารให้จบสิ้นก่อน ถึงค่อยเดินเกมอื่น เวลาตอนนี้ภายนอกเหมือนจับมือกัน ทำเป็นเข้าพบทหารมีสัมพันธ์อันดี ก็เพื่อรอสิ่งนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน นายปานเทพกล่าวอีกว่า มักมีคนบอกว่าตอนนี้พันธมิตรฯเหลือนิดเดียว แต่อย่าลืมว่าพันธมิตรฯเคลื่อนตามประเด็น คือ จาบจ้วงสถาบันฯ กับนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ พอเคลื่อนในประเด็นเดียวกัน แม้ต่างกลุ่มกันก็อาจมาร่วมกันได้ ฉะนั้นจำนวนคนไม่สำคัญ คนน้อยหรือเยอะไม่ได้ปัจจัยเสี่ยงต่อพันธมิตรฯเลย แต่เสี่ยงต่อรัฐบาลต่างหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจไม่มีแผ่นดินอยู่แบบพี่ชายก็ได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 21 ธันวาคม 2554, 23:24:34 กูรูใหญ่"มีชัย ฤชุพันธุ์"พูดชัดเจนครั้งแรก ว่าด้วยมาตรา 112 ...ต้องอ่าน!!!
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ 21 ธันวาคม 2554 ในเว็บไซต์ มีชัยไทยแลนด์ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มือกฎหมายรุ่นใหญ่ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานวุฒิสภา ได้มีผู้ถามนักกฎหมายใหญ่เรื่องแก้กฎหมายหมิ่นฯ กราบสวัสดีอาจารย์มีชัยด้วยความเคารพ มีคำถามที่อยากเรียนถามอาจารย์ถึงกระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนต่างๆที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 โดยระบุว่ามาตรานี้มีปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะขณะนี้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยูเอ็นหรือสถานทูตสหรัฐตลอดจนองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหากฎหมายมาตรานี้และเรียกร้องให้มีการแก้ไขแล้วและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างไรในสายตาของต่างประเทศ ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ นายมีชัย ตอบว่า มาตรา 112 ห้ามการกระทำเพียง 3 อย่าง คือ ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามดูหมิ่น และห้ามอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่จะทำกับประมุขของประเทศเลย ทำกับคนธรรมดา ก็ยังไม่ได้ เสรีภาพของบุคคลนั้นย่อมมีขอบเขตอันจำกัดที่จะต้องไม่ไปละเมิดคนอื่น ถ้าคำนึงถึงแต่เสรีภาพของบุคคลโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของคนอื่น สังคมก็คงกลียุค แม้แต่ในอเมริกาเองก็ใช่ว่าเราจะไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายประธานาธิบดีของเขาได้เสียเมื่อไรล่ะ ข้อสำคัญประเทศแต่ละประเทศย่อมมีความระแวดระวังในเรื่องที่ต่างกัน ถ้ามองในแง่มุมของอีกประเทศหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่คนที่เจริญแล้วเขาก็ต้องยอมรับนับถือประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ไปตัดสินจากความคุ้นเคยหรือความเคยชินของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น อเมริกันกลัวการก่อการร้ายจนขี้ขึ้นสมอง ใครจะผ่านเข้าประเทศจะตรวจค้นอย่างละเอียดยิบโดยไม่คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของใคร ถึงขนาดจับแก้ผ้าก็ยังทำ แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็เปิดรื้อค้นเอาเองได้ เมื่อตอนที่อเมริกันตามล่าบินลาเด็นน่ะ เคยจับภาพจากอากาศเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินถือไม้เท้าอยู่เชิงเขา นึกว่าเป็นบินลาเด็น ส่งจรวดราคาแพงไปถล่มตายหมดทั้งกลุ่ม จึงรู้ภายหลังว่าไม่ใช่บินลาเด็น ชาวบ้านเลยตายฟรีนั่นน่ะไม่โหดร้ายป่าเถื่อนเสียกว่ายุคหินอีกหรือ ก็ไม่เห็นคนอเมริกันหรือสหประชาชาติจะไปตำหนิอะไร เพราะความแค้นในเรื่องถูกถล่มตึกยังค้างคาอยู่ในใจ ประเทศสิงคโปร์มีโทษเฆี่ยนตี ให้หลาบจำจะได้ไม่ทำผิดบางอย่าง คนอเมริกันมือซนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่กำแพง เขาจับได้ ลงโทษตีก้นให้ได้อายมาแล้ว จะโวยวายหรือขอร้องอย่างไร รัฐบาลสิงคโปร์ก็ไม่ยอม ไม่มีใครไปเรียกร้องให้เขาแก้ไขกฎหมาย เพราะเขาจะเฆี่ยนตีก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิด เหมือนกับกฎหมายของไทย จะลงโทษก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิดที่ห้ามไว้ มีชัย ฤชุพันธุ์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 22 ธันวาคม 2554, 19:55:54 “ดร.สุเมธ” ถามทำไมต้องแก้ ม.112 ชี้แค่ตัวหนังสือไม่ทำผิดก็ไม่มีผล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “ดร.สุเมธ” เตือนสติรัฐบาล อย่าแก้กฎหมายเพื่อคนๆ เดียว แนะคนไทยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ลดระบบทุนนิยม หวั่นประเทศล่มจม เหมือน “ต้มยำกุ้ง-แฮมเบอร์เกอร์” ย้อนถามทำไมต้องเจาะจงแก้มาตรา 112 ชี้ เป็นแค่ตัวหนังสือ ถ้าไม่ทำผิดก็ไม่มีผล ยกแต่งโคลงกลอนล้อประธานาธิบดียังติดคุก วันนี้ (22 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บรรยายพิเศษเรื่อง การปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพระยุคลบาท โดยมี พล.อ.ดุลกฤต รักษ์เผ่า ผู้บัญชาการหน่วยทหารพัฒนาให้การต้อนรับ ดร.สุเมธ กล่าวตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักธรรม หลักปรัชญา ความคิด ไม่จำเป็นต้องทำเกษตรอย่างเดียว ครู พ่อค้า นักการเมือง เป็นใครก็ได้ สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทั้งนั้น แต่ก่อนที่เราจะมาเข้าใจการประมาณตน ต้องทราบเบื้องหน้าเบื้องหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนี้ขึ้นมาก่อน ว่า ก่อนหน้านั้น มีปรากฏการณ์วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 หรือที่เรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง จนบ้านเมืองล่มจม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็ต้องดูสาเหตุว่าเพราะอะไร ตอนนั้นทุกคนโดนกันถ้วนหน้า เพราะเราทำตามความคิดแบบทุนนิยม เราเดินตามฝรั่งเขา ก็พบจุดจบ เจ้าของทฤษฎีเองก็ล่ม ของเราใช้ชื่อ วิกฤตต้มยำกุ้ง ของเขาใช้ชื่อ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ก็ร่อแร่ไปกันไม่รอด ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า พวกเราทุกคนอาศัยอยู่บนโลกกลมๆ ก็ต้องเข้าใจโลกด้วย การไปตัดไม้ทำลายป่า ธรรมชาติก็โกรธ จนทำให้เกิดน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยรับสั่งว่า เมื่อเขาโกรธ เขาก็จะลงโทษเรา โลกเวลานี้เราไม่ต้องไปคิดถึงเรื่อง เสรีทุนนิยม คอมมิวนิสต์ ทุนนิยม แต่โลกขณะนี้ถูกครอบงำด้วยระบบบริโภคนิยม ไม่ว่าจะอยู่ที่จุดไหนก็ถูกกระตุ้นให้บริโภค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราอย่าให้กิเลสครอบงำ เพราะกิเลสครองโลกมา 2554 ปีแล้ว มนุษย์ไม่เคยชนะมัน มีแต่จะเพิ่มทวีคูณมากขึ้น ทุกคนมีแต่อยากและอยาก พอสะสมมากๆ หนึ่งไม่พอ สองสามก็ตามมา เพราะฉะนั้นควรกินให้พออิ่มพออยู่ แต่นี่กินกันมากมายจนกลายเป็นโรค หลังจากนั้น ดร.สุเมธ ให้สัมภาษณ์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ว่า ไม่ว่าอาชีพใด เช่น นักการเมือง ครู อาจารย์ พ่อค้า นำไปใช้ได้ทั้งนั้น เราต้องมีความพอประมาณของตัวเอง รู้จักตัวเอง เรื่องเงินทอง การดำเนินการไปข้างหน้า จึงใช้เหตุผลเป็นเครื่องนำทาง อย่าใช้กิเลสตัณหา เพราะถ้าใช้กิเลสก็จะเกิดความพินาศจะเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงตัวบุคคล จนไม่สามารถเดินหน้าได้ ให้ใช้เหตุผล สติและปัญญาเป็นเครื่องนำทาง นอกจากนี้ อย่าประมาท ถึงแม้จะทำอะไรไม่เกินตัว แต่ความไม่แน่นอนก็มีเหมือนกัน พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่บัดนี้ การจะดำเนินการใดๆ ก็ตาม เราไม่ได้ปิดประตูไม่คบหาใคร เราต้องรอบรู้เหตุการณ์รอบๆ บ้านและรอบโลก ว่า เขาเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เราจะได้ปรับให้เข้ากับยุคสมัยได้ สำหรับเรื่องคุณธรรม ธรรมาภิบาล จริยธรรม ต้องมีศีลธรรมและคุณธรรม อย่ากิน อย่าโกง อย่าทุจริตคอร์รัปชัน จะมีชีวิตที่สมดุลและยั่งยืน เมื่อถามว่า รัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ควรนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้หรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ใครจะมีอาชีพอะไรใช้ได้ทั้งนั้น และต้องใช้ด้วย ถ้าหากจะยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง สื่อมวลชน ประชาชน หากใครไม่ใช้ธรรมะ ตนคิดว่ามีความเสี่ยง เมื่อถามว่า ตอนนี้เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศหรือไม่ ดร.สุเมธ ย้อนถามสื่อว่า สื่อเห็นหรือไม่ เมื่อถามย้ำว่า ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองมองอย่างไร ดร. สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้ เป็นผู้ใหญ่แล้ว มองไม่ค่อยไกล ตาฝ้าฝางหมดแล้ว มองไม่ค่อยเห็นหรอก เมื่อถามว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะเกิดปัญหาขึ้นมาหรือไม่ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรืออีกหลายเรื่องที่มองว่าทำ เพื่อคนๆ เดียว ดร.สุเมธ กล่าวว่า ใช้เศรษฐกิจพอเพียง เหตุผลเป็นเครื่องนำทาง คำว่ามีเหตุมีผล อะไรที่ถูกต้อง อะไรที่เป็นธรรม โดยมีความยุติธรรม และถ้าทุกอย่างดำเนินการถูกต้อง ปัญหาไม่น่าจะมี เมื่อถามว่า การแก้ไขกติกาสูงสุดของประเทศเพื่อคนๆ เดียว ถูกต้องหรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า คิดว่านั้นคือหลักสากลสำหรับคนทั่วไป กฎหมายออกแบบไว้สำหรับคนทุกคน เมื่อถามย้ำว่า ไม่ใช่ไปแก้เพื่อคนใดคนหนึ่ง ดร.สุเมธ กล่าวว่า ก็แน่นอนที่สุด เมื่อถามว่า การแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เหมาะสมหรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า กฎหมายอาญา มีตั้งกี่ร้อย กี่พันมาตรา ทำไมจำเพาะเจาะจงถึงต้องแก้อันนี้ กฎหมายคือกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำผิด เขาก็อยู่ในกระดาษเท่านั้นเอง ก็อย่าทำผิดก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอะไรต่างๆ เราต้องแก้ด้วยหรือ หากเราไม่ไปฆ่าใคร ก็คงไม่มีใครมาจับไปขังเข้าคุก แต่ตราบใดที่เราทำผิด กฎหมายนั้นถึงออกมาใช้ได้ ซึ่งเหมือนกันหมด “เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เพื่อนมาเล่าให้ฟัง มีคนแต่งโคลงกลอนล้อประธานาธิบดี ถูกติดเข้าคุกเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นมาตราอะไร ของฝรั่งเขา ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เขาก็โดนลงโทษ ที่ไหนในโลกนี้เขาก็มีกันทั้งนั้น” ดร.สุเมธ กล่าว เมื่อถามว่า เหตุผลที่หยิบยกมาอ้างคือไม่เป็นไป ตามกฎหมายสากล ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้มีเหตุผลหรือเปล่า ถ้ามีเหตุผลก็พอฟังได้ ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่ต้องฟัง เมื่อถามว่า เรื่องนี้อาจจะทำให้ถูกปลุกปั่นจนเกิดการเผชิญหน้าของประชาชน 2 กลุ่ม ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้ต้องไปถามคนปลุกปั่น ตนไม่ได้ปลุกไม่ได้ปั่น และก็ไม่เคยถูกปลุกถูกปั่น ก็เลยไม่รู้ เมื่อถามว่า รัฐบาลต้องเข้าไปดูแลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใช่หรือไม่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่รู้ เพราะไม่ใช่รัฐบาล เมื่อถามย้ำว่า ท่านมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) น่าจะให้คำแนะนำได้ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ตนเป็นที่ปรึกษาเรื่องน้ำ ไม่เกี่ยวอะไรเลย เป็นแค่ที่ปรึกษาไม่เกี่ยวข้องอะไร เวลาบริษัทล้ม ที่ปรึกษาลอยลำไม่ได้รู้เรื่องอะไร กับเขาด้วย ไม่ต้องรับผิดชอบ เมื่อถามว่า แต่ท่านมีโอกาสให้คำปรึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ดร.สุเมธ กล่าวว่า เป็นที่ปรึกษาเรื่องน้ำ หากเป็นปัญหาเรื่องส่วนรวมบ้านเมืองก็ต้องช่วยกัน แต่ถ้าเป็นปัญหาเรื่องการเมืองตนก็ไม่ยุ่ง แต่นี้ปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องบ้านเมืองก็ต้องเข้าไปช่วย มีอะไรแนะได้ก็แนะไป เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในภาวะเปราะบางหรือไม่ ดร.สุเมธ ย้อนถามว่า คนไทยเป็นห่วงหรือไม่ สื่อช่วยถามต่อให้หน่อย สำหรับตนคงไม่ต้องถามแล้ว โดยตำแหน่งโดยหน้าที่ เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๋ย 22 ที่ 23 ธันวาคม 2554, 23:20:42 (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd958827_4691234_2225319_7726345photo.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 ธันวาคม 2554, 13:11:54
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 25 ธันวาคม 2554, 11:19:13
นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด นักการเมืองแจกแท็บเล็ต กษัตริ์แนะเคล็ดวิชา นักการเมืองห่วงอำนาจ มหาราชห่วงประชา นักการเมืองสร้างสัญญา องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม นักการเมืองหาเรื่องกิน องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ ***นักการเมืองยุให้รำฯ ในหลวงยํ้าให้ทำดี นักการเมืองมักแบ่งขั้ว องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี นักการเมืองทำสี่ปี องค์ภูมีทำทุกวัน นักการเมืองชอบแบ่งเสียง พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน นักการเมืองคิดสั้น องค์ราชันคิดยาว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ธันวาคม 2554, 21:05:18
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ธันวาคม 2554, 21:07:32 ปชป.ชูหลักฐานดีเอสไอลบหมายจับ - ยื่นถอดถอน “ปึ้ง” สัปดาห์นี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ทีมฎหมายประชาธิปัตย์เตรียมยื่นถอดถอน “สุรพงษ์” สัปดาห์นี้ “ถาวร” เผยใช้ข้อมูลเว็บไซต์ดีเอสไอออกหมายจับ “นช.แม้ว” ก่อนถูกลบ เสนอประกอบคำร้องขอถอดถอน พร้อมเล็งเอาผิด ขรก.มือลบข้อมูลช่วย “ปึ้ง” อัด “ธาริต” สีไม่เปลี่ยนแต่อุดมการ์เปลี่ยน ขู่มีเอี่ยวจัดการแน่ วันที่ 25 ธ.ค. นายถาวร เสนเนียม รมว.ยุติธรรมเงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมการยื่นถอดถอนนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศว่า ขณะนี้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคกำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมด คาดว่าจะยื่นถอดถอนได้ในสัปดาห์นี้ โดยตนจะนำข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่เคยเปิดเผยสาธารณชนในเว็บไซต์ แต่ได้ถูกลบข้อมูลออกไป หลังจากที่นายสุรพงษ์ได้ทำการออกพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ถูกต้อง ซึ่งแสดงเห็นว่ามีการสนับสนุนข้ออ้างให้กับนายสุรพงษ์ว่าไม่เคยมีการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน “นับเป็นความโชคดีที่ผมได้สำเนาข้อมูลการออกหมายจับบนเว็บไซต์มาเก็บไว้ก่อนล่วงหน้าเพราะมีลางสังหรณ์ใจว่าเว็บไซต์ดังกล่าวจะถูกลบออกไป และปรากฏว่าเป็นจริงตามคาดหมาย แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุดมีสองหน่วยงานทำงานประสานเพื่อที่จะออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ การที่อธิบดีดีเอสไออ้างว่าปิดเว็บไซต์เพื่อการปรับปรุงนั้น ฟังไม่ขึ้น และที่อ้างว่าไม่ได้เปลี่ยนสี อยากถามกลับไปว่า แบบนี้ทุกคนก็พูดได้ แต่การกระทำดังกล่าวที่ลบหมายจับออกจากเว็บไซต์ของดีเอสไอ คุณเปลี่ยนอะไร เปลี่ยนความคิด หรือเปลี่ยนอุดมการณ์หรือไม่” นายถาวรกล่าว นายถาวรกล่าวว่า นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะนำข้อมูลนี้ไปเป็นหลักฐานหนึ่งในการประกอบยื่นคำร้องถอดถอนนายสุรพงษ์แล้ว จะมีการดำเนินการต่อไปกับดีเอสไอด้วย โดยจะตรวจสอบระเบียบภายในดีเอสไอว่าข้าราชการระดับไหนที่ดำเนินการลบข้อมูลเรื่องนี้ หรือมีพฤติกรรมสนับสนุน อำนวยความสะดวกให้นายสุรพงษ์ออกพาสปอร์ตหรือไม่ และหากพบว่านายธิริต เพ็งดิษฐ์ มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการด้วย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ธันวาคม 2554, 21:14:24 นักข่าวให้ฉายาสภา “กระดองปูแดง” ยิ่งลักษณ์-ดาวดับ สมศักดิ์-ค้อนปลอมตราดูไบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ สภาไทยปี 2554 ได้ฉายา"กรดองปูแดง" นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ฉายา"ค้อนปลอมตราดูไบ" น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ได้ฉายา"ดาวดับ" นักข่าวขนานนามสภาฯ “กระดองปูแดง” - “ยิ่งลักษณ์” สอบตกรับตำแหน่ง “ดาวดับ” ส่วน “อภิสิทธิ์” รับฉายา “หล่อดีเลย์” หลังเป็นฝ่ายค้านฟิตทำงานกว่าตอนเป็นนายกฯ ด้านประธาน “สมศักดิ์” โดนเหน็บ “ค้อนปลอมตราดูไบ” สะท้อนการทำงานเอนเอียง-ไม่เด็ดขาด “รังสิมา” ขึ้นชั้น “ดาวเด่น” ขณะวุฒิสภารับฉายา “สังคโลก” แค่เครื่องประดับเก่า ไร้บุคคลคู่ควร งดมอบ “คนดีศรีสภา” หมายเหตุ : ตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกปี สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้ระดมความเห็นในการตั้งฉายาผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในรอบปี 2554 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา เล็งเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านการเมืองของประเทศ และขอยืนยันว่าการตั้งฉายาดังกล่าวได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ ปราศจากการแทรกแซงจากทุกฝ่าย และซึ่งการพิจารณาทั้งหมดได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา โดยผลการพิจารณามีดังต่อไปนี้ 1.เหตุการณ์แห่งปี : องค์ประชุมรัฐสภาล่มวันแถลงนโยบายของรัฐบาล เป็นเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นกลางดึกเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแถลงนโยบายของรัฐสภาต่อที่ประชุมรัฐสภา สืบเนื่องมาจากการที่ ส.ส.ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนนำมาสู่การประท้วงอย่างวุ่นวายส่งผลให้ต้องพักการประชุมนานถึง 40 นาที ต่อมา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา สั่งให้นับองค์ประชุมถึง 2 ครั้งก่อนลงมติว่าจะปิดการอภิปรายตามที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เสนอหรือไม่ โดยครั้งสุดท้ายมีองค์ประชุมเพียง 314 ไม่ถึงกึ่งหนึ่งจำนวน 325 เสียงของการประชุมร่วมัฐสภา จึงสั่งปิดประชุมในเวลา 23.27 น.และนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 25 ส.ค. เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องอย่างร้ายแรงของฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภามีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะก่อนที่รัฐบาลจะสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญต้องผ่านการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาก่อน อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงในรัฐสภามากถึง 300 เสียงแต่กลับไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมได้ 2.วาทะแห่งปี : “คำวินิจฉัยประธาน ถือเป็นที่สิ้นสุด จะผิดหรือถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” มาจากคำพูดของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการแถลงนโยบายของรัฐบาล เพื่อชี้แจงต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกรณีการทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อวินิจฉัยในประเด็นที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายพาดพิงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างนั้นเหตุการณ์เป็นไปอย่างตึงเครียด จนท้ายที่สุดนายสมศักดิ์ใช้อำนาจวินิจฉัยด้วยด้วยคำพูดว่า... “ผมฟังอยู่ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นครับ ท่านครับ ท่านสมาชิกครับ ผมขออนุญาตนิดเดียวครับ ข้อบังคับที่พวกเราร่างขึ้นมาเป็นกติกาให้อำนาจประธานเป็นผู้วินิจฉัยแล้ว ถือว่าเป็นเด็ดขาด ส่วนผิดหรือถูกอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมถือว่าผมวินิจฉัยแล้วต้องเป็นเด็ดขาดครับ ไม่อย่างนั้นมันจบไม่ได้ครับ” (รายงานการประชุมรัฐสภาสามัญทั่วไปครั้งที่วันที่ 23-24 ส.ค. 2554 หน้า 740) คำพูดดังกล่าวได้สะท้อนถึงบุคลิกการทำหน้าที่ของนายสมศักดิ์ที่ให้ความสำคัญต่ออำนาจของประธานควบคุมการประชุมตามข้อบังคับที่เป็นลายลักษณ์อักษร 3.ฉายาสภาผู้แทนราษฎร : กระดองปูแดง การเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ทำให้พรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากในสภาฯ โดยการทำงานของสภาฯภายใต้เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยกลับให้ความสำคัญกับการปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้มีอีกสถานะหนึ่ง คือ น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมีแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง เข้ามาดำรงตำแหน่ง ส.ส.มากกว่า 20 คน โดยทุกครั้งในการประชุมสภาฯ หรือรัฐสภา หากมีการพาดพิงถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวชินวัตร ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ก็จะถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมากลุกขึ้นตอบโต้อย่างดุเดือดจนการประชุมสภาฯ ต้องหยุดชะงักหลายครั้ง ดังนั้น สภาฯ ชุดที่ 24 ภายใต้เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยที่มักอ้างเสมอว่ามีมวลชนคนเสื้อแดงกว่า 15 ล้านเสียงสนับสนุน จึงเปรียบเสมือนเป็นกระดองสีแดงปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีชื่อเล่นว่า “ปู” 4.ฉายาวุฒิสภา : สังคโลก บทบาทของวุฒิสภาในช่วงที่ผ่านมาสังคมต่างให้ความเชื่อมั่น พร้อมกับคาดหวังไว้สูงว่าจะปฏิบัติหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเพื่อกำกับและดูแลการทำงานของสภาฯ และกลั่นกรองกฎหมาย แต่การทำงานในรอบปีที่ผ่านมาวุฒิสภากลับไม่มีบทบาทเป็นที่ประจักษ์ ทั้งที่ล้วนมาจากบุคคลที่มีความอาวุโส มากประสบการณ์จากหลากหลายสาขาอาชีพ เปรียบเสมือนเครื่องสังคโลก วัตถุโบราณที่มีคุณค่าาในตัวเองทุกล้วนต้องการเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของ แต่กลับไม่สามารถใช้งานได้จริงเพราะมีคุณค่าเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น 5.ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์) : ค้อนปลอม ตราดูไบ เดิม นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ได้รับฉายาว่า “ขุนค้อน” เมื่อครั้งเป็นรองประธานสภาฯช่วงปี 2540 เพราะได้ใช้ค้อนทุบลงบัลลังค์เพื่อแสดงความเด็ดขาดในการควบคุมการประชุม และก่อนได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาฯนายสมศักดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต่างประเทศท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าไปเสนอตัวจนได้รับเลือกเป็นประธานสภาฯ สมใจ เมื่อได้มาทำหน้าที่ควบคุมการประชุมก็ถูกโจมตีอย่างหนักถึงความไม่เป็นกลางที่เอื้อต่อพรรคเพื่อไทยทั้งในเวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจและการอภิปรายทั่วไปเรื่องปัญหาน้ำท่วม กระทั่งถูกกล่าวหาขั้นรุนแรงว่ารับใบสั่งจากนายใหญ่ดูไบ ทำให้ภาพของขุนค้อนผู้หนักแน่น เด็ดขาด เป็นกลาง ดั่ง “ค้อนปอนด์” ต้องตกต่ำลงอย่างมาก จึงเป็นที่มาของฉายา “ค้อนปลอมตราดูไบ” ในที่สุด 6.ฉายาประธานวุฒิสภา (พล.อ.ธีรเดช มีเพียร) : นายพลถนัดชิ่ง สำหรับ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งหลังจากได้รับการสรรหา เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แต่นับเป็นบุคคลที่สังคมให้การจับตาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเคยผ่านตำแหน่งสำคัญทั้งในกองทัพและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาแล้ว อาทิ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่จากบทบาทที่ผ่านมา พล.อ.ธีรเดช ไม่ได้แสดงบทบาทตามที่เคยแสดงวิสัยทัศน์ในการชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ไม่เพียงเท่านี้ ยังยังเลี่ยงตอบคำถามเพื่อแสดงความคิดเห็นในเหตุการณ์ต่างๆ มักอ้างว่า “ผมจำไม่ได้” หรือ “ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ต้องไปถามผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง” เหมือนชิ่งตัวเองออกจากปัญหา ทั้งที่ควรจะแสดงบทบาทให้เข้มแข็งและเด็ดขาดสมกับเป็นอดีตนายพลในกองทัพ 7.ดาวเด่น : น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ การทำงานของ น.ส.รังสิมา นับตั้งแต่เป็น ส.ส.มีความเสมอต้นเสมอปลายโดยเฉพาะการสวมบทมือปราบ ส.ส.นอกแถว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การเปิดโปง ส.ส.ที่ชอบเสียบบัตรแสดงตนแทนกัน การขอให้ประธานสภาฯควบคุมการประชุมให้มีความเป็นกลาง หรือแม้กระทั่งขอความร่วมมือ ส.ส.ไม่ให้ประชุมคณะกรรมาธิการในช่วงวันพุธ หรือวันพฤหัสบดี ซึ่งตรงกับวันประชุมสภาฯ เพราะมีผลให้องค์ประชุมสภาฯเสี่ยงต่อการล่มหลายครั้ง บทบาทเหล่านี้ น.ส.รังสิมาได้ประพฤติปฏิบัติมาตลอดโดยไม่คำนึงถึงว่าช่วงเวลานั้นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล 8.ดาวดับ : น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแม้ว่าจะเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร หนึ่งในอำนาจอธิปไตยของประเทศ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตัดขาดกับงานฝ่ายนิติบัญญัติอย่างสิ้นเชิง ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงท่าทีถึงการไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภาหลายครั้ง ทั้งที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าพร้อมจะให้ความร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อร่วมนำพาประเทศผ่านพ้นปัญหาต่างๆ สร้างความหวังให้แก่สังคม ไม่ต่างอะไรจากกับการเป็นดาวเด่นในทางการเมืองภายหลังประสบความสำเร็จจากการบริหารธุรกิจของครอบครัวชินวัตร สำหรับพฤติกรรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงออกจนนำมาซึ่งคำครหาว่า “หนีสภา” หลายต่อหลายครั้ง เช่น การไม่แสดงบทบาทนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้ามาไกล่เกลี่ยระหว่าง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งต่างกับอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคนก่อนหน้านี้พยายามจะเข้ามาเป็นตัวกลางสร้างความประนีประนอมให้กับทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อให้งานสภาฯเดินหน้าไปได้ หรือการมอบหมายให้รัฐมนตรีหรือรองนายกฯเป็นผู้ตอบกระทู้ถามสดแทนการตอบด้วยตัวเองหลายครั้งท่ามกลางข้อสงสัยว่าเป็นการมอบหมายให้บุคคลอื่นชี้แจงแทนมากเกินความจำเป็นหรือไม่ ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับตำแหน่งดาวดับไปโดยปริยาย 9.คู่กัดแห่งปี : นายอรรถพร พลบุตร vs นายจตุพร พรหมพันธุ์ การประชุมสภาฯ มีหลายครั้งที่เกิดวิวาทะระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างกรรมต่างวาระและต่างคู่กรณี แต่การฟาดฟันระหว่าง นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ต้องยกให้เป็นมวยคู่เอกทุกครั้งไป เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่ทั้ง 2 คนนี้เชือดเฉือนคำพูดกันได้เป็นชนวนก่อให้เกิดเหตุประท้วงกันแบบบานปลายระหว่าง ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งส่วนใหญ่ประเด็นที่ทั้ง 2 คนมักจะโต้คารมกัน คือ การพาดพิงถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 10.คนดีศรีสภา : งดการเสนอชื่อบุคคล สำหรับตำแหน่งคนดีศรีสภา สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มีบุคคลที่เหมาะสมกับการได้รับตำแหน่งดังกล่าว ถึงแม้จะมี ส.ส.และ ส.ว.หลายคนแสดงบทบาทการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม หรือ การแสดงออกผ่านการร่วมประชุมรัฐสภาในวาระต่างๆ แต่ทว่ายังไม่ปรากฏว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดแสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัด สื่อมวลชนประจำรัฐสภาจึงความเห็นร่วมกันของดการมอบตำแหน่งคนศรีสภาประจำปี 2554 ออกไป 11.ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) : หล่อดีเลย์ ด้วยบทบาทการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากแพ้การเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยไม่สำเร็จ แม้จะพยายามทำหน้าที่ชี้แนะตรวจสอบรัฐบาลถึงปัญหาน้ำท่วม นโยบายด้านต่างๆ รวมถึงการเสนอทางออกเพื่อความปรองดอง แต่ไม่สามารถวิจารณ์ได้เต็มปาก เนื่องจากถูกย้อนศรจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสมัยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ไม่ว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมก่อนหน้านี้ หรือการเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ ข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ในตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯที่เป็นประโยชน์หลายเรื่อง จึงถูกวิจารณ์ว่าเหตุใดไม่แก้ปัญหาอย่างที่ได้พูดเอาไว้ตั้งแต่เป็นนายกฯ กลายเป็นที่มาของ “หล่อดีเลย์” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ธันวาคม 2554, 22:02:49 ทักษิณ'โชว์พลัง ภาวะผู้นำ'ปู'ถดถอย
Posttoday.com โดย...ทีมข่าวการเมือง การปรากฏภาพเขย่ามือร่วมกัน (Shake Hand) ระหว่าง อองซานซูจี ผู้นำประชาธิปไตยของพม่าและ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กลายเป็นจังหวะก้าวทางการเมืองที่สำคัญของรัฐบาลไทยในสายตาชาวโลกในฐานะพี่เบิ้มภูมิภาคอาเซียน ท่ามกลางสายตาของชาวโลกที่กำลังดูว่าไทยจะมีท่าทีอย่างไรต่อการสร้างประชาธิปไตยของพม่า ปรากฏว่าในไทยต่างจับตารัฐบาลของยิ่งลักษณ์แบบตาไม่กะพริบเช่นกัน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่าเป็นผู้กำกับให้กับนายกฯ น้องสาวด้วยตัวเอง “ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและพม่าไม่เคยจืดจางนับตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นรัฐบาล เพราะผมไม่เคยใช้ไม้แข็งกับพม่าอย่างที่ชาติมหาอำนาจทำกัน ผมมักใช้ไม้อ่อนมากกว่า ...ภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ไทยจะได้รับผลประโยชน์ต่างๆ มากมายจากพม่า รวมถึงข้อตกลงด้านพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มากขึ้น” พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยระหว่างการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หากมองท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในมิติของนักธุรกิจ แน่นอนว่าเป็นการมองพม่าแบบวิสัยทัศน์ ในฐานะที่กำลังจะเป็นประเทศเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอาเซียน หลังจากพม่าปิดประเทศมานานกว่า 2 ทศวรรษ ด้วยเหตุผลทางการเมืองแบบไม่แยแสชาวโลก ทำให้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจของพม่า ซึ่งไม่เคยถูกดูดออกมาใช้กลายเป็นขุมทองของนักลงทุนทั่วโลกไม่ใช่แค่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดีย ทว่าในความเป็นจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นแค่มหาเศรษฐีธรรมดา แต่ยังมีสถานะเป็นถึงพี่ชายของ ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีของไทยด้วย ดังนั้นการแบไต๋ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ในการกรุยทางให้น้องสาวเข้าพม่า จึงไม่อาจปฏิเสธเสียงครหาไปได้ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับผลประโยชน์ในพม่าเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังสั่งการให้ธนาคารเพื่อการนำเข้าและการส่งออกแห่งประเทศไทยปล่อยสินเชื่อให้กับพม่าเพื่อนำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคมของไทย กรณีดังกล่าวได้นำมาสู่การพิพากษาในเวลาต่อมาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า การดำเนินการของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทของครอบครัวในฐานะตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) “เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และคู่สมรส ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างแท้จริงในบริษัท ไทยคม และบริษัท ไทยคม มีสัดส่วนของการถือหุ้นถึงกว่าร้อย 51 จึงเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินกู้สินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่รัฐบาลสหภาพพม่า องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเสียงข้างมากว่า การดำเนินการกรณีนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ไทยคม และบริษัท ชินคอร์ป” (คำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดียึดทรัพย์ประกาศในราชกิจจานุเบกษาหน้า 110) อย่าได้แปลกใจหาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องเผชิญกับเสียงครหาไล่หลังตามมาอีกครั้ง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลชุดนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นซูเปอร์นายกฯ เหนือยิ่งลักษณ์อีกชั้นหนึ่ง สะท้อนได้จากนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาอย่าง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เป็นผลให้เกิดความกริ่งเกรงว่าท่าทีของไทยต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจในพม่าที่จะออกมาในระยะยาวภายใต้รัฐบาลชุดนี้จะมี พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ประเด็นนี้กำลังนำพารัฐบาลเข้าสู่จุดเปราะบางต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอีกครั้ง เมื่อพบว่ายิ่งลักษณ์แสดงท่าทีไม่ตอบรับหรือปฏิเสธความเคลื่อนไหวของพี่ชายในบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีในทำนองว่า “ต้องบอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีเราไม่ควรปิดกั้น แต่การตัดสินใจการทำงานทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐบาลที่ดำเนินการเองทั้งหมด” ซึ่งไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยว่าการตัดสินใจในนโยบายของรัฐบาลไทยต่อพม่าจะปราศจากความคิดอ่านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่ว่าจะมีแต่กรณีของพม่าเท่านั้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งจะมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานการต่างประเทศ แต่กับประเทศกัมพูชา ยิ่งลักษณ์ ก็ยังต้องขอแรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน โดยในช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์มีกำหนดการไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ กลับปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีคิวไปพบนายกรัฐมนตรีฮุนเซนเช่นกัน แม้ว่าทั้งพี่ชายและน้องสาวจะไม่ได้พบหน้ากันที่กัมพูชา แต่ครั้งนั้นก็เป็นที่จับตาของสังคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กับ ฮุนเซน จะมีการเจรจากันเรื่องผลประโยชน์อะไรหรือไม่ โดยเฉพาะการบริหารจัดการด้านพลังงานในทะเลร่วมกันของทั้งสองประเทศ กลายเป็นภาระของยิ่งลักษณ์ต้องแบกหน้าชี้แจงต่อสาธารณชนหลายครั้งว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นเพียงการพบกันตามปกติเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในมุมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมต้องการเจตนาดีและเสริมเขี้ยวเล็บให้กับยิ่งลักษณ์มากขึ้น เพราะการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาตัวเองออกหน้าไปก่อนในด้านการต่างประเทศย่อมช่วยให้ยิ่งลักษณ์มั่นใจมากขึ้นแน่นอน หลังจากเมาหมัดในช่วงการบริหารน้ำท่วมที่ผ่านมา เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เล็งเห็นยิ่งลักษณ์แล้วว่าเพียงแค่งานในประเทศหรือการจะชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมยังยากลำบาก ยกตัวอย่างในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้แสดงอาการประหม่าพูดผิดๆ ถูกๆ หลายครั้ง จนกลายเป็นข้อติฉินนินทาของสังคมกันอย่างสนุกปาก เรียกได้ว่าเสียรังวัดไปพอสมควร หมดลายอดีตซีอีโอบริษัทมหาชนใหญ่ของประเทศไทย ดังนั้น หากยิ่งลักษณ์ปล่อยไก่กลางงานต่างประเทศ ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน แถมยังเป็นลูกโซ่มาถึงพรรคเพื่อไทย ทว่าการปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามามีส่วนร่วมกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของยิ่งลักษณ์ในสายตาคนภายนอกย่อมลดลงมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากสะท้อนว่ายิ่งลักษณ์ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำมากพอกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศ สิ่งที่ตามมาคือ ประสิทธิภาพในการสั่งส่วนราชการ อนาคตอาจเป็นไปได้ที่จะสั่งใครไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ ไม่มีบารมีทางการเมือง โดยทุกอย่างต้องไปขึ้นตรงกับอดีตนายกฯ ทักษิณ เท่านั้น ภาพของยิ่งลักษณ์ก็เป็นเพียงหุ่นเชิด นอกจากนี้ มั่นใจได้เลยว่าหากยิ่งลักษณ์ยังไม่สร้างความเข้มแข็งทางการเมืองขึ้นมาด้วยตัวเอง ผลกระทบระยะยาวย่อมจะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลวร้ายสุดการไร้ภาวะผู้นำจะกัดเซาะพรรคเพื่อไทยไปตลอดอายุของสภา ถึงเวลานั้น ไม่อยากคิดว่าประเทศชาติจะบอบช้ำขนาดไหนท่ามกลางความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลและการก้าวไม่ข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ธันวาคม 2554, 21:12:00 สื่อตั้งฉายารัฐ “ทักษิณส่วนหน้า” “ปู-นายกฯ นกแก้ว” “เหลิม-กุมารทองคะนองศึก”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ สื่อมวลชนประจำทำเนียบตั้งฉายารัฐบาล “ทักษิณส่วนหน้า” “ยิ่งลักษณ์” นายกฯ นกแก้ว “ยงยุทธ” ทักษิณโด้โชวห่วย “เฉลิม” กุมารทองคะนองศึก “ประชา” อินทรีหลงป่า “สุรพงษ์” ปึ้งเป้าเป๊ะ “โกวิท” ประแจปากตาย “กิตติรัตน์” ปุเลง...นอง “พิชัย” ไอเดียกระฉอก “ธีระ” ขงเบ๊ “ปลอดประสพ” ผีเจาะปลอด “น้ำตาที่ไหลไม่ได้มาจากความอ่อนแอ ใครไม่โดนไม่รู้ มันเป็นอารมณ์ร่วม” ของ “ปู” รับวาทะแห่งปี หมายเหตุ : การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปีของผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล จากประสบการณ์การทำงานที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะ โดยมิได้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่มาจากมติส่วนรวมของสื่อมวลชน โดยในปีนี้ ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลได้ประชุม และมีมติให้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2554 ดังนี้ ฉายารัฐบาล : ทักษิณส่วนหน้า การบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถสลัดภาพว่ามีพี่ชายอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังได้ จนรัฐบาลชุดนี้เปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องทำตามสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิด และวางไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประชานิยมที่ชูสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ผู้ที่มีสิทธิได้ตำแหน่ง ต่างเดินทางไปถึงดูไบเพื่อแสดงวิสัยทัศน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ไปกรุยทางให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ นอกเหนือไปจากการการันตี ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือ โคลนนิงของตัวเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี : นายกฯ นกแก้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้หญิงที่มีความสวย บุคลิกดี มีความความโดดเด่น คล้ายกับนกแก้วที่มีสีสันสวยงาม แต่กลายเป็นนกแก้วที่ต้องติดอยู่ในกรงทอง ไม่สามารถบินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบดูแลอย่างใกล้ชิด บทบาทที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงต่อสาธารณชน จึงเป็นเพียงนกแก้วที่พูดตามบทที่มีคนเขียนหรือบอกให้พูดเท่านั้น และลักษณะการตอบคำถามของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มักพูดซ้ำไปซ้ำมา หรือวกวนจนไม่รู้ข้อเท็จจริงคืออะไร หลายครั้งก็พูดผิดกระทั่งตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย : ทักษิโด้โชว์ห่วย เคยเป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากประวัติการทำงานที่เป็นถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล นายยงยุทธจึงถูกวางตัวให้รับตำแหน่งสำคัญในฐานะ รมว.มหาดไทย เพื่อตอบแทนความภักดีที่คอยดูแลพรรคในช่วงเวลาที่ตกต่ำสุดขีด แต่นอกจากการเป็นผู้ที่แต่งกายและมีบุคลิกดีคล้ายผู้ชายใส่ “ทักซิโด” เมื่อถึงเวลาแสดงผลงานกลับสอบตก “โชว์ห่วย” จนมีเสียงเรียกร้องภายในพรรคให้ปรับออกจากตำแหน่ง คำว่า “ทักษิโด้” ในที่นี้ยังเป็นการล้อจากชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้อยู่เบื้องหลังของการได้มาซึ่งตำแหน่งของ นายยงยุทธ ด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี : กุมารทองคะนองศึก กุมารทองมักสวมเครื่องทรง แทนสัญลักษณ์ของผู้มีตำแหน่งสำคัญ โดยลักษณะทั่วไปของกุมารทองคือจะทำงานตามคำสั่งและทำเพื่อประโยชน์ของผู้เลี้ยงเท่านั้น เช่นเดียวกับ ร.ต.อ.เฉลิมที่จะทำงานตามคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังมักจะเป็นพรายกระซิบคอยบอกบทของเพื่อนรัฐมนตรีระหว่างการชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม ยังมีความซุกซน ชอบเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องที่ไม่ใช่งานในความรับผิดชอบของตัวเอง หวังเพียงสร้างประเด็นข่าว และยังมีความคึกคะนองพร้อมที่จะประกาศศึกกับใครก็ได้จนบางครั้งกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม : อินทรีหลงป่า พล.ต.อ.ประชา มีดีกรีเป็นถึงอดีตอธิบดีกรมตำรวจ พื้นเพเป็นคนอีสาน และได้แสดงผลงานการปราบปรามสมัยสวมเครื่องแบบสีกากีอย่างโดดเด่น จนถูกขนานนามว่าเป็น “อินทรีอีสาน” แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกลับได้รับงานที่ผิดฝาผิดตัว คืองานแก้ปัญหาน้ำท่วม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งไม่ใช่งานที่ถนัด อีกทั้งการแก้ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร หลงทิศหลงทาง ส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วมลุกลาม ประชาชนหลายพื้นที่เกิดความขัดแย้ง กระทั่งตัว พล.ต.อ.ประชา ยังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจและถูกฝ่ายค้านยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ : “ปึ้ง” เป้าเป๊ะ “ปึ้ง” เป็นชื่อเล่นของ นายสุรพงษ์ ผู้ที่ถูกสังคมตั้งคำถามนับแต่เข้ารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการรับตำแหน่งสำคัญนี้ได้หรือไม่ แต่ผลงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนผลงานนายสุรพงษ์ เข้าเป้าทุกประการเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และอาศัยจังหวะชุลมุนช่วงน้ำท่วม ออกหนังสือเดินทางให้กับอดีตนายกฯ หรือแม้แต่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี : ประแจปากตาย อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ผู้นี้ เป็นคนที่มีบุคลิกพูดน้อย มีท่าทีแข็งทื่อ คล้ายครั้งทำเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง ทำให้ไม่มีบทบาทตามหน้าสื่อหรือภายในพรรคเพื่อไทย แต่ความจริง พล.ต.ท.โกวิท เป็นตัวเดินเกม และคอยแก้ไขปัญหาให้กับรัฐบาลรวมถึงพรรคเพื่อไทยในหลายๆเรื่อง ที่โดดเด่นคือการกล่อมให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ย้ายจากตำแหน่ง ผบ.ตร.มาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเปิดทางให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็น ผบ.ตร.สมใจ หลังเจ้าตัวรอคอยตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ : ปุเลง...นอง ล้อมาจากคำว่า “บุเรงนอง” ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในนิยาย “ผู้ชนะสิบทิศ” เช่นเดียวกับ นายกิตติรัตน์ ที่เป็นขุนพลด้านเศรษฐกิจ ผู้ประกาศตัวว่า จะเข้ามากู้วิกฤตให้กับประเทศ แต่การทำงานของนายกิตติรัตน์ กลับเป็นไปอย่างติดๆขัดๆ ไม่ราบรื่นเหมือนกับปุเลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีปัญหากับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลังหลายครั้งหลายหน กระทั่งเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ ทะลักเข้านิคมอุตสาหกรรมสำคัญหลายแห่ง สร้างความเสียหายมหาศาล จนกระทั่งนายกิตติรัตน์ ต้องน้ำตานองหน้าต่อคนทั้งประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน : ไอเดียกระฉอก เป็นเจ้าโปรเจกต์ สารพัดคิด หลายเรื่องยังไม่ได้ข้อสรุปในที่ประชุม ก็เป็นเจ้าตัวที่ทำให้กระฉอกออกมา อย่างโครงการนิวไทยแลนด์ที่เจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมกู้เงิน 9 แสนล้านบาทเพื่อมาฟื้นฟูประเทศ แต่สุดท้ายนายกรัฐมนตรีกลับปฏิเสธว่าไม่มีโครงการดังกล่าว หลายไอเดียที่เจ้าตัวคิดออกมาดังๆ แล้วถูกติติงจากผู้รู้ว่าไม่น่าจะนำไปปฏิบัติได้จริง เพียงข้ามวันนายพิชัย ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ใช่ไอเดียของตน เหมือนน้ำที่กระฉอกไป กระฉอกมา หาอะไรแน่นอนไม่ได้ สุดท้ายผลงานเลยไม่เป็นไปตามเป้า นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ : ขงเบ๊ “ขงเบ้ง” เป็นกุนซือคนสำคัญในเรื่องสามก๊ก ซึ่ง นายธีระ เคยนำไปเปรียบเปรยในสภา ถึงปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ว่าต่อให้ขงเบ้งมาเกิดใหม่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งนอกจากนายธีระไม่ใช่คนที่คอยวางแผนให้คนอื่นปฏิบัติตาม ยังจะเป็นคนที่รับคำสั่งจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งงานในกระทรวงเกษตรฯ และการบริหารจัดการน้ำ คำว่า “เบ๊” นอกจากแปลว่าทำตามคำสั่งคนอื่นแล้ว ยังมาจากแซ่ของนายบรรหาร ที่แปลว่า “ม้า” หรือ “อาชา” ด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : ผีเจาะปลอด เป็น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ แต่โด่งดังจากการเตือนภัยว่าน้ำจะท่วม กทม.ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตื่นตูมเกินเหตุ แต่ท้ายสุดน้ำก็ท่วมกทม.จริงๆ นับจากนั้นนายปลอดประสพ จึงมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลเรื่องน้ำ อย่างไรก็ตาม การเตือนภัยระยะหลังของนายปลอดประสพ จะเป็นไปในลักษณะให้ตื่นกลัว มากกว่าตื่นตัว ที่สำคัญด้วยบุคลิกของนายปลอดประสพ ที่เป็นคนพูดเก่ง แม้แต่เรื่องที่ไม่ให้พูด เปรียบเสมือน “ผีเจาะปาก” แต่สำหรับนายปลอดประสพ กลายเป็น “ผีเจาะปลอด” เพราะการพูดแต่ละครั้งมักจะทำให้คนกลัว หรือตกใจ @ วาทะแห่งปี “น้ำตาที่ไหลไม่ได้มาจากความอ่อนแอ ใครไม่โดนไม่รู้ มันเป็นอารมณ์ร่วม” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ ศปภ.ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก หลังจากไม่สามารถสกัดกั้นไม่ให้น้ำเข้ามาท่วม กทม.รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมต่างๆได้ ผลโพลต่างๆ ก็ออกมาตรงกันว่าไม่เชื่อถือการทำงานของรัฐบาล นำไปสู่คำถามที่ว่ารัฐบาลจะสามารถประคองตนจนถึงสิ้นปีหรือไม่ ช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะไปปฏิบัติงานที่ใด น.ส.ยิ่งลักษณ์มักจะหลั่งน้ำตาออกมา จนหลายคนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนภาวะจิตใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองมาแต่ต้น แต่ถูกพี่ชายผลักดันให้มาทวงความเป็นธรรมให้กับตระกูลชินวัตร แม้จะเฉไฉไปว่าร้องให้เพราะเห็นใจประชาชนก็ตาม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 09:56:41 ปชป.กล่าวหา"นิติราษฎร์"รับจ๊อบ-ไม่ควรถือสัญชาติไทย ไล่ไปแก้ ม.112 ต่างแดน
วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์ วันที่ 27 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มนิติราษฎร์ โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล แถลงถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ที่จะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112 ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ว่า กรณีนี้จะสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองให้มากยิ่งขึ้น และขอให้กลุ่มนิติราษฎร์โอนสัญชาติไปเคลื่อนไหวในประเทศที่ให้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ ไม่ควรถือสัญชาติไทย ซึ่งถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนหลักของบ้านเมืองที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ การแก้ไขมาตรา 112 เป็นประเด็นละเอียดอ่อนและจะนำไปสู่ชนวนความขัดแย้งจนบ้านเมืองลุกเป็นไฟจนกระทั่งพรรคเพื่อไทยยังหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องมาตราดังกล่าวแต่กลุ่มนิติราษฎรยังไม่ยอมหยุด “ผมไม่เข้าใจความนึกคิดของอาจารย์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ว่า การที่กฏหมายห้ามหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์จะทำให้บ้านถล่มดินทลาย หรือทำให้คนกลุ่มนี้ขาดใจตายหรืออย่างไร จึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะแก้ไขมาตรา 112” นายอรรถพร กล่าว นายอรรถพร ยังกล่าวตอบโต้ที่นายปิยบุตร ระบุว่า สถานการณ์การใช้มาตรา 112 ไม่ได้ลดความผิดปกติลง และยังคงมีเหยื่อของมาตรานี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า บุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีนี้ทุกคนล้วนแต่มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายความผิดมีพยานหลักฐานชัดเจน ซึ่งมีสิทธิต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความถูกผิดของตนเอง ไม่เคยปรากฏว่า คนบริสุทธิ์ก็ถูกยัดเยียดความผิดหรือตกเป็นเหยื่อของมาตรา 112 คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการบิดเบือนเพื่อตอบสนองเป้าหมายที่ก้าวไปไกลกว่าการแก้ไขมาตรา 112 ดังนั้นตนขอให้กลุ่มนิติราษฎร์หยุดการเคลื่อนไหวโดยเด็ดขาด และอย่าทำตัวเป็นนักวิชาการรับจ๊อบเลียนแบบรัฐมนตรีบางคน ถ้ายังเคลื่อนไหวในประเด็นนี้ต่อไปก็จะเผชิญหน้ากับพลังของความจงรักภักดีที่กำลังหมดความอดทนต่อการกระทำของคนกลุ่มนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 10:47:56 คุมมหาดไทยเบ็ดเสร็จเสริมแกร่งปู-สร้างหมู่บ้านแดง
28 ธันวาคม 2554 โดย...ทีมข่าวการเมือง การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 20 ตำแหน่งตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.นั้น นับเป็นการจัดทัพ วางกำลังขุมข่ายคนของฝ่ายการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย แบบเบ็ดเสร็จอย่างแท้จริง ในการเตรียมรับมือทางการเมืองเพื่อช่วยกันค้ำจุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในการฝ่าวิกฤตรอบด้านที่จะเกิดขึ้นหลังปีใหม่ ทั้งเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาปากท้อง และสารพัดม็อบที่จะเคลื่อนกันออกมา ฉะนั้น ช่วงนี้เก้าอี้ผู้ว่าฯ จึงสำคัญยิ่งต่อเสถียรภาพรัฐบาล ด้วยอำนาจในตำแหน่งดังกล่าวที่ยังทรงอิทธิพลสูงส่งในจังหวัด ทั้งเรื่องพระเดชพระคุณต่อพ่อค้าวาณิช ข้าราชการ และการเมืองส่วนท้องถิ่น รวมไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หากผู้ว่าฯ ออกแรงสั่งการ ทุกฝ่ายย่อมเกรงใจและปฏิบัติตาม ที่สำคัญ พรรคเพื่อไทยจะใช้ผู้ว่าฯ เป็นฐานในการอำนวยความสะดวกในการสร้างหมู่บ้านเสื้อแดงให้เข้มแข็งถาวรสืบไป ดังนั้น การแต่งตั้งผู้ว่าฯ ล็อตนี้ ฝ่ายการเมืองจึงคัดกรองกันเป็นพิเศษ เพราะเป็นการแต่งตั้งเลื่อนระดับ เลื่อนขั้น จากระดับ 9 ในตำแหน่งรองอธิบดีรองผู้ว่าฯ ให้ก้าวขึ้นระดับ 10 ในตำแหน่งพ่อเมือง ซึ่งต้องเป็นคนที่ฝ่ายการเมืองไว้เนื้อเชื่อใจ คนที่ได้รับการแต่งตั้งต้องถือว่าเป็นเด็กของฝ่ายการเมืองอย่างแท้จริง 20 ตำแหน่ง ทั้งโยกย้ายและก้าวขึ้นตำแหน่ง ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามความต้องการของแกนนำในพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น อาทิ “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” หรือเจ๊แดง น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ “พายัพ ชินวัตร” น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร แกนนำพรรคเพื่อไทย และท้ายสุด ต้องได้รับไฟเขียวจาก “ทักษิณ” แม้ว่าคนจัดทำโผจริงๆ จะเป็นคนมหาดไทย อาทิ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีต รมช.มหาดไทย และปลัดมหาดไทย “พงศ์โพยม วาศภูติ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และ “พระนาย สุวรรณรัฐ” ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน แต่สุดท้ายส่วนใหญ่ก็ถูกรื้อ เหลือเพียงไม่กี่คนที่หลุดรอดมาได้ ไล่เรียงที่มาที่ไป 20 ตำแหน่งในการโยกย้ายครั้งนี้ มีเด็ก เจ๊แดง 3 คน เข้าเป้า คือ ธานินทร์ สุภาแสน รอง ผวจ.แม่ฮ่องสอน ได้ขึ้นเป็น ผวจ.เชียงราย เพราะแรงหนุนของเยาวภา เนื่องจากเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกัน ขณะที่อีกคนคือ บุญเชิด คิดเห็น รองอธิบดีกรมที่ดิน ก้าวขึ้นเป็น ผวจ.ลำปาง ด้วยเป็นคนคุ้นเคยกับเจ๊แดงในการประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และ นฤมล ปาลวัฒน์ รอง ผวจ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็น ผวจ.แม่ฮ่องสอน เพราะเคยรับใช้กันในพื้นที่เชียงใหม่ ผลของการดัน นฤมล ทำให้มีการโยกย้าย กำธร ถาวรสถิตย์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน มาเป็น ผวจ.อำนาจเจริญ ขณะที่ คณิต เอี่ยมระหงษ์ รอง ผวจ.อุตรดิตถ์ ได้ขึ้นเป็น ผวจ.บุรีรัมย์ ตามแรงหนุน ของ “พายัพ ชินวัตร” แต่กว่าจะลงตัวก็วิ่งกันฝุ่นตลบ เมื่อทาง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ต้องการดัน “เกษม วัฒนธรรม” รอง ผวจ.น่าน ให้ไปเป็น ผวจ.บุรีรัมย์ หวังเอาไปเล่นงาน “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย เนื่องจาก เกษม เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “เนวิน” มาก่อน อย่างไรก็ตาม เกษม ก็มีจุดอ่อนที่เคยวิพากษ์ทักษิณ และเมื่อ “พายัพ” ยืนกรานเอา คณิต “ยงยุทธ” จึงหันไปหาเป้าหมายใหม่ให้ เกษม โดยไปเบียด อภิชาติ โตดิลกเวชช์ รอง ผวจ.สมุทรสาคร ที่ “วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” รมว.ศึกษาธิการ จองตัวไปเป็น ผวจ.แพร่ เกมนี้ได้ผล “วรวัจน์” เกรงใจ “ยงยุทธ” ยอมให้ เกษม ก้าวขึ้นเป็น ผวจ.แพร่ ส่วน อภิชาติ หลุดโผ ไปอย่างน่าเสียดาย อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ วีระวัฒน์ ชื่นวาริน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ขึ้นเป็น ผวจ.มหาสารคาม ตามแรงหนุนของ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” ทั้งที่เดิม “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย วางตัว ฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาเป็น ผวจ.มหาสารคาม แต่โดนค้านเรื่องถูกสอบถุงยังชีพน้ำท่วมเลยต้องกินแห้ว สำหรับตำแหน่งอื่น ชัยวัฒน์ ลิมป์วรรธนะ รอง ผวจ.กาญจนบุรี ขึ้นเป็น ผวจ.กาญจนบุรี ชนะ นพสุวรรณ รอง ผวจ.สมุทรปราการ เป็น ผวจ.ชัยภูมิ นิมิต จันทน์วิมล รอง ผวจ.นครปฐม ได้ขึ้นเป็น ผวจ.นครปฐม แรงหนุนจาก “เสริมศักดิ์” อนุกูล ตังคณานุกูลชัย รอง ผวจ.ขอนแก่น ขึ้นเป็น ผวจ.นครพนม ตามที่ สส.นครพนม สาย “ไพจิต ศรีวรขาน” อภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ รอง ผวจ.ยะลา ได้ขึ้นเป็น ผวจ.นราธิวาส ตามแรงดันของ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” อดีต รมว.มหาดไทย จิรายุทธ วัจนะรัตน์ รอง ผวจ.เพชรบูรณ์ ก้าวขึ้นเป็น ผวจ.เพชรบูรณ์ ประวัติ ถีถะแก้ว รอง ผวจ.ยโสธร ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ยโสธร เพราะได้รับการผลักดันจาก สส.เพื่อไทยในพื้นที่อย่าง “พีรพันธุ์ พาลุสุข” ขณะที่ เดชรัฐ สิมศิริ รอง ผวจ.นราธิวาส ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ยะลา ประทีป กีรติเรขา รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ศรีสะเกษ พิศาล ทองเลิศ รอง ผวจ.สงขลา ได้ขึ้นเป็น ผวจ.สตูล อย่างไรก็ตาม มีการเด้ง 3 ผู้ว่าฯ เข้ากรุเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง ข้อหาฝักใฝ่ภูมิใจไทย คือ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผวจ.นครนายก ศิริพงษ์ ห่านตระกูล ผวจ.ปราจีนบุรี และ สามารถ ลอยฟ้า ผวจ.ตาก เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวง ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ว่าฯ คนใหม่มาทดแทนแต่อย่างใด ผลจากการโยกย้ายครั้งนี้ เมื่อแยกเป็นสถาบันการศึกษา ปรากฏว่า มีบุคคลที่จบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือ “สิงห์ทอง” 10 ตำแหน่ง ขณะที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “สิงห์ดำ” 4 ตำแหน่ง ส่วนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “สิงห์แดง” 5 ตำแหน่ง ที่เหลือเป็นคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “สิงห์ขาว” 1 ตำแหน่ง ทั้งหมดจะเห็นว่า “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รมว.มหาดไทย แทบไร้บทบาทในการแต่งตั้งครั้งนี้ และนี่เป็นการจัดระเบียบข้าราชการแบบเบ็ดเสร็จของคนในตระกูล “ชินวัตร” ความจริงรัฐบาลได้ล้างบางบิ๊กข้าราชการ ขั้วรัฐบาลประชาธิปัตย์แทบทุกกระทรวง รวมถึงตำรวจมาระยะหนึ่งแล้วอย่างต่อเนื่อง เว้นแต่ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารได้ เพราะมีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาคุ้มครองไว้ จึงทำให้ทางพรรคเพื่อไทยคิดหาทางแก้ พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่จนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้น ทั้งหมดจะเห็นว่า บิ๊กข้าราชการเวลานี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในโอวาทของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 19:15:23 ส.ส.สหรัฐ พรรคเดโมแครต ออกถ้อยแถลงเทิดทูนในหลวง นักพัฒนา ทำเพื่อราษฎร ยึดมั่นใน ปชต.
วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ข่าวสารนิเทศว่า ส.ส.สหรัฐ ได้ออกถ้อยแถลงเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 84 พรรษา โดยตีพิมพ์ในบันทึกการประชุมของรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศได้เคยแจ้งข่าวเกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ พรรครีพับลิกัน ได้ออกถ้อยแถลงเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศขอเรียนเพิ่มว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 นายมิเชล เอ็ม ฮอนด้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเดโมแครต ได้ออกถ้อยแถลงเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตีพิมพ์ในบันทึกการประชุมของรัฐสภา โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.นายฮอนดะกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นทั้งประจักษ์พยานและผู้วางรากฐานการพัฒนาและการเปลี่ยนโฉมของประเทศไทย ให้เข้าสู่ยุคแห่งความมั่งคั่งและการเป็นประเทศสมัยใหม่ ที่มีภาคเกษตรกรรมที่เข้มแข็งและภาคการผลิตและการบริการที่ทันสมัย ด้วยความทุ่มเทในการพัฒนาประเทศและการสนพระราชหฤทัยในความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์ ทำให้ประชาชนชาวไทยและประชาคมโลกพร้อมใจกันถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์ 2.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานอย่างทุ่มเท เพื่อพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของราษฎร โดยพระองค์ทรงนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เหมาะกับภูมิสังคมของพื้นที่และท้องถิ่น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการพัฒนาการเกษตร โดยทรงมีโครงการและสิ่งประดิษฐ์เพื่อพัฒนาความมั่นคงด้านอาหารและสวัสดิการของประชาชนชาวไทยมากกว่า 1 พันรายการ 3.นายฮอนดะยังกล่าวถึง 178 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต พันธมิตรและมิตรภาพที่ยืนยาวระหว่างไทย-สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและผลประโยชน์ ที่ทั้งสองประเทศยึดถือร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นหลักการประชาธิปไตย การปกครองด้วยธรรมาภิบาล และหลักนิติรัฐ 4.นายฮอนดะ กล่าวแสดงความเสียใจต่อชาวไทย ต่ออุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และย้ำว่าสหรัฐ พร้อมให้การสนับสนุนไทยในระยะยาว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ธันวาคม 2554, 19:17:19 ศาลอุดร สั่งจำคุก"ขวัญชัย ไพรพนา"2ปี8 เดือน ไม่รอลงอาญา เหตุปะทะพธม.ที่"หนองประจักษ์"
วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เ ที่ศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 ธันวาคม นายขวัญชัย ไพรพนา หรือสาระคำ ประธานชมรมคนรักอุดร เดินทางมารับฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.อุดรธานี เป็นโจทก์ 7 คน ประกอบด้วย นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ , นายรังษี ศุภชัยสาคร , นางธันยนันท์ จรัสจิรวงศ์ , นายชนะศักดิ์ ผ่องเพลิดพริ้ง , นายแก้ว จันธิชู , น.ส.สุจิรา มีชั้นช่วง และนายรัตนชัย ทองสุข ยื่นฟ้อง นายขวัญชัย เป็นจำเลยที่ 1 และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์สาย “บุรีรัมย์” กล่าวหา "ร่วมกันพยายามฆ่า, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันทำลายทรัพย์สิน" เหตุเกิดที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 โดยนายอุทัยฯได้ตกลงไกล่เกลี่ยกับโจทก์แล้ว ทั้งนี้ ศาลจังหวัดอุดรธานีได้อ่านคำพิพากษา พิจารณายกฟ้องข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า และร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และได้ตัดสินพิจารณาคดีร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้รับอันตราย สาหัส ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน” โดยคำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 ปี ไม่รอลงอาญา ขณะที่ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี 8 เดือน ปรับ 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งภายหลังอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ นายขวัญชัย ได้ใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ราคาประเมิน 300,000 บาท ประกันตัว ส่วนบริเวณหน้าศาลจังหวัดอุดรธานี มีสมาชิกชมรมคนรักอุดร เดินทางมาให้กำลังใจนายขวัญชัย ฯ ประมาณ 30 คน พร้อมทั้งจับกลุ่มนั่งฟังคำพิพากษา ที่ศาลฯได้จัดสถานที่ และต่อลำโพงออกมาภายนอก ให้ได้รับฟังกัน โดยมีกำลังตำรวจมาดูแลความสงบ หลังทราบคำตัดสินแล้วทุกคนต่างยอมรับคำตัดสิน และไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนายขวัญชัย เดินทางลงมาจากศาลฯ ต่างก็พากันเข้าไปจับมือและให้กำลังใจ อย่างไรก็ตาม นายขวัญชัย ให้สัมภาษณ์หลังพิจารณาคดีว่า ยอมรับในคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนก็ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อ เพราะการที่โจทก์ทั้ง 7 รายให้การต่อศาล มันเป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้เลย เพราะมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่วันนี้ศาลรับฟังคำให้การของโจทก์ แต่สิ่งที่ตนนำสืบจากนายตำรวจที่ยังอยู่ในราชการ กลับไม่มีการนำมาพิจารณา สิ่งนี้เป็นข้อสงสัยที่เราจะใช้ยื่นอุทธรณ์ต่อ วันนี้ตนน้อมรับคำตัดสินของศาล แต่เราต้องหาเหตุผล โดยได้ให้ทนายความยื่นอุทธรณ์และขอต่อสู้ นำข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน นำมาล้างกันใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เหตุการณ์ที่หนองประจักษ์ฯ ชมรมคนรักอุดรชุมนุมที่สนามทุ่งศรีเมือง และเคลื่อนไปหนองประจักษ์ฯ จนเกิดการปะทะ เผาทำลายทรัพย์สิน และมีผู้บาดเจ็บ แต่โชคดีไม่มีผู้เสียชีวิต ทำให้สอบสวนดำเนินคดีทั้ง 2 ฝ่าย จนศาลอุดรธานีมีคำพิพากษา วันที่ 29 ตุลาคม 2553 จำคุกคนเสื้อแดง คือ นางกุหลาบ ยศอ่อน หรือดีเจหงส์ทอง 1 ปี 8 เดือน และสมาชิกคนเสื้อแดงอีก 32 คนๆละ 8 เดือน และยังมีสมาชิกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ถูกตัดสินจำคุกด้วย 2 คนๆ ละ 8 เดือน คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ถูกร้องเรียนจนถูกสอบสวนจาก ปปช.ให้ออกจากราชการ แต่ต่อมา กตร.กลับผลการสอบสวน ให้กลับเข้ารับราชการเป็น ผบก.ประจำ สนง.ตำรวจแห่งชาติ และล่าสุดมีคำสั่งให้มาดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 ธันวาคม 2554, 22:40:41 ประธานศาล รธน.แนะแก้นิสัยคนก่อนแก้ รธน. ค้านแก้ ม.112
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “วสันต์” ค้านแก้ ม.112 ชี้คนคิดเลิก หวังหมิ่นสถาบันโดยไม่ผิดกฏหมาย เหน็บได้ลงกินเนสส์บุ๊กแน่ มี กม.คุ้มครองประมุขรัฐต่างประเทศ แต่ไม่คุ้มครองประมุขรัฐตัวเอง แนะแก้ รธน.แก้นิสัยคนก่อนดีกว่า วันนี้ (29 ธ.ค.) นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขมาตรา 309 ที่ส่งผลกระทบถึงองค์กรอิสระว่า ให้เขาแก้กันก่อน เพราะตอนนี้เท่าที่รับฟังยังไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไร บางฝ่ายก็บอกว่ามี 6-7 ประเด็นที่ต้องแก้ ขณะที่อีกฝ่ายก็บอกว่าให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ จึงยังอยู่ในช่วงสับสนอยู่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับมีทั้งข้อดี ข้อเสีย แก้อย่างไรก็ยังมีช่องน้อยๆ ให้หลีกเลี่ยง หลุดรอดไปได้ เพราะบ้านเราถือว่า คนที่เลี่ยงกฎหมายเก่ง ถือว่าเป็นนักกฎหมายที่เก่ง อย่าง ภาษีอากรใครที่หลีกเลี่ยงกฎหมายจนทำให้จ่ายภาษีน้อยได้ ก็จะถือว่านักกฎหมายคนนั้นเป็นคนที่เก่ง ดังนั้นกฎหมายเขียนอย่างไรก็ได้ ถ้าคนมีคุณธรรมปัญหาก็ไม่เกิด แก้นิสัยของคนจึงดีกว่าแก้กฎหมาย “กฎหมายเขียนว่า ผู้ใดฆ่าคนอื่นจะถูกประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ก็ยังมีการฆ่ากันทั้งๆ ที่ในหลักพุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นบาปหนัก ดังนั้น ถ้าทุกคนมีธรรมในใจ ไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้ ก็เหมือนการแก้รัฐธรรมนูญ แก้ให้ดีอย่างไรก็ยังจะมีคนหลีกเลี่ยงและเอาไปเป็นเครื่องมือตนเอง อย่างนักวิชาการบางกลุ่มเคยพูดเลยว่า ถ้าศาลตัดสินมาอย่างไร เขาไม่เห็นด้วยทั้งนั้น ซึ่งอันนี้มันก็อยู่ที่ใครมีหน้าที่อะไร” ประธานศาลรัฐธรรมนูญระบุ นายวสันต์ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการที่จะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง โดยระบุว่า ในประมวลกฎหมายอาญา มีหมวดความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ อยู่ในมาตรา 130-135 ที่บัญญัติในลักษณะเป็นการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐต่างประเทศ ว่าใครจะดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายมิได้ มีทั้งโทษจำคุกและปรับ ดังนั้น ถ้ายกเลิกวิ.อาญามาตรา 112 ถามว่าเราจะคุ้มครองแต่ประมุขรัฐต่างประเทศเท่านั้นใช่หรือไม่ จะไม่คุ้มครองประมุขรัฐไทยใช่หรือไม่ ซึ่งตนเห็นเหมือนกับนักกฎหมายหลายคนที่แสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า คนที่คิดจะเลิกมาตรา 112 เขาต้องการที่จะหมิ่นสถาบันฯโดยไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ซึ่งกฎหมายอยู่ดีๆ ถ้าเขาไม่ไปหมิ่นก็ไม่มีใครเดือดร้อน “ถ้าจะยกเลิกมาตรา 112 มันก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ด้วย และถ้าเราทำจริง ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศแรกที่ยกย่องประมุขต่างประเทศยิ่งกว่าประมุขของเราเอง แล้วก็จะได้ลงบันทึกกินเนสส์บุ๊กเลย” นายวสันต์กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 ธันวาคม 2554, 22:44:38 1. ใครก็ตามที่เสนอให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 อาจไม่ได้ทบทวนความคิดบางประการ ที่มีผู้รู้หลายท่านให้ความเห็นไว้ เช่น
1.1 หากยกเลิกมาตรา 112 จะเป็นเรื่องที่พิลึกที่สุด ที่กฎหมายไม่ปกป้องคุ้มครองประมุขของรัฐไทย ในขณะที่ปกป้องประมุขของรัฐต่างประเทศ ตามที่บัญญัติความผิดฐานเดียวกันในมาตรา 133 และ 134 ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือหากจะยกเลิกทั้งหมด (112 /133 /134) ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐไทยไม่คุ้มครองประมุขของรัฐใด ๆ เลย ซึ่งสวนทางกับทุกประเทศในโลกนี้ (ขวัญชัย รัตนไชย) 1.2 อำนาจอธิปไตยของไทยอยู่ที่พระมหากษัตริย์ และอยู่ที่ประชาชน ที่เป็นเช่นนี้เพราะ รัฐไทยมีประวัติศาสตร์ที่นำโดยกษัตริย์ทั้งในนิยามของนครรัฐ City State และรัฐชาติ (Nation State) ส่วนที่อยู่ที่ประชาชนนั้น เป็นการผสมผสานภายหลังเมื่อนำเอาระบอบประชาธิปไตยมาใช้ ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด (การสละอำนาจเมื่อคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองยืนยันความข้อนี้) 1.3 มาตรา 8 รธน. 2550 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ (inviolable) การบัญญัติไว้เช่นนี้ แสดงว่า สถานะของกษัตริย์อยู่เหนือกว่าบุคคลทั่วไป นอร์เวย์ เดนมาร์ก เบลเยี่ยม มี รธน. บัญญัติไว้ทำนองนี้ทั้งสิ้น (บวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ที่สำคัญ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อการแห่งคณะราษฎรได้เก็บที่มาของรัฐธรรมนูญมาตรา 8 นี้ไว้ จนถ่ายทอดลงใน รธน. ฉบับต่อ ๆ มา ดังนั้น การเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 จึงปราศจากฐานที่เป็นจริงทั้งสิ้น 2. กรณีที่มิได้เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 แต่เสนอให้แก้ไข ระวางโทษมาตรา 112 ตั้งแต่ 3 - 15 ปี นั้น เพราะเห็นว่าหนักเกินไป การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (The Person of King) ซึ่งก็คือ การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา นั้น โทษที่กระทบต่อเสรีภาพในเนื้อตัว ร่างกาย ไม่ควรต่างกัน ก็ให้พิจารณา ดังนี้ - มาตรา 326 - 333 การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี - มาตรา 136 ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำคุกไม่เกิน 1 ปี และหากดูหมิ่นศาล ตามมาตรา 198 ต้องระวางโทษจำคุก 4 - 7 ปี - มาตรา 133 ดูหมิ่นประมุขของรัฐต่างประเทศ โทษจำคุก 1 - 7 ปี - มาตรา 112 กระทำการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ไทย พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 15 ปี ทั้งนี้ อยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่า วัฒนธรรมไทยจำแนกการกระทำผิดต่อบุคคลตามสถานะที่แตกต่างกัน เช่น ทำต่อบิดา มารดา (กฎหมายแพ่งห้ามฟ้องบุพการี - อุทลุม) ต่อเจ้าพนักงาน ต่อองค์กษัตริย์ ดังนั้น หากจะแก้ไขโทษให้ลดลง ต้องแก้ทุกมาตราในความผิดฐานนี้ นี่คือสภาพการณ์ภายใต้บริบทของไทย ภายใต้ศาสนา สังคม ประเพณี ความศรัทธา ที่ไม่เหมือนตะวันตก หากนิธิ เอียวศรีวงศ์ หรือ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ จะแย้งว่า หากกล่าวว่าไทยมีลักษณะทางสังคมที่แตกต่างจากสังคมอื่น เป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness) ก็สามารถพูดเช่นนั้นได้ทุกที่ - อาจจะถูกต้อง แต่การโต้แย้งนี้ไม่ได้นำไปสู่อะไรทั้งสิ้น เพราะพูดไปตามสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เพราะจะมีอะไรตัดสินได้ว่า เวลาใดควรเชื่อ สัมพัทธนิยม (Relativism - จริง ตามสภาพเงื่อนไข กาลและเทศะ) เวลาใดควรเชื่อสัมบูรณนิยม (Absolutism - จริงทุกเมื่อ ไม่ขึ้นกับเงื่อนไข กาลหรือเทศะ) ใครจะตอบได้ว่า ทำไมอเมริกาจึงมีโทษประหาร แต่ยุโรปไม่มี เช่นนี้ อเมริกามีกฎหมายที่เป็นสากลหรือไม่ ? และเหตุใดจึงไม่มีการอภัยโทษโทษประหารชีวิตในอเมริกา อเมริกาไร้ซึ่งเมตตาธรรมในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ? หากเหลียวมองประเทศที่มีกฎหมายระบุความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น เบลเยี่ยม โทษจำคุก 6 เดือน - 3 ปี เนเธอร์แลนด์ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ประเด็นมีอยู่ว่า แม้จะลดโทษมาตรา 112 ลง แต่หากผู้ใดกระทำการใดที่เข้าองค์ประกอบความผิด กรณี "อากง" หรือ "ดา ตอร์ปิโด" ก็ยังจะต้องรับโทษที่อาจสูงสุดได้ถึง 7 ปีต่อกระทง หากเทียบกับกรณีประมุขของรัฐต่างประเทศ หากอากงกระทำ 4 กระทง อากงอาจได้รับโทษ 28 ปี มากกว่าเดิมถึง 8 ปี ทั้งที่ลดโทษขั้นสูงลงแล้ว (ไม่ว่าจะให้สำนักราชเลขาธิการ หรือ อัยการสูงสุด หรือ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องก็ตาม) เป็นปัญหาต่อมาว่า นี่จะถือว่ายุติธรรมตามข้อเสนอของผู้เสนอให้แก้ไขหรือไม่ ? ใช่หรือไม่ว่า ที่เสนอให้แก้กฎหมายนั้น เป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่า ได้กระทำความผิดจริง แต่ไม่อยากรับโทษหนัก ? ทั้งที่ หากไม่มีเจตนาท้าทายกฎหมายนี้ ผู้นั้นก็จะไม่ต้องรับโทษใด ๆ เลย และสามารถวิพากษ์ วิจารณ์สถาบันได้ หากกระทำโดยสุจริต 3. การให้เหตุผลของผู้เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 ดูชอบกล ท่านบอกว่า มาตรา 112 คือ สิ่งสะท้อนความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้าง แต่การกระทำผิดจริง โดยไม่ต้องการรับโทษนั้น สะท้อนจิตใจคนที่บิดเบี้ยวหรือไม่ หากแย้งว่า การปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันจะทำให้นำไปสู่ความรุนแรง เพราะสังคมปราศจากการรับฟังเหตุผล นี่ไม่สะท้อนความสับสนในการวินิจฉัยปัญหาหรอกหรือ เพราะเท่ากับกล่าวว่า ประชาชน ขัดแย้งกับสถาบัน ทั้งที่ท่านได้วินิจฉัยเองว่า กระบวนการใช้กฎหมายมีปัญหา - ไม่ใช่สถาบัน แต่เป็นผู้ฟ้องร้อง หรือ การใช้ดุลยพินิจ และเท่ากับกล่าวว่า สถาบันคือโครงสร้างแห่งความไม่เท่าเทียม เป็นต้นเหตุแห่งปัญหา ทั้งที่หากจะกล่าวเรื่องโครงสร้าง ก็ควรพูดถึง การกระจายอำนาจ การถือครองทรัพยากร การกำจัดการทุจริต ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้กล่าวถึง สถาบันทางการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองเลยแม้แต่น้อย *-* หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 มกราคม 2555, 14:50:13 นิติเรดเหิมหนัก ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัส/ศาลรธน.ค้านรื้อม.112
จาก Thaipost.net คณะนิติเรดเล่นแรงขึ้นทุกวัน "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เสนอห้ามกษัตริย์แสดงพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ และต้องสาบานต่อรัฐสภาในฐานะประมุขว่าจะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ ตัดตอนประวัติศาสตร์ สถาบันเพิ่งถูกยกระดับให้มีอำนาจในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ขณะที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญลั่นไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ชี้ถ้าเลิกต้องลบรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ทิ้งด้วย เว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่การเสวนาในหัวข้อ “เสรีภาพนิสิตนักศึกษาในพระปรมาภิไธย” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 27 ธันวาคม ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน มีวิทยากรร่วมเสวนา คือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นายปิยบุตรอธิบายภาพรวมของอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย โดยชี้ว่า สถานะของสถาบันที่เป็นอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีอำนาจมากเกินควรจะเป็นในระบอบประชาธิปไตย มิได้เป็นมาแต่ไหนแต่ไรตามที่หลายๆ คนอาจได้รับรู้ เนื่องจากในความเป็นจริง สถาบันกษัตริย์ถูกยกระดับให้มีอำนาจเท่าที่เป็นในปัจจุบันตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ซึ่งนับเป็นเพียง 40-50 ปีของการช่วงชิงทางความคิดและอุดมการณ์ระหว่างคู่ขัดแย้งฝ่ายต่างๆ ในประวัติศาสตร์เท่านั้น เช่นเดียวกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองจากการเลือกตั้งและฝ่ายจารีตนิยมที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินไปของสนามที่ต่อสู้เชิงความคิดที่ยังไม่สิ้นสุดในสังคมไทย เพื่อที่จะสร้างและรักษาระบอบประชาธิปไตยให้ธำรงอยู่ นายปิยบุตรชี้ว่า สถาบันกษัตริย์จำเป็นต้องปรับตัวให้อยู่ได้กับประชาธิปไตย โดยแยกการใช้อำนาจจากรัฐให้เป็นเพียงหน่วยทางการเมืองหน่วยหนึ่ง ซึ่งทำให้กษัตริย์ไม่สามารถใช้อำนาจใดๆ ผ่านรัฐได้อีกต่อไป โดยในทางรูปธรรมนั้นหมายถึงการไม่อนุญาตให้กษัตริย์สามารถทำอะไรเองได้ เนื่องจากผู้ที่รับผิดชอบคือผู้สนองพระบรมราชโองการ รวมถึงการไม่อนุญาตให้กษัตริย์แสดงพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ และการสาบานต่อรัฐสภาในฐานะประมุขว่าจะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ เป็นต้น นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่จะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง โดยกล่าวว่า ในประมวลกฎหมายอาญามีหมวดความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ อยู่ในมาตรา 130-135 ที่บัญญัติในลักษณะเป็นการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐต่างประเทศ ว่าใครจะดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายมิได้ มีทั้งโทษจำคุกและปรับ ดังนั้นถ้ายกเลิก ป.วิ อาญามาตรา 112 ถามว่าเราจะคุ้มครองแต่ประมุขรัฐต่างประเทศเท่านั้นใช่หรือไม่ จะไม่คุ้มครองประมุขรัฐไทยใช่หรือไม่ "ผมเห็นเหมือนกับนักกฎหมายหลายคนที่แสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า คนที่คิดจะเลิกมาตรา 112 เขาต้องการที่จะหมิ่นสถาบันโดยไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ซึ่งกฎหมายอยู่ดีๆ ถ้าเขาไม่ไปหมิ่นก็ไม่มีใครเดือดร้อน" ประธานศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ถ้าจะยกเลิกมาตรา 112 มันก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ด้วย และถ้าเราทำจริง ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศแรกที่ยกย่องประมุขต่างประเทศยิ่งกว่าประมุขของเราเอง แล้วก็จะได้ลงบันทึกในกินเนสส์บุ๊กเลย ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายวสันต์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย แก้อย่างไรก็ยังมีช่องน้อยๆ ให้หลีกเลี่ยง หลุดรอดไปได้ เพราะบ้านเราคนที่เลี่ยงกฎหมายเก่งถือว่าเป็นนักกฎหมายที่เก่ง อย่างภาษีอากรใครที่หลีกเลี่ยงกฎหมายจนทำให้จ่ายภาษีน้อยได้ก็จะถือว่านักกฎหมายคนนั้นเป็นคนที่เก่ง ดังนั้นกฎหมายเขียนอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญถ้าคนมีคุณธรรมปัญหาก็ไม่เกิด แก้นิสัยของคนดีกว่าแก้กฎหมาย ถ้าคนมีคุณธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม ไม่ต้องแก้กฎหมายมันก็อยู่ได้ “กฎหมายเขียนว่า ผู้ใดฆ่าคนอื่นจะถูกประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ก็ยังมีการฆ่ากันทั้งๆ ที่ในหลักพุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นบาปหนัก ดังนั้นถ้าทุกคนมีธรรมในใจ ไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้ ก็เหมือนการแก้รัฐธรรมนูญ แก้ให้ดีอย่างไรก็ยังจะมีคนหลีกเลี่ยงและเอาไปเป็นเครื่องมือตนเอง คนที่เข้าข้างตัวเองก็ถือว่าถูก อย่างนักวิชาการบางกลุ่มเคยพูดเลยว่า ถ้าศาลตัดสินมาอย่างไรเขาไม่เห็นด้วยทั้งนั้น ซึ่งความเห็นมันก็คือความเห็นที่อาจจะไม่ตรงกันได้ แต่มันอยู่ที่ว่าใครมีหน้าที่อะไร” ประธานศาลรัฐธรรมนูญกล่าว ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลต้องมองประเด็นที่จะมาช่วยให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้ามากกว่าที่จะมาเล่นเกมทางการเมือง หรือเอาประเด็นของการได้การเสียทางการเมืองมาเป็นเกมการเมืองในปีหน้า "ผมมองว่าเรื่องนี้จะเป็นตัวจุดประเด็นของความขัดแย้ง ซึ่งรัฐบาลไม่น่าจะทำในช่วงเวลานี้ เพราะหากเรามองถึงประโยชน์ของประเทศชาติจริงๆ เราน่าจะนึกถึงประเทศชาติมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิกฤติที่ต้องฟื้นฟู ทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคการเกษตร และปัญหาที่กำลังจะเข้ามาในอนาคตคือภัยแล้ง ตนเห็นว่าเป็นปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าจะไปจุดประเด็นความขัดแย้งต่างๆ ในสังคมขึ้นมา" นายเฉลิมชัยกล่าว วันเดียวกันนี้ นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย, นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา พร้อมด้วย “กลุ่มแดงเชียงใหม่ 51” จำนวนกว่า 100 คน นำโดยนายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์ ได้นำรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50,000 คน เข้ายื่นเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่) พ.ศ.... ต่อนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง นายสงวนกล่าวว่า การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อเปิดช่องให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 101 คน โดยเลือกตั้งจากประชาชนจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน และตัวแทนจากผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ด้านสาขากฎหมายมหาชน รัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ และด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 24 คน ทั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ร่วมด้วย โดยอาจเข้ามาในสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งยืนยันว่าการเสนอดังกล่าวแตกต่างจากการเสนอของพรรคเพื่อไทยและกลุ่ม นปช. ทั้งนี้ ไม่ใช่แบ่งหน้าที่เล่นเกมการเมือง แต่เป็นเพราะเสนอกันคนละประเด็น แต่หากร่างคล้ายคลึงกันก็สามารถนำมารวมกันเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงร่างเดียวก็ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภา “ยอมรับว่ารายละเอียดบางส่วนตรงกับการเสนอของคณะนิติราษฎร์ คือการคืนความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญปี 40 แต่บางส่วนไม่ตรงกัน คือการสร้างความปรองดองไม่แก้แค้น และลบล้างผลพวงการรัฐประหาร ทั้งนี้ หากเป็นไปตามกระบวนการก็จะเสร็จสิ้นภายใน 1 ปี จากนั้นหากจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็ขึ้นอยู่กับบทเฉพาะกาล” นายสงวนกล่าว. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มกราคม 2555, 20:16:41 “ป๋าเปลว” แขวะมติชนยกทักษิณ “บุคคลแห่งปี”-ท้าพาดปก “มหาบุรุษแห่งศตวรรษ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1637 วันที่ 30 ธ.ค.2554 ขึ้นปกเป็นภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน พร้อมพาดปกว่า “บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ” ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คอลัมนิสต์ชื่อดังแห่งไทยโพสต์ เหน็บ “มติชนสุดสัปดาห์” ขึ้นปกทักษิณ “บุคคลแห่งปี” ทำตัวพลิกพลิ้วข้างผู้ชนะ ราวกับพญามังกรคะนองเมฆ มีเงาหัว แต่ไม่เห็นหาง ยามพลิ้วตัวอักษรดุจพญาอินทรี ล่าเหยื่อไม่มีพลาด ตอกกลับ บก.มติชน อ้างเป็นเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังยกเป็นบุรุษแห่งปี สงสัยถ้าก้าวเหยียบปัจจุบันได้คงจะพาดปก “มหาบุรุษแห่งศตวรรษ” หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันนี้ (4 ม.ค.) เปลว สีเงิน ได้เขียนบทความในหัวข้อ “โก่งคอขันด้วยนึกว่า “ชนะ” แล้ว!” ในคอลัมน์คนปลายซอย กล่าวถึงกรณีที่นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1637 วันที่ 30 ธ.ค.2554 ได้ขึ้นปกเป็นภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน พร้อมพาดปกว่า “บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ” โดยกล่าวว่า หนังสือพิมพ์ที่ให้ราคาตัวเองว่ามาตรฐานประเทศ ยกให้ทักษิณเป็นบุรุษแห่งปี ไม่เชื่อมติชนครั้งนี้ แล้วจะให้ไปเชื่อมติชินหรือ “เพราะพวกพี่ๆ ค่ายมติชนแต่ละท่าน ใครๆ ก็รู้ว่ามากด้วยวิชาความรู้ และประสบการณ์ งานสื่อพลิกพลิ้วข้างผู้ชนะสร้างคุณูปการต่อสังคมประเทศชาติประจักษ์เสมอมา ยามไปไหน-มาไหนดุจพญามังกรคะนองเมฆ เงาหัวน่ะมี แต่เห็นหัวกลับไม่เห็นหาง และเงาหางก็มี แต่เห็นหางกลับมิอาจเห็นหัว ยามพลิ้วอักษรเป็นตัวหนังสือคุณภาพประเทศ ก็ดุจพญาอินทรี บินสูง มองไกล โฉบแม่น แต่ละที...เหยื่อ ไม่มีพลาด” เปลว สีเงิน กล่าว คอลัมนิสต์ชื่อดังแห่งไทยโพสต์ กล่าวต่อว่า ตนโสมนัสกับเหตุผลที่เขายกย่องทักษิณเป็น บุรุษแห่งปี 2554 ดังข้อความตอนหนึ่งที่ นายสุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งเขียนบทความในหัวข้อ “หนอนในใจ” ในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ระบุว่า พลันที่มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ นำ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นปก พร้อมถ้อยคำบุรุษแห่งปี กลุ่มคนที่เกลียดทักษิณ ก็ต้องย่อมรู้สึกในทางร้ายว่า มติชนสุดสัปดาห์ให้ของขวัญปีใหม่ ด้วยการโยนหนอนเข้ากลางดวงใจ เป็นหนอนกลางดวงใจที่ก่อให้เกิดความหงุดหงิด คับข้องใจ และอยากโต้แย้งอย่างไม่ต้องสงสัย กระนั้น หากอ่านข้อความในบรรทัดต่อมา COMING SOON/ไม่นานเกินรอ ก็น่าจะคลายความหงุดหงิด คับข้องใจ และอยากโต้แย้งลงบ้าง และเข้าใจมติชนสุดสัปดาห์ดียิ่งขึ้นว่า ไม่ได้ใจร้าย ด้วยการมุ่งทำลายจิตใจฝ่ายที่เกลียดทักษิณในห้วงปีใหม่นี้แต่อย่างใด เพราะทั้งคำ COMING SOON และคำว่าไม่นานเกินรอ ที่สุดแล้วก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเรื่องของอนาคต และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง “พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดำรงสถานะบุรุษแห่งปีแห่งอนาคต เพียงแต่ต้องปลอบประโลมคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณด้วยเช่นกัน จึงมีคำว่าไม่นานเกินรอ พ่วงติดมาด้วย ด้วยเหตุนี้ ปกมติชนสุดสัปดาห์จึงสะท้อนภาวะความเป็นจริง ต่อสถานะ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า นั่นคือ ดูเหมือนจะก้าวเข้าใกล้ผู้ชนะ (อีกครั้ง) แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งอนาคตที่ต้องคำนึงด้วยว่า มีความไม่แน่นอนแทรกซ้อนอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นชัยชนะอันท่วมท้นของพรรคเพื่อไทย และนำมาสู่การได้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2554” ข้อความของ นายสุวพงศ์ ที่ เปลว สีเงิน นำมาหยิบยก เปลว สีเงิน ตั้งข้อสงสัยในตอนท้ายว่า สื่อคุณภาพประเทศเขาสะท้อนการเมืองว่าด้วยเรื่อง “สถานะทักษิณ” ว่า ดูเหมือนจะก้าวเข้าใกล้ผู้ชนะอีกครั้งเช่นนี้ แค่ก้าวใกล้อันเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังยกเป็นบุรุษแห่งปี แต่ถ้าก้าวเหยียบอันเป็นปัจจุบันที่มาถึงแล้ววันไหน หนังสือพิมพ์คุณภาพประเทศคงมิรั้งรอที่จะพาดปก “ทักษิณ มหาบุรุษแห่งศตวรรษ” โดยพลันหรือ สำหรับข้อความที่ เปลว สีเงิน ได้กล่าวถึงนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ที่ยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลแห่งปี มีดังนี้ ผมว่า ณ ชั่วโมงนี้ ทางฝ่าย นปช.เพื่อไทย เขาฟันธงด้วยมั่นใจว่าควบคุมทุกพื้นที่ตารางไทยได้หมดแล้ว “ฝนจะตก-แดดจะออก-พระจะสึก-อุจจาระจะแตก” นั่น...ยังพอห้ามได้ แต่จะห้าม “ทักษิณกลับมาครองใหญ่” ใครก็ห้ามไม่ได้แล้ว! ยิ่งเห็นปกหนังสือ “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับปีใหม่ ที่เขาลงอวดในเว็บไซต์ “มติชนออนไลน์” เออ...ท่าจะจริงของเขา ก็ลองหนังสือพิมพ์ที่ให้ราคาตัวเองว่า “มาตรฐานประเทศ” ยกให้ทักษิณเป็น “บุรุษแห่งปี” ไม่เชื่อมติชนครั้งนี้ แล้วจะให้ไปเชื่อมติชินหรือ? เพราะพวกพี่ๆ ค่ายมติชนแต่ละท่าน ใครๆ ก็รู้ว่ามากด้วยวิชาความรู้ และประสบการณ์ งานสื่อพลิกพลิ้วข้างผู้ชนะสร้างคุณูปการต่อสังคมประเทศชาติประจักษ์เสมอมา ยามไปไหน-มาไหนดุจพญามังกรคะนองเมฆ เงาหัวน่ะมี แต่เห็นหัวกลับไม่เห็นหาง และเงาหางก็มี แต่เห็นหางกลับมิอาจเห็นหัว ยามพลิ้วอักษรเป็นตัวหนังสือคุณภาพประเทศ ก็ดุจพญาอินทรี บินสูง มองไกล โฉบแม่น แต่ละที...“เหยื่อ” ไม่มีพลาด! และครั้งนี้เขานำรูปทักษิณลงปก พร้อมพาดตัวหนังสือว่า “บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ”! ผมก็มิอาจรั้งรอที่จะคลิกดู ก็โสมนัสกับเหตุผลที่เขายกย่องทักษิณเป็น “บุรุษแห่งปี ๒๕๕๔” ดังข้อความตอนหนึ่งที่ผู้ใช้นามว่า “สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร” เรียงร้อยรจนาไว้ดังนี้ พลันที่ “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ นำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นปก พร้อมถ้อยคำ “บุรุษแห่งปี” กลุ่มคนที่เกลียด “ทักษิณ” ก็ต้องย่อมรู้สึกในทาง “ร้าย” ว่า “มติชนสุดสัปดาห์” ให้ของขวัญ “ปีใหม่” ด้วยการโยน “หนอน” เข้ากลางดวงใจ เป็น “หนอนกลางดวงใจ” ที่ก่อให้เกิดความ “หงุดหงิด” “คับข้องใจ” และอยาก “โต้แย้ง” อย่างไม่ต้องสงสัย กระนั้น หากอ่านข้อความในบรรทัดต่อมา “COMING SOON/ไม่นานเกินรอ” ก็น่าจะคลายความ “หงุดหงิด” “คับข้องใจ” และอยาก “โต้แย้ง” ลงบ้าง และเข้าใจ “มติชนสุดสัปดาห์” ดียิ่งขึ้นว่าไม่ได้ “ใจร้าย” ด้วยการมุ่งทำลายจิตใจฝ่ายที่เกลียดทักษิณในห้วง “ปีใหม่” นี้แต่อย่างใดเพราะทั้งคำ COMING SOON และคำว่าไม่นานเกินรอ ที่สุดแล้วก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเรื่อง “ของอนาคต” “อนาคต” ที่ยังมาไม่ถึง! พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดำรงสถานะ “บุรุษแห่งปี” แห่งอนาคต เพียงแต่ต้องปลอบประโลมคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณด้วยเช่นกัน จึงมีคำว่า “ไม่นานเกินรอ” พ่วงติดมาด้วย ด้วยเหตุนี้ ปกมติชนสุดสัปดาห์จึงสะท้อนภาวะ “ความเป็นจริง” ต่อสถานะ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า นั่นคือ ดูเหมือนจะก้าวเข้าใกล้ “ผู้ชนะ” (อีกครั้ง) แต่ก็เป็นเรื่องของ “อนาคต” “อนาคต” ที่ต้องคำนึงด้วยว่า มีความไม่แน่นอนแทรกซ้อนอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นชัยชนะอันท่วมท้นของพรรคเพื่อไทย และนำมาสู่การได้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2554 .................ฯลฯ............. เห็นมั้ย...สื่อคุณภาพประเทศเขาสะท้อนการเมืองว่าด้วยเรื่อง “สถานะทักษิณ” ว่า ดูเหมือนจะก้าวเข้าใกล้ผู้ชนะอีกครั้งเช่นนี้ แค่ก้าวใกล้อันเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังยกเป็น “บุรุษแห่งปี” แต่ถ้า “ก้าวเหยียบ” อันเป็นปัจจุบันที่มาถึงแล้ววันไหน หนังสือพิมพ์คุณภาพประเทศคงมิรั้งรอที่จะพาดปก “ทักษิณ มหาบุรุษแห่งศตวรรษ” โดยพลันหรือ!? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มกราคม 2555, 20:20:12 “คำนูณ” ซัดร่าง พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ปล้น “คลังหลวง-ธปท.-ธ.พาณิชย์” เปิดช่อง ครม.จุ้น โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ส.ว.สรรหา เปรียบร่าง พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ ครม.ถูกตีกลับ “3 ปล้น 1 กดหัว” ชี้ เอาเงินเหลือจากบัญชีผลประโยชน์ไปใช้ ไม่ต้องส่งคลังหลวงตาม พ.ร.บ.เงินตรา ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ บังคับแบงก์ชาติใช้หนี้ที่บังคับโอนมา แถมกดหัวให้อยู่ใต้อาณัติ ครม.ธนาคารพาณิชย์โดนด้วย ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ แล้วใช้เงินกองทุนคุ้มครองเงินฝากแทน วันนี้ (4 ม.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้เขียนข้อความในเว็บไซต์เฟซบุ๊กส่วนตัว คำนูณ สิทธิสมาน (Kamnoon Sidhisamarn)กรณีที่เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เปิดเผยร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .....ที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ นำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้ไปทบทวนใหม่ โดย นายคำนูณ เขียนว่า “ถ้าร่าง พ.ร.ก.ซุกหนี้ที่ไม่ผ่าน ครม.วันนี้เป็นไปตามนี้จริง ถือว่าคนเขียนไร้หิริโอตัปปะ และเหี้ยมมาก เป็น “3 ปล้น 1 กดหัว” : ปล้นที่ 1 ปล้นคลังหลวง (บัญชีทุนสำรองพิเศษ) โดยมาตรา 7(2) กำหนดให้นำเงินที่เหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีไปใช้หนี้ที่บังคับโอนมาเลย ไม่ต้องส่งไปคลังหลวงตาม พ.ร.บ.เงินตรา อันจะทำให้คลังหลวงไม่มีโอกาสจะมีเงินเพิ่มอีกเลย ผิดวัตถุประสงค์ของบุรพกษัตริย์และบรรพชน รวมทั้งหลวงตาที่จะให้คลังหลวงมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด เพื่อไว้ใช้ในยามวิกฤตจริงๆ เท่านั้น ปล้นที่ 2 ปล้นแบงก์ชาติ โดยมาตรา 7(1) กำหนดให้ร้อยละ 90 ของผลกำไรของแบงก์ชาติต้องไปใช้หนี้ที่บังคับโอนมา, ปล้นที่ 3 ปล้นธนาคารพาณิชย์ในลักษณะลงโทษแบบเหมารวม โดยมาตรา 8-9-10 กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งเงินเข้ากองทุน และนำเงินจากกองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝากมาใช้ ; ส่วน 1 กดหัว คือ กดหัวแบงก์ชาติให้อยู่ใต้อาณัติ ครม.ผิดวิสัยของธนาคารกลางที่มีมาตรฐาน โดยมาตรา 7(3) เปิดกว้างให้ ครม.สามารถกำหนดให้แบงก์ชาติโอนทรัพย์สินใดไปใช้หนี้ก็ได้ : มิน่า ครม.ถึงยังไม่อาจมีมติได้ในวันนี้ !” สำหรับร่าง พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .....ที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ นำเสนอนั้น เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์รายงานว่า ประเด็นหลักอยู่ที่ มาตรา 7 ที่กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องรับผิดชอบชำระหนี้ทั้งหมด และยังเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลดึงเงินทุนสำรองมาใช้ แหล่งข่าวระบุว่า ในมาตรา 4 ของร่าง พ.ร.ก.นี้ กำหนดให้กองทุนมีหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคืนต้นเงินกู้และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ ในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้เงินกู้ ได้แก่ หนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลัง กู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน และจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ 2541 ที่ยังคงมีอยู่ และหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน และจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 พ.ศ 2545 ที่ยังคงมีอยู่ ยอดหนี้ทั้ง 2 ก้อนนี้ มียอดรวมกันประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท ต่อมาในมาตราที่ 5 บัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนเงินต้นกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจัดตั้งโดย พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 พ.ศ.2545 มีวัตถุประสงค์เพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ตามมาตรา 4 และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดจากหนี้เงินกู้ดังกล่าว โดยกำหนดให้เงินหรือสินทรัพย์ตามมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 11 และดอกผลของเงินหรือสินทรัพย์ ให้นำส่งเข้าหรือรับขึ้นบัญชีสะสมดังกล่าว ทั้งนี้ ในมาตรา 7 กำหนดว่า ในระหว่างการชำระหนี้ต้นเงินกู้นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยมีพันธะต้องดำเนินการ 3 ประการ ได้แก่ (1) ในแต่ละปีให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำส่งเงินกำไรสุทธิเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เข้าบัญชีตามมาตรา 5 (2) ให้โอนสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลังจากการจ่ายเมื่อสิ้นปีเข้าบัญชีตามมาตรา 5 โดยไม่ต้องเข้าบัญชีสำรองพิเศษ (3) ให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเข้าบัญชีตามมาตรา 5 ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ขณะที่ มาตรา 8 ให้สถาบันการเงินนำส่งเงินให้แก่กองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าวกับอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก มาตรา 9 สถาบันการเงินใดไม่นำส่งเงินตามาตรา 8 หรือนำส่งไม่ครบภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ไม่นำส่งหรือนำส่งไม่ครบ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ในกรณีที่สถาบันการเงินใดไม่นำส่งเงินตามมาตรา 8 หรือนำส่งไม่ครบและไม่เสียเงินเพิ่ม ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้สถาบันการเงินนั้นชำระเงินดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด มาตรา 11 ให้กระทรวงการคลังโอนเงินของกองทุนเพื่อการชำระคืนเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในกระทรวงการคลัง ซึ่งจัดตั้งโดยพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 เข้าบัญชีตามมาตรา 5 เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว ให้ยุบเลิกกองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจัดตั้งโดย พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 และมาตรา 13 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ปัจจุบันคือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล) รักษาการตาม พ.ร.ก.นี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มกราคม 2555, 19:46:37 “ดร.เสรี” โต้กรณีก้านธูปเป็นเรื่อง “ทำผิด กม.” ไม่ใช่ “ล่าแม่มด”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักพูดชื่อดัง และอดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นผ่านไทยรัฐออนไลน์กรณีที่ผู้ใช้นามแฝงว่า “ก้านธูป” ถูกออกหมายเรียกคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อดีตคณบดีวารสารฯ มธ.เผย “ก้านธูป” เข้าศึกษาที่ธรรมศาสตร์ ถือเป็นเสรีภาพบุคคล ผิดอะไรให้กฎหมายจัดการ เชื่อ แม้เปลี่ยนชื่อทำให้คนจำไม่ได้ แต่ถ้ามีคนจำได้ก็ถูกกดดันจากสังคม สุดท้ายต้องอยู่ไม่ได้ โต้คนละกรณีกับล่าแม่มดในอดีต เพราะมีหลักฐานทำผิดจริง ถือว่าเป็นอาชญากร เชื่อ จะถูกหยิบเป็นกระแสเหมือน “คดีอากง” แต่สังคมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย วันนี้ (5 ม.ค.) เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักพูดชื่อดัง และอดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นกรณีที่ผู้ใช้นามแฝงว่า “ก้านธูป” ในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกหมายเรียกไปรายงานตัวที่ สน.บางเขน ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งบุคคลดังกล่าวก่อนที่จะเข้าศึกษาที่ ม.ธรรมศาสตร์ ก็ได้ถูกตัดสิทธิ์ที่จะเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยเหตุผลข้างต้น ว่า ในธรรมศาสตร์มักจะพูดถึงเรื่องอิสรภาพ ไม่มีเรื่องของการแบ่งแยก ถือเป็นเสรีภาพของบุคคล เพราะว่าถ้าหากมีความผิดอะไรต้องให้ส่วนของกฎหมายจัดการ ไม่มีการใช้การกดดันจากกลุ่มชนที่ไม่ใช่ข้อกฎหมาย ทั้งนี้ ทุกมหาวิทยาลัยจะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการยึดถือประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งข้อเท็จจริงต้องให้กฎหมายจัดการ ส่วนข้อเท็จจริงที่เข้าธรรมศาสตร์ได้ โดยไม่มีคนรู้ เพราะมีการเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล จึงทำให้ไม่มีคนจำได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วบางคนก็อาจจะจำได้ว่า เป็นคนเดียวกับที่มีคดีความผิดมาตรา 112 นั้น ก็อาจจะมีบ้างที่ถูกกดดันจากสังคม สุดท้ายก็ต้องอยู่ไม่ได้ ถึงแม้ผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยจะรับเข้าไป แต่ในขณะที่ตำรวจยังไม่ได้พิสูจน์ แต่สิ่งที่ทำในเฟซบุ๊กชัดเจนอย่างนี้ การต่อต้านจากประชาคมน่าจะเกิดขึ้น รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า ก้านธูปไม่มีความสำนึกในประวัติศาสตร์ หากตนยังคงเป็นคณบดี และเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่ได้สอน ก็คงจะสอนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำอะไร เรื่องนี้ต้องให้ทางกฎหมายจัดการ แต่ทางด้านประชาคมที่จะต่อต้าน ก็คงจะไม่ไปต่อต้านประชาคม ซึ่งเมื่อสามารถใช้เสรีภาพของเขาได้ เราก็ใช้เสรีภาพของเราได้เช่นกัน ซึ่งถ้าออกมาพิสูจน์แล้วว่ามีความผิดจริง ก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนที่มีบางฝ่ายมีความเป็นห่วงว่า กรณีของก้านธูปนั้น จะเป็นกรณีการล่าแม่มด ดร.เสรี กล่าวว่า การล่าแม่มดนำมาใช้กับก้านธูปไม่ได้ เพราะไม่ใช่แม่มด แต่คือ อาชญากร ซึ่งถ้ามีความผิดจริง ก็จะเป็นอาชญากร อย่างการล่าแม่มด คือ การกล่าวหาโดยไร้หลักฐาน ส่วนกรณีนี้เรียกว่า ล่าแม่มดไม่ได้ เพราะมีหลักฐานของการทำผิด ซึ่งกรณีนี้มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว จะเป็นกรณีเดียวกับแม่มดไม่ได้ “สำหรับกลุ่มหนึ่งที่ออกมาปกป้อง อ้างว่า เหตุที่สังคมกดดัน เป็นเพราะว่าอิงมาจากกระแสล่าแม่มดนั้น ไม่มีกระแสล่าแม่มดใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ ณ เวลานี้ เราเห็นว่าคนที่ไม่มีสำนึกในประวัติศาสตร์ และพยายามที่จะทำให้สถาบันของเราอ่อนแอลงมีอยู่จริง เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการที่จะให้มีคำว่า ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดำรงอยู่ ย่อมไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น” รศ.ดร.เสรี กล่าว ส่วนกรณีที่มีบางคนกล่าวว่า สื่อมวลชนทำหน้าที่ที่อคติในการแทรกแซงให้เกิดการกดดันนั้น รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า สื่อมวลชนเพียงแค่รายงานว่า บุคคลนี้ทำอะไร ส่วนการกดดันนั้นขึ้นอยู่กับความรับรู้ข้อมูลข่าวสาร บวกกับการคิดวิเคราะห์ว่าจะชื่นชม จะยินดี หรือ จะรู้สึกรังเกียจ การที่สื่อมวลชนแทรกแซงให้เกิดความกดดันไม่ได้ นอกจากให้ข้อมูลเท่านั้น มีหน้าที่แค่รายงานข่าวว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวอาจจะนำไปสู่กระแสสังคม อย่างคดีอากง ที่เกิดขึ้นได้อีก หากถูกคนบางกลุ่มไปใช้ประโยชน์ แต่ว่ารอบนี้จะไม่เหมือนกับคดีอากง เพราะกระแสสังคมก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เอาด้วยนั้นเป็นเสียส่วนใหญ่ สำหรับกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ น.ส.ณัฐกานต์ (ขอสงวนนามสกุล) ได้มีการโพสต์ข้อความลงบนเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน โดยใช้นามแฝง “ก้านธูป” และเฟซบุ๊กของตัวเอง โดยมีเนื้อหาที่จาบจ้วงด้วยถ้อยคำเสียดสี หยาบคาย ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างรุนแรง ทำให้สังคมออนไลน์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ระหว่างนั้น น.ส.ณัฐกานต์ ได้สอบผ่านและเข้าศึกษาต่อยังคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในโครงการพิเศษ สาขาเอเชียศึกษา แต่ภายหลังทางมหาวิทยาลัยตัดสิทธิ์การศึกษาไม่ให้เข้าเรียน เนื่องจากก็มีผู้ส่งข้อมูล และประวัติ เพื่อคัดค้านการรับเข้าศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก และเห็นว่า เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่มีปัญหา หากเข้ามาเรียนน่าจะเข้ากับนักศึกษาคนอื่นไม่ได้ ต่อมา น.ส.ณัฐกานต์ สอบผ่านและมีสิทธิสอบสัมภาษณ์ เพื่อเข้าศึกษาต่อคณะสังคมศาสตร์ เอกรัฐศาสตร์ (ภาคพิเศษ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ขณะนั้นกระแสต่อต้านในเฟซบุ๊กถึงการเข้าศึกษาต่อใน ม.เกษตรศาสตร์ เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ไม่ได้ไปรายงานตัวตามกำหนด อย่างไรก็ตาม ภายหลัง น.ส.ณัฐกานต์ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ ซึ่งในปี 2554 ได้สอบผ่านและเข้าศึกษาในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมา นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่าผู้ใช้นามแฝงก้านธูป ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ได้รับหมายเรียกจาก สน.บางเขน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 จากกรณีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว กลางปี 2553 ภายหลังผู้ใช้นามแฝงก้านธูปได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอเลื่อนการเดินทางไปรายงานตัว ซึ่งได้รับอนุญาตจากทางเจ้าหน้าที่แล้ว เนื่องจากต้องเตรียมตัวสอบปลายภาค โดยกำหนดการเข้าให้ปากคำนั้นเลื่อนไปเป็นวันที่ 11 ก.พ.2555 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มกราคม 2555, 22:53:55 “ศิษย์หลวงตาบัว” ยันเคลื่อนไหวต้าน พ.ร.ก.โอนหนี้ฯ “คำนูณ” ชี้อันตรายยิ่งกว่าแก้ รธน. วันที่ 5 ม.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. คณะลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ประกอบด้วย พระครูอรรภกิจนันทคุณ (พระอาจารย์นพดล) พระครูนิรมิตวิยากร (พระอาจารย์วิทยา) พระครูวัชรธรรมาจารย์ (พระอาจารย์จิรวัฒน์) พระสรรวัต ปภัสสโร และนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ทาง ASTV ถึงประเด็น “พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ” พระอาจารย์นพดลกล่าวว่า พบว่าการออก พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ..... เกี่ยวข้องกับคลังหลวง เลยจำเป็นต้องออกมาบอกให้สังคมจับตาดู เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายได้ พระอาจารย์วิทยากล่าวว่า อยากให้ทบทวนพระราชกำหนดในมาตราที่จะกระทบต่อคลังหลวง เช่น มาตรา 7(2) และ 7(3) แม้ไม่มีผลตอนนี้ แต่อนาคตมันกระทบคลังหลวงแน่นอน แม้รัฐบาลไม่แตะโดยตรง แต่การบีบแบงก์ชาติให้มารับภาระหนี้สินทั้งหมดโดยที่แบงก์ชาติไม่ได้มีหน้าที่ตรงนี้ ก็จะมีเหตุให้กระทบเงินทุนสำรองได้ จึงอยากเตือนว่าถ้าจะออกเป็น พ.ร.ก.ให้หยุดไว้ก่อน พระอาจารย์วิทยากล่าวอีกว่า เห็นใจรัฐบาลต้องหาเงินกู้เงินมาเยียวยาน้ำท่วม แต่ไม่ควรอ้างน้ำท่วมมาเป็นเหตุกระทบคลังหลวง หากจริงใจต่อประเทศจริงควรหาวิธีเยียวยาประเทศด้วยวิธีที่ไม่กระทบต่อคลังหลวง พวกตนไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการเงินแต่เชื่อในคำสั่งของหลวงตามหาบัว ว่าหากใครมาแตะต้องคลังหลวงถือว่าเป็นมหาโจร รัฐบาลปากบอกไม่แตะ เชื่อไม่ได้ เพราะวิธีการมันแตะ ถ้าไม่แตะจริงๆแนวทางที่ทำก็ต้องไม่ส่อแววด้วย พวกตนจึงออกมาเตือนประชาชนก่อนว่าอาจจะเกิดความเสียหายได้ ซึ่งหากรัฐบาลออก พ.ร.ก.นี้ ก็จำเป็นต้องเคลื่อนไหว ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรต้องรอดูว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร พระอาจารย์สรรวัตกล่าวว่า ใน พ.ร.ก.มาตรา 7(3) ให้มติ ครม.สามารถโอนเงินหรือสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศ หรือกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปใช้หนี้ได้ ซึ่งอันนี้อันตราย เพราะจะมีรัฐบาลชุดไหนบ้างที่มีคุณธรรมพอ ในเมื่อกฎหมายเปิดกว้างมาก อาจเกิดปัญหาต่อระบบการบริหารการเงินของประเทศ จะเกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวง ถ้าออก พ.ร.ก.นี้สำเร็จอาจมีผลกระทบต่อเครดิตของประเทศ ตรงนี้ประเทศจะมีแต่จนลง ขอให้ทบทวนใหม่ได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่มีทางออกจริงๆ ก็ควรเปิดให้มีประชาพิจารณ์ นายคำนูณกล่าวขยายความว่า ประเด็นนี้เคยมีมติ ครม.ออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้คนไม่สนใจนัก เขามีแนวโน้มที่จะออก พ.ร.ก.มา 4 ฉบับ แนวทางการแก้ปัญหาก็คือ 1. ออกกฎหมายให้แบงก์ชาติออกซอฟท์โลน 3 แสนล้านบาท 2. ออก พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ตั้งกองทุนเพื่ออนาคต 3.ออกกฎหมายตั้งกองทุนประกัน 5 หมื่นล้านบาท 4.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้กับแบงก์ชาติ ซึ่งแบงก์ชาติไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล (ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) ก็ออกมาแถลงข่าวคัดค้าน จากนั้นก็มีการหารือเมื่อ 30 ธ.ค. ระหว่างแบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง สรุปออกมาว่าจะทำอย่างไรก็แล้วแต่การโอนหนี้จะทำอยู่ภายใต้ 3 กรอบ ก็คือ 1. ต้องไม่เป็นทางให้แบงก์ชาติพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม 2. ต้องไม่กระทบทุนสำรองระหว่างประเทศ เข้าใจว่าสองข้อนี้เป็นเงื่อนไขของผู้ว่าแบงก์ชาติ ส่วนข้อ 3. ต้องไม่กระทบงบประมาณ อันนี้เป็นข้อเสนอของรองนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หรือรัฐบาล หลังจากปีใหม่ ร่าง พ.ร.ก.นี้ก็เข้าสู่ ครม. โดยนายกิตติรัตน์ไปแถลงที่ตลาดหลักทรัพย์ ยืนยันว่าเป็นมติ ครม.อนุมัติในหลักการแล้ว และให้กฤษฎีกาไปดูในรายละเอียด จากนั้นให้ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องเอาตัวร่างกลับเข้า ครม.อีกครั้ง ถ้าเป็นตามนี้ รองนายกฯ ก็ไม่ควรอยู่เป็นรองนายกฯ อีกต่อไป เรื่องสำคัญแบบนี้รัฐบาลทำลับๆ ล่อๆ ได้อย่างไร นายคำนูณกล่าวต่อว่า รัฐบาลชุดนี้พยายามเอาเงินคลังหลวงมาใช้ตั้งแต่ขึ้นบริหารประเทศใหม่ๆแต่ก็ถูกคัดค้านจนล้มแผนไป พอเกิดน้ำท่วมเรื่องนี้ก็มาอีกแล้ว ในนามของการแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่เขาตั้ง กยน. (กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำ) และกยอ. (คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ) นี่คือการปรับคณะรัฐมนตรีทางประตูหลัง ไม่ใช่ตั้งขึ้นแก้น้ำท่วมเพียงอย่างเดียว แต่ผนวกการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเข้าไปด้วย ทีนี้ถ้ารัฐบาลจะเอาแต่ พ.ร.ก.กู้เงิน ให้แบงก์ชาติออกซอฟต์โลน 3 แสนล้าน หรือตั้งกองทุนประกัน 5 หมื่นล้าน ตนก็ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะคัดค้าน “แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องจับตา คือ ไปเอาเรื่องโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท เข้ามาผนวกเป็นชุด พ.ร.ก. ซึ่งมันเป็นปัญหาของประเทศจริง แต่ถามว่าเร่งด่วนจนต้องเป็น พ.ร.ก.หรือไม่ ไม่ใช่ เพราะถ้าจะแก้ปัญหาจริง ต้องตกลงพร้อมใจกันระหว่างกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ รัฐบาล และคณะศิษย์หลวงตามหาบัว แต่ทีนี้กลับเอาเรื่อง 2 เรื่องมาผนวกกัน ตอบได้อย่างเดียวคือ เขาต้องการปลดภาระหนี้ 1.14 ล้านล้านบาทออกไปจากรัฐบาล ออกไปจากกระทรวงการคลัง คิดในเชิงง่ายที่สุด กระทรวงการคลังไม่ต้องตั้งงบประมาณจ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 4.5-5 หมื่นล้าน แต่คิดอีกทางหนึ่ง จริงๆแล้วต้องการจะเสกหนี้จำนวนนี้ให้พ้นจากความเป็นหนี้สาธารณะ เพื่อจะได้กู้ได้เท่าจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ต้องบอกว่าเพดานหนี้สาธารณะของไทยยังไม่เต็มเพดาน จริงๆถ้าจะกู้แก้น้ำท่วมสามารถกู้ได้อีก 5-6 แสนล้าน ทีนี้เข้าใจว่าผู้ประสงค์จะออกนโยบายเช่นนี้ มีวาระซ่อนเร้นที่ต้องการใช้สถานการณ์น้ำ ที่ผู้คนกำลังเดือดร้อน ผ่านการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ออกไป เพื่อเสกหนี้ตัวนี้ไปซุกไว้ที่แบงก์ชาติ จึงขอเรียกมันว่า พ.ร.ก.ซุกหนี้ มันก็เป็นหนี้ของประเทศนั่นแหละ ซุกที่ไหนก็เป็นหนี้ประเทศ แต่มันมีนัยยะการนิยามว่าเป็นหนี้สาธารณะหรือไม่ นี่ยังถกเถียงกัน แต่อย่างเบาที่สุดคลังจะหมดภาระปีละ 5 หมื่นล้านบาท เพื่อจะได้ไปกู้หนี้ยืมสินใหม่มาได้ อันนี้คือความสำคัญ” นายคำนูณกล่าว นายคำนูณกล่าวอีกว่า ดูร่าง พ.ร.ก.แล้ว พูดได้สั้นๆ ว่า 3 ปล้น 1 ทำลาย 1. ปล้นธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรา 7(1) กำหนดให้ 90 เปอร์เซ็นต์ของเงินกำไรของธนาคารแห่งประเทศไทยต้องไปใช้หนี้ ซึ่งมาตรา 7(3) อันตรายที่สุด คือกำหนดให้มติครม.สามารถโอนเงินหรือสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศ หรือกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปใช้หนี้ได้ สินทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯไม่เป็นไร แต่ของธนาคารแห่งประเทศไทยนี้ อย่าประมาทเพราะก็คือเงินตราต่างประเทศ ทุนสำรองระหว่างประเทศ อาจไม่ใช่คลังหลวง แต่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศในส่วนของการธนาคาร 2. ปล้นคลังหลวง มาตรา 7(2) ระบุไว้ว่า ให้โอนสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลังจากการจ่ายเมื่อสิ้นปี เข้าบัญชีตามมาตรา 5 โดยไม่ต้องโอนเข้าบัญชีสำรองพิเศษ บัญชีสำรองพิเศษก็คือคลังหลวง บัญชีผลประโยชน์ประจำปีโดยปกติตามกฎหมายเงินตรา ให้เข้าคลังหลวง แต่มี พ.ร.ก.ปี 45 ให้เงินที่เหลือจากบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมาใช้หนี้เงินต้นกองทุนฟื้นฟูฯ แต่ พ.ร.ก.นี้แก้ไข ให้ส่วนที่เหลือจากบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมาใช้หนี้ทั้งเงินต้นและทั้งดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟูฯ แต่ในทางปฏิบัติ แบงก์ชาติใช้หนี้ไม่ได้มา 2 ปีแล้ว เพราะกฎหมายเงินตราออกแบบมาให้คลังหลวงมีแต่ได้ไม่มีจ่ายออก ช่วงที่ค่าบาทแข็ง 2 ปี บัญชีผลประโยชน์ประจำปีเมื่อตีค่าทรัพย์สินแล้วไม่เหลือไปชำระหนี้ได้เลย ด้านบัญชีสำรองพิเศษ (คลังหลวง) ก็มีแต่เงินไหลเข้า เป็นการที่บรรพชนออกกฎหมายเงินตราเพื่อให้ใช้เงินก้อนนี้เมื่อวิกฤติสุดๆจริงๆ เท่านั้น การที่มีมาตรา 7(2) นี้ แม้ว่านายกิตติรัตน์บอกว่าไม่แตะทุนสำรอง ไม่แก้ไขกฎหมายเงินตรา แต่แทงแบงก์ชาติให้ไปแก้กฎหมายเงินตรา อันนี้เป็นการปล้นคลังหลวงทางอ้อม 3. อันนี้เป็นการปล้นที่อันตราย เป็นการปล้นประชาชนและภาคธุรกิจ ผู้ฝากและผู้กู้เงินจากสถาบันการเงิน รัฐบาลไม่อยากยุ่งกับศิษย์หลวงตามหาบัว และผู้ว่าแบงก์ชาติก็ปกป้องเต็มที่ ในการหารือก็เลยจะไปเก็บเงินค่าธรรมเนียมเข้ากองทุนเพิ่มจากสถาบันการเงิน ปกติสถาบันการเงินต้องส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก 0.4 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินฝากที่ต้องคุ้มครอง แต่เมื่อออกมาตรา 8 เขาให้เก็บเงินสถาบันการเงินเข้ากองทุนฯ โดยเมื่อรวมกับที่สถาบันการเงินจะต้องจ่ายเข้ากองทุนฯแล้วไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่า ปล้นประชาชน และภาคธุรกิจ เพราะมีหรือที่สถาบันการเงินจะรับความเสียหายไว้กับตัวเอง เขาก็จะมาปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เงินฝาก ที่สำคัญที่สุด คือ หนึ่งทำลาย คือ ทำลายระบบธนาคารกลาง ออกแบบให้ทำหน้าที่ของธนาคารกลาง ก็คือเพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน หน้าที่ไม่ใช่เพื่อทำตามคำสั่งรัฐบาล ชำระหนี้แทนรัฐบาล ไม่ใช่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่นี่รัฐบาลกำลังใช้วิธีข่มขืนบังคับขืนใจให้ธนาคารกลางต้องทำ จึงเห็นว่าอันตรายร้ายแรงอย่างใหญ่หลวง เพราะถ้าธนาคารกลางถูกรัฐบาลบังคับให้ทำอะไรก็ได้ ต่างชาติจะเชื่อถือหรือ ธนาคารกลางอ่อนแอลง ระบบเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต ยกตัวอย่างง่ายๆ ธนาคารกลางมีหน้าที่กำหนดอัตราดอกเบี้ย ในเมื่อธนาคารกลางเองต้องจ่ายดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟูฯ คิดว่าเขาจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้ตัวเองจ่ายเพิ่มขึ้นหรือ สำหรับตนเรื่องนี้อันตรายกว่าแก้รัฐธรรมนูญอีก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มกราคม 2555, 08:59:00 "หม่อมอุ๋ย"หวั่น พ.ร.ก.โอนหนี้จุดชนวน เชื่อกฤษฎีกาไม่ผ่านให้แน่
มติชนออนไลน์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวผ่านรายการอินไซด์ไทยแลนด์ คลื่น 97 เมกะเฮิร์ตซ์ ว่า ตนเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.ก.เพื่อมาบริหารจัดการหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และเนื้อหาโดยร่วมในร่างก็ไม่ได้มีปัญหามาก แต่ที่น่าห่วงและเห็นว่าอันตรายคือ มาตรา 7(3) ทั้งนี้ ร่างมาตรา 7 กำหนดว่า ในระหว่างการชำระหนี้ต้นเงินกู้นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยมีพันธะต้องดำเนินการ 3 ประการ ได้แก่ (1) ในแต่ละปีให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำส่งเงินกำไรสุทธิเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เข้าบัญชีตามมาตรา 5 (2)ให้โอนสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราหลังจากการจ่ายเมื่อสิ้นปีเข้าบัญชีตามมาตรา 5 โดยไม่ต้องเข้าบัญชีสำรองพิเศษ (3)ให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเข้าบัญชีตามมาตรา 5 ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด "มาตรา 7 วงเล็บ 3 นั้น เป็นการเขียนปลายเปิด ร่าง พ.ร.ก.เขาบอกว่าโอนหนี้ไว้ว่า ให้โอนเงิน หรือสินทรัพย์ของ ธปท. หรือของกองทุนเข้าบัญชีเพื่อไปชำระหนี้ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนด พอเขียนข้อนี้ขึ้นมาเท่ากับภาษาธนาคารเรียกตีเช็คเปล่าให้กรอกตัวเลขเอง (blank cheque) เขียนให้มาเถียงกันทำไมผมก็ไม่รู้ ในเมื่อเงินจากส่วนอื่นๆ น่าจะพอแล้ว แต่พอเขียนอันนี้แปลว่าอยู่ดีๆ ก็ให้ ครม. ซึ่งเกิดคิดประหลาด บอกฉันจะจ่ายหนี้ใน 3 ปีนี้ ก็แปลว่าสามารถสั่งให้แบงก์ชาติไทยโอนเงิน หรือทรัพย์สินที่มีอยู่ไปใช้หนี้หมดเลยก็ได้ ตรงนี้เป็นตัวที่เขียนขึ้นมาแล้วทะเลาะกันเปล่าๆ ซึ่งสมัยก่อนอาจจะได้ แต่สมัยนี้เขียนเผื่อๆ อย่างนี้อันตราย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวเสริมว่า การเขียนกฎหมายแบบปลายเปิดเช่นนี้ เมื่อส่งไปที่กฤษฎีกา คงไม่ผ่าน คือกฎหมายที่เปิดโอกาสอย่างไม่จำกัดจำนวนอันตราย กฎหมายทุกกฎหมายที่ดีเวลาจะให้อะไรต้องมีเงื่อนไข มีขอบเขต ต้องมีกรอบ ต้องชัดเจน แต่นี่เปิดโอกาสไม่จำกัดจำนวน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มกราคม 2555, 09:16:17 ภูมิใจไทย-เพื่อไทย เส้นขนานที่บรรจบได้ ตัวแปรปลดล็อกทักษิณ
posttoday.com โดย...ทีมข่าวการเมือง สึนามิของเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย จนถึงวันนี้ผ่านไป 5 เดือน ผ่านวิกฤตน้ำท่วมมาได้ ช่วยเสริมให้เพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีภูมิต้านทานแข็งแกร่งขึ้น จนคนการเมืองไม่ว่าขั้วรัฐบาล และฝ่ายค้าน มองว่า เพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อได้อีกสมัยสบายๆ ถ้าไม่สะดุดขาตัวเองไปก่อน กระแสความแรงทั้ง “มวลชน-พลังต่อสู้-อำนาจรัฐ-ทุน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เล่นเอากลุ่ม ก๊กในพรรคฝ่ายค้านอยากเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยจนนั่งเก้าอี้ไม่ติด เพราะ ไม่อยากอดตาย ที่ต้องเป็นฝ่ายค้านปากแห้งไม่มีอนาคต นอกจาก พรรคมาตุภูมิ ที่มี 2 เสียงของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำรัฐประหารโค่น พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประกาศว่าขอเป็นกลาง ไม่เป็นฝ่ายค้าน แต่เอียงมาทางเพื่อไทย เช่นเดียวกับ พรรครักษ์สันติ หนึ่งเดียวของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก็อยู่ตรงกลาง ส่วน พรรครักประเทศไทย ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แม้จะอยู่ฝ่ายค้าน แต่ก็เล่นดนตรีจังหวะเดียวกับรัฐบาลก๊กรองนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง น้องใหม่ล่าสุดที่ประกาศตัวทอดสะพานไปยังฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ คือ สมศักดิ์ เทพสุทิน ก๊กเรียงหิน ในพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ โดยเปิดใจเมื่อต้นปี 2555 พร้อมเข้าร่วมรัฐบาล แต่ต้องไปยกพรรค ไม่ไปแบบกลุ่มงูเห่าครึ่งซีก คำพูดของ สมศักดิ์ แน่นอนอาจไม่ได้สะท้อนจุดยืนของภูมิใจไทยทั้งพรรค ที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของ “เนวิน ชิดชอบ-อนุทิน ชาญวีรกูล” แต่ก็เป็นกลิ่นอายของภูมิใจไทยที่มีข่าวมาตลอดว่า พร้อมคืนดีร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในอนาคต สำหรับ สมศักดิ์ ยังติดโทษแบน 5 ปี เพราะเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทยเดิม แต่จะกลับมาเป็นอิสระในเดือน พ.ค.นี้ พร้อมกับ เนวินอนุทิน “สรอรรถ กลิ่นประทุม” “สุชาติ ตันเจริญ” ก๊วน 111 ในภูมิใจไทยด้วยกัน การเมืองหลังเดือน พ.ค. 2555 คาดว่าจะเข้มข้นทั้งในปีกของเพื่อไทย พรรคร่วม และภูมิใจไทย เพราะ “111 ตัวจริง” จะกลับมาผงาดเป็นรัฐมนตรี เปิดหน้าเล่นได้เต็มตัว สาเหตุหลักที่คนการเมืองต่างให้ราคาเพื่อไทย เพราะ จุดแข็งมากมาย ที่เกื้อหนุนให้เครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เข้มแข็ง คือ เสียงสนับสนุน 15 ล้านคน ที่นั่งในสภา 256 เสียงถล่มทลายเกินกึ่งหนึ่ง ทิ้งขาดพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้อันดับ 2 ไม่เห็นฝุ่น อำนาจรัฐที่ถือครองอยู่ อำนาจเงินมหาศาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ นโยบายประชานิยมครองใจคนชั้นล่าง และบุคลากรชั้นนำในพรรคทั้งทีมเอบีซี แม้ว่าฝ่ายต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ประเมินว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะอยู่ไม่นาน จากปัจจัยเสี่ยงทั้งการเร่งแก้รัฐธรรมนูญ วิกฤตหนี้โลกตะวันตก การนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ การแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหมที่ไปแตะกองทัพ การไร้ความสามารถของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่เชื่อว่า “เอา (ปัญหา) ไม่อยู่” และเห็นตัวอย่างจาก 2 รัฐบาลชุด สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่อยู่ได้แค่ขวบปีทั้งที่รัฐบาลสมัครชนะเลือกตั้งหลังยุค คมช. โดยทั้งสองรัฐบาลนอมินีถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินจนสิ้นอำนาจ จากคดีคุณสมบัติของนายกฯ สมัคร ที่รับงานเป็นลูกจ้างพิธีกรชิมไปบ่นไป และคดียุบพรรคพลังประชาชน ก่อนการเมืองเปลี่ยนขั้วเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่อยู่ได้ 2 ปีกว่าจนยุบสภา แต่ไม่สามารถกลับมาได้เพราะแพ้เลือกตั้งราบคาบให้พรรค พ.ต.ท.ทักษิณ ในชื่อ “เพื่อไทย” แต่ความเสี่ยงทั้งหมดไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอก อยู่ที่พรรคเพื่อไทยเองว่าจะเดินแต้มประมาทหรือไม่ เสียงในสภา รัฐบาล ฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประกอบด้วย 6 พรรค 300 ที่นั่ง ส่วนฝ่ายค้านแท้ๆ มีประมาณ 190 ต้นๆ ที่เหลือไม่เกิน 10 ไม่ร่วมฝ่ายใด อย่างที่กล่าวมา พรรคฝ่ายค้านชุดนี้ต่างอยากร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย แต่เสียงของรัฐบาลมากเกินพอแล้ว จึงเข้าร่วมไม่ได้ แต่พร้อมเป็นอะไหล่ให้เพื่อไทย หากมีการปรับ ครม. เอาพรรคใดพรรคหนึ่งออก เล็งกันว่า ที่เป็นไปได้มากสุดคือ พรรคชาติไทยพัฒนา จากปัญหาการแก้น้ำท่วมที่พรรคเพื่อไทยอยากได้เก้าอี้ รมว.เกษตรและสหกรณ์ คืน แต่ “บิ๊กเติ้ง” ไม่ยอม แต่ปัจจัยความขัดแย้งยังไม่สุกงอมพอที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทิ้งมิตรรัก บรรหาร ศิลปอาชา ที่เชิญเข้าร่วมรัฐบาลเป็นพรรคแรก ก๊วนพรรคภูมิใจไทยจึงอาจต้องฝันค้างไปก่อน อย่างไรก็ตาม ในพรรคภูมิใจไทยด้วยจำนวน 34 เสียง ที่ดูเป็นเอกภาพอยู่ในโอวาท “เนวิน” ถึงจะดูนิ่งสงบ ทำหน้าที่ฝ่ายค้านไม่วอกแวก แต่ก็เล่น “บทสองหน้า” เป็นทั้งฝ่ายค้านและพร้อมเข้าร่วมเปิดทางกับเพื่อไทย วงในภูมิใจไทยวิเคราะห์ว่า วันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ผ่านการทำลายมาหลายครั้ง ทั้งถูกยึดอำนาจ ยุบพรรค แต่ยิ่งตีก็ยิ่งโตจนน่ากลัว เกิดหน่อเนื้อเสื้อแดงต่อสู้ทางอุดมการณ์หลายเผ่าพันธุ์ เค้กก้อนใหญ่ที่ภาคอีสาน ก็ยากที่พรรคใดจะเจาะเพื่อไทยอยู่ ทว่าจุดเปลี่ยนการเมือง ที่จะกระเทือนทั้งระบบ ก็คือ การปรองดอง และสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของอำนาจสูงสุดที่ทุกฝ่ายจับตาว่าอาจเอื้อให้เกิดการล้างกระดาน หรือคืนดีกันทุกฝ่ายในอนาคต ไม่ว่าในรูปแบบของ พ.ร.บ.ปรองดอง การนิรโทษกรรม การอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ แน่นอนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ภูมิใจไทยอยู่ร่วมกับประชาธิปัตย์ แต่ในบทบาทการปรองดอง ภูมิใจไทยอยู่ร่วมกับเพื่อไทย และยืนคนละฟากกับประชาธิปัตย์ อย่าลืมว่าภูมิใจไทยเขี่ยลูกบอลปรองดอง ยื่นร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เข้าสภาตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่พรรคเพื่อไทยต่อคิวเตรียมยื่น พ.ร.บ.นี้เข้าสภาในปีนี้ เพื่อให้กระบวนการปรองดองติดเครื่องในสภา ปัญหาของภูมิใจไทยที่จะกลับมาร่วมทำงานกับเพื่อไทยในอนาคตติดอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ-เนวินเสื้อแดง ที่ถูกแกนนำปลุกให้เกลียดเนวินเข้าไส้ แต่การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร ทุกอย่างอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในภูมิใจไทยเองก็มี “ชวรัตน์-อนุทิน” สองพ่อลูก คนกันเองที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเปิดดีลการเมืองได้ทุกเมื่อ สำหรับเนวินพยายามโลว์โพรไฟล์การเมือง ไปเอาดีด้านบอลแทน จนประสบความสำเร็จ พาทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ คว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ฉลองชัยสร้างความปลาบปลื้มให้กับคนบุรีรัมย์ ขณะเดียวกัน เนวินกำลังฟื้นพลังในบุรีรัมย์กลับขึ้นมาอีกครั้งกับสนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดวันที่ 15 ม.ค.นี้ ที่เจ้าตัวส่ง กรุณา ชิดชอบ ภรรยาลงอีกครั้งหลังให้ลาออก หวังโชว์ชัยชนะได้รับเลือกกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เพราะแค้นใจที่ถูกเพื่อไทยลูบคมเจาะไข่แดง สส.ในช่วงเลือกตั้ง พร้อมกับข่าวแว่วว่า หลังปลดล็อก 111 เนวินจะลุยการเมืองเต็มตัว ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย การเมืองปีนี้จะคึกคักมีจุดเปลี่ยนที่อาจคาดไม่ถึงหลายเรื่อง แต่การจะกลับมาร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจไม่ใช่เวลาขณะนี้ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสตายเสียทีเดียว เมื่อโจทย์ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปรองดอง เพราะมือของภูมิใจไทยก็พร้อมที่จะสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม-ปรองดอง ปลดล็อกให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อถึงวันนั้นความแค้นแปรเปลี่ยนเป็นความร่วมมือรวมพลังกันอีกครั้ง... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มกราคม 2555, 23:23:00 เจาะใจ"สมคิด"อธิการบดีธรรมศาสตร์ ลบรธน. ม.309 ออกไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆกับทักษิณ
"ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์" อธิการบดีม.ธรรมศาสตร์ เป็นนักกฎหมายมหาชน จบจากฝรั่งเศส เคยเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ทั้งปี 2540 และ ปี 2550เคยเป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรธน. ปี 2550 วันหยุดสุดสัปดาห์ มติชนออนไลน์ ชวนสนทนากับมือร่างรัฐธรรมนูญในหลายประเด็นที่กำลังกลายเป็นวาระของสังคมไทยปี 2555 Q นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนหลายคนบอกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 เป็นรธน.เผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย ในฐานะที่เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญและเป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว จะอธิบายหรือโต้แย้งประเด็นนี้อย่างไร รธน.ปี 2550 มีที่มาจากสมัชชาแห่งชาติจาก 2,000 กว่าคน แล้วก็มาเลือกกันเองเหลือ 200 คน แล้วคมช. ก็มาเลือกให้เหลือ 100 คน ส่วนนี้เป็นจุดด่างเล็กน้อยของรธน. ที่คมช. เป็นคนเลือกสสร.2 แต่สิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้คือ รธน. ปี 50 เป็นฉบับเดียวของไทยที่ผ่านการลงประชามติของประชาชนทั้งประเทศ อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าประชามตินั้นมีการคดโกง มีการประกาศกฎอัยการศึกในช่วงลงประชามติ แต่ว่ามีประชาชนมาลงประชามติกว่า 30 ล้านคน ผมเองก็ยอมรับว่ามีข้ออ่อนอยู่บ้าง แต่การเลือกตั้งหรือลงคะแนนเสียงทุกครั้งของไทยก็มีข้ออ่อน อย่างการเลือกตั้งครั้งล่าสุดก็ไม่ได้สะอาด 100% ทุกคนก็พูดกันหมดว่ามีการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างเห็นได้ชัด แต่สังคมก็ยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นการเลือกตั้งที่ใช้ได้ ดังนั้นการลงประชามติรับรองรธน. ปี 2550 ก็เหมือนกัน แน่นอนว่ามีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ก็ผ่านประชามติมาและเป็นรธน.ที่ผมรับได้พอสมควรในเชิงกระบวนการการทำงานเพราะประชามติก็ล้มล้างคมช. ที่ตั้ง สสร. 2 ขึ้นมา แม้มีนักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารธน. ฉบับนี้ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ไปยุบพรรคการเมือง ส.ว. ก็มาจากการสรรหา เหล่านี้ก็ต้องพูดกันเป็นประเด็น ๆ ไป สำหรับผมเองคิดว่ารธน. ทุกฉบับมีข้อดีข้อเสียทั้งสิ้น ไม่มีฉบับไหนหรอกที่ดีทั้งหมดโดยไม่มีข้อเสีย ให้ผมวิจารณ์รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ผมร่างเอง ผมก็วิจารณ์ได้ว่ามีข้อเสียอย่างไร ระบอบทักษิณนั้นถูกสร้างขึ้นมาจาก รธน. ปี 2540 เพราะเป็นการสร้างระบบเผด็จการรวบอำนาจในสภา แม้ว่าที่มาของส.ส. ส.ว.จะมาจากประชาชนแต่รัฐบาลก็ใช้อำนาจจากรธน. ปี 2540 เป็นไปในรูปของเผด็จการรัฐสภา ไม่มีกระบวนการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เรียกได้ว่าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลไม่ได้เลย จะถอดถอนแม้แต่รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก็ไม่ได้ จะอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มีปัญหา ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญทั้งหมดของเมืองไทยมีปัญหาทั้งสิ้น รัฐธรรมนูญปี 50 เองก็มีปัญหาอยากแก้ก็แก้ แต่อย่าโฆษณาชวนเชื่อให้คนเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2550 มันเลวร้ายมากนักเลยเพราะถ้ามันเลวมากคงอยู่ไม่ได้มาเกือบ 5 ปี Q รธน. ปี2540 ทำให้เกิดระบอบทักษิณ รธน.ปี 2550 ก็ร่างขึ้นมาเพื่อกำจัดระบอบทักษิณแต่ก็ไม่สามารถกำจัดได้ สุดท้ายแล้วระบอบทักษิณก็ยังอยู่ สิ่งที่เราทำคือพยายามไม่ให้เกิดระบบเผด็จการที่ฝ่ายบริหารควบคุมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย ซึ่งสิ่งที่รธน. ปี 2550 ก็บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่งเพราะรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการได้ ในทางทฤษฎีคนที่คิดเรื่องการแบ่งแยกอำนาจขึ้นคือ มองเตสกิเออ (Montesquieu) นักคิดนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยบอกว่าอำนาจอธิปไตยไม่ควรอยู่ในมือของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมองเตสกิเออไม่ได้หมายถึงระบอบทักษิณนะ แต่หมายถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์มีอำนาจอธิปไตยเพียงแต่พระองค์เดียว สิ่งที่มองเตสกิเออเสนอก็คืออำนาจควรแบ่งเป็นสามทาง ทั้งสามอำนาจควรใช้โดยกลุ่มคนละกลุ่มกัน สามอำนาจนั้นต้องขาดกัน การใช้อำนาจทั้งสามฝ่ายต้องคานกันแล้วการใช้อำนาจนั้นต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน ไม่สามารถให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสั่งการอีกฝ่ายได้ ไม่ให้สามอำนาจเรียงกันอยู่ในแนวดิ่ง ปล่อยให้อำนาจหนึ่งอยู่เหนืออีกอำนาจเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะรธน.ปีนั้นทำให้เกิดระบอบทักษิณที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือการฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระตามรธน. ด้วยเหตุนี้รธน. ปี 2550 จึงดึงทั้งสามอำนาจกลับมาอยู่ในระนาบเดียวกันได้ เป็นการสร้างดุลยภาพในทางอำนาจทั้งสาม แล้วผมก็คิดว่าทำสำเร็จ ระบอบทักษิณไม่ได้หมายถึงคนชื่อทักษิณหรอกครับ ถ้าทำลายแต่คนประเภททักษิณก็จะมีคนอื่น ๆ ตามขึ้นมาอีก ดังนั้นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนคือ ประชาธิปไตยที่ทั้งสามอำนาจคานกันได้และนี่ก็คือจุดประสงค์หลักของรธน. ปี 2550 Q สสร.2 บางคนบอกว่า รธน. ปี 2550 เป็นรธน.ที่สร้างความปรองดองให้แก่สังคม แต่ที่ผ่านมาก็สังเกตได้ว่า ไม่ได้สร้างความปรองดองอย่างแท้จริง แนวคิดสีเสื้อก็ยังอยู่แล้วดูจะมีท่าทีรุนแรงขึ้น แสดงว่ารธน. 50 ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่า คุณทักษิณจะไม่กลับมา เราไม่รู้หรอก เพราะเราไม่ได้มุ่งจัดการทักษิณเท่านั้น เรามุ่งวางระบบของประเทศ เพราะองค์กรทั้งหลายควรมีงานต่างกัน ย้ำอีกทีว่าไม่ได้จะจัดการกับตัวบุคคล แต่มุ่งจัดการระบอบทักษิณโดยการให้อำนาจทั้งสามคานกัน ซึ่งก็กำลังดูอยู่ว่ากำลังจะกลับไปสู่จุดเดิมหรือเปล่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้วกลับไปสู่ยุคที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากกว่าฝ่ายอื่น ๆ รัฐบาลอาจถูกคัดค้านจากสังคมได้ Q เมื่อพูดถึงองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร มีนักวิชาการหลายคนบอกว่า องค์กรอิสระเหล่านี้ไม่ได้มาจากประชาชน แต่กลับมีอำนาจมากกว่าประชาชน โดยเฉพาะการทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มองประเด็นนี้อย่างไร ระบบตุลาการก็ไม่ได้มาจากประชาชนแต่ทำไมศาลจึงสามารถพิพากษาประหารชีวิตได้ ทำไมก่อนศาลตัดสินคดีต่าง ๆ ที่ อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นจำเลย ท่านก็บอกว่าศาลสถิตยุติธรรม แต่พอศาลตัดสินไม่ตรงตามที่ท่านต้องการก็บอกศาลไม่สถิตยุติธรรมแล้ว(หัวเราะ) ตำรวจเองก็ไม่ได้มาจากประชาชนเช่นกัน ถ้าจะเอาแบบอเมริกาประชาชนก็ต้องเลือกอธิบดีกรมตำรวจ ถามว่าอะไรต้องมาจากประชาชนบ้างก็ต้องมาประชาพิจารณ์กันเยอะ องค์กรตามรัฐธรรมนูญเองก็มาจากประชาชนเพราะท้ายที่สุดกระบวนการเลือกบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระก็มาจากวุฒิสภาเป็นส่วนใหญ่ Q รัฐบาลเพื่อไทย นักวิชาการบางคนบอกว่า ที่มาของวุฒิสภาไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย องค์กรอิสระตามรธน.จึงไม่ได้มาจากประชาชน มีนักวิชาการวิจารณ์วุฒิสภาว่า มาจากแต่งตั้งผสมเลือกตั้ง 74:76 สำหรับผมไม่เรียกว่าแต่งตั้งเพราะทั้ง 74 คนนั้นมาจากการสรรหา มีกระบวนการเสร็จสิ้น มีคณะกรรมการสรรหา มีการเสนอชื่อโดยคน 3-4 กลุ่มด้วยกัน ไม่ใช่อยู่ดีก็ตั้งนาย ก. นาย ข. ขึ้นมา สำหรับระบบวุฒิสภา74:76 นั้นผู้ร่างก็ตั้งใจว่า ต้องการให้คนที่มาจากการเลือกตั้งมากกว่าการแต่งตั้ง ในอังกฤษวุฒิสภามาก็ไม่ได้มาจากการแต่งตั้ง 100% ไม่เห็นมีนักวิชาการคนไหนบอกว่าอังกฤษไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เมืองไทยระบบวุฒิสภา 74:76 กลับโดนว่าเป็นสภาเผด็จการ วุฒิสภาของไทยในสมัยก่อนมีที่มา ดังนี้คือ ให้คน ๆ เดียวแต่งตั้งคือนายกรัฐมนตรี ปัญหาของที่มาส.ว.แบบนี้คือวุฒิสภาก็เหมือนตรายาง ใครตั้งเขา เขาก็ตอบแทนบุญคุณคนนั้น ระบอบนี้จึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ต่อมาเมื่อปี 2540 จึงไปหาระบบใหม่ ไปดูงานจากประเทศอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ก็เลยเอาระบบเลือกตั้งวุฒิสภาทั้งหมดมาใช้ แต่ผมขอย้ำว่า ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์ช่วงร่างรธน.ปี 2540 นักวิชาการที่จบมาจากประเทศอังกฤษ อเมริกา หรือฝรั่งเศสนั้นไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งวุฒิสภา 100% เพราะระบบเลือกตั้งไม่ได้ตอบโจทย์ทุกเรื่องในประเทศไทย การเลือกตั้งของไทยไม่เหมือนกับในต่างประเทศ ไม่ได้คนดีเหมือนอย่างเขา การเลือกตั้งในปี 2540 สองครั้งถูกพิสูจน์แล้วว่า ระบบการเลือกตั้งวุฒิสภาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เลือกตั้งทั้งสองครั้งก็ไม่ถูกใจประชาชน ถ้าหากระบบวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งประสบความสำเร็จ รธน. ปี 2550 คงไม่เปลี่ยนที่มาของวุฒิสภา Q แบบนี้ก็จะมีบางฝ่ายแย้งว่าไม่เคารพสิทธิเสรีภาพและอำนาจของประชาชนรึเปล่าครับ ประชาชนไม่เลือกตั้งศาลถือว่าเคารพสิทธิของประชาชนหรือไม่ ไม่เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงเคารพสิทธิประชาชนไหม เรื่องเหล่านี้สามารถถกเถียงกันด้วยเหตุผลได้หมด มีหลายประเด็นที่จะต้องคิดว่า ทำไมประชาชนไม่เลือกตั้ง ผบ.ตร.หรือ ผบ.ทบ.โดยตรง หรือตำแหน่งข้าราชการอื่น ๆ ด้วย การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของทุกเรื่องครับ วุฒิสภาปี 2550 แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งก็ทำงานใช้ได้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์น้อยมากในเชิงผลงาน ต้องกลับไปที่คำกล่าวของอับราฮัม ลินคอล์นที่ว่า ประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เรื่องการปกครองของประชาชนนั้นไม่ต้องพูดถึง เรามาดูกันที่โดยประชาชน และเพื่อประชาชน รัฐธรรมนูญปี 2540 ส.ว. ถูกเลือกโดยประชาชน 100% แต่ถามว่าเพื่อประชาชนกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าให้คะแนนคนก็บอกว่าสอบตกเพราะว่าไม่ถึง 50% ต่อมาในปี 2550 ส.ว. มาจากเลือกตั้งและแต่งตั้ง 76:74 แม้ส.ว.จะมาโดยประชาชน 50:50 แต่ถามว่าทำเพื่อประชาชนกี่เปอร์เซ็นต์ โพลก็บอกว่าเกิน 50% ผลงานส.ว.ใช้ได้ ด้วยเหตุนี้ประชาธิปไตยไม่ใช้โดยประชาชนเท่านั้นครับ แต่ต้องเพื่อประชาชนด้วย ถ้าเราได้ ส.ส. ส.ว. เข้ามาแล้วเอาแต่โกงกิน ถามว่าเรียกประชาธิปไตยได้หรือเปล่า Q แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า แม้ที่มาของ ส.ว. จะไม่ได้มาโดยประชาชนทั้งหมด แต่ก็ทำเพื่อประชาชนทั้งหมด ไม่ยากครับ ก็ดูจากผลงาน การกระทำของเขาทุกๆ อย่าง สิ่งที่เขาพูด เจตนารมณ์ที่เขาทำ ดูว่าประชาชนได้อะไรจากที่เขาทำ ผมเชื่อว่าทุกคนดูได้หมด Q การแก้รัฐธรรมนูญครั้งต่อไปคิดว่าจะต้องทำประชามติก่อนร่างหรือร่างไปก่อนแล้วค่อยทำประชามติ ผมรู้สึกว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีหลายกระบวนการ ทุกกระบวนการใช้ได้ทั้งนั้น ผมสนใจเนื้อหามากกว่ากระบวนการ ผมหมายความว่ากระบวนการก็มีผลอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ต้องพูดให้ชัดเจนคือเนื้อหา การแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ถ้าคุณเอาพวกของคุณเข้าไป การแก้เนื้อหาก็เป็นไปตามที่พวกคุณต้องการ รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองของประเทศ เราต้องทำรัฐธรรมนูญให้ดี เราจะทำรัฐธรรมนูญให้ดีได้ เราต้องเอาคนที่ไม่มีส่วนได้เสียมาทำรัฐธรรมนูญ Q มองที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ รุ่นต่อไปอย่างไร แล้วถ้ามีหมายเชิญให้อาจารย์เป็นหนึ่งใน สสร. 3 อาจารย์จะร่วมหรือไม่ ผมไม่ได้คิดว่าที่มา สสร. 3 จะเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวผมไม่ร่วมอยู่แล้ว ถ้าเชิญนายสมคิดก็ไม่ไป แต่ถ้าเชิญตามตำแหน่งอธิการบดี มธ. ผมก็คงต้องไปตามหน้าที่ จากการที่ร่างรัฐธรรมนูญมาสองฉบับผมก็คิดว่า ผมพอแล้ว รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังของไทย สำหรับผมแนะว่า ถ้ารัฐบาลจะแก้ 4-5 ประเด็นที่รัฐบาลพูดมานั้นไม่สามารถทำให้รัฐธรรมนูญดีขึ้นหรอก ที่มาของสสร. ผมก็ไม่ได้สนใจมาก เพราะรัฐบาลไหนมารัฐบาลนั้นก็คุมสสร. ในช่วงนั้น อย่างปี 2540 สสร.2 ก็ใกล้ชิดรัฐบาล ปี 2550 สสร.2 ก็ใกล้ชิดกับคมช. ซึ่งบางคนอาจจะไม่ใกล้ชิดก็ได้ต้องว่ากันเป็นรายบุคคล เช่นเดียวกับปี 2555 สังคมก็พูดว่าใกล้ชิดทักษิณและทำเพื่อทักษิณ อันนี้เป็นเรื่องปกติ Q สื่อหลายสำนัก นักวิชาการบางคนวิเคราะห์ว่า รัฐบาลจะแก้ มาตรา 309 ก่อน ตรงจุดก็ถูกมองว่าทำเพื่ออดีตนายกฯ ทักษิณหรือไม่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะแก้มาตรานี้ยังไง และไม่รู้ว่าคนที่แนะนำให้แก้มาตรานี้จะเข้าใจที่มาของมาตรานี้หรือไม่ รัฐธรรมนูญมีบทหลักกับบทเฉพาะกาล มาตรานี้เป็นเพียงบทเฉพาะกาลคือใช้ชั่วคราว Q แก้มาตรานี้ จะเป็นประโยชน์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ จริงหรือ ไม่ได้ครับ เพราะจบไปแล้ว เสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีผลใด ๆ ผมไม่รู้ว่าจะไปแก้บทเฉพาะกาลทำไม ยังสงสัยอยู่ว่าใครแนะนำให้แก้ ส่วนใหญ่แล้วบทเฉพาะกาลมีอายุแค่ 6 เดือนหรือหนึ่งปีหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ถ้าแก้ก็ต้องแก้บทหลัก อย่างมาตราในการยุบพรรคที่อยู่ในบทหลักและใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ Q แต่นักวิชาการบางคนก็บอกว่า มาตรานี้ให้ความชอบธรรมกับการรัฐประหาร ดังนั้นจึงต้องแก้เพื่อทำให้ทุกอย่างที่ คมช. และองค์กรต่าง ๆ ที่มาจากคมช. ถือเป็นโมฆะ ผมคิดว่าไม่เพราะสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ตัดสินจบไปแล้ว ทุกอย่างหมดไปแล้ว คตส.ก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าให้ย้อนจะย้อนยังไง แล้วจะต้องย้อนอีกกี่ฉบับ Q ที่มาของ ส.ว. ควรมาจากไหน สุดท้ายแล้ว ส.ว. ก็ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพียงแต่การเลือกตั้งทั้งหมดตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะทำกับประเทศไทย เมื่อตอนผมเป็นสสร. 2 ปี 2550 เคยเสนอว่าสรรหาผสมเลือกตั้งนั้นถูกแล้ว แต่ผมเห็นว่าสัดส่วนของการสรรหามากเกินไป ควรสรรหาแค่ 1 ใน 3 จาก 74:76 เป็น 50:100 แต่ ส.ว.ที่มาจากกระบวนการสรรหาที่ทำงานดีก็มีเยอะมาก เช่น อาจารย์แก้วสรร อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และอีกหลายคน ถ้านำคนเหล่านี้กลับมาผมคิดว่า พวกเขาก็ทำผลงานได้ดี ผมคิดว่าหลายคนสนใจการเมืองเพื่อประชาชนโดยแท้จริง เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อโกงกินหรือเพื่อฐานเสียงแต่เข้ามาเพื่อทำงานกับประชาชน ทำอย่างไรให้ประเทศไทยดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งบางครั้งกระบวนการเลือกตั้งไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ เพราะประชาชนบางส่วนไม่ได้เลือกจากความรู้ความสามารถ แต่อาจจะเลือกจากเหตุผลอื่น ๆ มากมาย ทั้งเรื่องผลประโยชน์ ความมีชื่อเสียงโด่งดังของผู้สมัคร หรือเป็นนักโต้วาที เป็นฝ่ายค้านที่ดีน่าจะเหมาะเข้าไปนั่งอยู่ในสภา Q การเลือกตั้งของไทยยังไม่มีคุณภาพมากพอที่จะได้คนทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงเข้ามาในสภาอย่างนั้นหรือ การเลือกตั้งไทยไม่มีคุณภาพอยู่แล้ว ผมจึงอยากดูว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2555 นั้นจะแก้ปัญหาเรื่องการเลือกตั้งอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม ผมฟังบางคนที่รู้จักซึ่งจะไปร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พูดว่า ไม่เป็นไรหรอกก็เลือกตั้งไปเรื่อย ๆ อีกสัก 30-50 ปีก็ดีขึ้นเอง สำหรับผมนั้นตอบแบบนี้ก็ง่ายเกินไป ผมอยากตอบกลับว่า หน้าที่ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่รอเวลาให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง แต่ต้องย่นระยะเวลาให้ประชาธิปไตยในเมืองไทยมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นใคร ๆ ก็สามารถร่างรัฐธรรมนูญได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มกราคม 2555, 17:25:45 ว่าด้วย ‘อิสระของแบงก์ชาติ’ รัฐอิสระและการ ‘ตีเช็คเปล่า’
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ น่าเสียดายที่รายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ได้เชิญรัฐมนตรีคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาร่วมอธิบายเรื่อง “กฎหมายโอนหนี้” ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนของสังคมไทยด้วย เราก็จึงได้รับรู้แต่เพียงคำชี้แจงของรองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง กับ ดร. วีรพงษ์ “โกร่ง” รามางกูร ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในเรื่องนี้ทั้งๆ ที่มีคำถามมากมายหลายด้านจากคนที่เป็นห่วงเป็นใยกับมติคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ เพราะมันเกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจของประเทศที่มีผลกระทบต่อทุกชีวิตของคนไทย และเกี่ยวกับวิธีคิดเรื่อง “หนี้” และ “บทบาทธนาคารกลาง” ที่เป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคตบ้านเมืองอย่างยิ่ง ในรายการวันนั้น ดร.โกร่ง อาสาปะฉะดะใส่ธนาคารกลาง (เป็น “รัฐอิสระ”) แทน รองนายกฯ กิตติรัตน์ “เพราะท่านต้องทำงานร่วมกับเขา” คล้ายๆ กับจะบอกว่าเพราะตัวเองเป็น “คนนอก” จึงสามารถวิพากษ์ได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีที่ประชาชนจะได้รับฟังความเห็นอย่างตรงไปตรงมาจากทุกฝ่าย แต่ที่น่าสนใจก็คือว่า หนึ่งวันก่อนหน้านี้คุณกิตติรัตน์ ได้พบกับผู้ว่าการแบงก์ชาติ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และมีการรอมชอมกันในประเด็น “มาตรา 7” ของร่างกฎหมายที่แบงก์ชาติได้แสดงความเป็นห่วงว่าจะมีการล้วงลูกเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรา 7 (3) ที่กำหนดให้ ครม. สามารถกำหนดให้โอนเงินหรือทรัพย์สินของธนาคารกลางไป “ตามจำนวนที่ ครม. กำหนด” ซึ่ง คุณประสาร ได้แสดงความกังวลเอาไว้ว่าหากระบุไว้อย่างนั้น ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่อๆ ไปไม่เข้าใจ กลายเป็นอาจจะบังคับให้ธนาคารแห่งชาติพิมพ์เงินได้ ประเด็นเดียวกันนี้ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าจะเท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาล “ตีเช็คเปล่า” (blank cheques) ได้ ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายสำหรับการบริการการเงินการทองของบ้านเมืองอย่างยิ่ง อ่านจากข่าวเช้าวันเสาร์ (วันเดียวกับที่รายการทีวีนั้นออกอากาศ) ก็น่าจะเข้าใจว่า คุณกิตติรัตน์ กับ คุณประสาร ได้ “ทำความเข้าใจ” กันในระดับหนึ่ง เช่นในมาตรา 7 (1) นั้น ขอให้การนำส่งเงินกำไรของ ธปท. เพื่อชำระหนี้เงินต้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ให้เพิ่มเติมว่าเป็นกำหนดหลังจากหักขาดทุนสะสมที่มีอยู่ครบจำนวนแล้ว และในมาตรา 7 (2) นั้น จะต้องไม่กระทบกระเทือนทุนสำรองเงินตราและเงินบริจาคของหลวงตามหาบัว ด้าน คุณประสาร นั้น ก็บอกว่าเข้าใจความจำเป็นของรัฐบาลที่จะต้องดูแลให้สัดส่วนการชำระหนี้ต่องบประมาณรายปีที่กำหนดไว้ไม่เกิน 15% ของงบประมาณแต่ละปี ไม่ให้มีสัดส่วนสูงเกินไป เพราะถ้ารัฐบาลยังต้องรับภาระดอกเบี้ยปีละ 45,000 ล้านบาท และต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่มาเพิ่มเติมด้วย สัดส่วนนี้ก็อาจจะสูงเกินไปได้ และมีข้อตกลงกันด้วยว่าภาระดอกเบี้ยมาให้กองทุนฟื้นฟูฯ นั้น จะขอใช้จากเงินค่าธรรมเนียมในส่วนที่สถาบันการเงินส่งให้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งขณะนี้ส่งอยู่ 0.4% ของเงินฝากรวม มาใช้ชำระดอกเบี้ย 0.35% ซึ่งก็จะได้เงินประมาณ 30,000 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยที่เหลืออีกประมาณ 15,000 ล้านบาท นั้น กองทุนฟื้นฟูฯ จะเก็บจากสถาบันการเงินเพิ่มเติม แต่เพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินผลักภาระให้ประชาชน คาดว่าจะเก็บเงินจากสถาบันการเงินเพิ่มประมาณ 9,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งก็เท่ากับเงินภาษีนิติบุคคลที่สถาบันการเงินจะจ่ายลดลงในแต่ละปี จากนโยบายของรัฐบาลที่จะลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23% อีกประมาณ 6,000 ล้านบาท ก็จะนำมาจากการบริหารสินทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ บอกว่า ด้วยเท่าที่ตกลงกันนั้น กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่ต้องโอนสินทรัพย์ที่มีอยู่จำนวน 100,000 ล้านบาท ไปให้กระทรวงการคลังแล้ว แต่ให้บริหารต่อให้เกิดดอกผล และนำไปใช้หนี้เงินต้น หรือชำระดอกเบี้ยก็ได้ ตามความเหมาะสม โดยให้ ธปท. เป็นผู้พิจารณา ส่วนเงินต้นนั้น คุณประสาร บอกว่า ขณะนี้มีข้อตกลงเบื้องต้นว่ายังคงอยู่ในรูปพันธบัตรรัฐบาลตามเดิม โดยผู้ว่าการแบงก์ชาติบอกกับรองนายกฯ ว่า หากต้องการต้นทุนต่ำที่สุด พันธบัตรใหม่ที่ออกเพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯ ที่จะออกแทนพันธบัตรเดิมที่จะครบกำหนดชำระคืนประมาณ 300,000 ล้านบาท ในปีนี้ ควรจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลต่อไป เพราะภาระดอกเบี้ยจะถูกที่สุด คุณประสาร บอกนักข่าวด้วยว่า รองนายกฯ กิตติรัตน์ ยังบอกด้วยซ้ำว่าหากยังไม่มีทางแก้ไขหรือชำระคืน ก็สามารถออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลต่อไปก่อนได้ เพราะในขณะนี้หนี้สาธารณะของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก คือ ประมาณ 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ นั่นแปลว่า รัฐบาลยังสามารถจะก่อหนี้ได้มากถึง 2 ล้านล้านบาท แต่ธนาคารกลางบอกว่าจะพยายามหาแนวทางที่จะชำระคืนเงินต้นโดยเร็ว คุณประสาร บอกว่า ได้หารือกับรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ว่า จะพยายามกำหนดเวลาในการชำระหนี้เงินต้นจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ให้หมด ตั้งเป้าไว้ว่า ธปท. จะคืนเงินต้นให้ครบทั้งจำนวนภายใน 25 ปี นับจากปีนี้ อ่านข่าวละเอียดอย่างนี้แล้ว ก็แปลกใจว่า ทำไมรองนายกฯ กิตติรัตน์ ไม่บรรยาย “ข้อตกลงเบื้องต้น” เหล่านี้ในรายการทีวีวันเสาร์ ดร. โกร่ง ไม่ได้อยู่ในกระบวนการ “ทำความเข้าใจ” ระหว่างรัฐบาล กับ ธนาคารกลาง จึงคงยังเห็นว่าธนาคารแห่งชาติยืนกระต่ายขาเดียว และย้อนไปเล่าถึงปัญหาที่ธนาคารกลางเคยสร้างเอาไว้ตั้งแต่สมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง...โดยไม่มีคำชี้แจงจากผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน ยิ่งรัฐมนตรีคลังซึ่งเป็นตัวละครสำคัญของเรื่องไม่มาร่วมรายการเพื่ออธิบายความเป็นไปล่าสุด ก็ยิ่งสร้างความสับสนงุนงงได้ว่าเรื่องทะเลาะกันอย่างนี้จะลงเอยอย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง ประชาชนจะต้องได้รับทราบข้อมูล จุดยืน และเหตุผลของทุกฝ่ายเพื่อประกอบการพิจารณาว่าใครกำลังทำหน้าที่เพื่อประชาชนมากน้อยเพียงใด เพราะคำว่า “รัฐอิสระ” ของ ดร.โกร่ง นั้น คือด้านหนึ่งของเหรียญที่พอพลิกไปดูอีกข้างหนึ่ง ก็คือ “ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง” ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มกราคม 2555, 17:28:56 นายกสมาคมบลจ.ค้านโยนหนี้ทั้งก้อนให้ธปท.
โดย : สาธิต อุปชา นายกสมาคมบลจ.ค้านโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูทั้งหมดให้ธปท. ชี้ต้นเหตุปัญหามาจากทั้งธปท.-คลัง จี้ปราบคอรัปชั่น-เลี่ยงภาษี-ยึดทรัพย์นักการเมืองขี้ฉ้อ วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" กรณีที่รัฐบาลเตรียมโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปดูแลว่า ปัญหาในวันนี้คือ เรามีหนี้ และเป็นหนี้ของประเทศคือของพวกเราทุกคนที่ต้องจ่ายคืน หนี้ก้อนนี้เกิดจากการเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินเมื่อกว่า10 ปีก่อน โดยที่รัฐบาลไปออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนให้กองทุนฟื้นฟูฯ มันจึงเป็นหนี้ภาครัฐ "คำว่าหนี้ภาครัฐ ก็คือหนี้สาธารณะ หรือหนี้ของพวกเราประชาชนทั้งหมดรวมถึงลูกหลานที่ยังไม่เกิด อย่าไปมองว่ามันเกิดจากรัฐบาลไหน เพราะจะอย่างไรเราก็ปฏิเสธหนี้ไม่ได้ เราอยู่กับมันมากว่าสิบปีแล้วโดยที่พวกเราหลายคนอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ และเมื่อประมาณ 14 ปีก่อนที่มีปัญหาต้มยำกุ้ง หลายคนก็ชี้นิ้วไปที่แบงก์ชาติว่าเป็นต้นเหตุ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ใช่ แต่แบงก์ชาติเป็นส่วนที่ทำให้เสียหายเพิ่มด้วยการไปต่อสู้ค่าเงินบาทที่โดนโจมตีจากกองทุน Hedge Fund ต่างประเทศ แล้วก็สู้ไม่ได้ ต้องยอมมอบตัวในที่สุด เกิดความเสียหายมากมาย หลายคนตกงานเพราะสถาบันการเงินถูกปิดไป 56 แห่ง เนื่องจากขาดสภาพคล่องรุนแรง อัตราดอกเบี้ยระหว่างกันบางวันพุ่งขึ้นไปถึง 50% ก็ยังไม่มีใครให้กู้ แบงก์ชาติก็อุ้มไม่ไหว ไม่มีเงินไปอุ้ม เมื่อธุรกิจไม่มีเงินจากแบงก์มาหนุน คนฝากเงินกลัวไม่ได้เงินฝากคืนก็พากันแห่ถอน ทุกอย่างจึงแทบจะหยุดไปหมด เรียกว่ากลไกของระบบการเงินมันพังทลายไปเลยก็ได้" ส่วนต้นเหตุจริงๆ น่าจะเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการไปเปิดทางให้เอกชนกู้เงิน BIBF ที่ดูว่าเก๋มาก ทันสมัย ก้าวหน้าที่สุด โดยที่ประเทศยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ก็อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุเกิดจากทั้งรัฐบาล ทั้งแบงค์ชาติ ทั้งเอกชนที่ไปใช้ BIBF กู้เงินต่างประเทศดอกเบี้ยถูกเข้ามา และทั้งผู้ฝากเงินที่รัฐบาลต้องอุ้มไว้ แบงก์ชาติใช้เวลาพักใหญ่ฝ่ามรสุมที่ผู้คนสาปแช่งอยู่นานกว่าจะได้รับความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ถึงขนาดนี้ แล้วคนที่ความจำดีก็บ่นว่าทำไมคนที่ทำให้เกิดความเสียหายยังได้ดิบได้ดีกันยกชุด ยกเว้นคุณเริงชัย (มะระกานนท์) อดีตผู้ว่าการธปท. ที่เป็นคน หรือแพะผู้โดดเดี่ยวก็ไม่รู้ เพราะรับเละรายเดียวในฐานะเป็น CEO ธปท. และต้องรับในปริมาณที่เกิดใหม่ 500 ชาติก็ชดใช้คืนไม่ไหว "ที่จริงแล้วเราทุกคนต้องไม่มองเรื่องนี้ด้วยสายตาที่ส่องผ่านความเกลียดชัง หรือความรักใคร่ชอบพอ เราต้องมองด้วยสายตาของคนไทยที่มีวุฒิภาวะและมีความรับผิดชอบต่อภาระหนี้ที้เกิดขึ้น อย่ามองเพียงว่าเราไม่ได้เป็นคนทำแล้วทำไมเราต้องรับ เพราะหากเราเป็นคนญี่ปุ่น เราจะไม่โทษกันไปมาว่าหนี้นี้รัฐบาลก่อ หรือ แบงก์ชาติก่อ มันก็หน่วยงานรัฐทั้งหมดไม่ใช่หรือ เงินสามีเงินภรรยามันก็คนคนเดียวกันนั่นแหละ คนญี่ปุ่นเขามีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติสูงมาก ซึ่งเราก็ชื่นชมเขาใช่ไหม แล้วทำไมเราไม่ทำตนอย่างคนญี่ปุ่นในเรื่องความรับผิดชอบ กับระเบียบวินัย และความไม่เห็นแก่ตัว" ผลกระทบธุรกิจธนาคาร? วรวรรณ มองว่า ในระยะสั้น หากมีการทำตามข่าวล่าสุดที่ออกมาในวันเสาร์ คือจะยังไม่ขึ้นค่าประกันเงินฝากให้เกิน 0.40% แม้ว่า 0.35% จาก 0.40% นี้สถาบันประกันเงินฝากจะต้องส่งให้แบงค์ชาติจนเหลือไว้เองเพียง 0.05% ก็ตาม ผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ก็ยังไม่มีอะไร แต่ผลกระทบเชิงจิตวิทยาของผู้เล่นในตลาดหุ้นมันเป็น อีกเรื่องหนึ่ง อย่างในปลายสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นแบงก์ตกกันกราวเลย ทั้งๆ ที่แบงค์ไม่น่าจะกระทบเลยในระยะสั้น แต่ในระยะปานกลางถึงระยะยาวหากมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บค่าประกันเงินฝากเกิน 0.40% (กฏหมายกำหนดให้เก็บได้ไม่เกิน 1.00%) เช่น สมมติว่าเขาเก็บที่ 1.00% ก็จะทำให้เงินฝาก 100 บาทถูกกันไว้ 1 บาทเพื่อเป็นค่าประกันเงินฝาก ซึ่งแบงก์พาณิชย์เลยเอาไปปล่อยสินเชื่อเพื่อหารายได้ หรือทำอะไรอื่นๆ ได้ลดน้อยลง เรียกว่าต้นทุนเงินฝากของธนาคารจะสูงขึ้น และจะผลกระทบต่อกำไรของธนาคาร แต่ที่จะไปกระทบมากหรือน้อยมันขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารในการผลักภาระไปยังลูกค้า ซึ่งรัฐบาลก็อาจจะตีกันไว้ก่อนเพื่อรักษาฐานเสียงว่าห้ามธนาคารผลักภาระไปยังลูกค้าก็ได้ "หากเป็นเช่นนี้ ก็จะทำให้ ธนาคารไม่สามารถผลักภาระดังกล่าวไปให้ลูกค้าได้ทั้งในแง่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก กำไรก็จะลดลง แต่อาจจะหลบไปออกตั๋วบีอีแทนการหาเงินฝากบางส่วน เพราะตั๋วบีอีนี่สถาบันประกันเงินฝากไม่คุ้มครอง จึงไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปะกัน อย่างไรก็ตาม ธปท. หรือ กลต. อาจ จะออกมาตรการควบคุมการออก B/E ที่เข้มงวดขึ้น จนทำให้ธนาคารไม่สามารถลดภาระต้นทุนดังกล่าวผ่านการออก B/E ได้สะดวกเหมือนที่ผ่านมาก็ได้ และจากเหตุผลข้างต้นในระยะสั้นที่ธนาคารอาจไม่สามารถผลักภาระมายังลูกค้าได้ หากเป็นอย่างนี้แล้วธนาคารก็จะไม่สามารถรักษาระดับ NIM (Net Interest margin = รายได้ดอกเบี้ยรับ – ดอกเบี้ยจ่าย) ไว้ได้ กำไรจึงจะลดลง" อย่างไรก็ตาม การบังคับเรียกเก็บค่าประกันเงินฝากเพิ่มขึ้นจะไม่สอดคล้องกับภาระในการคุ้มครองเงินฝากของสถาบันประกันเงินฝากที่ปัจจุบันเป็น 50 ล้านบาทต่อลูกค้าต่อธนาคาร เพราะเมื่อวงเงินประกัน เงินฝากนี้ลดลงเหลือ 1 ล้านบาทแล้วในเดือนสิงหาคมนี้ ทำไมค่าประกันเงินฝากถึงไม่ลดลงจาก 0.40% ด้วยเล่า แถมยังจะไปเพิ่มอีก มันดูไม่มีเหตุผล และยังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านเราด้วย ซึ่งจะทำให้ต้นทุน การแข่งขันของธนาคารในประเทศสูงกว่าธนาคารคู่แข่งในภูมิภาค แล้วเมื่อเปิดเสรีแล้วจะไปแข่งกับเขาได้ อย่างไร นอกจากนี้ ธนาคารของรัฐก็ไม่ได้อยู่ในระบบประกันเงินฝากด้วย ไม่มีภาระส่งเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝาก แต่สามารถใช้ยี่ห้อว่ารัฐบาลเป็นประกันมาแข่งกับธนาคารพาณิชย์ในตลาดเดียวกัน อันนี้ ก็ไม่มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน ใครจะไปสามารถบอกได้ว่าธนาคารของรัฐมีความมั่นคง มีการควบคุมและบริหารที่ดีกว่าของเอกชนได้ ซึ่งการที่รัฐบาลเป็นประกันนั้นก็คือจะต้องใช้เงินของพวกเราทั้งหมดไปอุ้มหากมีปัญหาเกิดขึ้นใช่หรือไม่ แล้วทำไมเอาเอาเงินภาษีของประชาชนไปอุ้มอีก ก็เรากำลังจะออกจากวิ่ง วันนี้ไม่ใช่หรือ ถึงได้ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท สำหรับธนาคารพาณิชย์ แต่ทำไมธนาคารของรัฐถึงไม่เป็นแบบเดียวกัน ตรงนี้ผู้กำหนดนโยบายต้องบอกให้ชัดเจนถึงเหตุผล และต้องกำหนดทิศทาง ให้ธนาคารรัฐทำหน้าที่สนองนโยบายรัฐบาลได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เราทุกคนมีภาระหนี้เพิ่มใน วันข้างหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าไม่ได้หมายความว่าทุกวันนี้ธนาคารรัฐบริหารไม่ดี เพียงแต่เห็น ความเสี่ยงในอนาคตในเมื่อทุกรัฐบาลจะเอาอะไรก็ไปออกหวยที่ธนาคารรัฐกันหมด ต้องสนองนโยบายรัฐทั้งนั้น จึงไม่อยากเห็นกองทุนฟื้นฟูสองเกิดขึ้นมาให้เราแบกหนี้เพิ่มอีก เรื่องการขึ้นอัตราการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มทุก 0.2% นั้น นักวิเคราะห์เขาประเมินว่าจะส่งผลกระทบลบ ต่อกำไรของกลุ่มธนาคารประมาณ 7% และกระทบมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นประมาณ 1% (หมายเหตุ : ที่เขาทำ scenario ว่าเก็บเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝากเพิ่มอีก 0.20% เพราะว่าภาระหนี้ ดอกเบี้ยจ่ายของกองทุนฟื้นฟูฯ เท่ากับ 45,000 ล้านบาทต่อปี และเงินที่ปัจจุบันสถาบันประกันเงินฝากเก็บ ที่ 0.40% เป็นเงินประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ถ้าเก็บเพิ่ม 0.20% จะใกล้เคียงกับภาระดอกเบี้ยจ่าย) ธนาคารพาณิชย์จึงน่าจะหันไประดมเงินทุนผ่านการออก B/E และ interbank มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางที่ไม่ต้องส่งเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝาก จึงอาจส่งผลให้เงินที่สถาบันประกันเงินฝากคาดว่าจะจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อภาระดอกเบี้ยจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟูไม่เป็นไปตามที่คาดว่าจะได้เพิ่มอีก 15,000 ล้านบาท หากเป็นเช่นนี้แบงก์ชาติอาจจะต้องออกกฏเพิ่มเติมเพื่อป้องกันเงินฝากไหลออกไปแหล่งอื่น เช่น ห้ามออก B/E เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของแหล่งเงินทุนทั้งหมด หรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์ในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นก็ได้ ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเป็นอย่างไร ต้นทุนคนกู้จะเป็นอย่างไร? ผลกระทบในระยะสั้นคงไม่มี แต่ในระยะยาวการ pass on ต้นทุนที่สูงขึ้นบางส่วนไปให้ผู้กู้เงินอาจทำได้ เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมของลูกค้าขนาดใหญ่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับการระดมทุนจากตลาดเงินและตลาดทุน แต่หาก pass on มากเกินไปลูกค้าอาจจะหันให้ระดมเงินจากทางตลาดเงินมากขึ้นแทน ส่งผลให้เงินฝาก และเงินกู้ในระบบโตช้าลงได้ หรือลดลงก็ได้ในกรณีร้ายสุด จึงมองว่าในระยะกลางและยาว ธนาคารต้องปรับตัวและกลยุทธ์ในการทำธุรกิจเพื่อมุ่งเน้นหารายได้ทางอื่นแทน ซึ่งบางแบงก์มีความพร้อม แต่หลายแบงก์ยังไม่มีความสามารถที่จะแข่งขันในผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้านอื่นๆ มากนักและทรัพยากรบุคคลที่เหมาะสมก็มีจำกัด ธุรกิจกองทุนรวมเป็นอย่างไร? วรวรรณ มองว่า คงไม่ส่งผลกระทบกับภาพรวมธุรกิจกองทุนรวม เนื่องจากไม่เกี่ยวกับสถาบันประกันเงินฝากอยู่แล้ว เห็นด้วยหรือไม่ ที่จะให้ ธปท.รับเคลียร์หนี้แทนกระทรวงการคลัง? วรวรรณ ยอมรับว่า เห็นด้วยบางส่วนว่า ธปท.ควรมีส่วนในการช่วยรับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้นแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะปัญหาเกิดมาจาก BIBF และการขาย NPL ไปในราคาลดต่ำลงมาก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของทั้งแบงก์ชาติและคลัง แต่ไม่เห็นด้วยที่จะให้โอนหนี้ FIDF ทั้งก้อน (1.14 ล้านล้านบาท) จากเดิมอยู่ที่คลัง (บันทึกเป็นหนี้สาธารณะ – Public debt) ไปที่ ธปท.และไม่เห็นด้วยกับวิธีการหาเงินมาจ่ายชำระดอกเบี้ยโดยการเพิ่มต้นทุนให้กับธนาคาร ปัจจุบัน ธปท. ขาดทุนจากภาระการออกพันธบัตรเพื่อดูดสภาพคล่อง หากไปผลักภาระดอกเบี้ยมาให้ ธปท. รับรายเดียว (เดิมคลังรับภาระดอกเบี้ยจ่าย) ถ้าการจัดเก็บเงินเพื่อมาจ่ายชำระหนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์มันก็เหมือนจะไปผลักดันให้ ธปท.ต้องทำการพิมพ์เงินชุดใหม่ออกมา ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางของ ธปท. รวมถึงก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและเสถียรภาพของค่าเงินบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวแน่นอน ส่วนการที่รัฐบาลจะไปกำหนดห้ามมิให้ ธปท.พิมพ์เงินเพิ่มเพื่อชำระหนี้นี้ หากเขาไม่มีปัญญาจ่ายล่ะ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย หรือจะไปกดดันให้เขาสหาประโยชน์จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศด้วยการรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แล้วหากลงทุนแล้วขาดทุนล่ะ จะทำอย่างไร สถาบันการเงินบ้านเรามีความแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่ ณ ปัจจุบัน ในการรับมือวิกฤติหนี้ยุโรปเศรษฐกิจสหรัฐ? วรวรรณ กล่าวว่า จากผลของวิกฤติต้มยำกุ้ง กลุ่มธนาคารได้มีการปรับโครงสร้างและมีใช้นโยบายการรักษาสภาพคล่องและการตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง ผลดังกล่าวทำให้งบดุลของธนาคารมีความแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนเงิน สำรองต่อหนี้เสียสูงกว่า 100% ในขณะที่อัตราหนี้เสียอยู่ในระดับที่ต่ำ ความแข็งแรงของงบดุลดังกล่าวทำ ให้เราเชื่อว่าวิกฤติหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่แข็งแรง น่าจะกระทบต่อธนาคารในแง่ของการเติบโต ของรายได้มากกว่าจะส่งผลเสียต่อฐานะงบดุลที่แข็งแรงของกล่มธนาคาร จี้ปราบคอรัปชั่น-เลี่ยงภาษี-ตรวจสอบยึดทรัพย์นักการเมืองขี้ฉ้อ นายกสมาคมบลจ. ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจทิ้งท้ายว่า ทำไมไม่หาเงินก้อนแรกจากการหยุดคอร์รัปชั่น ก้อนที่สองจากคนรวยจริงๆ ที่เลี่ยงภาษีแล้วใช้วิธีจ่ายเลี้ยงเจ้าหน้าที่ไม่ให้เก็บภาษีได้ครบถ้วน ก้อนที่สามจากการตรวจสอบทรัพย์สินข้าราชการกับนักการเมืองทุกคนโดยไปเทียบกับภาษีที่เขาจ่ายว่ามันสมเหตุสมผลกันไหม แล้วให้ไปเร่งรัดคดียึดทรัพย์เข้าคลังให้ได้ภายใน 1-2 ปี อาจจะดูสั้นไปสำหรับกระบวนการ (ไม่ยุติธรรม) ในบ้านเรา แต่จะให้รอจนเจ้าตัวกลับไปเกิดใหม่แบบทุกวันนี้ คงจะรอไม่ได้ หากทำแบบนี้ เราก็มีเงินใช้หนี้หมดเกลี้ยงภายใน 2 ปีแล้ว ไม่ต้องรอไปอีก 25 ปีหรอก "ล่าสุดเมื่อมันสมองของรัฐบาล และมันสมองของแบงก์ชาติ เจรจาทำความเข้าใจกันด้วยเหตุผล ได้ผลมาว่าจะเดินไปในแนวทางที่ทุกคนเคลียร์กัน พอใจกันแล้ว มันก็เป็นผลดีต่อประเทศ เพราะอย่างน้อยที่สุด ความสำเร็จในการเจรจาในกรอบที่ชัดเจน และช่วยกันแก้ไขจุดโหว่ ก็ทำให้ความมั่นใจของผู้ลงทุนก็ไม่กระทบอะไร" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 09 มกราคม 2555, 23:00:06 แฉ “ธีระชัย” ละเมิดธรรมาภิบาล-ตั้งนอมินี แตกหุ้น-ล้มบอร์ด MCOT
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ASTVผู้จัดการรายวัน - “กรณ์” แฉ “ธีระชัย” ละเมิดธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง จ้างที่ปรึกษากฎหมายตั้งนอมินี แตกหุ้น MCOT 6 พันหุ้น หลังวันเรียกประชุมผู้ถือหุ้นหวังใช้เสียงข้างมากล้มบอร์ด อสมท ละเมิดสิทธิผู้ถือหุ้นรายย่อย พบบางรายเป็นพนักงานของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายถือใบมอบอำนาจแทน 15 คน เล็งส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ นำรายชื่อ 145 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมลงชื่อยื่นต่อ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการถอดถอน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง และ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสื่อ เนื่องจาก น.ส.กฤษณา พฤติกรรมหลายอย่างเข้าข่ายก้าวก่ายแทรกแซงรัฐวิสาหกิจ คือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) MCOT โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว พบว่า กระทรวงการคลังได้มีการว่าจ้างบริษัท สยาม พรีเมียร์ เป็นที่ปรึกษากฎหมายในการดำเนินการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อขอมติเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัท ซึ่งหลังจากได้มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว บริษัท ศูนย์ฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) ได้แจ้งว่า มีการแตกหุ้น อสมท ออกเป็น 6 พันหุ้น จากผู้ถือหุ้นรายย่อยเดิม 1 หมื่นราย เพื่อให้มีเสียงโหวตชนะในการประชุมผู้ถือหุ้น “สิ่งที่ นายธีระชัย ต้องการ คือ แต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่ เนื่องจากชุดเก่ามีความขัดแย้ง และไม่สนองนโยบายของรัฐบาล แต่วิธีการที่ใช้กลับใช้วิธีใต้ดิน จึงได้แตกหุ้นอออกให้มีผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นมา 6 พันราย เพื่อหวังให้การโหวตเลือกบอร์ดชุดใหม่เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมือง ซึ่งพบว่าผู้ถือหุ้นบางรายที่เข้าร่วมประชุมนั้นเป็นพนักงานของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายสยาม พรีเมียร์ และถือใบมอบอำนาจแทนกว่า 15 คน เพื่อมาใช้สิทธิโหวตล้มบอร์ดชุดเก่า” นายกรณ์ กล่าว นายกรณ์ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวของนายธีระชัย ถือเป็นเรื่องที่ผิดหลักธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง ทั้งที่ตัวเขาเองเคยเป็นถึงเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่ รมว.คลัง ในฐานะกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจดำเนินการเพื่อละเมิดสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ที่เป็นการขัดต่อหลักกฎหมายกำกับหลักทรัพย์ “การสร้างนอมินีขึ้นมาในครั้งนี้ผิดหลักธรรมาภิบาลที่พยายามปกป้องผู้ถือหุ้นรายย่อย แต่การกระทำของนายธีระชัย พยายามแทรกแซงและทำประโยชน์เพื่อพวกพ้องมากกว่าที่จะทำเพื่อผู้ถือหุ้น ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่ง รมว.คลัง ควรจะยึดธรรมาภิบาลให้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เนื่องจากต้องเป็นผู้กำกับดูแล แต่กลับเป็นผู้ละเมิดเสียเอง ซึ่งจะได้ส่งข้อมูลดังกล่าวนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” นายกรณ์ กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 มกราคม 2555, 11:57:18 รสนา” ชำแหละ “ปตท.-รัฐบาล” สุมหัวสูบเลือด ปชช. ถามจะยอมต่อไปหรือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 9 ม.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.และประธานคณะกรรมการศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา และนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์ผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV น.ส.รสนา กล่าวถึงกรณีขึ้นราคาก๊าซ NGV ว่า ปัญหาอยู่ที่นักวิชาการก็ตาม ปตท.ก็ตาม ชอบพูดว่าราคาก๊าซ-พลังงานต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แต่ต้นทุนที่แท้จริงเคยเอามาเปิดเผยหรือไม่ ราคาจากเอกสารโฆษณาของ ปตท.เอง ระบุว่าราคา NGV อยู่ที่ 8.39 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมันไม่ใช่ต้นทุนจริง มันเป็นราคาที่ขายให้กับ กฟผ. ซึ่งรวมค่าบริหารจัดการ รวมค่าผ่านท่อ รวมกำไร และยังบวกค่าขนส่งอีก 5.56 บาท เท่ากับค่าขนส่ง 40 เปอร์เซ็นต์ มันมีกิจการอะไรที่ค่าขนส่งมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนราคาก๊าซในตลาดโลกเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2554 อยู่ที่ 2 เหรียญ 79 เซ็นต์ต่อ 1 ล้านบีทียู 1 ล้านบีทียู เป็นค่าความร้อน ถ้าแปลงให้เป็นกิโลกรัมก็คือเท่ากับ 27.82 กก. พอเป็นเงินไทยเฉลี่ยตกที่กิโลกรัมละ 3.37 บาท นี่คือต้นทุนตลาดโลก มันสะท้อนต้นทุนตรงไหน อีกทั้งราคาก๊าซธรรมชาติปี 2007-2011 ขึ้นสูงสุดเมื่อปี 2008 หลังจากนั้นต่ำลงเรื่อยๆ ทิศทางในตลาดโลกเป็นขาลง แต่คุณกลับสวนขึ้นและขึ้นในยามที่คนกำลังลำบากจากปัญหาน้ำท่วม อีกทั้งความจริงแล้วราคาผ่านแนวท่อก๊าซมันถูกมาก เมื่อปี 2552 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานอนุญาตให้ปตท.ขึ้นค่าผ่านท่อได้ 2 บาท ต่อ1 ล้านบีทียู ก็คือรวมแล้ว 22 บาท กับอีกเศษนิดหน่อย ต่อ 27.82 กก. เฉลี่ยแล้วไม่ถึง 1 บาทต่อกก. สมมุติเอาราคาตลาดโลก 3.37 บาท บวก 1 บาท อยู่ที่ 4 บาท แต่คุณบวกค่าขนส่งมหาโหดอย่างนี้ได้อย่างไร ก๊าซถ้าส่งตามแนวท่อจะถูกที่สุด ตามธรรมชาติของก๊าซเหมาะกับรถที่ใช้วิ่งเป็นทางประจำเช่นรถเมล์ สามารถทำปั๊มเฉพาะที่เป็นจุดจอดรถ แต่นี่รัฐบาลมาสนับสนุนให้รถเล็กมาใช้ ใช้อำนาจรัฐทุกอย่างบังคับให้มาใช้ NGV น.ส.รสนากล่าวอีกว่า วันนี้กลุ่มอุตสาหกรรมขนส่งทั้งหลายที่ออกไปต่อต้านการขึ้นราคา NGV เสียท่ารัฐบาลไปแล้ว สิ่งที่ทำวันนี้ไม่มีความหมายเลย เมื่อยอมเปิดบริสุทธิ์ให้ขึ้น 50 สตางค์แล้ว ไม่มีทางลด นั่นก็เพราะขาดข้อมูลในมือ ต้องให้ ปตท.เปิดเผยตัวเลขต้นทุนที่แท้จริงออกมา น.ส.รสนากล่าวว่า ทรัพยากรของไทยถูกขุดขายเพิ่มขึ้นทุกปีในขณะที่รายได้เข้ารัฐไม่ได้เพิ่มตาม ข้อมูลของ EIA (Environmental Impact Assessment) ไทยผลิตก๊าซธรรมชาติอยู่ที่อันดับ 23 ของโลก จาก 224 ประเทศ มากกว่าหลายๆ ประเทศที่เป็นกลุ่มโอเปก เรามีทรัพยากรมหาศาล แต่ทุกคนบอกว่าเราต้องพึ่งพา นำเข้าตลอด สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ปตท.ใหญ่เกินไป มีอำนาจเหนือตลาดหลักทรัพย์ เหนือรัฐบาล และสื่อ เพราะไม่มีประเทศไหนที่ปล่อยให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจมีขนาดเงินหมุนเวียนใหญ่กว่ากระทรวงการคลังเกิน 3 เท่า น่ากลัวที่รัฐบาลปล่อยให้ปตท.อยู่ในสภาพที่เป็นทั้งรัฐและเอกชน โดยให้รัฐถือหุ้น 51.5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อคงความเป็นรัฐอยู่ จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ซึ่งอะไรที่มันใหญ่เกิน ถ้าล้มนี่ล้มดัง อันตรายต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมด อีกทั้งยังปล่อยให้ควบรวมกิจการทั้งแนวดิ่ง คือครอบงำกิจการปิโตรเคมีทั้งหมด และควบรวมแนวนอน ซึ่งเป็นการยึดฐานลูกค้า จนมีอำนาจใหญ่มาก ตอนนี้ไม่มีภาคส่วนไหนกล้ากับปตท.เลย น.ส.รสนายังกล่าวว่า การค่อยๆ ปรับเพิ่มทีละ 50 สตางค์ จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนแบบไม่รู้ตัว เหมือนกับการต้มกบ เมื่อต้มโดยปรับอุณหภูมิขึ้นทีละน้อยๆ กบจะไม่รู้ตัวเพราะมันปรับตัวตามอุณหภูมิ แต่ถ้าใส่ไปตอนร้อนๆ กบจะกระโดดหนี กรณีขึ้นราคาก๊าซก็เช่นกันประชาชนก็จะปรับตัวอยู่กับการขึ้น 50 สตางค์ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะยอมถูกต้มหรือเปล่า เลือกว่าจะเป็นกบตัวแรกที่ถูกต้มหรือกบตัวสองที่กระโดดหนี ด้าน นายอิฐบูรณ์กล่าวว่า กรณีเกิดโรงแยกก๊าซเพิ่มขึ้นเป็นหน่วยที่ 6 มีคำถามว่า เกี่ยวหรือไม่กับการพยายามทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติลอยตัวขยับเพิ่มทันที ความจริงแล้วไม่สนใจว่าต้นทุนที่แท้จริงเป็นอย่างไร ขอแค่ขึ้นมาก่อน แล้วรัฐบาลก็ยอม ประชาชนเหมือนถูกมัดมือชก ราคา NGV 14.50 บาท เป็นราคาที่ปตท.ต้องการขอขึ้นมานานแล้ว นี่คือต้นทุนที่เขาต้องการ โดยไม่ได้อิงกับราคาตลาดโลกเลย เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมาโดยตลอด แต่มาได้ในจังหวะรัฐบาลนี้ ซึ่งนายกฯเป็นประธานโดยตำแหน่ง ในกลุ่มของพวกเขาเองก็คุยกันว่าเทคนิคการขึ้นราคา คือค่อยๆกินทีละ 50 สตางค์ จนสิ้นปี 2555 จะจ่ายเพิ่มขึ้นทั้งหมด 6 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ จากราคาฐานเดิม ถ้าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันอย่างแท้จริงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ไม่สามารถทำได้ แต่ธุรกิจนี้สามารถทำได้ ทางด้าน LPG ก็ขึ้นราคาเช่นกัน แต่กระแสเงียบไป ซึ่ง LPG นี่หนักกว่าอีก เพราะไม่มีลิมิต เขาใช้คำว่าจะไต่ราคาขึ้นไปถึงต้นทุนของโรงกลั่น ซึ่งถ้าโรงกลั่นบริหารงานย่ำแย่ ไม่ต้องควบคุมในเชิงประสิทธิภาพ อยากให้ขึ้นราคาก็ได้ กลไกแบบนี้เป็นธรรมหรือไม่ ประเทศไทยสามารถพึ่งพาแหล่งพลังงานเองได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เองเคยแถลงต่อสภาว่าต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ 55 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมราคาที่คนไทยใช้ถึงเป็นราคาตลาดโลก 100 เปอร์เซ็นต์ นี่เฉพาะราคาน้ำมัน ส่วน LPG ก็พยายามเกาะตลาดโลก แต่ NGV ดันไม่ยึดราคาตลาดโลก แสดงว่าจะใช้ราคาอะไรก็ได้ใช่หรือไม่ คำถามง่ายๆ ทรัพยากรเป็นของแผ่นดินไทย ส่วนใหญ่ก็มาจากอ่าวไทย สัมปทานที่รัฐได้น้อยมาก การเข้าถึงทรัพยากรมันไม่เป็นธรรม เราเจอคนโลภที่ตัวใหญ่มาก คุมตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง ที่สำคัญคนที่เป็นข้าราชการระดับสูง เป็นปลัดกระทรวงพลังงาน อีกตำแหน่งก็เป็นประธานบอร์ดของบริษัทเอกชน (ปตท.) แล้วคนๆนี้ก็มีหน้าที่ตั้งราคา จ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมัน นายอิฐบูรณ์กล่าวอีกว่า เราพบกรณีไม่เป็นธรรมของก๊าซ LPG เป็นอย่างมาก เขากล่าวหารถยนต์ที่ใช้ LPG เป็นตัวการให้ก๊าซไม่พอใช้ แต่ตรวจสอบแล้วตัวการคืออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งก็เป็นบริษัทในเครือปตท. พอกลุ่มนี้ใช้ไม่เคยแจ้ง แต่เวลาแถลงข่าวว่าต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ปรากฎว่าไม่ใช่นำเข้า LPG แต่นำเข้าเป็นก๊าซองค์ประกอบ ซึ่งรถยนต์ใช้ไม่ได้ ปรากฎว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่สามารถใช้ได้ แล้วเวลาสั่งจ่ายเงินชดเชย มติล่าสุดสั่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจ่ายแค่ 1 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่อุตสาหกรรมอื่นๆโดนกัน 5-10 กว่าบาท นี่คือหลายมาตรฐาน นายอิฐบูรณ์กล่าวต่อว่า ถ้าเราจ่ายแพงแล้วเกิดกระจายรายได้ไม่ว่า แต่นี่ไปอยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เปรียบเหมือนเราเสียดินแดนโดยถูกกำลังผูกขาดทางเศรษฐกิจครอบงำ ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มขึ้น คำนวณแบบทั้งปี ถึงสิ้นปี 55 เงินที่ต้องจ่ายเพิ่มส่วนของ NGV เพื่อให้ได้ก๊าซ 40 กก. จะเพิ่มอีก 140 บาท จากเดิมแท็กซี่จ่าย 340 บาท ต้องจ่าย 480 บาท ฉะนั้นบัตรเครดิตอะไรต่างๆ อย่าลืมรัฐบาลแค่สำรองจ่ายให้ก่อน แล้วไปจ่ายหนี้เองทีหลัง หากไม่จ่ายอาจถูกฟ้องยึดรถได้ ส่วน LPG จากเดิมที่ 45 ลิตร 500 บาท จะเพิ่มมา 220 บาท ต่อไป 45 ลิตรจะต้องจ่าย 720 บาท ง่ายๆทั้งปีมันขึ้นทั้งหมด 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อค่าตรงนี้เพิ่ม กลไกต่างๆ ทั้งระบบก็ต้องเพิ่มตามไปด้วย ซึ่งภาระก็จะถูกผลักไปให้ผู้ที่ไม่มีปากมีเสียง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มกราคม 2555, 22:50:38 ปตท.ทุ่มงบพันล้านสร้างภาพ-ซื้อชุมชน-ปิดปากสื่อ ASTVผู้จัดการออนไลน์ - พลังและอำนาจของเม็ดเงินโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ยักษ์ใหญ่ปตท.ทุ่มสร้างภาพ ซื้อสื่อ ซื้อใจชุมชนเกือบ 1,400 ล้านบาทในห้วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจพลังงานไม่ถูกตั้งข้อกังขาถึงความฉ้อฉล เผย อสมท. กวาดไม่ต่ำกว่าปีละร้อยล้าน ส่วนรายการคนดัง “วู้ดดี้ - สรยุทธ์” รับเละ 50 กว่าล้าน ทำเนียนกล่อมสังคมไทย “พลิกใจให้พอเพียง” เพื่อปตท.จะได้ฟันกำไรสูงสุดปีละเกือบแสนล้าน หากเครือปตท.จะดำเนินธุรกิจพลังงาน ซึ่งถือเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยยึดมั่นดังคำโฆษณา “พลิกใจให้พอเพียง เพื่อสุขที่ยั่งยืน” และ “ปตท.(เป็น)พลังที่ยั่งยืน เพื่อไทย” อย่างแท้จริงแล้ว ความเดือดร้อนของประชาชนอันเป็นผลมาจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะต้นทุนค่าพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นแล้วส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่คงจะทุเลาเบาบาง สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงและมีสุขที่ยั่งยืนจริงๆ แต่คำโฆษณาของปตท.ก็เป็นเพียงแค่การสร้างภาพเพื่อให้สังคมเคลิบเคลิ้ม ไม่สงสัย ไม่ตั้งคำถามถึงความไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปรับขึ้นราคาก๊าซฯ น้ำมัน ฯลฯ ที่ ปตท. มักมีคำอธิบายให้ชวนเชื่อถือ และรัฐบาลซึ่งความจริงแล้วมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนคอยถือหางปตท. โดยมีสื่อร่วมมือร่วมใจช่วยสร้างภาพให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่พลังงานแห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยธรรมาภิบาลอีกทั้งทำให้สังคมเชื่อว่า เม็ดเงินกำไรตั้งแต่ ปี 2547 ถึง 9 เดือนแรกของ ปี 2554 ที่ปตท. มีกำไรสุทธิรวมกันถึง 7 แสนล้านบาท เป็นความสามารถทางธุรกิจโดยแท้ เบื้องหลังการสร้างภาพและสร้างเครือข่าย “สื่อมวลชนเพื่อปตท.” นั้น สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รายงานว่า บมจ.ปตท. ยังเป็นยักษ์ใหญ่ที่ใช้เงินเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ จ้างทำมวลชนสัมพันธ์ เป็นสปอนเซอร์รายการแข่งขันกีฬา คอนเสิร์ต ผ่านสื่อต่างๆ มากที่สุด โดยรอบปีงบประมาณ 2554 (1 ต.ค. 2553 - 30 ก.ย. 2554) ที่ผ่านมา ปตท.ได้ใช้งบประมาณว่าจ้างหน่วยงาน องค์กรเอกชน โฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการและกิจกรรมต่างๆ รวม 44 รายการ วงเงินรวม 651.1 ล้านบาท (ดูตาราง) เมื่อเทียบกับงบประมาณ 2553 ปตท.ได้ใช้เงินประชาสัมพันธ์ ผ่านบริษัทต่างๆ 34 รายการ รวมเม็ดเงิน 687.2 ล้านบาท หากรวม 2 ปี จะพบว่า ปตท.หว่านเม็ดเงินเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สูงเกือบ 1,400 ล้านบาท สำหรับสื่อที่ได้รับการว่าจ้างมากที่สุดในรอบปี 2554 ที่ผ่านมา เรียงตามลำดับวงเงิน มีดังนี้ 1.บมจ.อสมท จำนวน 107 ล้านบาท ได้แก่ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2010 ครั้งที่ 16 วงเงิน 7,000,000 บาท (15 ธ.ค. 53) และ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในรายการโทรทัศน์วิทยุ และกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านสื่อในเครือบริษัท ปตท. (มหาชน) วงเงิน 100,000,000 บาท (12 พ.ค. 54) 2.บริษัท ทีบี ดับบลิวเอ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 100,000,000 บาท ได้แก่ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันใสและภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมัน ปตท.(17 มี.ค. 54) 3.บริษัท เฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด (นายวินิจ เลิศรัตนชัย ถือหุ้นใหญ่) จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการจัดงาน “ช้างร่วมฉลองมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว” 30,000,000 บาท (19 เม.ย.54) 4.บมจ. บีอีซี.เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำนวน 29,000,000 บาท ได้แก่ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการจัดการแข่งขัน PTT-EGAT Snooker World Cup 2011 วงเงิน 20,000,000 บาท และ จ้างโฆษณาผลิตภัณฑ์(น้ำมันใส)ปตท.ในรายการโทรทัศน์ “เรื่องเล่าเช้านี้” 9,000,000 บาท 5.สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 25,000,000 บาท ได้แก่ โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการสนับสนุนแข่งขันสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ภายใต้โครงการ 1 สมาคมกีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ แต่หากจะนับความถี่จะพบว่า รายการว่าจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทีวีบ่อยครั้งคือ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในรายการ “ข่าวภาคค่ำ ททบ.5” ผ่านบริษัท 3 เอ.มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ของนายสมชาย รังษีธนานนท์) จำนวน 2 ครั้ง ว่าจ้างโฆษณาทางรายการ “เช้าดูวู้ดดี้” และรายการ “The Idol คนบันดาลใจ” 2 ครั้ง (ผ่าน บริษัท ทีวี แสตนดาร์ด จำกัด ของ นางสาว อันวิดา อภิจารี และ บริษัท มีเดีย แอสโซซิเอตเต็ด จำกัด) และว่าจ้างประชาสัมพันธ์ผ่าน“เรื่องเล่าเช้านี้” และรายการ “เรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์” 2 ครั้ง (บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดาและ บมจ. บีอีซี.เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์) หากนับวงเงินที่ ปตท. หว่านโปรยว่าจ้างรายการคนดังข้างต้น คือ รายการ “เช้าดูวู้ดดี้” และรายการ “The Idol คนบันดาลใจ” 2 ครั้ง ครั้งแรก 6 ล้านบาท และครั้งที่สอง อีก 9.6 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 15.6 ล้านบาท ส่วนบริษัทไร่ส้ม รับไปเนื้อๆ ครั้งแรก 16.5 ล้านบาท และครั้งที่สอง 9 ล้านบาท รวม 25.5 ล้านบาท และเมื่อปี 2553 บริษัทไร่ส้ม ได้รับว่าจ้างให้โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. วงเงิน 11.7 ล้านบาท รวมๆ แล้วรายการคนดังรับทรัพย์จากปตท.ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา สูงถึง 52.8 ล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าแปลกใจที่นักเล่าข่าวคนดัง จะไม่ขุดคุ้ยประเด็นความฉ้อฉลปล้นเงียบประชาชนของปตท.ออกมาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้อย่างที่ควรจะเป็น ในรายการว่าจ้างโฆษณาผ่านสื่อค่ายยักษ์ใหญ่ ปตท.เมื่อปีที่ผ่านมา ปตท.ยังเลือกใช้บริการของเครือเดอะเนชั่น ที่รับไปเนื้อๆ รวม 16 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่ามีว่าจ้างเพื่อดำเนินงานมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังภาคเหนือ(นครสวรรค์) ผ่าน บริษัท ซีวิลโปร จำกัด วงเงิน 16,968,000 บาท (21 เม.ย. 54) ก่อนหน้านี้ ปีงบประมาณ 2553 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ใช้เงินประชาสัมพันธ์ ผ่านบริษัทต่างๆ 34 รายการ รวมเม็ดเงิน 687.2 ล้านบาท ได้แก่ 1.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด 12 ล้าน บาท 2.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ผ่าน บริษัท แพนแทงเกิลโปรโมชั่น จำกัด 15 ล้านบาท 3.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ผ่าน สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย 7,500,000 บาท 4.ดำเนินการจัดงานพิธีมอบรางวัล งานลูกโลกสีเขียวครั้งที่ 11 และงานการประกวดการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ครั้งที่ 4 ผ่าน บริษัท แม่น้ำร้อยสาย จำกัด 5,686,128 บาท 5.ประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางการแข่งขันเทนนิสเอทีพีรายการPTT Thailand Open2009 ผ่าน บมจ.บีอีซี-เทโรเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 60 ล้านบาท (21 ธ.ค. 2552) 6.ประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการจัดกอล์ฟ The RoyalTrophy ผ่าน Entertainment Group Kimited 23.1 ล้านบาท 7.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25(สำนักงานใหญ่) ผ่าน บริษัท เพชรจำปา จำกัด 10 ล้านบาท 8.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางโทรทัศน์ รายการคนไทยหัวใจไม่ท้อ ผ่าน บริษัท ฮันนี่ แอนด์ เฟรนด์ เอ็นเทอร์เทนเท้นท์ จำกัด(มหาชน) 5.2 ล้านบาท 9. โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปทต. ผ่าน บริษัท เจวีดี แมเนจเม้นท์ จำกัด 8,079,000 บาท 10.โฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กร ผ่าน บริษัท ทีดับเบิลเอ (ประเทศไทย) จำกัด 120 ล้านบาท 11. โฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท ธิงค์วิซ จำกัด 13 ล้านบาท 12.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่าน บริษัท มีเดีย แอสโซซิเอตเต็ด จำกัด 9.6 ล้านบาท 13.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท บางกอก เยลล์ จำกัด 6.5 ล้านบาท 14.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ผ่านสื่อ 16 ล้านบาท 15.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางรายการจัดการแข่งขันพัฒนานักเทนนิสอาชีพและเยาวชนไทยปี 2553 ผ่าน บริษัท ไทยเทนนิส แม็กกาซีน จำกัด 7 ล้านบาท (3 มี.ค. 2553) 16.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท ไร่ส้ม จำกัด 11,725,000 บาท (3 มี.ค. 2553) 17. โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางวิทยุ ผ่าน บริษัท ฟาติมาบรอดคาสติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 7.2 ล้านบาท 18.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่าน บริษัท มาร์เก็ต รีอินฟอร์ส จำกัด 6,069,000 บาท 19. Support SA ROOP KHEM KHONG SOOD THAI project 6thfor CHULALONGKORN UNIVERSITY BROADCASTING STATION ผ่าน CHULALONGKORN UNIVERSITY BROADCASTING STATION 1 ล้านบาท 20.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่าน บริษัท ฟร้อนท์เพจ จำกัด 5,720,000 บาท 21.โฆษณาประชาสัมพันธ์กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันใสและส่งเสริมภาพลักษณ์สถานีบริการ ปตท.ปี 2553 ผ่าน บริษัท ทีบีดับเบิลเอ(ประเทศไทย) จำกัด 100 ล้านบาท 22.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.สร้างภาพลักษณ์ในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ผ่าน บริษัท ริพเพิล เอฟ เฟคท์ จำกัด 10 ล้านบาท (12 มี.ค. 2553) 23.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางโทรทัศน์รายการ องค์กรเกื้อแผ่นดิน ผ่าน บริษัท บ้านบันดาลใจ จำกัด 5,950,000 บาท 24.งานเหมาพัฒนาชุมชนโครงการรักษ์ป่า สร้างคน 84 ตำบลวิถีพอเพียง ผ่าน บริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด 54,908,820 บาท 25.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทาง โทรทัศน์ รายการพลังงานเพื่อชีวิต ผ่าน บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด 6,959,000 บาท 26.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทาง โทรทัศน์ วิทยุและสื่อต่างๆในเครือข่าย ผ่าน บมจ. อสมท 90 ล้านบาท 27.บริษัทที่ปรึกษาโครงการท่อฯถนนปู่เจ้าสมิงพราย ผ่าน บริษัท เนเจอร์อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด 8,985,900 บาท 28.บริการจัดการโครงการเพื่อเด็กและเยาวชน ผ่าน บริษัท อิน เฮ้าส์ เอเยนซี่ จำกัด 6,300,000 บาท 29.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 4 (นวนคร-รังสิต) ผ่าน บริษัท ซีวิล โปร จำกัด 5,639,700 บาท (9 เม.ย. 2553) 30.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 4 ผ่าน บริษัท ซีวิล โปร จำกัด 6,606,600 บาท 31.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์ ปตท. ทางโทรทัศน์รายการข่าวภาคค่ำ ททบ.5 ผ่าน บริษัท 3 เอ.มาร์เก็ตติ้ง จำกัด 5,175,000 บาท 32.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ นิคมอุตสาหกรรม สมุทรสาคร-ถนนเศรษฐกิจ ผ่าน บริษัท เอสบี มูฟ จำกัด 9,600,800 บาท 33.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี-พญาไท ผ่าน บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 7.8 ล้านบาท 34.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ผ่าน บริษัท พีน่า มีเดีย จำกัด 12 ล้านบาท รวม 2 ปี ปตท.ใช้งบฯประชาสัมพันธ์ประมาณ 1,338 ล้านบาท ผ่านเอกชนประมาณ 40 ราย ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท ริพเพิล เอฟเฟคท์ จำกัด ซึ่งผู้ทำมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที่มาบตาพุด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท นางสาว โศภิน เงินสวัสดิ์ นางบุญสม บุญมาก ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีวิล โปร จำกัด ผู้ทำมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 มีทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท นายสุวรรณ บัณฑิต นางสาววิจิตรา ฉัตรสุวรรณ ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอสบี มูฟ จำกัด ผู้ทำมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ นิคมอุตสาหกรรม สมุทรสาคร-ถนนเศรษฐกิจ มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท นางสาวสายชู โทสูงเนิน นายประสิทธิ์ ขันตี ถือหุ้นใหญ่ ส่วน บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ผู้ทำมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี-พญาไท มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท นายสนธยา ทิพย์อาภากุล ถือหุ้นใหญ่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 12 มกราคม 2555, 23:05:50 วอนรัฐจ่ายชดเชยอย่า2มาตรฐาน
ครม.จะสร้าง2มาตรฐานนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง...ครม.ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันชดเชยความขัดแย้งทางการเมืองอื่นด้วย โดย...ทีมข่าวการเมือง posttoday.com มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบหลักเกณฑ์ชดเชยเยียวยากับเหยื่อการเมืองในเหตุการณ์ชุมนุมนับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา โดยให้รายละ 7.75 ล้านบาท บาดเจ็บ ทุพพลภาพลดหลั่นกันถือว่าเป็นค่าชดเชยที่สูงสุดในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ทำให้เกิดคำถามถึงความเท่าเทียมในค่าชดเชยให้กับเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์อื่นๆ อีกมาก ละม้าย มานะการ เจ้าหน้าที่หน่วยพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติและเครือข่ายเรียนรู้ท้องถิ่นชายแดนใต้ เปิดเผยว่า ตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบจากสถานการณ์ภาคใต้ (กยต.) ผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 1 แสนบาท หากเป็นข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะได้รายละ 3 แสนบาท ขณะที่ประชาชนที่ช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ จะได้รับรายละ 5 แสนบาท ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือต้องพักฟื้นเกิน 20 วัน จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5 หมื่นบาท ซึ่งใช้เกณฑ์ดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2548 อย่างไรก็ตามการเบิกจ่ายตามเกณฑ์ดังกล่าวยังคงมีปัญหาอยู่มาก ละม้าย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการพูดถึงการเยียวยาเหยื่อจากเหตุการณ์ความไม่สงบภาคใต้ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าว่าตัวเลขจะได้เพิ่มเติมเท่าใด ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ได้พูดถึงเงินส่วนนี้เช่นกัน แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ทำให้งานต้องยุติลง นับว่าน่าเสียดายมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับค่าชดเชยของม็อบการเมืองครั้งนี้ยังไม่เป็นธรรม จึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐลงมาดูแลเพิ่มเติม เปรียบเทียบม็อบตายจ่าย 7 ล้าน จนท.ตายจ่ายเท่าไหร่? (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd494230_3851919_6055338_1568146photo.jpg) โซรยา จามจุรี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ กล่าวว่า เหตุการณ์ตากใบที่มีผู้เสียชีวิต 85 คน โดยการกระทำเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่สามารถบอกได้ว่าควรจะต้องจ่ายเงินเยียวยาเท่ากันหรือไม่ แต่ต้องเป็นธรรมและเหมาะสม ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ “เราได้รับค่าเยียวยา 2 แสนบาทก้อนแรก รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการศึกษาบุตรจนถึงจบปริญญาตรี หลังจากนั้นมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมไม่เท่ากัน บางรายได้รับเงินแค่หลักหมื่น บางรายได้รับเงินเป็นหลักล้าน ขณะที่เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะได้รับการเยียวยา 3 หมื่นบาท” โซรยา กล่าว นารี เจริญผลพิริยะ กรรมการโครงการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านจิตใจจากสถานการณ์ความไม่สงบใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า การเสียชีวิตในพื้นที่ชาวบ้านได้รับการเยียวยาคนละ 1 แสนบาท การให้เงินเยียวยาม็อบการเมืองของรัฐบาลครั้งนี้ ไม่ได้มีผลต่อการสร้างความปรองดอง ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น เพราะถ้าการจ่ายเงินเยียวยาที่ไม่เท่ากัน ก็จะนำมาสู่คำถามว่าชีวิตของคนในประเทศนี้มีค่าไม่เท่ากันหรืออย่างไร ซึ่งหากมีความแตกต่าง กลุ่มที่ได้น้อยกว่าก็จะเกิดความไม่พอใจและ นำไปสู่ความแตกแยก อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 กล่าวว่า คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เป็นผู้เสนอข้อเรียกร้องให้มีค่าชดเชยด้วยเงินจำนวนดังกล่าวผ่านประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ด้วยตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการพูดถึงว่าอาจจ่ายถึงคนละ 7-8 ล้านบาท เพราะหากคำนวณจริงๆ แล้ว ชีวิตคนหนึ่งคนน่าจะมีค่ามากกว่านั้น แต่เมื่อออกมาในจำนวนนี้ ก็ถือว่ารับได้ สมชาย แสวงการ สว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการ|คุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า ที่เป็นห่วงคือมติ ครม.จะสร้างสองมาตรฐาน นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการชุมนุมแล้วเกิดจลาจล เมื่อเสียชีวิตจะได้รับเงินรวม 7.75 ล้านบาท เทียบกับหลักเกณฑ์เยียวยาของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่เสียชีวิตจะได้เพียง 4 แสนบาท หรือกรณีตำรวจ ทหาร ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ชั้นสัญญาบัตรเสียชีวิตได้ 25 เท่าของเงินเดือน นายร้อยได้ 3 แสนบาท ค่าสินไหมทดแทน 2 บาท ได้รวม 5 แสนบาท และถ้าชั้นประทวนจะได้ 3.6 แสนบาท พลทหารได้ 2 แสนบาท ดังนั้น ครม.ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันกับการชดเชยผู้ชุมนุมกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอื่น ทั้งผู้เสียชีวิตในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ผู้ที่ถูกฆ่าตัดตอนสงครามยาเสพติด ที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นคนบริสุทธิ์ ต้องได้รับชดเชยตามเกณฑ์เดียวกันทั้งหมด รวมถึงม็อบสวนยางและตำรวจที่บาดเจ็บจากการโดนยิงต้องได้รับชดเชยด้วย เรื่องนี้ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน อย่าให้เกิดสองมาตรฐาน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังมีประชาชนที่สูญเสียและเป็นเหยื่ออีกหลายเหตุการณ์ ที่ไม่ใช่เรื่องการชุมนุมทางการเมืองโดยตรง แล้วกลุ่มเหล่านี้จะได้การพิจารณาด้วยหรือไม่ เช่น การสูญเสียที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ที่มีการขีดเส้นเหตุการณ์อยู่ที่ปี 2548–2553 แต่หลายคนสูญเสียในช่วงปี 2535 2516 และ 2519 กลุ่มเหล่านี้ก็เคยร้องเรียนมาโดยตลอดเช่นกัน จึงเกิดคำถามว่าทุกคนควรจะมีสิทธิด้วยหรือไม่ คนที่ทำผิดในเรื่องอื่นๆ เช่น วางเพลิง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ อาวุธสงคราม จะใช้หลักเกณฑ์กับคนเหล่านี้ด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเยียวยาเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องทำให้ครอบคลุมจะไปแบ่งแยกเฉพาะคนบางกลุ่มไม่ได้ ต้องได้รับทุกภาคส่วน ไม่เช่นนั้นจะทำให้สังคมขัดแย้งขึ้นอีก ฐิติมา ฉายแสง โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า การเยียวยาครั้งนี้น่าจะประสบความสำเร็จในเรื่องการสร้างความปรองดอง เพราะหลักจิตวิทยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบย่อมรู้สึกถึงการได้รับความเป็นธรรม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 มกราคม 2555, 23:26:45 เลขาฯ แม่ฟ้าหลวง แนะ "ปู" จริงจังฟื้นฟูต้นน้ำ ปลูกจิตสำนึกท้องถิ่น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “คุณชายดิศนัดดา” ระบุน้ำคือพระเจ้าอยู่หัว ป่าคือสมเด็จพระนางเจ้า เตือนสติ นายกฯ-รมต.-อธิบดี-ปลัด มีหน้าที่รักษาป่าอนุรักษ์ พร้อมสอนผ่านโครงการ“ปลูกป่า ปลูกคน” ต้องรู้แจ้งรู้จริงต้นเหตุของปัญหา ย้ำทุกภาคส่วนทำงานร่วมกัน ยก“โสเภณีดีกว่าคนโกงกินชาติ”ชี้ปมปัญหาความไม่ต่อเนื่องของรัฐบาล นายกฯ ผู้ว่าฯ ส่งผลแนวทางดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ห่วงอนาคตอาหารโลกวิกฤต หันกลับให้ความสำคัญการเกษตร ควบคู่อุตสาหกรรม วันนี้(14 ม.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่ดอยตุง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาและที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และคณะเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน ๖ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร มายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อไปตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยมีม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เจ้าหน้าที่โครงการและประชาชนให้การต้อนรับ จากนั้นม.ร.ว.ดิศนัดดา ได้บรรยายสรุปเรื่อง “ปลูกคน ปลูกป่า”และโครงการขยายผลการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การที่จะบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนนั้น ตนสามารถพูดได้ทั้งวัน เพราะมีข้อมูลมาก แต่วันนี้นายกรัฐมนตรีกรุณามาสายนิดหน่อย จึงทำให้เวลาในการบรรยายลดน้อยลง ดังนั้นตนต้องพูดให้เร็วขึ้น ซึ่งตนก็ไม่ได้ต่อว่าใคร ส่วนเรื่องป่าควรจะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งการปลูกป่านั้นต้องทำที่คน เพราะคนคือต้นเหตุของทุกอย่าง ดังนั้นการพัฒนาจะต้องยึดคนเป็นศูนย์กลาง เพราะป่าจะโยงไปยังเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นรากเหง้าของปัญหาในดอยตุง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรน้ำขาดแคลน ยาเสพติด ค้ามนุษย์นั้น ต้นเหตุของปัญหาคือ เจ็บ จน และไม่รู้ หากถามว่าทำไมประชาชนบนดอยตุงเขาต้องปลูกฝิ่น เพื่อนำเงินมาเลี้ยงชีพ ถามว่าเขาผิดตรงไหน ถ้าเป็นตนก็ทำ เพื่อความอยู่รอด ดังนั้นเราต้องเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง จึงอยากให้นายกฯเข้าใจปัญหาตรงนี้ เพื่อนำประเทศชาติไปในทางที่ถูกที่ควร ทั้งนี้หลักการปลูกป่าขอแม่ฟ้าหลวงไม่ได้มองเป็นเพียงการปลูกต้นไม้ แต่ใช้เป็นพาหะในการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ประเด็นสำคัญเราต้องรู้จริงรู้แจ้งว่า ทำไมคนถึงตัดไม้ทำลายป่า ถ้าเราเข้าไปศึกษาถึงสาเหตุให้ลึกซึ้ง จะพบว่าการตัดไม้นั้นทั้งเสี่ยงต่อการถูกจับ เสี่ยงต่อการไม่มีน้ำกิน ยิ่งตัดยิ่งแล้ง เรื่องนี้ชาวบ้านรู้ดีกว่าเรา เพราะอยู่ในพื้นที่มาตลอดชีวิต ยิ่งตัดมากเท่าไรก็ยิ่งต้องเดินทางไปหาน้ำแบกมาใช้ไกลมากขึ้น ฉะนั้นเขาไม่ต้องการทำลายป่า แต่เหตุผลของการตัดไม้ที่แท้จริงคือ ความยากจน และการขาดโอกาสเพราะไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องทำนี้คือข้อเท็จจริง “น้ำคือพระเจ้าอยู่หัว ป่าคือสมเด็จพระนางเจ้า ดังนั้นอธิบดีป่าไม้ อธิบดีกรมอุทยาน ขอให้ฟังสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของพวกคุณ ไม่ใช่หน้าที่ผม ไม่มีใครมาจ้างผมทำงาน แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็ไม่ได้จ้างผม เขาขอให้ผมมาทำช่วยชาติ เลยเสียตัว ตอนนี้ท่านทำผมท้องแล้ว ต้องรับผิดชอบ นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ทำผมท้องแล้วจะมาทำผมแท้งไม่ได้ การแก้ปัญหาต้องรู้แจ้งรู้จริงว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ตรงไหน สรุปง่ายๆ คือ บนดอยต้องทำให้เป็นป่า และต้องเก็บน้ำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส และดร.สุเมธ นำมาแปลต่อ และสอนผม ดร.สุเมธฉลาดเป็นที่ปรึกษาให้เราเป็นประธาน และบอกให้เราทำ เขาก็สบาย” ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าว ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวว่า ข้อต่อสำคัญในการปลูกป่า จะต้องมีปลัดอำเภอ และลงไปอยู่ในหมู่บ้าน กินนอนกับชาวบ้านอีกข้อต่อคือ ชาวบ้านในพื้นที่ โดยให้ชุมชนเลือกผู้แทนมาเป็นอาสาสมัครพัฒนา อสพ.ถ้าดีไม่ดีชาวบ้านก็รับผิดชอบเอง เราไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ได้เลือก โดยสรุปแล้วข้อต่อจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล 1 คน และอีกคนคือ ตัวแทนชุมชน ถ้าไม่มี 2 ตัวนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ดังนั้นต้องปลูกป่า และปลูกคน ป่าเศรษฐกิจ ตนไปเอามาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มูลนิธิชัยพัฒนาเป็นคนออกเงิน อันนั้นชัยพัฒนาก็มาให้แม่ฟ้าหลวงทำ เขาชอบคิดแล้วให้คนอื่นทำ ท่านนายกฯระวัง เกิดการพัฒนาดอยตุง และไม่ใช่ทหารโครงการดอยตุงก็ไม่เกิดขึ้น ไปดูประวัติได้ คนสำคัญคือพล.อ.จรวย วงษ์สายัณฑ์ เสนาธิการทหารบก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก และคนที่สามคือพลเอกเปรม ติณสูญลานนท์ ประธานองคมนตรี ในระหว่างที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงได้ดันเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวต่อว่า เรื่องของเลขและการวางแผนเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ หากเราแบ่งการใช้สอย ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ พื้นที่ใช้สอย ที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย นำสิ่งเหล่านี้มาวิเคราะห์ เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคุยกันก็จะทำให้ป่ากลับมาได้ถึง 80 % ซึ่งเชื่อว่าวิธีการนี้ทำได้ และทำมาแล้ว ทั้งหมดต้องสร้างความเข้าใจ และมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งชุมชนต้องเป็นเจ้าของ ต้องคิดผลประโยชน์ร่วมกัน รัฐบาลได้อะไร ชาวบ้านได้อะไร แล้วปรับตามภูมิสังคม สำคัญที่สุดคือทุกภาคส่วน รัฐบาลกลาง ซึ่งนายกฯ รัฐมนตรี อธิบดี ปลัดกระทรวงต้องเอากับเรา นั่นคืออันดับแรก ส่วนอันดับที่สองคือ ผู้ว่าฯของจังหวัดนั้น ข้าราชการ ต้องเอากับเรา เห็นชอบในวิธีการร่วมกัน และอันดับที่สามคือชุมชน รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องร่วมด้วย ทุกขั้นตอนรวมถึงชุมชน ต้องสร้างความเข้าใจและต่อเนื่อง อย่างรัฐบาลที่ทำไม่สำเร็จ ต้องขอโทษ ไม่ได้ว่ารัฐบาลนี้ แต่ว่ารัฐบาลส่วนใหญ่ทุกรัฐบาล ไม่มีความต่อเนื่อง มีหรือไม่โครงการ 10 ปี หรือ 12 ปี แต่ปีหนึ่งก็ตัดงบประมาณทีหนึ่ง มันไม่ต่อเนื่อง คนก็ไม่ต่อเนื่อง มาที่ก็เปลี่ยนผู้ว่าฯที มันก็เปลี่ยนไปเรื่องแล้วมันจะต่อเนื่องได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลหรือยายกฯ อยู่ยาวซักหน่อย มันก็จะมีความต่อเนื่อง แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงทุกคนจะต้องใส่ชิฟเข้าไปในสมองว่า ทุกอย่างที่เราทำ ชาวบ้านได้อะไร “ผมอยากให้รัฐบาลคิดอย่างนี้เหมือนกันว่า ทุกคนควรจะคิดว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ใส่ไป ชาวบ้านได้อะไร วัด ได้หรือไม่ สังคม สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ เอาวิชาการเข้ามา ซึ่งมันทำได้ และถ้าเป็นเงินส่วนตัวของท่าน ท่านจะทำหรือไม่แบบนี้ ถ้าเป็นเงินส่วนตัวที่ท่านหามาโดยชอบธรรม ท่านจะทำหรือไม่แบบนี้ ถ้า 2 ข้อนี้อยู่ในใจเสมอ จะไม่มีทางที่จะทำพลาด ผมเชื่อว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ ไม่ว่าใครก็ทำได้”ม.ร.ว.ดิศนัดดา ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวต่อว่า นี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เราจะทำได้ดีที่สุด และเซฟเงินรัฐบาลไว้ได้ และเป็นประโยชน์กับชุมชน ชาวบ้านได้จริง ๆ อีก 30 ปี น้ำมันกินไม่ได้ อาหาร ณ วันนี้ขาดตลาดโลก 1,200 ล้านคน อีก 30 ปี จะมี 3 พันล้านคนเกิดขึ้น จะกินอะไร ดังนั้นกรุณากลับไปอาชีพเดิมของเราคือเกษตรกรรม อุตสาหกรรมไม่ทิ้ง แต่กลายเป็นเกษตรอุตสาหกรรม แล้วกระจายออกตามพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ อย่าไปกระจุกที่กทม.ไม่ได้ ทั้งหมดสรุปง่าย ๆ ก็คือความมั่นคงของชาติ จะสังเกตได้ว่าเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัส ไม่มีพระราชดำรัสตรงไหนที่ไม่มีคำว่าความมั่นคง ซึ่งเรื่องของความมั่นคง ตนและทหารทำมาเยอะ ดังนั้นประชาชนจะมีความผาสุก จากนั้น ม.ร.ว.ดิศนัดดา ได้พานายกรัฐมนตรี พร้อมผบ.ทบ. และดร.สุเมธ ไปดูโครงการปลูกป่าเศรษฐกิจที่นวุติไซด์ 1 โดยนายกฯได้ชื่นชมโครงการปลูกป่าเศรษฐกิจว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะ นอกจากจะสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดน ซึ่งนายกฯได้พูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ให้ช่วยพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดน และช่วยสร้างความเข้มแข็งตามแนวชายแดน เพราะถ้าไม่มีปัญหายาเสพติดและไม่มีการสู้รบตามแนวชายแดนก็จะทำให้การพัฒนาเข้มแข็งขึ้น "ปู" อ้อน "สุเมธ" ทำงานกยน.ต่อ เจ้าตัวบอกไล่ก็ไม่ไป ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านั้น ดร.สุเมธ ได้เดินทางมาถึงก่อน จากนั้นพล.อ.ประยุทธ ได้เดินทางมาถึง และได้พูดคุยกับม.ร.ว.ดิศนัดดา ฯ กระทั่งนายกฯได้เดินทางมาถึง ได้เข้าไปยกมือไหว้ทักทาย ดร.สุเมธ ซึ่งได้ยืนพูดคุยกับนักข่าว โดยดร.สุเมธ ได้บอกกับนายกรัฐมนตรีว่า ผู้สื่อข่าวมาถามตนว่าโดนบังคับให้ลาออกจากที่ปรึกษากยน.หรือยัง ซึ่งตนก็บอกว่าถ้านายกฯไม่ไล่ก็ไม่ไป นายกรัฐมนตรี จึงกล่าวตอบว่า "ไม่ได้ ไม่ยอม เริ่มต้นก็ต้องประคับประคองไปด้วยกัน" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเสนอข่าวการที่ดร.สุเมธไม่ร่วมประชุมกยน.เพราะน้อยใจและไม่พอใจการแบ่งงาน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มกราคม 2555, 08:42:39 โฉมหน้าครม.ปู2 ตัวตนคนชักใยเหี้ยมเกรียม ! การปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เที่ยวนี้แสดงให้เห็นถึงความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการชี้นิ้วสั่งการจาก ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “เจ้าของ” ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายในวันข้างหน้าว่าต้องการให้เป็นอย่างไร ต้องยอมรับว่าการปรับคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นมีการกำหนดชี้ตัวบุคคลกันมาล่วงหน้า และทำอย่างรวบรัดชนิดที่เรียกว่าคนที่โดนปรับออกแทบจะไม่ทันตั้งตัว แม้ว่าหลายคนจะรู้ว่าต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นแน่ แต่ก็ไม่นึกว่าจะทำกันแบบเงียบเชียบตั้งตัวไม่ทัน ระยะเวลาเพียงแค่ 4-5 วันที่เริ่มระแคะระคายออกมาทำให้เคลื่อนไหววิ่งเต้นของบางคนเพื่อดิ้นรนให้ให้นั่งเก้าอี้ต่อไปก็ต้องจบเห่ ตามข่าวระบุว่ามีการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯไปตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม นั่นหมายความว่ามีการกำหนดวางตัวบุคคลเอาไว้ล่วงหน้านานเป็นเดือน เพราะต้องมีการทาบทามแจ้งให้ทราบและตรวจสอบคุณสมบัติต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาสามารถทำได้เงียบเชียบ ไม่มีความวุ่นวาย หรือมีการวิ่งเต้นกันโดยตรง มารู้อีกทีก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ บางคนต้องตกเก้าอี้ไปอย่างเจ็บปวด อย่างไรก็ดีเพื่อให้เห็นเป้าหมายและสะท้อนตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรีที่กำลังเกิดขึ้นครั้งนี้ก็ต้องจับตาไปที่กระทรวงสำคัญตามยุทธศาสตร์ใหม่ คือกระทรวงพลังงาน คลัง คมนาคม กลาโหมและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ควบคุมสื่อของรัฐ ถือว่าหน่วยงานดังกล่าวมีผลทางเศรษฐกิจ เป็นการกระชับอำนาจการสั่งการให้เข้ามาอยู่ในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่มีการเปลี่ยนตัว โดยยังไฟเขียวต่ออายุให้ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นั่งคาอยู่ต่อไป เนื่องจากทำผลงานได้เข้าตา โดยไม่ต้องไปสนใจความรู้สึกของชาวบ้านว่าจะคิดอย่างไร ถ้าไล่เรียงกันตามลำดับก็ต้องบอกว่าในยุคปัจจุบันต่อเนื่องไปถึงอนาคตก็ต้องบอกว่ากระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานเกรดเอ โดยเฉพาะต่อธุรกิจพลังงานทั้งที่กำลังเกิดขึ้นในนามของ ปตท.รวมไปถึงการลงทุนในแหล่งพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง กัมพูชา พม่า หรือแม้แต่แหล่งพลังงานใหม่ๆในอ่าวไทยภายในประเทศ เป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นก็ต้องดึงเอาคนที่ไว้ใจได้จริงๆ แม้ว่าที่ผ่านมา พิชัย นริพทะพันธุ์ ได้สนองนโยบายทำตามคำสั่งได้ไม่เคยขัด แต่หลังจากที่ทำงานสำคัญนั่นคือการปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ โดยการปรับขึ้นราคาขายปลีกทั้งน้ำมันและก๊าซกันขนานใหญ่ ย่อมสร้างความไม่พอใจกับสังคมและคนกันเองที่สนับสนุน อีกทั้งเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ใหม่ก็ต้องเปลี่ยนหน้าเข้ามาใหม่ ซึ่งตามข่าวระบุตรงกันว่ามีการดึงเอาผู้บริหารจากบริษัทไทยคมฯอย่าง อารักษ์ ชลธาร์นนท์ เข้ามานั่งเก้าอี้แทนมันก็เห็นภาพได้ชัดเจนว่าเป้าหมายเป็นอย่างไร เพราะจะส่งผลต่อธุรกิจพลังงานในอนาคต โดยจะควบคู่ไปกับบริษัทปตท.เป็นหลัก รวมไปถึงการร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติ ก็เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง สำหรับกระทรวงการคลัง หากถือว่าเป็น “แหล่งทุน”ก็ไม่น่าจะผิดนัก และที่ผ่านมาก็มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องการล้วงเอาเงินทุนสำรองออกมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในรูปแบบตั้งเป็น “กองทุน” เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ รวมไปถึงการ “ค้ำประกัน” หลายอย่างล้วนแล้วต้องอาศัยกระทรวงการคลังเป็นหลัก แต่ที่ผ่านมาการได้ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการยังไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ “ถึงขนาด” ไม่ใช่ว่าขัดคำสั่ง แต่ความหมายก็คือ “ใจไม่ด้านพอ” ต่างหาก บางครั้งยังมีความ “ละอาย” หรือมีเรื่องวินัยทางการเงินการคลังมาค้ำคออยู่บ้างทำให้บางอย่างยังขับเคลื่อนไม่ได้ ดังนั้นอาจเป็นเพราะเหตุผลดังกล่าวหรือเปล่าที่ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวให้คนอย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้ามาแทนโดยเป็นรองนายกฯควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถือ “กระเป๋าเงิน” อย่างเต็มตัว ส่วนกระทรวงกลาโหมก็โยก คนที่เป็นทั้งเพื่อนและลูกน้องในคราวเดียวกันอย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จากกระทรวงคมนาคมมาคุมเหล่าทัพ เป้าหมายก็เพื่อผลักดันการแก้ไข พระราชบัญญัติกลาโหม เพื่อให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาล้วงลูกโยกย้ายในกองทัพได้สะดวก และอีกหน่วยงานก็คือสื่อมวลชนของรัฐ ซึ่งมีผลต่อยุทธศาสตร์การ “สร้างกระแสชวนเชื่อ” ให้สอดคล้องกัน ขณะที่กระทรวงอื่นๆ หรือหน่วยงานอื่นที่เหลือ แม้ว่าสำคัญลดหลั่นลงมา แต่ส่วนใหญ่เป็นการกระจายตอบแทน หรือตกรางวัลเพื่อซื้อใจคนรอบข้าง หวังผลต่อภารกิจสำคัญในภายหน้า ซึ่งก็ต้องพิจารณากันถึงประโยชน์และความไว้เนื้อเชื่อใจได้เหมือนกัน ถ้าให้พิจารณากันแบบ “รู้ใจ”ก็ต้องบอกว่าการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนี้ ทักษิณ ได้เน้นย้ำในเรื่องยุทธศาสตร์ธุรกิจพลังงาน ทุนผ่านกระทรวงการคลัง และความมั่นคงในกระทรวงกลาโหม ต่างประเทศ และใช้สื่อของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อ จึงต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ ที่สำคัญต้องใจกล้าไม่อิดออด รวมไปถึงกระจายตอบแทนตกรางวัลซื้อใจมวลชนกันพร้อมพรัก ดังนั้นถ้ามอง “แบบผลประโยชน์ส่วนตัว” มาก่อนก็ต้องบอกว่าเป็นคณะรัฐมนตรีที่สมบูรณ์แบบ และ “เหี้ยมเกรียม” เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันได้เห็นสัญญาณบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ถ้าให้พิจารณาในเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวมและบ้านเมืองเชื่อว่ายังห่างไกล หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มกราคม 2555, 08:45:44 สื่อนอกชี้ครม.ยิ่งลักษณ์2แค่ตอบแทนเหล่าผู้ภักดีทักษิณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ สื่อต่างประเทศรายงานนายกฯ "ปู" ปรับคณะรัฐมนตรีขนานใหญ่ในแนวทางที่นักวิจารณ์เรียกขานว่าเป็น "ทักษิไณเซชั่น(Thaksin-isation)" ยิ่งกว่าเก่า หลังบริหารประเทศมาได้เกือบ 6 เดือน ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้เหตุผลหลักเป็นเพียงการตบรางวัลแก่พวกที่ภักดีต่อ "ทักษิณ" เท่านั้น ไฟแนนซ์เชียลไทม์รายงานว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่มีการปรับเปลี่ยนถึง 16 จาก 35 ตำแหน่งขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมเพื่อทรงลงพระปรมาภิไทยเมื่อวันอังคาร(17) จากนั้นเธอบอกกับสื่อมวลชนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานและไม่ได้สะท้อนถึงผลงานที่ผ่านมาของรัฐมนตรีรายใด สื่อมวลชนชื่อดังแห่งนี้ระบุว่าในรายงานของสื่อมวลชนไทยเผยให้เห็นว่ามีเหล่านักธุรกิจผู้ใกล้ชิด พรรคพวกทางการเมืองของทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนอยู่ในรายชื่อของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ ไฟแนนซ์เชียลไทม์อ้างคำสัมภาษณ์ของนักวิเคราะห์รายหนึ่งบอกว่าเจตนาส่วนหนึ่งของการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้คือจัดการกับความไม่พอใจของประชาชนจากความล้มเหลวในการรับมือวิกฤตอุทกภัยเมื่อปีที่แล้ว แต่เหตุผลหลักคือเป็นการตบรางวัลแก่เหล่าผู้ภักดีและแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมืองในกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 09:55:21 12ปีคดีราศีไศลเสียงคนจนไม่เคยเงียบหาย
posttoday.com โดย...ทีมข่าวภูมิภาค “ป้าย เพื่อนร่วมต่อสู้เพื่อสายน้ำ ต่อสู้เพื่อสายธารแห่งหมู่บ้าน ต่อสู้เพื่อคืนฤดูกาล ฤ ท่านตอบแทนโดยการจองจำ” นี่คือคำที่เพื่อนๆ มอบให้ ป้าย หรือไพรจิตร ศิลารักษ์ อดีตแกนนำสมัชชาคนจน ซึ่งนำผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนราษีไศล บุกเข้าไปยึดพื้นที่หัวงานสร้างเขื่อนชุมนุมประท้วง เมื่อเดือนพ.ค. 2543 ซึ่งทำให้เข้าถูกดำเนินคดี บุกรุกสถานที่ราชการ ทำให้เสียทรัพย์ และ ความผิดต่อเสรีภาพ12 ปีแล้วที่ป้ายต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาว่าเขามีความผิดจริงและตัดสินจำคุก 2 ปี เขายื่นฏีกาต่อสู้คดี และเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ศาลฏีกาตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นแลบะอุทธรณ์ แต่โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี และคุมประพฤติไพรจิตร 1 ปี ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่เขาไม่ต้องสูญเสียเสรีภาพในห้องขัง ชาวบ้านราษีไศล เพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมของป้ายกว่า 100 คนที่มารวมตัวกันที่หน้าศาลจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้กำลังใจเขาปิติยินดีกันถ้วนหน้า หลังทราบคำตัดสิน “ผมรู้สึกดีใจมากที่ศาลฏีกาได้ให้ความกรุณาต่อผมซึ่งเป็นคนยากไร้ และต่อไปในการทำกิจกรรมอะไรผมจะต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมอีกเพื่อจะได้ไม่ต้องทำผิดกฏหมายอีกต่อไป” ป้ายกล่าวอย่างปิติหลัง ทราบคำตัดสิน อย่างไรก็ตาม 12 ปีที่ผ่านมา ป้ายยืนยันเสมอถึงจุดยืนของเขา “ยังมีคนจนอีกจำนวนมาก ที่กำลังถูกรัฐใช้กระบวนการยุติธรรมเล่นงานอยู่กว่า 3,800 คดี หากไม่มีการชุมนุมในเดือนพ.ค. 2543 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดประตูเขื่อนราษีไศล ซึ่งการเรียกร้องในครั้งนั้นก็ทำให้ผมถูกดำเนินคดี ตกเป็นนักโทษเช่น แต่เพราะมีการชุมนุมในครั้งนั้น จึงนำไปสู่การเปิดประตูระบายน้ำ ทำให้ชาวบ้านกว่า 70,000 ชีวิต สามารถประกอบอาชีพเดิมอยู่ในชุมชนเดิมได้อย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน” ป้ายบอกเล่าให้ฟัง ก่อนจะเดินเข้าฟังการตัดสิน ซึ่งเป็นคำพูดที่เยืนยันอย่างมั่นใจอยู่เสมอมา เขายืนยันว่า หากเวลาหมุนกลับได้โดยไม่มีเขื่อนราษีไศล ชุมชนก็ไม่ต้องมีความขัดแย้ง ไม่มีความแตกแยก ครอบครัวจะอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก มีที่ดินทำกินอย่างพอเพียงกับสมาชิกในครอบครัว มีป่าบุ่ง – ป่าทามให้เลี้ยงวัว – ควาย มีปลาสดๆ จากแม่น้ำมูลกินอย่างเต็มอิ่ม และผู้คนมีรอยยิ้มให้กัน “จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา 19 ปี (เขื่อนราษีไศลสร้างเสร็จและเริ่มกักเก็บน้ำตั้งแต่ปี 2536 – 2555) ใครบ้างได้ทำนาปีละ 2 ครั้ง ใครบ้างได้งานทำ ใครบ้างที่ร่ำรวยเงินทอง สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นว่าจะเกิดขึ้นเลย เห็นมีแต่ความยากจน ปนความขัดแย้ง ชุมชนแตกแยก วิถีชีวิตล่มสลาย บ้านช่องเหลือแต่คนแก่กับเด็กอยู่เฝ้า คนหนุ่มสาว คนวัยทำงานอพยพไปรับจ้างขายแรงงานในต่างถิ่น เพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัว” ป้ายกล่าวย้ำในการร่วมชุมนุมกับขบวนประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(พีมูฟ) ค่ำคืนก่อนถึงวันพิพากษา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ ทั่วประเทศ ในนามพีมูฟ ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจป้าย รวมตัวปักหลักชุมนุมกันหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ พวกเขาเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ในหัวข้อ “คนดีติดคุก คนทุกข์นอนตะราง” โดยตัวแทนกลุ่มปัญหาจากทั่วประเทศ ผลัดเปลี่ยนกันมาเล่าประสบการณ์ตัวแทนชาวบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งถูกกรมป่าไม้ดำเนินคดี ฟ้องร้องทางแพ่ง คิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมหรือคดีโลกร้อน สะท้อนความรู้สึกของการถูกดำเนินคดีว่า “ฉันถูกฟ้องข้อหาทำให้โลกร้อน ฉันไม่รู้จะเอาอะไรมาจ่ายให้เขา ฉันคงต้องล้มละลายแน่นอน ลูกฉันจะเอาอะไรไปเรียน ครอบครัวฉันจะอยู่อย่างไรให้รอดจากภาวะเช่นนี้” อดีตจำเลยในคดีที่นายทุนกล่าวหาว่าเขาบุกรุกสะท้อนว่า “ที่ดินของปู่ ยกให้พ่อผม และตกทอดมาถึงผม มีใบจับจองเป็นของเรา วันดีคืนดีมีคนเอาไปออกเอกสารสิทธิ์ และแจ้งจับดำเนินคดีกับผม ผมติดคุกอยู่เป็นปี สุดท้ายได้พักโทษ และกระบวนการตรวจสอบยืนยันว่าเอกสารสิทธิ์ออกโดยมิชอบ ดีเอสไอก็ยืนยันเช่นนั้น ผมเลยต้องกลายเป็นนักโทษข้อหาบุกรุกที่ดินตนเอง” เสียงเหล่านี้มิอาจมองได้ว่าเป็นแค่เสียงเล็กเสียงน้อย แต่เป็นเสียงของผู้คนจำนวนมากที่กำลังเผชิญปัญหา ซึ่งแม้จะผ่านมา 5 เดือนที่พีมูฟ รุกทวงคำตอบจากรัฐบาลใหม่ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า “สังคมไทยควรเรียนรู้จากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพราะหากขาดการนำเสนอผ่านสื่อ ขาดการเชื่อมต่อทางการเมือง ผ่านกระบวนการเสนอการแก้ปัญหากับรัฐบาล ก็ยิ่งทำให้ปัญหาขาดการเหลียวแล” ไมตรี จงไกรจักร ผู้ประสานงานพีมูฟ สรุปให้เห็นภาพความล่าช้าของการแก้ปัญหาของขบวนผู้ทุกข์ยาก ไมตรีตอกย้ำว่า ยิ่งปัญหาชาวบ้านที่เกิดขึ้นทั่วหัวระแหงไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไข ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ ในสังคมไทย ซึ่งรัฐบาลที่ประกาศว่าจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นภายในชาติ จะต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญ กับการแก้ปัญหาคนจนให้มากกว่านี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:09:23 เพิ่งฉลาด เมื่อ ตกเก้าอี้...เป็นแบบนี้ของนักการเมืองไทยส่วนมาก
วิวาทะ"ธีระชัย-กิตติรัตน์"พ.ร.ก.เงินกู้ 4 ฉบับ จำเป็นหรือไม่จำเป็น-ซุกหนี้หรือไม่ซุกหนี้ ดูกันชัดๆ ซัดกันเต็มๆ กรุงเทพธุรกิจ หลังจาก ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค เมื่อ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ระบุว่า พระราชกำหนด 4 ฉบับที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 4 ม.ค.และวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยแจ้งว่าขณะนี้อัตราส่วนหนี้ต่องบประมาณในปี 2555 อยู่ที่ะ 12% ใกล้เต็มเพดานที่กำหนดไว้ต้องไม่เกิน 15%ของงบประมาณ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้ภาระดอกเบี้ยของหนี้กองทุนฟื้นฟู เป็นภาระแก่งบประมาณต่อไป มิฉะนั้นจะไม่มีช่องว่างพอเพียง ที่รัฐบาลจะกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารจัดการน้ำ ธีระชัย ระบุว่า ข้อมูลที่ กิตติรัตน์ นำมาชี้แจงต่อครม.นั้นเป็นข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่คำนวณโดยใช้ตัวเลขจากประมาณการเศรษฐกิจ แต่ก่อนที่เขาจะพ้นตำแหน่งเพียงหนึ่งวัน เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังได้นำข้อมูลจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะมาแจ้งให้ทราบว่า ในปีงบประมาณ 2555 นั้น อัตราส่วนหนี้ต่องบอยู่ที่ 9.33% ไม่ใช่ 12% ตามที่ กิตติรัตน์ แจ้งต่อครม. ธีระชัย บอกว่า เมื่อรู้ข้อมูลแล้ว เขาตกใจมากเพราะทำให้เหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนในการที่จะต้องออกกฎหมายในรูปแบบพระราชกำหนดเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากการทำงานสศช.ขึ้นกับรองนายก ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงการคลัง จึงยังไม่สามารถสาเหตุได้ว่าทำไมตัวเลขของสองหน่วยงานจึงได้แตกต่างกันมากเช่นนี้ แต่เขาก็พ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน ล่าสุด กิตติ ออกมาชี้แจงว่า สาเหตุที่ภาระหนี้ต่องบประมาณในปี 2555 ลดลงจาก 11.5% อยู่ที่ระดับ 9.33% เพราะรัฐบาลออกพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯเพื่อโอนภาระการชำหนี้กองทุนฟื้นฟูทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บริหาร แต่หากไม่โอนกระทรวงการคลังก็จะมีภาระดอกเบี้ยกว่า 6 หมื่นล้านบาทอยู่ ทำให้สัดส่วน กิติรัตน์ยังบอกด้วยว่าว่า การที่ ธีระชัย โพสต์ข้อความเช่นนั้นเพราะไม่เข้าใจ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายธีระชัยจึงไม่เข้าใจในส่วนนี้ ทั้งที่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง แต่ยอมรับว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้สื่อสารกัน แต่เขาเองก็คาดหวังว่ารัฐมนตรีที่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง น่าจะทำความเข้าใจส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ เพื่อที่จะสามารถอธิบายให้ตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเข้าใจได้ด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่ได้ต้องการให้ใครจะมาอธิบาย เพราะพยายามทำการบ้านด้วยตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นฝ่ายที่ต้องอธิบายให้คนอื่นเข้าใจอีก ส่วนกรณี ธีระชัย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่ารัฐบาลออกพระราชกำหนด 4 ฉบับ อ้างเหตุผลจำเป็นเร่งด่วนโดยระบุว่าหนี้สาธารณะต่องบประมาณอยู่ที่ 12% ในขณะที่ตัวเลขจริงในปีงบประมาณ 2555 อยู่ที่ 9.33% อาจทำให้พรก.4ฉบับขัดรัฐธรรมนูญนั้น สาเหตุที่ตัวเลขหนี้สูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากการจัดทำงบประมาณใช้สมมติฐานบนกรอบภาระหนี้สูง ซึ่งรัฐบาลมียอดหนี้สาธารณะคงค้างที่เป็นเงินต้นและดอกเบี้ยที่ 4.2 ล้านล้านบาท พร้อมกับยืนยันว่า การโอนหนี้ดังกล่าวไม่ใช่การซุกหนี้ เพราะรู้ว่าหนี้จำนวนนี้อยู่ตรงไหน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามชี้แจงว่าหนี้ก้อนนี้อยู่ตรงไหนและมีการจัดการอย่างไร กิตติรัตน์ ยังบอกถึงการจัดทำงบประมาณประจำปี 2556 ที่นายกรัฐมนตรีกำหนดให้ทำให้เสร็จภายในเดือนมกราคมนี้ว่า เบื้องต้นจะมีการหารือกับ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในระหว่างการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งนายอาคมมีกำหนดที่จะร่วมเดินทางไปด้วย โดยงบประมาณปี 2556 นั้น ยังคงต้องตั้งงบขาดดุลไว้ในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่า 3.5 แสนล้านบาท แต่ต้องไม่รวมกับภาระหนี้เงินคงคลัง เพื่อให้เป็นงบประมาณสมดุล ในปี 2559 ตามกรอบเดิมที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณได้วางไว้ ขณะที่รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังจาก กิตติรัตน์ทราบว่า ธีระชัย โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค กิตติรัตน์ได้สั่งให้สศช. ชี้แจงข้อเท็จจริงทันที ซึ่งสศช.ยืนยันว่าตัวเลขหนี้ต่องบประมาณที่สศช.นำมาใช้เป็นข้อมูลนั้น เป็นข้อมูลที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แจ้งต่อที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2554 ในช่วงที่กระทรวงการคลังได้เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2551 ครั้งที่ 1 ให้ครม.เห็นชอบ โดยวาระที่เสนอให้ครม.พิจารณาครั้งนั้น ธีระชัย ก็เป็นผู้ลงนามในเอกสารด้วยตัวเอง และระบุไว้ชัดเจนว่ากระทรวงการคลัง คาดการณ์สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปี 2555 จะอยู่ที่ 11.5% ปี 2556 ที่ระดับ 12.4% ปี 2557 ที่ระดับ 12.9% ปี 2558 ที่ระดับ 13.2% และปี 2559 ที่ระดับ 13.4% โดยในปี 2555 งบชำระเงินต้นคิดเป็น 3.0% ของงบประมาณรายจ่าย และปี 2556-2559 งบชำระเงินต้นคิดเป็น 3.5% ของงบประมาณรายจ่าย ส่วนตัวเลขหนี้ต่องบประมาณที่ลดลงนั้น เพราะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 สภาผู้แทนราษฎรได้ปรับลดงบประมาณชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยลง เพราะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลดลงจาก 11.5%เหลือ 9.33% แต่การประชุมครม.เพื่อพิจารณาเรื่องพระราชกำหนดกู้เงินนั้นมีขึ้นในวันที่ 4 ม.ค. 2555 ก่อนที่สภาจะให้ความเห็นชอบพ.ร.บ.งบฯปี 2555 ในวันที่ 7 ม.ค. 2555 นตัวเลขที่สศช.ใช้ชี้แจงต่อครม.จึงยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน แหล่งข่าว บอกด้วยว่า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายธีระชัยจึงโพสต์ข้อความเรื่องนี้ เพราะ ธีระชัย เองก็เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯปี 2555 จึงน่าจะทราบข้อมูลดีว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่องบประมาณที่ลดลงเพราะเหตุใด และที่สำคัญในระหว่างที่ครม.พิจารณาพรก.เงินกู้ นายธีระชัยก็ไม่เคยแจ้งให้ครม.รับทราบเรื่องนี้ แต่หลังถูกปรับออกจากตำแหน่งแล้วกลับมาโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊ค หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:13:37 'ธีระชัย'จับโกหก'กิตติรัตน์'ปัดทิ้งบอมบ์รัฐ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "ธีระชัย"โพสต์เฟสบุ๊คเป็นรอบที่ 4 จับโกหก"กิตติรัตน์"เรื่องหนี้สาธารณะ ปัดทิ้งบอมบ์รัฐบาล ย้ำห่วงประเทศชาติจริงๆ ประชาชนต้องรู้ความจริง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค Thirachai Phuvanatnaranubala เมื่อ 25 มกราคม 2012 เวลา 8:58 น. เป็นครั้งที่ 4 หลังก้าวหลังจากตำแหน่งรมว.คลัง ผ่าน โดยให้ความเห็นถึง "อัตราส่วนภาระหนี้ 9.33 เป็นผลจากพระราชกำหนดหรือเปล่า" "โน้ตฉบับนี้ออกจะเน้นประเด็นวิชาการสักหน่อย แต่ผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่าย เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน" นายธีระชัย ระบุว่า ขอเริ่มอธิบายว่าขั้นตอนการออกกฎหมายปกตินั้น จะทำในรูปแบบพระราชบัญญัติ ซึ่งจะมีการพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบ คือมีการพิจารณาในสภาถึง 3 ครั้ง และมีการตั้งคณะกรรมาธิการที่จะถกเถียงแก้ไขถ้อยคำกันทีละมาตรา และประชาชนก็จะสามารถติดตามประเด็นโต้แย้งต่างๆ ได้ แต่หากจะทำในรูปแบบพระราชกำหนด รัฐบาลจะยกร่างกฎหมายแต่ฝ่ายเดียว และในการเสนอสภา ก็จะไม่เปิดโอกาสให้มีการปรับปรุงแก้ไขใดๆ ถ้าสภาจะรับก็ต้องรับไปทั้งฉบับดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงกำหนดให้การออกกฎหมายในรูปแบบพระราชกำหนด กระทำได้เฉพาะเรื่องที่สำคัญ และเฉพาะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนจริงๆ เท่านั้น "ปัญหาเรื่องนี้ คือในการพิจารณาร่างพระราชกำหนดเกี่ยวกับหนี้กองทุนฟื้นฟูนั้น รองนายก (นายกิตติรัตน์) แจ้งครม. ว่าอัตราภาระหนี้ต่องบประมาณเท่ากับร้อยละ 12 จึงห่างจากเพดานร้อยละ 15 ไม่มากนัก ซึ่งถ้าข้อมูลเป็นดังนี้จริง ผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เร่งด่วน แต่ภายหลัง ก่อนผมพ้นตำแหน่ง 1 วัน ผมพบว่าอัตราส่วนดังกล่าวไม่ใช่ร้อยละ 12 แต่เป็นเพียงร้อยละ 9.33 จึงทำให้เหตุผลความเร่งด่วนหมดไป อย่างไรก็ตาม รองนายก (นายกิตติรัตน์) อาจจะมีประเด็นอื่นๆ ที่ยังมีเหตุผลความเร่งด่วนอยู่อีกก็ได้นะครับ" นายธีระชัย ระบุว่า ในวันนี้ นสพ. ไทยรัฐ ลงข่าวรองนายก (นายกิตติรัตน์) ชี้แจงว่า หากรัฐบาลไม่ออกพระราชกำหนดเกี่ยวกับหนี้กองทุนฟื้นฟู ภาระหนี้ก็จะยังเป็นร้อยละ 12 จะไม่ลดลงมาเป็นร้อยละ 9.33 ในปี 2555 งบประมาณมี 2.38 ล้านล้านบาทครับ รัฐบาลมีภาระชำระดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟู เป็นเงิน 68,424 ล้านบาท ดอกเบี้ยนี้จึงคิดเป็นร้อยละ 2.87 ของงบประมาณ จึงมีคนเข้าใจผิดได้ง่ายว่า ภาระหนี้เดิมอาจจะเป็นร้อยละ 12 หรือเปล่า แต่หากมีการออกพระราชกำหนด จะทำให้รัฐบาลไม่มีภาระต้องชำระดอกเบี้ย 68,424 ล้านบาท จึงอาจจะทำให้ภาระหนี้ลดลงเหลือ 9.33 หรือเปล่า รองนายก (นายกิตติรัตน์) เข้าใจแบบนี้ครับ ตัวของผมเอง เมื่อตอนแรกก็สงสัยว่าอาจจะเป็นแบบนี้หรือไม่ครับ "แต่หากเปิดดูกฎหมายงบประมาณที่เพิ่งจะผ่านสภาไปเมื่อวานนี้ จะเห็นได้ ว่าดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟู 68,424 ล้านบาทนั้น รวมอยู่ในรายจ่ายงบประมาณแล้วครับ และหากใช้ตัวเลขในกฎหมายงบประมาณดังกล่าว ในการคำนวณภาระหนี้ ก็จะได้ตัวเลขร้อยละ 9.33 พูดง่ายๆ ก็คือว่า ภาระหนี้ร้อยละ 9.33 นั้นรวมดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูไว้แล้ว และทั้งนี้ ถ้าหากสมมุติว่ารัฐบาลไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟู 68,424 ล้านบาท อัตราภาระหนี้ก็กลับจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 9.33 เสียอีกครับ จะเหลือเพียงร้อยละ 6.46 เท่านั้น" นายธีระชัย ระบุว่า การคำนวณตัวเลขต้องระวังนะครับ มิฉะนั้น ถ้าเข้าใจผิดบวกดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูเข้าไปสองครั้งเหมือนรองนายก (นายกิตติรัตน์) ก็จะได้ตัวเลขร้อยละ 12 ซึ่งไม่ถูกต้อง ตัวเลขนี้โกหกกันไม่ได้ เพราะอยู่ในกฎหมายงบประมาณทุกตัว "ผมเองเป็นรองประธานกรรมาธิการงบประมาณ จึงเข้าใจเรื่องนี้ครับ และตัวเลขนี้ก็ได้ยืนยันกับทีมงานสำนักบริหารหนี้สาธารณะแล้ว ถ้าข้อมูลล่าสุด แสดงว่ากฎหมายนี้ไม่เร่งด่วน หรือไม่เข้าตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ผมขอแนะนำให้รองนายก (นายกิตติรัตน์) ควรจะต้องพิจารณาทบทวน ที่ผมชี้แจงมานี้ เพียงเพื่อต้องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ ไม่ใช่การทิ้งบอมบ์หรือเพราะผิดหวัง แต่เป็นห่วงประเทศชาติจริง ๆ เพราะประชาชนควรได้รับทราบข้อเท็จจริงครับ" นอกจากนี้ ใน นสพ. ไทยรัฐวันนี้ คอลัมน์กระจก 8 หน้าโดยมิสไฟน์ กรณีที่ผมคัดค้านการพยายามแสดงตัวเลขหนี้สาธารณะที่ต่ำกว่าจริง ว่า “รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินอีกมากเพื่อสร้างอนาคตประเทศ ทุกบาททุกสตางค์ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ล้วนมีค่าทั้งสิ้น” "ผมไม่ได้คัดค้านเรื่องที่รัฐบาลจำเป็นต้องกู้ครับ แต่ขอให้แสดงตัวเลขหนี้ไปตรงๆ เท่านั้น อย่าพยายามหลอกว่าหนี้มีต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะถึงแม้แสดงตัวเลขตรงๆ ก็ไม่มีปัญหาในการกู้จากตลาดเงินตลาดทุนอยู่แล้ว แต่การแสดงตัวเลขต่ำกว่าจริงนั้น ในอนาคตจะทำให้รัฐบาลกู้มากไปจนเกินกำลัง จะทำให้ประชาชนใช้ชีวิตแบบไม่พอเพียงและฟุ้งเฟ้อ “ทุกบาททุกสตางค์ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ล้วนมีค่าทั้งสิ้น” จริงๆ หรือครับ ผมว่าไม่จริง เงินที่ได้จากการหลอกตัวเลข ในความเห็นของผม ไม่มีค่าใดๆ อย่าไปเอามาเลยครับ" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:22:56 นลินีพันค้าอาวุธ! ปชป.จี้ให้แจงสถานะร่วมก๊วนติดแบล็กลิสต์สหรัฐ
ไทยโพสต์ออนไลน์ ฮือฮา “ปู” มอบงาน “นลินี” คุมสำนักเอกลักษณ์ของชาติ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินขยับเรียก "นายกฯ-อำพน" แจงภายใน 15 วัน ยันแต่งตั้งรัฐมนตรีต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 279 “ปชป.” จี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เคลียร์เอี่ยวพ่อค้าอาวุธสงครามในซิมบับเวหรือไม่ ถามใครชักชวนให้คบหากับ “มูกาเบ” ครม.ตามคาด รับใบสั่งตั้ง “ผดุง” นั่งเลขาฯ มท.1 เป็นหูเป็นตาแทนนายใหญ่ เขี่ย “อารี” ไปเป็นการ์ดให้ “ณัฐวุฒิ” นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างต่อเนื่อง ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในอดีต อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นางนลินี ในฐานะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแลปฏิบัติราชการแทนในส่วนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (เฉพาะสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ), สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(เฉพาะสำนักโฆษก), ราชบัณฑิตยสถาน สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนการมอบหมายดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐคือ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ขณะที่นายณัฐวุฒิ ในฐานะ รมช.เกษตรฯ ได้มอบหมายจากนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ ให้กำกับดูแลกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมบัญชีสหกรณ์ องค์การสวนยาง เป็นต้น นอกจากนี้เป็นน่าสังเกตว่า นายอารี ไกรนรา อดีตเลขานุการ รมว.มหาดไทย ถูกย้ายให้มาเป็นเลขานุการานายณัฐวุฒิ ทั้งนี้ ครม.แต่งตั้งให้นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นเลขานุการ รมว.มหาดไทย (อ่านรายละเอียดการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง และการมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบของรัฐมนตรี หน้า 4) แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยเผยว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแต่งตั้งให้นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขานุการส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเลขานุการรมว.มหาดไทยนั้น เป็นความประสงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อต้องการให้นายผดุงเข้ามาดูแลบริหารจัดการงานในกระทรวงมหาดไทย ให้งานต่างๆ รวดเร็วขึ้น คอยเป็นหูเป็นตาให้กับพ.ต.ท.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปรียบเหมือนเป็นรัฐมนตรีน้อยคนหนึ่งที่เข้ามากำกับงานในกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากที่ผ่านมาการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงมหาดไทยค่อนข้างล่าช้า ไม่เห็นผลงานที่ชัดเจน ทั้งนี้ กรณีนายณัฐวุฒินั้น ศิษย์เก่าโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จำนวนหนึ่งได้เคลื่อนไหวให้มีการปลดแผ่นป้ายแสดงความยินกับนายณัฐวุฒิขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 50 เมตร ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณรั้วหน้าโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมืองฯ จ.นครศรีธรรมราช เนื่องจากไม่พอใจนายณัฐวุฒิ ที่เคยเคลื่อนไหวเป็นแกนนำคนเสื้อแดง และแสดงความก้าวร้าวอย่างรุนแรง รวมถึงการปลุกปั่นประชาชนจนเกิดเหตุการณ์จลาจลจนได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประเทศ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้ใหญ่ในวงการศึกษานครศรีธรรมราชรายหนึ่งโทรศัพท์สั่งห้ามปลดออก และบอกว่าหากเกิดอะไรขึ้นขอรับผิดชอบเอง นายณัฐวุฒิพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่คิดว่าเรื่องป้ายคัตเอาต์จะเป็นประเด็นปัญหาที่จะต้องอธิบายหรือนำพาไปสู่ความขัดแย้งอะไร เพราะว่าเมื่อได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง ก็ไม่ได้บอกกล่าวไหว้วานใครให้ขึ้นป้ายหรือไม่ขึ้นอย่างไรทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงว่าตนได้ทราบจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่ามีองค์กร บุคคลต่างๆ เขาขึ้นป้ายแสดงความยินดีเท่านั้น ส่วนบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงการต่อต้าน ก็เป็นบุคคลกลุ่มเดิม สะท้อนว่าความขัดแย้งทางการเมืองยังดำรงอยู่ แต่ก็เป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายศรีราชา เจริญพานิช กล่าวถึงกรณีกลุ่มกรีนการเมืองยื่นเรื่องให้ตรวจสอบการแต่งตั้งรัฐมนตรี ในกรณีนางนลินีและนายณัฐวุฒิ ขัดต่อหลักจริยธรรม ข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำว่า ผู้ตรวจการฯ ได้มีการประชุมหารือพิจารณาร่วมกันถึงกรณีดังกล่าวแล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของจริยธรรม จึงได้ข้อสรุปว่า จะมีหนังสือภายใน 1–2 วัน ไปยังผู้ที่มีหน้าที่แต่งตั้ง คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้กลั่นกรองการแต่งตั้ง เพื่อให้ชี้แจงถึงเหตุผลว่าเหตุใดถึงมีการแต่งตั้งบุคคลที่มีปัญหาเข้ามารับตำแหน่ง ผู้ตรวจการแผ่นดินระบุว่า การแต่งตั้งยังได้คำนึงถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 279 (4) ที่ระบุว่า การพิจารณาสรรหาหรือแต่งตั้งบุคคลใดเข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อำนาจรัฐ จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลดังกล่าวด้วยหรือไม่ ซึ่งผู้ตรวจการฯ เห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะขณะนี้นางนลินีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไปแล้ว การถูกกล่าวหาทำให้มีผลเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิประเทศ ดังนั้นจากที่ปกติผู้ตรวจการฯ จะให้ผู้ถูกกล่าวหาทำการชี้แจงเข้ามาภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่ครั้งนี้จะให้ชี้แจงกลับมาภายใน 15 วัน นับแต่ที่วันที่ได้รับหนังสือ นางผาณิตกล่าวต่อว่า ระหว่างที่มีหนังสือให้นายกฯ และนายอำพนชี้แจง ผู้ตรวจการฯ ก็จะทำการตรวจสอบและแสวงหาข้อเท็จจริงคู่ขนานกันไป โดยจะมีหนังสือไปสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสถานทูตสหรัฐ เพื่อขอข้อมูลว่าการที่นางนลินี ระบุว่ายังได้รับวีซ่าเดินทางเข้าประเทศสหรัฐ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และมาตรการห้ามพลเมืองสหรัฐทำธุรกรรมกับนางนลินีนั้น มีความหมายและขอบเขตมากน้อยเพียงใด ส่วนนางนลินีและนายณัฐวุฒิ ทางผู้ตรวจการฯ ยังเห็นว่าไม่จำเป็นให้มีการชี้แจง ซึ่งหากผู้ตรวจการฯ ได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้วก็จะมีการประชุมกันอีกครั้ง “ในเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ถือว่าคุณนลินีไม่มีปัญหา แต่หัวใจสำคัญของการแต่งตั้งบุคคลที่จะเข้าไปใช้อำนาจรัฐ รัฐธรรมนูญมาตร 279 (4) เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกฯ ต้องแต่งตั้งบุคคลโดยคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่จะตั้งด้วย ซึ้งนายกฯ อาจจะลืมดูในมาตรานี้” นางผาณิตกล่าว วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวจากพรรคประชาธิปัตย์ โดย น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรค ออกมาเรียกร้องต่อนางนลินีว่า ควรหยุดความเห็นแก่ตัว เห็นศักดิ์ศรีของตัวเองที่ได้เป็นรัฐมนตรีสำคัญกว่าเกียรติยศของประเทศ และควรหยุดการปิดโอกาสประเทศไทย เพราะข้อสงสัยมากมายที่ไม่กระจ่างจะทำให้สำนักข่าวต่างประเทศตามขุดคุ้ยตลอดเวลา ที่น่าสนใจ น.ส.มัลลิกาเรียกร้องต่อนางนลินีให้ชี้แจงว่าเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่กับนายจอห์น เบรเดนแคมพ์ ที่เป็นชาวซิมบับเว และกระทำการเป็นนายหน้าคนกลางในการค้าอาวุธสงครามคองโกในปี 2000 เป็นนายหน้าคนกลางในการนำเหมืองระเบิดให้ซัดดัม ฮุสเซน ในสงครามอิรัก-อิหร่านช่วงต้น 1990 เป็นบุคคลคดีหนีภาษีเป็นผู้มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับเพชรสงคราม (Blood Diamond) อีกทั้งนางนลินีควรชี้แจงว่าเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่กับนาย Muller Konrad Rautenbach หรือ (Billy Rautenbach) ที่มีคดียัดเงิน ค้าอาวุธ โกงภาษี ฆาตกรรม หลายครั้ง และเกี่ยวข้องกับคดีการลอบสังหาร Yong Koo-Kwon (Executive of Dewoo) และหนีภาษีนำรถเข้าประเทศแอฟริกาใต้ 1,300 คัน โดยการยัดเงินกรมศุลกากร โดนปรับ 400 ล้าน “นางนลินีควรชี้แจงว่าได้เริ่มคบค้ากับประธานาธิบดีประเทศซิมบับเวที่มาจากการโกงเลือกตั้งมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆ่าปิดปากฝ่ายตรงข้าม มาจากระบอบเผด็จการ เพราะตัวนางนลินีเอง หรือเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ชักชวนช่วยอธิบายว่าใครชักชวนใครไปคบค้าด้วย” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เผยว่า ที่ประชุมมีความเห็นให้ตั้งกระทู้ถามสดในการประชุมสภา ระหว่างวันที่ 24-25 ม.ค. เรื่องการแต่งตั้งนางนลินีเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ เพราะฝ่ายค้านมีความสงสัยถึงความเหมาะสม และข้อสงสัยว่าการแต่งตั้งจะหมิ่นเหม่ที่จะผิดประมวลจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2551 ที่ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการจะต้องมีพฤติกรรม ไม่คบหาหรือให้การสนับสนุนแก่ผู้ประพฤติผิดกฎหมายหรือผู้ที่มีความประพฤติในทางเสื่อมเสีย การแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีประเด็นคำถามจากประชาชนเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนการลงทุนในแอฟริกา และมีคำถามว่าการแต่งตั้งในกรณีดังกล่าวเท่ากับการยอมรับการปกครองการปกครองในระบบเผด็จการว่ามีความชอบธรรมแล้วใช่หรือไม่ ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารู้สึกหายเหนื่อยหน่อย เพราะในสภาผู้แทนราษฎรจะได้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เข้ามาช่วย เพราะที่ผ่านมาตนอภิปรายคนเดียว ทั้งวุฒิสภาและกรรมาธิการ แต่เชื่อว่าในสภาจะไม่แรงไปกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ถือว่าศักยภาพของครม.ชุดนี้เยี่ยม มีมาตรฐาน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกฯ ได้กำหนดการประชุม ครม.สัญจรครั้งที่ 2 ที่ จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 21-22 ก.พ. โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นเจ้าภาพหลัก ซึ่งการประชุม ครม.สัญจรลักษณะนี้จะมีขึ้นทุกเดือน นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีบางคนที่ยังเป็นปัญหา ว่าบางตำแหน่งเป็นเรื่องของการแต่งตั้งบุคคลที่มุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และลดความขัดแย้งภายในพรรค เป็นการตั้งโดยมุ่งเน้นเรื่องการเมืองมากกว่าการแก้ปัญหาของบ้านเมือง บางตำแหน่งมีการถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติของบุคคล แต่นายกฯ ก็ยังยืนยันที่จะแต่งตั้ง ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้งบางคนก็ยังเป็นบุคคลที่มีข้อสงสัยเรื่องพฤติการณ์หรือถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดก็ยังแต่งตั้งไป อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องให้บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งได้พิสูจน์ผลงานว่ามีความสามารถ พรรคก็ยังให้โอกาสกับบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเหล่านั้นได้มีโอกาสในการทำงาน. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 10:37:01 คำถามของธีระชัย ที่ “วีรพงษ์-กิตติรัตน์” ไม่กล้าตอบ แต่งบัญชี-ซุกหนี้-ปั้นตัวเลข???
โดย ASTVผู้จัดการออนไล ท่าทีของนายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่วิพากษ์วิจารณ์ อย่างรู้ทันและรู้จริง ต่อมาตรการ “ซุกหนี้สาธารณะ” ของนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. ที่ใช้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นมือไม้ไปทำ จะเป็นผล หรือเป็นเหตุ ที่ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง เป็นเรื่องที่บุคคคลทั่วไปยากจะหยั่งรู้ได้ แต่ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวที่นายธีระชัยเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคม เป็นการตรวจสอบ-จับผิดการฉ้อฉลของรัฐบาล ในยุคที่ระบบการตรวจสอบโดยกลไกการเมือง และสื่อสารมวลชน แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ในข้อเขียนเรื่อง “วินัยการคลัง กับการพยายามลดตัวเลขหนี้สาธารณะ” ในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 21 มกราคม นายธีระชัยแย้งว่า “ระดับหนี้สาธารณะของไทยซึ่งมีประมาณร้อยละ 42 ของรายได้ประชาชาตินั้น ไม่สูงเท่าใด ระดับหนี้ที่สูงคือร้อยละ 60 ดังนั้น ในวันนี้รัฐบาลยังจะสามารถกู้ได้อีกเกือบ 2 ล้านล้านบาท โดยไม่กระทบความเชื่อมั่นในตลาดเงินตลาดทุน ไม่มีความจำเป็นต้องไปซ่อนตัวเลขให้ดูต่ำกว่าจริง ก็ยังสามารถกู้ได้ไม่ยากครับ ถ้าอย่างนั้น ทำไม่จึงมีความพยายามที่จะสำแดงตัวเลขหนี้สาธารณะ ให้ต่ำกว่าที่เป็นจริง ผมเองไม่อยากกล่าวหาผู้ใดว่าคิดร้ายกับประเทศ แต่การที่ตัวเลขหนี้สาธารณะต่ำลงนั้น ย่อมจะมีผลทำให้รัฐบาลไม่มีแรงกดดันที่จะต้องหารายได้ และไม่มีแรงกดดันที่จะต้องขึ้นอัตราภาษี เพราะหากสำแดงตัวเลขหนี้สาธารณะตามเดิม ในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลก็จะต้องขอขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีสรรพสามิตน้ำมัน หรือรายได้อื่นๆ ซึ่งย่อมจะทำให้พรรคการเมืองนั้นเสียคะแนน แต่หากสำแดงตัวเลขที่ต่ำลง รัฐบาลก็จะสามารถใช้นโยบายประชานิยมไปได้อีกเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนมีการกินการใช้ที่ฟุ้งเฟ้อ ไม่พอเพียง ไม่ประหยัด สำคัญผิดว่าเราร่ำรวยกันแล้ว สำคัญผิดว่ายังไม่จำเป็นต้องเริ่มเก็บเงินมาเพื่อชำระหนี้” นายธีระชัยยังเห็นว่า การขายหุ้นการบินไทย และ ปตท. เพื่อลดหนี้สาธารณะ ตามแนวคิดของนายวีรพงษ์นั้น “ภาษานักบัญชีเขาเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า “การตกแต่งบัญชี” ครับ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “window dressing” คือการทำให้หน้าต่างที่แสดงสินค้าดูสวยหรู แต่เป็นการบังหน้าปัญหาที่เละเทะที่ซ่อนอยู่ภายในร้าน และตัวอย่างของประเทศกรีซ ก็เห็นแล้วว่า หากพยายามซ่อนตัวเลขหนี้สาธารณะ และภายหลังถูกจับได้ ก็จะไม่มีใครเชื่อถือเครดิตของประเทศอีกต่อไป เป็นอันตรายอย่างมาก ขอเตือนไว้นะครับ” ข้อเขียนเรื่อง “อัตราส่วนภาระหนี้ที่ถูกต้องต่องบประมาณที่ถูกต้องคือเท่าใด” เมื่อวันที่ 23 มกราคม นายธีระชัย ได้เปิดเผยข้อมูลที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการใช้ข้อมูลที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงของนายกิตติรัตน์ เพื่อเป็นข้ออ้างในการออกพระราชกำหนดกู้เงิน 4 ฉบับ ให้ ครม.อนุมัติในวันที่ 4 มกราคม “เหตุผลที่ชี้แจงข้อหนึ่งคือ หากไม่ดำเนินการโดยเร่งด่วน จะเกิดปัญหาขึ้นแก่อัตราส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณ ภาระหนี้ต่องบประมาณนั้น คืออัตราส่วนเงินที่ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณแต่ละปี เมื่อคิดเป็นสัดส่วนของงบประมาณในปีนั้น ไม่ควรจะเกินร้อยละ 15 ของงบประมาณ ซึ่งกรอบนี้เรียกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลัง รองนายกฯ (นายกิตติรัตน์) แจ้งคณะรัฐมนตรีว่าขณะนี้อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 12 จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟู เพื่อมิให้ภาระดอกเบี้ยสำหรับหนี้กองทุนฟื้นฟู เป็นภาระแก่งบประมาณต่อไป มิฉะนั้นจะไม่มีช่องว่างพอเพียง ที่รัฐบาลจะกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารจัดการน้ำ ผมได้ทราบภายหลังว่ารองนายก (นายกิตติรัตน์) ได้ข้อมูลนี้ไปจากสภาพัฒน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่สภาพัฒน์ได้คำนวณโดยใช้ตัวเลขจากประมาณการเศรษฐกิจ และในการประชุมคณะรัฐมนตรีทั้งสองครั้ง เลขาธิการสภาพัฒน์ซึ่งนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วย ก็มิได้แก้ไขข้อมูลนี้เป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่ผมจะพ้นตำแหน่งเพียงหนึ่งวัน เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังได้นำข้อมูลจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะมาแจ้งให้ผมทราบว่า สำหรับปีงบประมาณ 2555 นั้น อัตราส่วนดังกล่าวเป็นเพียงร้อยละ 9.33 มิใช่ร้อยละ 12 ดังที่รองนายก (นายกิตติรัตน์) แจ้งต่อคณะรัฐมนตรี อัตราส่วนดังกล่าวเกิดจากการชำระหนี้เงินต้นร้อยละ 1.97 และจากการชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.36 รวมเป็นร้อยละ 9.33 และเป็นการคำนวณจากตัวเลขที่เป็นทางการในกฎหมายงบประมาณที่เพิ่งผ่านสภาไปเร็วๆ นี้ ผมเองต้องยอมรับว่าตกใจมากเพราะทำให้เหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนในการที่จะต้องออกกฎหมายในรูปแบบพระราชกำหนดเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมจึงขอเสนอรองนายก (นายกิตติรัตน์) ผ่าน facebook หน้านี้ เนื่องจากต่อไปนี้ท่านจะกำกับดูแลทั้งสภาพัฒน์และสำนักบริหารหนี้สาธารณะแล้ว ท่านจึงควรจะให้มีการศึกษาเปรียบเทียบตัวเลข และวิธีการเก็บข้อมูล รวมถึงวิธีคำนวณของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อให้ปรากฏตัวเลขที่ถูกต้องในการปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้เสนอหลักการและเหตุผลสำหรับพระราชกำหนดทั้ง 4 ฉบับ ในลักษณะที่เป็นเรื่องเดียวกันที่ผูกโยงไว้ด้วยกัน โดยใช้ข้อความเดียวกันทุกประการทั้ง 4 ฉบับ ดังนั้น หากมีการตีความว่าฉบับใดฉบับหนึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้พระราชกำหนดทั้ง 4 ฉบับติดขัดไปด้วยพร้อมกัน ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องด่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่นะครับ” หากในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องว่า พ.ร.ก.4 ฉบับ ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามคำร้องของ สมาชิกวุฒิสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน กับพวก แล้วเรียกตัวนายธีระชัยไปเป็นพยาน ถ้านายธีระชัย ไม่ถูกนายใหญ่-นายหญิง ตบปากสั่งสอนเสียก่อน ข้อเท็จจริง เรื่อง ตัวเลขหนี้ต่องบประมาณ จะเป็นประเด็นที่ชี้ชะตารัฐบาลอย่างคาดไม่ถึงแน่ การซุกหนี้ แต่งบัญชี ปั้นตัวเลข อาจเป็นเรื่องปกติ ที่ทำกันทั่วไปในบริษัทเอกชน หากนายวีรพงษ์ยังสวมเสื้อคลุมนักเศรษฐศาสตร์ ทำมาหากินกับการเป็นประธานเป็นที่ปรึกษาของกลุ่ม ช. การช่าง และสุ่นฮั่วเซ้งอยู่ และนายกิตติรัตน์ยังเป็นวาณิชธนากรที่ใช้วิชาวิศวกรรมการเงิน ตัดปะ โยกย้าย ควบรวม ซุกซ่อนทรัพย์สิน และหนี้สิน เพื่อหาเลี้ยงชีพ ก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่วันนี้ ทั้งนายวีรพงษ์ และนายกิตติรัตน์ เป็นผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจของชาติ ที่กำลังเอาวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ที่ทำให้แบงก์บีบีซีเจ๊ง และทำให้เศรษฐกิจไทยล่มสลายเมื่อปี 2540 มาใช้อีกครั้งหนึ่ง นำประเทศชาติไปเสี่ยงกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยยกคาถา เพื่อป้องกันน้ำท่วมๆๆๆๆฯ มาตอบโต้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายซุกหนี้ กู้เงินของตน ครั้งนี้ มาเจอผู้รู้จริง และรู้ทันอย่างนายธีระชัย หวังว่า ทั้งนายวีรพงษ์ และนายกิตติรัตน์ จะมีคำตอบโต้ในเชิงหลักการ และข้อเท็จจริง มิใช่แค่คำชี้แจงแบบข้างๆ คูๆ ว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพวกตน เป็นเพราะยังไม่เข้าใจ เป็นเพราะเป็นพวกที่มีความคิดแบบโบราณเหมือนพวกแบงก์ชาติ เป็นพวกที่ชอบมองนักการเมืองในแง่ร้าย อย่างที่ผ่านๆ มา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 23:22:04 หนี้สาธารณะและการสร้างเครดิตให้ชาติของวีรพงษ์
โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง, สุวินัย ภรณวลั ไทยกำลังจะเป็นไปเหมือน อาร์เจนตินาหรือกรีซ All Pain No Gain การให้สัมภาษณ์ของวีรพงษ์ รามางกูรเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของทักษิณผ่านรัฐบาล “หุ่นโชว์” ว่าจะนำพาประเทศไปสู่จุดใดในอนาคต วีรพงษ์กล่าวเกี่ยวกับการลดหนี้สาธารณะที่เป็นรัฐวิสาหกิจไว้ว่า “หนี้สาธารณะประเภทที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นมหาชน เป็นรัฐวิสาหกิจกึ่งเอกชน และเข้มแข็งยืนอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ได้เป็นภาระ และไม่ได้ให้รัฐบาลไปค้ำประกันหนี้ ไม่ต้องการโลโกรัฐบาลไปปิดหน้าบริษัทเพื่อให้คนเชื่อถือได้ทั่วโลก เช่น บริษัท ปตท. หรือการบินไทย” ก็จะลดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐลงให้เหลือต่ำกว่าร้อยละ 49 จากปัจจุบันที่มีประมาณร้อยละ 51 หรือมากกว่า เพื่อมิให้เป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไปโดยให้กองทุนวายุภักษ์ที่เป็นของรัฐไปถือหุ้นแทน ดังนั้นเมื่อกองทุนวายุภักษ์ไปถือหุ้นแทนรัฐบาล “ปตท.ทั้งยวงก็หลุดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ หนี้ของ ปตท. และข้อผูกพันของ ปตท.ประมาณ 7 แสนล้านบาทก็ไม่เป็นหนี้สาธารณะ ซึ่งมันจะสะท้อนฐานะทางการคลังของรัฐบาลไทยได้ดีว่า การที่หนี้ของ ปตท.มาเป็นหนี้สาธารณะนี้ มันไม่ตรงความจริง เพราะ ปตท.ยืนด้วยขาของตัวเอง ลงทุนเองไม่ได้ใช้งบประมาณซักบาท ซักสตางค์แดงเดียว แต่มาเป็นหนี้รัฐบาล หนี้สาธารณะ ก็ทำให้มันตรงกับข้อเท็จจริง ผู้บริหารของ ปตท.เขาสบายใจ เพราะสามารถทำอะไรได้อีกเยอะ ถ้าไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ” วีรพงษ์ให้เหตุผลราวกับว่า รัฐวิสาหกิจเป็นลูกที่ไม่รู้จักบุญคุณ ไม่คิดหรือว่าที่รัฐวิสาหกิจแข็งแรงเติบใหญ่มาถึงทุกวันนี้ก็เพราะประชาชนให้น้ำให้ข้าวเขาค้ำประกันเป็นทุนประเดิมไปใช้ตอนยังแบเบาะ หากไม่ได้หนึ่งบาทตอนนั้นก็ไม่มีหมื่นล้านตอนนี้ หนี้สาธารณะตามกฎหมายไทยบัญญัติไว้ตาม ม. 4 ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ที่ออกในสมัยรัฐบาลทักษิณ กำหนดว่าเป็นหนี้ที่กระทรวงการคลัง หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน แต่ไม่รวมถึงหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยกระทรวงการคลังมิได้ค้ำประกัน กล่าวง่ายๆ ก็คือเป็นหนี้ของ รัฐบาล + รัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงิน ซึ่งสอดคล้องกับนิยามที่ใช้กันทั่วโลกเพราะรัฐบาลสามารถให้องค์กรหรือหน่วยงานใดเป็นตัวแทนไปสร้างหนี้ก็ได้ ดูตัวอย่างของกองทุนหมู่บ้านฯในปี พ.ศ. 2545 ก็ได้ว่าก่อหนี้โดยให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่มีทรัพย์สินใดเลยไปกู้จากธนาคารออมสินแทนรัฐบาล ในทำนองเดียวกันสมมติว่าหากการไฟฟ้าฯ ไปกู้เงินแม้รัฐบาลไม่ค้ำประกันแต่หากไม่ชำระหนี้รัฐบาลจะนิ่งเฉยไม่ชำระแทนโดยปล่อยให้เจ้าหนี้มายึดทรัพย์ดับไฟให้ประชาชนเดือดร้อนได้หรือไม่ นอกจากนี้ใน ม. 7 และ ม. 8 ของกฎหมายดังกล่าวจึงกำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจในการกู้หรือค้ำประกันแต่ผู้เดียว หน่วยงานรัฐอื่นใดจะไปกู้โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้มิได้ ต่างจากรัฐวิสาหกิจเป็นสถาบันการเงินหนี้สินที่เกิดขึ้น เช่น เงินฝากจะมีทรัพย์สิน เช่น ลูกหนี้จากการให้กู้ ที่อยู่อีกฟากหนึ่งในบัญชีเกิดขึ้นเช่นกัน หนี้ที่ออมสินหรือกรุงไทยจึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ในขณะที่หนี้ ปตท. การบินไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจึงเป็นหนี้สาธารณะด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้น การ “หลอก” คนอื่นโดยตกแต่งบัญชีให้กองทุนวายุภักษ์ที่วีรพงษ์เองก็บอกเองว่าเป็นของรัฐให้ถือหุ้นแทนก็ไม่ได้ทำให้ทั้ง ปตท. หรือ การบินไทย หลุดพ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจไปได้เพราะสัดส่วนที่รัฐถืออยู่โดยรวมก็ยังเกินกว่าร้อยละ 50 อยู่ดี เพียงแต่ว่าจะไปอยู่ในมือของรัฐและหน่วยงานรัฐใดเท่านั้น รัฐวิสาหกิจไทยในกฎหมายหลายๆ ฉบับแม้แต่ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ม. 4 (ก) ให้ความหมายไว้ว่าเป็นของหน่วยงานที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรของรัฐบาลที่รัฐเป็นเจ้าของ (ข) จะโดยรัฐหรือหน่วยงานใดถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 หรือ (ค) ถือหุ้นโดยหลายหน่วยงานของรัฐรวมกันเกินกว่าร้อยละ 50 ก็ได้เพราะคำนวณจากทุนตามที่หน่วยงานนั้นๆ ลงทุนไป จะมาอ้างมั่วๆ แบบ “โกร่งๆ” ว่าพ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจไปแล้วเพราะคิดเฉพาะหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ไม่คิดหุ้นที่กองทุนวายุภักษ์ที่เป็นของรัฐบาลเช่นกันได้อย่างไร แนวคิดแบบที่วีรพงษ์ให้สัมภาษณ์ จึงไม่สะท้อนความเป็นจริงในสถานะทางการคลังของรัฐบาลไทยแต่อย่างใด หนี้สาธารณะจะหายไปได้ก็เพราะ (1) มีการใช้หนี้คืนและ/หรือ (2) ขายรัฐวิสาหกิจไปให้เอกชนอันจะเป็นหนทางที่แท้จริงในการลดระดับหนี้สาธารณะเท่านั้น ในทางกลับกัน ทั้งแนวคิดและความพยายามในการปิดบังซ่อนเร้นและตกแต่งบัญชีดังเช่นที่วีรพงษ์ให้สัมภาษณ์มานี่แหละจะเป็นเครื่องบั่นทอนเครดิตของประเทศไทย วีรพงษ์น่าจะพ้นจากความเป็นนักวิชาการหรือาจารย์ไปนานแล้ว คงมีแต่สื่อมวลชนนี้แหละที่ยกยอปอปั้นเรียกคำนำหน้าหรือสรรพนามว่าอาจารย์ ทั้งๆที่เคยเขียนงานวิชาการเผยแพร่ครั้งสุดท้ายเมื่อใดเจ้าตัวจำได้หรือไม่ อย่าลืมว่าหมอนวดตามโรงนวด เซียนพระหรือหมอดูตามสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่บาทวิถีจนถึงโรงแรมก็เรียกว่าเป็นอาจารย์ เครดิตหรือความน่าเชื่อถือทางการคลังนี้วีรพงษ์รู้หรือไม่ว่าไม่มีขายมีแต่ต้องทำเอง และวิธีที่จะทำขึ้นมาก็คือ ทำตามที่พูดและโปร่งใสตรวจสอบได้ แนวคิดและความพยายามที่จะบอกกับสังคมว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ มิใช่เป็นหนี้สาธารณะซึ่งรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ก่อ และบัดนี้เจ้าของหนี้ก็แข็งแรงแล้ว ก็ขอให้รับคืนไปจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ทั้งนี้เป็นความชอบธรรมของรัฐบาลที่จะโอนคืนนั้น มันตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการอย่างไร หน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็คือทำหน้าที่ธนาคารกลางให้กับประเทศโดยมีเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพโดยการรักษาระดับราคามิให้ผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า เงินเฟ้อ อาศัยอำนาจในการเพิ่มหรือลดปริมาณเงินในระบบเป็นเครื่องมือ ไม่มีหน่วยงานอื่นที่ทำหน้าที่เช่นนี้ได้ ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการสร้างความน่าเชื่อถือว่าเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของตนเองว่ามีเสถียรภาพก็ต้องให้อิสระกับ ธปท.ในการควบคุมเงินเฟ้อ เพราะอำนาจในการเพิ่มเงินเป็นสิ่งล่อใจอาจทำให้รัฐบาลเห็นกงจักรเป็นดอกบัวสั่งให้เพิ่มเงินแทนการเก็บภาษีเพื่อนำมาใช้จ่าย ตัวอย่างมีให้เห็นทั่วโลกว่าหากรัฐบาลสามารถสั่งให้ธนาคารกลางเพิ่มเงินให้เอาไปใช้จ่ายโดยเสรีแล้ว ความน่าเชื่อถือก็จะหมดไปเพราะจะไม่สามารถรักษาเป้าหมายเงินเฟ้อเอาไว้ได้ ผลเสียจากเงินเฟ้อ นอกจากจะกระทบประชาชนโดยเฉพาะคนที่มีรายได้คงที่แล้วยังกระทบต่อความสามารถในการกู้เงินของประเทศเพราะจะไม่สามารถกู้เงินในสกุลเงินของตนเองในระยะยาวและกำหนดดอกเบี้ยแบบคงที่ได้ เงินเฟ้อจะทำให้อำนาจซื้อของเงินในอนาคตลดลง แล้วเสถียรภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากต้องกู้เป็นเงินตราต่างประเทศ ระยะสั้น และดอกเบี้ยลอยตัวตามเงินเฟ้อ หลายประเทศในกลุ่มละตินอเมริกาที่นิยมใช้นโยบายประชานิยมมาก่อนเป็นตัวอย่างที่ดีว่าจนบัดนี้ยังไม่สามารถกู้ในแบบที่ไทยสามารถกู้ได้ในปัจจุบัน เงินเฟ้อมีผลต่อโครงสร้างหนี้ การโอนหนี้ให้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ ธปท.กำกับดูแลก็หมายความว่าจะให้ธปท.ออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยมาทดแทนพันธบัตรที่รัฐบาลเคยออกให้แล้วรัฐบาลจะรักษาเงินเฟ้อได้อย่างไรเพราะปริมาณเงินในระบบจะต้องเพิ่มขึ้น ไม่ทราบว่า “ความแข็งแรง” ที่วีรพงษ์กล่าวนั้นหมายถึงอะไรเพราะที่กล่าวมาล้วนทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเลือดเย็น การลดระดับหนี้สาธารณะที่พยายามทำอยู่ ไม่ว่าจะบังคับโอนหนี้ให้กองทุนฟื้นฟูฯ ไปชำระแทนก็ดี หรือการให้กองทุนวายุภักษ์มาถือหุ้นบางส่วนของ ปตท.แทนกระทรวงการคลังก็ดี ล้วนเป็นแนวคิดและความพยายามที่จะหลอกลวง ปกปิด และทำร้ายประเทศด้วยการทำลายความน่าเชื่อถือทางการคลัง อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่เป็นเหมือนกับอาร์เจนตินาในอดีต หรือกรีซในปัจจุบัน เพราะแนวคิดของวีรพงษ์และรัฐบาลนี้กำลังทำก็ไปในทิศทางเดียวกับที่ประเทศเหล่านั้นเคยเดิน วีรพงษ์ก็เรียนรู้มาบ้างมิใช่หรือจากการเป็นประธานธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การที่หลอกลวงและปกปิดประชาชน เป็นจุดเริ่มต้นและศูนย์กลางของปัญหาที่ต้องให้คนอื่นๆ ที่รวมถึงกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องตามล้างตามเช็ดมาถึงปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร ใครจะเชื่อว่าเกริกเกียรติทำได้คนเดียว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มกราคม 2555, 23:24:24 ผบ.ทบ.จวกนิติราษฎร์พวกไม่ปกติ ถามเป็นคนไทยหรือเปล่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์ยังเดินหน้าแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า เป็นเรื่องของความพยายามซึ่งมีคนอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มหนึ่งอาจจะไม่ปกติ อยากจะทำโน่นทำนี่ โดยไม่คิดว่าอะไรควรไม่ควร แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น กลุ่มที่ 2 คือ นักวิชาการบางกลุ่ม ซึ่งเป็นนักวิชาการส่วนใหญ่กว่า 90% ยังรักและเทิดทูนสถาบัน อยากจะเรียนไปยังบางส่วนว่า ต้องกลับไปทบทวนว่าตลอดระยะเวลาที่พระองค์ท่านครองราชย์มาจนมีพระชนมายุ 84 พรรษามาแล้ว แต่คนที่เป็นนักวิชาการอายุเพียงแค่ 30-40 ปี เรียนหนังสือจบมาแล้วไปเรียนต่อ เคยได้ทำคุณประโยชน์อะไรให้แก่แผ่นดินบ้างหรือไม่ เพียงแค่เรียนหนังสือจบมาแล้วเอาความรู้ต่างๆ เหล่านั้นมาเพื่อจะแก้โน่นแก้นี่ ซึ่งยังไม่เคยลองปฏิบัติอะไรสักอย่าง “ต้องเข้าใจว่าสถาบันทรงมีคุณต่อแผ่นดินอย่างไร เป็นประเด็นสำคัญ ผมไม่สามารถไปบังคับใครได้ ถ้าพูดแรงไปก็จะหาว่าไปบังคับ หรือผูกขาดความจงรักภักดี ไม่ใช่ แต่ต้องการให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่าบ้านเมืองมีชื่อเสียงเกียรติยศในโลกนี้ ส่วนใหญ่ที่รู้จักประเทศไทย รู้จักมาจากสถาบันก่อนทั้งสิ้น ท่านทรงครองราชย์ เสด็จแปรพระราชฐาน เสด็จเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ จนเขารู้จักประเทศไทยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ และถึงวันนี้ไม่รู้ว่าใครมาจากไหนเหมือนกัน ชาติตระกูล เกิดประเทศไทยหรือไม่ ไม่รู้ ถ้าท่านพูดจาแรง พูดไม่ดีต่อสถาบัน ผมจำเป็นต้องใช้คำพูดที่ไม่ดีกับท่าน เพราะท่านไม่เคยสำนึกในผืนแผ่นดินไทยเลย ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง คนทั้งแผ่นดินเคารพเทิดทูน แต่ท่านมาทำลายความรู้สึกของคนทั้งแผ่นดิน ขอถามว่าท่านจะได้อะไร อย่าให้ว่า ผมใช้คำรุนแรง เมื่อท่านรุนแรง ผมก็รุนแรงกับท่าน แต่ผมอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีการทำอะไรนอกกฎหมายทั้งสิ้น ท่านอย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน” ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วง เยาวชนที่มีวุฒิภาวะน้อยที่อาจเกิดความสับสนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ห่วงทุกเรื่อง แต่คิดว่าไม่สับสน ถ้าผู้ใหญ่สอนลูกหลานและญาติพี่น้องให้เข้าใจ จะสับสนได้อย่างไร ง่ายจะตาย เกิดมารู้จักพระเจ้าแผ่นดินหรือยัง ถ้ารู้จักแล้วจากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านไม่เคยทำอะไรเสียหาย ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเมืองเป็นถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นพวกที่สับสน มันคงไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหนมากกกว่า ส่วนที่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุกับสื่อประเทศสิงคโปร์ว่าจะให้นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อหารือแนวทางการปรองดองนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องไปถามท่าน พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงนโยบายในการทำงานของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมคนใหม่ว่า รมว.กลาโหมดูแลและพูดคุยกับทุกเหล่าทัพ ท่านบอกว่า จะดูแลทุกกองทัพให้ดีที่สุด นั่นคือหน้าที่ของท่าน พวกเราในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ดูแลแต่ละกองทัพให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ รวมทั้งสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ส่วนที่ รมว.กลาโหมต้องการให้สานต่อโครงของกองทัพที่ยังค้างอยู่ให้รวดเร็วขึ้นนั้น ในส่วนกองทัพบกมี โครงการที่ได้เสนอขึ้นไป คือ โครงการเสริมสร้างและจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ล้าสมัย แต่คิดว่าคงไม่ได้ เพราะงบประมาณมีจำกัด และเราก็ตั้งโครงการไปตลอดและมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลแล้วจะซื้อวันนี้ ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นรถถัง เฮลิคอปเตอร์ รถหุ้มเกราะ ต้องมีแผนการพัฒนากองทัพในระยะเวลา 10 ปี มี 4 แนวทาง คือ 1. จะต้องมีการหาแบบว่าต้องการแบบไหนให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในพื้นที่และภูมิภาค 2. ต้องดูว่างบประมาณมีมากน้อยแค่ไหน 3. เขาจะขายหรือไม่ และ 4. ต้องทำให้สอดคล้องกับการปลดประจำการยุทโธปกรณ์หลักที่มีอยู่เดิม เพราะมีราคาสูง “ยุทธโธปกรณ์ของกองทัพบกได้รับมาประมาณ 30-40 ปีมาแล้ว อย่ามาบอกว่า ทำไมกองทัพบกปล่อยให้รถถังชำรุดจำนวนมาก เพราะไม่มีงบซ่อม เมื่อปล่อยให้ยืดยาวก็หมดอายุไป เป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้เป็นความบกพร่องของใคร อากาศยานที่ใช้อยู่ คือ ฮิวอี้ หรือ ฮท.1 ก็ใช้สมัยตั้งแต่สงครามโลก สงครามเวียดนาม อยากให้เห็นใจและเข้าใจเจ้าหน้าที่ เราพยายามอย่างเต็มที่ แต่เราไม่สามารถที่จะเร่งรัดหรือไปบังคับขู่เข็ญรัฐบาลได้จึงต้องรอ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 มกราคม 2555, 20:48:24 รุมชำแหละหนี้ ฉุดพรก.4ฉบับล่ม
โพสต์ทูเดย์ดอทคอม โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง การออกมาแลกหมัดประเด็นร้อน “ข้อมูลหนี้สาธารณะ” ระหว่าง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง กับ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กลายเป็นหนังชีวิตลุ้นระทึกรายวันไปแล้ว ที่สำคัญ การออกมาตีแผ่หนี้สาธารณะตรวจสอบกันไปมาว่าของใครเป็นของแท้ของเทียม กำลังกลายเป็นเรื่องเล็กล้มกระดานเรื่องใหญ่ ทำให้ทีมเศรษฐกิจต้องหาข้อมูลมาตอบโต้เป็นพัลวัน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลออก พ.ร.ก. 4 ฉบับเพื่อแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจรับมือน้ำท่วมชนิดเต็มสูบ โดย พ.ร.ก.ทั้งหมดถูกมัดรวมเป็นก้อนเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลตั้งหน้าตั้งตารอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ เพื่อเดินหน้ามาตรการต่างๆ ที่เตรียมไว้ แต่เรื่องไม่ได้ง่าย เพราะตั้งแต่รัฐบาลเดินหน้าออก พ.ร.ก. ก็มีเสียงคัดค้านจากทุกสารทิศ ไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.ของรัฐบาล โดยบางฉบับไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ประเด็นปัญหากลายเป็นแผลร้ายลุกลามใหญ่มากขึ้น เมื่อธีระชัยที่พ้นจากตำแหน่ง รมว.คลัง ยังไม่ทันข้ามคืน ได้เริ่มออกมาชำแหละการเสนอร่าง พ.ร.ก. มีการให้เหตุผลที่บิดเบือนในการออกกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ซึ่งกิตติรัตน์ให้เหตุผลกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สัดส่วนภาระการชำระหนี้สาธารณะอยู่ที่ 12% ของงบประมาณรายจ่าย ใกล้ชนเพดาน 15% ของงบประมาณรายจ่าย ทำให้จำเป็นเร่งด่วนออก พ.ร.ก.โอนหนี้ไปให้ ธปท.จ่ายดอกเบี้ยปีละ 6.5 หมื่นล้านบาท แทนรัฐบาล ธีระชัยยังยิงหมัดตรงว่า ข้อมูลของกิตติรัตน์ที่ชี้แจงไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะสัดส่วนการชำระหนี้สาธารณะต่องบประมาณปี 2555อยู่ที่ 9.33% ไม่ใช่ 12% ซึ่งมีผลทำให้การออก พ.ร.ก.โอนหนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามที่กิตติรัตน์ชี้แจงกับ ครม. อดีต รมว.คลัง ยังขยายแผลว่า เมื่อเหตุผลการออก พ.ร.ก.โอนหนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็จะส่งผลให้ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับกลายเป็นโมฆะไปด้วย หากรัฐบาลยังดื้อดึงไม่ฟังเสียงค้าน เพราะกฎหมายทั้งหมดใช้เหตุผลเดียวกันในการออกกฎหมาย แม้ว่ากิตติรัตน์จะออกมาตอบโต้ว่า สัดส่วนหนี้ชำระหนี้สาธารณะปี 2555 อยู่ที่ 12% แต่ที่ลดลงมาเหลือ 9% เป็นผลจากการออก พ.ร.ก.โอนภาระหนี้ไปให้ ธปท. ทำให้ภาระชำระหนี้ต่องบประมาณลดลง แต่ธีระชัยก็ออกมาสวนทันควันอีกครั้งว่า ไม่เป็นความจริง สัดส่วนภาระชำระหนี้ต่อภาระงบประมาณปี 2555 ที่ 9.33% ได้รวมภาระการชำระหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวนประมาณ 6.84 หมื่นล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยเสร็จสรรพแล้ว โดยเงินงบประมาณที่ชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ คิดเป็น 2.87% ดังนั้น หากการออก พ.ร.ก.โอนหนี้มีผลทำให้สัดส่วนภาระการชำระหนี้ลดตามกิตติรัตน์กล่าวชี้แจง สัดส่วนการชำระหนี้ก็ควรอยู่ที่ระดับประมาณ 6% เท่านั้น ในการตอบโต้ธีระชัยได้เรียกร้องให้กิตติรัตน์ทบทวนการออก พ.ร.ก.ใหม่ เพราะข้อมูลล่าสุดฟ้องชัดว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ส่งผลให้งานเข้าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลทันที ขณะที่ กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.คลัง ก็จองกฐินรัฐบาล ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทันทีที่ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ ว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ถือเป็นด่านหินที่รัฐบาลต้องเจอหนีไม่พ้น ปัญหาที่สำคัญ การที่ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับไม่มีผลบังคับใช้ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้ามาตรการต่างๆ ในการรับมือน้ำท่วมรอบใหม่ ซึ่งจะมาอีกไม่ถึง 56 เดือนข้างหน้า หรือแม้แต่ว่ากฎหมายมีผลบังคับใช้ และต้องถูกฝ่ายค้านส่งเรื่องตีความ เวลาในการดำเนินการต่างๆ ก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก จนไม่พอที่รัฐบาลเตรียมการรับมือน้ำท่วมรอบใหม่ จนเกิดความเสียหายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนปีที่ผ่านมา ถึงวินาทีนี้ รัฐบาลเหมือนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ ชี้เป็นชี้ตายอนาคตประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลต้องตั้งสติไตร่ตรองอย่างรอบคอบทุกด้านว่า จะปลดล็อกปัญหาที่มีอยู่ในขณะนี้อย่างไร ให้รวดเร็วและรอบคอบที่สุด จะตัดสินใจเดินหน้ายืนยันรอให้กฎหมายทั้ง 4 ฉบับมีผลบังคับใช้เหมือนที่ตั้งใจไว้เดิม ซึ่งรัฐบาลต้องประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นว่า “ดื้อแล้วได้คุ้มเสียหรือไม่” เพราะถึงวันนี้ รัฐบาลน่าจะได้ข้อมูลเพิ่มว่า พ.ร.ก.โอนหนี้ที่เป็นก้างขวางคอรัฐบาลอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่มีแต่ 2 อดีต รมว.คลัง อย่าง ธีระชัยและกรณ์ ที่ไม่เห็นด้วยและออกมาถล่มรัฐบาลรายวันจนตั้งหลักไม่ติด แม้แต่ ธปท.ก็ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการไปเก็บค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์มาใช้หนี้กองทุน จะทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนเพิ่ม และผลักภาระให้ประชาชนที่เป็นลูกค้า ด้านธนาคารพาณิชย์ ไม่ต้องพูดถึงออกมาต้าน พ.ร.ก.โอนหนี้ ถึงขั้นออกแถลงการณ์บอกเป็นนัยไม่ยอมให้เสียค่าธรรมเนียมจากที่ถูกเรียกเก็บอยู่ในปัจจุบันที่มีอัตราสูงอยู่แล้ว หรือแม้แต่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ก็น้ำท่วมปาก เพราะการถูกแย่งเก็บค่าธรรมเนียมไปใช้หนี้ ทำให้แผนการดูแลเงินฝากไม่เป็นไปตามแผน หากอนาคตสถาบันการเงินมีปัญหา การดูแลผู้ฝากเงินก็จะพานมีปัญหาไปด้วย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องดีดลูกคิดว่า จะเดินหน้าเกียร์ห้าเหมือนเดิม เสี่ยงไปจะได้คุ้มเสียหรือไม่ หากเห็นว่าเสียมากกว่าได้ รัฐบาลก็ต้องเลือกทางใหม่ ต้องยอมถอยพื่อชาติ นำร่างกฎหมายทั้งหมดกลับมาทบทวนใหม่ ตัดร่าง พ.ร.ก.โอนหนี้เจ้าปัญหาทิ้งไปก่อน หลังจากนั้นก็เดินหน้า พ.ร.ก.อีก 3 ฉบับ ให้ออกมาบังคับเร็วที่สุด เพราะจะเห็นว่า ที่ผ่านมาร่าง พ.ร.ก.อีก 3 ฉบับ ทั้ง พ.ร.ก.กู้เงินลงทุนบริหารน้ำ 3.5 แสนล้านบาท พ.ร.ก.ตั้งกองทุนประกันภัย 5 หมื่นล้านบาท และ พ.ร.ก.กู้เงินดอกเบี้ยต่ำของ ธปท. 3 แสนล้านบาท ไม่ได้มีปัญหาถูกคัดค้าน นอกจากนี้ เสียงส่วนใหญ่ก็สนับสนุน พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ ว่ามีความจำเป็นในการฟื้นฟูประเทศและปกป้องน้ำท่วมรอบใหม่ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะดำเนินการ ในช่วงเวลาที่เหลือน้อยลงทุกวัน รัฐบาลจึงต้องรีบตัดสินใจผ่านทางสามแพร่งไปให้ได้ เพราะหากยังจมหลงอยู่แต่เอาชนะเรื่องหนี้สาธารณะอย่างทุกวันนี้ มีแต่จะรั้งให้ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับล่มไปทั้งหมด ถึงเวลานั้น ไม่ว่ารัฐบาลและเศรษฐกิจของประเทศ ก็เสี่ยงสำลักน้ำท่วมใหญ่เหมือนปีที่ผ่านมา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มกราคม 2555, 11:54:29 “สนธิ”แฉทุนมะกันหนุนหลังแก๊งล้มเจ้า-หวังยึดไทยสานฝันครองเอเชียแปซิฟิก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.45-22.45 น. วันที่ 27 ม.ค.ว่า ขบวนการจาบจ้างสถาบันเบื้องสูงที่ปรากฏขึ้นในนามคณะนิติราษฎร์ นำโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์นั้น เป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดไว้ตั้งแต่ปี 2548 และปี 2551 นั้นเป็นเรื่องจริง และมีความเชื่อมโยงกับการขยายอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการกลับเข้ามาครอบครองเอเชียแปซิฟิกอีกครั้ง เห็นได้จากก่อนหน้านี้มีการเขียนบทความเรื่อง Reform Not Revolution for Thailand ที่กล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปในประเทศไทย นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจากสงครามเย็นยุติลงแล้ว เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่พยายามที่จะขยายออกไปในทุกประเทศทั่วโลก โดยใช้ฉันทมติวอชิงตัน (Washington Consensus) ที่มีกติกา 4 ข้อให้ทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม คือ 1.การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้า การเงิน การลงทุน 2.ให้มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยเน้นเสถียภาพด้านราคา 3.การแปรรูปรัฐวิสากิจเป็นของเอกชน 4.การลดการควบคุมกำกับโดยรัฐบาล โดยใช้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ธนาคารโลก และองค์การการค้าโลก(WTO) ดำเนินการในเรื่องนี้ ซึ่งจะเห็นว่า ช่วงหลังปี 2540 ไอเอ็มเอฟได้ยื่น 4 เงื่อนไขนี้ให้ประเทศไทยทำตามเพื่อแลกกับการให้เงินช่วยเหลือ เป็นที่มาของการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ซึงจนขณะนี้ยังไม่ได้แก้ และมีความพยายามจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ นายสนธิย้ำว่า เราอย่าคิดว่าสหรัฐอเมริกาเป็นเพื่อนเรา เพราะประเทศนี้มีแต่ผลประโยชน์ ไม่ต้องการให้ใครมาขวางเขา แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเน้นเศรษฐกิจพอเพียง เขาก็หาว่าเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูป ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สหรัฐเริ่มหมดความสนใจในพื้นที่ตะวันออกกลาง เพราะน้ำมันเริ่มหมด ส่วนยุโรปก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก จึงหันความสนใจมาที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งกำลังมีชนชั้นกลางเกิดใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นพวกของอเมริกาไปแล้ว ยังเหลือแค่จีนที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และกำลังขยายอิทธิพลเข้ามาทางอาเซียน โดยเฉพาะในพม่า ขณะที่สหรัฐฯ ก็ได้อินโดนีเซียเป็นลูกรักไปแล้ว เวียดนามก็หันไปพึ่งสหรัฐฯ เพื่อให้ช่วยต่อต้านจีน ส่วนเขมรก็ว่าตามเวียดนาม มาเลเซียก็กำลังเปลี่ยนแปลงโดยนายอันวาร์ อิบราฮิมที่มีแนวคิดสนับสนุนประเทศตะวันตกกำลังจะกลับมาอีกครั้ง ขณะที่พม่า สหรัฐฯ ก็เริ่มเข้าไป ทั้งที่เมื่อก่อนเคยคว่ำบาตร ตอนนี้จึงเหลือเพียงประเทศไทยที่สหรัฐฯ ยังไม่สามารถยึดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางนโยบาย เพื่อที่จะปิดล้อมจีนให้ได้ นายสนธิกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ คนไทยเราโดนอิทธิพลตะวันตกเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วย 3 เรื่อง คือ 1.รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์หรือไม่ 2.สิทธิมนุษยชน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐจะเลือกสนับสนุนรัฐบาลประเทศไหน ตอนที่เสื้อแดงถูกปราบปราม เขาบอกว่า เป็นการละเมิดสิทธิ แต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ฆ่าตัดตอนไป 2,000 กว่าคน ตอนนี้เขาไม่พูดถึงแล้ว เขาพูดแต่ว่าทหารฆ่าเสื้อแดง เพราะโยงไปสู่การล้มสถาบันทหารได้ และ 3.ความโปร่งใส ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเช่นกัน เมื่อปี 2540 เขาห้ามธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาช่วยเหลือบริษัทเอกชน แต่เมื่อปี 2551 ธนาคารในสหรัฐฯ ล้ม รัฐบาลอเมริกันกลับอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาล นายสนธิ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนี้ หมดยุคที่จะใช้วิธีการตามฉันทมติวอชิงตันแล้ว เพราะกลุ่มทุนในอเมริกาใหญ่ขึ้นมาก บริษัทอย่างแอปเปิลคอมพิวเตอร์มียอดขายมากกว่างบประมาณประเทศไทย และบริษัทแบบนี้มีอยู่จำนวนมาก และมีอิทธิพลต่อรัฐบาล ไม่ว่าพรรคดีโมแครตหรือรีพับลิกัน ล้วนแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลกลุ่มทุน โดยพรรคดีโมแครตนั้นอยู่ภายใต้ทุนการเงิน ขณะที่รีพับลิกันอยู่ภายใต้ทุนน้ำมัน ซึ่ง 2 กลุ่มนี้เลวพอๆ กัน และสุดท้ายแล้วก็เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บริษัทเหล่านี้ต้องการครองโลก เข้าไปเปิดธุรกิจในประเทศต่างๆ เพื่อดึงดูดเอาความมั่งคั่งไปเป็นของตัวเอง ซึ่งล่าสุดนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศแล้วว่า เอเชียแปซิฟิกคือศูนย์กลางของโลก ซึ่งไม่ผิดเพราะทั่วโลกเจ๊งหมดแล้ว นายสนธิ กล่าวว่า วิธีการที่พวกนี้เขาจะรุกคืบเข้าไปในแต่ละประเทศนั้นเขามีหลายวิธี แบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีสถาบันที่เขาเรียกว่า Think Tank ที่มาช่วยคิดว่าจะทำยังไงอเมริกาถึงจะเป็นเจ้าโลก ทำยังไงบริษัทถึงจะรุกเข้าประเทศนั้นได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทต่างๆ ที่ร่ำรวยอย่างมหาศาล เมื่อนั่งคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีพวก take action ต้องฝึกอบรมและให้เงินสนับสนุนด้วย เช่น Open Society ของนายจอร์จ โซรอส และยังมีหน่วยงาน NED - National Endowment for Democracy ที่รัฐสภาอเมริกาให้การสนับสนุนงบประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีหน้าที่ทำตามชุดภาษาสากลที่เขาคิด คือส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ และทุกประเทศที่มีการล้มล้างรัฐบาล แล้วเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมา องค์กรพวกนี้มีอีกส่วนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ให้กำลังใจ สนับสนุน คอยตีปี๊บ ร้องป่าว เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล Amnesty International มีหน้าที่อย่างเดียว แถลงข่าวว่าประเทศจีนนั้นละเมิดสิทธิมนุษยชน เราไม่เห็นด้วย เราเรียกร้องให้คนโน้นคนนี้ลุกขึ้นมาต่อสู้ และยังมี Human Right Watch คือองค์กรพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชน ฟังแล้วดูสวยงามมาก แต่ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือของตะวันตกในการมาแทรกแซงประเทศต่างๆ นายสนธิกล่าวต่อว่า หลายๆ องค์กรในอเมริกา จะอยู่เบื้องหลังเอ็นจีโอในเมืองไทย และได้ยกตัวอย่างการทำงานจอง สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ CFR : Council on Foreign Relation ซึ่งคำว่าสภา สมาชิกที่มีบทบาทสูงสุดแทนที่จะเป็นประชาชน แต่กลับประกอบด้วยกลุ่มทุนการเงิน ทุนพลังงาน กลุ่มทุนขายอาวุธ กลุ่มทุนอาหาร-ยา ซึ่งสามารถครอบงำสภานี้ได้ และเอ็นจีโอในประเทศไทย รวมทั้งคนบางคนในคณะนิติราษฎร์ ก็ได้รับเงินมาจาก CFR ซึ่งเป็นองค์กรที่เขียนบทความว่า พระมหากษัตริย์ไทย เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทางการเมือง นายสนธิ ยังเปิดเผยอีกว่า NED-National Endowment for Democracy ให้เงินเอ็นจีโอไทยมาเกือบ 1 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งผู้อำนวยการเว็บไซต์ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้มาก้อนหนึ่ง 5 แสนเหรียญ หรือ 15 ล้านบาท ไปอบรมผู้นำท้องถิ่นให้เข้าใจเรื่องบทบาท ส.ส. ซึ่งก็เป็นผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดงนั่นเอง ถึงเว็บไซต์ประชาไทจะปฏิเสธว่าการให้เงินมาไม่มีสิทธิต่อรองในการเสนอข่าว แต่ตนไม่เชื่อ เพราะเว็บไซต์นี้มีการจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันฯ มาโดยตลอด “พอมาตรงนี้เงินพวกนี้ไปกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล กลุ่มซ้ายอกหัก ซึ่งมีนักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่ม เว็บไซต์ประชาไท งานใต้ดินเคลื่อนไหวล้มสถาบันกษัตริย์ อ้างเสรีภาพ จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ บ่อนทำลายให้ยกเลิกมาตรา 112 นี่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่ง มาถึงตรงนี้ เอาเงินมาสนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ เพื่อไทย รัฐบาล แก้รัฐธรรมนูญ ทำลายการตรวจสอบ ยึดอำนาจ ยึดศาล ยึดทหาร ซื้อทหาร ยึดการเมือง นักวิชาการ ส่งเสริมค่านิยมโลกและทุนไร้พรมแดน ใครบ้างที่ชอบพูดว่า เดี๋ยวนี้ประเทศไทยไร้พรมแดน ถ้าไม่ใช่คนอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่พูดตลอดเวลาว่า เดี๋ยวนี้ไร้พรมแดน แล้วชาญวิทย์คือใครถ้าไม่ใช่ 1 ใน 100 กว่าคนที่เซ็นชื่อร่วมในการแก้มาตรา 112 เริ่มชัดกันหรือยังตอนนี้”นายสนธิกล่าว นายสนธิกล่าวต่อว่า ทำไมคนพวกนี้จึงต้องการทำลายในหลวง ทั้งที่ในหลวงทำงานให้ประชาชนจนกระทั่งชราภาพ ซึ่งคนรุ่นหลังไม่รู้ เขาบอกว่าเป็นอุปสรรคก็เชื่อ และคนในคณะนิติราษฎร์บางคนรับเงินฝรั่งมา ที่สำคัญการที่สหประชาชาติยอมรับว่าแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทฤษีที่ถูกต้อง ทำให้คนพวกนี้ยิ่งกลัวว่า ถ้าประเทศไทยอยู่รอดด้วยเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาเรียนรู้ แล้วกลุ่มทุนพวกนี้ก็จะเข้ามาหาประโยชน์ไม่ได้ CFR จึงกล่าวหาว่าในหลวงเป็นอุปสรรคการปฏิรูปการเมือง ซึ่งที่จริงคืออุปสรรคของทุนอเมริกันต่างหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองทุกพรรค ทุกรัฐบาล คือตัวละครที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการเลิกเอ็มโอยู 43 เพราะเขาจะทำหน้าที่เอาของใส่สายพานให้ฝรั่ง คือมอบแหล่งพลังงานให้บริษัทต่างชาติ นายสนธิกล่าวว่า สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมของจิตใจคนไทย คนไทย 90 กว่าเปอร์เซ็นต์รักในหลวงและพระราชินีเหมือนพ่อแม่ นี่คืออุปสรรคของกลุ่มทุนที่จะเข้ามายึดประเทศไทย เขาจึงต้องทำลายฐานที่มั่นศูนย์รวมจิตใจคนไทย เริ่มด้วยการแก้ไขมาตรา 112 ถึงจะแก้ไม่ได้ อย่างน้อยก็สร้างกระแสขึ้นมาได้ ถ้าล้มไม่ได้ก็ให้เป็นแบบกษัตริย์เขมรที่เป็นเพียงหุ่นเชิดของนายฮุนเซน คณะนิติราษฎร์จึงเป็นสัตว์คอกเดียวกันกับทุนสามานย์ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ทักษิณ ชินวัตร คือตัวละครตัวหนึ่ง หมดจากทักษิณไปก็มีคนอื่น เพราะสันดานนักการเมืองทุกพรรคเหมือนกันหมด คือทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อชาติ พวกฝรั่งจึงอยากให้นักการเมืองได้ปกครองประเทศ เพื่อให้เปิดเสรี ให้ประเทศไทยเป็นทาสทุนตะวันตก นายสนธิกล่าวว่า แผนผังขบวนการทั้งหมดที่ตนเคยทำไว้ตั้งแต่ปี 2551 จึงเป็นความจริงทุกอย่าง คนที่มาร่วมขบวนการมีทั้งคนรุ่นใหม่ที่มาร่วมเพราะคิดว่าเท่ห์ กลุ่มซ้ายอกหักที่มีความโกรธแค้นตั้งแต่หลัง 6 ตุลาฯ 2519 คนพวกนี้ทำงานใต้ดิน ทำเว็บไซต์ วิทยุชุมชน ทำใบปลิว จัดอบรมคนเสื้อแดง โดยมีซีไอเอ.สนับสนุน ให้ นปช.ดูหมิ่นในหลวง อุ้มชูทักษิณ ทำลายองคมนตรี ทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากนั้นก็มีพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อก่อนคือพรรคพลังประชาชน ปัจจุบันคือพรรคเพื่อไทย ที่ใช้ประชานิยมยึดอำนาจฝ่ายบริหาร ควบคุมองค์กรอิสระ สอดคล้องกับความคิดกลุ่มนิติราษฎร์ที่จะให้ ครม.แต่งตั้งศาล และมีกลุ่มทุนสามานย์ที่เป็นเครื่องมือต่างชาติเข้ามาผูกขาดทุนในประเทศ นายสนธิกล่าวว่า วันนี้ศึกสงครามของเราไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคก็สันดานเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งมาโวยวายเรื่อง ปตท.แต่สมัยที่เป็นรัฐบาลทำไมไม่เอา ปตท.กลับคืน มาพูดตอนนี้แค่หวังผลทางการเมืองเท่านั้น นายสนธิ กล่าวว่า ประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างแรก เราต้องมีในหลวงที่ทรงมีทศพิธราชธรรมและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ถ้าจะต้องออกมาสู้แล้วตายเพื่อในหลวงต้องยอมตาย เพราะมีพระองค์ ฝรั่งจึงยึดประเทศไทยไมได้ ท่านทรงสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง นอกจากนี้ เราต้องมีความเป็นชาตินิยม รักชาติ รักแผ่นดินให้มากขึ้น เมื่อถึงเวลาแสดงออก ต้องอย่ารีรอ การที่เราไม่พอใจอเมริกาไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นศัตรู หรือต้องเข้าข้างจีน แต่เราต้องคบทั้ง 2 ประเทศอย่างเท่าเทียมกัน และบอกให้เขารู้ วันนี้นักการเมืองขี้ฉ้อเป็นคนดำเนินนโยบายต่างประเทศ ใครให้ประโยชน์เขาก็เปิดประตูให้ นายสนธิย้ำว่า พรรคเพื่อไทยจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ไม่ได้ เพราะถ้าไม่เห็นด้วยทำไมไม่แสดงออกแต่แรก มาบอกว่าไม่เกี่ยวข้องตอนกระแสต่อต้านมันแรงขึ้นมาแล้ว นั่นเพราะกลุ่มนิติราษฎร์หนุนหลังโดยฝ่ายซ้ายที่เป็นบริวารของทักษิณ คนพวกนี้เคยสู้กับอเมริกา แต่วันนี้กลับมาเป็นเครื่องมือให้อเมริกาใช้ แล้วเที่ยวมาหาว่าตนเอาในหลวงมาเล่นการเมือง ตนออกมาสู้ขนาดนี้แล้วยังมีการเหิมเกริม ถ้าตนเงียบอยู่เฉยๆ ขบวนการพวกนี้จะขนาดไหน นายสนธิกล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 77 ระบุว่า รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีทันสมัยที่จำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตย และความมั่นคงของรัฐ สถาบันกษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ขณะนี้มีคนจ้องล้มสถายบันกษัตริย์ แม้พรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่เกี่ยว แต่พฤติกรรมในอดีตชัดเจนว่าเกี่ยวข้อง ขณะนี้มีความเสียหายจากการเสียดินแดนที่เขมรยึดครอง ความมั่นคงสั่นคลอนตั้งแต่เกิดน้ำท่วมที่รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ หน้าที่ของทหารต้องออกมาทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 อย่ามาหาว่า ตนยุให้ปฏิวัติ คนที่ไปแจ้งความ ขอไปแจ้งให้เยอะๆ เลย นายสนธฺย้ำว่า ประเทศไทยจะอยู่รอดได้เราต้องพิทักษ์รักษาสถาบันกษัตริย์ ต้องรักชาติ นิยมชาติไทย เชื่อมั่นในชาติไทย ต้องเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ได้ นอกจากนี้ เราต้องมีประสิทธิภาพในการทำงาน ให้ความยุติธรรมในการเข้าสู่ทุนแก่พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการทำมาหากิน ไม่ใช่รอแต่ให้นักการเมืองเอามาแจก ต้องดูแลรักษาป่าไม้ แหล่งน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้ลูกหลานได้ใช้อย่างยั่งยืนต่อไป ในตอนท้ายนายสนธิ กล่าวฝากไปถึงนายบรรหาร ศิลปอาชา และทุกคนในตระกูลนี้ว่า เหตุการณ์พลุระเบิดและไฟไหม้ในงานตรุษจีนที่สุพรรณบุรีนั้น หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องของความประมาท แต่ตนมองว่าเป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถึงเวลาหรือยังที่ตระกูลศิลปอาชาจะทบทวนตัวเองว่าได้ทำอะไรโดยเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งหรือไม่ คนเราไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ตั้งแต่มีการสร้างมังกรมา ก็เคยเกิดไฟไหม้มาแล้ว และระเบิดครั้งนี้กุฎิพระก็ไม่เหลือ ไม่แน่ใจว่ากรรมกำลังตามมาทันหรือไม่ ยังไม่ช้าเกินไปที่จะเริ่มเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งแล้วเสียสละจริงๆ เพื่อชาติบ้านเมือง เวลาจัดตั้งรัฐบาลนายบรรหารชอบมีความเห็นต่างๆ แต่เวลาในหลวงถูกเด็กเมื่อวานซืนบอกว่าต้องสาบานตนก่อนรับตำแหน่ง ห้ามมีพระราชดำรัสต่อประชาชน นายบรรหารไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ในฐานะอดีตนายกฯ ที่เคยได้รับพระเมตตา ไปคิดูให้ดี อำนาจวาสนาเงินทองไม่มีความหมาย ไม่กี่ปีก็ตาย ขอให้ไฟไหม้ครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่จะนำไปคิด คำต่อคำ : นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการคนเคาะข่าว สวัสดีครับท่านผู้ชมและพี่น้องพันธมิตรฯ ที่รักทุกๆ ท่านที่กำลังดูรายการ ASTV อยู่ โดยผ่านเครือข่ายเคเบิลทีวีท้องถิ่น หรือว่ามีจานรับของตัวเอง ตลอดจนท่านที่ดูผ่านอินเตอร์เน็ต วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจเป็นพิเศษ วันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2555 ที่ผมต้องการที่จะมาพูดจากับท่านผู้ชมและพ่อแม่พี่น้องชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2551 คือภาพใน VTR ที่พี่น้องได้ฟังผมพูดออกมาแล้ว เราจะสู้เพื่อในหลวง ณ วันนั้น เวลานั้น คำว่าเราจะสู้เพื่อในหลวงนั้น ผมโดนเยาะเย้ยถากถาง ดูหมิ่น เสียดสีด้วยคำพูด คุณเสนาะ เทียนทอง พูดออกมาว่า ท่านอยู่ของท่านสบายดีแล้ว ไม่ต้องไปสู้ให้ท่านหรอก คุณดิสธร วัชโรทัย คนในสำนักพระราชวังออกมาให้สัมภาษณ์บอกว่า ถ้ารักในหลวง ให้อยู่บ้าน ไม่ต้องออกมาสู้ 3 ปีกว่าที่ผ่านมา จากวันที่ 9 เดือนตุลาคม 2551 หรือถ้ามองย้อนหลังกลับไปยาวซักนิดหนึ่ง ตั้งแต่วันแรกที่ผมใส่เสื้อ เราจะสู้เพื่อในหลวงนั้น ที่แถลงข่าวบ้านพระอาทิตย์ หลังจากโดนปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ช่อง 9 ไปนั้น ถ้านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 6 ปี กว่าเต็มๆ มันเป็นความหยั่งรู้ของผม หรือมันเป็นฌาณของผมกันแน่ มันไม่ใช่ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมมองแล้วมันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะสังคมไทยยังไม่สามารถจะรับรู้ และคนที่พร้อมจะรับรู้ก็ไม่ได้ถูกรับรู้โดยสื่อมวลชนที่ต้องทำหน้าที่สื่อมวลชน จากปี 2548 ปลายปีเป็นต้นมา สถาบันกษัตริย์และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีใต้ดิน บนดิน วิชามาร วิธีที่โสมม มาจนกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ตัวตนที่แท้จริงของกระบวนการที่จะล้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นก็โผล่ออกมาในนามของ"คณะนิติราษฎร์" ที่นำโดยเด็กรุ่นหลัง ที่ได้ทุนอานันทมหิดลไปเรียนที่ต่างประเทศ พร้อมทั้งคณะครูบาอาจารย์นักเขียน นักต่อสู้สมัย 14 ตุลาฯ ร้อยกว่าคนลงชื่อกัน ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราต้องมาพูดกันให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีคณะนิติราษฎร์ ทำไมมันถึงมีกระบวนการเช่นนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครทำอะไรกับมัน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ด้วยคนไทย แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากกระบวนการในต่างประเทศ เข้ามาสู่คนไทยที่ต้องการจะขายชาติ ที่ต้องการจะล้มชาติ ล้มบ้านล้มเมือง กระบวนการพวกนี้เคยมีบทความชิ้นหนึ่ง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เป็นบทความจากที่ไหน มันเป็นบทความที่ใช้ชื่อว่า Reform not Revolution for Thailand : ปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิวัติในประเทศไทย และในบทความนี้ฝรั่งมันยังอ้างคำพูดหนึ่งในบทความนั้นว่า พระมหากษัตริย์ไทยคืออุปสรรคในการปฏิรูปประเทศ แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าบทความนี้มันมาจากองค์กรใด และองค์กรนั้นมันชื่ออะไร แล้วมันเกี่ยวข้องอย่างไรกับภาพรวมที่ผมจะเล่าให้ฟัง ท่านผู้ชมตามผมมานิดนึง ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ผลที่เกิดขึ้นวันนี้ เหตุมันมี เรามามองย้อนหลังไปนิดนึง เราไม่ต้องมองไกล เรามองกันไม่ต้องไกลนัก เรามองย้อนหลังกลับไปช่วงที่สงครามเย็นมันยุติ สมัยก่อนโลกมันแบ่งออกเป็น 2 ค่าย ค่ายที่เขาอ้างว่า ค่ายเสรี ที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ กับอีกค่ายที่เขาเรียกว่า ค่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีโซเวียตรัสเซีย เป็นผู้นำ วันที่มันสิ้นสุดสงครามเย็น ตามสัญลักษณ์แล้วคือวันที่กำแพงเบอร์ลินมันแตก กำแพงเบอร์ลินเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างเยอรมนีตะวันออก กับเยอรมนีตะวันตก วันนั้น โซเวียตล่มสลาย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออกก็ล่มสลาย ก็มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน เขาถึงเรียกว่า เป็นช่วงการทุบกำแพงเบอร์ลิน นั่นคือ สัญลักษณ์การสิ้นสุด ของสงครามเย็น ในบรรดานักคิด นักเขียนของสหรัฐอเมริกา มันมีคนญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในอเมริกาคนหนึ่งชื่อ นายฟรานซิส ฟูกูยามา หมอนี่อยู่เบื้องหลังนโยบายเศรษฐกิจและทฤษฎีของการใช้ทุนนิยมสามานย์เพื่อรุกคืบเข้าไปทั่วโลก นายฟรานซิส ฟูกูยามา เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The End of History and Mankind จุดจบของประวัติศาสตร์และมนุษยชาติ นัยของหมอนี่กำลังบอกว่า ตอนนี้ประวัติศาสตร์จบแล้ว จากนี้ไปเป็นยุคของทุนนิยม ตอนนั้นมีฝรั่งอีกคนหนึ่งชื่อ นายแซมมวล พี. ฮันติงตัน คนนี้เขียนหนังสือเหมือนกันว่า เมื่อสงครามเย็นหมดแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ the Clash of Civilization การปะทะกันระหว่างวัฒนธรรม นั่นคือคนๆ นี้บอกว่า จะมีวัฒนธรรมมุสลิมปะทะกับวัฒนธรรมคริสต์ทางตะวันตก แต่สรุปแล้วโลกในขณะนั้นต้องการทุนนิยม เป็นครั้งแรกที่กำแพงเบอร์ลินแตก เป็นครั้งแรกที่ไม่มีโลกหลังม่านเหล็ก หรือโลกเสรี มีอยู่โลกๆ เดียวที่ทุกคนทางตะวันตกต้องการคือ โลกแห่งทุน ด้วยเหตุนี้เลยมีแนวความคิดของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ซึ่งให้ไอเดียขึ้นมา กลุ่มนี้เขาเรียกว่า กลุ่มฉันทมติกรุงวอชิงตัน หรือ Washington Consensus Washington Consensus คืออะไร คือความเห็นที่พวกเขากำหนดว่า จากนี้ไปโลกสรุปแล้วมันจะต้องมีกติกาอยู่ 4 ข้อ ข้อแรกที่ต้องการใช้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Liberalization คือการเปิดเสรีหมด หมายความว่าทุกประเทศวันนี้ต้องเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ครอบคลุมการเปิดเสรีทางการค้า เปิดเสรีทางการบริการ การเงินการลงทุน ซึ่งคนจะได้ประโยชน์คือกลุ่มซึ่งมีทุนสากล และบริษัทระหว่างประเทศ หมายถึงกลุ่มทุนยักษ์ต่างๆ นั่นคือข้อ 1 ที่เขาตั้งไว้ ข้อที่ 2.คือ Stabilization จะต้องมีเสถียรภาพ เขาต้องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เน้นเสถียรภาพของราคา ไม่เน้นปัญหาการว่างงาน คนจะตกงาน ช่างมัน ทั่วโลก แต่ขอให้ราคาที่เขาตั้งเอาไว้ไม่ตก ประการที่ 3 คือ Privatization คือการแปรรูป การแปรรูปคือการถ่ายโอนการผลิตของภาครัฐ เข้าไปสู่ภาคเอกชน เพราะเขาเชื่อว่าเอกชนนั้นมีความคล่องตัวในการทำงานมากกว่า ข้อที่ 4 ข้อสุดท้าย คือ Deregulation คือการลดการกำกับและการควบคุมของรัฐ ลดการแทรกแซงโดยรัฐ รวมถึงการลดขนาดของรัฐบาล ทั้ง 4 ข้อนี้คือฉันทมติกรุงวอชิงตันที่ฝรั่งคิดขึ้นมา เมื่อคิดขึ้นมาแล้ว การที่เขาจะทำได้ โดยที่เขาใช้นโยบาย 4 ข้อ อุปมาอุปไมยเหมือนเป็นกติกาใหม่ของโลกในขณะนั้น เขาก็เลยใช้เครื่องมือของเขา 3 เครื่องมือในการทำ เครื่องมือแรกก็คือ สถาบันธนาคาร IMF เครื่องมือที่ 2 ก็คือธนาคารโลก และเครื่องมือที่ 3 ก็คือองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ที่คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ เคยไปเป็นผู้อำนวยการอยู่พักหนึ่ง 3 ตัวนี้ คือตัวซึ่งจะรุกเข้าไปในโลก 2540 เมื่อเศรษฐกิจไทยพังทลาย ท่านผู้ชมและพี่น้องพันธมิตรหลายคนที่ได้รับพิษสงจากการล่มสลายเศรษฐกิจครั้งนั้น ก็จะค้นพบว่า IMF เข้ามาในประเทศไทย และยื่นเงื่อนไข 4 ข้อนี้ ว่า ถ้าจะได้ตังค์ไปช่วยประเทศไทยขณะนั้น ต้องทำตาม คือประการแรก เปิดเสรีทางการเงิน คือให้ธนาคารต่างชาติเข้ามา สามารถทำนู้นทำนี่ได้ อันที่สองคือ เสถียรภาพของราคา อันที่สามคือ การที่เราต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และนั่นคือที่มาของกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ที่เราต่อสู้มาตลอด กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ซึ่งท่านผู้ชมครับ จากปี 2540 ที่เราคัดค้านมา จนกระทั่งถึง 2555 15 ปีที่ผ่านมานี้ เราไม่ได้แก้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เราทำตามเขาหมดทุกอย่าง เราแปรรูปกิจการของรัฐหลายแห่ง เราแปรรูป ปตท. ขายหุ้นออกไป เราแปรรูปการบินไทย ยังดีอยู่ในขณะนี้ ที่รัฐบาลยังถือหุ้นส่วนใหญ่ แต่ก็อีกไม่นาน เพราะรัฐบาลชุดนี้กำลังจะยึด ปตท. เอาไปขายให้เอกชน และผมจะอธิบายให้ฟัง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเมืองเมืองไทย และมันเกี่ยวอะไรกับขบวนการนิติราษฎร์ ขบวนการล้มเจ้า มันเกี่ยวโดยที่ท่านผู้ชมนึกไม่ถึง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุนต่างๆ เริ่มกระจายตัวออกไปตามที่ต่างๆ เมื่อกระจายตัวตามที่ต่างๆ แล้ว ทุนขณะนั้นมีปัญหาในเรื่องของการที่สหรัฐอเมริกานั้นใช้เงินเกินตัว เมื่อใช้เงินเกินตัวแล้วสหรัฐอเมริกาก็พิมพ์ธนบัตรขึ้น เพราะว่าเขาได้เปลี่ยนหลักประกันของการพิมพ์ธนบัตรขึ้น จากทองคำ ใช้ทองคำเป็นมาตรฐาน ให้มาเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ก็เลยทำให้อเมริกาสามารถจะพิมพ์เงินขึ้นได้ตลอดเวลา และอเมริกาเองนั้นมีบทบาทและมีอิทธิพลมากในพื้นภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นพื้นภูมิภาคที่จะต้องผลิตน้ำมัน เดี๋ยวผมจะให้ท่านผู้ชมไปดูแผนที่ของตะวันออกกลาง แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจ ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่ตะวันออกกลาง ซึ่งกำลังจะขึ้นให้ดู ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าตะวันออกกลางนั้น นี่คือตุรกี นี่คือซีเรีย นี่คืออิรัก นี่คือซาอุดีอาระเบีย นี่คืออิหร่าน อัฟกานิสถาน นอกนั้นก็เป็นเล็กๆ ดูไบบ้าง เล็กน้อย ท่านผู้ชมครับ ตามผมมา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และยุโรป ยึดครองซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด เมื่อยึดครองซาอุดีอาระเบียแล้ว สหรัฐอเมริกาก็ยึดครองคูเวต โดยผ่านผู้ครองแคว้น แล้วก็เอาบริษัทน้ำมันนั้นเข้าไปผูกขาดการผลิตน้ำมัน เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาตก การที่อเมริกาใช้เงินดอลลาร์พิมพ์ออกไปมาก ไม่มีทองคำอยู่ในประเทศ ที่จะเอามาสนับสนุนการพิมพ์เงิน วิธีการก็คือกู้หนี้ยืมสิน วิธีกู้หนี้ยืมสินก็คือ เมื่อใครมีดอลลาร์ ประเทศไทยส่งออกเป็นเงินดอลลาร์ มีเท่าไรก็จะไม่เก็บเอาไว้ ต้องเอาไปซื้อพันธบัตรอเมริกา ก็คือเอาเงินที่เราขายของได้ เอาไปซื้อพันธบัตรเขา ให้เขากู้ต่อ เขาก็จะได้เอาเงินกู้ก้อนนั้นเอามาทำสงครามต่อ แล้วก็เอามายึดที่ต่างๆ ที่เขาต้องการยึด เหตุการณ์ที่เปลี่ยนทุกอย่างออกไปก็คือ 9/11 เหตุการณ์เวิลด์เทรด เวิลด์เทรดซึ่งอุซามะห์ บิน ลาดิน โดยใช้ผู้ก่อการร้ายของอัลกออิดะห์ บินเครื่องบินแล้วไปทำลายเวิลด์เทรด ตรงนั้นทำให้แผนและความฝันของพวกสายเหยี่ยวที่ต้องการจะยึดโลกแห่งพลังงานเกิดขึ้น ด้วยการที่ก้าวเข้าไปยึดอิรัก ท่านผู้ชมที่เคยติดตามผมมาตลอดเวลา จำได้ไหม ผมเป็นคนพูดกับท่านผู้ชม ตั้งแต่สมัยเมืองไทยรายสัปดาห์ ผมบอกว่ายังไง วันนั้นเขาไปบุกอัฟกานิสถาน เพื่อไปปราบบิน ลาดิน ผมบอกว่า อัฟกานิสถานคือการสับขาหลอก ที่จริงแล้วเขาต้องการจะยึดอิรัก เพราะอิรักมีแหล่งน้ำมันที่พิสูจน์ได้ชัด ว่ามีมาก และเขาต้องการที่จะเข้าไปอิรัก และยึดอิรัก ด้วยเหตุนี้ ถึงมีการโกหกระดับโลกขึ้นว่า ซัดดัม ฮุสเซน นั้น มีอาวุธที่ทำลายอย่างร้ายแรงซ่อนในอิรัก เพื่อเป็นข้ออ้างให้ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ส่งทหารเข้าไปยึดอิรัก ผมก้าวข้ามไปนิด พี่น้องรู้ไหมว่า สมัยหนึ่ง ที่เรามีสนธิสัญญาเบาว์ริง สนธิสัญญาอัปยศ ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องทำกับอังกฤษ ทำให้อังกฤษระบุได้ว่า คนที่จะมาค้าขายกับประเทศไทย คนอังกฤษ สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ สามารถจะขนเงินออกนอกประเทศไปได้ สามารถซื้อโดยตรงกับแหล่งขายสินค้าได้ และก็มีสิทธินอกเขตราชอาณาจักรได้ทางกฎหมาย ท่านผู้ชมและพี่น้องเชื่อหรือเปล่า ว่าอิรัก ณ วันนี้ หลังจากอเมริกาเข้าไปยึดแล้ว สิทธินอกอาณาเขตและสิทธิต่างๆ ในอิรัก ไม่ได้ต่างจากสนธิสัญญาเบาว์ริงเลยแม้แต่นิดเดียว และรัฐบาลชุดปัจจุบัน ก็เป็นรัฐบาลที่อเมริกาเป็นคนตั้งขึ้นมา ทำไมผมต้องเอาเรื่องอิรักมาพูด ที่ผมต้องการเอาเรื่องอิรักมาพูด เพราะผมต้องการชี้ให้เห็นว่า วันนี้เราอย่าไปคิดว่า อเมริกาเป็นเพื่อนเรามา 100 กว่าปี ไม่มีคำว่าเพื่อน เมื่อผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่มีคำว่าเพื่อน ถ้ามีคนขวางการรุกทางทุนของเขา ถ้าเป็นระดับที่เป็นพ่อหลวงของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเน้นเศรษฐกิจพอเพียง อเมริกาถือว่า พระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอันตรายต่อการปฏิรูปประเทศ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังต่อ ว่าเขาทำยังไงบ้าง พี่น้องจะต้องเข้าใจ เพราะฉะนั้นแล้ว ในขณะนี้ เวลานี้ อเมริกาถอนทหารจากอิรักแล้ว ซาอุดีอาระเบียเหมือนเดิม อัฟกานิสถานกำลังจะแก้ปัญหาอยู่ เหลืออยู่อย่างเดียวคืออิหร่านเท่านั้น ซึ่งเป็นหนามยอกอกอเมริกา พี่น้องไม่สังเกตเลยหรือว่า เขาทำไมถึงถอนทหารจากอิรัก ทั้งที่เขาก็รู้ว่า อิรัก ถอนทหารออกไปแล้วมันไม่สงบ ที่เขาต้องการทำเช่นนี้ เพราะเขาต้องการทิ้งตะวันออกกลาง ทำไมต้องทิ้งตะวันออกกลาง เพราะน้ำมันในตะวันออกกลาง อิรักและซาอุดีอาระเบียนั้น ถึงจุดที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Peak Oil Peak Oil หมายความว่า มันจะเริ่มลดน้อยลงๆๆ ไปเรื่อยๆ ประกอบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2551 ที่มีวิกฤตทางการเงินเกิดขึ้น 2008/2551 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาพังทลาย แล้วลามไปจนถึงเงินยูโรที่เริ่มพังทลาย ลามไปจนถึงประเทศกรีก ใกล้ล้มละลาย ไอร์แลนด์ใกล้ล้มละลาย อิตาลีใกล้ล้มละลาย เงินสกุลยูโรนั้นอ่อนแรงไม่ต่างจากเงินดอลลาร์ เขามีอยู่ตัวเดียวที่เขาจะสร้างได้ ก็คืออิหร่าน คือการสร้างสงครามกับอิหร่าน และขณะนี้การเดินทางไปเพื่อสร้างสงครามนั้น เดินทางไปไกลแล้ว อเมริกามองว่า ถ้าเขาเริ่มสงครามที่อิหร่านแล้ว 1. จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2. ถ้าเขาชนะเขาได้บ่อน้ำมันในอิหร่านอีก เอาล่ะพักสักครู่ แล้วย้ายมาที่กลุ่มประเทศอาเซียน แล้วเราจะเห็นชัดเจน (ขอแผนที่ครับ) พี่น้องตามผมมา อินเดียเป็นประเทศเกิดใหม่ ชนชั้นกลางอินเดียกำลังเกิดขึ้น อินโดนีเซียมีประชากรเกือบ 200 ล้านคน ชนชั้นกลางกำลังเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม มีประชากรเกือบร้อยล้าน ชนชั้นกลางในเวียดนามกำลังเกิดขึ้น ฟิลิปปินส์เปรียบเสมือนเป็นเมืองขึ้นอเมริกาอยู่แล้ว ถ้านับกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมด รวมไปจนถึงลาว เขมร พม่า บรูไน มาเลเซีย รวมไปแล้วเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ กำลังซื้อของกลุ่มประเทศอาเซียน คนมีประมาณ 500 กว่าล้านคน ใน 500 กว่าล้านคนนั้น ต้องมีชนชั้นกลางประมาณ 100 ล้านคน หยุดตรงนี้ก่อนพี่น้อง จำตรงนี้เอาไว้หน่อย แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมา ต่อไปที่แผนที่เอเชียใต้ นี่คือแผนที่ใหญ่ทางเอเชีย พี่น้องจะเห็นประเทศจีนอยู่ที่นี่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น กับเกาหลี ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะญี่ปุ่น กับเกาหลี อยู่ภายใต้อิทธิพลของอเมริกาอยู่แล้ว เหลือแต่ประเทศจีน เป็นเวลานานพอสมควรที่อเมริกามัวไปยุ่งกับสงคราม กับอัฟกานิสถาน สงครามในอิรัก ปัญหาทางตะวันออกกลาง จีนก็เลยเจริญเติบโตเอาๆๆ จนกระทั่งจีนเปลี่ยนตัวเองเป็นโรงงานอุตสาหกรรมโลก ก็คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลก ที่ผลิตได้ ผลิตในประเทศจีนหมด การเจริญเติบโตของจีนจากการที่เขาบริหารงานจากศูนย์รวมศูนย์กลาง ทำให้เศรษฐกิจจีนโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน ของจีนนั้นเจริญเติบโตต่ำที่สุด คือ 9 เปอร์เซ็นต์ หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้จีนก็เลยขยายอิทธิพลออกมาในพื้นภูมิภาคนี้ โดยผ่านทะเลจีนตอนใต้ เข้ามาสู่ทางกลุ่มประเทศอาเซียน จีนจะเป็นคนที่หนุนหลังพม่า ที่นี่ ตลอดเวลา สมัยที่พม่ายังไม่เปิดประเทศ สมัยที่พม่ายังจับออง ซาน ซู จี ขังอยู่ที่บ้าน จีนจะเป็นคนให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินทุกอย่าง เพราะจีนเองก็ต้องการจะมีอิทธิพลในอาเซียนเช่นกัน ติดอยู่ตรงที่เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในเรื่องของหมู่เกาะสแปรตลีย์ หมู่เกาะสแปรตลีย์จะอยู่แถวๆ นี้ เป็นหมู่เกาะซึ่งเวียดนามก็อ้างสิทธิ์ ฟิลิปปินส์ก็อ้างสิทธิ์ จีนก็อ้างสิทธิ์ ไต้หวันก็อ้างสิทธิ์ แม้กระทั่งมาเลเซียยังอ้างสิทธิ์เลย หมู่เกาะสแปรตลีย์นั้นเป็นหมู่เกาะที่มีน้ำมันอยู่เยอะมาก พี่น้องครับ ผมกำลังก้าวเข้าไปสู่จุดสำคัญจุดหนึ่ง ซึ่งกำลังชี้ให้เห็นว่า การเมืองเมืองไทยนั้นมันเป็นเรื่องของน้ำมันเสีย 70-80 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันตรงนี้จีนไม่ยอม จีนบอกหมู่เกาะนี้เป็นหมู่เกาะของเขา ก็มีการเกิดการปะทะกัน แต่ไม่ได้ถึงขั้นตาย แต่เผชิญหน้ากันตลอดเวลา อิทธิพลของจีน จีนก็ส่งเรือรบ จีนพัฒนาเรือรบ จีนกำลังเริ่มทำเรือบรรทุกเครื่องบิน จีนทำทุกอย่างเพื่อแสดงแสนยานุภาพของจีน เวียดนามก็เริ่มอึดอัดใจกับจีน เพราะเวียดนามมีความรู้สึกว่าจีนใหญ่เกินไปที่เวียดนามจะไปขวาง เพราะฉะนั้นแล้วเวียดนามก็เลยเปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาร่วมสังฆกรรมกับเวียดนาม อเมริกาก็เลยถือโอกาสเข้าไปเริ่มขายอาวุธให้เวียดนาม เริ่มสนับสนุนเวียดนาม และเริ่มให้กำลังใจเวียดนาม ด้วยการที่ นางฮิลลารี คลินตัน ไปเยือนเวียดนาม ที่กรุงฮานอย แล้วให้สัมภาษณ์ว่าทะเลจีนตอนใต้ เป็นทะเลสากล ใครจะไปใครจะมาก็ได้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ที่จะใช้ทะเลสากลเป็นทะเลของตัวเอง นั่นคือเป้าที่อเมริกาต้องการชนกับจีนเต็มตัว หลังจากนั้นแล้วในปี 2552 นางคลินตันใช้เวลา 9 ครั้งในปี 2552 เยือนประเทศอินโดนีเซีย เยือนประเทศไทย ยุครัฐบาลชุดอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในที่สุดตัดสินใจเข้าไปยุ่งกับพม่า ทั้งๆ ที่สมัยก่อนอเมริกามีนโยบายที่เลิกยุ่งกับพม่า บอยคอต ไม่สนใจ ตัดการทูต เริ่มเข้าไปยุ่งกับพม่า จนกระทั่งมีการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับพม่า ทั้งหมดนี้คือการที่อเมริกาประกาศอย่างชัดเจนว่า ตัวเองจะกลับมาที่เอเชีย-แปซิฟิก และจะอยู่ที่นี่อย่างถาวร และจะอยู่อย่างมั่นคง และจะมาร่วมกับหุ้นส่วนในประเทศนี้เพื่อทำการค้าขาย ถ้าแปลอย่างนักเลงคือ จะเข้ามาปล้นความมั่งคั่งพื้นภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน เพราะยุโรปพังทลายไปแล้ว อเมริกาก็พังทลายไปแล้ว เหลือแห่งเดียวเท่านั้นเองในโลกนี้ คือ พื้นภูมิภาคนี้เท่านั้นเองที่ยังคงความมั่งคั่ง คงความมั่งคั่งเพราะว่า ประชากรที่เป็นชนชั้นกลางกำลังเกิดขึ้น จีนประชากรชนชั้นกลางเกิดขึ้นเป็นร้อยล้านคน ประเทศไทยมีอยู่แล้ว เวียดนามกำลังเกิดขึ้น ฟิลิปปินส์กำลังเกิดขึ้น พม่าอีกหน่อยก็เกิดขึ้น อินเดียก็เริ่มมี อินโดนีเซียเพิ่งจะซื้อเครื่องบินโบอิ้งอเมริกา 100 กว่าลำ เป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท อเมริกาถึงรักอินโดนีเซียมาก ที่ผมต้องพูดเรื่องนี้เพราะผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า ทิศทางของการค้า ทิศทางของโลกมันจะไปอย่างไร แล้วเกี่ยวกับเมืองไทยได้อย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือ น้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันในอ่าวไทย หรือน้ำมันในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ทำไมประเทศไทยกับเขมรมาทะเลาะกันในเรื่องที่ๆ มัน ที่คนบางคนบอกว่า เป็นที่เท่าแมวดิ้นตาย ไม่คุ้มค่า ที่ต้องทะเลาะเพราะว่า ถ้าเราสูญเสียดินแดนบนดิน เมื่อลากเส้นตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เราจะเสียดินแดนบนทะเล ซึ่งควรเป็นของเราเศษ 3 ส่วน 4 เป็นของเขมร 1 ส่วน 4 จะกลายกลับกันว่าจะได้แค่ 1 ส่วน 4 และเขมรได้ 3 ส่วน 4 พี่น้องครับ รู้ไหมว่า ประเทศไทยให้สัมปทานน้ำมันกับบริษัทฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทอเมริกัน ยูโนแคล ซึ่งตอนหลังถูกบริษัท เชฟรอน ซื้อไป ให้สัมปทานตั้งไม่รู้กี่หลุมในอ่าวไทย และแถบนี้ พี่น้องรู้ไหมว่า ค่าสัมปทานที่เราได้รับจากเขา หรือที่เราเรียกว่า ค่าภาคหลวงนั้น เมื่อเทียบกับค่าภาคหลวง ค่าสัมปทานที่ประเทศอื่นเขาได้จากบริษัทน้ำมันที่ไปได้สัมปทานนั้น ต่ำมากๆ คือ พูดง่ายๆ ว่า เราโง่ และเราถูกฝรั่งหลอก ขณะเดียวกัน นักการเมืองเรา และข้าราชการเราสมรู้ร่วมคิดกับฝรั่งขายชาติ ขายบ้าน ขายเมือง ให้ฝรั่งเสียค่าสัมปทานน้อยลง พี่น้องครับ เทคโนโลยีดาวเทียมทุกวันนี้ ที่พี่น้องเห็นในหนัง ที่มันย่อคนลงมาจากพื้นดิน สามารถดึงออกมาให้เห็นขึ้นมาในจอนั้น ที่เห็นในหนังมันล้าสมัยนะ เทคโนโลยีดาวเทียมของต่างชาติ ทันสมัยมาก ถึงกับมีดาวเทียมเพื่อตรวจสอบทรัพยากรธรรมชาติ เขาสามารถใช้ดาวเทียมดูไหล่ทวีป ใช้การค้นคว้า ฝรั่งพวกนี้ เชฟรอนพวกนี้ เขาจะมีบ่อแท่นขุดเจาะน้ำมันหลายจุดในอ่าวไทย คนพวกนี้จะมีประดาน้ำ เขาจะลงไปดู และเขาจะดูจุดนู้นจุดนี้ เขาจะรู้ว่าในอ่าวไทยยังมีน้ำมันอีกเท่าไร และต้องมีน้ำมันอีกมากมายมหาศาล เพราะถ้าไม่มีมหาศาล เขาจะไม่มีวันที่จะมาใช้วิธีการเล่นการเมืองในเมืองไทย เพื่อล้มสถาบันกษัตริย์ของเราครับ พี่น้อง นี่คือจุดสำคัญที่ผมต้องการพูด เรามาดูทะเลจีนใต้นิดหนึ่ง พี่น้องครับ นี่คือทะเลจีนใต้ South China Sea อเมริกากับอินโดนีเซีย เรียบร้อยไปแล้ว อินโดนีเซียไม่ชอบประเทศจีน บรูไนตัดทิ้งไป อินโดนีเซียขณะนี้กลายเป็นดวงตาขวัญใจของอเมริกา เพราะข้อที่ 1 ชนชั้นกลางกำลังโต จากประชากร 290 ล้านคน เขาต้องมีชนชั้นกลางหลายสิบล้านคน สำหรับบรรษัทต่างๆ ในประเทศอเมริกานั้นตาลุกโพลง ว่าอินโอนีเชียคือแหล่งซึ่งทุนสามารถเข้าไปได้ และกอบโกยความมั่งคั่งกลับไป แล้วอินโดฯ ยังมีบ่อน้ำมัน ตรงนี้คือปัญหาทะเลจีนตอนใต้ เป็นปัญหาที่อเมริกาจะต้องเข้ามาแทรกแซง เพื่อให้เวียดนามมีสิทธิ์ในทรัพยากรทะเลจีนตอนใต้ หรืออย่างน้อยที่สุดไม่ให้ตกเป็นของจีนเจ้าเดียว แล้วอเมริกาจะได้ไปขอแบ่งส่วนแบ่งประโยชน์จากเวียดนาม ในแง่ของการร่วมลงทุนเพื่อเอาพลังงานออกมา พม่า อเมริกาเริ่มเข้าไปแล้ว มาเลเซีย ขณะนี้อเมริกากำลังสนับสนุนอันวาร์ อิบราฮิม อย่างเต็มที่ เพราะอันวาร์ อิบราฮิม เป็นคนที่ยืนอยู่ฝั่งตะวันตก พี่น้องพันธมิตรฯ และท่านผู้ชม สำหรับหลายท่านที่ยังจำเหตุการณ์ 2540 ไม่ได้ ผมจะเล่าให้ฟัง ปีนั้นคือปี 1997 2540 ปีนั้นเป็นปีล่มสลายทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซียล่มสลาย ประเทศไทยล่มสลายก่อนอินโดนีเซีย อาร์เจนตินา ชิลี มีมาเลเซียประเทศเดียวไม่ล่มสลาย เหตุผลเพราะว่ามาเลเซียสั่งปิดประเทศ ท่านมหาเธร์บอกว่า วันนี้ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินริงกิต ท่านให้เวลาคนถือเงินริงกิตที่ถืออยู่นอกประเทศ เอาเงินริงกิตมาขายคืนรัฐบาลกลางมาเลเซีย ภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าพ้น 24 ชั่วโมงแล้วไม่รับซื้อ เท่ากับปิดประเทศ ผมยังจำได้วันนั้น ซีเอ็นเอ็นออกข่าวด่ามาเลเซีย วอลสตรีท ลงบทความด่า หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของคุณสุทธิชัย หยุ่น ลงบทความด่ามาเลเซีย ไฟแนนเชียลไทมส์ของอังกฤษด่ามาเลเซีย พี่น้องพันธมิตรฯ และท่านผู้ชม มีแต่ผู้จัดการของพวกเราที่ชมมาเลเซียว่าทำถูกต้องแล้วที่ต้องปกป้องตัวเราเองก่อน ไปเปิดประเทศให้มันเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำได้อย่างไร แล้วคนที่เข้ามาปู้ยี่ปู้ยำก็คือ จอร์จ โซรอส ซึ่งนายจอร์จ โซรอส คือตัวละครอีกตัวหนึ่งที่มีเจตนามุ่งมั่นที่จะล้มสถาบันกษัตริย์เช่นกัน เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง นี่โหมโรงเท่านั้นเอง ตอนแรกนี่แค่โหมโรง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า ในขณะนี้ถ้าอันวาร์ อิบราฮิม มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง อเมริกาจะมีความสุข เวียดนามต้องพึ่งอเมริกา เพราะว่าต้องใช้อเมริกามาคานอำนาจจีน เขมร ไม่มีความหมาย เพราะเขมรนี่เป็นลูกไล่ของเวียดนามอยู่แล้ว ประเทศลาวเล็กจนเกินไป ไม่มีความสำคัญ ไม่มีแหล่งพลังงานนอกจากแหล่งพลังงานน้ำ ในทางเขื่อน พม่า อเมริกาเข้าไปแล้ว เหลือประเทศไทย เหลือแค่ประเทศไทย ที่อเมริกาต้องเข้ามายึดให้เบ็ดเสร็จ คำว่า ยึดคือยึดทางเศรษฐกิจ ยึดทางนโยบาย พี่น้องครับ ภาพรวมของทั้งหมด จีนยังเป็นอะไรบางอย่างที่เป็นหนามยอกอกอเมริกาอยู่ อเมริกาไม่ต้องการคบจีนอย่างเท่าเทียมกัน อเมริกาต้องการมีอำนาจเหนือจีน แต่จีนไม่ยอม เพราะจีนเขาถือว่า นี่คือขอบขัณฑสีมาของเขา ที่เขามีอิทธิพล อเมริกาจับมืออินเดียเรียบร้อยแล้ว จีนจับมือปากีสถาน วันนี้ อเมริกาเริ่มแทรกเข้าไปในปากีสถาน เพื่อแย่งปากีสถานออกจากจีน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเขาได้อินเดีย เขาได้ปากีสถาน ได้เวียดนาม ได้เขมร ได้ญี่ปุ่น เกาหลี ได้มาเลเซีย ได้อินโดนีเซีย เขาได้ไทย เท่ากับเขาปิดล้อมจีนหมดเลย พี่น้องเห็นหรือยัง เขาจะปิดล้อมจีนด้วยการเขาได้อินเดีย บังกลาเทศไม่มีความหมาย เขาได้พม่า เขาได้ไทย เขาได้เวียดนาม ซึ่งได้เขมรเป็นของแถม เขาได้มาเลเซีย และเขาได้อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นเป็นของเขา เกาหลีใต้เป็นของเขา โชคยังดีที่ไต้หวัน ที่นาย หม่า อิง จิ่ว พรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งมีนโยบายจะปรองดองกับจีนได้รับเลือกกลับเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ถ้าไม่เช่นนั้น เป็นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งต้องการจะแยกไต้หวันเป็นเอกราชจากจีน อเมริกาก็จะยิ้มและเข้ามาแทรกแซงสร้างความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน พี่น้องเห็นภาพใช่ไหม เดี๋ยวเราพักกันซักครู่หนึ่ง แล้วมาตอนที่ 2 และพี่น้องจะเริ่มเข้าใจอะไรอีกเยอะเลย เดี๋ยวพบกันครับ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มกราคม 2555, 12:01:56 เรากลับมาช่วงที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมาก แต่ยังไม่สำคัญที่สุดของเรื่องราวต่างๆ ที่ผมต้องการชี้ให้เห็น ก่อนที่ผมเข้ารายละเอียด ท่านผู้ชมฟังผมซักนิด พวกเราจะโดนอิทธิพลจากทางตะวันตกเข้ามาครอบงำในเรื่องค่านิยมมากมาย หลายๆ เรื่องในค่านิยมที่พวกเราถูกครอบงำมีอย่างเช่น เขาบอกว่ามีความเป็นสากล เช่น รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน ทางสากล ซึ่งวงเล็บหมายถึง สหรัฐอเมริกา และทางยุโรปนั้น ไม่ได้สนใจ จะโกงให้ตายไม่เป็นไร จะเอาเงินยัด กกต. เพื่อให้ กกต.หลับตาข้างหนึ่งเขาก็ไม่สนใจ ขอให้มี ส.ส.เข้ามาละกัน ขอให้มีการยกมือในสภา เมื่อยกมือในสภาแล้ว จะปล้นชาติ ปล้นบ้าน ปล้นเมือง จะเอา ปตท. ไปเป็นของเอกชน หรือจะเอาแปรรูปนู้น แปรรูปนี้ ฝรั่งก็ไม่สนใจ กลับดีซะอีก เพราะจะได้เข้าทางเขา ด้วยเหตุนี้ ฝรั่ง เมื่อผมพูดถึงฝรั่ง ผมหมายถึงประเทศทางตะวันตก ทั้งอเมริกาและยุโรป ก็จะมีชุดภาษาของเขา ชุดความคิด เพราะว่า 1 ต้องมีการเลือกตั้ง ส่วนจะเลือกแบบไหน โกงยังไง เรื่องของคุณ
ชุดภาษาที่ 2 คือสิทธิมนุษยชน ก็คำว่า สิทธิมนุษยชนของเขา ขึ้นอยู่กับเขาจะเลือกสิทธิมนุษยชนประเภทใด ประเทศที่เขาต้องการล้มล้าง เขาก็จับผิดประเทศนั้นเรื่องสิทธิมนุษยชนของประเทศนั้น ที่ทำร้ายประชาชน เหมือนเช่นประเทศไทย พวกกลุ่มเสื้อแดงที่ถูกคนชุดดำยิง เขาก็บอกว่า เราละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ครั้งหนึ่งที่เราปราบปรามยาเสพติดในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนถูกฆ่าตัดตอน 2 พันกว่าคน วันนี้ เขาไม่พูดถึง เพราะไม่ได้ให้ประโยชน์กับเขา แต่ถ้าเอาเรื่องทหารไปยิงเสื้อแดง ให้ประโยชน์แก่เขา เขาจะได้ล้มสถาบันทหารง่ายๆ และสถาบันทหารก็ล้มง่ายด้วย เพราะทหารชั้นผู้ใหญ่ยุคนี้ เห็นแก่ได้ ไม่ได้เห็นแก่ลูกน้องเลยแม้แต่นิดเดียว ชุดความคิดชุดที่ 3 คือความโปร่งใส เขาจะเน้นความโปร่งใสธรรมาภิบาล สมัยปี 2540 ตอนที่เศรษฐกิจล่มสลาย ฝรั่งหัวทองมาด่าพวกเรา ว่าพวกเราเป็น crony capitalism เขาเรียกว่าเป็นนายทุนจอมตอแหล กลับdลอก หน้าไหว้หลังหลอก หลายมาตรฐาน สมัยนั้น เขาออกกฎ เขาประกาศเลยว่า ห้ามไม่ให้รัฐบาลไทย ห้ามไม่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้ามาช่วยสถาบันการเงิน ไฟแนนซ์เอกชน ไม่ให้เข้ามา เพราะเขาบอกว่า ผิดกฎ ไม่ถูกต้อง แต่มาปี 2551 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนที่แบงก์อเมริกาล่ม นายจอร์จ บุช นายบารัก โอบามา อนุมัติเงินจากรัฐบาลไปสนับสนุนแบงก์อเมริกา ไปสนับสนุนแบงก์โน้นแบงก์นี้ สำหรับเขาแล้วทุนนิยมของเขาถ้าเขาทำนั้นโปร่งใส สะอาด แต่ถ้าคนอื่นทำนั้น 2 มาตรฐาน เพราะฉะนั้นประเทศพวกนี้เป็นประเทศที่ดีแต่พูด เป็นประเทศปากเสีย เป็นประเทศโกหกหลอกลวง ทีนี้เมื่อเขาทำอย่างนี้มันหมดยุคของการใช้ฉันทมติกรุงวอชิงตัน แล้วตอนนั้น เพราะยุคนั้นใช้ 3 ขา คือ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และดับเบิ้ลยูทีโอ ตอนนี้บริษัทของเขาเริ่มใหญ่โตขึ้นมา พี่น้องเคยคิดหรือเปล่าว่า บริษัทแอปเปิล ยอดขายบริษัทแอปเปิลยังมากกว่างบประมาณประเทศไทยเกือบ 10 เท่า เงินสดที่แอปเปิลมีอยู่ในมือ ยังมากกว่าเงินสดที่ประเทศไทยมี เพราะฉะนั้นบริษัทอย่างแอปเปิลมีเยอะ กลายเป็นว่าวันนี้การเมืองทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองทางอเมริกานั้น ไม่ใช่การเมืองเพื่อประชาชนแล้ว คนที่เป็นเจ้าของพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต คือนายทุนทั้งสิ้น ใครเป็นคนเปิดเสรีโลกเรื่องทางการเงิน ถ้าไม่ใช่ นายบิล คลินตัน สามีนางฮิลลารี คลินตัน แล้วผลพวงของการเปิดเสรีครั้งนั้นทำให้ในที่สุด 10 กว่าปีให้หลัง ทำให้อเมริกาและโลกต้องพังทลายเป็นเงินถึงหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากความโลภของการเปิดเสรี เพราะฉะนั้นแล้ว วอลล์สตรีท สถาบันการเงินคือตัวหนุนหลังพรรคเดโมแครต รีพับลิกัน ตัวหนุนหลังคือบริษัทน้ำมัน นายจอร์จ บุช ธุรกิจครอบครัวเกี่ยวกับน้ำมันมานานแล้ว นายดิ๊ก เชนีย์ อดีตรองประธานาธิบดีนายจอร์จ บุช คือใคร คืออดีตประธานบริษัท ฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งฮัลลิเบอร์ตันวันนี้มีธุรกิจอยู่ในเมืองไทย มีธุรกิจอยู่ในเมืองแขก ที่ใดที่มีน้ำมัน ฮัลลิเบอร์ตันมีหมด เพราะฉะนั้นแล้ว ริพับลิกันคือบริษัทน้ำมัน เดโมแครตคือ วอลล์สตรีท ซึ่งระหว่าง 2 กลุ่มนี้ น้ำมันกับวอลล์สตรีท ใครเลวกว่ากันใครชั่วกว่ากันนี้คงต้องวัดด้วยภาพถ่าย เพราะว่าเลวพอๆ กัน แต่ในที่สุดแล้วบริษัทน้ำมันกับวอลล์สตรีท นอนเตียงเดียวกัน เพราะเป็นเงินทั้งสิ้น บริษัทน้ำมันต้องการทุนจากวอลล์สตรีท หรือวอลล์สตรีทต้องการบริษัทน้ำมันเข้ามากู้หนี้ยืมสิน จ่ายเงิน จ่ายดอกเบี้ย ท่านผู้ชม พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากกลุ่มบริษัทเหล่านี้แล้วเขายังมีบริษัทอีกเยอะแยะ บริษัทการเงิน เช่น โกลด์แมน แซคส์, เบคเทล คือบริษัทที่ทำสงครามในโลกนี้ ขายอาวุธสงคราม หลายบริษัท มอนซานโต บริษัทที่เอาพืช GMO ออกไปกระจายขายทั่วโลก บริษัทยาอย่างเช่น ไฟเซอร์ เมอร์ค ชาร์ป แอนด์ โดห์ม บริษัทพวกนี้ใหญ่มาก ใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่า เพราะฉะนั้นอำนาจ อิทธิพลเขามี บริษัทน้ำมัน เอ็กซอน บริษัทน้ำมันเชฟรอน คนพวกนี้คือกลุ่มคนชุดใหม่ที่กำลังพยายามจะครองโลก ด้วยการเอาทุนนั้นรุกเข้าไปในประเทศ เข้าไปสู่พลังงาน เข้าไปเปิดเสรี เข้าไปทำธุรกิจอันโน้น ทำธุรกิจอันนี้ แล้วดูดเอาความมั่งคั่งกลับไปที่ประเทศของตัวเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว การที่นายบารัก โอบามา บอกว่าวันนี้เอเชียแปซิฟิก คือศูนย์กลางของโลก เขาพูดไม่ผิด เพราะทั่วโลกเจ๊งหมดแล้ว เหลือเฉพาะเอเชียแปซิฟิกเท่านั้น จีนก็เลยเป็นก้างขวางคอของเขา วิธีการที่พวกนี้เขาจะรุกคืบเข้าไปในประเทศนั้นเขามีหลายวิธี ในอเมริกานั้นมันจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน อเมริกานั้นชอบมีสำนัก สถาบัน ที่เขาเรียกว่า Think Tank เหมือนทีดีอาร์ไอของเมืองไทย จริงๆ ทีดีอาร์ไอเมืองไทยก็เลียนแบบอเมริกามาไม่ผิดเลย Think Tank ยังไงบ้าง เขามี Brooking Institute พวกนี้คือพวกกำหนดนโยบาย นั่งคิด พวกนี้เอาเงินที่ไหน ก็พวกบริษัทต่างๆ ที่ผมเอ่ยชื่อนี่เป็นคนให้ทุน พอให้ทุนมาพวกนี้ก็มาช่วยคิด จะทำยังไงอเมริกาถึงจะเป็นเจ้าโลก ทำยังไงบริษัทถึงจะรุกเข้าประเทศนั้นได้ ทำยังไงถึงเปิดนั่นได้ นี่คือ Think Tank หนึ่งในนั้นคือ Brooking Institute หลายอัน American Enterprises นั่นคือองค์กรของเขา เหมือนกับสมาคมของเขา หรือเหมือนกับองค์กรภาคเอกชนของเขา แต่ว่าองค์กรภาคเอกชนของเขาได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทต่างๆ ที่ร่ำรวยอย่างมหาศาล นอกจากนั้นแล้วพวกนี้ก็ยังมีอันหนึ่งที่เขาเรียกว่า CFA ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก Council of Foreign Affair คือตัวนี้ เดี๋ยวผมจะอธิบายว่าบริษัทนี้คืออะไร พวกนี้ที่ผมเอ่ยชื่อนี่คือพวกที่นั่งคิด เมื่อนั่งคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็มีพวก take action พวก take action คือ 1. ต้องฝึกอบรม นอกจากฝึกอบรมแล้วยังต้องให้เงินสนับสนุนด้วย มันก็จะมีอย่างเช่น องค์กรของนายจอร์จ โซรอส ซึ่งมันตั้งองค์กรชื่อว่า Open Society :สังคมเปิด มันเอาเงินของมันใส่เข้าไป นายจอร์จ โซรอส นี่เป็นส่วนหนึ่งของการที่เอาเงินสนับสนุนเพื่อต่อต้านทหารพม่า เผด็จการทหารพม่า คนพม่าลี้ภัยนั้นจะได้เงินสนับสนุนจากนายจอร์จ โซรอส Open Society แล้วก็สร้างหน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่ง เขาเรียกว่า NED ที่เขาเรียกว่า National Endowment for Democracy National Endowment for Democracy นั้นเป็นองค์กรที่รัฐสภาอเมริกาให้การสนับสนุน ให้เงินให้ทองมา มีงบประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทุกปี 3,000 กว่าล้านบาท ที่เขาให้องค์กรนี้ องค์กรนี้มีหน้าที่อะไร องค์กรนี้มีหน้าที่ทำตามชุดภาษาสากลที่เขาคิด ก็คือว่า ส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ และทุกประเทศที่มีการล้มล้างรัฐบาล แล้วเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นยูเครน ไม่ว่าจะเป็นเบลารุส ทางรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ ล่าสุด ตูนิเซีย ไม่ว่ากัดดาฟี ลิเบีย NED มีส่วนเกี่ยวข้องในการฝึกอบรมและจ่ายเงินจ่ายทอง แล้วนอกจากนั้นยังมีมูลนิธิอีก 2 มูลนิธิที่เกี่ยวข้อง มูลนิธิหนึ่งชื่อ ร็อกกี้ เฟลเลอร์ อีกมูลนิธิหนึ่งชื่อมูลนิธิฟอร์ด องค์กรพวกนี้เป็นองค์กรหาทุน ฝึกอบรม แล้วในที่สุดก็จะเป็นองค์กรที่เขาเรียกว่าองค์กรปฏิบัติการ NED ก็อยู่ในองค์กรปฏิบัติการด้วย แล้วก็มีองค์กรๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลอเมริกัน เรียกว่า movement.org ก็คือว่าถ้าคุณจะเคลื่อนไหวในประเทศไหน คุณไปติดต่อกับพวกนี้ได้ คนพวกนี้เขาจะมีอีกส่วนหนึ่ง ก็คือส่วนที่ให้กำลังใจ สนับสนุน คอยตีปี๊บ ร้องป่าว เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล เขาเรียกว่า Amnesty International มีหน้าที่อย่างเดียว แถลงข่าว ว่าประเทศจีนนั้นละเมิดสิทธิมนุษยชน เราไม่เห็นด้วย เราเรียกร้องให้คนโน้นคนนี้ลุกขึ้นมาต่อสู้ เราเรียกร้องให้รัฐบาลจีนต้องปล่อยตัวคนโน้นคนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องภายในรัฐบาลจีน อีกองค์กรหนึ่ง เขาเรียกว่าองค์กร นอกจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลแล้ว เขามี Human Rights Watch คือองค์กรพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชน ฟังแล้วดูสวยงามมาก แต่พี่น้องครับ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือของตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา ในการใช้องค์กรเหล่านี้ เพื่อมาแทรกแซงตามประเทศต่างๆ โดยใช้วิธีการแทรกแซงแบบเนียน หลายๆ องค์กรในอเมริกาก็จะอยู่เบื้องหลัง หลายองค์กรเอ็นจีโอในเมืองไทย หลายอย่าง เดี๋ยวผมจะมาตอนสุดท้ายแล้วค่อยเล่าให้ฟัง เรามาดูแผนผังก่อน นี่คือ ยกตัวอย่าง นี่ผมยกเฉพาะสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ CFR : Council on Foreign Relation เขาเรียกว่าสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd476026_643523_6108387_9136802photo.jpg) พี่น้อง สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนี้มันน่าจะเป็นสภาของประชาชน ใช่มั้ย ควรจะมีประชาชนชาวอเมริกา ควรจะมีประชาชนชาวรัสเซีย ควรจะมีนักวิชาการทางประเทศโน้น ประเทศนี้ เข้ามาร่วม แต่ไม่ใช่ สมาชิกที่มีบทบาทสูงที่สุดในสภานี้ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน เช่น โกลด์แมน แซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์ ซิตี้กรุ๊ป หรือกลุ่มพลังงาน เช่น เชฟรอน เอ็กซอน หรือกลุ่มเทคโนโลยี เช่น เดลล์ คอมพิวเตอร์ ไอบีเอ็ม หรือกลุ่มอาหารและยา เช่น มอนซานโต้ ไฟเซอร์ เมิร์ก ชาร์ป แอนด์ โดห์ม หรือกลุ่มอาวุธ ขายอาวุธสงคราม พี่น้องครับ ถ้าพูดตามประสาชาวบ้าน ว่า สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขอประทานโทษ พวกมึงไปเสือกอะไรในสภานี้ มึงมีหน้าที่ค้าขาย ไม่ต้องมายุ่ง เพราะฉะนั้น การที่คนพวกนี้ เข้าไปอยู่ในนี้ แสดงว่า ในนี้ถูกคนพวกนี้ครอบงำ และพวกนี้ เป็นพวกที่ร่างนโยบาย ดำเนินการตามความประสงค์ของกลุ่มทุนที่ผมชี้ให้ดูข้างบนนี้ ถูกไหมถูกพี่น้อง เอาละ เรามาดูตรงนี้ เงินตรงนี้ไปที่ไหน พวกนี้ เอาเงินใส่มานี้ สนับสนุนทางเงินเพื่อธุรกิจ เช่น สนับสนุนไปที่มูลนิธิต่างๆ เอ็นจีโอเมืองไทย เอ็นจีโอทั่วโลก ได้เงินจากคนพวกนี้ทั้งนั้น พวกเอ็นจีโอที่ออกมาเย้วๆ เรื่องนู้นเรื่องนี้ แต่ไม่เคยเย้วๆ ในเรื่องชาติบ้านเมือง เย้วๆ เพื่อฝรั่งทั้งนั้น บางเรื่องเย้วๆ ก็มีเหตุมีผล เช่น เย้วๆ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม พอยอมรับได้ แต่ไม่เคยเห็น เอ็นจีโอมาเย้วๆ ในเรื่องการล้มกษัตริย์เลย เพราะคนพวกนี้เป็นฝรั่งเต็มตัว เป็นคนไทยรับเงินฝรั่ง คนพวกนี้ ผ่านองค์กร เอ็นอีดี ที่ผมเล่าให้ฟัง ผ่านองค์กรนายจอร์จ โซรอส ผ่านองค์กรยูเสด คนพวกนี้ ได้เอ็นจีโอก็เอาเงินมาส่งต่อ ส่งมาที่ไหน ส่งมาที่กลุ่มชนต่างๆ เช่น ในเมืองไทยก็ส่งมาที่ซ้ายอกหัก เอ็นจีโอบางกลุ่ม งานเคลื่อนไหวต่างๆ งานประชุม งานสัมมนา งานทำลายสถาบัน แม้กระทั่งคณะนิติราษฎร์ คนบางคนในคณะนิติราษฎร์ รับเงินจากตรงนี้ ตรงนี้ เพื่อมาดำเนินความเคลื่อนไหว เพราะว่า ไอ้ตรงนี้ไง ไอ้ CFR ตรงนี้ ที่ผมเล่าให้ฟัง ที่มันพูดออกมา มันเขียนบทความออกมา พี่น้องที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังเมื่อกี้ มันเป็นคนเขียนบทความออกมาเอง มันบอกว่า พระมหากษัตริย์ไทย เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทางการเมือง ก็ในเมื่อมันเป็นความคิดของคนพวกนี้ เวลาคนพวกนี้ให้เงินต่อมาเรื่อย มาถึงตรงนี้ มันจะไม่ผ่องถ่ายความคิดตรงนี้ มาถึงคนพวกนี้หรือ มันคือสัตว์คอกเดียวกัน พี่น้องครับ เอาละ มาดูตรงนี้ ตรงนี้มันก็มาทางนี้ มาทางไหน พอมันมาตรงนี้ปั๊บ ทางด้านนี้ มันก็ดำเนินนโยบายเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ และทรัพยากร ส่วน CFR มันไปไหน มันก็ลงมาข้างล่างนี้ มันมีการสนับสนุนด้านงบประมาณ และที่สำคัญที่สุด ร่วมมือกับองค์กรสืบราชการลับของอเมริกา คือ ซีไอเอ ซีไอเอ สมัยก่อนนั้น หลังสงครามเย็นเลิกไปแล้ว ซีไอเอ เปลี่ยนตัวเองออกมาเป็นคนที่สืบข่าว สืบความลับทางธุรกิจให้กับองค์กรธุรกิจในอเมริกา แต่พอหลัง 11 กันยา ที่มีการระเบิดตึก ก็มีเสียงเรียกร้องให้ ซีไอเอ เพิ่มบทบาทมากขึ้น โดยที่รัฐสภาคองเกรสของอเมริกานั้น ได้อนุมัติให้เพิ่มบทบาทมากขึ้น คือเพิ่มบทบาทในการเข้าไปยุ่งเรื่องงานใต้ดินของแต่ละประเทศ ลอบสังหารผู้นำประเทศ ล้มล้างรัฐบาลได้ ทั้งหมดนี้ มาทางนี้ มาทางเอ็นจีโอ ขณะเดียวกัน ไอ้บริษัทนี้ ซึ่งสภานี้ซึ่งประกอบด้วยบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน บริษัทน้ำมัน บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ มันก็ให้มาทางนี้ ทางนี้ก็จ่ายเงินให้ทางนี้ เพื่อครอบงำทางการเมืองด้วยทุน พี่น้องรู้ไหม องค์กร NED - National Endowment for Democracy หรือที่ผมแปลเป็นภาษาไทยว่า องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตยนั้น ปีที่แล้วให้เงินผ่านเอ็นจีโอเมืองไทยมาเท่าไร เกือบล้านเหรียญสหรัฐฯ เกือบ 30 ล้านบาท และพี่น้องรู้ไหมว่า มีเว็บไซต์ เว็บไซต์หนึ่ง ที่ได้รับเงินจาก NED 70 หรือ 80 % ของเงินที่ใช้เว็บไซต์นี้ มาจากงบของ NED คืองบฝรั่ง เว็บไซต์นั้นชื่อ เว็บไซต์ประชาไท ในรูปที่เห็นนั้น ผู้หญิงคนนี้คือ ผู้อำนวยการเว็บไซต์นี้ ซึ่งถูกข้อหาหมิ่นเจ้าไปแล้ว แปลกมาก ไม่มีใครปิดเว็บไซต์นี้ได้ เว็บไซต์นี้เส้นใหญ่เหลือเกิน ทั้งที่เว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์สื่อกลางของพวกซ้ายล้มเจ้า พวกใต้ดินที่ต้องการล้มเจ้า แล้วรับเงินโดยตรงมาจาก NED หลักฐานมีหมด เพราะว่าองค์กรของอเมริกาเวลาให้เงินใคร ต้องลงโฆษณา ต้องแถลง เข้าไปเช็กได้ข่าวระบุชัด ให้เงิน ทางนี้ปฏิเสธว่า ถึงจะให้เงินก็ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจต่อรองว่าเรื่องข่าวไหนควรจะลงไม่ควรจะลง ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าคำพูดอย่างนี้ ผมไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ประชาไท จะเป็นเว็บไซต์ที่จาบจ้วงสถานบันกษัตริย์ หมิ่นสถาบันกษัตริย์มาตลอดเวลา ภาพที่ท่านเห็นคือเว็บไซต์ของ NED ระบุชัดเลยว่า Thailand ว่าให้เงินใครบ้าง มีอยู่ก้อนให้ไป 500,000 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 15 ล้านบาท เอาไปให้จัดสัมมนากับผู้นำท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจบทบาท ส.ส.มากขึ้น แล้ววันนี้ผู้นำท้องถิ่นที่ให้เงินจัดสัมมนาคือผู้นำอะไร ผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด พอเงินลงมาทางนี้ บริษัทล็อบบี้ยิสต์ รับเงินแล้วประชาสัมพันธ์ ใช้เงินก้อนนี้มามีอิทธิพลกับสื่อ เช่น CNN, The Economist เขียนเรื่องด่าประเทศไทยตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นของทักษิณ ชินวัตร เป็นของเสื้อแดงแล้วจะชม แต่พวกนี้หมดอำนาจเมื่อไหร่จะด่าประเทศไทยตลอดเวลา ถึงขั้นวิพาษ์วิจารณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างตรงไปตรงมา และเลวทรามต่ำช้าที่สุด The Economist CNN หลายๆ ข่าว เช่น นายแดน ริเวอร์ ซึ่งเคยอยู่เมืองไทย เป็นผู้สื่อข่าวเมืองไทย มีภรรยาเป็นคนเสื้อแดง เป็นการรายงานข่าวเข้าข้าง ไม่ตรงข้อเท็จจริง พอมาตรงนี้เงินพวกนี้ไปกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล กลุ่มซ้ายอกหัก ซึ่งมีนักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่ม เว็บไซต์ประชาไท งานใต้ดินเคลื่อนไหวล้มสถาบันกษัตริย์ อ้างเสรีภาพ จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ บ่อนทำลายให้ยกเลิกมาตรา 112 นี่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่ง มาถึงตรงนี้ เอาเงินมาสนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ เพื่อไทย รัฐบาล แก้รัฐธรรมนูญ ทำลายการตรวจสอบ ยึดอำนาจ ยึดศาล ยึดทหาร ซื้อทหาร ยึดการเมือง นักวิชาการ ส่งเสริมค่านิยมโลกและทุนไร้พรมแดน ใครบ้างที่ชอบพูดว่า เดี๋ยวนี้ประเทศไทยไร้พรมแดน ถ้าไม่ใช่คนอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่พูดตลอดเวลาว่า เดี๋ยวนี้ไร้พรมแดน แล้วชาญวิทย์คือใครถ้าไม่ใช่ 1 ใน 100 กว่าคนที่เซ็นชื่อร่วมในการแก้มาตรา 112 เริ่มชัดกันหรือยังตอนนี้ เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องเห็นได้ชัดว่า ภูมิคุ้มกันประเทศตอนนี้ ทำไมพี่น้อง ทำไมเขาจะต้องมาทำร้ายในหลวง หรือถ้าจะพูดอย่างภาษานักเลงก็คือว่า ในหลวงไปทำอะไรให้หนักกบาลพวกมึง ชีวิตพระองค์ท่านทั้งชีวิต อยู่กับประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน จนกระทั่งพระองค์ท่านชราภาพ ไม่สามารถจะออกไปเยี่ยมประชาชนได้เหมือนเดิม แทนที่จะซาบซึ้งถึงบุญคุณพ่อเรา กลับมาหาเรื่องท่าน ไอ้พวกนี้นิติราษฎร์นี่เลวทรามต่ำช้านี่ เขาไม่รู้หรอก ว่าคนบางคนในนิติราษฎร์มันรับเงินฝรั่งมา เพราะในหลวงเป็นจุดขวางคนพวกนี้ ทำไมในหลวงถึงขวาง ในหลวงท่านไม่ได้ขวาง ท่านไม่ได้ออกมา ไม่เอาฝรั่ง ท่านไม่ได้พูด แต่ท่านใช้ธรรมที่ท่านรู้ว่าประเทศไทยนั้นจะอยู่รอดได้ ก็ด้วยเพียงเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียงมันอยู่ไม่ได้ แล้วที่สำคัญกว่านั้น พี่น้องครับ พี่น้องพันธมิตรฯ และประชาชน ท่านผู้ชม สหประชาชาติยอมรับว่าเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง ตรงนี้กลับทำให้ไอ้พวกนี้ มันเกิดความกลัวขึ้นมาทันที มันกลัวตรงไหน มันกลัวตรงที่ว่า ถ้าประเทศไทยมีเศรษฐกิจพอเพียง แล้วประเทศไทยรอด ในขณะซึ่งประเทศเพื่อนบ้านมันไม่รอด มันจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมาเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง จะทำให้ไอ้พวกทุนบ้าทุนบอนี้จะมาสูบความมั่งคั่งจากประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้อีกต่อไป เห็นหรือยังพี่น้อง ด้วยเหตุนี้ บทความของ CFR : Council Foreing Relation มันถึงระบุชัดเจนไง บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นอุปสรรคในการปฏิรูปการเมือง ทำถามคือการเมืองของใคร สรุปก็คือการเมืองของทุนนิยมสามานย์ ไอ้พวกนี้ ไอ้พวกลุ่มการเงินอเมริกา ไอ้พวกกลุ่มพลังงาน ไอ้พวกกลุ่มอาหาร ยา ไอ้พวกกลุ่มของเทคโนโลยี พวกกลุ่มค้าอาวุธ เพราะฉะนั้นแล้วทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นตัวละครตัวหนึ่งซึ่งเขาใช้ แล้วนักการเมืองทุกรัฐบาลก็เป็นตัวละครที่มันใช้ พี่น้องจำคำพูดที่ผมพูดได้มั้ย ว่ากรณีของเขาพระวิหาร MOU 2543 ผมถามมาตลอดว่า ผมไม่สามารถวิสัชชนาได้ ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ยกเลิก MOU 2543 คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก แต่ถ้ามองตรงนี้แล้วถึงเข้าใจ ก็คือว่าพวกนี้ รัฐบาลทุกรัฐบาล ตั้งแต่ทุกพรรคเลย รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ทำหน้าที่เอาของใส่สายพานแล้วลำเลียงไปเรื่อยๆ ถึงชุดที่พรรคประชาธิปัตย์หมดอำนาจแล้ว ไอ้เรื่องพรมแดน ไอ้เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่ง ณ วันนี้เขมรเข้ามายึดครองหมดแล้ว มันก็จะถูกลำเลียงมา แล้วในที่สุดมาถึงมือพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยก็จะได้ส่งมอบให้กับฮุน เซน การส่งมอบให้กับฮุน เซน ก็คือส่งมอบให้กับบริษัทพลังงานของต่างชาตินั่นเอง พี่น้องครับ พระเจ้าอยู่หัว เป็นอะไรบางอย่างที่พระองค์ท่านใช้เศรษฐกิจพอเพียง เพราะพระองค์ท่านศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นอะไรที่แก้โรคหมกมุ่นในกิเลสของทุนนิยมได้ นอกจากนั้นแล้ว พระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจ ล้มประเทศไทยล้มยาก ต้องล้มพระองค์ท่านก่อน เพราะพระองค์ท่านไม่ใช่ฮอสนี มูบารัก ของอียิปต์ หรือกัดดาฟี ของลิเบีย ไม่ใช่ เพราะพระองค์ท่านทรงทศพิธราชธรรม อียิปต์มีคนเกลียดมูบารักเยอะ กัดดาฟีมีชนอีกหลายเผ่าที่ไม่เห็นด้วยกับเผ่าของกัดดาฟี แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของพสกนิกรเทิดทูนท่าน รักท่านเหมือนพ่อ เหมือนแม่ นี่คืออุปสรรคของพวกนี้ อุปสรรคของการเข้ามายึดพลังงาน อุปสรรคของการเข้ามาเปิดประเทศ เพราะฉะนั้นแล้วมีวิธีเดียวที่พวกนี้จะเข้ามาแล้วปู้ยี่ปู้ยำประเทศได้ในอนาคต ดึงความมั่งคั่งออกไป แล้วทำให้ประเทศไทยเป็นพวกเขา 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะปิดล้อมประเทศจีน นั่นก็คือต้องทำลายฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุดที่อยู่ในจิตใจของประชาชนคนไทย นั่นก็คือต้องหาทางที่จะสั่นคลอนและทำให้สถาบันกษัตริย์ล่มสลาย และไม่มีอะไรดีเท่ากับการเริ่มด้วยมาตรา 112 เพราะพวกนี้หวังผลว่าถ้าล้มได้ก็จะล้ม ถ้าล้มไม่ได้ ถอย เพราะประชาชนต้านมาก อย่างน้อยก็เป็นการสร้างกระแสขึ้นมาแล้ว เพราะพวกนี้ หรือฝรั่ง บอกว่าเอาล่ะ ถ้าล้มไม่ได้ก็ขอให้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิด เหมือนอย่างสีหมุนี กษัตริย์ของเขมร ที่เป็นหุ่นเชิดของฮุน เซน พี่น้องเริ่มเห็นภาพชัดหรือยัง ว่าไอ้พวกนี้นิติราษฎร์นี่นะ มันก็คือสัตว์คอกเดียวกับไอ้พวกทุนนิยมสามานย์ ที่น่าสงสารมาก ไอ้พวกนี้ ของอเมริกาสมัยก่อนมันต้องสู้กับคอมมิวนิสต์ มันสู้ในกรณีไหน มันสู้เพื่อที่จะเข้าไปค้าขายในประเทศคอมมิวนิสต์ และมันก็ใช้ CFR ไปมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศไอ้กัน บังคับให้คอมมิวนิสต์เปิดประเทศ พอคอมมิวนิสต์อย่างจีนเปิดประตูตูมปังปั๊บ เอ้าตายล่ะ ปรากฏว่าจีนยังรวมศูนย์การปกครองอยู่ แล้วก็เร่งพัฒนาประเทศตัวเอง จนกระทั่งประเทศตัวเองมีเงินมากขึ้นมา ตกใจแล้ว ตอนนี้ต้องการปิดล้อมจีน เพราะฉะนั้นในกลุ่มประเทศอาเซียน คนพวกนี้ไม่เคยสนใจใคร สิงคโปร์เหรอ (เอาแผนที่อาเซียนขึ้นมา) สิงคโปร์คือลูกไล่ของฝรั่ง ผมเรียกว่าเป็นสุนัขรับใช้ตะวันตก 100 เปอร์เซ็นต์ ดูแต่ละเจ้าไปเลย สิงคโปร์นี่ผมยังหาจุดมันไม่เจอเลย ประเทศนี้ เผลอๆ ยังเล็กกว่าส้วมประเทศไทย สิงคโปร์เลยกลายเป็นนายหน้าค้าเงิน นายหน้าทุกอย่าง สิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศ เป็นพ่อค้าคนกลางอยู่ในมือฝรั่ง อินโดนีเซียวันนี้กำลังแฮปปี้กับการเจริญเติบโตชนชั้นกลาง ฝรั่งแฮปปี้อินโดนีเซียเพราะมีเงินมีทองเยอะ ซื้อเครื่องบินที 100 กว่าลำ มาเลเซียกำลังจะเปลี่ยนแปลง เวียดนามไม่มีทางเลือกต้องยืนข้างอเมริกาเพราะต้องการอเมริกาช่วย พม่ากำลังจะเปิดประเทศ เหลือประเทศไทยเท่านั้น ถ้าได้ประเทศไทยอีกประเทศ โดยที่มีนักการเมืองปกครอง เพราะว่าประเทศไทยพินาศฉิบหายทุกวันนี้จากนักการเมืองทั้งสิ้น ไม่เว้นหน้าไหน พรรคไหนก็ตาม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่ประโยชน์พรรค ไม่เคยเอาชาตินำหน้าเลยแม้แต่พรรคเดียว เอาแต่ผลประโยชน์ของพรรค ผลประโยชน์ตัวเอง และความมีอัตตาของตัวเองนำหน้า เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องจะเห็นได้ชัด ที่ผมพูดมานี้ ทักษิณคือตัวละครตัวหนึ่ง หมดทักษิณก็มีตัวละครอีกตัวขึ้นมาแทน เพราะอะไร เพราะสันดานนักการเมืองเหมือนกันหมด เล่นการเมืองเพื่อตัวเองไม่ได้เล่นการเมืองเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นที่น่าสนใจ พวกแกนนำเสื้อแดง เช่น นายสุนัย จุลพงศธร นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และ อ.ธเนศร์ เจริญเมือง อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 คนนี้เคยไปที่อเมริกาแล้วพบพวกนี้มาแล้วที่วอชิงตัน ดี.ซี. เหมือนกับไปรับนโยบาย แล้วไปคุยโม้เจอคนนู้นเจอคนนี้เรียบร้อยแล้ว จริงๆ ไปรับงานเขามา อาจจะไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำ พวกนี้สมัยก่อน ถ่ายรูปเสื้อแดงยืนอยู่ชิคาโก คนไทยที่ชิคาโกกลุ่มพวกนี้ก็โง่จริงๆ ไม่รู้เลยว่าเป็นเครื่องมือให้อเมริกาเข้ามาล้มพระเจ้าอยู่หัวตัวเอง มีหมอโง่ๆ บางคนอยู่ชิคาโก น่าเสียดาย แล้วมาโม้ว่า ตัวเองไปพบมาแล้วคนนู้นคนนี้ ภูมิใจว่าฝรั่งให้เกียรติ แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือเกมที่ฝรั่งวางไว้ พี่น้องครับ วันนี้ค่อยชัดเจนหรือยัง ความมั่งคั่งย่านนี้คือสิ่งที่ตะวันตกต้องการ ได้ประเทศไทยไปมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่มีพ่อหลวง ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งคนไทย นักการเมืองเข้ามากอบโกยกินหมด สามารถเซ็นสัญญาให้นักการเมืองยกสัมปทานน้ำมัน เปิดเสรี ให้คนไทยเป็นทาสผ่อนส่งมากขึ้น ขายของแพงขึ้น เอายาราคาแพงเข้ามา แล้วกลุ่มเอ็นจีโอที่ต่อต้านทุกวันนี้ ในที่สุดเมื่อได้รับทุนจากเขาก็ไม่มีทางต่อต้านเขาได้ เห็นหรือยังพี่น้องว่าประเทศไทย ณ วันนี้มันล่มสลายหมดแล้ว พี่น้องพักสักครู่แล้วเข้ามาตอนสุดท้ายของรายการวันนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มกราคม 2555, 12:04:14 กลับมาช่วงสุดท้าย ไม่เชิงสุดท้ายเดี๋ยวมีแถมสุดท้ายให้เป็นพิเศษ ท่านผู้ชม พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ผมเคยทำชาร์ทอันนี้ออกทีวี 4 ปีแล้ว เป็นความจริงหมดทุกอย่าง ผมไม่ใช่พ่อหมอ ผมไม่ใช่คนที่มาก่อนกาลเวลา แต่ผมเป็นคนที่มองอะไรแล้วเข้าใจ แล้วผมมองป่าทั้งป่าเห็นภาพ ทุกวันนี้ประเทศไทยคือ ความฝัน การจัดตั้ง ความหลง บวกเงิน บวกผลประโยชน์ สังคมไทยเป็นสังคมของความไม่มีปัญญา เป็นสังคมของคนโง่แล้วไม่พยายามเรียนรู้ ที่น่าเสียดาย เสียใจคือ สื่อมวลชนควรให้การศึกษากับสังคม ก็ไม่สนใจ จนกระทั่งวันนี้คนยังไม่รู้เลยว่า เราเริ่มเสียดินแดน พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ตอนนี้เขมรเข้ามายึดครองหมดแล้ว จนวันนี้คนยังจำไม่ได้เลยว่า ทำไมเราต้องเอาเรื่องไปให้ศาลโลกตัดสิน ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิ์ไม่ต้องไปศาลโลก แต่ที่เราไปศาลโลกตอนนั้นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์อยากไปศาลโลก เพราะถ้าเสียดินแดนจะได้อ้างว่า ตัวเองเสียเพราะศาลโลกไม่ได้เสียเพราะ MOU 2543 เล็กๆ น้อยๆ
(http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd86138_3159938_350510_6119215photo.jpg) เรามาดูตรงนี้ดีกว่า 2551 ผมทำชาร์ทอันนี้ขึ้นมา คุณอภิสิทธิ์ยังเป็นพรรคฝ่ายค้าน ยังกระดี้กระด้าเข้ามาหาพันธมิตรฯ ทุกวันนี้ วันนี้ชัดหรือยังว่าทำไมเขาต้องการล้มล้างพระเจ้าอยู่หัว เหตุผลอธิบายให้ฟังแล้วเมื่อกี้ หลายคนที่เป็นนักวิชาการ เข้ามาร่วมขบวนการเพราะมันเท่ห์ เพราะกินแต่ข้าวอย่างเดียวคิดอะไรไม่เป็น ไม่มีข้อมูลแท้จริง ไม่มีความจริงที่เข้าใจ และสำคัญที่สุด ไม่มีตรรกะ ไม่มีเหตุไม่มีผล เอาๆ ขอเท่ห์ด้วยคน เหมือนลูกชายนายสิทธิชัย หยุ่น พ่อเป็นถึงเจ้าของหนังสือพิมพ์ มีทั้งโทรทัศน์ เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ ยังขอเท่ห์เพราะตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ นักเขียนรุ่นใหม่ แต่ไม่เข้าใจนัยที่เกิดขึ้น มีกลุ่มซ้ายอกหัก ความโกรธ โกรธมานาน โกรธหลายเรื่อง โกรธตั้งแต่สมัย 6 ตุลาฯ อาจารย์บางคนเรียนจบด็อกเตอร์ โกรธเรื่อง 6 ตุลาฯ อาละวาด กระแนะกระแหนด่าแต่ผมอย่างเดียวไม่สนใจ ใช้ตรรกะก็ผิด องค์ความรู้ยังสู้สุรวิทชช์ วีรวรรณ นักเขียนมือทองของเรายังไม่ได้ พวกซ้ายอกหักทำอะไร 1.ทำงานใต้ดิน มีอะไรบ้าง ทำเว็บไซต์ บางเว็บไซต์รับเงินจากต่างประเทศ เหมือนที่ผมเล่าให้ฟัง เว็บไซต์ประชาไท ทำวิทยุชุมชน ทำใบปลิว ขึ้น Youtube มาจนกระทั่งถึงจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ หมู่บ้านเสื้อแดงริมชายแดน มีการขนคนเข้าไปเป็นรถบัสเข้าไปในเขมร เพื่อฝึกกองกำลังติดอาวุธ นักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่มเริ่มทำร้ายด้วยการเอาหนังสือที่ใส่ร้ายพระเจ้าอยู่หัวฯ The King Never Smiles ไปดึงอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นแนวร่วม ประเภทอยากดัง เฮ้าเลี่ยน ดึงเยาวชนไม่เอาสถาบัน เพราะเห็นว่า เยาวชนที่เกิดใหม่ในยุคนี้ เกิดไม่ทันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ออกไปเยี่ยมประชาชนตามภูมิภาคต่างๆ เสียสละพระวรกาย เจ็บไข้ได้ป่วย แต่เข้าไปแก้ปัญหาประชาชน ซึ่งรัฐบาลไม่เคยแก้ให้ เด็กพวกนี้ เพิ่งเกิดใหม่ เด็กพวกนี้เล่นไอแพด ไอโฟน เด็กพวกนี้ดู MV ไม่สนใจเรื่องอะไร พอบอกกษัตริย์ไม่มีประโยชน์ ก็บอกเอา ขอเอาด้วย เขียนบทความท้าทายกษัตริย์ เว็บไซต์จาบจ้วงสถาบัน นิตยสารอย่างฟ้าเดียวกัน ประชาไท ฟ้าเดียวกัน เจ้าของคือ หลานคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ทำทุกอย่าง กำจัดสถาบันองคมนตรี ลบความน่าเชื่อถือของสถาบัน นี่คือกระบวนการซึ่งอยู่ภายใต้งานของฝรั่ง ที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อกี้ ที่ผ่านองค์กรของเขา ที่ใช้ชุดภาษาที่สวยหรู ส่วนด้านงานใต้ดินนี้ ก็มีพวกซีไอเอเกี่ยวข้องด้วย ให้การสนับสนุน และที่ นปช. แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ โค่นล้มประธานองคมนตรี อุ้มชูระบอบทักษิณ ทำลายพันธมิตรฯ ใช้สื่อรัฐถล่ม นี่คือฝ่ายที่เดินงานตลอดเวลา เรามาดูฝ่ายการเมือง สมัยก่อนคือพลังประชาชน วันนี้เป็นเพื่อไทย ประชานิยมยึดมวลชน ยึดนิติบัญญัติแก้กฎหมาย ร่างรัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ยึดฝ่ายบริหาร รวบงบประมาณ งบประมาณแก้น้ำผ่านมาแล้ว 350,000 ล้าน คุณสมิทธ ธรรมสโรช ขอลาออกบอกว่า ออกงบประมาณมายังไม่รู้เลยมีงานอะไรบ้าง นี่คือการออกงบประมาณแบบต้องการโกงกิน และพี่น้องจำได้เปล่า วันที่น้ำท่วมวันแรก ก็พรรคเพื่อไทยนี่แหละบอก ว่าต้องใช้งบ 900,000 ล้าน คุกคามองค์กรอิสระ ติดสินบนแก้กฎหมาย ลดอำนาจศาล การลดอำนาจศาลนั้น พยายามที่จะผ่านมาทางนักวิชาการให้ออกมา จะให้ ครม.ตั้งศาลยังงี้ และให้รัฐสภารับรอง ไร้เดียงสา บัดซบ เลวทรามต่ำช้า โยกย้ายข้าราชการ ยึดกลไกรัฐ พยายามทำสถาบันให้เป็นสัญลักษณ์ และนิรโทษกรรม ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มทุน ขยายทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งและอำนาจ คอร์รัปชั่น แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยึด ปตท.ไป จับมือทุนต่างชาติ ผูกขาดรวบอำนาจทุนในประเทศ พี่น้องครับ สมัยที่ผมต่อสู้เรื่อง ปตท.หลายคนยังไม่ให้ความสนใจ วันนี้เห็นชัดหรือยัง ปตท.ปีหนึ่งกำไรเกือบ 2 แสนล้าน คำถามมีอยู่ว่า ไอ้เกือบ 2 แสนล้านนี่ มันเดิมทีเป็นของคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ทำไมจู่ๆ ต้องแปรรูปไปให้ฝรั่ง หรือต่างชาติ หรือนอมินีนักการเมือง กำไรไป 49 เปอร์เซ็นต์ ก็คือเกือบแสนล้าน มันอยู่ในกระเป๋าเรา ของประเทศไทย ของคนไทย ของส่วนร่วมอยู่แล้ว ทำไมต้องแบ่งไปให้เขา แล้วนี่ถ้าจะขาย ปตท.อีก ฝรั่งชอบสิ มันก็เข้าทางต่างชาติที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่าต้องการมายึดไง เห็นหรือยังพี่น้อง เพราะฉะนั้นพี่น้องดูผังนี่สิ ความโลภ ความโกรธ ผสมกัน ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ให้ได้ ถ้าตั้งเป็นระบอบสาธารณรัฐได้ ก็ตั้ง ถ้าตั้งไม่ได้ก็ลดพระราชอำนาจลงไป ให้กลายเป็นเหมือนกับสีหมุนีของเขมร นั่นคือแนวทาง ทฤษฎี รูปแบบ ที่เขากำลังเดินอยู่ พี่น้องครับ วันนี้ศึกสงครามเรามันไม่ใช่พรรคเพื่อไทยหรอก เพราะเราหมดพรรคเพื่อไทยไปเราก็จะมีพรรคอะไรก็ตามที่ขึ้นมา ขอประทานโทษพี่น้อง มันสันดานเดิม สันดานเดียวกัน ไม่เปลี่ยนหรอก เป็นเพียงแต่ฝ่ายหนึ่งปล้นกลางแดด ควงดาบ คาดยันต์ผ้าประเจียดแล้วบอก ไอ้เสือเอาวา ขอปล้น อีกฝ่ายหนึ่งคือปล้นเงียบ ทำไมเพิ่งมาโวยเรื่อง ปตท.ตอนนี้ล่ะ ทำไมสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจ ถึงไม่พยายามเอา ปตท.กลับมาเป็นของประเทศไทย มีวิธีเอากลับมาตั้งเยอะแยะ บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น ไม่สนใจ สนใจแต่พูดเพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ถูกต้อง ประเทศไทยจะอยู่ได้ จากนี้ไปด้วย 2 อย่างเท่านั้นเอง อย่างแรก เราต้องมีในหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทศพิธราชธรรม และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เราต้องปกป้องสถาบันกษัตริย์เยี่ยงชีวิต ถ้าจะต้องออกมาสู้แล้วต้องตายเพื่อในหลวง ต้องยอมที่จะตายกันทุกคน เพราะพระองค์ท่านเป็นมากกว่าคำว่า ในหลวง เพราะมีพระองค์ท่าน ฝรั่งถึงยึดประเทศไทยไม่ได้ ผมมีเวลาครั้งหนึ่ง ค้นหนังสือเอกสาร ผมไปเจอเอกสารเก่าชุดหนึ่ง รู้สึกจะเป็นปี 2542 สมัยนั้นคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์ท่านมีพระราชดำรัส กับพสกนิกร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์ท่านพูดบอกว่า พระองค์ท่านเล่าเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พระองค์ท่านเล่าเรื่องน้ำท่วมหัวหิน น้ำท่วมเพชรบุรี และพระองค์ท่านชี้ให้เห็นว่า ต้องปิดตรงนี้แก้ตรงนั้น น้ำถึงจะหายท่วม เจ้าหน้าที่บอกไม่มีงบประมาณไม่มีเงิน พระองค์ท่านเสียสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 32 ล้านบาท ทำเขื่อนขุดลอกคูคลองตรงนี้ และพระองค์ท่านก็บอก กันน้ำท่วมได้ พระองค์บอก เงิน 32 ล้านบาท กันความเสียหายได้เป็น พันๆ ล้านทุกปี และพระองค์ท่านก็บอกนี่แหละคือ เศรษฐกิจพอเพียง สำหรับผมแล้ว นัยพระองค์ท่าน คำว่า เศรษฐกิจพอเพียงคือว่า เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ถ้าเราทำงานให้ส่วนรวม ถึงจะเสียเงินแต่ถ้าส่วนรวมได้ ก็คุ้มในการเสีย พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำได้ไหม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยมีพระราชดำรัสครั้งหนึ่งว่า บางครั้งเราต้องยอมขาดทุน เพื่อจะมีกำไร ตราบใดที่กำไรอันนั้นเป็นของประชาชน แต่นักการเมืองมันไม่ยอมขาดทุน มันต้องการกำไรเข้ากระเป๋าตัวมันเอง ทุกหน้า ไม่ว่าจะเป็นอ้ายคนไหน อีคนไหนก็ตาม เหมือนกันหมดพี่น้อง การเมืองเมืองไทย ต้องมีความเป็นชาตินิยม ประเทศไทยต้องมีความเป็นชาตินิยม เราต้องรักชาติ รักชาติผิดตรงไหน มันเป็นผืนแผ่นดินที่เราอยู่ ชาติไทยมันดี คนไทยเจริญก้าวหน้า กินดีอยู่ดีมีความสุขสามัคคี มีความสงบ เพราะความรักชาติของเรา เราก็ต้องรักให้มากขึ้นกว่าเก่า เราต้องไม่รักให้น้อย เราต้องรักให้มากกว่าเก่าเยอะๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องพวกนี้ ถามว่า ในวิกฤตบ้านเมืองแบบนี้ เราจะอยู่ตัวรอดได้ไง เราต้องอยู่รอดด้วยการรักชาติให้มากขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงออก เมื่อเวลานั้นมาถึงต้องแสดงออก อย่าให้รีรอ ชาติไม่มีสี ประชาชนของชาติ เมื่อมีความสุขความเจริญก้าวหน้า ชาติเจริญ เราได้เปรียบทุกๆ ชาติ เพราะเรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเอาพระเจ้าอยู่หัวฯเราไปเปรียบกับกษัตริย์คนอื่นไม่ได้ จะไปเปรียบกับจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นไม่ได้ คนละรูปแบบ คนละเงื่อนไข เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องอยู่ประเทศไทยถึงจะรอด และพวกเราต้องรักชาติ ความรักชาติมันเกิดขึ้น ใครก็ตามที่จะเข้ามาประเทศ มารังแกประเทศไทยไม่ได้ การที่เราไม่พอใจอเมริกา ไมได้แปลว่าเราต้องเป็นศัตรูเขา ก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องไปเข้าข้างจีน 100% เราสามารถคบได้ทั้งจีนและอเมริกา ให้เท่าเทียมกันทั้ง 2 ชาติ ให้เขารู้ พี่น้องครับ สมัยรัชกาลที่ 5 ใครเป็นคนเดินเรื่องให้ชาติไทยไม่ต้องล่มสลาย ถ้าไม่ใช่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาวันนี้ เราให้นักการเมือง ซึ่งขี้ฉ้อ ขี้โกง เลวทรามต่ำช้าเป็นคนเดินนโยบายต่างประเทศ เพราะฉะนั้น ใครให้ประโยชน์เขา เขาก็พร้อมเปิดประตู ถ้าเขาบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอุปสรรค เขาก็แอบหลับตาข้างหนึ่ง และให้พวกนิติราษฎร์เดินหน้าต่อไป พอเห็นว่าจวนตัว โดนสังคมไทยทั้งสังคมต่อต้าน ตอนนี้ก็ปัดสวะแล้วว่าตัวเองไม่เกี่ยวนิติราษฎร์ เกี่ยวตั้งแต่ต้นพี่น้อง พรรคเพื่อไทยเกี่ยวตั้งแต่ต้น คนที่บอกไม่เกี่ยว รับรู้แต่ต้น ถ้าไม่เห็นด้วยแต่ต้น ทำไมไม่แสดงออกตั้งแต่ต้น ทำไมเพิ่งแสดงออกตอนหลัง หลังจากกระแสแรงแล้ว ก่อนหน้าประชุมหลายครั้ง ชุมนุมหลายครั้ง ออกแถลงการณ์หลายครั้งไม่ปราม พูดได้คำเดียวคือ พูดได้คำเดียวก็คือ เป็นสิทธิของนักวิชาการ พี่น้องครับ นิติราษฎร์ เบื้องหลังถูกผูกไว้ด้วยที่ปรึกษา ซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนพวกนี้วางแผนอยู่ข้างหลัง เจตนารมณ์เหมือนเดิม ยังไงต้องล้มกษัตริย์ให้ได้ น่าสนใจ คนพวกนี้ คือคนซึ่งสู้กับอเมริกาสมัยก่อน วันนี้กลับเป็นเครื่องมือให้อเมริกาใช้ เหตุผลเพราะคนพวกนี้ ไม่ได้หวังดีต่อชาติบ้านเมือง แต่เอาเรื่องพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นข้ออ้าง แล้วเที่ยวมาว่าผม ว่า ผมเอาพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเล่นการเมือง นี่ขนาดผมสู้แบบนี้ พวกคุณยังหมิ่นขนาดนี้ และถ้าผมเงียบ ไม่ต่อสู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว พวกคุณจะขนาดไหน พี่น้องครับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 77 รัฐ คือ รัฐทั้งหมด ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีสมัยจำเป็น และเพียงพอ เพื่ออะไรพี่น้อง รัฐธรรมนูญระบุว่า เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตย และความมั่นคงของรัฐ สถาบันกษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองประเทศ ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พี่น้องครับ ถ้าหากรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ขณะนี้มีคนจ้องจะทำลายล้มล้างกษัตริย์ ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยว แต่พฤติกรรมในอดีตพิสูจน์ชัดว่า พรรคเพื่อไทยเกี่ยวข้อง ผลประโยชน์ของชาติสูญเสีย เสียหาย จากที่ดิน ที่ถูกเขมรยึดครองไป ความมั่นคงของรัฐสั่นคลอนตั้งแต่วันที่น้ำท่วมวันแรกแล้ว แล้วแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้ประชาชนพินาศฉิบหายไปหมด เพราะฉะนั้น หน้าที่ทหารต้องออกมาทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ รักษาเอกราชอธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันมหากษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อย่ามาหาว่า ผมยุให้ทหารปฏิวัติ และว่างงานกันนักไปเที่ยวแจ้งความ ไอ้ ส.ว.สรรหา ที่เขาไม่สรรหาให้แล้วไม่มีอะไรทำ และทนายความพรรคเพื่อไทยที่ไปแจ้งความผม ไปแจ้งอีก ไปแจ้งเยอะๆ เลย พี่น้องครับ ประเทศไทยจะอยู่รอดได้ด้วยหลัก 2 ประการ ประการแรก เราต้องพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์เราจนสุดชีวิต ถึงแม้คนที่มีหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษา สาบานต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลบางคน ไปคบคิดกับอดีตทหารบอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ถ้าตัวเองไม่เดือดร้อน จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น คนพวกนี้น่าสังเวช เพราะฉะนั้นหน้าที่ในการพิทักษ์สถาบันกษัตริย์ ต้องเป็นหน้าที่พวกเรา เหมือนอย่างที่ผมพูดเมื่อปี 2551 ว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพวกเรา แล้วอย่ามาบอกว่าผมเอาพระมหากษัตริย์มาเล่นการเมือง เพราะสิ่งที่ผมพูดเมื่อปี 2551 ที่คุณด่าผม วันนี้เป็นความจริงทุกประการ พวกคุณอายบ้างหรือเปล่า เรื่องที่สอง เราต้องรักชาติ เราต้องนิยมชาติไทย เราต้องเชื่อมั่นในชาติไทย เราต้องเชื่อมั่นในคนไทย เราต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ได้ เมืองไทยต้องการ 3 ประการ นอกเหนือจากการมีพระมหากษัตริย์ และรักชาติแล้ว เมืองไทยต้องมีประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะประสิทธิภาพคือความมั่งคั่งของชาติบ้านเมือง ทุกคนจะงอมืองอเท้ารอรับแจกเงินจากรัฐไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน นี่คือความเป็นชาตินิยมของคนไทย เราต้องให้ความยุติธรรม ไม่ใช่ในเรื่องของหลักนิติรัฐอย่างเดียว ความยุติธรรมในการเข้าสู่ทุน พ่อค้าแม่ค้าที่ผัดก๋วยเตี๋ยว ผัดไท อยู่ริมถนนต้องมีสิทธิ์เข้าสู่ทุนในการกู้เงิน 50,000-100,000 บาทไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน เพื่อเอาเงินไปทำมาหากิน เราต้องให้คนที่เขาไม่งอมืองอเท้าและต้องการทำมาหากิน เขามีโอกาสในชีวิต ไม่ใช่เฉพาะนักการเมือง ญาตินักการเมือง หัวคะแนนนักการเมือง ซึ่งรอรับเงิน อันสุดท้าย เราต้องดูแลชาติบ้านเมืองด้วยความยั่งยืน เก็บรักษาป่าไม้ เก็บรักษาที่ดิน เก็บรักษาแหล่งน้ำ เก็บรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานใช้จ่ายต่อไป นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับวันนี้รายการกระบวนการล้มเจ้า จบเพียงแค่นี้ แต่ก่อนที่จะจบผมมีต่อนิดหนึ่ง ผมอยากพูดเรื่องนี้กับ คุณบรรหาร ศิลปอาชา และตระกูลศิลปอาชา พี่น้องชาวสุพรรณที่ดูรายการนี้อยู่ ช่วยให้คุณบรรหารดูนิดหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าคุณบรรหารเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อเพราะผมเจอด้วยตัวเองมาแล้ว คุณบรรหารคิดว่าโดนยิง 200 นัด คุณบรรหารตายไหม อาจจะไม่ตายเพราะเขายิงผิดเพราะคุณตัวเตี้ยเกินไป แต่ผมรอดมาได้เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขณะโดนยิงเผาขน และผมเชื่อมั่นว่าที่ผมรอดมาได้นั้นเพราะว่าผมไม่ได้ทรยศต่อชาติบ้านเมือง ใจผมมอบให้กับองค์ราชัน กายและชีวิต วิญญาณผมมอบให้ชาติไทย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างบนรู้ถึงปกป้องผม ผมเห็นไฟไหม้ที่สุพรรณ มังกรทอง ผมอยากจะฝากความคิดเห็นส่วนตัวให้คุณบรรหาร ศิลปอาชา และตระกูลศิลปอาชาทุกคน ผมว่าเป็นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลายคนบอกเป็นเรื่องความประมาท ผมบอกไม่ใช่ ประมาทอาจเป็นส่วนหนึ่ง บางครั้งอาจจะถึงเวลาที่คุณบรรหาร และตระกูลศิลปอาชาต้องทบทวนตัวเอง ว่าชีวิตตัวเองตั้งแต่เป็นนักการเมือง เคยเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งหรือเปล่า คุณอาจจะเคยแต่ผมไม่ทราบ ผมเพียงแต่ตั้งปุจฉาให้คุณไปคิด ตั้งแต่เริ่มแรกคุณสร้างมังกรทอง ปี 2550 ก็ถูกไฟไหม้ วันนี้ก็ถูกแล้วมีคนตาย ที่สำคัญคือกุฎิพระไม่มีเหลือ วัดพังทลาย ผมไม่รู้ แต่ผมรู้อยู่อย่างคุณบรรหารจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่ว่าอะไร คนเราไม่ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหนหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ผมไม่แน่ใจคุณบรรหารว่ากรรมกำลังตามตัวคุณและตระกูลคุณหรือเปล่า ผมเพียงแต่ตั้งคำถามให้คุณคิด มันยังไม่ช้าจนเกินไปที่คุณจะเริ่มเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งแล้วเสียสละจริงๆ เพื่อชาติบ้านเมือง คุณเป็นนักการเมืองเก่า คุณเคยเป็นแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี เวลาจัดตั้งรัฐบาลคุณมีความเห็นตลอดเวลา แต่เวลาพระเจ้าอยู่หัวโดนหมิ่น พระเจ้าอยู่หัวโดนเด็กเมื่อวานซืนเสนอให้ต้องสาบานตนต่อหน้ารัฐสภา ห้ามมีพระราชดำรัสโดยตรงกับประชาชน คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอ ในฐานะนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งตระกูลคุณมาพึ่งพระบรมโพธิสัมภารในประเทศไทย คุณไม่รู้สึกเลยหรอ แล้วในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยได้รับความเมตตาจากพระองค์ท่าน คุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ แต่ทีเรื่องการเมืองว่าคุณจะได้เข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ คุณมีความเชื่อมั่นว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่ให้คุณออกจากรัฐบาล คุณมีความรู้สึกหมด แต่เรื่องพ่อของแผ่นดิน คุณในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง คุณไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิดเดียวเชียวหรือ คุณกลับไปคิดดูให้ดีๆ ผมฝากความคิดที่สำคัญมากให้คุณไปคิด เชื่อผมคุณจะ 80 แล้ว อำนาจวาสนา เงินทองไม่มีความหมาย อีกไม่กี่ปีพวกเราก็ตายกันแล้วคุณบรรหาร ขอให้ไฟไหม้สุพรรณครั้งนี้ ไหม้วัดครั้งนี้ และคนตายครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่คาใจคุณอยู่ ถ้าคุณยังแก้ปมตรงนี้ไม่ได้ วันที่คุณต้องจากโลกนี้ไปคุณจะไม่มีความสุข ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมต้องลาไปก่อน พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงอีกนานกว่าผมจะได้ออกอีก ผมบอกแล้วว่าผมไม่พูดซ้ำพูดซากทุกวัน เพราะว่าผมพูดแล้วทุกเรื่อง พูดก่อนทุกคนพูด ทำนายก่อนทุกคนรู้แล้วทุกอย่างเป็นจริงหมด แต่วันนี้ต้องออกมาพูดเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องเข้าใจภาพรวมทั้งหมด ขอให้พวกเรามีความมั่นใจในตัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพวกเราต้องมีความพร้อมที่วันหนึ่งพวกเราอาจจะต้องออกมาพร้อมกันหมดเพื่อปกป้องประเทศไทย ขอบพระคุณครับ ลิงก์อ้างอิง http://landdestroyer.blogspot.com/2011/08/exposed-indy-newspaper-funded-by-us.html http://landdestroyer.blogspot.com/2011/08/confirmed-thailands-pro-democracy.html http://www.ned.org/where-we-work/asia/Thailand http://www.us-asean.org/us-thai-fta/ITC.pdf http://landdestroyer.blogspot.com/2011/06/corporate-funded-peoples-movement.html http://thanong.tripod.com/03072001.htm http://www.cfr.org/thailand/conversation-thaksin-shinawatra-prime-minister-thailand-rush-transcript-federal-news-service-inc/p11482 http://www.usasean.org/Aboutus/members.asp http://landdestroyer.blogspot.com/2011/02/flash-back-thailands-thaksin-and-us-fta.html http://landdestroyer.blogspot.com/2011/02/egypt-today-thailand-tomorrow_12.html http://www.thailandwto.org/Doc/Pub/PubCur/Current5_FTA_ThaiUs.pdf http://ttmp.trf.or.th/ttmp_may-aug45_1.doc หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Pete15 ที่ 28 มกราคม 2555, 12:54:44 กู (เพื่อน) อ่านจนเหนื่อย เช่นกัน ....... emo29:P: emo29:P: emo26:D emo26:D
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 มกราคม 2555, 14:35:44
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 มกราคม 2555, 18:57:54 นักวิเคราะห์ต่างชาติตีแผ่คำ “สนธิ” แฉทุนมะกันหนุนหลังแก๊งล้มเจ้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “สนธิ ลิ้มทองกุล” เจ้าของสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทบาทของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR), องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย (NED), องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID), ฮิวแมนไรต์ วอตช์ (HRW) องค์การนิรโทษกรรมสากล และหน่วยงานอื่นๆ ของสหรัฐฯ ที่เป็นตัวการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย สนธิ เปิดใจชี้แจงทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมา หลังจากนั้น บทสัมภาษณ์โดยละเอียดก็ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Manager.co.th พร้อมภาพกราฟิกแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนต่างชาติและพวกยุยงปลุกปั่นในไทยที่ทำงานร่วมกับพวกเขา บทวิเคราะห์ของ สนธิ นอกจากจะครอบคลุมที่มาของวิกฤตการเมืองไทยตลอด 6 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังพุ่งประเด็นไปที่อดีตผู้นำซึ่งเป็นตัวแทนของลอนดอนและวอลล์สตรีทอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ด้วย ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยตั้งแต่ปี 2001 จนกระทั่งถูกรัฐประหารเมื่อปี 2006 เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ Carlyle Group ของอเมริกา และส่งรายงานถึง CFR ในนครนิวยอร์กก่อนจะถูกปฏิวัติเพียง 1 วัน ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ทักษิณ พยายามผลักดันสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ แม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาก็ตาม และเมื่อเดือนเมษายนปี 2011แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ได้เดินทางไปยังสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) ซึ่งมีส่วนสนับสนุนสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีเมื่อปี 2004 ด้วย สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ประกอบด้วย บริษัทใหญ่ๆ เช่น 3M, Bechtel, Boeing, Cargill, Citigroup, General Electric, IBM, Monsanto และล่าสุดยังรวมถึง Goldman Sachs และ JR Morgan, Lockheed Martin, Raytheon, Chevron, Exxon, BP, Glaxo Smith Kline, Merck, Northrop Grumman, Syngenta และ Philip Morris ซึ่งถ้าจะว่ากันแล้ว กลุ่มบริษัทเหล่านี้ดูจะมีความเชื่อมโยงกับคำว่า สังหารหมู่, ทุจริตคอร์รัปชัน, สงคราม และความทุกข์ทรมานของมนุษย์ มากกว่านโยบาย “ประชาธิปไตย” และ “สังคมเปิด” ที่ ทักษิณ สัญญาว่าจะสร้างให้เกิดมีขึ้นในประเทศไทย หลังการปฏิวัติปี 2006 เป็นต้นมา นักการเงินจากบริษัทล็อบบี้ยิสต์อเมริกันจำนวนมากอาสาเป็นปากเสียงให้กับทักษิณ เช่น เคนเนธ เอเดลแมน จากบริษัทโฆษณา Edelman, เจมส์ เบก จาก Baker Botts (CFR), โรเบิร์ต แบล็กวิลล์ จาก Barbour Griffith & Rogers (CFR), Kobre&Kim และล่าสุด โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้รับแรงเชียร์จากเอ็นจีโอที่สหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ เช่น ประชาไท เป็นต้น ไม่นานมานี้ ทักษิณ ยังผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาในนามพรรคเพื่อไทย โดยได้แรงสนับสนุนจากสื่อตะวันตกอย่างล้นหลาม รวมไปถึงคำขู่จาก CFR ที่ต้องการให้พรรคของทักษิณได้ขึ้นสู่อำนาจอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยคว้าชัยชนะมาได้ด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 35 จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด และแม้จะได้อำนาจมาครองก็จริง ทว่าฐานเสียงและความชอบธรรมที่ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดก็เริ่มปรากฎชัดเจน อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ยังต้องเผชิญแรงเสียดทานจากกลุ่มผู้มีอำนาจและกองทัพด้วย ข้อมูลเชิงลึกซึ่งแต่เดิมจะถูกจำกัดอยู่ในแวดวงสื่อทางเลือก ถูกเผยแพร่ไปตามสื่อกระแสหลักของไทยผ่านบทวิเคราะห์ของ สนธิ เมื่อวันศุกร์ (27) ที่ผ่านมา ซึ่งจากการสำรวจของ Alexa พบว่า เว็บไซต์ Manager.co.th เป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 14 ของประเทศ และมีฐานผู้อ่านพอๆ กับเว็บข่าว RT ของรัสเซีย สนธิ ยังกล่าวถึงแนวคิด “ศตวรรษแห่งแปซิฟิก” ของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่เพียงการยกระดับอาเซียนให้เป็นคู่แข่งในภูมิภาคกับจีนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการหลอมรวมเอเชียทั้งหมดให้เข้าอยู่ในระเบียบสากลที่ สนธิ เรียกว่า “ฉันทมติวอชิงตัน” (Washington Concensus) หลังคำสัมภาษณ์ของสนธิถูกเผยแพร่ออกไป เว็บไซต์ประชาไท ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้ทันที โดยระบุว่า เงินจำนวนหลายล้านบาทต่อปี ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มอบผ่าน NED นั้น “ไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อข่าวที่นำเสนอ” ทั้งที่บทบาทของ NED ในการบ่อนทำลายและโค่นล้มรัฐบาลอาหรับตลอดปี 2011 ที่ผ่านมานั้นเป็นที่ทราบกันดี ยังไม่รวมถ้อยแถลงยอมรับที่เผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส ในหัวข้อ “องค์กรสหรัฐฯสนับสนุนการปฏิวัติในโลกอาหรับ” ซึ่งมีใจความว่า “กลุ่มและบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติและปฏิรูปทั่วภูมิภาคอาหรับ เช่น ขบวนการเยาวชน 6 เมษายนในอียิปต์, สถาบันสิทธิมนุษยชนในบาห์เรน รวมถึงนักเคลื่อนไหวรากหญ้าอย่าง เอ็นซาร์ กอดี ผู้นำเยาวชนในเยเมน ล้วนได้รับการฝึกฝนและสนับสนุนเงินทุนจากองค์กรของสหรัฐฯ เช่น สถาบันรีพับลิกันนานาชาติ, สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ และ ฟรีดอม เฮาส์ ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่แสวงหาผลกำไรในวอชิงตัน” “สถาบันรีพับลิกันและประชาธิปไตยมีสายสัมพันธ์ห่างๆ กับพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต องค์กรทั้งสองก่อตั้งและได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย (NED) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1983 เพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา NED ได้รับงบประมาณราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีจากสภาคองเกรส ในขณะที่ ฟรีดอม เฮาส์ ได้รับทุนสนับสนุนส่วนใหญ่จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มกราคม 2555, 18:43:40 "สมคิด" ระบุกก.บริหารมธ.มีมติเอกฉันท์ไม่ให้ใช้พท.มหาวิทยาลัยเคลื่อนไหว112 วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555 สะใจจริงๆครับพี่น้อง หากนายวรเจตน์ อยากเคลื่อนไหว เรื่อง ม.112 ก็มีความอิสระที่จะทำได้ในชื่อนาย วรเจตน์ อย่าได้มาแอบอ้างม.ธรรมศาสตร์ ให้เสียหายไปด้วย อใสมคิด และกรรมการบริหารทำถูกต้องแล้วครับ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 30 มกราคมว่า "ที่ประชุมกรรมการบริหารมหาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยคณบดี ผู้อำนวยการสำนักสถาบันมีมติเอกฉันท์ว่ามหาลัยคณะสำนักสถาบันจะไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาลัยเพื่อเคลื่อนไหวกรณีมาตรา 112 อีกต่อไป เพราะมหาลัยเป็นสถานที่ราชการ การอนุญาตต่อไปอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนีนการของมหาลัยหรือมหาลัยเห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในบริเวณมหาลัย จนมหาลัยไม่อาจดูแลความปลอดภัยของบุคคลและทรัพย์สินของมหาลัยได้" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 30 มกราคม 2555, 18:53:14 ภรรยา"ร่มเกล้า"จวกรัฐเยียวยาคนผิด
posttoday.com คอป.ระดมความเห็นเยียวยาปรองดอง แก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งใหม่ "นิชา" ภรรยา "พ.อ.ร่มเกล้า" อัดรัฐจ่ายเยียวยาให้ผู้กระทำผิด นโยบายจ่ายเงิน นายกิตติพงษ์ กิตยิรักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การจัดเสวนาเรื่องความปรองดองในกระแสพลวัตทางสังคมและการเมือง เป็นการรับฟังความเห็นจากนานาชาติ เพื่อนำมาปรับใช้ด้านยุทศาสตร์เพื่อการปรองดอง เนื่องจาก คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) พิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน สังคมไทยยังมีความแตกแยกทางความคิด มีการแบ่งขั้วทางการเมือง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นครั้งใหม่ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ การเสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นขององค์กรอิสระ และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้าน นายคณิต ณ นคร ประธานคอป. กล่าวว่า ในช่วงพ.ศ.2546-2547 ที่ผ่านมา เกิดลักษณะการใช้กฎหมายไม่ตรงไปตรงมา จึงเป็นปัญหารากเหง้าที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง จึงเปรียบเทียบช่วงเวลานั้นเหมือนในสมัยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำประเทศเยอรมันนี ที่กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จกานแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า การปรองดองจะต้องควบคู่กับความยุติธรรม ไม่ใช่แค่เยียวยาคนเสื้อเหลือง-คนเสื้อแดง แต่ยังมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่านั้นอีกมากที่สูญเสียและยังไม่มีการชดเชย นางนิชา กล่าวว่า การหาความจริงในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ควรจะต้องเริ่มจากหาข้อเท็จจริง ไปสู่กระบวนการให้ความยุติธรรม จากนั้นจึงจะเริ่มการเยียวยา แต่ทว่าเกิดความสับสนที่การเยียวยาถูกนำขึ้นมาก่อน ซึ่งต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าผู้ได้รับการเยียวยาเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ ทั้งนี้ที่มีการกล่าวถึงผู้เสียชีวิต91ศพ ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ยังมี เจ้าหน้าที่ทหาร อาสาสมัครกู้ภัย ประชาชนที่ถูกลูกหลง และผู้เข้าร่วมการชุมนุม แบ่งเป็น2ส่วนคือ ผู้ชุมนุมอย่างสงบ และผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งทุกกลุ่มที่อยู่ใน91ศพควรได้รับการเยียวยาเหมือนกันหรือไม่ "รมว.ยุติธรรมได้ส่งเอกสารความคืบหน้าล่าสุดการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้า มาให้พบว่าไม่สามารถระบุผู้กระทำได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ สืบสวนว่า การเสียชีวิตเกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมนปช. สุดท้ายก็มีการให้ประกันตัวไปหมด" นิชา กล่าว นายเอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมมาภิบาล กล่าวว่า สังคมไทยยังขาดคนให้ความรู้ความถูกต้องอย่างชัดเจน ตต้องยอมรับว่าประชาชนรับฟังสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้นทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทั้งนี้ไม่ต้องการให้คอป.นำกระแสสังคมมาเป็นที่ตั้งในเรื่องของการเยียวยา เพราะหากนโยบายเยียวยากำหนดเพียงปี47-53 ก็จะไม่ยุติธรรมกับประชาชนที่ล้มตายในเหตุการณ์อื่นๆ ส่วนกรณีความพยายามแก้กฎหมาย ม.112 ขอตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากความจงใจบางอย่างในช่วงนี้เท่านั้น จึงขอถามว่าถ้าแก้ม.112แล้วจะทำให้สังคมดีขึ้นได้จริงหรือไม่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มกราคม 2555, 15:23:15 กนก”นำทีมลูกแม่โดม นัดรวมพลดีเดย์ ตะเพิด “นิติราษฏร์” บ่ายสอง 2 ก.พ.
จี้อธิการบดี มธ.สอบวินัย-อาญา ยกแก็งค์ ใช้เครือข่ายออนไลน์กระจายข่าวรวมพลัง ข่าวจากเดลินิวส์ วันนี้ ( 31 ม.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่หลายภาคส่วนในสังคมออกมาต้านกลุ่มนิติราษฏร์ ที่เสนอขอแก้ไข ม. 112 และรัฐธรรมนูญ ม. 8 ได้มีการเคลื่อนไหวของศิษย์เก่า ปัจจุบันของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และแนวร่วมรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องสถาบันมหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ได้ออกเอกสาร ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการกระทำของคณะนิติราษฏร์ที่ใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวสถาบัน รวมทั้งเรียกร้องอธิการบดีให้มีการสอบสวนเอาผิดทั้งทางวินัยและทางกฎหมายต่อคณะนิติราษฏร์โดยนัดรวมพลหน้าคณะวารสารศาสตร์ ในวันพฤหัสที่ 2 ก.พ.เวลา 14.00 น. โดยมีกิจกรรมเดินขบวนแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์ที่ลานปรีดีฯ มีนายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรชื่อดังในฐานะตัวแทนศิษย์เก่ายื่นหนังสือต่ออธิการบดีที่ตึกโดม และปิดท้ายกิจกรรมด้วยการร้องเพลงถวายพระพรหันหน้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช โดยในเอกสารยังเชิญชวนให้ลูกแม่โดมและผู้จงรักภักดีเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเผยแพร่เอกสารของกลุ่มวารสารฯยังใช้เครือข่ายเฟสบุ๊คเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูล กระจายไปยังสาธารณะด้วยผ่านเว็บไซซ์ http;// www.facebook.com/Jctu9999 พร้อมกับระบุชื่อผู้ประสานงาน วิลาศินี โฆษจันทร์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มกราคม 2555, 22:23:21 สถาบันพระปกเกล้า แถลงการณ์ ต้าน "นิติราษฎร์"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ สถาบันพระปกเกล้า ออกแถลงการณ์ ให้กลุ่มนักวิชาการที่เคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 ให้หยุดเคลื่อนไหว, ให้สถาบันต้นสังกัดควบคุมพฤติกรรม, และให้สังคมร่วมติดตามตรวจสอบใกล้ชิด พร้อมยกระดับตอบโต้จากเบาไปหาหนักหากยังไม่ยอมหยุด นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ นายกสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานแถลงการณ์คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าเรื่องการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ของคณะกลุ่มบุคคลที่ได้อ้างความเป็นนักวิชาการและเสนอต่อสาธารณะในการแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และนำไปสู่การละเมิด พาดพิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันของชาติให้เกิดความเสียหาย และ กระทบกระเทือนต่อจิตใจประชาชนทั่วทุกหมู่เหล่า และขยายวงไปสู่ความขัดแย้งและแตกยกของผู้คนในสังคม ดังนั้นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในฐานะศูนย์รวมของนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และมีวัตถุประสงค์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและสร้างความห่วงใยต่อพฤติกรรมและการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ก้าวเลยความเป็นนักวิชาการที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีจรรยาบรรณ อย่างที่วิญญูชนพึงแสดงออกและพึงกระทำ คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าจึงขอเรียกร้องต่อสาธารณะดังนี้ 1.ให้คณะบุคคลดังกล่าวได้ยุติการกระทำที่ละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.ขอให้สถาบันการศึกษาต้นสังกัดของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ได้ดำเนินการควบคุมพฤติกรรมและการกระทำที่สร้างความแตกแยกแก่สังคมและประเทศโดยรวม และพิจารณาถึงการกล่าวอ้างตำแหน่งทางวิชาการของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงของประเทศไปแสวงหาผลประโยชน์ให้เกิดแก่กลุ่มตนเองและพวกพ้องแห่งตน ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 3.ขอเรียกร้องให้สาธารณะสังคมได้โปรดติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มคณะบุคคลดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าจึงแถลงมายังสังคมและประชาชนให้ทราบโดยทั่วกัน และขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ปกป้องเทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากยังไม่มีการยุติการกระทำดังกล่าวจะมีการเรียกร้องอย่างไรต่อไป นายมหรรณพกล่าวว่าทางสมาคมจะทำการตอบโต้จากเบาไปหาหนักซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของศรัทธา เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าถ้ายังมีการเสนอเรื่องนี้เข้าสู่รัฐสภาจะทำอย่างไร นายมหรรณพกล่าวว่าก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของสภา แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำอยู่แล้ว และอยากให้ทุกองค์กรและหน่วยงานตระหนักถึงภัยที่จะตามมา เพราะนี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวครั้งแรกของสมาคม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มกราคม 2555, 22:30:16 วันนี้ พี่น้องคู่นี้ ทักษิณ ชินวัตร กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
บอกว่าไม่แก้ ไม่แตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่กลุ่มนิติราษฎร์กำลังวัดกระแสสังคม ฝ่ากำแพงแห่งศรัทธา แต่ผลที่เราเห็นอยู่ ว่ากำลังจะล้มเหลว ก่อนหน้านี้ดูท่าทีของทักษิณกับน้องสาวเคยพูดไว้ว่าอย่างไร ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2554 ไว้ มีเนื้อข่าว ดังนี้ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ “ทำให้เสื่อม” "ต่อประเด็นการฟ้องร้องและดำเนินคดีบุคคลจำนวนมากในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทักษิณกล่าวว่า “ทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วเสื่อมลงไปอีก...หากว่าคุณเคารพและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ต้องหยุดการแสดงความจงรักภักดีด้วยวิธีโง่ๆเช่นนี้” และเมื่อถามว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่กับการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เขาตอบว่า “ก็ถ้ามีอยู่แล้วไม่ได้ใช้แบบไม่จำเป็นล่ะก็...” ซึ่งสื่อว่าก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าใดนัก และยังเสริมว่า “ยิ่งคุณดำเนินคดีกับคนในข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นเท่าใด ประชาคมนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนก็จะเรียกร้องให้มีการยกเลิก(กฎหมายนี้)มากขึ้นเท่านั้น” เขาย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเล่าว่าเคยเกือบให้มีการจับกุมผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์คนหนึ่ง และในการเข้าเฝ้ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งก่อน พระมหากษัตริย์ทรงตรัสว่า “ไม่อยากให้ใช้กฎหมายตัวนี้พร่ำเพรื่อ” อดีตนายกผู้ลี้ภัยสะท้อนว่า “ผู้ที่พยายามจะแสดงออกว่าเขาจงรักภักดีต่อกษัตริย์มากๆ และประกาศว่าจะเล่นงานคนที่แตะต้องสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นการทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วแย่ยิ่งขึ้น” ต่อกรณีที่กองทัพบกได้เป็นผู้ยื่นฟ้องในกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายล่าสุดนั้น ทักษิณกล่าวว่า ทหารมีหน้าที่หลักๆสองอย่าง อย่างแรกคือปกป้องอธิปไตยของชาติ อย่างที่สองคือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพต้องการแสดงความจงรักภักดีของตนเองโดยแสดงออกชัดแจ้งเกินไป ตนคิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นผลเสียต่อกองทัพและไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์เองด้วย"(ประชาไท) แล้วผู้น้องสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกไทยคนปัจจุบัน เคยกล่าวไว้ หลังจากชนะเลือกตั้ง เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2554 กับสื่อนอกไว้ว่า "สำหรับปัญหาเกี่ยวกับความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ควรจะมีการสะสางให้เสร็จสิ้น และตนก็คิดว่าปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่อ่อนไหว ซึ่งจะต้องหาผู้ที่มีความชำนาญการเป็นพิเศษ ในการหารือเกี่ยวกับปัญหานี้ และตนก็ไม่อยากให้ประชาชนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยเกินไป และไม่ต้องการให้คนไทยใช้กฎหมายนี้ในทางที่ผิด"(ผู้จัดการออนไลน์) วันนี้ทั้งสองหักมุม 180 องศา ทันที ทักษิณฝากผ่านนายนพดล ปัทมะ ว่าเห็นด้วยกับการไม่แก้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขณะที่ยิ่งลักษณ์เธอบอกว่า เป็นการหวังผลการเมือง และได้ปฎิเสธว่ารัฐบาลไม่เกี่ยวกับนิติราษฎร์ หลายคนพยายามควานหาสิ่งที่ยืนยันว่าทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับ นิติราษฎร์ แต่หาไม่พบ ไม่เจอ ลิงค์ไปหากันลำบากยากยิ่ง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ผมขอตั้งข้อสังเกตุไว้ คือนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวคานาดา ที่ในเว็บไซค์ของนายคนนี้ อย่างน้อย 2 บทความ ที่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คือ 1. ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นฯ 2. คำแถลงการณ์เรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 คำถามก็คือ ทนายความฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ ใครจ้างมา นิติราษฎร์จ้างมา หรือ คนเสื้อแดงคนไหนจ่ายค่าจ้างให้แก่เขา เจ็บครับ ณ เวลานี้ ต้องบอกว่านิติราษฎร์เดียวดาย วังเวง เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเหมือนขยะสังคม อาจมทางความคิด ซึ่งก็ไม่รู้จะโทษใครเหมือนกัน ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องร้องเพลงอะไร ในการตอกย้ำความเจ็บปวดที่ได้รับ ขอแนะนำเพลงของอ๊อฟปองศักดิ์ ท่อนฮุคท่อนนี้ให้ร้องกันทั้งคณะนิติราษฎร์ ผมเข้าใจคุณนะ "ฉันเหมือนคนไม่มีกำลัง และหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป ฉันเหมือนคนกำลังจะตาย ที่ขาดอากาศจะหายใจ ฉันเหมือนคนที่โดนเธอแทงข้างหลัง แล้วมันทะลุถึงหัวใจ เธอจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปอย่างไร ไม่มีอีกแล้ว กับเธอ ไม่มีเหลือสักอย่าง .... อยากตาย แถมให้อีกเพลงของพี่อ๊อฟพงษ์พัฒน์ "เจ็บนี้อีกนาน เจ็บนี้ไม่ลืม" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มกราคม 2555, 23:02:44 ศิษย์มธ.นัดชุมนุมต้านนิติราษฎร์
Posttoday.com ศิษย์คณะวารสารฯ มธ. นัดชุมนุมค้านนิติราษฎร์ 2 ก.พ. 14.00 น. จี้เอาผิดวินัย-อาญา ด้านอธิการฯย้ำห้ามนิติราษำร์ใช้พื้นที่เคลื่อนไหวตัดไฟแต่ต้นลม เมื่อวันที่ 31 ม.ค. กลุ่มศิษย์เก่าและปัจจุบันของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รวมตัวกันในนาม "วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์" ร่วมกับแนวร่วมรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องสถาบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกเอกสารประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการกระทำของคณะนิติราษฎร์ ที่ใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวสถาบัน หลังจากที่หลายภาคส่วนในสังคมออกมาต้านกลุ่มนิติราษฎร์ที่เสนอขอแก้ไขมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 กลุ่ม "วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์" ยังได้เรียกร้องอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มีการสอบสวนเอาผิดทั้งทางวินัย และทางกฎหมาย แก่คณะนิติราษฎร์ โดยกลุ่มดังกล่าว นัดรวมพลหน้าคณะวารสารฯ ม.ธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ. นี้ เวลา 14.00 น. ทั้งนี้จะมีกิจกรรมเดินขบวนแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์ที่ลานปรีดี โดยมี นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรชื่อดัง และนายยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ร่วมด้วยอดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ทั้ง ดร.เสรี วงศ์มณฑา รองศาสตราจารย์ ปิยกุล เลาวัณย์ศิริ รวมทั้ง นางผาณิต พูนศิริวงศ์ นายกสมาคมศิษย์เก่าวารสารศาสตร์ฯ ทั้งหมดในฐานะตัวแทนศิษย์เก่า เข้ายื่นหนังสือต่ออธิการบดีที่ตึกโดม ในเอกสารดังกล่าว ยังเชิญชวนให้ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และผู้ที่มีเจตนารมณ์เหมือนกันเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย เอกสารดังกล่าว มีการเผยแพร่โดยกลุ่มวารสารฯ ต้านนิติราษฎร์ โดยอาศัยใช้เครือข่ายเฟซบุ๊ก เผยแพร่ข้อมูลไปยังสาธารณะ ผ่าน www.facebook.com/Jctu9999 ด้าน นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Somkit Lertpai thoon" โดยระบุว่า มีหลายคนแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่อธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ห้ามกลุ่มนิติราษฏร์เคลื่อนไหวเรื่อง ม.112 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกต่อไป โดยมองว่าเป็นการกำจัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นี่ก็เป็นมุมมองหนึ่งที่เข้าใจได้ครับ แต่ผมอยากให้พวกเรามองอีกมุมมองหนึ่งด้วยว่าการที่ผู้บริหารมหาลัยต้องออกมาตรการนี้ออกมา คงเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะเกรงว่าอาจจะลุกลามจนกลายเป็น "6 ตุลาครั้งที่สอง" ได้ และถ้าจะเกิดก็คงจะเกิดที่ธรรมศาสตร์เหมือนเมื่อปี 2519...เพราะฉะนั้น ผมจึงมองว่ามาตรการนี้ของผู้บริหารมหาลัยเป็น "การตัดไฟแต่ต้นลม"มากกว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพครับ เพราะที่ผ่านมาธรรมศาสตร์ก็เปิดโอกาสให้กลุ่มนิติราษฏร์ใช้ธรรมศาสตร์เป็นที่เคลื่อนไหวมาหลายครั้งแล้ว...สรุปก็คือผมเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผู้บริหารมหาลัยครับ "ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเสรีภาพในทางวิชาการในมธ. แต่ต้องแยกเสรีภาพทั้งสองนี้ออกจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการขยายความขัดแย้ง และนำมาซึ่งความวุ่นวายในมธ.และประเทศ" นอกจากนี้นายสมคิดยังโพสต์ข้อความด้วยว่า เป็นอธิการมธ.ก็ลำบากหน่อย 1.แสดงความไม่เห็นด้วยทางวิชาการกับนิติราษฎร์ก็มีคนออกมาประท้วง ด่าและข่มขู่คุกคาม ให้ปลดจากตำแหน่ง 2.อนุญาตให้นิติราษฎร์ใช้ที่มหาลัยก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมากดดันคัดค้านต่อว่า 3.เห็นว่าควรพอได้แล้วกับ 112 (หลังจากอนุญาตไปแล้ว4-5 ครั้ง) คนกลุ่มแรกก็ออกมาอีก 4.เห็นว่าไม่ควรไล่ล่าแม่มดก้านธูป คนกลุ่มแรกออกมาชมคนกลุ่ม 2 ออกมาว่าอีก สังคมไทยไม่ยอมให้คนยืนบนความถูกต้องและพอดีพองามเลยหรือไง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 09:17:13 ว่าด้วยกลุ่มนิติราษฎร์อีกครั้ง
โดย วสิษฐ เดชกุญชร (ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 31 มกราคม 2555) ทีแรกผมตั้งใจจะยังไม่เขียนเรื่องนิติราษฎร์กับมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาอีก เพราะเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้เอง แต่มีเหตุการณ์ไม่สู้ดีใหม่ๆ ปรากฏขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงอดไม่ได้ ต้องขอเขียนอีก เหตุการณ์ไม่สู้ดีใหม่ๆ ที่ว่านี้คือการที่มีหลายกลุ่มออกมาชุมนุมแสดงความเห็นคัดค้านกลุ่มนิติราษฎร์ และในการแสดงความเห็นคัดค้านนั้น บางกลุ่มก็ส่อความรุนแรง เช่นกลุ่มที่ไปคัดค้านที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีการเผาหุ่นที่มีใบหน้าเหมือนคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ด้วย ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า ผมได้เคยเขียนติงกลุ่มนิติราษฎร์ไปแล้วในหน้านี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการที่ข้อเสนอของกลุ่มมีลักษณะจะให้มีมาตรการควบคุมพระมหากษัตริย์ ด้วยการบัญญัติในรัฐธรรมนูญ (ที่หากแก้ไขหรือร่างขึ้นใหม่ได้ตามที่กลุ่มนิติราษฎร์ต้องการ) ให้พระมหากษัตริย์สาบานพระองค์ก่อนครองราชย์ ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้มีหลักประกันว่าทรง "พิทักษ์รัฐธรรมนูญ" เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมได้เขียนไว้ในบทความว่า ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์ต้องทรงประกาศต่อมหาสมาคมว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" คำประกาศที่ถือกันว่าเป็นปฐมบรมราชโองการ (น่าจะเรียกว่าปฐมบรมราชปฏิญญา) นี้ ไม่ได้เป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใด แต่เป็นไปตามโบราณราชประเพณี และมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับคำสาบานที่กลุ่มนิติราษฎร์ต้องการ ผมศึกษาความเป็นมาของกลุ่มนิติราษฎร์ และอ่านข้อเสนอของกลุ่มแล้ว ต้องยอมรับว่าแม้จะพยายามศึกษาและอ่านด้วยใจเป็นกลางเพียงใด แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์มีเจตนาอื่น (ที่ไม่เปิดเผย) แฝงเร้นอยู่ กลุ่มนิติราษฎร์ใช้คำว่า "กษัตริย์" แทนคำว่า "พระมหากษัตริย์" ที่เราคนไทยนิยมใช้เมื่อกล่าวถึงสถาบันนั้น ที่จริงคำว่า "กษัตริย์" ดั้งเดิมก็มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่าผู้ป้องกันภัย หรือชาตินักรบ บาลีว่าขัตติยะ (ขตฺติย) ในสังคมฮินดูซึ่งแบ่งคนออกเป็นวรรณะหรือชั้นนั้น กษัตริย์เป็นวรรณะที่ 2 ใน 4 วรรณะ อีก 3 วรรณะคือ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ไทยเรารับเอาคำ "กษัตริย์" มาใช้ให้หมายถึงผู้เป็นประมุขของประเทศ หรือพระเจ้าแผ่นดิน และนิยมเรียกว่า "พระมหากษัตริย์" ส่วนกษัตริย์ของประเทศอื่นนั้น เรียกว่าสมเด็จพระราชาธิบดี คำว่า "พระ" และ "มหา" ที่อยู่ในคำว่า "พระมหากษัตริย์" นั้น สะท้อนความเคารพสักการะที่คนไทยมีต่อสถาบันนั้นมาแต่โบราณ เมื่อกลุ่มนิติราษฎร์เรียกว่า "กษัตริย์" เฉยๆ จึงทำให้คนแก่หัวโบราณอย่างผมอดสงสัยไม่ได้ว่า กลุ่มนิติราษฎร์มีเจตนาอยู่เป็นเบื้องต้นแล้ว ที่จะลดฐานะของพระมหากษัตริย์ลง ผมขอตั้งข้อสังเกตอีกครั้งหนึ่งว่า มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญานั้น อยู่ในภาค 2 ลักษณะ 1 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ที่ผมใช้ตัวหนาและขีดเส้นใต้เอาไว้นี้ ก็เพื่อเน้นและเตือนท่านผู้อ่านว่า ความในมาตรา 112 และในประมวลกฎหมายอาญาภาคและลักษณะนั้นเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหรือของประเทศ และสะท้อนเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ยอมรับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาตินั้นแยกกันไม่ได้ หากจะให้บ้านเมืองอยู่ได้ก็ยังต้องมีพระมหากษัตริย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้สมาชิกบางคนของกลุ่มนิติราษฎร์จะอ้างว่า ตนไม่มีเจตนาที่จะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และว่าข้อเสนอของตนเป็นไปเพื่อเชิดชูสถาบัน แต่แล้วก็ "ข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112" ที่กลุ่มนิติราษฎร์เสนอในวันที่ 26 ธันวาคม 2554 ปีกลายนี้นั้นเอง ที่ให้ยกมาตรา 112 ออกไปไว้ในส่วน (ใหม่) ที่ว่าด้วย "เกียรติยศและชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" โดยเฉพาะ ยิ่งกว่านั้น กลุ่มนิติราษฎร์ยังให้เหตุผลด้วยว่า การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ฯลฯ "ไม่มีสภาพร้ายแรงถึงขนาดกระทบกระเทือนต่อการดำรงอยู่ของบูรณภาพและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร" ผมอ่านข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์อย่างไรๆ ก็ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่ากลุ่มนิติราษฎร์เห็นว่า ราชอาณาจักรไทยหรือประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยพระมหากษัตริย์เป็นประกันความมั่นคงต่อไปอีกแล้ว หรืออีกนัยหนึ่ง กลุ่มนิติราษฎร์เห็นว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทยต่อไปแล้ว ผมจึงขอประกาศด้วยบทความนี้ว่า เป็นสิทธิของผมในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่จะไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านกลุ่มนิติราษฎร์ เพราะผมเห็นว่าพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยยังสำคัญและจำเป็นสำหรับประเทศไทย ผมอาจจะถูกหาว่าเป็น "อุลตร้ารอแยลิสต์ (ultra-royalist)" หรืออภิมหาราชนิยมหรือกษัตริยนิยม แต่ผมขอยืนยันว่า ทั้งสิ้นนี้เป็นความรู้สึกและความเห็นแท้ๆ ของผม ความรู้สึกและความเห็นที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากตำราฝรั่งภาษาใดเล่มใด หรือจากตำราไทยเล่มใดที่แปลงมาจากฝรั่ง แต่เป็นความรู้สึกและความเห็นที่เกิดจากการที่ได้เห็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สละพระราชหฤทัยและพระวรกาย "ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" (ซึ่งหมายรวมถึงบรรพบุรุษของผม ครอบครัวของผม และตัวผมด้วย) มาเป็นเวลากว่า 60 ปี เห็นพระองค์ทรงเผชิญกับรัฐบาลเผด็จการทหารและรัฐบาลพลเรือนทุจริตชุดแล้วชุดเล่า และเห็นผลลัพธ์คือความต่อเนื่องและยั่งยืนของเมืองไทยในปัจจุบัน เมืองไทยที่คนไทยส่วนใหญ่ได้อาศัยเป็นที่ประกอบสัมมาชีพและมีความสุขพอควรแก่อัตภาพ เมืองไทยที่คนไทยส่วนน้อยมีอิสรภาพเสรีภาพ สามารถแสดงความเห็นที่แตกต่างและเรียกร้องเอาสิ่งที่ตนต้องการได้ ตราบเท่าที่ความเห็นที่แตกต่างและการเรียกร้องนั้น มิได้เป็นไปเพื่อทำลายสิ่งที่ผู้อื่นเคารพสักการะและเห็นว่ามีคุณค่าสำหรับเขา อาทิ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สามสถาบันที่ทำให้เมืองไทยเป็นไทมาได้จนถึงวันนี้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 23:19:37 สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ" โฆษกศาลร่อนบทความ "อากงปลงไม่ตก (2)"
(ที่มา ข่าวสดออนไลน์) บทความเรื่อง “อากงปลงไม่ตก” ที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ มีผู้ที่เห็นพ้องและเห็นแย้งในตรรกะและเนื้อหาของผู้เขียน สุดแต่มุมมองความเชื่อ ความเข้าใจและต้นทุนองค์ความรู้ของแต่ละคน ซึ่งผู้เขียนพร้อมน้อมรับด้วยความเคารพในความเห็นที่มองต่างมุม อันเป็นผลธรรมดาของนักนิติศาสตร์และสังคมประชาธิปไตยที่ทุกคนไม่จำต้องเห็นตรงกันในเรื่องเดียวกันเสมอไป อย่างไรก็ตามความเห็นแตกต่างที่อาจทำให้สังคมฉงนสนเท่ห์ลังเล สับสนในทฤษฎีวิชาการทางกฎหมายหรือข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ศาลพิพากษา ผู้เขียนย่อมจำต้องขออนุญาตอรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างชัดขึ้น ซึ่งความเคลือบคลุมดังกล่าวคงเป็นข้อจำกัดหลายประการของผู้เขียนเอง บทความนี้จึงขอนำเอาความเห็นแย้งของท่านผู้อ่านมาเป็นประเด็นคลายปมให้ตกผลึก ดังนี้ ข้อสงสัยประการแรก เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกอากงแล้วเหตุใดอากงยังได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามหลักPresumption of Innocence มิเป็นการขัดแย้งกันเองหรือ คำตอบ ตราบใดที่อากงหรือจำเลยยังคงติดใจโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยวิธีการอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว ถือว่าคดีนั้นยังไม่จบสิ้นกระแสความหรือถึงที่สุด เนื่องจากศาลสูงอาจพิพากษายืน ยก กลับ แก้คำพิพากษาศาลล่างได้ ฉะนั้นผลของคดีจึงอาจจะตรงกันข้ามกับที่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ได้ เพราะในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลสูงยังคงใช้หลักข้อสันนิษฐานเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยอันมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวคือแม้อากงจะต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว แต่อากงก็ยังคงมีสิทธิยื่นคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้เพราะคดียังไม่ถึงที่สุดนั่นเอง ส่วนการที่อากงหรือจำเลยจะได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องคนละขั้นตอนกับที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอากงมีความผิดเพราะการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นเรื่องที่ศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานจนแน่ใจปราศจากข้อสงสัยว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นศาลจึงพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคแรก ส่วนขั้นตอนการขอปล่อยชั่วคราวในแต่ละชั้นศาล เกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ามาอยู่ในอำนาจศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจะพิจารณาเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 และ 108/1 ซึ่งบางครั้งการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบยุติธรรมและสังคมได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเช่น ในคดีสำคัญหลายเรื่องที่จำเลยเป็นที่รู้จักและไม่รู้จักของสังคมได้รับการประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น หรือในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่จำเลยได้รับการประกันตัวไปในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาต่อมาได้หลบหนีไปย่อมทำความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมเพราะไม่สามารถนำตัวจำเลยมาพิจารณาคดีหรือรับโทษได้จึงสรุปได้ว่า การที่จำเลยมีสิทธิได้รับการประกันตัวในศาลสูงจึงเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยได้รับการสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายนั่นเอง ข้อสงสัยประการต่อมา มีผู้โต้แย้งว่าในคดีอากงเมื่อผู้เขียนบอกว่า สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชนสันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคม สถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความเข้าใจหลงผิด ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงควรต้องถูกลงโทษอันขัดแย้งกันเองกับที่ผู้เขียนบอกว่า อากงยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น ในข้อนี้ ฟังผิวเผินอาจเป็นปรปักษ์กันเอง แต่สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายหรือนักนิติศาสตร์ย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก หรืออาจเป็นความเลินเล่อที่ผู้เขียนมิได้อธิบายขยายความให้แจ่มแจ้งแทงทะลุ ความจริงคือข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นหลักการสากลของกฎหมายตามที่ได้อธิบายในข้อแรก ส่วนเนื้อหาข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้นศาลจะพิพากษาอย่างไรเป็นเหตุผลเฉพาะคดีตามพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งต่อสู้คดีกัน ถ้าจะพิพากษาลงโทษจำเลย โจทก์ก็ต้องนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยสนิทใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ แต่หากพยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษหรือมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยและศาลต้องพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยไป หรือถ้าคดีใดอัยการโจทก์สามารถนำสืบพิสูจน์จนให้ศาลเห็นและเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาชั่วร้าย ดังวลีที่ผู้เขียนบัญญัติขึ้น จำเลยในคดีนั้นก็สมควรที่จะได้รับโทษานุโทษตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ทั้งนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองปัจเจกชนซึ่งเป็นผู้เสียหายคุ้มครองความสงบเรียบร้อยของสังคม ประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นเสาหลักความมั่นคงของประเทศให้มีความปลอดภัย แต่ถ้าคำตอบสุดท้ายศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างว่าจำเลยไม่มีความผิดแล้ว ข้อกล่าวหาทั้งปวงและผลแห่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมถูกลบล้างไป จำเลยย่อมพ้นมลทินเป็นผู้บริสุทธิ์ อนึ่ง ที่มักจะมีการกล่าวอ้างว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติ ในการพูดหรือแสดงความคิดเห็นมีเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ไม่ควรถูกใครทำร้ายย่ำยีบีฑาทั้งชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ ข้อนี้ผู้เขียนเห็นด้วยแต่ว่าสิทธิดังกล่าวคงมิได้หมายความรวมไปถึงการมีสิทธิทำลายแผ่นดินเกิดของตนเองหรือเสาหลักของชาติบ้านเมืองหรือกระทำการใดอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ทุกคนเคารพและยึดถือร่วมกันอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินกรอบที่วิญญูชนจะยอมรับได้ อนึ่งการกระทำการใดตามอำเภอใจโดยไม่เคารพสิทธิผู้อื่นก็ไม่ต่างอะไรกับคนป่าได้ปืนหรือคนเสียสติบ้าคลั่งไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี บริภาษด่าทอทำลาย ทำร้าย ผู้อื่นด้วยความคะนองใจ โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล สังคม และประเทศชาติรวมถึงตนเองและครอบครัว ดังนั้นเหตุผลของผู้เขียนที่หยิบยกมาเป็นข้อเขียนในบทความแรก จึงเป็นหลักการตามที่กฎหมายบัญญัติและเป็นกระบวนการที่ศาลใช้บรรทัดฐานในการพิจารณาพิพากษาคดี มิได้มีความขัดแย้งกันแต่ประการใด ข้อสงสัยประการสุดท้าย คือหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอากงแล้ว มีบุคคลหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ข้อเท็จจริงคดีนี้ตามสื่อโทรทัศน์บางช่องหรือสื่อสารสนเทศ โดยผู้วิจารณ์ไม่ได้อ่านหรือเห็นคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นตัดสิน แต่นำเอาข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือเฉพาะข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นข้ออ้างสนับสนุนความเชื่อของตนเองและกล่าวหาทำนองว่า ศาลชั้นต้นตัดสินผิดพลาด ข้อนี้ ผู้เขียนขอฝากว่าคดีนี้อากงหรือจำเลยซึ่งเป็นคู่ความคดีย่อมรู้ความจริงแก่ใจดีที่สุดว่าข้อเท็จจริงแห่งคดีหรือพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์และฝ่ายตนเป็นอย่างไรและปัจจุบันคดีนี้อยู่ในระหว่างคู่ความทั้งสองกำลังใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความในคดีไม่บังควรโน้มน้าวจูงใจทำให้สังคมเกิดอคติต่อข้อเท็จจริงที่ตนเองยังรู้ไม่แจ้งเห็นจริงเพื่อให้ผู้คนเชื่อว่าจำเลยบริสุทธิ์และศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ถูกต้องอันมิใช่เป็นการวิพากษ์ในเชิงวิชาการหรือติชมด้วยความเป็นธรรมและสุ่มเสี่ยงต่อความผิดตามกฎหมาย หนทางที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้ศาลสูงเป็นผู้ทบทวนคำพิพากษาศาลล่างตามกระบวนการและช่องทางที่กฎหมายกำหนดจะเหมาะสม ชอบธรรม ถูกต้อง และสง่างามกว่าการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกสำนวนนอกศาลซึ่งมีแต่ทำให้สังคมผิดหลง สับสน และมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อศาลและกระบวนการยุติธรรม วันนี้สังคมไทยยังอ่อนไหว คลื่นใต้น้ำยังไม่สงบ ประเทศชาติต้องการความเป็นเอกภาพ สันติภาพและสันติธรรม ต้องการความเข้มแข็งและความสามัคคี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวโลก อันมีผลต่อระบบเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวรวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยทุกคนรักแผ่นดินเกิด ต้องการเห็นประเทศชาติก้าวหน้ามั่นคง พัฒนาในทุกมิติให้เท่าทันอารยะประเทศ ปรารถนาให้บรรยากาศบ้านเมืองอบอุ่นเป็นมิตรต่อกัน ความสุขมวลรวมและรายได้ของประชากรในชาติสูง ถ้าทุกคนมีเป้าหมายตรงกันเช่นนี้ ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตนำเอาคำกล่าวในอดีตที่เคยพูดกันมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างชาติให้มีสันติสุขอย่างถาวรยั่งยืนคือ “อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตกและอย่าแยกแผ่นดิน” สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2555, 22:43:05 วารสารฯมธ.แสดงพลัง จี้อธิการบดีตั้งกก.สอบ'นิติราษฎร์'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "วารสารฯมธ."แสดงพลังจี้ "อธิการบดี มธ." ตั้งกรรมการสอบ"นิติราษฎร์"หวังเอาผิดทั้งวินัย และอาญา หวิดป่วน หลังมีคนถือป้าย"โอเค นิติราษฎร์" กลุ่ม "วารสารฯต้านนิติราษฎร์" ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่างอาจารย์ นักศึกษาและศิษย์เก่าของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนม.ธรรมศาสตร์ เมื่อเวลา 14.00 น.ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้รวมตัวที่บริเวณหน้าตึกโดม ตรงข้ามลานปรีดี พนมยงค์ ทั้งนี้เพื่ออ่านแถลงการณ์รวบรวมรายชื่อเสนอต่อนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีม.ธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินการต่อคณะอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนามกลุ่ม "นิติราษฎร์" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์แก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 โดยแถลงการณ์มีข้อเรียกร้องประกอบไปด้วย1.เรียกร้องต่อประชาคมธรรมศาสตร์ ให้ร่วมกันต่อต้านการแก้ไข ม. 112 รวมถึงการใช้ชื่อมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวที่ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.เรียกร้องให้อธิการบดี มีคำสั่งตั้งคณะสอบสวนคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ในการกระทำที่อาจมีความผิดทั้งทางวินัยและกฏหมายให้เป็นที่กระจ่างแก่มหาชน พร้อมลงโทษตามมูลความผิด 3.เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรม และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีพฤติกรรมล่วงละเมิดสถาบันในทุกรูปแบบ อย่างจริงจังและเฉียบขาด 4.เรียกร้องต่อสื่อมวลชนให้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมาตรา 112 เพื่อไม่ขยายผลการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ 5.เรียกร้องให้ประชาชน ให้ร่วมกันแสดงตนในการคัดค้าน ม. 112 นายยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ในฐานะศิษย์เก่าคณะวารสาร กล่าวว่า การเสนอความเห็นของคณะนิติราษฎร์ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เป็นการใช้วิชาการบังหน้าจุดมุ่งหมายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นในสังคมและทำให้ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสียหายเพราะมีการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในการจัดกิจกรรมรณรงค์เหตุนี้ประชาชนและนักศึกษาพร้อมทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจึงรวมพลังลงชื่อร่วมต่อต้านคณะนิติราษฎร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศระหว่างการจัดกิจกรรมของกลุ่มวารสารฯนี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยต่างคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์อย่างดุดัน มีการใส่เสื้อยืดพิมพ์บริเวณหน้าอกข้อความว่า"วารสารค้านนิติราษฎร์ หรือยืนถือแผ่นป้ายที่มีข้อความต่อต้านกลุ่มนิติราษฎร์อาทิเช่น "หยุดใช้ธรรมศาสตร์เป็นเครื่องมือทำลายสถาบันกษัตริย์" "นิติราษฏร์ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ไม่ใช่นิติราษฎร์" "อย่าใช้ความรู้บิดเบือนคุณธรรม"ฯลฯ รวมถึงมีบุคคลในวงสังคมที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดีร่วมด้วย อาทิ นายเสรี วงษ์มณฑา นายทรงอภิรัชต์ สิงโต อดีตผู้ประกาศ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี เป็นต้นทั้งนี้มีการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา พร้อมกันหันหน้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชอีกด้วยหลังการอ่านแถลงการณ์เสร็จ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่กิจกรรมดำเนินไปได้ด้วยดีและถึงช่วงที่บรรดาผู้ร่วมกิจกรรมต่างผลัดเปลี่ยนกันมาปราศรัยให้กำลังใจซึ่งกันและกันนั้น บริเวณ ลานอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์นั้น ได้มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังคือ น.ส. เชาว์นาค มุสิกภูมิ สมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว มีลายทางลงเป็นสีแดง สวมหมวกสีน้ำเงินเข้ม ได้มายืนถือป้ายสนับสนุนกลุ่มนิติราษฎร์โดยมีข้อความว่า "โอเคนิติราษฎร์112" ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก โดยที่ผู้ชุมนุมเหล่านั้นต่างตะโกนขับไล่พร้อมทั้งเดินเข้าไปหานางเชาว์นาคจนเกือบเกิดการกระทบกระทั่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย รีบเข้ามาดึงตัวนางสาวเชาว์นาค ซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปจากพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทันที ทั้งนี้นางเชาว์นาค ตะโกนกล่าวสั้นๆระหว่างถูกควบคุมตัวว่า "ไม่มีใครจ้างมา มาคนเดียว นิติราษฎร์ทำถูกต้องแล้ว อยากเห็นประเทศเดินหน้า เขาทำเพื่อปกป้องสถาบัน" ทั้งนี้กิจกรรมจะหยุดชะงักไปชั่วครู่แต่ภายหลังนางสาวเชาวน์นาค ได้ถูกนำตัวออกไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้แทนรับหนังสือ กล่าวว่า จะนำแถลงการณ์ดังกล่าวมอบให้กับนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำเข้าที่ประชุมกรรมการบริหารวิทยาลัยเพื่อพิจารณาข้อเสนอ ที่ผ่านมาก็ได้ระบุชัดแล้วว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้ห้ามในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการเรื่องประมวลกฎหมายอาญา112 แต่ต้องห้ามเนื่องจากอาจมีการนำมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมืองจนนำไปสู่ความวุ่นวายในอนาคต ทั้งนี้การเสวนาทางการเมือง ตลอดจนการพูดในเชิงวิชาการเกี่ยวกับประเด็น ม.112 สามารถทำได้ในอนาคต แต่ขณะนี้ขอให้ระงับไว้ก่อนทุกกรณี จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายลงกว่านี้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะใช้เวลานานเท่าใด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2555, 23:43:58 112 เกาไม่ถูกที่คัน'เขากล้าหาญ แต่ยังมีปัญหา'
"ผมไม่ได้หมายความว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง สถาบันทุกสถาบันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตามสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเพียงแต่เวลาเราอยากจะเอาต่างประเทศมาเพื่อแก้ปัญหาในไทย" โดย..ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม "มาตรา 112" ที่คณาจารย์นิติราษฎร์จุดพลุเป็นข้อเสนอเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ร้อนเกินความคาดหมาย เกิดฝ่ายสนับสนุน-คัดค้านเขย่าสังคมไทย ลามไปถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นพื้นที่สงครามความคิดจนอธิการบดีมีมติห้ามเคลื่อนไหวมาตรา 112 ในรั้วแม่โดม จนมีการประท้วงโดยการวางหรีดต่อต้านกันวุ่นวาย ข้อเสนอแก้ มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา มองกันสองมุมสุดขั้ว ฝ่ายนิติราษฎร์บอกนี่เป็นข้อเสนอเพื่อพิทักษ์สถาบันในระยะยาว อีกฝ่ายเห็นว่า การแก้ 112 เท่ากับบ่อนเซาะทำลายสถาบัน บรรยากาศการเผชิญหน้าไปไกลถึงใช้อารมณ์ละเลยต่อการวิพากษ์เนื้อหาเหตุผล สมคิด เลิศไพฑูรย์ สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกสถานะคือ อดีตเลขากรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผู้ตกเป็นเป้าเพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามความคิด "นิติราษฎร์" วิเคราะห์ข้อเสนอแก้มาตรา 112 และประเด็นต่อเนื่องที่ตามมาของคณะนิติราษฎร์ ก่อนเริ่มเนื้อหาก็กระเซ้าว่า ข้อความในเฟซบุ๊กที่เจ้าตัวเขียน "นิติราษฎร์กู่ไม่กลับแล้ว"หมายความว่ายังไง? "ที่เขียนเพราะมีคนถามผม จะเตือนนิติราษฎร์บ้างไหม ก็เลยบอกว่า กู่ไม่กลับ จะไปเตือนเขาได้อย่างไร เขาไปขนาดนั้นแล้ว ไม่ใช่กู่ไม่กลับเพราะเนื้อหาเขาไม่ดี ความจริง มาตรา 112 มีความเห็นทางวิชาการเยอะ คนวิจารณ์นิติราษฎร์ก็ไม่ค่อยวิจารณ์เนื้อหา แต่วิจารณ์ท่าที พูดเรื่องเนรคุณซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าการที่นิติราษฎร์เสนอมาตรา 112 เป็นเสรีภาพที่จะทำได้" ข้อเสนอของนิติราษฎร์ที่ให้สำนักพระราชวังเป็นคนฟ้องแทนและลดโทษลงมา ผมไม่แน่ใจว่าถ้าแก้แล้วจะนำไปสู่อะไร แต่ก็คิดว่ามันก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์สถาบัย้อนกลับไปดูข้อเสนอแก้มาตรา 112 ของนิติราษฎร์ มีเนื้อหาโดยสรุป 7 ข้อ 1.ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน 2 ปี สำหรับพระราชินีรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดกรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต 6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงและการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น สมคิด วิพากษ์ว่า สิ่งที่นิติราษฎร์เสนอมีหลายเรื่อง เช่น การย้ายหมวดพระมหากษัตริย์ การลดโทษลงมา การให้สามารถวิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะ มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหาในเชิงบทบัญญัติอย่างที่นิติราษฎร์ระบุ แต่เป็นปัญหาจากการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงโทษที่แรงเกินไป เมื่อเทียบกับมาตรฐานโทษอื่น 3-15 ปี "สำหรับบทบัญญัติว่าด้วยการหมิ่นประมาทในระบบกฎหมายไทย มีคน 3-4 กลุ่ม ที่กฎหมายวางไว้ หมิ่นประมาทคนธรรมดา หมิ่นประมาทข้าราชการ หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ รัชทายาทไทย และหมิ่นประมาทประมุขของต่างประเทศแต่นิติราษฎร์แก้เรื่องเดียว ซึ่งเป็นข้ออ่อนของนิติราษฎร์ คนถึงวิจารณ์ว่า ทำไมต้องไปแก้ลดโทษหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไทย แต่ไม่เสนอแก้ลดโทษหมิ่นประมาทประมุขของต่างประเทศ ซึ่งมีโทษสูงเช่นกัน" สมคิด ตั้งคำถามว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ถูกลงโทษตามมาตรา 112 ได้กระทำความผิดตามมาตรา 112 จริงหรือไม่ หลักการคือ ในทางวิชาการเวลาเราหมิ่นประมาทใคร ต้องมีเจตนา คือ ต้องการให้เสื่อมเสีย แต่ถ้าหมิ่นประมาทเพื่อหวังดี ในทางกฎหมายถือว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาท ในระบบกฎหมายไทยศาลก็ใช้ "เจตนา" มาบังคับตลอด แต่ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยนั้น เรื่องใดที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มาตรา 112 จึงถูกใช้บังคับโดยไม่คำนึงถึงเจตนา ทำให้มีคนที่ถูกลงโทษตามมาตรา112 จำนวนมาก "ผมยกตัวอย่าง มี 2 เรื่อง 1.กรณีคุณวีระมุสิกพงศ์ ที่พูดเปรียบเปรยบางอย่าง ซึ่งนักกฎหมายถือว่าคุณวีระไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แต่มีคนไปแจ้งความ ตำรวจก็ต้องรับ มิฉะนั้นตำรวจก็ถูกกล่าวหาว่าไม่หวังดีต่อพระมหากษัตริย์ อัยการก็ต้องส่งฟ้อง ศาลก็ต้องตัดสิน 2.คดีคุณสนธิลิ้มทองกุล ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดี คุณสนธิเอาคำของคนที่หมิ่นประมาทมาเพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ ถามว่า คุณสนธิมีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือไม่ ก็ไม่มี ตำรวจต้องไม่รับแจ้งความ อัยการต้องไม่ส่งฟ้องศาล ศาลต้องไม่ตัดสินว่าผิด นี่คือหลักของ มาตรา 112" อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์ตามมาตรา 112 มีบางคนที่หมิ่นประมาทจริง และไม่ได้หมิ่นประมาทด้วย แต่ทุกวันนี้เนื่องจากการบังคับใช้การตีความทางกฎหมายของคนในกระบวนการยุติธรรมไม่เอาเจตนามาจับ จึงเกิดปัญหาขึ้น "ข้อเสนอของนิติราษฎร์ที่ให้สำนักพระราชวังเป็นคนฟ้องแทนและลดโทษลงมา ผมไม่แน่ใจว่าถ้าแก้แล้วจะนำไปสู่อะไร แต่ก็คิดว่ามันก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็จะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ที่เหมาะสมหรือเกินเลยก็ได้ ผมเลยคิดว่าทำไมไม่แก้ปัญหาที่การบังคับใช้กฎหมายให้ชัดขึ้น" จุดอ่อนของนิติราษฎร์ที่สมคิดมองอีกเรื่องคือการแก้ไขมาตรา 112 ที่อ้างเหตุผลให้สถาบันกษัตริย์ไทยเทียบเท่ามาตรฐานสากล เขาว่า ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดในโลก ไม่ว่า ภูฏานอังกฤษ ญี่ปุ่น หรืออีกหลายประเทศก็มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็นจะต้องเอามาตรฐานระบอบกษัตริย์ของประเทศหนึ่งมาใช้กับประเทศหนึ่ง "ผมไม่ได้หมายความว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลงสถาบันทุกสถาบันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตามสภาพการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพียง แต่เวลาเราอยากจะเอาต่างประเทศมาเพื่อแก้ปัญหาในไทย เราก็ยกตัวอย่างต่างประเทศเวลาเราไม่อยากเอาต่างประเทศ เราบอกว่า นี่เป็นระบบไทยๆ ตกลงเราใช้หลักอะไรกันแน่เราตามทุกประเทศได้จริงหรือ และจริงๆ ในโลกมีมาตรฐานเดียวหรือ นี่คือประเด็นใหญ่ของการแก้มาตรา 112 ซึ่งผมคิดว่ามีปัญหาในเชิงวิธีคิด" แนวคิดของนิติราษฎร์ที่เสนอห้ามไม่ให้พระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะหรือให้พระมหากษัตริย์สาบานต่อรัฐสภาในฐานะประมุขว่า จะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ มีความก้าวหน้าแค่ไหน?..."นี่ก็ไม่ใช่มาตรฐานโลก อย่างในอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์และเป็นต้นแบบของหลายประเทศ นายกฯ ต้องเข้าพบกษัตริย์และกษัตริย์มีอำนาจที่จะแนะนำนายกฯ ว่าต้องทำอย่างไร และกษัตริย์ต้องมาเปิดประชุมสภา ถ้าไม่เสด็จ สภาก็เปิดไม่ได้ มีอีกหลายประเด็นเยอะแยะ ซึ่งมีข้อแตกต่างในสาระที่ไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศมีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป "ผมย้ำอีกทีว่า ไม่ใช่ว่ามาตรา 112 ไม่ควรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามันถึงเวลามันก็ควรปรับปรุง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมาย ถ้าเราจะไปเปลี่ยนแปลงมันก็แก้ไม่ตรงจุด" สมคิด ยังหยิบยกข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของนิติราษฎร์ที่เห็นว่าเป็นปัญหา นั่นคือการปรับปรุงสถาบันศาล ที่เสนอว่าตุลาการศาลสูงต้องได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา "ผมว่า เละเลยนะ ต่อไปสภาคือนักการเมืองจะคุมศาลได้ ผู้พิพากษา ประธานศาลฎีกาคนไหนที่เข้มแข็งก็จะถูกโหวตไม่เอามาเป็นประธานศาลฎีกา เอาคนที่อ่อนลงมาหน่อยก็ได้ สถาบันศาลที่ดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้ในสังคมไทย ก็เพราะศาลปลอดจากฝ่ายการเมือง แต่แน่นอนความคิดของนิติราษฎร์คือ ทุกสถาบันต้องเชื่อมโยงกับประชาชน แน่นอนต่างประเทศเป็นอย่างนั้น แต่ระบบอย่างนี้ใช้ได้กับสังคมไทยหรือ นักการเมืองไทยกับนักการเมืองต่างประเทศได้มาตรฐานเดียวกันหรือ ถ้าศาลไทยต้องผ่านความเห็นชอบของสภา นักการเมืองก็จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อศาลไทย ก็มีคำถามว่า เราไม่เชื่อมั่นประชาชนหรือ เราเชื่อมั่นครับ แต่ถามว่าวันนี้เรามีสภาที่มีคุณภาพเพียงพอหรือเปล่าที่ยังทำหน้าที่นี้ได้ เราไว้ใจสภาผู้แทนราษฎรขนาดนั้นหรือไม่ นี่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย" อีกประเด็น ข้อเสนอให้มีระบบสภาเดี่ยวคือมีสภาผู้แทนราษฎรแต่ไม่มีวุฒิสภา สมคิดไม่เห็นด้วย โดยยกเหตุผลว่า ถ้ามีสภาเดียวแล้วดี ทำไมผู้ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ2550 ถึงให้มี 2 สภา เพราะเขาคิดว่าสภาที่ 2 คือ วุฒิสภา ต้องมีเพื่อคานอำนาจสภาผู้แทนฯถ้ามีสภาผู้แทนฯ เพียงสภาเดียว จะไม่มีองค์กรไหนมาตรวจสอบสภาผู้แทนฯ ได้ "แน่ล่ะ มีตัวอย่างหลายประเทศที่ใช้สภาเดี่ยวแล้วประสบความสำเร็จ แต่มันก็เป็นประเทศของเขา จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในประเทศไทยหรือไม่ คนละเรื่องนะครับ เพราะคุณภาพของสภาไทยกับสภานอกไม่เหมือนกัน ถามว่าทำไมเรามีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แต่ต่างประเทศไม่มี ผมไปเยอรมนีผมก็ถามเขาว่า เมืองไทยทุจริตเยอะ แล้วเยอรมนีป้องกันปัญหาทุจริตอย่างไร เขาบอกไม่ต้องป้องกันมาก เพราะคนเยอรมันไม่ทุจริตมันอาย ไม่ทำกัน "ฉะนั้น ข้อเสนอนิติราษฎร์ดูดี ได้มาตรฐานอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี แต่ว่าสอดคล้องกับสังคมไทยหรือไม่ นี่เป็นปัญหามาก" ... เช่นเดียวกับข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ที่นิติราษฎร์เสนอแต่แรก สมคิด บอกว่า เป็นเรื่องดี และนักวิชาการทุกคนก็ต้องเห็นด้วย แต่ข้อสังเกตคือ ทำไมไม่ลบล้างย้อนหลังไปถึงการรัฐประหารครั้งก่อนๆ เช่น สมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) และที่นิติราษฎร์บอกว่าจะแก้มาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ปัญหาผลของการรัฐประหาร คำถามคือ จะแก้ได้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมี 2 ส่วน บทถาวรหลักกับบทเฉพาะกาล ในส่วนของบทเฉพาะกาลเมื่อใช้แล้วมันก็เลิกไปตามเวลาที่ผ่านไป วันนี้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ผ่านไป 5 ปี บทเฉพาะกาลจึงไม่มีผลแล้ว ฉะนั้นจะมายกเลิกบทเฉพาะกาลในมาตรา 309 เพื่อให้มีผลย้อนหลังไป หลายคนจึงไม่เข้าใจว่าคืออะไร อย่างไรก็ตาม อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า การขับเคลื่อนแก้มาตรา112 ได้ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าที่ขมึงเกลียวทั้งที่วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาสำคัญที่ต้องแก้มากกว่ามาตรา 112 เช่น ปัญหาความยากจนของคนไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมายอื่น การช่วยเหลือชาวบ้านที่ไปบุกรุกที่สาธารณะแล้วถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งมากกว่าคนที่โดนคดีหมิ่นฯ มาตรา 112 ปัญหาทุจริตของนักการเมือง ฯลฯ ทำไมไม่จับสาระตรงนี้ แต่ถึงแม้จะเห็นต่าง ทว่า สมคิด ก็ชื่นชมความกล้าหาญของคณาจารย์นิติราษฎร์ที่เสนอความเห็นแหลมคมที่ไม่มีใครกล้ามาก่อน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางความคิด มีการโต้แย้งถกเถียงทางวิชาการ นำไปสู่ทางออกที่ดีในอนาคต "การจุดพลุของนิติราษฎร์เป็นข้อดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้แสดงความเห็นอย่างเต็มที่ เพราะไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่สังคมรับไม่ได้กับเรื่องบางเรื่อง เพราะวันนี้สังคมไทยอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การจะแก้ไขมาตรา112 ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และหากจะเกิดการแก้ไขครั้งนี้ขึ้น ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย สามารถแก้ไขได้ เพียงแต่ว่า คนที่จะขอแก้ ต้องตอบโจทย์ก่อนว่า ทำไมต้องแก้". "ผมไม่ได้หมายความว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง สถาบันทุกสถาบันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตามสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเพียงแต่เวลาเราอยากจะเอาต่างประเทศมาเพื่อแก้ปัญหาในไทย" นิติราษฎร์ 'เพื่อน-น้อง-ลูกศิษย์-ผู้ช่วย' กับคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า สนิทสนม มักคุ้น เพราะเคยอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ด้วยกันมาก่อน 7 คณาจารย์นิติราษฎร์ ประกอบด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปิยบุตร แสงกนกกุล จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ธีระ สุธีวรางกูร ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ และสาวตรีสุขศรี ทั้งหมดเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมตัวเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2553 มีจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร สมคิดเล่าว่า บางคนเป็นเพื่อน บางคนเป็นลูกศิษย์ บางคนเคยเป็นผู้ช่วยเขา "อาจาย์วรเจตน์ ก็เป็นเพื่อน เขารุ่นน้องที่ธรรมศาสตร์ (หัวเราะ) อาจารย์ปิยบุตร เป็นทั้งลูกศิษย์และผู้ช่วยของผมเอง เขาก็ช่วยผมนานพอสมควรก็สนิทชิดเชื้อกัน ผมก็แนะนำเขา ตลอด ปิยบุตรก็ดีกับผมมาก เขาไม่เคยวิจารณ์หรืออะไรต่อกัน แต่ว่าธรรมศาสตร์เป็นอย่างนี้เขาจะเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นใคร แต่เมื่อเขาเป็นอาจารย์เขาก็มีสิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาค เราจะไม่มาบอกว่า สมคิดเป็นอาจารย์ปิยบุตรมาก่อน ฉะนั้นสมคิดต้องเก่งกว่า ปิยบุตรปิยบุตรห้ามวิจารณ์อย่างนี้ ปิยบุตรสามารถเถียงกับสมคิดได้ แม้จะเคยเป็นลูกศิษย์มาก่อนก็ตามเขาอาจจะเก่งก็ได้ในบางเรื่อง เช่น 112 เขาอาจจะค้นไปสุดๆ รู้เรื่องมากกว่า เราก็ได้" "ผมเพิ่งกินข้าวกับปิยบุตรเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ก็แสดงความยินดีกับ ปิยบุตร ที่จบปริญญาเอกจากฝรั่งเศส เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอกในเรื่องส่วนตัว ถ้าใครจะค้นว่า ผมมีอคติกับวรเจตน์ หรือใครมีอคติต่อใคร ผมไม่เห็นด้วยนะแม้แต่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจารย์วรเจตน์ได้ทุนอานันทมหิดล แล้วเนรคุณต่อเจ้าของทุน ผมก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะวิจารณ์กันอย่างนี้ เราต้องวิจารณ์เนื้อหาที่ อาจารย์วรเจตน์ หรืออาจารย์ปิยบุตรพูด สมคิดเล่าต่อถึงความสัมพันธ์กับสมาชิกนิติราษฎร์ "อาจารย์จันทจิรา ก็รู้จักตั้งแต่เป็นนักศึกษา เขาเป็นรุ่นพี่นิติศาสตร์ของผม อาจารย์ธีระก็รู้จักกันในภาควิชา เกือบทั้งหมดในนิติราษฎร์ อยู่ในภาควิชาเดียวกับผม คือ ภาควิชากฎหมายมหาชน ตั้งแต่อาจารย์วรเจตน์อาจารย์ธีระ อาจารย์ปิยบุตร อาจารย์จันทจิราสนิทสนมกัน สมัยก่อนก็กินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวนี้ผมมาทำบริหาร เขาก็ไปเคลื่อนไหว ก็ไม่ค่อยได้เจอ แต่เราคุยกันได้ตลอด "บางเรื่องผมก็กริ๊งกร๊างหา ฟังคนนั้นคนนี้เมื่อ 2 ปี ผมก็โทร.ไปหาอาจารย์วรเจตน์ มีหนังสือพิมพ์ออกข่าวทำนองว่า อาจารย์วรเจตน์วิพากษ์วิจารณ์ผมว่า ผมไม่ยอมให้ใช้สถานที่อะไรต่างๆ ผมตรวจสอบ ผมก็โทร.ไปถามว่าอาจารย์วรเจตน์เรื่องนี้ไม่จริงนะ ผมไม่เคยไม่ให้ใช้สถานที่ อาจารย์วรเจตน์ก็บอกว่า ผมไม่ได้ให้สัมภาษณ์ครับ หนังสือพิมพ์ลงไปเอง ก็กริ๊งกร๊างหากัน "แม้แต่เรื่อง 112 เมื่อวาน (วันพุธที่ 1 ก.พ.)ผมก็โทร.ไปหาอาจารย์ปิยบุตรในฐานะเพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาว่า มติธรรมศาสตร์เป็นอย่างนี้ คุณช่วยดูหน่อยว่า จะทำอย่างไรให้ภาพรวมของธรรมศาสตร์ออกมาดี อาจารย์ปิยบุตรก็บอกว่า ก็คงไปคุยกัน และก็ถามผมว่าจะขออนุญาตแถลงข่าวได้ไหม ก็พูดกันไปครับ" สมคิดยืนยันว่าได้ให้เสรีภาพทางวิชาการกับนิติราษฎร์ แต่ช่วงหลังมีนักศึกษา เจ้าหน้าที่เป็นห่วงเรื่องการจัดเสวนามาตรา 112 ในธรรมศาสตร์มาก หลายคนติงอธิการบดีว่า ทำไมถึงยอมให้เขามาใช้ที่ธรรมศาสตร์จัดกิจกรรม ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่รุนแรง ก็ตอบไปว่า เป็นเสรีภาพทางวิชาการ และเป็นความหลากหลายในธรรมศาสตร์ แต่ถ้าเลยเถิดไปกว่านั้น จะถึงขนาดที่จะเป็นปัญหา ก็ต้องลงไปดูแล ซึ่งถ้านิติราษฎร์จะจัดอภิปรายเรื่องอื่นในธรรมศาสตร์ ก็ไม่ได้ห้ามอะไร "ในระบบธรรมศาสตร์ ผมจะบอกว่า เอ้ยคุณหยุดพูดนะ ผมเป็นผู้บังคับบัญชาคุณ ถ้าที่อื่นเขาทำไปแล้ว ทหาร มหาดไทยเขาก็สั่งให้หยุดพูดแต่มหาลัยเรามีเสรีภาพทางวิชาการ อธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาของทุกคนก็จริง แต่อธิการบดีก็ไม่สามารถสั่งให้คุณหยุดพูดได้ มันทำไม่ได้เพราะมหาลัยมีเสรีภาพทางวิชาการ" ระวังวิกฤตรธน. สถานการณ์ประเทศขณะนี้ ในทัศนะของสมคิด มองว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่น่าเป็นห่วง อาจเกิดความรุนแรงได้ทุกเมื่อ เพราะไม่ได้ถกเถียงทางวิชาการ แต่ส่วนตัวก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า ทุกอย่างมีทางออก ไม่มีทางที่จะอุดตัน "หลายคนคิดว่าสังคมจะเปลี่ยนเร็ว มันไม่เร็วอย่างที่เราคิดหรอกครับ ถามว่า ผมอยากให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยไหม ผมอยากครับ และผมก็ไม่อยากเห็นทหารทำรัฐประหาร 19 ก.ย. ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะผมคิดว่าแม้รัฐประหารเมืองไทยทำง่ายแต่การรักษาอำนาจไว้มันทำยาก แม้แต่วันนี้ก็มีคนพูดว่า อาจมีการทำรัฐประหารจากประเด็น 112 นะ ผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง" สมคิด วิเคราะห์ว่า ปัจจัยเปราะบางที่จะเกิดความขัดแย้งในปัจจุบันมี 3 เรื่อง คือ 1.มาตรา 112 2.การแก้รัฐธรรมนูญ และ 3.การแก้ พ.ร.บ.กลาโหม เรื่องรัฐธรรมนูญอยู่ที่เนื้อหาที่จะแก้ เช่นถ้าแก้บางเรื่องที่ไม่ใหญ่ก็ไม่ขัดแย้ง แต่ถ้าแก้มาตรา 237 เรื่องยุบพรรค ก็อาจเจอการเคลื่อนไหวต่อต้านได้ หรือแก้ไม่ให้มีวุฒิสภาสว.ก็อาจไม่ผ่านรัฐธรรมนูญให้ แต่มองว่าเหตุผลลึกๆ ที่รัฐบาลอยากแก้รัฐธรรมนูญก็เพื่อควบคุมองค์กรอิสระเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณที่คุมเบ็ดเสร็จทั้ง สส. สว. ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระบางส่วน เพราะวันนี้รัฐบาลยังคุมองคาพยพทั้งระบบไม่ได้ หลายคนจึงมองออกว่ารัฐบาลมองไกลไปที่การคุมกลไกอำนาจรัฐทั้งหมดของประเทศผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้น "รัฐบาลอย่าคิดว่าตัวเองมีเสียงข้างมากในสภา เพราะเสียงข้างมากไม่ได้เป็นจุดชี้ขาดเราเห็นมาแล้ว ตอนนายกฯ ทักษิณ มีเสียงข้างมาก ก็พ่ายแพ้ ใครจะคิดว่ากรณีไม่เสียภาษีซื้อขายหุ้นของคุณทักษิณจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว การแก้รัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกันจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ ถ้ารัฐบาลอ้างว่าฉันมาจากประชาธิปไตย ฉันกุมเสียงข้างมาก จะแก้อย่างไรก็ได้" สมคิด เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ได้ เพราะหลายเรื่องที่รัฐบาลบริหารประเทศมา 6 เดือนก็มีข้อดีที่ทำงานเร็ว มีประสิทธิภาพ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2555, 10:10:48 คอป.ย้อน "ยงยุทธ" ถามเกณฑ์ความรู้สึกคนอื่นแล้วหรือไม่ก่อนควัก 3 ล้าน
ย้ำหลักสากลไม่จ่ายให้คนจงใจทำผิด นพ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวถึงกรณีที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคอป. (ปคอป.) ระบุว่าเงินเยียวยาจิตใจ 3 ล้านบาทในเงินเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมือง ทั้งหมด 7.75 ล้านบาท ตั้งขึ้นโดยหลักเกณฑ์ความรู้สึก ว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ประธาน ปคอป.ออกมาชี้แจงว่าใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตั้งตัวเลขเงินเยียวยาดังกล่าว ในส่วนของเงินชดเชย 4.5 ล้านบาท เมื่อชี้แจงมาจากรายได้เฉลี่ยประชาชาติ คูณจำนวนปีที่ผู้เสียชีวิตน่าจะทำงานได้ คอป.ก็ไม่ได้ติดใจอะไร "แต่เงินเยียวยาจิตใจ 3 ล้านบาทที่นายยงยุทธบอกว่าใช้ “หลักเกณฑ์ความรู้สึก” คอป.เห็นด้วยว่าชีวิตคนประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่ถ้านายยงยุทธจะใช้เกณฑ์ความรู้สึกในการตั้งตัวเลขเงินเยียวยาจิตใจ อยากให้ช่วยไปถามเกณฑ์ความรู้สึกของคนส่วนอื่นในสังคมด้วยว่าเห็นด้วยกับเกณฑ์ความรู้สึกที่นายยงยุทธตั้งขึ้นมาหรือไม่ หากคนเหล่านั้นยอมรับ ก็คาดว่าจะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นมาได้ แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่ยอมรับ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก" นพ.รณชัยกล่าว กรรมการ คอป.ยังกล่าวว่า ขอชื่นชมที่นายยงยุทธประกาศว่าก่อนจะจ่ายเงินเยียวยา จะต้องมีการพิสูจน์ว่าบุคคลเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้หลักการสากลยังระบุว่าไม่ให้จ่ายเงินเยียวยาผู้ที่จงใจกระทำผิด ดังนั้น ก่อนที่จะจ่ายเงินเยียวยาให้กับบุคคลใดโดยเฉพาะ 91 ศพที่นายยงยุทธบอกว่าควรจะได้ทุกคน ก็ควรจะมีการตั้งโต๊ะชี้แจงเป็นรายบุคคลเลยว่า คนเหล่านี้ได้รับเงินเยียวยาเพราะอะไร หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2555, 22:55:47 คำสั่งแบ่งงานบิ๊กตร."รอบ3" เมื่อ "บิ๊กอ๊อบ" ลดบทบาท "บิ๊กอ๊อด" ฉาย "รอยร้าว" กรมปทุมวัน
คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่ 33/2555 เรื่อง "แก้ไขกำหนดลักษณะงานและการมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้จเรตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (สบ 10) ที่ปรึกษา (สบ 10) ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (สบ 9) และรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 9)" ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ลงนามเมื่อค่ำวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา กลายเป็น "ชนวน" ให้เกิดการตั้งข้อสังเกต ถึงการปรากฏ "ความไม่ลงรอย" ใน "กรมปทุมวัน" นั่นเพราะเป็นคำสั่งเปลี่ยนแปลงการ "แบ่งงาน" แก่เหล่า "31 บิ๊ก ตร." ครั้งที่ 3 ในรอบไม่ถึง 4 เดือนนับตั้งแต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. ฉายให้เห็นสไตล์การบริหารแบบ "บิ๊กอ๊อบ" ซึ่งแตกต่างจาก ผบ.ตร.คนอื่นๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงการแบ่งงาน เป็นลักษณะสั่งครั้งเดียวจบ แต่สำหรับ "บิ๊กอ๊อบ" ไม่ใช่ ผู้นำสีกากีคนนี้มาในสไตล์ "คิดใหม่ สั่งใหม่" ได้ตลอดเวลา ขณะที่คำสั่งล่าสุดส่งนัยยะหลายประการ คำสั่ง ตร.ที่ 33/2555 แบ่งกลุ่มงานตามเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของหน้างานต่างๆ จนเกิดข้อกังขา เช่น การจัดให้สำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง ซึ่งอยู่ในกลุ่มหน่วยงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ตามการจัดโครงสร้างแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาอยู่ในความดูแลของรอง ผบ.ตร.ด้านบริหาร นั่นก็คือ "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" และยังให้งานบริหาร ดูแลงานป้องกันปราบปรามน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นที่ทราบกันในวงสีกากี ว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายคุมงานด้านนี้ ต้องเป็นคนสนิทของ ผบ.ตร. หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่วางใจได้ เนื่องจากมีงบประมาณมหาศาล และที่สำคัญงานปราบปรามน้ำมันเถื่อนใน พ.ศ.นี้มีนัยยะทางการเมืองแฝงอยู่ เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือจัดการปรปักษ์ทางการเมืองได้?! พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้เหตุผลของการวางตัว "พล.ต.อ.พงศพัศ" ให้เป็นเบอร์ 1 ของงานด้านบริหาร ขึ้นแท่นชนิดหนึ่งเดียวเบ็ดเสร็จ ว่าเป็นไปตามเหตุเดียวกับที่ปรับเปลี่ยนงานของ บิ๊ก ตร.คนอื่นๆ นั่นคือ เป็นไปตามความเหมาะสม "พล.ต.อ.พงศพัศได้ช่วยงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมาในช่วงน้ำท่วม ทำให้การประสานงานกับรัฐบาลไปได้ดี ทั้งการประสานสื่อมวลชน ประสานรัฐบาล ตัว พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นคน Flexible (ยืดหยุ่น) เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ก็เห็นว่าเหมาะสมจะรับงานบริหาร" เป็นคำอธิบายของ ผบ.ตร. ที่อาจเรียกได้ว่าได้มาเพราะ "นารีอุปถัมภ์" คงไม่ผิดนัก ในงานด้านยาเสพติด งานหลักจุดขายของ ผบ.ตร. ในคำสั่งนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มอบ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. รับไปดูแล โดยให้ดูแต่งานยาเสพติดอย่างเดียว ไม่มีจับงานอื่น มองตามตรรกะหยาบๆ พล.ต.อ.วัชรพลเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) การวางตัวเป็นรอง ผบ.ตร.คุมงาน ปป.ยาเสพติดไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยแต่ประการใด แต่ในวงสีกากีกลับมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าแม้งานด้านยาเสพติดจะเป็นงานสำคัญ แต่อย่าลืมว่าเป็นงานที่ ผบ.ตร.คนนี้ลงมาเล่นเองตลอด และเป็นพระเอกที่ดูโดดเด่นมาก ดังนั้น การมอบหมายให้ พล.ต.อ.วัชรพลกำกับเพียง บช.ปส. โดยไม่ให้รับผิดชอบกำกับดูแลพื้นที่ ก็มองได้ว่าเป็นการ "สตั๊ฟ" ลดบทบาทของบิ๊กสีกากีผู้นี้ ละม้ายคล้ายๆ ในยุคที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังเป็นรอง ผบ.ตร.กำกับดูแลงานด้านกิจการพิเศษ ก็ได้รับมอบหมายให้คุม บช.ปส. โดยไม่ได้กำกับพื้นที่ สมัยนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เคยออกทำนองว่าถูก "สตั๊ฟ" ลดบาทเช่นกัน?!! ขณะที่การปรับเปลี่ยนงานด้านปราบปรามอาชญากรรม ของ ผบ.ตร.เพรียวพันธ์ในครั้งนี้ เป็นจุดที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากมีการลดบทบาทของ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ที่เคยเป็นรอง ผบ.ตร. ด้านป้องกันปราบปราบอาชญากรรม (ปป.) กำกับรับผิดชอบ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นเสมือนพระเอกในงาน ปป.มาหลายสมัย แต่คำสั่งนี้ให้รับผิดชอบเพียง บช.ภ.1, 2, 3, 4 โดยโยกบทพระเอก คุม "นครบาล" หัวใจของประเทศ ให้แก่ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. รับไปแทน โดยให้คุมทั้ง บช.น. บช.ภ.5, 6 และ 7 อีกทั้งยังให้ พล.ต.อ.ปานศิริ คุมงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ อีกหลายอย่าง ทั้งงานปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ การโจรกรรมรถยนต์ การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ขณะที่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์คุมเพียงงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง ส่วนงานปราบน้ำมันเถื่อนโยกให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ไปดูแลแทน!! ซึ่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้คำอธิบายสั้นๆ ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนไม่ได้มีความขัดแย้ง แต่เป็นความเหมาะสม "เพราะผมดูว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าวต่างๆ ทั้งเรื่องอบายมุข อะไรอย่างนี้ ประกอบด้วย รวมทั้งการจัดการบริหารงานตำรวจ เห็นควรว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ก็สั่งการไปมีแค่นี้ ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่านี้ ไม่มีความขัดแย้งอะไร ผมทำตามความเหมาะสม ไม่มีการโกรธเคืองอะไร "ที่ปรับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ไปคุม บช.ภ.1, 2, 3, 4 ก็ยังเป็นงานปราบปรามอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้ดูนครบาลเท่านั้นเอง ที่ให้ พล.ต.อ.ปานศิริ มาคุม บช.น. เนื่องจากเคยเป็น ผบช.น.มาก่อน ก็น่าจะดูเรื่องอบายมุขได้เรียบร้อย เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาการประสานงานหรือความต่อเนื่องของงานเพราะคนเป็นตำรวจย่อมรู้งานดี รับงานไหนก็ทำกันได้" กระนั้น การปรับโยกงานบิ๊ก ปป. ก็มีนัยยะสะท้อน "ความไว้วางใจ" ที่มีต่อ พล.ต.อ.ปานศิริอย่างมาก นั่นเพราะ บช.น. บช.ภ.5 ซึ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือ บช.ภ.6 ภาคเหนือตอนล่าง และ บช.ภ.7 จังหวัดภาคกลางปริมณฑล เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการปราบปรามยาเสพติด อันเป็นภารกิจหลักที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ดังนั้น การโยกสลับเปลี่ยนบทมือขวา จึงเป็นที่น่าจับตา ในทางกลับกันที่น่าสนใจกว่า คือ อย่าลืมว่าตลอดเวลาที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์อยู่บนเก้าอี้ "พิทักษ์ 1" มีข่าวลือ ข่าวปล่อยในแวดวงสีกากีตลอดเวลาว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะนั่งบนบัลลังก์สีกากีไม่ครบเกษียณ โดยมี พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ซึ่งประหนึ่ง "คอหอยกับลูกกระเดือก" กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มารับไม้ต่อก่อนเกษียณ เป็นข่าวลือที่ไม่เคยจางไปจากรั้วปทุมวัน จนล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิมต้องออกโรงตอบโต้สยบข่าวลือชนิดควันออกหู เพราะทั้ง "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ และ ร.ต.อ.เฉลิม ประสานเสียงว่า "ไม่เคยมีความคิดหักขาเก้าอี้ ผบ.ตร." เช่นเดียวกับ ผบ.ตร.เพรียวพันธ์ที่มีแนวโน้มจะไม่สละเก้าอี้ก่อนวันที่ 30 กันยายน 2555 จุดนี้เองทำให้คำสั่งเปลี่ยนแปลงการแบ่งงานครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่แนบแน่นในความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ และ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งไม่ได้หมายรวมถึงพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาล ว่ากันว่าการแต่งตั้งนายพลครั้งที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ จับมือกันพยายามหักบัญชี ผบ.ตร. ในที่ประชุม ก.ตร.ถึงขั้นทุบโต๊ะ ท้าทาย จน "ตอกลิ่ม" ให้ร้าวลึก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และ ผบ.ตร.จะออกมาประสานเสียง ไม่มีเกาเหลาชามใหญ่ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่การลงนามคำสั่งแบ่งงาน ซึ่งเขย่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ ก็ปิดรอยร้าวไม่มิด และที่สำคัญในห้วงนี้เหล่าสีกากีเริ่มเห็นอำนาจนอกองค์กรเข้ามาป้วนเปี้ยนในสำนักปทุมวัน ยิ่งขับเน้นให้เห็นเค้าลางของอิทธิพลเหนือการตัดสินใจบริหารองค์กรสีกากีของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ประชิดเข้ามาทุกที ใช่หรือไม่ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุของรอยร้าวที่ปรากฏ?!! หน้า 8 มติชนรายวัน ฉบับวันที่5ก.พ.55[/color] หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 09:46:26 แพทย์ชนบทเคลื่อนสะเทือน วิทยา
06 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 07:42 น. | เปิดอ่าน 325 | ความคิดเห็น 0 หยั่งรากลงลึกแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปรากฏร่องรอยสำทับการตั้งอยู่จริง โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน หยั่งรากลงลึกแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปรากฏร่องรอยสำทับการตั้งอยู่จริง เม็ดเงินมหาศาลร่วมแสนล้านบาทหมุนเวียนอยู่ในกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) คือชิ้นปลามันที่กำลังถูกจับจ้อง พลันที่ วิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข (สธ.) เข้าดำรงตำแหน่ง ขั้วอำนาจในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ถูกพลิก กลุ่มผู้บริหารเดิมโดนล้างบาง โครงสร้างบอร์ด สปสช. ประกอบด้วยผู้แทนภาคประชาชน 5 คน ผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข 5 คน ผู้แทนหน่วยงานราชการ 8 คน ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4 คน รมว.สาธารณสุข 1 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน (ผู้ทรงคุณวุฒิได้รับการแต่งตั้งจากบอร์ด 23 คนแรก) รวมทั้งสิ้น 30 คน แน่นอนว่าเสียงของผู้แทนหน่วยงานราชการอปท. จะเทตามบัญชาของ รมว.สาธารณสุข นั่นหมายความว่า รมว.สาธารณสุข กุมเสียงไว้ทั้งหมด 13 เสียง ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปี 2554 ก่อนได้บอร์ดชุดปัจจุบัน เสียงภาคประชาชนผู้ทรงคุณวุฒิ จะผนึกเข้ากับ รมว.สาธารณสุข เสมือนหนึ่งลดทอนและจำกัดบทบาทผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข (กลุ่มแพทย์โรงพยาบาลเอกชน) ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุควิทยา กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กล่าวคือทั้ง 13 เสียง ได้ควบรวมเข้ากับเครือข่ายแพทย์เอกชนสภาวิชาชีพอย่างเหนียวแน่น จนสามารถแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากแพทย์เอกชนนายทุนอีก 7 เสียง ได้สำเร็จ เกิดเป็นข้อเคลือบแคลง “สายสัมพันธ์ผลประโยชน์” คือผลเลิศของการแต่งตั้งตัวบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งใช่หรือไม่? “พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มสมาคมยาข้ามชาติ กลุ่มโรงพยาบาลเอกชน เครือข่ายแพทย์ สภาวิชาชีพ ข้าราชการ สธ.บางราย ที่ผนึกเข้ากับฝ่ายการเมืองเพื่อล้มระบบบัตรทอง เนื่องจากสูญเสียอำนาจบริหารตัดสินใจงบประมาณ” สุภัทรา นาคะผิว โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เปิดประเด็นขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา วาทกรรม “ล้มบัตรทอง” ในที่นี้ หมายถึงการแสวงหาประโยชน์จากเงินในกองทุน ท่ามกลางความคลุมเครือที่ยังไร้ข้อพิสูจน์ในขณะนั้น มีความเคลื่อนไหวจากชมรมแพทย์ชนบทที่น่าสนใจ สองวันให้หลัง นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ประกาศจุดยืนสนับสนุนข้อมูลของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และเปิดหน้าชกด้วยการตีแผ่ “บันได 4 ขั้น” ของขบวนการฮุบกองทุน 1.ฝ่ายการเมืองจะเปิดทางให้กลุ่มแพทย์ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบและฝ่ายการเมืองเข้ายึดครองบอร์ด สปสช. เพื่อจัดบุคคลเข้าสู่อนุกรรมการชุดต่างๆ 2.เปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยเอาตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าไปแทนที่ 3.ของบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเพิ่มขึ้น 4.สร้างกระแสสังคมให้ยุบเลิกหรือแก้ไขสาระสำคัญของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ถึงบทบาทการตรวจสอบข้อพิรุธปมทุจริตของชมรมแพทย์ชนบท ทั้งกรณีการทุจริตยา 1,400 ล้านบาท เป็นเหตุให้ รักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข ต้องติดคุก หรือกรณีทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการไทยเข้มแข็งจน วิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในขณะนั้น ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก การแสดงท่าทีของชมรมแพทย์ชนบทในครั้งนี้จึงมีพลังและน่ารับฟัง ที่สำคัญใช่ว่าบันได 4 ขั้น จะไม่มีความน่าจะเป็น นั่นเพราะเมื่อตรวจสอบรายชื่อบอร์ด สปสช.ชุดใหม่ โดยพิจารณาความเหมาะสมและเทียบเคียงกับบอร์ดชุดก่อน พบความไม่ชอบมาพากลหลายตำแหน่ง อาทิ สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา จ.ชลบุรี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันสุขภาพ ส่วนบอร์ดชุดก่อนคือ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ กรรมการบอร์ดการบินไทย เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทย บอร์ดชุดก่อน คือ ภญ.สำลี ใจดี ประธานกรรมการมูลนิธิพัฒนาการแพทย์แผนไทย และมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา เสงี่ยม บุญจันทร์ ทนายความสำนักงานเสงี่ยม บุญจันทร์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย บอร์ดชุดก่อนคือ เจษฏ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม หรือแม้แต่ วรานุช หงสประภาส ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณระดับ 10 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง ซึ่งล่าสุดได้ยื่นหนังสือลาออกต่อ รมว.วิทยา แล้ว โดย วิทยา ระบุว่า เหตุผลที่วรานุชลาออกเพราะมีภารกิจส่วนตัวในต่างประเทศจึงไม่สะดวกในการทำงาน ทว่ากลับมีชื่อวรานุชปรากฏอยู่ในบอร์ด ปตท.สผ. เริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา เร้าให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของขบวนการยึดกองทุนโดยภาคธุรกิจเอกชน นอกจากนี้ เมื่อจับสัญญาณจากการประชุมบอร์ด สปสช เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ยิ่งชัดเจนถึงแผนบันไดขั้นที่ 1.เพราะระยะเวลาร่วม 5 ชั่วโมง ที่ประชุมสามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 13 คณะ จำนวน 217 คน ได้สำเร็จ นิมิตร์ เทียนอุดม บอร์ด สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน บอกว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ฝ่ายการเมืองมีการนำคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการแพทย์มาดำรงตำแหน่ง และเมื่อถูกคัดค้านก็หาทางออกด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงข้างมาก ท้ายที่สุดก็เข้าข่ายพวกมากลากไป ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน บอร์ด สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน ระบุว่า กำลังหารือกับฝ่ายกฎหมายเพื่อขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา วิทยา ได้ชี้แจงข้อครหาผ่านเวทีเสวนาทางแพร่งระบบประกันสุขภาพภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เพียงสั้นๆ ว่า แผนบันได 4 ขั้นไม่มีจริง และยังเชื่อมั่นในบอร์ด สปสช.ชุดนี้ ส่วนประเด็นอื่นๆ กลับเลี่ยงที่จะให้คำตอบ โดยอ้างว่า “เป็นเรื่องภายใน ไม่ขอพูด” “ผมจะให้ระบบเป็นตัวชี้วัด ถ้ามันจะพังเพราะระบบที่วางเอาไว้ก็ให้มันพัง แต่ระบบมันอยู่ได้ก็เพราะบอร์ดซึ่งมีที่มาที่ไปในแต่ละส่วน ใครไม่ทำงานผมก็จะจี้ให้มันทำ ... ผมจะเรียกเขา (ชมรมแพทย์ชนบท) มานั่งคุย เขาอยากทำอะไรก็ให้บอกผม ถ้าผมไม่ทำเขาก็คงจะเคลื่อน” วิทยาตอบข้อถามถึงความกังวลต่อการเคลื่อนไหวของชมรมแพทย์ชนบท เห็นได้ว่า แรงกระเพื่อมจากชมรมแพทย์ชนบทพุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมของวิทยาโดยตรง ระยะแรกอาจเกิดผลเพียงเขย่าความน่าเชื่อถือ ทว่าหากยังไม่ชี้แจงข้อเคลือบแคลงหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ น่าจับตาในระยะยาวว่าเก้าอี้รัฐมนตรีตัวนี้จะสั่นสะเทือนหรือไม่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 09:51:38 คำถามเรื่องปรองดองเยียวยา...จากหัวใจช้ำ "ภรรยาร่มเกล้า"
โดย : นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ข้อเขียนจากหัวใจ "นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม" ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ถึงการปรองดอง เยียวยา และความหมาย "นักโทษการเมือง" ของ คอป. เมื่อวันที่ 30 ม.ค.255 ดิฉันได้รับเชิญจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เข้าร่วมเวทีเสวนาเพื่อแสดงความเห็นเรื่องความปรองดองในกระแสพลวัตทางสังคมและการเมือง พ.ศ.2555 จัดโดยคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง ซึ่งมี ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เป็นประธานอนุกรรมการ วัตถุประสงค์เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอันนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้เกิดความปรองดองร่วมกันอย่างเป็นระบบ และนำเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการยับยั้งไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นใหม่หรือขยายตัว ในการประชุมครั้งนี้ ดร.คณิต ณ นคร ประธาน คอป.ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย ดิฉันจึงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบประธาน คอป.ซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้พบมาก่อน เพื่อจะได้สอบถาม ไขข้อข้องใจต่างๆ ที่สงสัยแต่ไม่ทราบจะไปถามใคร ซึ่งอยากสรุปประเด็นที่ได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นในการประชุมดังกล่าว ขยายความจากที่ปรากฎเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ดังนี้ 1) เนื่องจากเป้าหมายของ คอป.และรัฐบาล ต้องการให้แนวทางเป็นที่ยอมรับร่วมกันของทุกฝ่าย จึงได้ถามว่า คอป.มองว่า "คู่กรณีแห่งความขัดแย้ง" คือใครบ้าง คำว่า "ฝ่าย" หมายถึงฝ่ายใดบ้าง และ คอป.หรือรัฐบาลจะมีกระบวนการให้ "แต่ละฝ่าย" แสดงการยอมรับหรือไม่ยอมรับในมาตรการต่างๆ ที่ออกมาได้อย่างไร เพราะสภาพความขัดแย้งในปัจจุบันมิได้มีฝ่ายชัดเจน เหมือนครั้งฝ่ายเหลือง-แดงในอดีต หากแต่ความขัดแย้งของสังคมไทยได้ขยายตัวในวงกว้าง ผู้ได้รับผลกระทบมีทั้งผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตจากเหตุการณ์จำนวนมาก ยังมีการรวมตัวของกลุ่มคนอีกหลากหลายในสังคม เช่น สีชมพู เสื้อหลากสี facebook ฯลฯ ยังมีฝ่ายรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ฝ่ายรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ฝ่ายทหาร นักธุรกิจและชาวกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงประชาชนเจ้าของประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าของภาษีเงินได้ที่รัฐนำมาใช้เยียวยา เขาเหล่านี้มีโอกาสและช่องทางแสดงความเห็นหรือการยอมรับให้รัฐบาลและ คอป.รับฟังได้อย่างไรบ้าง 2) ในแง่ขั้นตอนกระบวนการ ดิฉันเห็นว่าควรต้องเริ่มจาก (1) การค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ จากนั้นนำเข้าสู่ (2) กระบวนการยุติธรรม เมื่อหาตัวคนถูก-คนผิดได้แล้ว จึงนำไปสู่ (3)กระบวนการเยียวยา กล่าวคือ เยียวยาผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบ และดำเนินการกับคนผิด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสังคมว่าจะให้อภัย/ยกโทษให้คนผิดที่สำนึกได้เพื่อความปรองดอง หรือจะลงโทษคนผิดที่ไม่สำนึกให้หลาบจำ แต่เนื่องจากรัฐบาลและ คอป.เริ่มเปิดฉากด้วยการเยียวยาเป็นเรื่องแรก โดยข้ามผ่านอีก 2 กระบวนการ และมติ ครม.เรื่องการเยียวยาก็ไม่ได้มีคำอธิบายในเชิงเหตุผลใดๆ ประกอบมาตรการให้สังคมเข้าใจ จึงทำให้การเยียวยากลายเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์และขยายตัวลุกลามไปยังประเด็นอื่นๆ ในอดีต ที่สำคัญขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริงและการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมก็ไม่มีความคืบหน้า เสมือนว่าไม่ได้รับความสำคัญ ดิฉันได้ยกตัวอย่างกรณีคดีของ พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม สามีว่า เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้าอย่างใด จนล่าสุดเมื่อต้นเดือน ม.ค.2555 ได้มีโอกาสพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้เรียนถามความคืบหน้าคดี ซึ่งวันต่อมาท่านก็กรุณาให้เจ้าหน้าที่ส่งสรุปสำนวนคดีมาให้ ปรากฏความคืบหน้าคดีเพียงสั้นๆ 1 บรรทัดว่า “ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้” แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20 ม.ค.2554 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้เคยแถลงผลการสอบสวนคดีของพี่ร่มเกล้าว่า มีพยานหลักฐานว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. จากนั้นก็มีการจับตัวผู้กระทำความผิดฐานก่อการร้ายและใช้อาวุธสงครามเกี่ยวพันกับคดีพี่ร่มเกล้าและคดีอื่นอีก 8 คดีได้ ซึ่งต่อมาก็มีการให้ประกันตัวไป สรุปสำนวนคดีในวันนี้ทำไมจึงแตกต่างจากในวันก่อน? แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป? ดิฉันตระหนักว่าการหาตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยควรมีการแจ้งความคืบหน้าของคดีให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตทราบเป็นระยะๆ เพื่อให้ความมั่นใจว่าคดีของพวกเราไม่ได้ถูกละทิ้ง เพิกเฉย หรือมีการเปลี่ยนแปลงหลักฐานพยานใดๆ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล 3) สำหรับความเห็นเรื่องมาตรการเยียวยา ดิฉันได้ตั้งคำถามแก่เวทีเสวนา คอป. 3 เรื่อง คำถามแรก คือ ตามหลักการสากล ใครคือผู้มีสิทธิได้รับการเยียวยา? ผู้กระทำความผิดมีสิทธิได้รับการเยียวยาด้วยหรือไม่? (ในเงื่อนไขการเยียวยาของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ก็ระบุว่าต้องมีการพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด) ซึ่งคำตอบของ คอป. จากเวทีเสวนาครั้งนี้ คือ "ต้องไม่ใช่ผู้กระทำความผิด" แต่เงื่อนไขนี้ คอป.ไม่ได้ระบุไว้ในรายงานที่เสนอต่อรัฐบาล คำถามที่สอง คือ เนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก คนเหล่านี้มาด้วยเจตนาที่แตกต่างกัน แบ่งประเภทได้ดังนี้ (1) กลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยซึ่งมาปฏิบัติตามหน้าที่ (2) ประชาชนผู้บริสุทธิ์ (3) กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง และ (4) กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่ใช้ความรุนแรง คำถามคือ มาตรการต่อคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ 4 กลุ่มนี้ ควรอยู่บนหลักการหรือคำอธิบายเหตุผลในการชดเชยเยียวยาเดียวกันหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง? คำถามที่สาม คือ ขอทราบคำจำกัดความคำว่า "นักโทษคดีการเมือง" ตามที่ คอป.เขียนในรายงาน (ข้อ 5.3.3) ว่า "ผู้ต้องหาและจำเลยมิใช่เป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรดังเช่นคดีอาญาตามปกติ แต่เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอันมีมูลเหตุเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง" ดังนั้น คอป.จึงเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวหรือควบคุมตัวในสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งมิใช่เรือนจำปกติอันเป็นสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาและจำเลยทั่วไป ในประเด็นนี้ ดิฉันสงสัยว่าเนื่องจากเหตุการณ์การเมืองครั้งนี้มีความผิดทางอาญาเกิดขึ้น คือมีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ดังนั้นนักโทษคดีการเมืองในกรณีนี้จะต่างจากผู้ต้องหาหรืออาชญากรในคดีอาญาตามปกติอย่างไร คำถามที่สี่ ประเด็นสุดท้าย ดิฉันไม่เห็นด้วยกับปรัชญาการลงโทษที่ปรากฎในรายงาน (คอป.) หน้า 12 ว่า "...การกระทำความผิดมีมูลฐานเริ่มต้นจากความคิดเห็นในทางการเมือง ดังนั้นแม้พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายที่ก่อให้เกิดผลกระทบและสร้างความเสียหายแก่บุคคลและส่วนรวมเป็นเรื่องที่ผู้กระทำต้องมีความรับผิดชอบในทางกฎหมายที่เหมาะสม แต่ในหลายกรณีความรับผิดชอบในทางอาญาด้วยการฟ้องคดีและการลงโทษทางอาญาแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่สอดคล้องต่อปรัชญาในการลงโทษ ไม่ก่อให้เกิดความยุติธรรม และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ ทั้งนี้ เพราะผู้กระทำความผิดที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองแตกต่างจากผู้กระทำความผิดอาญาทั่วไปที่เป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรโดยกมลสันดาน การลงโทษพฤติกรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นย่อมไม่สามารถส่งผลในทางสร้างความยับยั้งหรือความหลาบจำให้กับผู้กระทำผิดและสังคมโดยรวมตามทฤษฏีในการลงโทษทั่วไปได้ นอกจากนี้ การดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของกระบวนการในการสืบสวน สอบสวน การตั้งข้อหา การรวบรวมพยานหลักฐานที่ถูกมองว่าไม่เป็นกลางและโน้มเอียงไปในทางที่เป็นคุณต่อผู้กุมอำนาจรัฐในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย..." ดิฉันไม่เห็นด้วยว่า คนที่ทำผิดด้วยเหตุจูงใจทางการเมืองในครั้งนี้จะมีกมลสันดานที่ดีกว่าผู้กระทำความผิดทางอาญาทั่วไป เพราะความผิดจากมูลเหตุจูงใจทางการเมืองของเขา ทำให้สามีดิฉันและคนอื่นอีกมากมาย "ตาย" ไม่แตกต่างจากความผิดทางอาญา ตรงกันข้าม ดิฉันเห็นว่าผู้ที่นำอาวุธสงครามออกมาทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุแค้นเคืองส่วนตัวใดๆ ต่อกันมาก่อน รวมถึงคนที่มีเหตุจูงใจการเมืองแล้วจุดไฟเผาบ้านเผาเมือง ใช้อาวุธสงครามยิงวัดพระแก้วซึ่งทำร้ายหัวใจคนไทย เป็นผู้มีกมลสันดานที่โหดร้ายเลวอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบ จึงไม่เข้าใจว่า คอป.ใช้มาตรฐานใดในการวัดกมลสันดานคน ควรวัดที่ผลของการกระทำนั้นมากกว่า และ คอป.ก็มิได้ระบุว่าการลงโทษใดจึงจะก่อให้เกิดการยับยั้งหรือหลาบจำ มีแต่ขอให้ปล่อยตัวหรือแยกการคุมขัง นอกจากนี้ เหตุผลในช่วงท้ายข้อความข้างต้น ยังแสดงว่า คอป.เองไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ในขณะที่ คอป.ขอให้รัฐและสังคมยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง มีนักวิชาการใน คอป.บางท่านให้ความเห็นว่าการพิจารณาเรื่องนี้ต้องก้าวข้ามว่าใครถูก-ใครผิด และต้องมองจากมุมคนกลางที่ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบ เพราะผู้ได้รับผลกระทบจะมีความรู้สึก "แก้แค้น-เอาคืน" ดิฉันอยากบอกในฐานะเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบคนหนึ่งและเชื่อว่าญาติผู้เสียชีวิตรายอื่นก็คงคิดไม่ต่างกันว่า ความอาฆาตพยาบาทไม่ทำให้ดวงวิญญาณของคนที่เรารักสงบสุข สังคมไทยเป็นสังคมที่รู้จักคำว่า "อภัย" เพียงแต่ขอให้คนทำผิดรู้ตัวว่าเขาผิด สำนึกได้ว่าจะไม่ทำผิดอีก เราก็พร้อมจะให้อภัย แต่ไม่ใช่เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาผิด แล้วท่านจะให้ความมั่นใจกับสังคมได้อย่างไรว่าวันหนึ่งเขาจะไม่ทำผิดอีก เขาจะไม่ฆ่าคน จะไม่สร้างความรุนแรง ทำร้ายประเทศไทย ลองคิดดูว่า หากวันหนึ่งลูกหลานของท่านลุกขึ้นมาฆ่าคนตายแล้วบอกว่าไม่ผิด เพราะผู้ใหญ่ทำให้เขาดูว่าไม่ผิด ท่านจะตอบลูกหลานท่านได้อย่างไร สังคมไทยจะอยู่กันได้อย่างไร ขอยกคำพูดอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ว่า "วิธีการปรองดองที่ดีที่สุดคือ การทำสิ่งถูกให้ถูก และทำสิ่งผิดให้ผิด ไม่ใช่ทำสิ่งที่ผิดให้ถูก การแก้ปัญหาต้องยึดหลัก เพื่อไม่ให้การแก้ป้ญหาหนึ่งกลายเป็นการสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมา" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 12:50:16 ผบ.ทบ.ลั่นทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว ม.112 ย้อนถามคนด่าพ่อ-แม่ของท่านจะรับได้หรือไม่
มติชนออนไลน์ เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวหลังเป็นประธานวันสถาปนาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ครบรอบ 64 ปี ถึงความพยายามในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ โดยเฉพาะการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวก็จะมีความขัดแย้งระหว่างคน 2 กลุ่มเสมอ คิดว่าในช่วงนี้ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ควรหยุดการเคลื่อนไหวได้แล้ว รัฐบาลและหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ก็บอกชัดเจนไปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ทราบว่าคณะนิติราษฎร์จะทำไปทำอะไร ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ในส่วนปัญหาข้อกฎหมายไม่น่าจะมี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยากเรียนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับในการดำเนินการมาตรา 112 ว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้เริ่มต้นในการดำเนินการ สังคมต้องทบทวนอีกครั้งว่าการกระทำความผิดใดๆ ก็ตาม หรือมาตราใดก็ตาม เมื่อมีผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดี ต่างฝ่ายจะมาอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ หรือเจ้าหน้าที่จะละเว้นก็ไม่ได้ แต่มาตรา 112 จะมีคณะกรรมการดำเนินการอยู่ ระดับแรกคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะต้องกลั่นกรองว่าเหมาะสมจะดำเนินคดีหรือไม่อย่างไร หลายครั้งมีหลายคดีที่ไม่ได้ดำเนินคดี ที่ไม่ได้ดำเนินคดีเพราะเราใช้หลักรัฐศาสตร์ คือเจ้าหน้าที่จะไปพบผู้กระทำความผิดโดยอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถูกชักจูง หรือความคะนอง โดยส่วนใหญ่ก็อ้างว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ และไม่เจตนา ก็ให้โอกาส เว้นแต่บางรายที่หนักหนาสาหัส พูดก็ไม่รู้เรื่องยังพยายามฝ่าฝืนข้อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินคดี “การปฏิบัติบังคับใช้ มาตรา 112 นั้นมีคณะกรรมการถึง 2 ระดับ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเอากฎหมายฉบับนี้มาแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด ถ้าไม่มีการละเมิดก็ไม่มีการดำเนินคดี คำพูดนี้ต้องชัดเจน เพราะฉะนั้นอย่างเอาเรื่องมาตรา 112 มาเคลื่อนไหวทำให้เกิดความวุ่นวาย สับสน อลหม่าน และสังคมก็ต้องไม่ให้เกิดเหตุนี้ขึ้นมา เพราะจะกลายเป็นข้อขัดแย้ง ถามกลับไปที่ตัวของท่านเองว่า ถ้าไม่มีกฎหมายหมิ่นประมาท คนมาว่าผู้ปกครอง ญาติพี่น้องของท่านได้หรือไม่ เขาละเมิด หยาบคายได้หรือไม่ ถ้าคิดว่าได้ก็โอเค ตนก็รับได้ แต่ตนคิดว่าท่านรับไม่ได้ถ้ามีใครมาละเมิดคุณพ่อคุณแม่ท่าน" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2555, 22:43:05 สยามประชาภิวัฒน์” รุมจวก ประชาธิปไตยไทย 1 ครอบครัว 3 นายกฯ
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2555 กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ จัดเสวนาวิชาการ หัวข้อ “วิกฤตประเทศไทยใครคือตัวการ” ที่ห้อง LT1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้เข้าร่วมรับฟังล้นห้อง โดย บางคนสวมเสื้อสีเหลือง สีชมพู ปะปนเป็นเสื้อหลากสี ทั้งนี้ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เข้าร่วมรับฟังด้วย นายคมสัน โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า การขับเคลื่อนของสภาพสังคมในปัจจุบัน อาทิ การแปรรูป ปตท. และอีกหลายกรณีทั้งหมดเป็นการทำมาหากินของทุนผูกขาดทั้งระดับชาติและระดับโลกทั้งสิ้น ตนคิดว่า เราคงต้องตื่นรู้และเท่าทันว่าระบบการเมืองไทยอยู่ภายใต้เผด็จการทุนผูกขาด โดยพรรคการเมืองอย่างสมบูรณ์ “หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยในวันที่ 9 ก.พ. ถ้ามีการรับข้อเสนอกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าไปด้วย เมืองไทยก็จะกลายเป็น เผด็จการโดยพรรคการเมืองทุนนิยมผูกขาด อย่างสมบูรณ์แบบและแก้ไข ใดๆ ไม่ได้เลยในอนาคต นอกจากการรัฐประหารเพียงอย่างเดียว แต่ตอนนั้น จะเหลือกองทัพให้รัฐประหารหรือไม่ ผมว่าคงไม่มีแล้ว เพราะภายใต้เงื่อนไขนั้น กองทัพก็ต้องอยู่ภายใต้พรรคการเมือง เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้พูดให้รัฐประหารนะครับ ผมเพียงแต่บอกว่า ข้อเสนอที่วิปริตเหล่านี้ มันสร้างวิกฤตประชาธิปไตย ให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าตอนนี้ เราคงจะต้องตื่นรู้” นายคมสันกล่าว นายสุวินัย ภรณวลัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เส้นทางที่คุณทักษิณและ เครือข่ายของเขา กำลังนำพาไป เป็นเส้นทางหายนะ โดย ตนเชื่ออย่างนี้ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ สถานะการเงินของรัฐบาลไม่มีกระแสเงินสดในการลงทุนเนื่องจากหนี้ในอดีต โดยเฉพาะหนี้กองทุนฟื้นฟู และหนี้สาธารณะ ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีเงินไปใช้ในนโยบายประชานิยม ที่ตัวเองได้เร่ขายฝันจนชนะการเลือกตั้ง ประเทศจะไปสู่หายนะอย่างแท้จริงกระบวนการไปสู่หายนะได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้วภายใต้ การกำกับโดยตรงของคุณทักษิณ ชินวัตร “ด้วยความตระหนักถึงวิกฤตประเทศไทยในเงื้อมมือเผด็จการพรรคนายทุน จากระบอบทักษิณเอง จึงเป็นความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ อย่างยิ่งที่กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ต้องปรากฎตัวขึ้นมา เพื่อยับยั้งและผลักดันให้ประเทศไทยของเราเบี่ยงเบนจากเส้นทางหายนะนี้ โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป” นายสุวินัยกล่าว นายสุวินัย กล่าวต่อไปว่า เหตุผลข้อที่สองคือ หากแลไปในอนาคต ภาวะโลกร้อนจะนำไปสู่ยุคขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างแน่นอน ทุนโลกาภิวัฒน์ ก็คงตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงมุ่งเน้นที่จะมาฮุบประเทศไทย ในฐานะครัวของโลกและแหล่งพลังงานใต้ทะเลที่ยังไม่ได้ขุดเจาะมาใช้ โดยทุนโลกาภิวัฒน์กำลังร่วมมือกับทุนผูกขาดภายในประเทศ อย่างกลุ่มนายทุนพรรคพวกคุณทักษิณ รุกคืบเข้ามาถือครองที่ดินเกษตรมหาศาล และทรัพยากรธรรมชาติแหล่งพลังงานใต้ทะเลมาเป็นของพวกตนนี่คือโจทย์ที่ท้าทายของไทย นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า ปี 2535 เป็นจุดแบ่งของระบบเผด็จการ ซึ่งก่อนหน้านั้นทหารมีบทบาทในการเมือง แต่หลังปี 2535 ถึงวันนี้ ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของระบบทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ฉะนั้น ประเด็นที่จะตอบว่าใครคือตัวการวิกฤตประเทศไทย จึงอยากจะชี้วันเวลาสถานที่ เกี่ยวกับระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองในทุน ว่า หัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้เกิดวิกฤตในวันนี้คือ วันที่ 21 ส.ค. 2544 วันที่มีการอ่านคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้น เป็นวันที่ รัฐธรรมนูญไทยถูกหัก ศาลรัฐธรรมนูญถูกหักยอดในคดีซุกหุ้นเพราะมีคนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ในคดีนี้ 4 ตุลาการ ทำผิดกระบวนการยุติธรรม ตนจึงอยากให้ติดตามทวงถามเรื่องนี้ เพราะนี้คือสัญลักษณ์การหักยอดมงกุฏ มีการทำลายรัฐธรรมนูญ ในเชิงเนื้อหา แล้วนำมาสู่ 19 ก.ย. 2549 ฉะนั้น จุดวิกฤตจริงๆ ไม่ใช่ 19 ก.ย. แต่เป็น 21 ส.ค. 2544 ถูกฌาปนกิจ 19 ก.ย. 2549 นั่นคือรูปธรรมของวิกฤต วันนี้ยังกลับมาสู่วังวนเดิมๆ เป็นการผูกขาดอำนาจทางการเมือง โดยพรรคการเมือง ซึ่งพรรคเป็นบริษัทผูกขาดตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่บริษัทตามกฎหมายแพ่ง แต่เป็นบริษัททางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญไทย บอกว่าใครจะเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง ต้องมีพรรคการเมือง แต่เมื่อพรรคการเมือง เป็นสมบัติส่วนบุคคล ระบบการเมือง จะเป็นประชาธิปไตยได้หรือนี่คตือคำถาม เพราะเป็นสมบัติส่วนบุคคล จึงสามารถถือรีโมทได้ เมื่อพรรคการเมืองนั้น เข้าไปคุมทั้งนิติบัญญัติและบริหาร ทำให้เจ้าของพรรคสามารถจิ้มรีโมทได้ กลไกทั้งหลายจึงตอบสนองคนเป็นเจ้าของเพราะพรรคการเมือง เป็นสมบัติส่วนบุคคล นี่คือประเด็นที่ตะวันตก ไม่มีทางเข้าใจประเทศไทย เพราะเขาเข้าใจว่าพรรคการเมืองเป็นสถาบันในทางประชาธิปไตย แต่นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ประชาธิปไตยไทย 1 ครอบครัว 3 นายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าเป็นในประเทศอย่าง เกาหลีเหนือ เราคงไม่ข้องใจ แต่ที่เข้าใจยาก เพราะ เรามีเสื้อคลุม ประชาธิปไตยแต่เนื้อในเผด็จการ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2555, 12:56:31 ล็อกสเปก99สสร. ลากตั้งเข้าทางส.ส.สอบตกเด็กนายใหญ่วิ่งเต้นขอเก้าอี้
Thaipost.net เพื่อไทยลุยชำเรารัฐธรรมนูญ 50 เต็มสูบ เผยพิมพ์เขียวแก้ ม.291 ผุด ส.ส.ร.99 คน ลากตั้ง 77 แต่งตั้ง 22 สเปกเปิดกว้างแต่เข้าทาง ส.ส.สอบตก-ผู้กว้างขวางในพื้นที่ ขีดเส้นยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ใน 180 วัน ประชามติใน 60 วัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ทะแม่ง! ถูกตีตกไม่ว่ากรณีใด ส.ส.1 ใน 3 ยังทู่ซี้ยื้อได้อีก แค่ใช้เสียงข้างมากก็พอ ซ้ำร้ายไม่ยืนยันแตะหมวดพระมหากษัตริย์หรือไม่ หึ่ง! เด็กนายใหญ่วิ่งเต้นขอเก้าอี้แล้ว กกต.มึนกฎหมายไม่เปิดช่องเลือกตั้ง ส.ส.ร. โพลย้ำคนส่วนใหญ่ผวานำไปสู่ความขัดแย้งถึงขั้นปฏิวัติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้นำร่างที่จัดทำเสร็จแล้วให้พรรคร่วมรัฐบาลนำไปกลับพิจารณา ก่อนจะนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 ก.พ.นี้ โดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ได้แถลงหลังการประชุมวิปรัฐบาลว่า ที่ประชุมได้หารือการแก้ไข รธน.มาตรา 291 ตามร่างที่ พ.ท.เสนอ โดยพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคจะนำไปประชุมภายในพรรควันที่ 7 ก.พ. ก่อนจะประชุมวิปรัฐบาลในวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งหากพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีข้อสงสัยหรือข้อเสนออื่นใด ก็ให้ส่งรายชื่อ ส.ส.ที่จะร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญมาได้เลย แต่หากพรรคร่วมจะเสนอร่างแก้ไขมาด้วยก็ทำได้ ถ้าไม่ผิดเพี้ยนเท่าไรก็เสนอชื่อร่วมกันได้ ซึ่งคาดว่าวันที่ 9 ก.พ.จะเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ นายอุดมเดชกล่าวว่า กรอบเวลาคร่าวๆ คือ เมื่อยื่นต่อประธานสภาฯ ในวันที่ 9 ก.พ.แล้ว จะตรวจสอบรายชื่อ ส.ส.เพื่อบรรจุวาระและตั้งคณะกรรมาธิการ โดยใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง จากนั้นจึงทำการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อีกกว่า 1 เดือน ส.ส.ร.ยกร่าง รธน. 180 วัน ทำให้ปลายปีนี้อาจเห็นรูปร่าง รธน.ใหม่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ขัดข้อง เพราะไปปราศรัยหาเสียงไว้ และได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ เมื่อพรรคมีมติก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่กระบวนการยื่น กระบวนการสรรหา ส.ส.ร.ก็ต้องใช้เวลา ขณะที่นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า นปช.มีจุดยืนชัดเจนและมีเจตนารมณ์เคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยจะมีการไปยื่นแก้รัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ในวันที่ 9 ก.พ.นี้ เวลา 11.00-12.00 น. แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ก.พ. แกนนำพรรคได้หารือร่วมกันถึงสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไข รธน. ซึ่งชัดเจนแล้วว่าจะมีร่างแก้ไขอย่างน้อย 4 ฉบับที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ โดยฉบับแรกเป็นของรัฐบาล ฉบับที่ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย และฉบับที่ 3 และ 4 นั้นเป็นฉบับของภาคประชาชน ซึ่งในส่วนพรรคนั้นจะเสนอแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร.ทั้งหมด 99 คนเหมือนสมัยยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 สำหรับร่างแก้ไข รธน.ของพรรคเพื่อไทยนั้นมีทั้ง 5 มาตรา โดยเนื้อหาสำคัญคือ มาตรา 3 ในการแต่งตั้ง ส.ส.ร.เพื่อร่าง รธน.ใหม่ โดยมีทั้งสิ้น 99 คน มาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการแต่งตั้งของรัฐสภา 22 คน โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ คุณสมบัติของ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ได้มีการล้อกับคุณสมบัติของการเป็น ส.ส.อย่างมาก ทั้งการกำหนดอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี การมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดที่สมัครไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ก็ยังเปิดกว้างอีกว่าเป็นคนที่เคยเกิด เคยศึกษา เคยรับราชการ หรือแม้กระทั่งเคยอยู่ในจังหวัดนั้นก็สมัครได้ด้วย ส่วนคุณสมบัติต้องห้ามนั้นก็ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจน โดยบอกแค่ห้ามเป็นข้าราชการการเมือง หรือมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำเท่านั้น ไม่ได้กำหนดว่าต้องสังกัดนานเท่าใด ทำให้เพียงลาออกในวันนี้พรุ่งนี้ก็ลงสมัครได้ ทำให้ขณะนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวของผู้ที่ทำงานให้พรรคเพื่อไทยบางคน อาทิ นายประเกียรติ นาสิมมา อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชาชน, นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่มเสื้อแดง ที่เริ่มเข้าหาผู้ใหญ่หรือแกนนำ นปช.บางคนที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยประสานงานและคัดเลือกเป็นตัวแทน ส.ส.ร.ที่จะลงสมัครในจังหวัดที่ตัวเองสังกัดแล้ว โดยการเลือกตั้ง ส.ส.ร.77 คน ได้กำหนดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดำเนินการ และเมื่อรวมกับการคัดสรรของรัฐสภาอีก 22 คน ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 90 วัน ในขณะที่การร่างรัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดให้ดำเนินการให้เสร็จภายใน 180 วัน หลังจากประกาศรายชื่อ ส.ส.ร. สำหรับการยกร่างนั้นยังได้กำหนดด้วยว่า ส.ส.ร.สามารถหยิบยก รธน.ฉบับใดขึ้นมาเป็นต้นแบบก็ได้ รวมทั้งอายุของสภาฯ ก็ไม่มีผลต่อการยกร่างดังกล่าว ไม่ว่าจะยุบสภาฯ หรือมีเหตุให้สภาฯ สิ้นอายุลง และเมื่อได้ยกร่าง รธน.เสร็จสิ้นแล้วยังได้กำหนดให้ส่ง กกต.ภายใน 7 วัน เพื่อให้ทำประชามติภายใน 60 วัน แต่ไม่น้อยกว่า 45 วัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะเวลาในวันลงประชามติค่อนข้างมาก คือให้เริ่มตั้งแต่ 08.00-17.00 น. และให้ กตต.ประกาศรับรองผลใน 15 วัน หากประชาชนเห็นชอบด้วย ส่วนกรณี ส.ส.ร.ร่าง รธน.ไม่เสร็จใน 180 วันและต้องหมดวาระลง ก็ยังกำหนดให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ใหม่ขึ้นอีกภายใน 90 วันเพื่อดำเนินการต่อไป ในขณะที่การยกร่าง รธน.นั้น ก็ไม่ได้มีการระบุชัดเจนว่าจะไม่แตะต้องในหมวดพระมหากษัตริย์ โดยระบุเพียงว่าร่าง รธน.ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ โดยหากรัฐสภาวินิจฉัยร่าง รธน.มีลักษณะดังกล่าว ให้ร่าง รธน.ตกไป นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดอีกว่าหากร่าง รธน.ตกไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุประชามติไม่ผ่าน หรือกรณีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยการพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้น 90 วันยังมิได้พระราชทานคืนมาก็เปิดให้ ครม.หรือ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ ส.ส. หรือ ส.ว. และ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดของรัฐสภา มีสิทธิ์เสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้มีการจัดทำ รธน.ใหม่ได้ โดยให้เอาเสียงข้างมากเป็นประมาณเท่านั้นด้วย (อ่านรายละเอียดหน้า 4) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการแก้ รธน.ว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายในการแก้ไข ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคห่วงใย โดยต้องพูดให้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับหมวดพระมหากษัตริย์ และไม่เกี่ยวข้องกับความพยายามนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ หากคลายปมเรื่องเหล่านี้ได้ปัญหาก็จะจบ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี มองว่า พรรคเพื่อไทยคงกำหนดตัวบุคคลที่จะลงรับเลือกตั้ง ส.ส.ร.ในแต่ละพื้นที่แล้ว เพราะสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าจะแก้มาตรานั้นมาตรานี้ เท่ากับว่าได้ล็อกสเปก ส.ส.ร.ไว้หมดแล้ว “รัฐบาลเตรียมแผนล็อกคนเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.ร.อยู่แล้ว และการที่ออกมาบอกว่าจะแก้มาตรานู้น มาตรานี้ คำพูดเหล่านี้มันล็อกคอตัวคุณเอง ประชาชนกำลังจะได้ ส.ส.ร.ซ้ายหันขวาหันตามใจรัฐบาล และที่ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นคือ หากพวกกลุ่มนิติราษฎร์ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.ร.ขึ้นมาจะทำอย่างไร หากเขาไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์ใครจะรับผิดชอบ” นพ.ตุลย์กล่าว ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับการแก้ไข รธน. โดยระบุเพียงว่า หากแก้ไข รธน.ออกมาอย่างไร กกต.ก็พร้อมปฏิบัติตาม ส่วนการเลือก ส.ส.ร.นั้น น่าจะเป็นฝ่ายอื่นดำเนินการมากกว่า เพราะจะให้ดำเนินการอย่างไรเพราะมันไม่ใช่การเลือกตั้ง กฎหมายให้ กกต.รับผิดชอบการเลือกตั้งทั้งหมด แต่การเลือก ส.ส.ร.เป็นการเลือกตั้งหรือไม่ แต่ถ้าให้ดำเนินการ กกต.ก็ต้องทำหน้าที่อยู่แล้ว นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงการดูแลการเลือก ส.ส.ร.ว่า จำเป็นต้องแก้มาตรา 291 ก่อน เพื่อให้อำนาจ กกต.จัดเลือกตั้ง ส.ส.ร.ทั่วประเทศ 77 จังหวัด และต้องไปดูกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ด้วย เพราะ กกต.มีอำนาจเพียงเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.เท่านั้น หากแก้ไขมาตรา 291 ก็อาจจะแก้ไขเพิ่มเติมเข้าไปว่าให้เลือกตั้ง ส.ส.ร. โดย กกต.มีอำนาจในการออกกฎหมายลูกได้ด้วย นางสดศรีกล่าวอีกว่า การออกเสียงประชามติมี พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติปี 2552 อยู่แล้ว แต่การให้ทำประชามติใน 60 วัน ก็จะขัดกับ พ.ร.บ.ที่กำหนดว่าไม่ต่ำกว่า 90 วัน แต่ไม่เกิน 120 วัน จึงควรให้ ส.ส.ร.เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติโดยให้ กกต.เป็นผู้จัดทำ ขณะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เผยผลสำรวจประชาชน 1,275 ตัวอย่างทั่วประเทศ ในเรื่องความคิดเห็นของประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า 72.9% มองว่าจะเกิดความขัดแย้งในบ้านเมือง มีเพียง 15.5% ที่บอกว่าไม่เกิด และ 11.7% ไม่แน่ แต่เมื่อถามว่าการแก้ไข รธน.จะนำไปสู่การปฏิวัติหรือไม่ ภาพรวม 42.5% มองว่านำไปสู่การปฏิวัติ, 39.5% บอกว่าไม่เกิด และ 18% ไม่แน่ใจ ซึ่งหากแยกเป็นรายภาคนั้นพบว่า กรุงเทพฯ, ปริมณฑลและภาคใต้ มีสัดส่วนสูงถึง 51% ที่มองว่าจะนำไปสู่การปฏิวัติ เมื่อถามถึงการแก้ไข รธน.ทำเพื่อประโยชน์ของใคร 49% มองว่าเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง, 24.1% เพื่อประโยชน์ประชาชน, 12% เพื่อประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณ และ 11.7% ไม่แน่ใจ แต่เมื่อถามว่า ส.ส.ร.ควรมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ 74.4% มองว่าควร มีเพียง 7.8% มองว่าไม่ควร วันเดียวกัน กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ได้มีการเสวนาเรื่อง "วิกฤติประเทศไทยใครคือตัวการ" โดยมีผู้ร่วมฟังจำนวนมากจนแน่นห้องประชุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยแค่เปลือก แต่เนื้อแท้เป็นเผด็จการนายทุนซ่อนรูปตั้งแต่ปี 2535 มีการครอบงำ มีการซื้อ ส.ส.-ส.ว.-พรรคการเมือง ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ โดยพรรคการเมืองแปรรูปเป็นแค่บริษัทจำกัดในคอนโทรลของนายทุนและครอบครัว "การแก้รัฐธรรมนูญต้องมุ่งแก้ที่สถาบันการเมืองเสียก่อน" ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการกรรมการกฤษฎีการะบุ ในช่วงท้ายการเสวนาได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อผู้เข้าร่วมเสวนาคนหนึ่งพยายามถามความคิดเห็นต่อกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ แต่ไม่ได้รับคำตอบ เมื่อเลิกการเสวนาจึงพูดว่าจอมปลอม ทำให้ผู้เข้าร่วมงานไม่พอใจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาระงับเหตุและนำชายดังกล่าวออกจากสถานที่ไป. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2555, 22:53:25 คอลัมภ์นิสต์จับกระแส กรุงเทพธุรกิจ
เด้ง"ปลัดคลัง" ออเดอร์จากดูไบ ? โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ตอนนี้คิดว่าหลายๆ คนในประเทศนี้ คงมีข้อสงสัยคลางแคลงอยู่ในใจกันอยู่บ้าง ว่า "ประเทศสารขัณฑ์" นี้เป็นของใครกันแน่ ??? เพราะหลายๆ เรื่องหลายๆ ราวที่เกิดขึ้นมันสะท้อนสนับสนุนคำถามดังกล่าว เริ่มตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ ก็สืบทอดตำแหน่งกันเฉพาะวงศาคณาญาติ แม้ผู้นำในตระกูลจะหลุดพ้นตำแหน่งไป นับตั้งแต่มีการปฏิวัติไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 และไม่ได้อยู่ในประเทศนี้ก็ตาม แต่หลังจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง ซึ่งปรากฏว่า วงศาคณาญาติ (น้องเขย) ของอดีตผู้นำประเทศที่ถูกปฏิวัติ ก็ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ แม้ก่อนหน้านั้นจะมีคนนอกตระกูล ก้าวขึ้นมาคั่นกลางอยู่บ้างก็แค่ปีเศษเท่านั้น จนเมื่อล่าสุด คนในตระกูลนี้ก็กลับมาอีกครั้ง นั่นคือ น้องสาวคนเล็ก ที่ถูกก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าใช้เวลาก้าวเข้ามาเพียง 49 วันเท่านั้นเทียบกับนักการเมืองอีกหลายๆ คนที่ต้องใช้เวลาเป็น สิบๆ ปีบางคนก็ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ด้วย การเข้ามาในตำแหน่งนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศนี้ แม้จะถูกตั้งคำถามมากมายถึงความรู้ความสามารถ ซึ่งก็คงปรากฏเห็นเด่นชัดแล้วว่ามี ความสามารถมากน้อยแค่ไหน เฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาอุทกภัยเมื่อปลายปีก่อนก็คงตัดสินได้แล้ว ถามว่าเหตุใดจึงมีข้อสงสัยถึงความสามารถของผู้นำหญิงคนนี้ ก็เพราะทุกคนในประเทศนี้ต่างรับรู้คนที่อยู่หลังเก้าอี้นายกฯ นี้คือใคร ? ก็อย่างที่หลายคนรู้ว่า "ผู้มีบารมีต่างแดน" คอยกำกับดูแลรัฐบาลประเทศสารขัณฑ์นี้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งการจัดสรรรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงไปนั่งตามเก้าอี้กระทรวงต่างๆ โดยไม่ได้สนใจว่า "คนคนนั้นจะมีความรู้ความชำนาญเรื่องของกระทรวงนั้นๆ หรือไม่ แต่เน้นว่าเป็นใกล้ชิดหรือคนของตัวเอง และคนที่เคยทำบุญคุณแก่ตน เช่น บรรดานักธุรกิจ หรือข้าราชการที่เคยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ปกปิดความผิดของคนในตระกูลนี้หลุดรอดมาแล้ว แม้แต่กระทรวงเศรษฐกิจหลักๆ ที่ต้องใช้คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเช่นกระทรวงการคลัง ก็ยังหลีกไม่พ้นที่จะเป็นหนึ่งในกระทรวงที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือตอบแทนคนของตน อาทิเช่น การตั้งแกนนำเสื้อสีเข้าไปนั่งในกระทรวงต่างๆ อาทิ เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ในกระทรวงต่างๆ ยังไม่รวมถึงการส่งกลุ่มคนเหล่านี้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวข้องกระทรวงหรือรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เลย" ล่าสุด ก็มีใบสั่งมาจาก "ดูไบ" ให้เด้ง "อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม" ปลัดกระทรวงการคลังพ้นไป โดยคาดว่าตำแหน่งนี้จะตกเป็นของ "เบญจา หลุยส์เจริญ" อธิบดีกรมสรรพสามิต ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับผู้มีบารมีนอกประเทศ สมัยนั่งอยู่กรมสรรพากร ที่เหลืออายุราชการอีกแค่ปีเดียว และเพิ่งนั่งเก้าอี้อธิบดีสรรพสามิต ยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ การผลักดันให้ "เบญจา" ขึ้นมานั่งเก้าอี้ปลัดคลัง โดยไม่ได้สนใจความรู้ความสามารถว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการเงินการคลังของประเทศยามนี้ ที่ต้องการคนที่มีความรู้ทางวิชาการไม่ใช่วิชามาร เข้ามาช่วยคิด วางแผนดูแลฐานะการคลังประเทศ แต่กลับใช้คนที่รู้เรื่องเฉพาะด้านภาษีอย่างเดียวในยามนี้ ดูท่าประเทศสารขัณฑ์นี้ น่าจะตกอยู่ในความเสี่ยงไม่น้อย ไม่รู้ว่า ผู้มีบารมีนอกประเทศ จะรู้หรือเปล่าว่า ข้าราชการหญิงคนนี้ มีคนเห็นเดินเข้า-ออกบ้านของนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิชื่อ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" เป็นประจำด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ใกล้ชิดกับนายใหญ่คนเดียวเท่านั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555, 18:53:10 เปิดคำให้การโต้งถอนหายใจเจอไล่ซักพรก.กู้เงิน
15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:23 น. | เปิดอ่าน 19,925 | comment ความคิดเห็น 58 กรณ์-คำนูณชำแหละพ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูย้ำไม่มีความจำเป็น‘กิตติรัตน์’โดนตุลาการไล่ซักถึงกับถอนหายใจยันไม่โอนภาระให้ประชาชน เมื่อวันที่ 15 ก.พ. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคำร้องของนายกรณ์ จาติกวณิช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ และ นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา และคณะ กรณีพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศพ.ศ.2555 และพ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพ.ศ.2555 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค1และ2 หรือไม่ ในวันที่ 22 ก.พ.เวลา 14.00น. สำหรับการไต่สวนเพื่อฟังคำชี้แจงของศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง โดยเริ่มที่นายกรณ์ ชี้แจงว่า สำหรับพ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯยังไม่มีความจำเป็นอย่างชัดเจนเพราะรัฐสภาเพิ่งได้ผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2555 ซึ่งในกฎหมายได้จัดสรรงงบประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาทเพื่อชำระดอกเบี้ยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเอาไว้ จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการแหล่งเงินมารับหนี้ เม็ดเงินจัดสรรไว้ในหมวดบริหารหนี้สาธารณะ "การวัดระดับหนี้สาธาณะ วัดโดยรายได้ประเทศ ปัจจุบันเมื่อเทียบกับจีดีพี 41% ต่ำมากถ้าเทียบกับหลายๆประเทศ ที่สำคัญ คือ ในส่วนของรัฐบาลได้บริหารภายใต้กรอบการยั่งยืนทางการคลังไม่เกิน 60% ส่วนต่าง 20 % กู้ได้อีก2ล้านล้านบาทยังอยู่ในกรอบของความยั่งยืน รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้อยู่แล้ว ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเพดานทางการคลัง โดยไม่กระทบความเชื่อมั่นไม่ต้องซ่อนตัวเลขให้ต่ำกว่าความเป็นจริง"นายกรณ์กล่าว นายกรณ์ กล่าวว่า ภาพรวมของพ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาทลักษณะนี้มีผลข้างเคียงหลายประเด็นมีจุดอ่อนตัวกฎหมายมีผลกระทบความมั่นคงเศรษฐกิจ คือ การลดการเรียกเก็บเงินเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียง 0.01% จะส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่น โดยเฉพาะหากเกิดสถานการณ์วิกฤตจะมีการดูแลอย่างไร รัฐบาลจะต้องค้ำประกันให้กับสถาบันคุ้มครองเงินฝากหรือไม่ เพราะตามหลักกองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝากควรมีอยู่ในระดับ 2 แสนล้านบาทซึ่งตอนนี้มีอยู่ 8 หมื่นล้านบาท แน่นอนว่าถ้ามีการลดการนำส่งเข้ามายังกองทุนคุ้มครองเงินฝากจะทำให้ยอดตัวเลขลดลง "ปัญหาในระยะยาวภาระหนี้จะส่งต่อไปยังผู้กู้เงินในดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นผู้ประกอบการสูงง ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน เช่นเดียวกับผู้มีเงินออม 60 ล้านบบัญชี มีโอกาสได้รับดอกเบี้ยดลดลง ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในครัวเรือน" นายกรณ์ กล่าว นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับพ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำ ปรากฎว่ายังไม่มีความชัดเจนในแผนการใช้เงินว่าจะมีการลงทุนตามยุทธศาสตร์อย่างไร โดยมีการให้สัมภาษณ์จาก นายสมิทธ ธรรมสโรช คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ว่าการเสนอแผนของกยน.เมื่อวันที่ 26 ม.ค. เช่นดียวกับ นายปราโมทย์ ไม้กลัด กรรมการกยน.ระบุเช่นกันว่าไม่มีแผนชัดเจน กยน.กรอบกว้างๆไม่มีความชัดเจนแท้จริง ไม่มีความชัดเจนใดๆ นายคำนูณ ซึ่งได้ทำคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะพ.ร.ก.โอนหนี้ ชี้แจงว่า รัฐบาลยังไม่มีความจำเป็นต้องลดภาระดอกเบี้ยในหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเพื่อเพิ่มเพดานในการกู้เงินฟื้นฟูน้ำท่วมเพราะปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีมีวงเงินงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอยู่แล้ว หรือดำเนินการไปพลางก่อน ได้ สว.สรรหา กล่าวว่า งบประมาณดังกล่าว ประกอบด้วย งบประมาณการเยียวยาฟื้นฟูและป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการจำนวน 1.2 แสนล้านบาท เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน 6.6 หมื่นล้านบาทซึ่งอยู่ภายใต้พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย รวมทั้งยังมีพ.ร.ก.ที่ผ่านรัฐสภาไปอีก 2 ฉบับก่อนหน้านี้ เท่ากับว่าให้รัฐบาลมีเงินงบประมาณใช้ถึง 7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีเงินเพียงพอในการดำเนินการได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องตราพ.ร.ก.ฉบับนี้แต่อย่างใด "ในทางการเมืองรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาฯ ดังนั้น การเสนอในสภาฯจึงกระทำได้ตลอด ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง" นายคำนูณ กล่าว ต่อมา นายกิตติรัตน์ ในฐานะผู้ถูกร้องได้ทำการชี้แจง ซึ่งในช่วงแรกนายกิตติรัตน์ อธิบายถึงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญมาตรา 184 เกี่ยวกับอำนาจในการตราพ.ร.ก.ปรากฎว่านายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แย้งขึ้นมาทันทีว่า "ประทานโทษท่านรองนายกฯเพราะตอนนี้ประเด็นมันแคบเข้ามาแล้วหลังจากผู้ร้องได้ชี้แจงมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้เป็นโอกาสชี้แจงของท่าน ไม่ต้องอธิบายรัฐธรรมนูญให้พวกเราได้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง นี่ไม่ได้เป็นการประท้วงในสภาฯครับ แต่เป็นการเตือนท่านเพื่อรักษาเวลาเท่านั้น กรุณาชี้แจงในส่วนของผู้ร้อง" ซึ่งนายกิตติรัตน์ เกิดอาการชะงักกลางคันก่อนจะชี้แจงต่อ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ยอมรับว่าประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีประมาณ 4.2ล้านล้านบาท และสามารถกู้เงินได้เพิ่มขึ้นเพราะยังหนี้สาธารณะยังไม่ถึง 60%ของจีดีพี แต่ถ้าเราไม่มีการจัดการอะไรและมีความจำเป็นต้องกู้เงินอยู่จะส่งผลให้มีหนี้สาธารณะถึง 50% โดยในนั้นจะมีหนี้ส่วนหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ คือ หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านบาท จึงเล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรมีการจัดบริหารหนี้ส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยมีการบอกว่าจะลดหนี้ก้อนหนี้อย่างไร "หนี้ส่วนนี้เป็นของประเทศไม่มีความประสงค์ยัดเหยียดให้เป็นหนี้ของหน่วยงานใดเพียงลำพัง ส่วนการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กระทรวงการคลังได้ปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว โดยเล็งเห็นว่าสถาบันการเงินของไทยในเวลานี้มีความเข้มแข็งภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศจนเงินในกองทุนของสถาบันมีสูงกว่า 8 หมื่นล้านบาท จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปกองเอาไว้ ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากก็ยังเปิดโอกาสให้สามารถกลับมาเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้อยู่แล้วในอัตราไม่เกิน 1%" นายกิตติรัตน์ กล่าว จากนั้น นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซักถามว่า เมื่อมีการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ หนี้ส่วนนี้ยังไม่พ้นความเป็นหนี้สาธารณะใช่หรือไม่ นายกิตติรัตน์ ตอบว่า ยังเป็นหนี้สาธารณะ นายวสันต์ ถามอีกว่า หมายความว่าการจะกู้เงินตามพ.ร.ก.สองฉบับที่ผ่านไปแล้ว (พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 และ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยพ.ศ.2555) รวมไปถึงพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ 3.5 แสนล้านบาทด้วย จำเป็นต้องผลักภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯไปให้พ้นก่อนถูกต้องหรือไม่เพื่อให้ภาระงบประมาณรายจ่ายในเรื่องนี้ลดลง นายกิตติรัตน์ ชี้แจงว่า ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2556 ต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดูแล และการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมงวดแรกจะเริ่มในวันที่ 31 ก.ค.2555 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความพร้อมในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมไปสมทบกับผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเพราะมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯมีทรัพย์สินที่ดูแลอยู่ส่วนหนึ่งและสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนในจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินเอาไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี นายวสันต์ ถามอีกว่า ตามหลักฐานที่ปรากฎรัฐบาลเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เข้าสู่สภาฯในเดือนพ.ย.2554 หลังจากนั้นมีช่วงเวลาปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปจนถึงปลายเดือนธ.ค.ทำไมรัฐบาาลไม่พิจารณาออกพ.ร.ก.ในช่วงนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหาว่าชิงออกพ.ร.ก.ทั้งๆที่สภาเปิดสมัยประชุมอยู่ เพราะถ้าออกพ.ร.ก.ช่วงสภาปิดเสียงครหาจะน้อยกว่านี้ นายกิตติรัตน์ กล่าวพร้อมถอนหายใจบางช่วงว่า "เออ...ผมเองไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองครับ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ดำเนินการไม่ได้คำนึงถึงแนวคิดทางการเมืองเป็นหลัก แต่เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจ เรื่องของเงื่อนเวลาขอเรียนตามจริงว่าผมเองได้พูดต่อสาธารณชนหลายครั้งว่าการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอุทกภัยซ้ำมีความจำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินหลายแสนล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาความเสียหายจากการสำรวจของธนาคารโลกและสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนั้น เรื่องเงื่อนเวลาจึงไม่คำนึงว่าถ้าจะไปเร่งตรงนั้นแล้วจะเกิดผลประโยชน์ที่ดีกว่าในทางการเมืองอะไร" นายวสัตน์ ถามเพิ่มเติมว่า ถ้าออกพ.ร.ก.ช่วงปิดสภาฯจะมีข้อแก้ตัวได้แต่การที่มาออกพ.ร.ก.ทั้งๆที่สภาเปิดอยู่เหมือนไม่ให้ความเคารพฝ่ายนิติบัญญัติเลย ตรงนี้ทำไมไม่คิดออกตั้งแต่ตอนนั้น เพราะอุทกภัยก็เห็นๆกันอยู่ กว่าจะถึงสิ้นปี 2554 น้ำในบางแห่งก็ยังไม่แห้ง ซึ่งเห็นสภาพความเสียหายและวิธีการป้องกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว กรุณาตอบตรงนีดนึงว่าทำไมตอนนั้นจึงไม่คิดในช่วงเดือนธ.ค.2554 ทั้งเดือน นายกิตติรัตน์ ถอนหายใจและชี้แจงอีกครั้งว่า การดำเนินการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (กยน.) ได้มีการประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ซึ่งการที่ทำให้เกิดกรอบที่ชัดเจนว่าเรามีความจำเป็นจะต้องลงทุนด้วยวงเงินงบประมาณเท่าไหรมีความจำเป็นที่ต้องมีคำอธิบาย ถ้าเราเร่งดำเนินการอะไรถ้ายังไม่เกิดความแน่ชัดว่าจะเป็น3.5 แสนล้านบาท หรือตัวเลขอื่นๆ และเสนอตัวเลขสูงเกินความจำเป็นจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นได้เพราะมองว่ารัฐบาลชุดนี้อยากจะใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือ การเสนอตัวเลขต่ำไปและในที่สุดต้องมาแก้ไขในภายหลังย่อมจะสูญเสียความเชื่อมั่นอีก "เรื่องนี้ผมได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที 27 ธ.ค.ไม่ได้มีความเข้าใจหรือความชำนาญในเรื่องของการเสนอในช่วงสภาปิดหรือสภาเปิดแต่อย่างใดด้วยความเคารพ" นายกิตติรัตน์ กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555, 10:05:08 ระบอบกษัตริย์เปรียบเหมือนโคมแก้วระย้า หากมีใครไปขยับให้ตกลงมา มันก็จะบาดผู้คนที่อยู่ด้านล่างไปทั่ว
อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อเรื่องที่ปรากฏอยู่ด้านบน เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวลีนี้เกิดขึ้นในงานสัมมนาแห่งศตวรรษ "ปราชญ์สยาม นามคึกฤทธิ์" ในโอกาสครบรอบชาตกาล 100 ปี ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องคอนเวนชั่น 1 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คือ อัศศิริ ธรรมโชติ นักหนังสือพิมพ์ที่ผันตัวเองมาเป็น นักเขียนจนได้รับรางวัลซีไรต์ หยิบยกเรื่องลาตายอีกครั้งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมากล่าวในงานเสวนา เริ่มจากการยกเอาประโยคเด็ดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มาเกริ่นว่า "ระบอบกษัตริย์เปรียบเหมือนโคมแก้วระย้า หากมีใครไปขยับให้ตกลงมา มันก็จะบาดผู้คนที่อยู่ด้านล่างไปทั่ว" นี่คือคำกล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคมกริบมาถึงปัจจุบัน สำหรับคำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้เป็นนักปฏิบัติที่ประนีประนอม แต่ก็จะแข็งกร้าวต่อผู้ที่ไม่ ยึดมั่นในระบอบกษัตริย์ "ถ้าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์กลับมาเกิดใหม่ในยุคปัจจุบัน คงต้องขอลาตายอีกรอบแน่นอน" พอจะขยายความจากคำพูดของประโยคนี้ได้ว่า เพราะยุคสมัยที่การเมืองการปกครองของไทย เกิดระส่ำระสายมาหลายขวบปี จนกระทบถึงสถาบันหลักของประเทศ ในการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข "สิ่งที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ฝากไว้ก็คือ หากใครคิดจะล้มล้าง ก็จะทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างรอบ ๆ ได้รับผลกระทบไปด้วย" คำกล่าวของอัศศิริที่พูดถึงบุคคลสำคัญของโลกที่องค์การ ยูเนสโกยกย่องรวดเดียว 4 สาขา ได้แก่ การศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน ดังที่ทราบกันดีว่า เรื่องราวชีวิตของปูชนียบุคคลผู้นี้ยังคงถูกหยิบยกมาพูดคุย เป็นบุคคลตัวอย่างในทุกแวดวง ตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีนับตั้งแต่บุรุษผู้นี้ถือกำเนิด ดำรงอยู่ และดับไป แต่ชื่อเสียงของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้คิดลึก ก็ยังก้องอยู่ในทุกส่วนของสังคมที่หม่อมเหยียบย่างลงไป หนึ่งในบทบาทที่คนกล่าวถึงมากที่สุดก็คือ บทบาทสื่อมวลชน อัศศิรินำมายกย่อง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้อุทิศชีวิตให้กับงานหนังสือพิมพ์จนวาระสุดท้ายของชีวิต หลังวางมือจากทุกวงการแต่ไม่ยอมวางมือจากงานเขียน แม้จะไม่มีแรงจับปากกา แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ยังเขียนคอลัมน์ต่าง ๆ ผ่านปาก โดยให้คนอื่นเขียนตามคำบอก พออายุล่วงเลยเข้าสู่วัย 82 ปี สายตาเริ่มไม่ค่อยดี อ่านหนังสือพิมพ์เองไม่ได้ ก็ต้องให้คนอื่นอ่านให้ฟัง เรียกว่าเป็นสื่อสารมวลชนจนนาทีสุดท้ายของชีวิต "เป้าหมายของการก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็เพื่อให้คนไทยในกรุงเทพฯ มีความรู้เรื่องการเมืองในประชาธิปไตยอย่างแพร่หลาย เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้สังคมไทยเห็นประชาธิปไตย และเสริมพื้นฐานประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้แข็งแกร่ง" ในอีกด้านหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็แสดงให้เห็นว่า เสรีภาพของหนังสือพิมพ์นั้นจะอยู่ในตัวของคนทำหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการดำรงไว้ซึ่งเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์ก็ต้องรู้จักประสานตนและเห็นแก่ประโยชน์สังคมเป็นหลัก วิทยากรคนเดิมยังได้วิพากษ์บทประพันธ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เรื่อง "สี่แผ่นดิน" ไว้ 2 มุมด้วยกันคือ ถ้ามองในแง่ดีก็ทำให้เกิดเสรีภาพ แต่ในแง่ร้ายก็ทำให้เกิดความแตกแยกกันภายในสังคมได้เช่นกัน สังเกตได้จากการเมืองเมื่อ 60 ปีก่อน กับตอนนี้ไม่ได้ขยับก้าวหน้าไปไหนไกล การเมืองไทยตั้งแต่ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่ได้ต่างกันเลย แม้จะมีบุคคลอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้ที่ได้รับฉายาทางการเมืองว่า "เฒ่าสารพัดพิษ" ผู้ที่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ได้รับฉายาว่า "เสาหลักประชาธิปไตย" แต่จนถึงวันนี้ประชาธิปไตยของไทยก็ยังปักหลักอยู่ที่เสาต้นเดิมไม่ได้เติมหรือเพิ่มเสาต้นใดลงไปเสริมความมั่นคง แข็งแกร่งให้กับเสาต้นเดิมต้นเดียวอีกเลย กลับมาที่ผลงานดีเด่นที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แสดงให้เห็นแสนยานุภาพเหนือกองทัพไทย โดยการออกมาวิพากษ์บทบาทและหน้าที่ของทหารไทยอย่างตรงไปตรงมา "ทหารไทยฉลาดไม่ได้ ทหารไทยทำตัวเหมือนกับม้าลำปาง ที่มัวแต่คอยลากรถเลื่อนไปวัน ๆ มองเห็นแต่ภาพข้างหน้าเท่านั้น ทิวทัศน์ข้าง ๆ และข้างหลังจะมองไม่เห็นเลย" คงจะจริงดังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เคยกล่าวไว้ เพราะมาถึงยุคปัจจุบัน อานันท์ ปันยารชุน ผู้ได้รับโจทย์ให้กล่าวถึง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ในหัวข้อการเมืองระหว่างประเทศ หยิบยกประโยคขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพทหารไทยว่า "ทั้ง ๆ ที่ทหารไทยมีความฉลาดอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาใช้ได้ เพราะมัวแต่ทำตัวเป็นม้าลำปาง" ก่อนจะอธิบายเสริมว่า คนเราจะพัฒนาได้ ต้องมองเห็นให้รอบได้ ไม่ได้มองจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น โดยทางกายภาพ แม้คนเราจะมองให้ครบ 360 องศาไม่ได้ แต่ในเรื่องแนวคิด เราควรมองให้รอบได้ เพื่อเป็นการชดเชยในเรื่องของกายภาพ ถ้าเราทำได้ เราก็จะสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ "เหมือนกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์สามารถทำได้ เป็นคนที่มองอะไรได้รอบด้าน มีมุมมองที่กว้างไกลมองทุกอย่างอย่างลึกซึ้ง" ดังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มักจะพูดเสมอว่า ประเทศไทยจะมองเห็นแต่ประโยชน์ถาวรเท่านั้น แม้แต่มิตรประเทศก็ต้องหาชาติที่จะเป็นมิตรถาวรเท่านั้น และสิ่งที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์บอกไว้เสมอคือ "ประเทศไทยห้ามมีศัตรูถาวรเด็ดขาด" อานันท์อธิบายเสริมว่า คำพูดนี้เป็นการบอกใบ้ให้สหรัฐอเมริการู้ว่า ความสัมพันธ์ของประเทศไทย คือการมีประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ดำรงไว้ในลักษณะของกำลังทหาร ดังที่อเมริกามาตั้งฐานทัพ จ.อุดรธานีแม้สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง "อันเนื่องมาจากมีการลงนามระหว่างทหารไทยกับทหารอเมริกา เรื่องการมอบอำนาจอธิปไตยใน จ.อุดรธานีให้อเมริกา แบบไม่มีกำหนดเวลา ผมขอบอกว่า เป็นสัญญาที่อุบาทว์ที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งในการลงนามระหว่างประเทศ ที่ใช้คำว่า ไม่มีกำหนดเวลา หากเรื่องนี้ผ่านทางรัฐบาลพลเรือน ผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศจะไม่มีการปล่อยผ่านอย่างแน่นอน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศในยุคก่อนไม่มีน้ำยาพอ จนกระทั่งยุคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงได้ปรับปรุงกระทรวงการต่างประเทศให้ดีขึ้นกว่ายุคนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ระบบการเมืองสามารถควบคุมระบบทหารได้" คำกล่าวที่นายอานันท์ยกย่องและยอมรับในความสามารถของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ พร้อมยกตัวอย่างสิ่งที่เขาได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับปูชนียบุคคลของประเทศไทยถึงการบริหารงานภายในประเทศของไทย "ปัญหาไหนก็ตามภายในประเทศที่ไม่สามารถแก้ได้และ แก้ไม่ตก รัฐบาลชุดนั้นมักจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา เรื่องนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ หรือแสดงว่ารัฐบาลชุดนั้นไม่มีศักยภาพเลย แล้วทิ้งค้างไว้อยู่อย่างนั้นโดยไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้เลย" นี่คือแนวคิดคำคมที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฝากไว้ในสังคมไทย นอกเหนือจากผลงานในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ มีผลงานที่โดดเด่นมากกว่า 200 เรื่อง ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น และเรื่องแปล และบทบาทอื่น ๆ อีกมากมายเกินที่จะกล่าว ได้หมดในกระดาษเพียงแผ่นเดียว บุคคลผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศชวนให้จดจำ แม้กระทั่งการอธิบายชื่อของตัวเองด้วยการผวนคำ "คึกฤทธิ์ ก็คือ คิดลึก" หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555, 14:23:38 เปิดปูมหลังธุรกิจ “โต้ง” สัมพันธ์ลึกบิ๊กอสังหาฯ “แสนสิริ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ เผยบริษัทรับปรึกษาทางธุรกิจ-นายหน้าของ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” เคยให้ “เศรษฐา” เข้าร่วมหุ้นทำกิจการด้วยกันนาน 5 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าน้องสาวนายกิตติรัตน์ ยังเข้าไปถือหุ้นในบิ๊กอสังหาฯ ที่เจ้าของเคยร่วมแข่งฟุตบอลนัดพิเศษกับ “กิตติรัตน์-เศรษฐา” ช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา รวมถึงบางบริษัทมีนามสกุล “ทวีสิน” ร่วมนั่งเป็นกรรมการด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางความสงสัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอ ว.5 ไปทำธุรกิจส่วนตัวอะไร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 จนเป็นประเด็นฮือฮาทั้งประเทศ ต่อมาภายหลังปรากฏเป็นข่าว มีบุคคลที่ถูกพาดพิงอย่างน้อย 2 คน คือ นายเศรษฐา ทวีสิน และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกมายอมรับว่าเข้าร่วมสนทนากับนายกฯจริง แต่เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปนั้น เรื่องสวนทางกับข้อมูลที่ปรากฏเผยแพร่เป็นข่าวว่าหัวข้อสนทนาในวันนั้น คือ การเลื่อนการประกาศประเมินราคาที่ดินและการบังคับใช้ผังเมืองใหม่ออกไปก่อน ทำให้เกิดข้อครหาว่ากลุ่มธุรกิจอสังหาฯที่รับรู้ข้อมูลภายใน (อินไซเดอร์) อาจได้รับผลประโยชน์จากนโยบายรัฐด้วยหรือไม่? อย่างไรก็ดี ถ้าไม่นับ “ตำแหน่งสาธารณะ” คือ “นายกรัฐมนตรี” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับตำแหน่งอดีตผู้บริหาร บมจ.เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีครอบครัวพี่ชายนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเจ้าของ และถ้าไม่นับกรณีการเข้าร่วมซื้อซองประกวดราคาที่ดินย่านรัชดาของ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ บมจ.แสนสิริ ก่อนที่ทั้ง 2 รายจะถอนตัวให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นผู้ชนะประมูล การจะรวบรัดว่าการเจรจาลับดังกล่าวอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่? ขอให้ดูปูมหลังทางธุรกิจระหว่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นเจ้าของธุรกิจให้คำแนะนำปรึกษาทางธุรกิจ ให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ เป็นนายหน้าตัวแทนอย่างน้อย 3 แห่ง 1. บริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 มกราคม 2541 ทุนปัจจุบัน 25 ล้านบาท 2. บริษัท เอซี.ซีเนียร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 มิถุนายน 2542 ทุน 750,000 บาท 3. บริษัท รัตนโกสินทร์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 3 มกราคม 2544 ทุน 1 ล้านบาท โดยที่ทั้ง 3 แห่งมีที่ตั้งเดียวกันเลขที่ 65 หมู่บ้านหมู่บ้านวิลล่า นครินทร์ ซอยสุขาภิบาล 21 ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ที่น่าสนใจพบว่า “หุ้นส่วน”รายหนึ่งของนายกิตติรัตน์ในบริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งในสำเนารายชื่อผู้ถือหุ้นระบุ บมจ.แสนสิริถือหุ้นมาตั้งแต่ 19 เม.ย.42 ณ วันที่ 8 มีนาคม 2544 บริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด มีผู้ถือหุ้น 11 ราย อาทิ 1. นายกิตติรัตน์ ถือหุ้นใหญ่ 1,390,000 หุ้น 2. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 500,000 หุ้น 3. นายโรเบิร์ต พอลล์ วอเร็นซ์ คอลลินซ์ 250,000 หุ้น จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร่วมกับนายกิตติรัตน์เรื่อยมากระทั่งวันที่ 29 มิ.ย. 2547 ได้โอนหุ้นให้นางเกสรา ณ ระนอง ภรรยานายกิตติรัตน์ ก่อนที่หุ้นของนายกิตติรัตน์ และนางเกสรา จะถูกโอนให้กองทุนส่วนบุคคล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด และกองทุนส่วนบุคคล นางเกสรา ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด หลังนายกิตติรัตน์ เข้ารับตำแหน่งรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพณิชย์ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา นอกจากความสัมพันธ์โดยตรง จากการตรวจสอบพบว่า นางอรฤดี ณ ระนอง น้องสาวนายกิตติรัตน์ เป็นกรรมการ และถือหุ้น บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) 6,841,000 หุ้น ทั้งนี้ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ประกอบพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 764,770,615 บาท มีบริษัท อเดลฟอส จำกัด ของนายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นเจ้าของ (นายฐาปน สิริวัฒนภักดี เคยร่วมแข่งฟุตบอลนัดพิเศษ ไพร์มมินิสเตอร์คัพ สตรีท ซอคเกอร์ ร่วมกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555) นอกจากนี้ นางอรฤดียังเป็นกรรมการ บริษัทในเครือ บมจ.ยูนิเวนเจอร์อีก 9 บริษัท หนึ่งนั้นคือ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจ ค้าอสังหาริมทรัพย์-อาคารชุด ซึ่งมีบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ถือหุ้นใหญ่ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ มีทุนจดทะเบียน 1,475,698,768 บาท กลุ่มนายสุเมธ เตชะไกรศรี ถือหุ้นใหญ่ มีกรรมการ 14 คน โดยในจำนวนนี้ปรากฏชื่อ นายปกรณ์ ทวีสิน ร่วมเป็นกรรมการด้วย แหล่งที่มา : ข่าว เปิดหลักฐาน“กิตติรัตน์”หุ้นส่วน“แสนสิริ”-บิ๊กอสังหาฯ โยงปม“ปู ว.5”โฟร์ซีซันส์? โดย สำนักข่าวอิศรา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555, 21:23:59 มท.รับมีกลุ่มจ้องทำลายสถาบันจริง
posttoday.com มท.รับมีกลุ่มจ้องทำลายสถาบันจริง สั่ง ผู้ว่าฯ-นายอำเภอสร้างความเข้าใจ หลังพบกลุ่มจ้องทำลายสถาบันฯ 9 จังหวัด ที่กระทรวงมหาดไทย นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้จับตาดูกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ใน 9 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นครสวรรค์ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย สงขลา และกรุงเทพมหานคร ว่า ทุกประเทศมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน อาจมีกลุ่มสายเลือดใหม่ที่อยู่เมืองนอกมานานซึมซับระบบประชาธิปไตยจ๋า แต่ประเทศไทยในประวัติศาสตร์ระบบการรวมเป็นชาติ มาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง จนอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถูกสละโดยรัชกาล7 ดังนั้น สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนเลย และตลอดชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มพระวรกาย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของประชาชนทุกภูมิภาคตลอดเวลา นายประชา กล่าวต่อว่า ได้กำชับไปยังผวจ.และอำเภอแล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผู้ที่มีความคิดนี้ถือว่าอกตัญญูต่อแผ่นดิน และฝากไปถึงผู้ว่าฯในพื้นที่เป้าหมายว่า ในเร็วๆนี้ ตนและปลัดกระทรวงมหาดไทย จะลงไปกำกับดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด และมองว่าประชาชนรากหญ้าทุกภูมิภาค 99% ส่วนใหญ่จะเข้าใจและซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ คงมีพลเมืองอกตัญญูที่ไม่น่าจะถึง1% ดังนั้น ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนชาวรากหญ้า ให้ทราบถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ โดยเผยแพร่ผ่านวิทยุชุมชน และหอกระจ่ายข่าวหมู่บ้าน “คนกลุ่มนี้คงเป็นพวกนักเรียนนอก หรือไม่ก็นักเรียนไทยหัวนอก แต่ไม่เป็นไร เราก็ต้องสร้างความเข้าใจ อาจเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นพระราชกรณียกิจ ยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจปล่อยปละละเลยเกินไป เพราะพลเมืองมากขึ้น สื่อต่างๆเยอะ การเข้าถึงสื่อมีหลากหลาย โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่โพสต์กันหลากหลาย” นายประชา กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 มีนาคม 2555, 17:15:53 ประเทศไทยต้องได้ผู้นำประเทศแบบนี้ ค่อยๆอ่านนะ แหมอยากแปลเป็นไทยให้หลายๆคนอ่านจัง
แต่ไม่เก่งพอ..ขออภัย She Did It Again!!! Australia says NO -- Second Time she has done this! She sure isn't backing down on her hard line stance and one has to appreciate her belief in the rights of her native countrymen. A breath of fresh air to see someone lead. Australian Prime Minister does it again!! The whole world needs a leader like this! Prime Minister Julia Gillard - Australia Muslims who want to live under Islamic Sharia law were told on Wednesday to get out of Australia, as the government targeted radicals in a bid to head off potential terror attacks. Separately, Gillard angered some Australian Muslims on Wednesday by saying she supported spy agencies monitoring the nation's mosques. Quote: 'IMMIGRANTS, NOT AUSTRALIANS, MUST ADAPT... Take It Or Leave It. I am tired of this nation worrying about whether we are offending some individual or their culture. Since the terrorist attacks on Bali, we have experienced a surge in patriotism by the majority of Australians.' 'This culture has been developed over two centuries of struggles, trials and victories by millions of men and women who have sought freedom.' 'We speak mainly ENGLISH, not Spanish, Lebanese, Arabic, Chinese, Japanese, Russian, or any other language. Therefore, if you wish to become part of our society, learn the language!' 'Most Australians believe in God. This is not some Christian, right wing, political push, but a fact, because Christian men and women, on Christian principles, founded this nation, and this is clearly documented. It is certainly appropriate to display it on the walls of our schools. If God offends you, then I suggest you consider another part of the world as your new home, because God is part of our culture.' 'We will accept your beliefs, and will not question why. All we ask is that you accept ours, and live in harmony and peaceful enjoyment with us.' 'This is OUR COUNTRY, OUR LAND, and OUR LIFESTYLE, and we will allow you every opportunity to enjoy all this. But once you are done complaining, whining, and griping about Our Flag, Our Pledge, Our Christian beliefs, or Our Way of Life, I highly encourage you take advantage of one other great Australian freedom, 'THE RIGHT TO LEAVE'.' 'If you aren't happy here then LEAVE. We didn't force you to come here. You asked to be here. So accept the country YOU accepted.' NOTE: IF we circulate this amongst ourselves in Canada &USA, WE will find the courage to start speaking and voicing the same truths. If you agree please SEND THIS ON and ON, to as many people as you know... หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 06 มีนาคม 2555, 03:38:47 http://www.youtube.com/watch?v=P5wOfwX7Kf4 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: อ้อย17 ที่ 06 มีนาคม 2555, 08:01:36 สวัสดีค่ะ พี่วณิชย์.... การเดินทางราบรื่นดีนะคะ.............คิดถึงค่ะ....ขอโทษที่ไม่ได้ร่ำลากันก่อนพี่กลับเมกา... การไม่ได้ลาแสดงว่าเราจะได้พบกันอีก..ใช่ไหมคะ?....(เคยอ่านจากไหนไม่รุเหมือนกันค่ะ) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มีนาคม 2555, 21:02:35 ผู้ตรวจฯ ชี้ “ปู” ตั้ง “นลินี-ณัฐวุฒิ” ไม่รอบคอบ จี้พิจารณาใหม่ 30 วัน
ผู้ตรวจฯ ชี้ “นลินี-ณัฐวุฒิ” นั่ง รมต.ไม่ผิด แต่นายกฯ ไม่รอบคอบ ตั้งคนติดแบล็กลิสต์-ผู้ต้องหาก่อการร้ายเป็นรัฐมนตรี ทำเสื่อมเสียเกียรติภูมิชาติ-ปชช.ไม่เชื่อถือศรัทธา ส่งหนังสือถึง “ยิ่งลักษณ์” ให้พิจารณาใหม่ใน 30 วัน พร้อมจี้ปรับปรุงหลักเกณฑ์-คุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีครอบคลุมถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมด้วย วันนี้ (6 มี.ค.) การประชุมคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นประธาน ได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการพิจารณาคำร้องของกลุ่มการเมืองสีเขียว (กลุ่มกรีน) ที่ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งนางนลินี ทวีสิน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็ฯรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายหลังการประชุม นางผาณิตแถลงว่า กรณีร้องเรียนนางนลินี จากข้อเท็จจริงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงว่า นางนลินีเป็นผู้ถูกกำหนดชื่อใน Specially Designated National (SDN) ตั้งแต่ปี 2551 โดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลัง สหรัฐอเมริกา(Office of Foreign Assets Control (OFAC), U.S. Department of the Treasury) ส่วนกรณีร้องเรียน นายณัฐวุฒิ ที่เคยเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช. ข้อเท็จจริงพบว่า ถูกตั้งข้อหาร้ายแรงในคดีก่อการร้าย และขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งทางผู้ตรวจฯ เห็นว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั้งสอง เกิดขึ้นและเป็นการกระทำก่อนที่บุคคลดังกล่าวจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้าราชการการเมือง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง 2551 จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมตามระเบียบ จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา สำหรับกรณีร้องเรียน นายอำพน ตามข้อเท็จจริงพบว่า เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำการตรวจสอบประวัติผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้ง โดยยึดตามแบบแสดงประวัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัย (แบบ รมต.1) และแบบแสดงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีใช้ตรวจสอบและรับรองตนเอง (แบบ รมต.2) เท่านั้นและถือปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด ผู้ตรวจฯ การจึงเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการตรวจสอบคุณสมบัติของนางนลินีและนายณัฐวุฒิเลขาฯ ครม.ปฏิบัติแตกต่างจากที่เคยปฏิบัติมาจึงให้ยุติเรื่อง แต่ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 279 วรรคสี่ บัญญัติให้การแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อำนาจรัฐต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล ผู้ตรวจฯ จึงเห็นควรใช้อำนาจตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะให้เลขาฯ ครม.ปรับปรุงวิธีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีให้ครบถ้วน ครอบคลุมถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพื่อประกอบการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคราวต่อๆ ไป ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีนั้นผู้ตรวจฯ เห็นว่า การแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐในตำแหน่งรัฐมนตรี กฎหมายไม่ได้กำหนดเพียงให้พิจารณาแค่เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 174 เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมที่กำหนดไว้ในมาตรา 279 วรรคสี่ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ได้คนดี มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรม เข้าไปดำรงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐ ไม่ใช่ได้แต่เพียงคนเก่ง ซึ่งในกรณีการแต่งตั้งนางนลินีนั้น นางนลินีมีชื่อในบัญชีของสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลัง สหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นการประกาศฝ่ายเดียวของสหรัฐ แต่ก็ส่งผลให้ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีดังกล่าวถูกห้ามทำธุรกรรมทางการเงินกับพลเมืองชาวอเมริกัน ถูกอายัดทรัพย์สินที่มีอยู่ในเขตอำนาจของสหรัฐฯ ไม่สามารถติดต่อธุรกรรมประเภทที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐ และถูกห้ามเข้าประเทศสหรัฐฯ อีกทั้งประกาศบัญชีรายชื่อนี้ไม่มีกำหนดวันหมดอายุของการบังคับใช้ และไม่มีกำหนดเวลาในการทบทวนรายชื่อ เพียงแต่นางนลินีสามารถอุทธรณ์หรือแสดงหลักฐานเพื่อโต้แย้งได้โดยตรงกับสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ สหรัฐฯ “ตรงนี้ผู้ตรวจฯ เห็นว่า แม้นางนลินีจะมีคุณสมบัติ และไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามกฎหมายไทย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามที่สถานทูตระบุ นายกฯ ในฐานะมีหน้าที่กำกับดูแลรัฐมนตรีให้เป็นไปตามระเบียบของสำนักนายกฯ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแต่งตั้งนางนลินี อาจจะกระทบความไม่เชื่อถือศรัทธาในสายประชาชน และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเกียรติภูมิของชาติหรือไม่โดยควรนำระเบียบสำนักนายกว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองข้อ 9 10 และ 27 มาใช้พิจารณา” ขณะที่ การแต่งตั้งนายณัฐวุฒินั้น แม้ว่าคดีก่อการร้ายจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งยังไม่มีคำพิพากษา แต่เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของนายณัฐวุฒิที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาล จึงเห็นว่านายกฯ ยังไม่ได้นำพฤติกรรมทางจริยธรรมของนายณัฐวุฒิมาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบเพียงพอ ก่อนเสนอชื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จึงเห็นควรใช้อำนาจตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะให้นายกฯ ไปพิจารณาการแต่งตั้งรัฐมนตรีทั้ง 2 ตำแหน่งให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 279 วรรคสี่ พร้อมกับเสนอให้กำหนดมาตรการและวิธีปฏิบัติในการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้ใช้ในการแต่งตั้งรัฐมนตรีในคราวต่อๆ ไปโดยต้องคำนึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลอย่างเคร่งครัด “ผู้ตรวจฯ ได้แยกการพิจารณาการดำเนินการทางกฎหมายและจริยธรรมออกจากกัน ซึ่งหากมองจริยธรรมทางลึกแล้วไม่ถึงขั้นเป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องส่งให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถอดถอน แต่อาจจะเพราะนายกฯ ไม่รอบคอบเพียงพอในการแต่งตั้งบุคคลทั้ง 2 เป็นรัฐมนตรี โดยลืมดูไปว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 279 บัญญัติให้การตั้งบุคคลต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรม ทางผู้ตรวจฯ จึงจะมีหนังสือให้นายกฯ ไปพิจารณาการแต่งตั้งบุคคล 2 ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ แล้วแจ้งให้ทางผู้ตรวจทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากนายกฯ นิ่งเฉย ตามขั้นตอนทางผู้ตรวจฯ ก็ต้องทำหนังสือเตือน และต่อไปก็ทำรายงานต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี” เมื่อถามว่าการให้นายกฯ พิจารณาการแต่งตั้งบุคคลทั้งสองเป็นรัฐมนตรีมีความหมายถึงการให้บุคคลทั้งสองออกจากการเป็นรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นางผาณิตเลี่ยงที่จะตอบ โดยกล่าวเพียงว่า ให้นายกฯ พิจารณา ซึ่งผู้ตรวจฯ อยากให้การแต่งตั้งบุคคลที่จะเข้าไปใช้อำนาจรัฐทุกตำแหน่งเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 279 วรรคสี่บัญญัติไว้ และอยากให้ถือว่าการพิจารณากรณีนี้เป็นบรรทัดฐานให้รัฐบาลถือปฏิบัติในการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในคราวต่อไป หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 มีนาคม 2555, 22:55:43 Some Japanese Still in the Dark Over Thailand’s Flood Plan
By Eleanor Warnock Thai Prime Minister Yingluck Shinawatra’s mission to reassure Japanese investors rattled by last year’s supply chain-busting floods appears to be getting something of a mixed response. Thai Prime Minister Yingluck Shinawatra meets with Japanese residents in Natoti, Miyagi prefecture in the tsunami disaster zone on March 8. Her government has promoted Ms. Yingluck’s visit to Japan this week as an opportunity to win back the confidence of Japanese businesses affected by the devastating floods. The inundation knocked out the distribution of crucial car and electronics components world wide. Japanese firms were particularly badly affected. Japan is the single largest foreign investor in the country, and a Japan External Trade Organization survey released earlier this month reported that 67% of firms exporting to or investing in Thailand were hit by the deluge, which also claimed several hundred lives and drenched large swathes of the capital, Bangkok. Not surprisingly, many Japanese executives were keen to hear about Thailand’s $11 billion plan to shore up its flood defenses, which was drafted in part by Ms. Yingluck’s brother, former leader Thaksin Shinawatra, who now lives overseas after Thailand’s armed forces ousted him from power in 2006. So, with a Japanese-language copy of her speech already handed out to an eager audience at the Japan Chamber of Commerce Wednesday, Ms. Yingluck arrived to make her big pitch – in Thai. For seven minutes, Ms. Yingluck, 44 years old, spoke to the hundred-strong audience without any accompanying translation, leaving many of the attending business leaders wondering quite what she was talking about and awkwardly scanning their hand-outs for clues. Ms. Yingluck then left the room in silence, smiling and bowing as she went. A representative from a travel company remarked that attendees were appreciative of Ms. Yingluck’s attempts to boost their confidence and explain Thailand’s new flood-prevention measures. But he also said it was “a bit weird” that her team didn’t provide a simultaneous translation. Perhaps stranger still, Ms. Yingluck, who has a master’s degree from Kentucky State University in the U.S., could have chosen to speak in English, a language which some people in the audience also speak. It could be, though, that Ms. Yingluck wasn’t entirely confident in English. A video of her greeting visiting U.S. Secretary of State Hillary Clinton in Thailand last year by saying “overcome” instead of “welcome” got heavy play on YouTube, while Ms. Yingluck’s political opponents sometimes unfavorably compare her prowess with the language with that of her predecessor, Eton-and-Oxford educated Abhisit Vejjajiva. Thai government officials couldn’t immediately be reached for comment. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 มีนาคม 2555, 09:14:04 ได้อ่านบทความดีๆที่ประเทืองสติปัญญา จึงเอามให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
ลองอ่านและคิด... วิวาทะ “คอร์เนล” การเมืองไทย : ภายใต้ปีกพญาอินทรี (ตอน 5) โดย ยุค ศรีอาริยะ คือนามปากกาของ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ลูกศิษย์... ผู้ยอมจำนน อาจารย์เกษียร เล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า ผมเป็นลูกศิษย์ James Petras ผมคงไม่ปฏิเสธว่า ผมทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกโดยมีอาจารย์ Petras เป็นที่ปรึกษาหลัก สาเหตุที่ผมขอให้อาจารย์เป็นที่ปรึกษาหลัก เพราะท่านเป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการเมืองในละตินและการเมืองอเมริกาอย่างมากๆ จนท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ส่วนท่านอาจารย์ Wallerstien ท่านชอบสร้างภาพ “รัฐ” แบบหลวมๆ อย่างมากๆ เพราะท่านกลัวว่า ทฤษฎี หรือ กรอบคิด ที่แข็งเกินไป จะไปจำกัดการคิดวิเคราะห์อย่างเช่น เวลาที่ท่านพูดถึง “รัฐศูนย์กลาง” ท่านก็จะใช้หลักง่ายๆ ว่าเป็น “รัฐที่เข้มแข็ง” เท่านั้น ส่วน “รัฐชายขอบ” คือ “รัฐที่อ่อนแอ” ส่วนอาจารย์ James Petras คิดว่า ต้องวางกรอบแนวคิดให้ชัดเจน ท่านจึงเสนองานเรื่อง “รัฐจักรวรรดินิยม” ขึ้น อย่างลงรายละเอียดค่อนข้างมาก และท่านพยายามเสนอว่า รัฐจักรวรรดิดังกล่าวมีอำนาจครอบงำประเทศในโลกที่สามได้อย่างไร โดยเฉพาะที่ละตินอเมริกา ผมเองเชื่อว่า ระบบโลกมีระบบเครือข่ายอำนาจรัฐ หรือ Empire ซึ่งสามารถเชื่อมรัฐจักรวรรดิและรัฐชายขอบเข้าเป็นหนึ่งเดียว ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ Petras มาก และคิดว่า น่าจะทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “รัฐทุนนิยมชายขอบ” แต่พอถึงช่วงจะเขียนวิทยานิพนธ์ ผมเริ่มเปลี่ยนใจ ผมไปเจออาจารย์ Petras และบอกอาจารย์ว่า เดิมที ผมจะสร้างทฤษฎีว่าด้วยรัฐชายขอบ ซึ่งคงคล้ายๆ กับแนวคิดของอาจารย์ โดยใช้ประเทศไทยเป็นแบบ แต่ต่อมา หลังจากผมศึกษาทฤษฎีต่างๆ ว่าด้วย “รัฐ” ในโลกตะวันตกแล้ว ผมพบว่า ทฤษฎีว่าด้วยรัฐศูนย์กลางมีข้ออ่อนมาก ผมจึงสนใจคิดสร้างทฤษฎีว่าด้วย “Empire” ขึ้นมาใหม่ อาจารย์ Petras แนะว่า ผมควรจะทำเรื่อง “รัฐชายขอบ” เพราะถ้าผมทำทฤษฎีว่าด้วยรัฐศูนย์กลาง หรือ Empire ผมต้องใช้เวลาทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี แต่ถ้าทำเรื่องรัฐชายขอบ ผมคงใช้เวลาอีกสัก 3 ถึง 4 ปี ผมแย้งอาจารย์ว่า “ถ้าเรายังไม่สามารถทำภาพ รัฐที่ศูนย์กลาง ให้ชัดเจน แล้วจะสร้างภาพ รัฐชายขอบ ได้อย่างไร” อาจารย์บอกให้ผมลองไปคิดดู อีก 10 ปี ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก อีกเท่าไหร่ ผมคิด... แล้วก็จนมุม สาเหตุที่ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ก็เพราะว่าพื้นที่ในการศึกษาเรื่องรัฐแบบ Empire ต้องกว้างมาก และช่วงเวลาศึกษาทางประวัติศาสตร์ก็ต้องยาวมากเช่นกัน แต่ถึงอย่างไร ผมก็อยากจะศึกษาเรื่องนี้มาก เพราะผมอยากจะพิสูจน์ว่า นักวิชาการโลกที่สามอย่างผม ก็สามารถคิดในระดับทฤษฎี หรือสามารถสร้างทฤษฎีของตัวเองได้ ผมก็...โชคดีอย่างมาก เพราะในช่วงก่อนที่ผมจะทำวิทยานิพนธ์ ผมล้มป่วยหนักมาก เป็น...ตาย เท่ากัน ไม่รู้จะรักษาตัวเองอย่างไร ผมฝึกนั่งสมาธิเพื่อสงบจิตใจ การนั่งสมาธิ ช่วยทำให้ผมตระหนักรู้ว่า สาเหตุหลักที่ผมล้มป่วยหนักครั้งนี้ มีรากกำเนิดจาก “ใจ” ของผมเอง ผมเป็นคนที่อหังการมาก จึง “หลง” จมเข้าไปอยู่ในโลกของสงคราม ผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกของสงครามตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา สืบทอดมาจนถึง 6 ตุลา ในช่วงแรก ผมต้องต่อสู้ทำสงครามล้มรัฐทหาร และต่อมายังต้องหันไปทำสงครามสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ตอนที่ผมเรียนอยู่อเมริกา ผมมีเพื่อนๆ นักศึกษาที่มาจากประเทศโลกที่สาม หลายคนคิดคล้ายๆ กับผม โดยเฉพาะเพื่อนๆ ชาวเกาหลี เพื่อนชาวเกาหลี ไม่มีใครสักคนที่เรียนจบปริญญาเอก เพราะคนเหล่านี้ล้วนคิดอย่างเป็นตัวของตัวเองมาก ผมบอกเพื่อนๆ ชาวเกาหลีว่า ผมเรียนจบ...เพราะผมยอมจำนน ยอมใช้ทฤษฎีของอาจารย์เป็นหลัก ผมกล่าวกับเพื่อนๆ ทำนองว่า ที่จริงแล้ว ผมอยากจะสร้างทฤษฎีของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่ในที่สุด ผมก็เปลี่ยนใจ เพราะวันหนึ่ง มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งท่านชอบเล่นปิงปองกับผม ท่านมีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น และได้ถ่ายรูปปั้นพระพุทธเจ้าที่ท่านพบมา มอบให้กับผม ผมจบปริญญาเอกเพราะภาพพระพุทธเจ้าองค์นี้ ซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้าผู้นั่งอยู่บนฐานดอกบัว นั่งพนมมือไหว้สิ่งต่างๆ ภาพนี้เอง ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่า การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เพื่อหาความรู้ หรือสร้างทฤษฎีใหม่ๆ แต่ต้องเรียนเพื่อ “พบ” และทำลายความ “อหังการ” ของตัวเอง ภาพนี้ทำให้ผมระลึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาส ที่ท่านสอนเสมอว่า “เราต้องตาย ก่อนจะตาย” หลังจบรับปริญญา ผมยังจำได้ เพื่อนรักชาวเกาหลีคนหนึ่งกล่าวกับผมทำนองว่า คนโลกที่สาม อย่างคุณ หรือ ผม ไม่มี “ฐานะ” หรือ “สิทธิ์” ที่จะคิดงานระดับสร้างทฤษฎีของตัวเอง และถึงคิดได้ ก็ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะบรรดาทฤษฎีที่จะได้รับ “การยอมรับ” ต้องผลิตโดยนักวิชาการตะวันตกที่มีชื่อเสียง อะไรคือ อำนาจอย่างอ่อนๆ ดังที่ผมกล่าวมาแล้วว่า ผมคิดว่าระบบจักรวรรดิอเมริกามีอำนาจ 2 อำนาจประกอบกัน คือ อำนาจแข็ง (Hard Power) กับอำนาจอ่อน (Soft Power) เรื่องอำนาจแข็งนั้น ผมคิดว่าเราเข้าใจได้ง่ายกว่าอำนาจอย่างอ่อนๆ แต่พลังอำนาจอย่างอ่อนๆ (Soft Power) มีพลังแทรกซึมมาก อย่างเช่น สื่อตะวันตก หรือทฤษฎีต่างๆ ที่ผลิตจากมหาวิทยาลัยซึ่งเป็น “แหล่งทฤษฎีตะวันตก” จะถูกมองในมิติค่อนข้างดี และเชิงบวก สาเหตุหนึ่งเพราะคนไทยทั่วไปมักคิดว่า สิ่งที่สื่อตะวันตกผลิต (ความรู้ หรือ ข่าวสาร) เป็นทั้ง “ความรู้” และ “ความจริง” ยิ่งบรรดาทฤษฎีตะวันตกได้อ้างว่า “เป็นวิทยาศาสตร์” ด้วยแล้ว ผู้คนจำนวนหนึ่งในโลกที่สามก็ยึดติดหรือหลงใหลว่า “จริงแท้” และ “แน่นอน” เพื่อนของผมจำนวนหนึ่ง หรือชาวคอมฯ เก่าๆ ยังคงหลงใหลและศรัทธาลัทธิมาร์กซ์ และเหมา อย่างสุดๆ เพราะเชื่อว่า ลัทธิทั้งสองคือ “สัจธรรม” หรือ “เป็นวิทยาศาสตร์” ความเชื่อเหล่านี้ได้ฝังราก จนกลายเป็นอุดมการณ์ของชีวิต บางคนยอมตายเพื่อการปฏิวัติสังคมนิยม หรือเพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ ยิ่ง...ความเชื่อบางประการ...ก็ผ่านอิทธิพลหรือสิ่งที่เรียกว่า “การโฆษณาชวนเชื่อ” ที่ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกลายเป็น “ความจริง” ที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึก ไม่ต่างจากการโฆษณาเรื่อง เป๊ปซี่ดีที่สุด เวลาเราไปสั่งอาหาร โดยอัตโนมัติ ก็ต้องสั่งแป๊ปซี่ก่อน บางครั้งการโฆษณาสามารถก่อรูป “ความเกลียดชัง” อย่างฝังรากลึก อย่างเช่น คนบางคนเกลียดๆๆๆๆ สถาบันฯ เพราะล้าหลัง และอำนาจนิยม อย่างเช่น ถ้าจะคิดว่า “อะไรคือ ประชาธิปไตย” เราก็จะพูดโดยไม่คิด ว่าคือ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” เราเกือบไม่ต้องคิด เพราะความเข้าใจนี้ฝังรากอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา ผู้คนทั่วโลก ทั้งโลกตะวันตกและในโลกตะวันออก ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Soft Powerไม่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิด “ถึง” โลกตะวันตก เราก็เชื่อว่า เจริญ ก้าวหน้า และเป็นประชาธิปไตย หากคิด “ถึง” โลกตะวันออก เรามักจะใช้คำว่า ล้าหลัง และอำนาจนิยม วันหนึ่ง ผมได้อ่านจดหมายจากอธิการบดี...ถึงอธิการบดี ของอาจารย์ชาญวิทย์ โดยไม่ตั้งใจ ผมพบคำว่า “ล้าหลัง และอำนาจนิยม” และใช้คำว่า “ประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ผมจึงยกเอาคำเขียนของท่านมาพูดถึง ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ที่กล้าบังอาจกล่าวถึงท่าน ที่จริงแล้ว ผมเคารพอาจารย์เสมอ อาจารย์อาจจะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ก็ได้ แต่ผมเองไม่ห่วงว่า อาจารย์จะคิดหรือจะเชื่อ เช่นไร เพราะอาจารย์ท่านฉลาดมาก ท่านอาจจะเพียงใช้ถ้อยคำเหล่านี้มาช่วยเสริมแต่งเหตุผลที่ท่านเสนอให้ดูดี เท่านั้น แต่ผมกลับเป็นห่วง Soft Power จากโลกตะวันตกแบบนี้ เพราะปัจจุบัน ความเชื่อดังกล่าวถูกใช้ “ปลุกปั่น” ให้นักศึกษาในโลกตะวันออก ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ล้มล้างสถาบันอำนาจต่างๆ ในโลกตะวันออก ที่ถือว่าล้าหลัง และอำนาจนิยม ระบบการเมืองในเอเชียเกือบทั้งหมด ไม่ว่า จีน อาหรับ จะถูกตีตราจากโลกตะวันตกว่า “ล้าหลัง และอำนาจนิยม” และ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ประชาธิปไตยแบบตะวันตกเท่านั้น คือ “ทางออก” ของสังคม ในอดีต ได้เกิดเหตุการณ์ “การลุกขึ้นสู้ปฏิวัติประชาธิปไตย” ที่ประเทศจีน จนนำสู่การปราบใหญ่ นองเลือดกลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน ผู้คนล้มตายไปจำนวนมาก วันนี้ มีการลุกขึ้นสู้ ที่เรียกว่า “อาหรับสปริง” โค่นล้มอำนาจเผด็จการ ในประเทศต่างๆ ผู้คนต้องล้มตายมากมาย เช่นกัน ผมคิดว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์ เป็นผลผลิตจาก “ความเชื่อชุดนี้” เช่นกัน ตะวันออก คือ ล้าหลัง และอำนาจนิยม ตะวันตก คือ ประชาธิปไตย และเจริญก้าวหน้า แต่ที่น่าสังเกตคือ “คลื่นปฏิวัติประชาธิปไตย” ที่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน และโลกอาหรับ ไม่ได้จบลงด้วยการได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างที่นึกฝัน แต่จบลงด้วยวิกฤตใหญ่แบบต่อเนื่อง และสงครามกลางเมือง เรามักจะมอง “การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ในแง่เดียว คือ “ดี” เท่านั้น หากเราศึกษาประวัติศาสตร์โลกที่สาม จะพบว่า หลายประเทศ อย่างเช่น เฮติ พม่า บางประเทศในโลกอาหรับ และแอฟริกา ที่พยายามล้ม “เผด็จการ” แทนที่จะได้ “ประชาธิปไตย” แต่กลับต้องจมอยู่กับ “สงครามกลางเมือง” บางแห่งเกิดสภาวะสงครามที่ต่อเนื่อง บางครั้งยาวเป็นสิบๆ ปี ผมคิดว่า สภาวการณ์ดังกล่าว เปิดเงื่อนไขให้บรรดาจักรวรรดิมหาอำนาจตะวันตกแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะสงครามเหล่านี้ นี่คืออำนาจที่มองไม่เห็นของ Soft Power ที่กล่าวข้างต้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมชอบเผด็จการ แต่ผมคิดว่า การเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ต้องระวัง “ผลลัพธ์” ที่จะติดตามมาด้วย ในกรณีประเทศไทย ผมกลับไม่กังวลเรื่องอำนาจของ Soft Power ของฝ่ายที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยมากนัก เพราะปัจจุบันบ้านเมืองไทยก็อยู่ในระบอบการเลือกตั้ง หรือประชาธิปไตยตามความเข้าใจของนักวิชาการในโลกตะวันตก ดังนั้น ผมจึงไม่กังวลมากนักที่มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งมาเคลื่อนไหว ขอแก้กฎหมาย ม. 112 แต่ที่ผมกังวลกว่าก็คือ หากฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “พลังประชาธิปไตย” เคลื่อนไหวขอแก้กฎหมาย ม. 112 อีกฝ่ายหนึ่ง คือ “ฝ่ายเสื้อแดง” ก็ต้องออกมาสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เพราะมีคนของฝ่ายเสื้อแดงเองถูกจับติดคุกเนื่องจากกฎหมายข้อนี้ ผมจึงต้องยอม “เสียคน” เมื่อแก่...อีกครั้งหนึ่ง เพื่อขวางการเคลื่อนไหวดังกล่าว ผมไม่ได้เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวแก้ไม่ได้ แต่ห่วงว่า ถ้าพลังเสื้อแดงเคลื่อนกำลังหนุนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ การเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้น และเลือดก็จะนองแผ่นดินอีกครั้ง ผมเองเชื่อว่า ท่านอาจารย์ชาญวิทย์ และอาจารย์วรเจตน์ เป็นคนดี มีจิตใจที่รักประชาธิปไตย แต่ผมขอยืนอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม เพราะผมเชื่อว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันมักจะมีจุดจบที่น่าสะพรึงกลัวมากๆ สมมติว่า พลังเสื้อแดงเคลื่อนเข้าสมทบกับพลังบรรดาอาจารย์ที่รักประชาธิปไตย การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนแดงเหลือง ก็จะเกิดขึ้นอีก ถ้าเกิดการปะทะ และการ “ฆ่า” กัน จุดจบของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยก็คือ รัฐประหาร ที่สำคัญ ฝ่ายแดงยังยึดมั่นในทฤษฎีฝ่ายซ้ายซึ่งมาจากโลกตะวันตกเหมือนกัน แต่ยังคงเชื่อเรื่อง “การปฏิวัติที่รุนแรง” เพราะทฤษฎีพื้นฐานของฝ่ายนี้จะเชื่อว่า “สถาบันในอดีต ไม่เพียงแต่ล้าหลัง อำนาจนิยม” เท่านั้น ยังถือว่า “ชั่วร้าย และขัดขวางการพัฒนาการ” จึงต้องถูกทำลาย หรือโค่นล้ม (ยังมีต่อ) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 11 มีนาคม 2555, 22:38:08 “ณรงค์” เซ็งมติชนบิดเบือน ปัดวิพากษ์จุดอ่อน พธม.ยันแค่วิเคราะห์การเมือง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ “ณรงค์” สุดมึน! มติชนหลอกสัมภาษณ์วิพากษ์พันธมิตรฯ ทำคนเข้าใจผิด ยันไม่เคยพูดจุดอ่อน แค่วิเคราะห์การเมืองตามจริง ใช้มวลชนล้มรัฐบาลเลือกตั้งไม่ได้ ชี้ ยุคเสื้อแดงก็ล้ม “มาร์ค” ไม่ได้เช่นกัน แต่ยันการเลือกตั้งก็ทำให้กลายเป็นเผด็จการได้ เช่น “ฮิตเลอร์” โวยโดนขุดอาชีพทั้งที่เคลื่อนไหวเรื่องส่วนตัว เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ - วันนี้ (11 มี.ค.) นายณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เว็บไซต์ มติชนออนไลน์ ลงคำสัมภาษณ์พิเศษ “ณรงค์ โชควัฒนา” วิพากษ์จุดอ่อนพันธมิตรฯ-ทักษิณ คุณไม่สามารถไล่เผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ! http://www.matichon.co.th/play_clip.php?newsid=1331305882 ว่า ทางผู้สื่อข่าวของมติชนออนไลน์ ได้ติดต่อกับตนเพื่อขอสัมภาษณ์วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ซึ่งไม่ได้เจาะจงที่จะสัมภาษณ์เฉพาะเรื่องพันธมิตรฯ เป็นหลัก ซึ่งตอนที่ให้สัมภาษณ์ตนก็ไม่ได้ระวังตัวอะไร แต่ยืนยันว่า ตนไม่เคยพูดถึงจุดอ่อนอะไร ส่วนที่บอกว่า พันธมิตรฯ ไม่สามารถใช้มวลชนล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้นั้น ตนก็พูดจริง ในเวทีที่สวนลุมพินี วานนี้ (10 มี.ค.) ตนก็พูด ซึ่งไม่ใช่แค่กลุ่มคนเสื้อเหลืองเท่านั้น กลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ไม่สามารถใช้มวลชนล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่อ่อนแอได้เช่นกัน เพราะได้รับความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ต่อให้เป็นกฎหมู่ยังไงก็ไม่สามารถล้างการเลือกตั้งได้ นี่เป็นเรื่องสากล แต่การเลือกตั้งก็สามารถทำให้เป็นเผด็จการได้ เช่น ฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นเผด็จการที่เลวร้ายที่สุด ทั้งนี้ ตนพูดไปเยอะในเรื่องดังกล่าว แต่กลับถูกดึงมาพาดหัวในประเด็นที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนที่อ่านบทสัมภาษณ์ได้ นายณรงค์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วตนจะไม่บอกว่าตนทำอาชีพอะไร เพราะไม่อยากให้ทางบริษัทที่ตนทำงานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำส่วนตัวของตน ซึ่งเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ทางเว็บไซต์มติชนกลับไปเสิร์ชหาข้อมูลนำมาใส่ไว้จนหมดโดยไม่ได้บอกกล่าวตนแต่อย่างใด หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 มีนาคม 2555, 23:13:25 ศาลปค.สูงสุดสั่งรื้อคดี "พล.ต.ต.มานิต" ช่วยเหลือมือชกคนตะโกนด่า"แม้ว"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ศาลปกครองสูงสุด สั่งศาลปค.ชั้นต้นรับคำขอ ป.ป.ช. ร้องพิจารณาคดี"พล.ต.ต.มานิต" ลอยนวลกลับเข้ารับราชการใหม่ ชี้เหตุป.ป.ช.ถือเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการวินิจฉัยคดีแต่แรกสมควรที่ศาลฯต้องรับฟังข้อมูลป.ป.ช.ก่อนพิพากษา พร้อมทั้งสั่งให้เปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ วันนี้(14 มี.ค.) ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น โดยสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีที่ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ให้มีการเพิกถอน คำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กรณีลงโทษปลด พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ อดีตรองผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ออกจากราชการ เนื่องจากถูกป.ป.ช.ชี้มูลว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการผิดวินัยอย่างร้ายแรง จากการที่ใช้ตำแหน่งช่วยเหลือให้ผู้ที่กระทำผิดในกรณีเข้าควบคุมจับกุมนายวิชัย เอื้อสิยาพันธุ์ ซึ่งเป็นประชาชนที่ตะโกนต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49 ที่บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จนเป็นเหตุให้มีการทำร้ายร่างกายนายวิชัย ทั้งนี้การมีคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากหลังศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ก.ย.52 ระบุว่า การไต่สวนของป.ป.ช.ที่นำมาสู่การมีมติว่าพล.ต.ต.มานิต กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ลงโทษปลดพล.ต.ต.มานิตออกจากราชการ ตามมติที่ป.ป.ช.เสนอ รวมทั้งสั่งให้ผบ.ตร.รับพล.ต.ต.มานิตกลับเข้ารับราชการ และคืนสิทธิที่พึงได้ตามกฎหมายให้พล.ต.ต.มานิต ภายใน 45 วันนับแต่คดีถึงที่สุด ปรากฎว่าคู่กรณีคือพล.ต.ต.มานิต และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อครบกำหนดเวลา จึงทำให้คดีถึงที่สุด แต่ป.ป.ช.เห็นว่าตนเองเสียหายจึงได้ยื่นคำขอเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.52 โดยศาลปกครองชั้นต้นยกคำขออุทธรณ์ อ้างว่าป.ป.ช.เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบต่อผลแห่งคดีนี้ ป.ป.ช.จึงได้ยื่นอุทธรณ์อีกครั้งต่อศาลปกครองสูงสุด ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุด สั่งให้ศาลชั้นต้นรับพิจารณาคดีใหม่ โดยระบุว่า คดีนี้เป็นกรณีที่มีผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 89 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 จึงมีการส่งเรื่องให้ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการ ต่อมาป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงผบ.ตร. ส่งรายงานการไต่สวนของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย กับพล.ต.ต.มานิต เนื่องจากป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า การกระทำของพล.ต.ต.มานิตเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งลงโทษปลดพล.ต.ต.มานิตออกจากราชการ ซึ่งพล.ต.ต.มานิตได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ ก.ตร. ที่ก็มีมติให้ยกอุทธรณ์ จึงจะเห็นได้ว่าป.ป.ช.เป็นผู้ตรวจสอบและแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และได้มีการดำเนินการไต่สวนผู้กล่าวหา พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ จึงถือว่าป.ป.ช.เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการชี้มูลของ พล.ต.ต.มานิตมาตั้งแต่ต้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณา ว่า กระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.นั้นไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และระเบียบป.ป.ช.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกรรมการไต่สวน 2547 หลายประการ กระบวนการก่อนออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เป็นการยุติธรรมต่อพล.ต.ต.มานิต นั้น เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลปกครองชั้นต้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินคดีของ ป.ป.ช.ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้ ซึ่งที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การดำเนินการของป.ป.ช.ดังกล่าว เป็นเพียงการเตรียมการ และการดำเนินการเพื่อจัดให้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยพล.ต.ต.มานิต เป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 ไม่มีผลบังคับให้ผบ.ตร.และก.ตร.ต้องพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่ป.ป.ช.ได้มีมติจึงไม่ถูกต้อง ป.ป.ช.จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องในการวินิจฉัยดังกล่าว สมควรที่จะต้องเข้ามาอยู่ในคดีตั้งแต่ต้น อุทธรณ์ข้อนี้ของป.ป.ช.จึงฟังขึ้น ส่วนที่ป.ป.ช.อุทธรณ์ ว่า ศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดนั้น เห็นว่า เมื่อศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วว่ากระบวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.ไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบพยานเอกสารดังกล่าวจากป.ป.ช. ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาโดยสุรปว่าข้อเท็จจริงจากเอกสารหลักฐาน คำให้การของพยานบุคคล พยานวัตถุ แผ่นวีดีทัศน์ ซึ่งมีภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่าย ที่อยู่ในสำนวนคดี ที่คู่กรณีได้ส่งมาส่วนใหญ่ปรากฎอยู่ในสำนวนของป.ป.ช. โดยมีข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาตรงกับเอกสารรายงานไต่สวนข้อเท็จจริง หรือจากการนำส่งของพล.ต.ต.มานิต ผบ.ตร.และก.ตร. โดยยังมิได้รับฟังหลักฐานโดยตรงจากป.ป.ช.ซึ่งอาจมีผลทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดได้ ประกอบเมื่อศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ป.ป.ช.ชี้มูลไม่ชอบด้วยกฎหมายก็สมควรอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบพยานและเอกสารหลักฐาน จากป.ป.ช.เป็นสำคัญด้วย ดังนั้นข้ออ้างของป.ป.ช.ที่ว่าศาลปกครองชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด ป.ป.ช.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือเข้ามาแล้วถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วม ในการดำเนินกระบวนพิจารณา หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่เป็นที่ยุติธรรมจึงรับฟังได้ ป.ป.ช.จึงเป็นผู้มีสิทธิที่จะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ด้วยเหตุนี้เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นได้รับฟังมาไม่เพียงพอ แก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลปกครองสูงสุดเห็น ว่า มีเหตุอันสมควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นที่ประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่ไม่ใช่องค์คณะเดิมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของป.ป.ช.ไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีโดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 15 มีนาคม 2555, 17:57:17 หุยฮา......
"สมเกียรติ"โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค เปิดคำต่อคำบทสัมภาษณ์"ทักษิณ"-สื่อนอก อ้างโศกนาฎกรรมตากใบ เป็นแผนล้มนายกฯ นายสมเกียรติ อ่อนวิมล โพสต์ข้อความใน Facebook "Somkiat Onwimon (สมเกียรติ อ่อนวิมล)" แปลบทสนทนาระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ Tom Plate ในหนังสือ 'Conversations with Thaksin - From Exile to Deliverance: Thailand’s Populist TycoonTells His Story'โดยหยิบเอาข้อความระหว่างการสนทนาระหว่างพ.ต.ททักษิณกับนาย Tom Plate ระบุว่า 'โศกนาฏกรรมตากใบ: เป็นแผน "พวกเขา ที่จะล้มผม" โดยมีข้อความดังนี้ Thaksin: "Most of the people like me, but in the forth year, I got hit with too many challenges, had too much work, and then they were trying to kick me out. So they created a lot of problems, including the PAD---the Yellow Shirts---started gathering in my fourth year. I knew this." "ประชาชนส่วนมากเขาชอบผม แต่ในปีที่สี่ ผมถูกท้าทายมาก ผมทำงานมากเกินไป พวกเขาจึงพยายามเตะผมออกนอกประเทศ แล้วพวกเขาก็สร้างปัญหามากมายให้กับผม รวมทั้งพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย---พวกเสื้อเหลือง---เริ่มชุมนุมกันในช่วงปีที่สี่ของผม ผมรู้เรื่องนี้ดี" Tom: "How did you know this?" "คุณรู้ได้อย่างไร?" Thaksin: "After I left, I learned from some friends in Malaysian intelligence---they said that even in southern part of Thailand, in my last full year in office, in the forth year---they were trying to create problems that would weaken me." "หลังจากผมออกนอกประเทศไปแล้ว ผมทราบเรื่องราวจากเพื่อนมาเลเซียที่ทำงานข่าวกรอง---เขาเล่าให้ผมฟังว่าแม้แต่ในภาคใต้ของไทย ในปีสุดท้ายเต็มปีของผม ในปีที่สี่---พวกเขาพยายามสร้างปัญหาทำให้ฐานอำนาจของผมอ่อนแอลง" Tom: "In the south?" He is referring to the now-infamous tragedy when scores of Muslim ‘extremists (or ‘protestors’) were packed into a police truck to be taken to custody and died of suffocation. "ในภาคใต้หรือ?" ทักษิณอ้างถึงโศกนาฏกรรมอื้อฉาวครั้งที่ชาวมุสลิมหัวรุนแรง (หรือ ‘ผู้ประท้วง’) ถูกขนขึ้นอัดกันแน่นบนรถบันทุกตำรวจเพื่อไปควบคุมตัว คนเหล่านั้นต้องตายเพราะไม่มีอากาศหายใจ Thaksin: "Yes, in the south. Some ex-Malaysian intelligence officers told me that they interviewed the cousins of the victims who died of suffocation from the atrocious transportation by the military after it dispersed the protest in Tak Bai, a district in Muslim dominated province in the southen part of Thailand. The officers informed me that [when the operation started] they believed that I had a bad attitude toward Muslim, but one year after the coup d’etat, after they investigated, they began to understand that the tragic and embarrassing incident was part of the plot to topple me." "ครับ ในภาคใต้ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองมาเลเซียหลายคนบอกผมว่าได้สัมภาษณ์ญาติๆของผู้ตายในเหตุการณ์แสนโหดที่เบียดกันแน่นขาดอากาศหายใจตอนที่ทหารขนขึ้นรถ หลังจากการ กวาดล้างสลายฝูงชนผู้ชุมนุมที่ตากใบ อำเภอหนึ่งในจังหวัดที่ชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในภาคใต้ของไทย เจ้าหน้าที่มาเลเซียบอกผมว่า [เมื่อตอนที่เริ่มปฏิบัติการ] พวกเขาเชื่อว่าผมมีทัศนะที่เลวต่อชาวมุสลิม แต่หนึ่งปีหลังการยึดอำนาจ หลังจากมีการสอบสวนแล้วพวกเขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุอันเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าอับอายครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนโค่นล้มอำนาจผม" "And so, after I won my second term [in 2005], the street protests started in intensify, so that made me feel even more pressure, and because of all the hard work, I sometimes buckled under the pressures. I maybe showed my ugly side." He didn’t mean maybe , of course. "และดังนั้น หลังผมชนะการเลือกตั้งสมัยที่สอง [ปี 2548] การประท้วงตามท้องถนนเข้มข้นมากยิ่งขึ้น มันเป็นการสร้างความกดดันให้กับผมมากยิ่งขึ้น และโดยเหตุที่ผมทำงานหนักมามากมาย บางทีผมก็หมดแรงสู้กับความกดดันทั้งหลาย บางทีผมอาจจะแสดงออกซึ่งด้านน่าเกลียดของผมให้เห็นก็ได้"ทักษิณมิได้หมายความว่า"อาจจะ"แน่นอน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2555, 13:18:52 สุวัตร" เปิดสำนวน "ร่มเกล้า" ชี้ชัด "แม้ว" ผู้ต้องหาที่ 1 แต่วันนี้กลับบิดเบือน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 16 มี.ค. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV นายสุวัตร กล่าวว่า คดีพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ในสำนวนสอบสวนครั้งแรกของดีเอสไอ จับคนที่ยิงได้แล้ว โดยสำนวนนั้นมีผู้ต้องหาทั้งหมด 20 กว่าคน มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ต้องหาที่ 1 บางคนเอาไปขังไว้ไม่ให้ประกันตัว แต่ในที่สุดก็ให้ประกันหมด พอประกันแล้วก็ได้ยื่นขอความเป็นธรรมไปที่อัยการสูงสุด จากบัดนั้นถึงบัดนี้สำนวนนั้นยังไม่ฟ้องเลย แต่สำนวนของพันธมิตรฯยื่นขอความเป็นธรรมไปที่อัยการสูงสุดที่หลังกว่า แต่มาแล้ว แถมให้ตั้งข้อหาเพิ่ม 48 คน นายสุวัตร กล่าวต่อว่า มีพยานปากหนึ่งชื่อ นาย เสก เชษฐา หรือโต้ง ท้วมมณี ได้ให้การว่า "เป็นการ์ดของกลุ่มนปช. ได้วันละ 900 บาท ประสานงานกับเสธ.แดงในการหาข่าวทางทหารส่งให้เสธ.แดง เขาได้รับมอบหมายให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ดาวกระจายไปที่ต่างๆ นปช.เคยฝึกเป็นนักรบพระเจ้าตากกับเสธ.แดงที่สนามหลวง โดยการชักชวนของนายโชคอำนวย ไม่ทราบนามสกุล มีผู้ต้องหาที่ 24 และเพื่อน คือนายศิริชัย หรือตี๋ ร่วมฝึกด้วย มีการฝึกสอนและใช้ยิงอาวุธปืนและเครื่องยิงระเบิด และปา M76 และพยานยังทราบว่าผู้ต้องหาที่ 18 (ก็คือเสธ.แดง) เก็บอาวุธสงครามต่างๆ เช่น M16 ลูกระเบิดขว้าง M67 ไว้ภายในโรงแรมรัตนโกสินทร์ที่เช่าพักไว้ โดยมีผู้ต้องหาที่ 24 เป็นคนเฝ้า ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2552 ผู้ต้องหาที่ 19 ได้ใช้เครื่องยิงระเบิด M79 ยิงก่อกวนกลุ่มพันธมิตรฯที่สนามหลวง ทั้งยืนยันว่าผู้ต้องหาที่ 19 ใช้อาวุธ M79 ยิงใส่โรงเรียนสตรีวิทยา "จนพ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต" มีทหารบาดเจ็บสาหัสหลายนาย ยิงระเบิด M79 ใส่ประชาชนคนเสื้อหลากสีที่ศาลาแดง ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ต้องหาที่ 24 ยิงระเบิด M79 ใส่ตำรวจ นอกจากนั้นยังให้การว่ามีบุคคลที่่ร่วมกระทำความผิดอีกจำนวนมาก และแกนนำบนเวทีก็รู้เห็น และทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธ หรือกองกำลังชุดดำรวมอยู่ด้วย เพราะมีการเบิกจ่ายอาวุธปืนกันอยู่เสมอ ซึ่งเก็บไว้ที่เต้นท์หลังเวทีชุมนุม โดยมีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้เก็บรักษา พยานเคยเห็นผู้ต้องหาที่ 18 ติดต่อรายงานให้กับผู้ต้องหาที่ 1 (เสธ.แดงติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ) ทราบทางโฟนอินหรือทางคอมพิวเตอร์ระหว่างชุมนุม ผู้ต้องหาที่ 18 ทำหน้าที่สั่งการควบคุมกองกำลังติดอาวุธ ส่วนนายอารีย์ ไกรนรา ทำหน้าที่ควบคุมกองกำลังการ์ดของคนเสื้อแดงทั้งหมด และผู้ต้องหาที่ 19 ก็คือนายสุขเสก พลตื้อ" นี่คือสำนวนของดีเอสไอที่ทำมาตั้งแต่ต้น แต่บัดนี้มีการร้องขอความเป็นธรรมไปที่อัยการสูงสุด ซึ่งตนเชื่อได้เลยว่าหากสำนวนกลับมาอาจมีการสั่งไม่ฟ้อง นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทหารกำลังถูกไล่ล่า หาความเป็นธรรมให้ทหารไม่ได้ ชี้ให้เห็นว่าความยุติธรรมในยุคนี้มันถูกบิดเบือน แล้วถ้าหากกระบวนการยุติธรรมพังลง จะอยู่ในประเทศนี้กันอย่างไร ทั้งๆที่มีประจักษ์พยาน มีหลักฐานชัดเจนว่าใครยิง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นร้องขอความเป็นกับอัยการสูงสุด แค่กรณีหญิงอ้อ อัยการสูงสุดยังไม่ฎีกาเลย แล้วจะกล้าฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณหรือ อีกทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เมื่อก่อนกับปัจจุบัน คนละคนกันเลย ซึ่งก็เริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าสำนวนจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะก็มีการเปลี่ยนผู้ต้องหาจากนปช. เป็นชายชุดดำ หมาที่ไหนไปเปลี่ยนสำนวน ต้องถามกลับไปที่นายธาริต ให้คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ไปหานายสุเทพ ซึ่งได้รับอำนาจจากนายกฯขณะนั้น ให้เป็นผู้อำนวยการศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) ไปถามได้เลย นายสุเทพเป็นคนเซ็นสำนวนสอบสวนครั้งแรกเกือบทุกหน้า รู้เรื่องสำนวนนี้ดี นายสุวัตร ยังกล่าวต่อว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ระบุว่าผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้บังคับ ขู่เข็ญจ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้ กระทำความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ดังนั้นหากศาลตัดสินออกมาว่าทหารฆ่าผู้ชุมนุมจริง คนที่ใช้ทหารก็ต้องผิดด้วย งานนี้ไม่จบง่าย ๆ ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า ปกติการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 ใช้กรณีเดียวเท่านั้น คือการเสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นจากเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งแน่นอนกรณีนี้ก็คือทหาร ท้ายที่สุดน่าสนใจ เพราะพอระบุว่าไม่รู้ว่าใครทำให้ตาย ทหารจะแต่งตั้งทนายขึ้นไป เพื่อความยุติธรรมของคดี ก็อาจจะยากขึ้น เพราะทางศาลอาจบอกว่าก็ไม่ได้ระบุหนิว่าทหารเป็นคนทำให้ตาย จะมาขอความเป็นธรรมได้อย่างไร นี่เป็นแทคติกทางข้อกฎหมายอีกประการหนึ่งที่อาจมีการวางหมากไว้ จากหมายเรียก มีทหารหลายคนถูกเรียกไปไต่สวน และไม่แน่ศาลอาจไต่สวนให้ครบวรรค 5 ว่าใครทำให้ตายด้วยซ้ำไป ถ้าสรุปเป็นเจ้าพนักงานทำ ต่อไปญาติของกลุ่มคนที่ตาย ก็เอาสำนวนนี้ไปดำเนินฟ้องทางแพ่งและอาญาต่อทหาร นี่ก็เป็นความเสี่ยง น่าประหลาด ที่อัยการชงเรื่องนี้ให้ศาลทำการไต่สวน แต่ดูเนื้อหาจริงๆ ประมาณปี 54 มีพี่น้องเสื้อแดงหลายคน ยื่นฟ้องทหารต่อศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ตอนนั้นอัยการยืนข้างทหาร โดยให้เหตุผลว่าไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย เพราะคำฟ้องคลุมเครือ และความเสียหายที่เกิดขึ้น ผู้ตายเป็นผู้มีส่วนร่วมก่อขึ้น แต่วันดีคืนดีไปยืนข้างเสื้อแดงเฉย เห็นบรรทัดฐานของอัยการแล้วพิลึกพิลั่น นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ขอเสริมคำให้การพยานอีกปาก ให้การว่า "นายกบไม่ทราบชื่อและนามสกุล ผู้ต้องหาที่ 25 โดยนายสุข (สุขเสก พลตื้อ) และนายหรั่ง เป็นการ์ดและคนหาข่าวให้กับเสธ.แดง นายหรั่งจะมีอาวุธปืนขนาด 11 มม. และระเบิดลักษณะคล้ายผลส้มติดตัว ส่วนนายกบเคยเห็นเสธ.แดงโทรศัพท์มาบอกว่ามีงานให้ทำ และโทรศัพท์ตามเอาของมาคืน คือปืน M79 มาคืนเสธ.แดง พยานทราบว่านายสุขและนายหรั่ง นำอาวุธปืน M79 ไปยิงสถานที่ต่างๆ เช่นห้องทำงานผบ.ทบ. สี่แยกคอกวัว เอเอสทีวี และกรมทหารราบที่ 11 และพยานเคยเข้าร่วมประชุมการ์ด และได้ยินแผนการ ให้นายสุขและนายหรั่ง นำอาวุธปืน M79 ไปยิงก่อกวนตามสถานที่ต่างๆ และฆ่าคนเสื้อหลากสีและคนเสื้อเหลืองด้วย นอกจากนี้พยานยังทราบว่ากลุ่มแนวร่วมนปช.ได้รับเงินสนับสนุนจากนายสงคราม คุณสมหวัง และจากพ.ต.ท.ทักษิณ" ตนสนใจตรงที่ว่า วันที่หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ดีเอสไอขอหมายจับ จับตัวได้แล้ว ศาลไม่ให้ประกันตัว ขั้นต่อไปคือนำเข้าสู่ชั้นอัยการ อัยการก็รับเรื่อง แต่ปรากฎว่าคดีไม่คืบหน้าจนป่านนี้ ล่าสุดนายธาริตก็ออกมาบอกว่าคดีไม่คืบ ทั้งๆที่ปีที่แล้วเดือนกรกฎาคม นายธาริตทำสำนวนนี้เองกับมือ ไม่คืบแล้วทำสำนวนยื่นต่ออัยการได้อย่างไร หรือจะพลิกสำนวนจากนปช.เป็นคนทำผิดกลายเป็นชายชุดดำ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครหลังจากนี้ "มีข้อสังเกต วันที่มีการประกันตัว ปกติจะประกันตัวทีละรอบ แต่ชุดของผู้ต้องสงสัยยิงพล.อ.ร่มเกล้า ได้รับการประกันตัวพร้อมกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 นัยยะคือบังเอิญเอกสารของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบลายเซ็นนักการเมืองชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เซ็นในเอกสารหลายหน้า และหน้าที่เซ็นและมีการขีดเส้นใต้เป็นหน้าที่กล่าวถึงว่าใครสังหารพล.อ.ร่มเกล้า ถามว่ารู้ทั้งรู้ว่าใครสังหาร เหตุใดจึงสนับสนุนการประกันตัวเสื้อแดงทั้งหมด ไม่คิดบ้างหรือว่านางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ตอนนั้นรับราชการอยู่ในทำเนียบรับบาล แต่กลับมีการเจรจาต่อรองทางการเมืองโดยเอาชีวิตทหารมาเป็นเครื่องมือหรือไม่ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด และน่าเศร้า" นายปานเทพ กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2555, 13:22:17 ไพร่...........ซี๊ด แพงทั้งแผ่นดิน อำมาตย์ตระกูลชินรวยเอาๆ
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-น้ำมันก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา สินค้าบริโภค....อาหารการกินก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา งานนี้เล่นเอาประชาชนทั้งแผ่นดินต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากกับภาระค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งลงได้ แต่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กลับมิได้สนใจใยดีที่จะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่มีแม้แต่ “ดอกพิกุล” ร่วงออกมาจากปากว่า จะมีมาตรการระยะสั้น ระยะกลางหรือระยะยาวในการหยุดยั้งภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างไร ขณะที่เมื่อเหลียวกับไปตรวจสอบบรรดา “ไพร่เสื้อแดง” ที่กลายไปเป็นอำมาตย์ใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้ก็พบว่า แต่ละคนล้วนแล้วแต่อู้ฟู่ มีทรัพย์ศฤงคารเบิกบานหัวใจ จากการเปิดเผยตัวเลขทรัพย์สินคณะรัฐมนตรีของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) รวมทั้ง “เป็ดเหลิม” -ร้อยตำรวจเอกดอกเตอร์เฉลิม อยู่บำรุง ที่นั่ง “รถเบนท์ลีย์สีชมพู” ทะเบียน ฉม2222 ราคาคันละ 25 ล้านและมีเพียง 2 คันในโลกโฉบเฉี่ยวไปมาเพื่ออวดร่ำอวดรวย ยิ่งอำมาตย์ใหญ่ในตระกูลชินด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูอย่าง 2 ผัวเมียข้าวใหม่ปลาใหม่ “พินทองทา ชินวัตร -ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นั่นปะไรที่เปิดเรือนหอระดับคฤหาสน์ที่วังจันทร์ส่องหล้าให้ “นิตยสาร Hello” ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 (8 มีนาคม 2555) บันทึกความมีอันจะกินไว้ยั่วน้ำลายไพร่ไส้แห้งให้นึกอิจฉาปนอนาถใจ กระนั้นก็ดี จงอย่าแปลกใจกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ว่าทำไมถึงชาเย็นต่อความเดือดร้อนของประชาชน เพราะเป้าประสงค์ของนางสาวยิ่งลักษณ์คือการช่วย นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายให้กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องรับผิดและได้ทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไปจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์ ** ปี’55ราคาพลังงานขึ้นยกแผง ฝรั่งหัวดำดูไบรวยไม่รู้เรื่อง คงไม่ต้องไปเสียเวลาไปถามนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่ารัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างไร เพราะถามไปก็มิได้คำตอบอะไรที่จะพอทำให้หัวใจชุ่มชื่นหรือมีความหวังขึ้นมาบ้าง คำตอบที่สังคมได้ยินจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์คนสวยที่ชอบแต่งตัวสวยๆ ไปเดินเฉิดฉายโชว์ตัวที่นั่นที่นี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศคงไม่มีอะไรมากไปกว่า….. เรื่องนี้มอบให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการแล้ว เรื่องนี้มอบให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการแล้ว และเรื่องนี้มอบให้รัฐมนตรีอารักษ์ ชลธรานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปแก้ปัญหาแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้บรรดาข้าทาสตระกูลชินทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำเสนอหน้าออกมาแก้ตัวกันไปคนละทางสองทาง ตามบทถนัดของแต่ละคน ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยนับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่และไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยแม้แต่น้อย เพราะนโยบายที่รัฐบาลนกแก้วประกาศใช้ มุ่งหวังเพียงแค่การประชานิยมและหวังผลในคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คำประกาศในการหาเสียงเลือกตั้งของนายกฯ นกแก้วที่กำลังกลายเป็นประโยคที่ย้อนกลับมาเป็นบ่วงรัดคอรัฐบาลให้จำนนอย่างไม่มีข้อโต้เถียง “เราจะกระชากค่าครองชีพลงมา เอามั้ยค้า.....เราจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาทันทีลิตรละ 7-8 บาท เอามั้ยค้า.....” ไม่รู้ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้าใจสิ่งที่เธอประกาศหรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้กลายเป็นที่มาของการประกาศยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งนั่นมิใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเป็นการแก้ปัญหาเพื่อการหาเสียงเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นนโยบายที่มีอายุแค่ 4 เดือนเท่านั้น เพราะในที่สุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จำต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีกครั้ง จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ราคาพลังงานภาพรวมของไทยปี 2555 ถือเป็นเรื่องที่คนไทยต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพในการควักเงินจ่ายเพิ่มขึ้นแทบทุกรายการ เริ่มกันที่กลุ่มก๊าซธรรมชาติที่แอลพีจีภาคอุตสาหกรรมรับไปก่อนใครเพื่อนตั้งแต่ก.ค. 2554 โดยปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกก.จนครบ 4 ครั้งโดยจะส่งผลให้ราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมจะขยับไปอยู่ที่ 30.13 บาทต่อกก. ต่อเนื่องมาด้วยการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.)เริ่มตั้งแต่ 16 ม.ค. 55 ซึ่งตามกรอบที่วางไว้จะต้องปรับขึ้นทุกเดือนจนครบ 9 บาทต่อกก.ในเดือนธ.ค. 55 หรือราคาจะวิ่งไปอยู่ที่ 20.70 บาทต่อกก. และเอ็นจีวี 50 สตางค์ต่อกก.ทุกเดือนจนครบ 6 บาทต่อกก.ในธ.ค. 55 หรือราคาจะไปอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกก. ขณะที่ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนกำหนดเดิมจะตรึงราคาไว้ที่ 18.13 บาทต่อกก.จนถึงสิ้นปี 2555 แต่ดูเหมือนว่าการที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องควักเงินอุ้มราคาที่สูงขึ้นของแอลพีจีตลาดโลกที่สูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตันทำให้กองทุนฯต้องควักจ่ายอุ้มแอลพีจีเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ล้านบาทเงินกู้ที่วางไว้ 3 หมื่นล้านบาทจะหมดในช่วงต.ค. 55 นี้ ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงส่งสัญญาณในการขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนเร็วขึ้นซึ่งทำให้ต้องจับตาในจุดนี้ว่าที่สุดรัฐจะตัดสินใจอย่างไร หันมาดูทางฟากของน้ำมันพบว่า ราคาน้ำมันเริ่มต้นปีใหม่ราคาขายปลีกน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงถึง 11 ครั้ง(ตั้งแต่ 5 ม.ค. 55- 12 มี.ค.55) โดยเฉพาะเบนซิน 91 ขยับจาก 35.77 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 41.51 บาทต่อลิตรหรือปรับขึ้นถึง 5.74 บาทต่อลิตรโดยใน 11 ครั้งปรับลดลงเพียงครั้งเดียว โดยล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วันที่ 15 มี.ค.ที่มีนายอารักษ์ ชลร์ธารนนท์ รมว.พลังงานเป็นประธาน เห็นชอบเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเฉพาะเบนซิน 95 และเบนซิน 91 อัตราลิตรละ 1 บาทมีผลตั้งแต่ 16 มี.ค.-15เม.ย. 55 โดยยังคงเงินนำส่งของแก๊สโซฮอล์เพื่อถ่างส่วนต่างราคาให้จูงใจใช้พลังงานทดแทน ส่วนดีเซลคงการเก็บอัตราเดิมที่ 60 สตางค์ต่อลิตร ส่วนราคาดีเซลมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปเพียงครั้งเดียว 60 สตางค์ต่อลิตรแต่ด้วยราคาตลาดโลกส่งผลให้ราคาขายปลีกมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นปี(5ม.ค.55-12มี.ค.55) 8 ครั้งและเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องจากราคา 29.39 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 32.33 บาทต่อลิตรโดยปรับขึ้นรวม 2.94 บาทต่อลิตร ซึ่งแนวโน้มดีเซลตลาดโลกยังคงเป็นขาขึ้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดภาษีฯดีเซลหรืออาจจะเลือกลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯดีเซลที่เหลือ 60 สตางค์ต่อลิตร แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันระบุว่า กระทรวงพลังงานในฐานะกำกับดูแลควรเข้าไปดูกลไกการปรับราคาของผู้ค้าเพื่อให้เป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย เนื่องจากพบว่าผู้ค้าน้ำมันมีเทคนิคในการดึงราคาขายปลีกไว้ทั้งที่ค่าการตลาดบางช่วงสูงเฉลี่ยกว่า 2 บาทต่อลิตรซึ่งสามารถปรับลดลงได้เพราะปกติค่าการตลาดที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1.50-1.60 บาทต่อลิตร แต่กลับดึงไว้เพื่อรอน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ขึ้นและเมื่อขึ้นไปได้ก็เริ่มปรับราคาเพิ่มทั้งที่ก่อนหน้าควรจะปรับลดราคาลงได้ ส่วนกรณีแอลพีจีนั้น ข้อเท็จจริงที่มิอาจปล่อยให้ผ่านไปได้ก็คือ เป็นผลมาจากการที่ปตท.นำไปผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น ทำให้ดึงแอลพีจีจากภาคส่วนอื่นๆ ไปใช้ ขณะเดียวกัน ปตท.ซึ่งมีศักยภาพที่ควรจะต้องเป็นผู้ลงทุนสร้างคลังแอลพีจีเอง กลับเบียดบังมาใช้คลังที่เขาบ่อยา ซึ่งถือเป็นคลังส่วนรวม เท่ากับเป็นการมาเบียดเบียนการนำเข้าแอลพีจีของส่วนอื่นๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งรถแท็กซี่ รถโดยสาร เรือขนส่งสาธารณะ รวมทั้งรถบรรทุกจึงดาหน้ากันออกมาขอปรับราคากันอย่างพร้อมเพรียง เนื่องเพราะมีตัวเลขที่ชัดเจนว่า ส่งผลทำให้ต้องควักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 6 หมื่นล้านต่อปีเลยทีเดียว คำถามที่สังคมสงสัยคือทำไมรัฐบาลถึงนิ่งดูดายต่อความทุกข์ยากของประชาชนเช่นนี้ หรือเป็นเพราะฝรั่งหัวดำที่อยู่ดูไบมีผลประโยชน์อยู่ในบริษัทพลังงานของชาติมีคำสั่งให้ทำนาบนหลังคนเพื่อความร่ำรวยอย่างไม่รู้จักจบสิ้นของเขา **”ปู” เอาไม่อยู่ ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน และฉับพลันทันทีที่ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าก็ขยับขึ้นตามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เป็นที่ปรากฎชัดว่า การกระชากค่าครองชีพ ตามคำคุยของรัฐบาล “ปูนิ่ม” เมื่อครั้งใช้หาเสียง คุยโต โอ้อวดว่าจะทำทันที หลังเข้ามาเป็นรัฐบาล ได้ทำให้ประชาชนเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า ขี้หกทั้งเพ เพราะสิ่งที่จับต้องได้วันนี้ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารการกิน ได้แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุชัดเจนว่า ดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 7.18% โดยเนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น 7.19% ผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 6.32% เครื่องดื่มประกอบอาหารเพิ่มขึ้น 11.76% อาหารบริโภคในบ้านเพิ่มขึ้น 12.44% และอาหารบริโภคนอกบ้านเพิ่มขึ้น 5.24% นี่คือปัญหาใหญ่ที่รอปัญญาของรัฐบาลในการแก้ไข กล่าวสำหรับเรื่องค่าครองชีพ ต้องบอกว่า นับวันเม็ดเงินในกระเป๋าของคนไทยมีค่าน้อยลงทุกวัน วันนี้คนมีเงินในกระเป๋า 100 บาท กินข้าวบวกน้ำ ได้แค่มื้อเดียว 2 มื้อไม่พอ หลังข้าวแกง อาหารตามสั่ง ราคาขยับขึ้นพรวดๆ ราคาเริ่มต้น 20-25 บาท อย่าคิดไปหากิน ไม่มีทางเจอ ตอนนี้ต้องเริ่มที่ 35-40 บาท ส่วนในห้าง ในศูนย์อาหาร ไม่ต้องพูดถึง นั่นเริ่ม 45-60 บาท ทั้งๆ ที่ต้นทุนในการผลิตเวลานี้ ถูกกว่าสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ตั้งเยอะ เมื่อครั้งประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เนื้อหมูกิโลกรัมละ 140-150 บาท วันนี้ไม่เกิน 120 บาท แถมมีโปรโมชั่นขายถูกกิโลกรัมละ 100-105 บาท ในตลาดสดกับในห้าง เพราะหมูล้นตลาด ส่วนน้ำมันพืชปาล์มขวดละ 42 บาท สมัยก่อน 47 บาท เคยทะลุไปถึง 60-80 บาท ส่วนวัตถุดิบประกอบอาหารอื่นๆ ก็ราคาคงที่ เพราะพาณิชย์ยืนยันเอง แต่ราคาอาหารกลับขึ้นสวนทาง เดือดร้อนต้องออกมาประกาศ 10 เมนู แนะนำ ข้าวไข่เจียว ข้าวราดแกงหรือกับข้าว 1 อย่าง ข้าวไข่พะโล้ ข้าวขาหมู ข้าวกะเพราหมู ไก่ ข้าวผัดหมู ไก่ ก๋วยเตี๋ยวหมู ไก่ ลูกชิ้นปลา ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ขนมจีนน้ำยา แกงไก่ ห้ามขายเกิน 20-25 บาท สำหรับร้านอาหารริมทาง ไม่เกิน 25-35 บาท สำหรับร้านในห้าง ศูนย์อาหาร ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่จนวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำตาม หนักไปกว่านั้น ประกาศเปิดตัวร้านอาหารธงฟ้า ตั้งเป้าภายใน 1-2 เดือนจะมี 8,000 ร้านทั่วประเทศ แต่วันนี้มีไม่กี่พันร้าน แถมหลายร้านที่เข้าร่วมก็ขอออกจากโครงการไปแล้ว เพราะทนไม่ไหว วัตถุดิบราคาถูกที่พาณิชย์บอกจะหามาช่วย ก็ไม่มี ไม่มา ยิ่งขายยิ่งเจ๊ง ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม ออกมาแล้วขายแพงเหมือนเดิมดีกว่า ยังพอมีกำไรอยู่ได้ ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ประกาศปาวๆ ว่า เอาอยู่ ไม่มีรายการใดปรับขึ้นราคา แต่พูดไปก็เท่ากับถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง เพราะผลการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ซึ่งเป็นการสำรวจของหน่วยงานของพาณิชย์เอง ก็ออกมาชี้ชัดว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉีกหน้าตัวเองยับเยิน เพราะผ่านมา 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) เงินเฟ้อปาเข้าไปแล้ว 3.36% ยังไม่รวมแทกติกของผู้ประกอบการ ที่แอบขึ้นราคาสินค้าทางอ้อม ใช้วิธีการลดขนาดสินค้า ปรับเพิ่มส่วนผสม แล้วมาขอตั้งราคาเป็นสินค้าใหม่ พาณิชย์ก็หยวนๆ ปล่อยให้ขึ้น แบบว่าตามเกมไม่ทัน ส่วนสินค้าที่ปลดออกจากบัญชีควบคุม อย่างกาแฟผงสำเร็จรูป นมเปรียวพร้อมดื่ม โยเกิรต์ แชมพู น้ำยาซักฟอง ผลิตภัณฑ์ซักฟอก และสบู่ ตอนนี้ราคาไม่ต้องพูดถึง ขึ้นกระฉูดจนผู้บริโภครู้สึกได้ แล้วล่าสุด วิกฤตน้ำมันปาล์ม กำลังกลับมาเยือนเป็นรอบ 2 เริ่มต้นแบบหนังม้วนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคา อ้างต้นทุนเพิ่ม จากนั้น เริ่มชะลอการผลิต อ้างผลิตไปก็ขาดทุน ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ก็ได้ทีโก่งราคา ใครอยากได้น้ำมันปาล์ม ก็ต้องจ่ายราคาแพงขึ้น ไม่จ่าย ก็ไม่มีของ ประชาชนผู้บริโภค พอเริ่มรู้สึกว่า น้ำมันปาล์มจะขาดแคลน ก็รีบไปซื้อกักตุนจนของที่เคยมีขายทั้งในตลาด ทั้งในห้าง ก็เริ่มขาดหาย ผลการหารือระหว่างผู้ประกอบการที่ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ได้ยื่นคำขาด ขอให้พาณิชย์พิจารณาปรับขึ้นราคาเป็นขวดละ 50 บาท จากเดิม 42 บาท เพราะสต๊อกที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถผลิตและขายราคาเดิมได้อีกแค่ 2 สัปดาห์ หรืออย่างช้าก็ราวๆ ปลายเดือนนี้ ก็หมด ถ้าไม่ช่วยเหลืออะไร ผู้ผลิต จะขาดทุน และชะลอการผลิต จนอาจเกิดปัญหาวิกฤตซ้ำรอยเดิมก็เป็นได้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ก็ยังแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ขอให้ตรึงราคา โดยให้เหตุผลว่า สต๊อกเก่ายังมีอยู่ และผลผลิตใหม่กำลังจะออกมาตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป บวกกับกำลังพิจารณาหาทางช่วยเหลือ โดยล่าสุด มีข้อเสนอออกมา 2 แนวทาง คือ นำเข้ามาแล้วขายให้ผู้ผลิตในราคาถูก หรือไม่ก็ไปซื้อผลปาล์มดิบในตลาด แล้วมาขายให้กับผู้ผลิต ในราคาถูกซึ่งรัฐจะต้องใช้เงินอุดหนุนตรงนี้ประมาณ 68-115 ล้านบาท ก็ไม่รู้ว่า แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว จะทำให้วิกฤตปาล์มน้ำมันจะยุติลงได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบริหารของนายบุญทรง ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี **อำมาตย์-ข้าทาสตระกูลชิน รวยเอาๆ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากลำบนจากภาวะข้าวยากหมากแพงของคนทั้งแผ่นดิน ดูเหมือนว่าบรรดาอำมาตย์เสื้อแดงทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำจะมีชีวิตในทิศทางตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว ใช้ชีวิตล่องล่อยอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา สวมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเครื่องประดับแบรนด์เนมราคาแพงระยับ ทั้ง นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคดีที่ใช้ชีวิตอู้ฟู่เฉกเช่นมหาราชาบินไปบินมาทั่วโลก ทั้งคุณหญิงพจมานที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยเครื่องเพชร สร้อยมุกและกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดัง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ที่แต่งกายล้ำสมัยด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สุดหรูไม่แพ้ใครบนโลกใบนี้จนแทบไม่มีใครเคยเห็นว่านับตั้งแต่เป็นนายกฯ เธอเคยใส่เสื้อผ้าซ้ำกันบ้างหรือไม่ หรือดูอย่าง 2 ผัวเมียข้าวใหม่ปลาใหม่ “น้องเอม-พินทองทา ชินวัตร กับ “พี่พงศ์-ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นั่นปะไรที่เปิดเรือนหอระดับคฤหาสน์ที่วังจันทร์ส่องหล้าให้ “นิตยสาร Hello” ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 (8 มีนาคม 2555) บันทึกความมีอันจะกินไว้ยั่วน้ำลายไพร่ไส้แห้งให้นึกอิจฉา เห็นเสื้อผ้า หน้าผมของทั้งคู่ และข้าวของที่ประดับตกแต่งสไตล์เซนเอาไว้ในเรือนหอของคนทั้งคู่แล้ว บอกได้คำเดียวว่า “โคตรรวยเว้ยเฮ้ย” ยกตัวอย่างเช่นภาพที่นิตยสาร Hello บันทึกความรักอันดูดดื่มของทั้งคู่บริเวณริมสระหน้าหน้าเรือนหอ โดยน้องเอมสวมชุดแซ็กสีครีมของ Phillip Lim สวมรองเท้าแบรนด์ดังที่คนรวยเท่านั้นที่จะมีสิทธิครอบครองอย่าง Jimmy Choo ส่วนอีกภาพเป็นภาพของทั้งคู่ที่มุมภายในบ้าน โดยทั้งพี่พงศ์และน้องเอมอยู่ในชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ของ Head Quarter โดยสวมรองเท้ายี่ห้อดัง Christain Louboutin ยิ่งเมื่อได้เห็นทั้งคู่บอกเล่าเรื่องราวหนหลังเมื่อครั้งที่พี่พงศ์ตัดสินใจของน้องเอมด้วยแล้วยิ่งน่าอิจฉา เพราะทั้งสถานที่และแหวนที่พี่พงศ์เป็นผู้เลือกล้วนแล้วแต่สะท้อนรสนิยมของคนระดับมหาเศรษฐีได้เป็นอย่างดี พี่พงศ์ตัดสินใจจอง Continental Hotel บูติคโฮเต็ลที่อยู่ใน Hotel Colllection ของแบรนด์ดัง Ferragamo ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เป็นสถานที่ขอน้องเอมแต่งงาน โดยมีแหวน CARTIER วงเล็กๆ เป็นสักขีพยานแสดงความรักของคนทั้งสอง ขณะที่วันฉลองมงคลสมรสซึ่งจัดขึ้นที่ห้องแอทธินี คริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยยัลเมอริเดียน น้องเอมงามเฉิดฉันในชุดวิวาห์เกาะอกของ Vera Wang สวมแหวนหมั้นเพชรเดี่ยว 5 กะรัต น้ำ D Color ขณะที่พี่โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร เสี่ยวอยซ์ทีวีที่ขี่เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจควักเศษเงินในกระเป๋าซื้อ รถมินิสี่ประตู เป็นของขวัญให้คู่บ่าวสาว หลังเสร็จพิธีทั้งคู่บินไปฮันนีมูนที่มัลดีฟส์ ตามต่อด้วยกรุงปราก และกรุงเวียนนาจากนั้นบินไปนับถอยหลังปีใหม่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ยุโรป ขณะที่บรรดาข้าทาสของตระกูลชินก็ดูเหมือนจะอู้ฟู้และร่ำรวยไม่แพ้ผู้เป็นนายเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.oรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งปรับ ครม.เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2555 และกรณีพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2555 หรือ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2” ทั้งนี้ จากการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2” ครั้งนี้ พบว่า นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากที่สุดในบรรดารัฐมนตรีหน้าใหม่ โดยมีมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 137,563,433.04 บาท ที่ส่วนมากเป็นของคู่สมรส ส่วนรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากอย่างเดียว 382,797.96 บาท ไม่มีหนี้สิน ขณะที่ นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,959,066.06 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 2.6 ล้านบาท เงินลงทุน 14 ล้านบาท ที่ดิน 5.9 แสนบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 4.5 แสนบาท สิทธิและสัมปทาน 1 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 7.7 หมื่นบาท ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง มีทรัพย์สิน 16,263,953,03 บาท ประกอบด้วยทรัพย์สินที่เป็นเงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะรวม 16 กว่าล้านบาท เป็นของภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 7 กว่าล้านบาท แต่มีหนี้สิน 7.6 ล้านบาท นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม มีทรัพย์สิน 17,866,358 บาท นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม มีทรัพย์สิน 50,531,762 บาท นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน มีทรัพย์สิน 82,049,173 บาท นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 30,381,378 บาท นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 19,825,482 บาท ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม มีทรัพย์สิน 41,431,459 บาท สำหรับรัฐมนตรีหน้าเก่าที่ปรับย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ปรากฏว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากสุด คือ 380,789,887 บาท ส่วน รัฐมนตรีท่านอื่นๆ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มีทรัพย์สิน 60,485,623 บาท นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 24,567,462 บาท พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มีทรัพย์สิน 49,420,434 บาท นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 15,180,681 บาท นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข มีทรัพย์สิน 101,374,666 บาท เห็นความร่ำรวยอู้ฟู่และการใช้ชีวิตเยี่ยงมหาราชของอำมาตย์และข้าทาสตระกูลชินแล้ว อดนึกสงสารประชาชนคนไทยที่ไม่มีจะกิน หรือต้องทนทุกข์อยู่กับภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนเสื้อแดงที่เลือกคนเหล่านี้เข้ามาบริหารประเทศ คนเสื้อแดงจะรู้บ้างหรือไม่ว่า มหาอำมาตย์และตระกูลชินที่พวกเขาพร้อมจะต่อสู้โดยเสียสละทั้งชีวิตและเลือดเนื้อให้นั้น กำลังเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองและมีความสุขสบายโดยที่ไม่ตระหนักนึกถึงบุญคุณของคนยากไร้ที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อเลยแม้แต่น้อย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 18 มีนาคม 2555, 18:29:11 เปิดบทวิเคราะห์'ธีรยุทธ'ผ่าทางตันการเมืองไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เปิดบทวิเคราะห์การเมือง ธีรยุทธ บุญมี ฉบับเต็ม ผ่าทางตันการเมืองไทย นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์การเมืองไทยแนวโน้มของวิกฤติปัจจุบัน ดังนี้ 1.ยุคของการเมืองปัจจุบันยุคของทักษิณ-การเมืองรากหญ้า ประชานิยม 1. การเมืองยุคของทักษิณ ช่วงเกือบ 15 ปีที่พรรคการเมืองของทักษิณชนะการเลือกตั้งทั่วไป ได้เสียงข้างมากติดต่อกัน รวมทั้งสามารถขยายฐานรากหญ้า เสื้อแดง ระดมพลไปเลือกตั้งและชุมนุมประท้วงได้อย่างกว้างขวาง สะท้อนว่าทักษิณกลายเป็น 1 ใน 3 ของผู้มีบารมีทางการเมืองในช่วงหลัง พ.ศ. 2500 ที่มีบทบาทเปลี่ยนโฉมการเมืองไทย ซึ่งได้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ทักษิณจะช่วยให้การเมืองไทยดีขึ้นหรือประเทศล่มจมยังเป็นสิ่งต้องพิสูจน์อีกยาวนาน 2. เกิดการเมืองรากหญ้า-ประชานิยม วิกฤติการเมืองไทยรุนแรง เพราะการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ที่รุนแรงที่สุดคือการไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย เพราะมองว่าไม่ใช่ของจริง ไม่ต้องสนใจจริงจัง เช่น ฝ่ายอนุรักษ์มองว่า เสื้อแดงไม่มีตัวตนเพราะถูกจ้างมา โง่จึงถูกหลอกมา ไร้การศึกษาจึงถูกชักจูงโดยทักษิณ แต่ชาวรากหญ้าเสื้อแดงกลับมองว่า ทักษิณมีบุญคุณล้นเหลือคือ (ก) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ช่วยผ่อนเบารายจ่ายของคนจนอย่างมาก นอกจากแก้การเจ็บไข้ร่างกายแล้ว ยังแก้เจ็บใจที่แต่ก่อนไปสถานพยาบาลแล้วถูกดูถูกปฏิเสธ (ข) ชาวบ้านมองกองทุนและโครงการช่วยคนจนต่างๆ ว่าเป็นก้าวแรกที่มีการช่วยเหลือทางวัตถุโดยตรงและจริงจังแก่ชาวบ้าน (ค) ชาวบ้านชอบความรวดเร็วและเด็ดขาดเอาจริงเอาจังของทักษิณ โดยเฉพาะในการปราบปรามยาเสพติด (ผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า ปัญหายาเสพติดกระทบโดยตรงต่อครอบครัวคนชั้นกลางล่าง ชั้นล่าง หรือคนจนในเขตเมืองมากกว่าที่คิด และลดลงมากในช่วงทักษิณ) ส่วนเสื้อแดงก็ไม่ยอมรับเสื้อเหลือง มองเป็นพวกไม่มีเหตุผล ความคิด เพราะคลั่ง “ชาติ” คลั่ง “เจ้า” 3. การเมืองรากหญ้ามีความสำคัญต่อประชาธิปไตย ถ้าจะมองพัฒนาการการเมืองไทยในด้านสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว ในช่วงราชาธิปไตยชาวบ้านไม่มีทั้งเสรีภาพและศักดิ์ศรี ต่อมาในช่วงเผด็จการทหารมีบางส่วนได้มีศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเสรีภาพ ชนชั้นกลางในสังคมไทยเพิ่งจะมีเสรีภาพก็ในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 และชาวบ้านระดับรากหญ้าเองก็มามีเสรีภาพในการแสดงออกหลัง 19 กันยายน 2549 การเมืองรากหญ้าจึงเป็นดัชนีบ่งชี้พัฒนาการของสิทธิเสรีภาพในสังคมไทย แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม ประชานิยมน่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงในอนาคต อย่างไรก็ตาม พลังรากหญ้า เสื้อแดงมีลักษณะเฉพาะ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และการชุมนุมเป็นคราวๆ ยังไม่เป็นขบวนการการเมือง ไม่มีเป้าหมายอุดมการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองแต่อย่างใด 2.รากเหง้าของวิกฤติ 1. เรารวมศูนย์มากเกินไป ท้ายที่สุดศูนย์กลางเอาไม่อยู่ ก่อนรัตนโกสินทร์ไทยไม่ได้ปกครองแบบรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ มีความหลากหลายของรูปแบบการปกครอง ขนบ วัฒนธรรม เพิ่งมีการรวมศูนย์เบ็ดเสร็จทุกด้านในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยรัฐเป็นเจ้าของและผู้ใช้ทรัพยากรทุกอย่าง เชิดชูส่วนกลาง กดเหยียดของเดิม จึงเกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม ความน้อยเนื้อต่ำใจในหลาย ๆ ด้านฝังลึกอยู่ เนื่องจากทุกอย่างรวมศูนย์ที่รัฐ ทั้งอำนาจและทรัพยากร ชนชั้นนำที่เข้ามามีอำนาจการเมืองล้วนหยิบฉวยใช้ประโยชน์จากรัฐทั้งสิ้น ส่วนชาวบ้านเกือบไม่เคยได้อะไรจากรัฐ จึงตำหนิชาวบ้านเต็มที่ไม่ได้ เมื่อประเทศต้องการให้มาลงคะแนนเป็นรากฐานให้ประชาธิปไตย พวกเขาจึงถือเป็นอำนาจต่อรองในการซื้อ-ขายเสียง ขอโครงการเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านตื้นตันใจกับทักษิณที่ใช้ประชานิยมผันเอาเงินของรัฐไปช่วยชาวบ้านอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง แม้ตัวเองจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ตาม ตัวอย่างความไม่ชอบธรรมอันเนื่องมาจากการรวมศูนย์มากเกินไป ซึ่งต้องร่วมกันแก้ไข คือ (ก) ความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้ คุณภาพชีวิต อำนาจในการใช้และควบคุมทรัพยากรพื้นฐาน ตั้งแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แร่ธาตุ ป่าไม้ การสื่อสาร โครงสร้างพื้นฐาน สุขภาพอนามัย ฯลฯ มีอยู่มากและได้พูดกันมากแล้ว (ข) ประวัติศาสตร์เป็นความภาคภูมิใจของคน ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เราเน้นประวัติศาสตร์แบบกษัตริย์นิยมเป็นรัชกาลๆ ไป เกือบไม่มีเรื่องราวของคน อาชีพ สถานะอื่น ไม่มีประวัติศาสตร์สังคมโดยรวม ไม่มีการเขียนประวัติศาสตร์ว่าคนอาชีพต่างๆ มีส่วนสร้างสังคมอย่างไร ราวกับว่าไม่มีพวกเขาอยู่ ความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของประเทศจึงเกิดน้อย สถานที่สาธารณะของเรามีรูปปั้น มีชื่อถนน สะพาน อาคาร สวนสาธารณะ ฯลฯ ตามพระนามพระมหากษัตริย์ เกือบไม่มีชื่อของปราชญ์ชาวไทย พระ ทูต นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร สถาปนิก นายแพทย์ นักสำรวจ นักเศรษฐศาสตร์ นักแต่งเพลง กวี ศิลปิน ดารา นักกีฬา เช่น ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ปรีดี พนมยงค์ พระยาอนุมานราชธน พุทธทาสภิกขุ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ กุหลาบ สายประดิษฐ์ สุนทราภรณ์ มิตร ชัยบัญชา สุรพล สมบัติเจริญ ปรีดา จุลละมณฑล รวมทั้งบุคคลสำคัญของท้องถิ่นต่างๆ ในต่างประเทศเช่นราชสำนักอังกฤษให้อิสริยาภรณ์กับหลากหลายอาชีพ แม้แต่ชาวต่างประเทศ เปเล่ เอลตัน จอห์น บิล เกทส์ เดวิด เบคแฮม ฯลฯ ในขณะที่เรามีให้กับข้าราชการทหาร พลเรือน และภริยา กับนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ (ค) ภาษา ขนบประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นถูกทอดทิ้งละเลยไปมาก เช่น มีการรื้อถอนคุ้มจวนเจ้าเมือง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่สวยงาม แล้วสร้างศาลากลางที่อัปลักษณ์แบบไทยภาคกลางลงไปแทน วัดวาจำนวนมากก็ถูกเปลี่ยนเป็นแบบวัดภาคกลางแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีการใช้ภาษาบาลี ไปเป็นชื่อถนน อำเภอ ตำบล แทนชื่อท้องถิ่น ฯลฯ ยิ่งสร้างความแปลกแยก แทนที่จะสร้างความเข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมมาตลอดชีวิต ถูกดูหมิ่นดูแคลน ไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเองให้เกิดความเคารพความรับผิดชอบตัวเอง เมื่อชนชั้นกลางในเมืองต่อต้านคนที่มีบุญคุณเช่นทักษิณ จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน ขึ้น พวกเขาจึงรู้สึกว่ายิ่งถูกซ้ำเติม ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศูนย์กลางใช้ 2 มาตรฐานต่อพวกเขา จึงเกิดการไม่ยอมรับอำนาจของศูนย์กลางขยายตัวกว้างขวางขึ้น 2. ความต่างในค่านิยม ความคิดพื้นฐานระหว่างรากหญ้ากับชนชั้นนำ ตอกย้ำความไม่เข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น ชาวบ้านอยู่กับความยากจนมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จึงชอบวัตถุจับต้องได้อย่างเห็นชัดๆ ชอบความไวทันใจแบบปาฏิหาริย์ ชาวบ้านจึงชอบตะกรุด หลวงพ่อคูณ (กูให้มึงรวย) แทงหวย ชอบทองคำ ซึ่งบ่งบอกถึงความรวยชัดๆ (มวยไทยเก่งๆ ได้แจกสร้อยทองคำ) ชาวบ้านยังมีค่านิยมแบบนักเลง มีน้ำใจให้กัน พึ่งพากันได้ ชอบฮีโร่หรือวีรบุรุษที่สร้างความหวัง (ส่วนใหญ่ไม่สมหวัง) ให้กับตน ชอบผู้นำที่ฉับไว กล้าได้กล้าเสีย ไม่ต้องยกแม่น้ำทั้งห้า ส่วนคนชั้นสูงชอบระเบียบ ความสงบ เรียบร้อย เพราะเท่ากับว่าคนที่ต่ำกว่ายอมรับโครงสร้างอำนาจเดิม และมองว่าระเบียบเป็นสิ่งเดียวกับประสิทธิภาพ แต่เมื่อใช้กับระบบราชการที่มีอยู่มานานจึงเชื่องช้า (นี่เป็นค่านิยมหลักของประชาธิปัตย์ที่ถูกวิจารณ์หนักมาตลอด) ชนชั้นสูงชั้นกลางเน้นการพึ่งตนเองและระบบ เน้นวัตถุเหมือนชาวบ้านเช่นกันแต่พยายามมีคำอธิบาย พวกเขาเน้นนามธรรม และชอบเทศนาคุณธรรม ความดี จึงเป็นที่มาของความต่างระหว่างประชาธิปไตยกินได้ของชาวบ้านกับประชาธิปไตยดูได้ของชนชั้นสูง ความแตกต่างในค่านิยมระหว่างชนชั้นล่าง และชนชั้นสูง/กลาง ชั้นล่าง ค่านิยมชีวิตทั่วไป ชอบความง่าย สนุกสนาน รู้สึกชีวิตไม่เป็นธรรม ชอบวัตถุจับต้องได้ เน้นการพึ่งพา ช่วยเหลือกัน ใจกว้างใจนักเลง ชั้นสูง/กลาง ชอบระเบียบ กระบวนการ ความสงบเรียบร้อย มารยาท ชีวิตเป็นโอกาส ช่องทางเปิดกว้าง ชอบนามธรรม เน้นคุณธรรม ความดี (แต่ก็ชอบวัตถุ) เน้นการพึ่งตนเอง ช่วยตนเอง ค่านิยมทางการเมือง ชั้นล่างชอบ ผู้นำวีรบุรุษ นโยบายประชานิยม ประชาธิปไตยกินได้ สำหรับนักการเมือง ประชาธิปไตย (กู) ได้กิน ชั้นสูง/กลาง ไม่ชอบทักษิณที่ไม่เคารพกติกา ไม่ชอบประชานิยม เพราะทำให้คนไม่รับผิดชอบตนเอง ชอบ ประชาธิปไตยคนดี (เพราะพวกเราเป็นคนดี) หรือประชาธิปไตยดูได้ เผด็จการคนดีก็รับได้ 3.มุมมองใหม่ของปรากฏการณ์ของ การเมืองรากหญ้า ขบถ”คนเล็กคนน้อย” 1. จะเข้าใจปรากฏการณ์เสื้อแดงได้ดีขึ้น ถ้ามามองทฤษฎีวงจรอุบาทว์หรือทฤษฎีสองนคราฯ ให้ลึกลงในระดับโครงสร้าง เราเคยอธิบายว่าการเมืองไทยเป็นสองนคราธิปไตย คือคนชนบทตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล หรือคนชนบทซื้อ-ชายเสียงเลือกตั้ง นักการเมืองถอนทุน ชนชั้นกลางไม่พอใจ ทหารรัฐประหารเลือกตั้งใหม่ แต่นี่เป็นการมองเชิงปรากฏการณ์ ถ้ามองเชิงโครงสร้างเราจะมองเห็นวงจรของการเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจการเมืองซ้อนทับอยู่ คือ ชนบทเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งที่มาที่ชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย (ซึ่งก็คือการเลือกตั้ง) ส่วนเมืองเป็นแหล่งผลิตใช้ทรัพยากร และเป็นผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตย และเพื่อให้วงจรนี้ดำรงต่อไปได้ก็มีการครอบงำชาวบ้าน โดยวาทกรรมความสำคัญของศูนย์กลาง ของประชาธิปไตยคนดี และมาตรการสุดท้ายคือรัฐประหาร ประเทศตะวันตกไม่เกิดวงจรอุบาทว์นี้ เพราะเขาทำให้ประชาชนทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ มีส่วนร่วมรับผิดชอบ กล้าใช้สิทธิเสรีภาพของตน ประชาธิปไตยในต่างประเทศไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ต้องมีการลงทุนด้านสังคม การศึกษา ค่านิยม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม รับผิดชอบ กลุ่มธุรกิจ ธนาคาร อุตสาหกรรม และภาคสังคมเป็นตัวหลักในการสร้างมหาวิทยาลัย โรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ที่ประชุม ชุมชน หอศิลป์ ที่ฟังดนตรี สร้างสังคมที่ดี สวยงาม น่าอยู่ น่ารับผิดชอบร่วมกัน ฯลฯ ชนชั้นนำไทยละเลยภารกิจนี้โดยสิ้นเชิง กลับโยนความไม่เป็นประชาธิปไตยไปที่ชาวบ้าน ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ชนชั้นสูงของไทยสร้างค่านิยม อุดมการณ์แบบนิยมกษัตริย์ ทหารเน้นอุดมการณ์ความมั่นคง ส่วนกลุ่มทุน ธุรกิจต่างๆ ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบหรือร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยขึ้นเลย ชนบทจึงเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ และเป็นผู้ลงคะแนนเสียง หรือแหล่งที่มาของความชอบธรรม (legitimacy) ของประชาธิปไตยที่ดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยที่ตัวเองเกือบไม่ได้อะไร อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านก็รู้ดีว่าอำนาจต่อรองทำให้เกิดผลประโยชน์ได้ เมื่อคนเมืองต้องการให้พวกเขาลงคะแนนเลือกตั้ง การซื้อ-ขายเสียงอย่างเป็นระบบ การของบโครงการเข้าหมู่บ้านจึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2521 และขยายตัวเรื่อยมา สังคมทั่วไปประณามว่าเป็นเหมือนมะเร็งร้ายของประชาธิปไตย แต่ถ้าจะมองว่าเป็นการแบ่งปัน ขอคืน ของชาวชนบทก็ได้เช่นกัน การเกิดขึ้นของการเมืองรากหญ้าจึงเสมือนเป็นกระบวนการย้อนกลับที่จะดึงเอาอำนาจ ความมั่งคั่ง ศักดิ์ศรี ความภูมิใจ กลับคืนสู่ชนบท จะเป็นสิ่งที่ดีมากและเกิดผลยั่งยืนแก่ประชาธิปไตยถ้ากระบวนการนี้ยั่งยืน แล้วสร้างความเป็นธรรมในที่สุด เพราะความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำต่างๆ เป็นรากเหง้าลึกที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหาเหลือง-แดง การเมืองรากหญ้า-ประชานิยม (ดูแผนภาพประกอบ) 2. เกิดการเมืองแบบ 2 ขั้วอำนาจ เมืองไทยยุค 2 ก๊ก ก๊ก “คนเลว” โจโฉ จะชนะก๊ก “คนดี” เล่าปี่-ขงเบ้ง ขณะที่การเมืองไทยกำลังก่อรูปเป็น 2 ศูนย์อำนาจ คือ ศูนย์อำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมกับศูนย์อำนาจรากหญ้า ซึ่งเป็นภาวะที่ทั้งน่าสนใจและน่าเป็นห่วงมากที่สุดเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงการเมืองทั้งหมดที่ผ่านมา ภาวะ 2 ศูนย์อำนาจจะแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนมีฐานที่มั่น ที่มาความชอบธรรม (legitimacy) ควบคุมอำนาจที่ต่างกันชัดเจน (ก)จากนโยบายประชานิยม ซึ่งจะหลากหลายขึ้น ทั้งประชานิยม เศรษฐกิจ อาชีพ สังคม (กองทุนสตรี การแจกคอมพิวเตอร์แทบเล็ตให้เด็กนักเรียน[3]) ประชานิยมด้านอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี (ข) จากคนเล็กคนน้อย จากหลากหลายอาชีพ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเหยียด เช่น ตำรวจ อัยการ พ่อค้า แม่ค้า (ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจนหรือยศชั้นต่ำ) จะเห็นได้ว่าฝ่ายเสื้อแดง-รากหญ้าอยู่ในสถานะได้เปรียบ ฝ่ายอนุรักษ์เสียเปรียบ เพราะ (ก) แนวทางและวาทกรรมในการต่อสู้ของเสื้อแดงจูงใจคนเล็กคนน้อย (แต่เป็นคนส่วนใหญ่ได้) ส่วนของความคิดอนุรักษ์จำกัดอยู่ในเรื่องชาติและพระมหากษัตริย์ (ข) เสื้อแดงมีความชอบธรรมในเรื่องประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความชอบธรรมสากลของโลกปัจจุบัน ส่วนความชอบธรรมของฝ่ายอนุรักษ์เป็นเชิงประวัติศาสตร์ประเพณีซึ่งเกาแก่และสึกกร่อนได้ (ค) วิสัยทัศน์ของพลังอนุรักษ์ตีบตันจึงเป็นฝ่ายตั้งรับ ในขณะที่ฝ่ายรากหญ้าเส้นทางเปิดกว้างเพราะสามารถคิดสิ่งใหม่ๆ มาให้กับชาวบ้านได้ โดยมีงบประมาณ ทรัพยากรรองรับ ภาวะ 2 ศูนย์กลางไม่เป็นผลดีในที่สุดต้องเหลือเพียงศูนย์เดียว ในระยะยาวโอกาสของพลังฝ่ายรากหญ้ามีมากกว่า 4.บทสรุป ไม่มีทางออกในระยะใกล้ มีแต่สิ่งที่ต้องทำเพื่อทางออกระยะยาว 1. ไม่มีทางออกจากการรอมชอมในระยะสั้น เพราะปัญหาฝังลึกมานาน ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีปากเสียงมานาน อีกฝ่ายศรัทธาในสถาบันที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานาน ต่างเชื่อว่าอีกฝ่ายจะล้มล้างหรือซ้ำเติมฝ่ายตน 2. การขยายตัวของขั้วทักษิณ-รากหญ้า มีโอกาสทำให้เกิดการแตกร้าวระดับโครงสร้างและสถาบันมากขึ้น ดังที่กล่าวว่า วงจรการเมืองเป็นเสมือนการย้อนเอาอำนาจ รายได้ ศักดิ์ศรี ความภูมิใจ ความยุติธรรมกลับคืน เส้นแบ่งระหว่าง 2 ศูนย์อำนาจนอกจากจะเป็นความเสียเปรียบ/ได้เปรียบ คนต่ำต้อย/คนชั้นสูง มีแนวโน้มขยายเป็นเรื่องอัตลักษณ์ (คนอีสาน เหนือ ใต้ กรุงเทพฯ) วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับการเมืองประชาธิปไตยในแง่ที่จะเกิดความหลากหลายทางอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การตระหนักในอำนาจ ศักดิ์ศรีของตนเองกับคนไทยอย่างกว้างขวางที่สุด เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต แต่ถ้าเป็นวงจรการเมืองแบบเอาคืนหรือทีใครทีมันอย่างสุดขั้ว ก็จะเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อได้ และจะเป็นเรื่องเสียหายเกิดความเสียหายร้ายแรงที่สุดถ้าเส้นแบ่งขั้วขัดแย้งขยายเข้าไปสู่สถาบันกองทัพ ศาล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองจะผ่านความรุนแรงไปได้อย่างน้อยช่วงหนึ่งถ้าทักษิณและเพื่อไทยมองเห็นว่า เวลาอยู่กับฝ่ายตน ไม่จำเป็นต้องกดดันให้มีการเผชิญหน้าของมวลชน และใช้เวลาดังกล่าวแก้ไขความไม่ถูกต้อง ซึ่งมีมาช้านานให้ดีขึ้น แต่ก็ควรมุ่งเชิงโครงสร้างและค่านิยมที่ควรมากกว่า 3. ต้องมีการปรับกระบวนทัศน์หรือแม่บทความคิดใหม่ว่า ประเทศไทยควรเป็นอย่างไร ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง การปฏิรูปปรับปรุงสถาบัน องค์กร สำคัญๆ ต่างๆ ทั้งหมด อาทิ รูปแบบการปกครองประเทศควรเป็นอย่างไร ควรจะกระจายอำนาจการตัดสินใจในทางเศรษฐกิจ การศึกษาในระดับภูมิภาค การพัฒนาท้องถิ่นเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร เป็นที่ประจักษ์ชัดจากความขัดแย้งปัจจุบันว่า ได้ลุกลามไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ นักวิชาการรวมทั้งนักคิดที่ใกล้ชิดราชสำนัก เช่น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล นพ.ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุน ควรสร้างการศึกษาค้นคว้า สร้างความรู้ที่ถูกต้องว่า สถาบันกษัตริย์ควรจะดำรงอยู่ในระบบเสรีประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์อย่างไร โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการอนุรักษ์สุดขั้วบางส่วน ที่พยายามจะหวนกลับมายกย่องให้พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ มีพระราชอำนาจทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการย้อนยุค สถาบันพระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่ในสังคมเสรีประชาธิปไตยและโลกยุคข่าวสารได้ยั่งยืน ก็ต้องเป็นสถาบันที่มีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอย่างแท้จริง นอกจากจะมีหน้าที่ ภารกิจตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแล้ว ยังมีภารกิจตามขนบประเพณี ทางศาสนา วัฒนธรรม และที่สังคมคาดหวัง เช่น เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นแหล่งที่มาของเกียรติยศ จริยธรรม คุณธรรม พิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น นักเศรษฐศาสตร์สำคัญทั่วโลกล้วนสรุปว่า นโยบายประชานิยมแม้จะมีส่วนดีในหลายด้านแต่ก็ล้มเหลวในที่สุดในทุกประเทศที่เคยใช้มา เพราะเกิดปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อรุนแรง สังคมต้องช่วยกันกดดัน วิพากษ์ วิจารณ์ทักษิณและพรรคเพื่อไทยทีจะพัฒนาเปลี่ยนรูปนโยบายนี้ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ผู้ที่ควรร่วมคิด ผลักดันประเด็นข้างต้นควรเป็น นักวิชาการเสื้อเหลือง แดง และนักวิชาการทั่วไปที่ไม่ยึดแนวสุดขั้วจนปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่ง ภาคธุรกิจ กลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งอยู่ตรงกลางมากที่สุด แต่ก็มีผลได้ผลเสียจากความขัดแย้งปัจจุบันมากที่สุด ควรมีบทบาทชดเชยสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ ด้วยการลงทุนสร้างความยุติธรรม บรรยากาศ ค่านิยมประชาธิปไตยให้กว้างขวางที่สุด 4.การเกิดขั้วทางอำนาจนี้ คงดำเนินต่อไปอีกยาวนาน มีโอกาสเกิดการชุมนุมประท้วงรุนแรงขึ้นได้อีก จำเป็นที่เราต้องยกระดับให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยเข้มแข็ง (strong democracy) ที่ใช้ทั้งสิทธิและเสรีภาพและตามลักษณะที่เข้มแข็งทั้ง 3 ด้าน (strong right, strong freedom, strong responsibility) คือเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็รักษาสิทธิของตน รับผิดชอบต่อสิทธิเสรีภาพของตนเต็มที่ สิ่งที่ต้องทำ 1. ต้องปรับกระบวนทัศน์หรือแม่บทความคิดว่าประเทศไทยควรเป็นอย่างไรใหม่ ประเทศไทยเราคงไม่อยู่ ดำรงอยู่ และก้าวหน้าต่อไปด้วยแนวคิดง่ายๆ ว่าไทยเป็นเมืองสงบ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำไม่มีใครอดตาย เป็นประเทศที่ยึดมั่นใน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เพราะมีความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม โลกาภิวัตน์ การปฏิวัติทางเทคโนโลยีสื่อสาร ฯลฯ เกิดขึ้น เราต้องตั้งคำถามต่อปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศใหม่ทั้งหมด เช่น เราจะมีประชาธิปไตยแบบไหน จะมีประชาธิปไตยรากหญ้าที่มีการตรวจสอบ สกัดกั้นการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองได้ไหม จะพัฒนาองค์กรตรวจสอบอย่างไร นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองบทเรียนประวัติศาสตร์ว่า ประชานิยมที่ถูกนำมาใช้ล้มเหลวในที่สุด แต่บางส่วนมองว่ามีด้านที่ดีในเชิงการเมือง สังคม ความยุติธรรม และอื่นๆ นักเศรษฐศาสตร์ไทยต้องเพิ่มการถกเถียง ถ่ายทอดความรู้ทัศนะในประเด็นดังกล่าวแก่สังคมให้กว้างขวางที่สุด 2. ทุกฝ่ายทั้งเหลือง-แดง ทุกสถาบันของประเทศ ควรปรับตัวให้เข้ากับสภาวการณ์ใหม่ด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี หรือเป็นการยอมรับแรงกดดันจากอีกฝ่าย 3. ทุกฝ่ายต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็เคารพสิทธิ กล้าใช้สิทธิของตนเอง เช่น ไม่ควรยินยอมให้พลังฝ่ายใดทำรุนแรงเกินเหตุ เช่น การยึดทำเนียบ การขับไล่ล้มการประชุมนานาชาติ การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ การยึดราชประสงค์ จนเกิดการปราบปรามและการเผาราชประสงค์อีกต่อไป แต่ละฝ่ายควรรักษาสิทธิของตนเองอย่างจริงจัง เพราะการกระทำดังกล่าวแม้จะอ้างว่าทำด้วยเจตนามุ่งหมายที่ดี แต่เมื่อเกิดผลเสียหายขึ้นแล้วก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเท่าเทียมกัน เพื่อรักษาระบบยุติธรรมของประเทศเอาไว้ ส่วนจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่ เป็นเรื่องที่สังคมทั้งหมดจะช่วยกันพิจารณา 4. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่าทักษิณไม่ได้เชื่อมั่นการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ จะเห็นได้จากการปราศรัยกับชาวบ้าน ไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ทักษิณมีลักษณะเป็นผู้นำการตลาดมากกว่าผู้นำประชาธิปไตย ทักษิณมุ่งหวังรากหญ้าเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของตนเป็นประจำสม่ำเสมอ มากกว่าจะให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย อนาคตการเมืองไทยจึงจะยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่จะอยู่กับคนชื่อทักษิณอยู่อีกต่อไปนานพอสมควร 5. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่าทักษิณไม่ได้เชื่อมั่นการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ จะเห็นได้จากการปราศรัยกับชาวบ้าน ไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ทักษิณมีลักษณะเป็นผู้นำการตลาดมากกว่าผู้นำประชาธิปไตย ทักษิณมุ่งหวังรากหญ้าเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของตนเป็นประจำสม่ำเสมอมากกว่าจะให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย หรือเป็นขบวนการการเมืองที่มีเป้าหมาย อุดมการณ์การเมืองที่มีความสามารถชี้ทางออกที่เหมาะสมให้สังคมไทยได้ ซึ่งเท่ากับประเทศเราแตกแยก ด่าทอกันเอง ใช้ความรุนแรงต่อกันเพียงเพื่อแก้ปัญหาการซุกหุ้น หนีภาษี ความไม่รู้จักอิ่มในทรัพย์สิน อำนาจของทักษิณเท่านั้น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2555, 09:42:18 อึ้ง! 24 ศพม็อบแดงเมษา 53 ต้องคดีอาญาก่อนร่วมป่วนเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ เปิดประวัติ 89 ศพม็อบแดง ตะลึง 24 รายต้องคดีอาญา “ติดยา-พนัน-อนาจาร” บางคนต้องโทษหลายคดี “เสธ.แดง” มากสุด 10 คดี วันที่ 18 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลผู้เสียชีวิต 89 รายจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 พบว่า มีถึง 24 รายมีประวัติต้องโทษคดีอาญาก่อนเข้าร่วมการชุมนุมหลายฐานความผิด เช่น การทำผิด พ.ร.บ.การพนัน ลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย จำหน่ายยาบ้า ใช้สารระเหย ซ่องโจร และขัดขวางการจับกุม เป็นต้น ทั้งยังมีประวัติการต้องโทษที่น่าสนใจ แบ่งเป็น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 6 ราย, การพนัน 5 ราย, คดีอนาจาร 2 ราย และคดีกระทำชำเราเด็ก 1 ราย เป็นต้น ขณะที่หลายรายมีคดีติดตัวหลายรายการ ยกตัวอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 13 พ.ค.53 นั้นมีประวัติการกระทำผิดรวมถึง 10 รายการ รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นชุดเดียวกับที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ นำไปยื่นต่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอทบทวนและออกระเบียบการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองให้รอบคอบ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2555, 10:58:55 แกะรอย “วุฒิสาร” พระปกเกล้า “นักธุรกิจ” ในคราบนักวิชาการ!
โดย นกหวีด ผู้จัดการ Online รายงานผลวิจัย “การสร้างความปรองดองแห่งชาติ” ของสถาบันพระปกเกล้า ทึ่มีบทสรุปมุ่งล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกับพวก ถือเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่สะท้อนข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดในบ้านเมืองของเราว่า “มีคนที่คิดว่าดีจำนวนมากที่พร้อมรับใช้คนผิด” ถ้อยแถลงของ วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย ออกมายืนยันข้อเสนอนิรโทษกรรมล้มคดี คตส. พร้อมกับอ้างผลการศึกษาจาก 10 ประเทศว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการให้อภัยและนิรโทษกรรมนั้น ถือเป็นการโกหกคำโตต่อสังคมไทย! เพราะจากรายงานวิจัยฉบับนี้ มีการศึกษาความขัดแย้งใน 10 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย (อาเจะห์) สหราชอาณาจักร (ไอร์แลนด์เหนือ) รวันดา ชิลี โคลอมเบีย โมร็อกโก โบลีเวีย และเยอรมนี ซึ่งจากข้อมูลที่คณะผู้วิจัยซึ่งอ้างตัวว่าเป็นกลางระบุไว้นั้น ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่จะนิรโทษกรรมคดีอาญา และคดีทุจริต วุฒิสาร และคณะ ไปยกเมฆข้อเสนอมาจากดูไบหรืออย่างไร จึงเสนอทางเลือกให้มีการปรองดองด้วยการทำลายหลักนิติรัฐ และนิติธรรม ปลดโซ่ตรวนให้คนทุจริต เผาบ้าน ทำลายเมือง อาจจะเป็นเพราะพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือไม่ก็อาชญากรมักทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ก็เลยทำให้มีการปล่อยไก่อ้างถึงบทเรียน10 ประเทศมาประกอบหวังให้รายงานวิจัยดูดีน่าเชื่อถือ แต่กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญประจานการเป็นทาสรับใช้ของคณะวิจัยชุดอัปยศ หาก วุฒิสาร มีจิตบริสุทธิ์คิดช่วยชาติออกจากวังวนความขัดแย้ง ต้องพิเคราะห์สิว่าทำไมทั้ง 10 ประเทศถึงไม่มีการนิรโทษกรรมคดีอาญาและทุจริต แต่สิ่งที่เป็นจุดร่วมในการเดินหน้าสู่ความปรองดองคือ 1. การค้นหาความจริง 2. มีการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ทำผิดในคดีการเมือง 3. เปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่เพื่อรักษาสิทธิให้แก่ผู้เสียหาย 4. การอภัยโทษจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการรับโทษไปแล้วระยะหนึ่ง ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวใน 10 ประเทศที่เขาใช้วิธีการ “นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง” ทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม ริดรอนสิทธิผู้เสียหายไม่ให้มีโอกาสได้รับความเป็นธรรมผ่านระบบกฎหมายปกติ ฯลฯ เหมือนที่วุฒิสารและพวกทำ แม้แต่สหราชอาณาจักรซึ่งมีการระบุถึงการปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกจากการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย ก็ยังต้องมีคณะกรรมการอิสระที่รัฐสภาเป็นผู้แต่งตั้งมาพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวเป็นรายกรณีไป ไม่ใช่ทุจริตไม่ผิด คิดปล้นทำได้ เผาไทยได้เป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ ขนาด ชิลี ซึ่งมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นายพลปิโนเชต์ และเจ้าหน้าที่ (ทหารและตำรวจ) ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อปราบปรามผู้ต่อต้านรัฐบาลในช่วง ค.ศ. 1971-1978 โดยตัวผู้นำรัฐบาลเป็นผู้ออกกฎหมายดังกล่าวเองในช่วงมีอำนาจ แต่เมื่อนายพลปิโนเซต์หมดอำนาจลงเขาก็ยังต้องถูกควบคุมตัวในต่างประเทศด้วยอำนาจของกฎหมายสากลว่าด้วยอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จะเห็นได้ว่า หลักคิดของทั้ง 10 ประเทศก็คือ คนทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่ใช่นิรโทษแบบเหมารวม นอกจากนี้กว่าที่ประเทศเหล่านั้นจะได้บทสรุปในการสร้างความปรองดองในชาติตัวเองนั้นล้วนแต่ต้องใช้เวลา สร้างกระบวนการแสวงหาความจริง ปรับทัศนคติ พูดคุยเสวนา เจรจา ไกล่เกลี่ย จนมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการปรองดอง จากนั้นจึงสรุปแนวทาง ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ วุฒิสาร และคณะทำโดยสิ้นเชิง ที่น่าสนใจคือ ณัชชาภัทร ธนานิธิโชติ อ้างถึงคำสัมภาษณ์ของผู้ทรงคุณวุฒิว่า “ทักษิณ” คือคู่ขัดแย้งรัฐไทย หมายถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด และหลักนิติธรรม ส่วนอีกกลุ่มมองว่า ทักษิณ ขัดแย้งกลุ่มการเมืองตรงข้ามตัวเองอยู่ที่กลุ่มนอกระบอบ ประชาธิปไตยหรืออำมาตย์หรือเผด็จการทหาร โดยมี ทักษิณ เป็นตัวแสดงหลัก จากมุมมองที่ต่างกันนำมาสู่การมองเหตุความขัดแย้งที่ต่างกัน เช่นมองว่าเหตุขัดแย้งมาจากความไม่เป็นธรรม ทั้งจากการแทรกแซงผลการเลือกตั้ง ส่วนประเด็นขัดหลักนิติธรรม มีการพูดถึง คตส. และใช้สถาบันทางราชการ ใช้สถาบันทางตุลาการเข้ามาทำลายความเป็นธรรมในสังคม อีกมุมหนึ่งมองว่าเกิดจากความไม่เป็นธรรมซึ่งเกิดจากระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่เกิดเผด็จการรัฐสภา การเลือกตั้งภายหลังปี 2548 ที่มีการควบรวมพรรคการเมือง การที่ ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย มีอิทธิพลเหนือฝ่ายนิติบัญญัติลอยตัวการตรวจสอบ และอยู่เหนือการตรวจสอบคอร์รัปชั่น ทำให้เป็นพื้นฐานความขัดแย้งในสังคมไทย ข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่า แม้จะมีการมองเหตุแห่งความแตกแยกต่างกัน แต่ตัวป่วนของประเทศก็คือ ทักษิณ เป็นศูนย์กลางทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่วุฒิสารและพวกกลับเสนอทางเลือกให้นิรโทษกรรมต้นตอความขัดแย้ง เหมือนเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ว่าไม่เคยทำความผิดใดๆ ต่อบ้านเมือง โยนความผิดให้รัฐประหารและ คตส. ทั้งๆ ที่ในฐานะผู้ทำการวิจัยซึ่งอุตส่าห์ไปเสาะหาบทเรียนจากต่างประเทศมาใช้เทียบเคียงได้ แต่กลับอับจนปัญญาถึงขนาดไม่พิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมจากปากของต้นตอปัญหา วุฒิสารและพวกไม่รู้จริงๆ หรือว่าไม่เคยมีอาชญากรรายใดยอมรับคำพิพากษาว่าตัวเองผิด หรือว่ารู้แต่จงใจช่วยอาชญากรให้กลับมากก่ออาชญากรรมในประเทศต่อ? วิธีโยนบาปให้ คตส.เป็นแพะนั้นถือว่าตื้นเขิน และหยาบช้าเกินกว่าจะเป็นบทสรุปของงานวิจัยเพื่อสร้างความปรองดอง อีกทั้งยังทำให้เห็นถึงความมักง่ายของวุฒิสารและพวกด้วย เนื่องจากการสรุปถึงความไม่มั่นใจในคตส.จนนำไปสู่ข้อเสนอให้โละทุกคดีของ คตส.นั้น เป็นผลมาจากการสอบถามคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการพิจารณาคดีของ คตส.ทั้งสิ้น โดยที่คณะผู้วิจัยทำตัวไม่ต่างจากปูที่ไม่มีมันสมอง คือไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าวุฒิสาร และคณะ เป็นกลางจริงต้องให้ความเป็นธรรมกับ คตส.ด้วยว่า แม้พวกเขาจะถูกทำคลอดโดยคณะรัฐประหาร แต่กฎหมายทุกฉบับที่นำมาใช้ในการดำเนินคดีกับคนทุจริตล้วนแต่เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ก่อนการรัฐประหารทั้งสิ้น ที่สำคัญคือ สำนวนของ คตส.มิใช่ข้อยุติแห่งคดี แต่ดุลพินิจของศาลซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินคดีชี้ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ซึ่งในชั้นศาลก็เปิดโอกาสให้คู่ความทั้งสองฝ่ายต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ หลายคดีคนที่เคยเป็นจำเลยพ้นผิดไปแล้วก็มี ที่สำคัญคือทักษิณกลับไทยเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีที่ดินรัชดาฯ ด้วยตัวเอง พร้อมกับคำประกาศว่ามั่นใจกระบวนการยุติธรรมเพราะประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยแล้ว หลังจากที่ สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งขณะนั้น คตส.ก็ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอีกหลายคดี ไม่มีใครบอกต้องยุบ คตส.ทิ้งเพราะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ระหว่างการสู้คดีทักษิณก็งัดทุกมุกมาเล่นงาน คตส. ทั้งนอกและในศาล โดยศาลให้ความเป็นธรรมวินิจฉัยในทุกประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมาต่อสู้ อีกทัั้ง คตส.ก็ยังต้องรับทั้งผิดและชอบตามกฎหมาย ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือกฎหมายไทยแต่อย่างใด โดยผู้ถูกกล่าวหาสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับ คตส.ได้หากเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แสดงว่า คตส.ถูกตรวจสอบได้ตามกระบวนปกติ และทักษิณก็ใช้สิทธิอย่างเต็มที่เสียด้วย จนกระทั่ง ทักษิณรู้ว่าอาจแพ้คดีจึงหลบหนีไปต่างประเทศ และเริ่มขบวนการทำลายกระบวนการยุติธรรมนับจากนั้นเป็นต้นมา ปัญหาของชาติมันชัดเจนมากว่าเกิดจากคนคนเดียวที่ชื่อ “ทักษิณ” ไม่ยอมรับผิด ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม จึงใช้อำนาจเงิน อำนาจทางการเมือง ปลุกระดมประชาชนจนเกิดความขัดแย้งแตกแยก ยกระดับปัญหาตัวเองให้เป็นปัญหาของชาติบ้านเมือง ในขณะที่วันนี้ วุฒิสารและพวกได้ข้อสรุปว่า ทักษิณคือตัวปัญหา แต่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจในกระบวนการยุติธรรมเพราะถูกตัดสินว่าผิดด้วยการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของชาติเพื่อทักษิณ ไม่มีนักวิชาการดีๆ ที่ไหนเขาร่วมมือกับคนปล้นหลักการของบ้านเมืองหรอก เว้นแต่ว่าคนบางคนไม่ใช่นักวิชาการแต่เป็นนักธุรกิจในคราบนักวิชาการมานานแล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปตรวจสอบรายชื่อกรรมการบริษัท ไออาร์พีซี ที่จดทะเบียนปี 2537 ด้วยทุนถึง 20,475 ล้านบาท ก็จะเห็นชื่อ วุฒิสาร ตันไชย เป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทด้วย บางที เส้นแบ่งระหว่างวิชาการรับใช้สังคมกับวิชาการรับใช้ทุนก็บางจนใช้ตาเปล่ามองแทบไม่เห็น แต่สิ่งที่สังคมต้องร่วมกันเปิดโปง คือ หากสถาบันพระปกเกล้านิ่งเฉยต่องานวิจัยรับใช้ทุนทรราชย์ฉบับนี้ ก็เท่ากับยอมรับว่าเป็น “สถาบันปกป้องคนผิด” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 มีนาคม 2555, 23:16:02 ศจ.ดร. คณิต ณ นคร ประธาน คอป.
ได้กล่าวให้สติกับสังคมไทย และแง่คิด เกี่ยวกับต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน โดยเปรียบเทียบระบบ ยุติธรรมของไทยกับประเทศต่างๆ ที่เจริญแล้ว พร้อมกับยกตัวอย่างบุคคล ทางการเมืองในแต่ละประเทศเหล่านั้นด้วยว่า “รากเหง้าของความไม่สงบ เรียบร้อยที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราในระยะหลังๆ หมายถึงช่วงหลังจากมีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แล้ว โดยส่วนใหญ่ก็เป็นคดีที่เกี่ยวกับคุณทักษิณนี่ แหละ อย่างคดีเกี่ยวกับการซุกหุ้นนี่ผมถือว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะศาล รัฐธรรมนูญในขณะนั้น ไม่ได้ยึดหลักกฏหมายในการตัดสินคดีนี้ ทำให้เกิดการ เบี่ยงเบนคดี และเป็นที่มาของการใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่นะ ครับ เราต้องนำเรื่องนี้ไปพูดให้ประชาชนเข้าใจ เพื่อจะได้ร่วมกันผลักดัน กระบวนการยุติธรรมให้เข้มแข็ง ซึ่งจะแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้… …ใน มุมมองของผม เรื่องกฏหมายกับกระบวนการยุติธรรมเป็นรื่องใหญ่ กระบวนการ ยุติธรรมของเรายังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ เรามีการปรับปรุงกระบวนการ ยุติธรรมครั้งแรกคือปี พ.ศ. 2540 จนกระทั่งวันนี้ เราก็ยังคิดว่าการขับเคลื่อน กระบวนการยุติธรรมให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้นี่เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศต่างๆ ที่มีการพัฒนาทั้งด้านประชาธิปไตย รวมถึงเศรษฐกิจและการเมืองนั้น ประเทศ เขาล้วนมีกระบวนการยุติธรรมที่เข้มแข็งทั้งสิ้น เช่น ในเอเชียก็มีตัวอย่างคือ เกาหลีและญี่ปุ่น ดังนั้น เราเองก็จะต้องให้ความสนใจเรื่องนี้ให้มากหน่อย ผม คิดว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งมันจะสามารถป้องกันการยึดอำนาจได้ เพราะว่าทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจก็มักจะมีการอ้างเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น อย่างบ้านเรา เมื่ออ้างเรื่องนี้แล้ว มันก็ไม่ค่อยเกิดมรรค เกิดผล อย่างครั้ง สุดท้ายที่มีการยึดอำนาจกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือที่มีการทุจริตกัน เยอะที่สนามบินสุวรรรภูมิ ผมฟังๆ ข่าวดู ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือการทุจริตที่ มีคนไทยเราไปเกี่ยวข้องกับอเมริกา ประเทศของเขา เขาลงโทษไปแล้ว แต่ ของเราก็ยังเห็นเฉยๆ อยู่ นี่แหละที่ทำให้ผมคิดว่า กระบวนการยุติธรรมของไทย เรา จะต้องมีการปรับแต่งกันให้ดีที่สุด เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งได้ รักษาความสงบเรียบร้อยได้ มีการบังคับใช้กฏหมายที่ดี การจะได้เห็น ประชาธิปไตย ในบ้านเรา ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินควร ….ผมว่าการแก้ รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรองนะ ในความรู้สึกผม มันจะแก้กันยังไง ถ้ากระบวนการ ยุติธรรมมันยังเป็นอย่างนี้ และผมบอกได้เลยว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมเรายัง เป็นแบบนี้อยู่ เราจะเป็นประเทศที่ล้าหลังที่สุดในเอเชีย ในขณะนี้ถ้าเราไปดูที่ ฟิลิปปินส์ อดีตนายกรัฐมนตรีของเขาก็กำลังจะถูกจับเข้าคุก ส่วน ไต้หวันหรือ สิงคโปร์นี่ไม่ต้องพูดถึง กฏหมายเข้มแข็งมาก ถ้าเรายังอยู่แบบนี้ อีกหน่อยเรา จะแย่ที่สุดในโลกเลย แย่ที่สุดแน่นอน ต่างจากญี่ปุ่นที่เขาพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง ประชาธิปไตยมาได้ก็เพราะกระบวนการยุติธรรมเขาเข้มแข็งมาก และ ข้อดีของกระบวนการยุติธรรมนะครับ จริงๆ แล้ว ใช้งบประมาณน้อย แต่ใช้ ความร่วมมือสูง เพราะฉะนั้น ในภาคของเจ้าพนักงานที่มีหลายหน่วยงานนะ ถ้า ร่วมมือกัน ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ มันจะช่วยลดการใช้งบประมาณได้มาก และประสิทธิภาพก็จะตามมา… .ก็นี่ไง ก็เพราะกระบวนการยุติธรรมมันไม่เวิร์ค ถ้ากระบวนการยุติธรรมเวิร์ค มันก็ไม่มีปัญหา เหมือนอย่างประเทศอื่น อย่าง นายทานากะที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอิทธิพลมากของประเทศญี่ปุ่น เขาก็ยังต้อง จำคุกเมื่อศาลตัดสินว่าทุจริต หรือในเกาหลีก็มีอดีตนายกรัฐมนตรีกระโดด หน้าผาฆ่าตัวตายเพราะเขาทุจริตคอร์รัปชั่น คือถ้ากระบวนการยุติธรรมของเรา เข้มแข็ง ปัญหามันก็หมด ….(ย้ำอีกที) คุณทานากะอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเขา ยังต้องติดคุกเพราะคดีทุจริต แต่บ้านเรามันไม่มีไง….ผมเปรียบเทียบ เหมือน คดีฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์เป็นคนออสเตรีย แล้วเขาก็เข้ามาอยู่ในบาวาเรีย ใน เยอรมัน แล้วมาเป็นทหารรับจ้างของกองทัพบาวาเรีย ได้ไปรบจนได้เหรียญ ตรา จากนั้นฮิตเลอร์ก็ก่อกบฏ ก่อกบฏแล้วก็ถูกจับขึ้นศาล ซึ่งกฏหมายเยอรมัน ณ ตอนนั้น คนที่เป็นคนต่างด้าวที่ถูกลงโทษจะต้องถูกเนรเทศด้วย แต่ศาล เยอรมันขณะนั้น บอกว่า ฮิตเลอร์ซึ่งมีความรู้สึกเป็นเยอรมันอย่างมาก ทั้งได้ ประกอบคุณงามความดีจนได้เหรียญตรา จึงไม่ใช่คนต่างด้าว ….เห็นไหมครับ บิดเบือนกฏหมายชัดเจน ผมเองก็เคยเขียนบทความว่าถ้าศาลใช้อำนาจอย่าง ตรงไปตรงมา ฮิตเลอร์ก็จะไม่ขึ้นสู่อำนาจ สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะไม่เกิด มัน ก็เหมือนคดีเรานี่แหละ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจถูกต้องตามกฏหมาย คุณ ทักษิณก็จะถูกอัปเปหิออกไปจากอำนาจ ไม่ขึ้นสู่อำนาจ ไม่สร้างความเสียหาย มันอันเดียวกันเลยนะครับ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย. ...ผมเชื่อมั่นว่าถ้า กระบวนการยุติธรรมมันดีแล้วเราก็สามารถที่จะควบคุมคนได้ เพราะมันเป็นเรื่อง ยากถ้าเราจะไปหวังให้คนทุกคนเป็นคนดี ในหลวงท่านยังเคยพระราชทานพระ ราชดำรัสว่าไม่อาจจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ต้องทำให้คนดีปกครองบ้าน เมือง เราก็รับใส่เกล้าฯ แต่เราไม่ปฏิบัติตาม….ผมคิดว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ความไม่สงบในบ้านเมือง สังคมเริ่มเรียนรู้อะไรมากขึ้น ผมว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ ดีมากแล้ว ผมมองโลกในแง่ดีนะ ผมว่าคงไม่นานเกินรอหรอก ถ้าไม่ตายเสีย ก่อนคงได้เห็น” หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มีนาคม 2555, 10:39:49 "อ.พิชาย" เหน็บองค์กรอิสระสุดเสื่อม สิ้นลายหมอบแทบเท้าทุนสามานย์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ "อ.พิชาย" วิเคราะห์พฤติกรรม "ดีเอสไอ-อัยการ-สรรพากร" บอกเหตุอนาคตต่อไปตระกูลชินฯ อาจไม่จำเป็นต้องเสียภาษี และหากคนเหล่านี้ทำผิดคงไม่มีเรื่องใดสำคัญพอที่จะส่งฟ้อง ตัดพ้อไฟสามานย์คลอบงำความดี ทำสภาฯใช้กฎเถื่อนเหนือปชต. สังคมเหลือแต่ทนายขายแผ่นดิน ผู้สื่อข่าวรายงายว่า วันที่ (31มี.ค.) เวลาประมาณ 00.20 น. ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พิชาย รัตนดิลก ณภูเก็ต วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของพวกทุนสามานย์และเครือข่ายทุนสามาย์ที่ย่ำยีกระบวนการยุติธรรม ทำลายนิติรัฐ และการใช้อำนาจเถื่อนของทรราชเสียงส่วนใหญ่ตอกย้ำความเป็นเผด็จการรัฐสภา 1. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมรตรี ถูก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) วินิจฉัยว่าทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ แต่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บอกว่าไม่ใช่สาระสำคัญสั่งไม่ฟ้อง กรณีนี้ทำให้เราทราบว่าการให้การเท็จในศาลไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับ ดีเอสไอยุคธาริต และคงไม่มีเรื่องใดสำคัญพอที่จะส่งฟ้องได้อีกในอนาคต หากเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับท...ักษิณ ยิ่งลักษณ์ และบรรดาสมุนของพวกเขา ดีเอสไอกำลังเดินไปสู่การเป็นองค์การความล่มสลาย 2. อัยการสั่งไม่ฟ้อง เสื้อแดงเถื่อนที่ข่มขู่นักข่าวช่องเจ็ด ทำให้เราทราบว่าต่อไป หากพวกเสื้อแดงขู่หรือทำร้ายใคร อัยการอาจมีแนวโน้มใช้มาตรฐานเดียวกับการไม่ฟ้องเสื้อแดงเถื่อนตนนั้น ความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีที่ก่อโดยเครื่อข่ายทุนสามานย์ ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องยังมีอีกจำนวนมาก ไม่เคยมียุคไหนที่อัยการจะตกต่ำในความรู้สึกของวิญญูชนได้มากเท่ายุคนี้อีกแล้ว. 3. "อนิจจาสังคมไทย. ทนายของแผ่นดิน คงสิ้นไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่คงมีแต่ ทนายขายแผ่นดิน เท่านั้น" 4. กรมสรรพากรทำท่าจะไม่เก็บภาษีจากการขายหุ้นได้กำไรของลูกทักษิณ จำนวน 12,000 ล้านบาท ทำให้เราทราบว่า ต่อไปใครก็ตามที่เครือญาติและอยู่ในเครือข่ายทุนสามานย์ อาจไม่จำเป็นต้องเสียภาษีก็ได้ แต่หากประชาชนอย่างเราทำแบบนั้นบ้าง กรมสรรพากรคงฟ้องร้องเราถึงศาลฏีกาแน่ๆ 5. สภาสามานย์ที่ถูกควบคุมโดยทุนสามานย์ ใช้วิธีการสามานย์ ยกเลิกมติของกรรมาธิการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ตนเองแพ้เพราะสมุนไม่อยู่ในห้องประชุม รุ่งเช้าระดมกันเข้าไปทั้งฝูงขู่คำรามให้ยกเลิกมติเก่า และลงมติใหม่ เราให้เรารูว่า พวกทุนสามานย์ฝูงนี้ไม่เคยเคารพกติกาประชาธิปไตย แพ้ไม่เป็น เมื่อแพ้ก็ใช้กฎเถื่อนเอาชนะให้ได้ 6. ขณะนี้หลักการประชาธิปไตย นิติรัฐ ถูกทุนสามานย์ ทำลายลงไปอย่างย่อยยับในทุกระดับทุกปริมณฑล ไฟสามานย์ กำลังเผาผลาญคุณความดีไปทุกหย่อมหญ้า หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 31 มีนาคม 2555, 21:47:50 นักข่าวช่อง7ท้า'สุรนันทน์'เปิดเทปนายกฯหนีสื่อ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ นักข่าวช่อง 7 อัดแหลก "สุรนันทน์" ปัดนายกฯไม่ตอบ "พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล" เผยแทรกแซงไม่ให้ไปทำข่าวกัมพูชาขัด รธน.ม.46 ยันทำข่าวเพื่อ ปชช. หลังจากที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ โฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี ทวิตตอบนายประดิษ เรืองดิษฐ์ ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล กรณีสำนักโฆษกมีหนังสือถึงผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ให้ยกเลิกการเดินทางไปทำข่าวภารกิจนายกรัฐมนตรีระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 20 ณ ประเทศกัมพูชาของ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวช่อง 7 โดยกล่าวว่า น.ส.สมจิตต์ มีความลำเอียง และมีเป้าหมายแอบแฝงในการปฏิบัติหน้าที่ ล่าสุด น.ส.สมจิตต์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความตอบโต้ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว มีข้อความดังนี้ ถึง คุณสุรนันทน์. เวชชาชีวะ. โฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี คุณสุรนันทน์ น่าจะขาดความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงคำว่า "จริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ" จึงได้ชี้แจงเช่นนี้ ซึ่งจะขออธิบายทีละข้อตามที่คุณสุรนันทน์โพสต์ตอบโต้คุณประดิษฐ์. เรืองดิษฐ์. ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดความสับสนได้ 1.นรม. (นายกรัฐมนตรี) ไม่ได้ลุกหนีครับ ผู้ถามไม่ได้ทำการบ้านมาดีพอ อ้างว่าจะมีการประชุมที่ไม่มี และถึงช่วงจบการสัมภาษณ์แล้วด้วยครับ - เปิดเทปมาสเตอร์พิสูจน์ในกรณีนี้ได้ค่ะว่า นายกรัฐมนตรี เดินหนีหรือไม่ หลังจากมีคำถามเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ถ้าถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์น่าจะได้คำตอบว่า นายกฯไม่ได้ลุกหนีทันทีแต่แสดงท่าทีชัดเจนว่าอึดอัด ไม่ต้องการตอบ พร้อมกับอธิบายว่าเรื่องนี้ไม่มีในการประชุม คุณสุรนันทน์อยู่ในเหตุการณ์ย่อมทราบดีว่า เมื่อนายกฯยืนยันเช่นนั้น ดิฉันก็ได้เรียนถามท่านว่า ถ้าไม่มีวาระแล้วทำไมจึงปรากฏในเอกสารที่เจ้าหน้าที่ให้กับนักข่าวเพื่อเตรียมข้อมูลในการตั้งคำถามโดยอ่านข้อความในเอกสารด้วยว่า "เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลจะมีคณะกรรมการที่รมว.ต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้เจรจา" ดังนั้นการกล่าวหาว่าดิฉันไม่ได้ทำการบ้านมาดีพอจึงเป็นการกล่าวเท็จ 2.ครับ แต่ขณะเดียวกันขอให้ทางผู้บริหารสื่อช่วยให้ความเป็นธรรมและให้เกียรติ นรม. ด้วย เพื่อการทำงานร่วมกันที่ดี ไม่ขัดแย้ง คุณสุรนันทน์ ควรจะขยายความด้วยว่า ผู้บริหารไม่ได้ให้ความเป็นธรรมและไม่ให้เกียรตินายกรัฐมนตรีอย่างไร เพราะในสถานการณ์นั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้บริหาร เว้นแต่ว่ามีการติดต่อเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้บริหารทำตามความต้องการบางอย่างแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นไม่ใช่ประเด็นการให้เกียรติแต่เป็นการยืนหยัดไม่ให้การเมืองแทรกแซงช่อง 7 หรือว่าในความคิดของคุณสุรนันทน์ สื่อที่แทรกแซงได้เท่านั้นที่จะเรียกว่าให้ความเป็นธรรมและให้เกียรตินายกฯ ซึ่งดิฉันไม่คิดว่าจะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องตามวิถีประชาธิปไตย 3.ถ้าคนทำหน้าที่ไม่แสดงความลำเอียงจนออกนอกหน้าก็อาจถือว่าเป็นการให้เกียรติได้ แต่ถ้าตั้งเป้าแอบแฝงจะทำหน้าที่ได้ดีหรือ? การจะกล่าวหาว่าคนทำหน้าที่ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึง ดิฉัน แสดงความลำเอียงจนออกนอกหน้าแบบลอยๆ โดยไม่มีการพูดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น ถือว่าเป็นการกล่าวหาด้วยอคติอย่างชัดแจ้ง เพราะในระหว่างการสัมภาษณ์ เมื่อนายกฯเดินมา นักข่าวทุกคนก็ลุกขึ้นรอให้นายกฯนั่งก่อนแล้วจึงนั่งตาม นี่คือพฤติกรรมที่ไม่ให้เกียรติหรือ ในการตั้งคำถามมีประเด็นเกี่ยวกับยาเสพติด การเตรียมความพร้อมของไทยสู่ประชาคมอาเซียน และกรณีพื้นที่ทับซ้ิน ซึ่งยืนยันว่าปรากฏอยู่ในเอกสาร มีเรื่องไหนที่คุณสุรนันทน์เห็นว่าเป็นการตั้งเป้าแอบแฝง ? ทั้งนี้ มาตรา 46 บัญญัติว่า พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ และมีสิทธิจัดตั้งองค์กรเพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพและความเป็นธรรม รวมทั้งมีกลไกควบคุมกันเองขององค์กรวิชาชีพ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจในกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง การกระทำใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าของกิจการ อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นในประเด็น สาธารณะของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและไม่มีผลใช้บังคับ เว้นแต่เป็นการกระทำเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายหรือจริยธรรมแห่งการประกอบ วิชาชีพ อย่างไรก็ตามดิฉันขอบคุณที่คุณสุรนันทน์ กรุณาชี้แจงที่ทำให้สังคมเกิดความกระจ่างว่า "รัฐบาลได้แทรกแซงไม่ให้ดิฉันเดินทางไปกัมพูชาเพื่อปฏิบัติภารกิจนายกรัฐมนตรีจริง ด้วยเหตุผลจากความรู้สึกอคติของคุณสุรนันทน์ที่มีต่อตัวดิฉัน ดังที่ได้ชี้แจงในข้างต้น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 46 การกล่าวอ้างว่าทางกัมพูชามีหนังสือแจ้งลดจำนวนสื่อมวลชน และปัญหาเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องเท็จ ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณสุรนันทน์ จะวางกรอบ จริยธรรมในการประกอบอาชีพการเมืองอย่างไร แต่สำหรับดิฉันซึ่งทำงานสื่อมาเกือบ 20 ปี ยึดมั่นในจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ว่าต้องสืบค้นความจริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่ตั้งคำถามเพื่อให้ผู้มีอำนาจสบายใจ และไม่เคยนำความรู้สึกสอดแทรกในเนื้อหาข่าว ซึ่งคุณสุรนันทน์สามารถตรวจสอบข่าวโปรโมทภารกิจนายกฯที่ดิฉันเขียนไว้ล่วงหน้าและปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว เพื่อพิจารณาว่าในเนื้อข่าวดังกล่าวมีส่วนใดที่แสดงถึงความลำเอียงหรือว่าเป็นการนำเสนอตามข้อเท็จจริงผ่านบทสัมภาษณ์ที่ได้เท่านั้น นางสาวสมจิตต์ ยังได้นำข้อความในทวิตเตอร์ของนายประสงค์ เลิศวิสุทธิ์ เจ้าของเวปไซด์ประสงค์ดอทคอม ที่ตั้งคำถามกับนายสุรนันทน์ มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค มีข้อความดังนี้ prasong_lert ถาม ตกลงขอให้เปลี่ยนตัวนักข่าวจริงหรืเปล่าครับ ตอบตรงประเด็นหน่อย สุรนันท์ ตอบ ไม่ชอบ แต่ใครจะไปกล้าสั่ง ใหญ่ๆ กันทั้งนั้น คำตอบของคุณสุรนันทน์คงชัดเจนนะคะว่าใครกันแน่ที่มีอคติ และใช้อคตินั้นตัดสินคนทำงานสื่อสารมวลชน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 เมษายน 2555, 09:07:48 ปปช.สอบยกพวง'นลินี -เต้น-ตู่' ปมโอนหุ้น-ขนเงิน 32ล.ซุกทรัพย์สินหรือไม่? : สำนักข่าวอิศรา
ปปช.สอบยกพวง“นลินี ทวีสิน - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ปมโอนหุ้นให้คนใกล้ชิดก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี พ่วง“ตู่ จตุพร” กับพวกขนเงินลงทุน 32 ล้าน ซุกทรัพย์สินหรือไม่? อภินันทน์ อิศรากูรฯ รับที่ประชุมรับทราบ “เงินกู้ยืมปริศนา”30 ล้าน นายกฯ แต่ยังไม่มีมติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้มีคำสั่งให้เจ้าที่สำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินของสำนักงาน ปปช.ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีรัฐมนตรี 2 คนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือ นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถูกร้องเรียนและปรากฏเป็นข่าวว่าอาจมีพฤติกรรมปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ปปช. นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการสำนักงาน ปปช. ซึ่งทำหน้าที่กำกับการบริหารสำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยอมรับว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งกรณีนางนลินี ทวีสิน โอนหุ้นให้บุคคลใกล้ชิดหลายสิบล้านบาทก่อนรับตำแหน่งทางการเมือง กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งตกเป็นข่าวมีเงินเงินลงทุน 32 ล้านบาท และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตกเป็นข่าวว่าโอนหุ้นบริษัทนิติบุคคลให้คนใกล้ชิด ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.นลินี ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 ) ในช่วงต้นปี 251 ( ปี2551ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่อมาปี 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย) นางนลินี ทวีสิน นักธุรกิจกลุ่มซัคเซสกรุ๊ป ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัทเครือกลุ่มซัคเซสกรุ๊ป จำนวน 22 บริษัท รวม 1,778,927 หุ้น เหลือเพียง 241,200 หุ้น และโอนหุ้นที่ลดลงจำนวน 1,537,727 หุ้น ไปให้กับบุคคล 2 รายคือ 1.นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ของประเทศซิมบับเว ประจำประเทศไทย จำนวน18 บริษัท รวม 642,949 หุ้น และ 2.นายอนุรัช มิสรา จำนวน 4 บริษัท รวม 894,778 หุ้น รวมมูลค่าหุ้นที่ถูกโอนในครั้งนี้ประมาณ 91,767,560 บาท (มูลค่าตามทุนจดทะเบียน) ถ้าคิดมูลค่าตามหุ้นที่ชำระแล้วเฉพาะนายอนุรัชเท่ากับ 42,693,645 บาท) การโอนหุ้นของนางนลินีถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจปิดบังอำพรางการถือหุ้นต่อคณะกรรมการ ปปช.หรือไม่ ล่าสุดตอนรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ครม.ยิ่งลักษณ์ 2) นางนลินีแจ้งบัญชีฯต่อคณะกรรมการ ปปช. มีทรัพย์สินเพียง 19,036,390.32 บาท ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ก่อนเข้ารับตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เดือนกุมภาพันธ์ 2551 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อได้โอนหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่า 2 ล้านบาท ซึ่งถืออยู่ตั้งแต่ก่อตั้งปี 2544 ไปให้นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ พี่ชาย กับ นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ เพื่อน คนละ 11,975หุ้น และ นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ 8,025 หุ้น ตามลำดับ และบริษัทดังกล่าวยังได้รับว่าจ้างทำประชาสัมพันธ์มวลชนโครงการท่อส่งก๊าซของ ปตท.อีกอย่างน้อย 13 โครงการ นอกจากนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานด้วยว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กับพวกคือ นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และ นายฐาปนา จินดากาญจน์ อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครศรีธรรมราช มีเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2545 จำนวน 5 แห่ง 25 ล้านบาท (เฉพาะนายจตุพร 8.6 ล้านบาท) ก่อนปิดกิจการในเวลาอันรวดเร็ว ขณะเดียวกับนายจตุพรยังมีเงินลงทุนในบริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท และบริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด (โทรทัศน์ PTV) 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมเงินลงทุน 2 แห่ง 11 ล้านบาท (ต่อมานายจตุพรได้โอนหุ้นทั้งสองบริษัทให้บุคคลอื่นในช่วงเดือนตุลาคม 2550) รวมเงินลงทุนเฉพาะนายจตุพร 7 แห่ง 19.6 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าทรัพย์สินของนายจตุพรและนายสถาพรที่แจ้งต่อคณะกรรมการ ปปช. ตอนตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 22 มกราคม 2551 มีจำนวน 8,050,892.2 บาท และ 714,592,59 บาท ตามลำดับ นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการ สำนักงาน ปปช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2555 ว่า ได้มีการหยิบยกกรณีสำนักข่าวอิศรารายงานข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน มีเงินให้กู้ยืม 30 ล้านบาท เข้ามาหารือในที่ประชุม คณะกรรมการ ปปช.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและยังไม่ได้มีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง .......... (หมายเหตุ : ปปช.สอบยกพวง'นลินี -เต้น-ตู่' ปมโอนหุ้น-ขนเงิน 32ล.ซุกทรัพย์สินหรือไม่? : สำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org/)) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 เมษายน 2555, 12:14:18 ศาล ให้ใช้เงิน พท.ประกัน 'แดงเชียงใหม่'
ศาล ไม่ให้ใช้เงินกองทุนยุติธรรมประกันตัวเสื้อแดงเชียงใหม่ ต้องใช้เงินพรรคเพื่อไทย ส่วนคดีเผาศาลากลางภาคอีสานพฤติการณ์ร้ายแรงไม่ให้ประกัน ที่กระทรวงยุติธรรม วันที่ 2 เม.ย. นายพิทยา จินาวัฒน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยเรื่องการใช้เงินกองทุนยุติธรรมจำนวน 43 ล้านบาทเพื่อใช้ประกันตัวผู้ต้องหากลุ่มคนเสื้อแดงจำนวน 57 คนว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณมาให้แล้ว โดยที่ผ่านมาทางกรมคุ้มครองสิทธิฯก็ได้ทยอยยื่นประกันตัวผู้ต้องหาคนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อนุมัติให้มีการประกันตัวผู้ต้องกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่จำนวน 5 คนในชั้นอุทธรณ์ โดยใช้เงินของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากศาลไม่อนุมัติให้ใช้เงินของกองทุนยุติธรรมมาประกันตัว ทั้งนี้การให้ประกันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล กรมคุ้มครองสิทธิฯไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ ส่วนการประกันตัวผู้ต้องขังเสื้อแดงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่อื่นๆ ศาลไม่ให้ประกัน โดยศาลพิจารณาตามเอกสารและพฤติกรรมของคดี ซึ่งผู้ต้องหารายหลายมีการกระทำรุนแรง เช่น เผาศาลากลาง และสถานที่ราชการ หากปล่อยตัวชั่วคราวอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับพยานหรืออาจหลบหนี “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน ศาลไม่ได้บอกว่าต้องการหลักทรัพย์เท่าไหร่ และไม่ได้ระบุว่าผู้ต้องหาแต่ละรายต้องการหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่าไหร่ และไม่ได้บอกว่าหลักทรัพย์ไม่พอ แต่อยู่ที่พฤติกรรมของผู้ต้องหา ทั้งนี้ฝ่ายการเมืองหรือกรมคุ้มครองสิทธิฯไม่สามารถไปก้าวล่วงได้เพราะถือว่าต้องเคารพอำนาจของตุลาการ” นายพิทยา กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Intania๑๖ ที่ 16 เมษายน 2555, 15:15:33 มาฟังนักโทษหนีคดี ร้องเพลง Let It Be http://www.youtube.com/watch?v=f5caKcwe6sM Let It Be? When I find myself in sh1t with trouble Stealing much from the country Red Shirts burn the cities Let it be And in my hour of gladness Hun Sen's standing right in front of me Asking for his payoff Let it be Let it be, let it be, let it be, let it be Asking for his payoff, let it be. And when Buffalos grazing the ground agree There will be amnesty, let it be Good people with conscience won't agree Streets will be bloody, let it be Let it be, let it be, let it be, let it be Streets will be bloody, let it be Let it be, let it be, let it be, let it be Asking for his payoff, let it be. Let it be, let it be, let it be, let it be Asking for his payoff, let it be. And when the night is cloudy there is sniper rifle pointing at me So I won't see tomorrow, let it be I wake up in burning hell, Pojaman comes to me Screaming words of torment, let it be Let it be, let it be, let it be, yeah, let it be Screaming words of torment, let it be Let it be, let it be, let it be, yeah, let it be Screaming words of torment, let it be http://www.youtube.com/watch?v=xzLWl6ftGuM หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 มิถุนายน 2555, 11:00:23 ผู้ได้รับเกียรติ 'ค้อนปลอมดูไบ'
Posttoday.com โดย...ธนพล บางยี่ขัน “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” กลายเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ถูก สส.ฉุดกระชากลากลงจากบัลลังก์ ด้วยพฤติกรรมที่ “ฝ่ายค้าน” อดรนทนไม่ไหวกับความเอนเอียงรวบรัดตัดตอนปิดกั้นการทำหน้าที่ของประชาธิปัตย์ จากตำนาน “ขุนค้อน” เมื่อสมัยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ปี 2540 กลายสภาพเป็น “ค้อนปลอมตราดูไบ” ตามฉายาที่สื่อมวลชนสภาตั้งให้ ตามที่ได้ยอมรับว่า ไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก่อนได้รับเลือกให้เป็นประธานสภา ท่ามกลางข้อกังขาว่าได้รับตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อคุมเกมสภาตามคำสั่ง “นายใหญ่” จากแดนไกล การปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมา “สมศักดิ์” ถูกมองว่าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยยึดข้อบังคับที่ให้อำนาจประธานในการวินิจฉัยความขัดแย้ง หรือปมปัญหาต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ฝ่ายเพื่อไทยอยู่บ่อยครั้งนำมาสู่วาทะแห่งปี 2554 ว่า “คำวินิจฉัยประธานถือเป็นที่สิ้นสุดจะผิดหรือถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ครั้งนั้นเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่สภามีการถกเถียงในการพาดพิงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนบรรยากาศเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่ประธานจะตัดบท “ผมฟังอยู่ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นครับ ท่านครับ ท่านสมาชิกครับ ผมขออนุญาตนิดเดียวครับ ข้อบังคับที่พวกเราร่างขึ้นมาเป็นกติกาให้อำนาจ ประธานเป็นผู้วินิจฉัยแล้วถือว่าเป็นเด็ดขาด ส่วนผิดหรือถูกอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมถือว่าผมวินิจฉัยแล้วต้องเป็นเด็ดขาดครับ ไม่อย่างนั้นมันจบไม่ได้ครับ” จากนั้นเรื่อยมาพฤติกรรมการคุมทิศทางการอภิปรายในสภาดูจะหนักข้อชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายค้าน ปิดไมโครโฟนผู้นำฝ่ายค้าน แต่เปิดโอกาสให้ สส.ฝ่ายรัฐบาล ได้อภิปรายจนถูกต่อว่าต่อขานจากสมาชิกว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา อีกเหตุการณ์ชัดเจน คือ ระหว่างการประชุมร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระ 2 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 พ.ค. “สมศักดิ์” ถูก “บุญยอด สุขถิ่นไทย” สส.กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคประชาธิปัตย์ เดินไปหน้าบัลลังก์ พร้อมกล่าวถ้อยคำล้อเลียนว่าด้วยถ้อยคำว่า “ไฮฮิตเลอร์” พร้อมชูมือประกอบเลียนแบบท่าทางอดีตผู้นำเผด็จการ จากกรณีที่รวบรัดลงมติในมาตรา 291/6 วานนี้ในที่ประชุมร่วมกรรมาธิการ 35 คณะ เพื่อพิจารณาลงมติร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าข่ายกฎหมายการเงินหรือไม่ “สมศักดิ์” ถึงกับออกอาการรำพึงรำพันบรรยายความน้อยอกน้อยใจที่ถูกกล่าวหากดดันการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมปล่อยให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายเต็มที่ในเวทีนี้ สุดท้ายวานนี้ แม้จะพลิกตำราตั้งรับวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา เพื่ออารักขาบัลลังก์ประธานสภา หลังถูก สส.ประชาธิปัตย์ ลากลงจากเก้าอี้ พร้อมซ้ำด้วย “รังสิมา รอดรัศมี” สส.สมุทรสงคราม ลากเก้าอี้ออกจากบัลลังก์เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการให้กลับมาทำหน้าที่อีกหน แต่รอบนี้ ถึงฝ่ายค้านที่เข้าไม่ถึงตัวประธานทำได้เพียงแค่ขว้างหนังสือข้อบังคับการประชุมใส่เต็มๆ ก่อนที่จะชิงปิดสภาหลังบรรลุภารกิจเลื่อนวาระ พ.ร.บ.ปรองดอง จ่อรอการพิจารณาสภา โดยเจ้าตัวต้องรีบออกจากสภาด้วยความรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศการอารักขาล้อมหน้าล้อมหลัง นับเป็นประธานสภาที่ได้รับเกียรติหลายอย่างจากสมาชิก ทั้งการถูกอภิปรายถล่มเละ ถูกกระทบกระทั่งทางร่างกาย แถมโดนยื่นถอดถอนอีกต่างหาก แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนของรัฐสภาไทย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 มิถุนายน 2555, 11:04:08 “ลีน่า จัง” ปรี๊ด ด่าเสื้อแดง “ไอ้หน้า ห.”!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ หายไปนาน กลับมาคราวนี้ “ลีน่า จัง” หรือ “ลีนา จังจรรจา” นักกฎหมาย นักธุรกิจ และนักแสดงสาวจัดเต็มแบบไม่มีเม้ม ด่าชายนิรนามเสื้อแดงที่โทร.เข้ามาป่วนในรายการแฉคดี รายการทางช่องเคเบิลดาวเทียมที่เธอจัดเองแบบจัดเต็มชุดใหญ่ มาหมดทั้งหน้าอวัยวะเพศหญิง ทั้งหน้าตัวเมีย ทั้งสัตว์นรก ในขณะที่อีกฝ่ายด่าลีน่านิ่มๆ แบบนักวิชาการ แต่สาวใหญ่วัย 52 ไม่สนประกาศกลางรายการขอเป็นปีศาจที่จงรักภักดีดีกว่าเป็นผู้ดีใส่หน้ากากเป็นนายกฯ ปู เหตุเกิดขึ้นกลางรายการแฉคดี รายการสดของลีน่าที่เกี่ยวกับการพูดถึงประเด็นต่างๆ ในสังคมและเป็นช่องทางให้ชาวบ้านโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาเรื่องข้อกฎหมายซึ่งจัดมาเป็นเวลา 10 เดือนเต็มแล้วทางช่อง 149 เคเบิลจานดำ หลังจากที่ลีน่าซึ่งเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ เจ้าของรายการ และพิธีกรรายการพูดถึงประเด็น พ.ร.บ. ปรองดองที่บรรดา ส.ส. พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังพยายามที่จะเข็นเข้าสู่สภา ซึ่งลีน่าแสดงจุดยืนชัดเจนว่าเธอ “ไม่เห็นด้วย” กับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ หลังการประกาศจุดยืนดังกล่าว ได้มีชายไม่ทราบชื่อโทรศัพท์เข้ามาในรายการและชวนลีน่าพูดถึง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งลีน่าก็ยังยืนยันว่าเธอไม่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะลากเรื่องความไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ไปสู่ประเด็นการมีอคติกับทักษิณของลีน่า และนั่นก็ทำให้ลีน่าเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ถามไถ่ชื่อจริงของชายที่โทรเข้ามาเป็นการใหญ่ แต่ชายคนดังกล่าวก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกชื่อจริง เป็นเหตุให้ลีน่าปรี๊ดแตกขึ้นมึงขึ้นกูด่าชายนิรนามคนนี้ออกอากาศแบบนันสต็อป!! คำด่าของลีน่ามีตั้งแต่ “หน้าอวัยวะเพศหญิง” ไอ้สัตว์นรก” รวมถึงการไล่ให้ชายคนดังกล่าวกลับไปสวมกระโปรง โดยที่ชายคนนั้นพยายามที่จะถามคำถามลีน่ากลับตลอดคล้ายจงใจจะยั่วโมโห ก่อนที่จะวางสายไป หลังจากนั้นเจ๊ลีน่าก็จัดชุดใหญ่ใส่ไข่ ทั้งด่าทั้งพูดถึง พ.ร.บ. ปรองดองว่าเป็น พ.ร.บ. ที่คนร่างและคนผลักดันจงใจที่จะล้างมลทินให้ผู้กระทำผิด โดยลีน่าย้ำชัดเจนว่าเธอมีอคติกับทักษิณ เพราะนักการเมืองหน้าเหลี่ยมรายนี้โกงบ้านโกงเมืองแถมยังหลอกประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้มาชุมนุมเป็นเหตุให้คนไทยด้วยกันต้องมาเข่นฆ่ากันเองอีกด้วย หลายคนมองว่าความคั่งแค้นที่ลีน่ามีต่อทักษิณ นายกฯยิ่งลักษณ์ และคนเสื้อแดงเกิดจากการที่ธุรกิจของเธอได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อสองปีก่อน เนื่องจากศูนย์กลางธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมความงามของลีน่าอยู่ที่ประตูน้ำ ห่างจากศูนย์กลางการชุมนุมแค่ไม่กี่เมตร แต่เมื่อถามเจ้าตัว ลีน่ายอมรับว่าเธอได้รับผลกระทบจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในใจลึกๆ เธอก็เข้าใจและเห็นใจพี่น้องชาวไทยที่มาร่วมชุมนุมในนามคนเสื้อแดง และนั่นก็เป็นเหตุให้เธอก้าวฉับๆ ไปหน้าเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงแล้วประกาศให้สิทธิความเป็นธรรมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในการมาชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ว่าธุรกิจของเธอจะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ก็ตาม ด้วยความที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางการชุมนุมในครั้งนั้น ทำให้ลีน่าได้เห็นความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด ลีน่าเผยว่าเธอเห็นว่ามีการซ่องสุมกำลัง เตรียมอาวุธ พร้อมที่จะเปิดศึกสงครามโดยกลุ่มคนเสื้อแดง และนั่นก็เป็นชนวนที่ทำให้เธอออกมาประกาศชัดว่าไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ที่จะล้างผิดให้กับคนที่เคยทำผิดกฎหมายบ้านเมืองฉบับนี้ คลิปวิดีโอที่ถูกนำมาถ่ายทอดลงยูทิวบ์ทำให้เห็นเพียงแค่บางฉากบางตอนของรายการแฉคดีของลีน่า แต่ความจริงแล้วนาฏกรรมการด่ากราดระหว่างลีน่ากับคนเสื้อแดงมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น หลังจากชายนิรนามเสื้อแดงโทร.มาป่วนในสไตล์นักวิชาการไปแล้ว ตกเย็นรายการที่ลีน่าจัดก็มีคนที่อ้างตัวว่าเป็น ส.ส. จังหวัดตาก พรรคเพื่อไทยโทร.เข้ามาด่าทอแบบฮาร์ดคอร์ ทั้งด่าว่าลีน่าไม่ได้ขี้เล็บของนายกฯ ปู ด่ารายการของลีน่าว่าต้องเรี่ยไรเงินคนแก่ถึงอยู่รอดมาได้ แล้วลงท้ายด้วยการขู่ว่าจะเกณฑ์ชาวเสื้อแดงไปกรุงเทพฯ เพื่อไปเตะลีน่า โดยย้ำว่า “ตัวสั้นๆ ป้อมๆ อย่างลีน่าถ้าโดนเตะคงกลิ้งเป็นลูกฟุตบอล” หลังจากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาป่วนอีกมากมาย ทั้งหญิงเสื้อแดงที่โทรเข้ามาถามว่าลีน่าจังคันหูหรือคันอวัยวะเพศถึงได้จัดรายการเช่นนี้ ทั้งพิธีกรชายที่โทรเข้ามาด่านิ่มๆ ว่ารายการแฉคดีเต็มไปด้วยถ้อยคำหยาบคายไร้มารยาท ทั้งนี้ทั้งนั้นลีน่าจังบอกว่าการเข้ามาป่วนรายการของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ทำให้รายการแฉคดีของเธอซบเซาลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้เรตติ้งรายการพุ่งกระฉูด ล่าสุดยอดวิวเฉพาะเทปที่เกิดศึกด่าทอก็พุ่งเข้าไปแตะที่ 38,100 วิวแล้ว ไม่รวมผู้ที่เปิดเข้าไปชมโดยตรงที่ www.hottv.in.th อีกวันละหลายพันครั้ง ลีน่าย้ำว่าจุดยืนทางการเมืองของเธอคือการเป็นคนไม่มีสี ไม่มีฝ่าย เธอบอกว่าขอเป็นปีศาจร้ายที่จงรักภักดีพระเจ้าแผ่นดิน และอยู่เคียงข้างประชาชน “รายการของอาจารย์(ลีน่ามักเรียกตัวเองว่าอาจารย์) คนเสื้อแดง คนเสื้อเหลือง คนเสื้อน้ำเงิน คนเสื้อหลากสี คนเสื้ออะไรก็โทร.เข้ามาได้ เพราะอาจารย์อยู่ข้างประชาชน แต่ไม่อยู่ข้างพวกนักการเมืองชั่วๆ รายการแฉคดีถึงมีสโลแกนว่า เป็นวัคซีนป้องกันความโง่ไงคะ” การกลับมาครั้งนี้ของลีน่าจึงเต็มไปด้วยความแซบเวอร์ ชนิดที่ใครได้เห็นได้ฟังเป็นต้องเอามือกุมหัวใจ ดิบเถื่อนแบบนี้น่าจะสมน้ำสมเนื้อกับคนเสื้อแดงที่ชอบสไตล์ฮาร์ดคอร์ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่ารายการในอนาคตของลีน่าจะเผ็ดร้อนขนาดไหน รวมถึงตัวลีน่าเองจะออกมาเคลื่อนไหวอย่างไร ในเมื่อบรรดานักการเมืองและผู้ก่อเรื่องเมื่อสามปีก่อนยังคงพยายามเข็น พ.ร.บ. ฉบับนี้หน้าด้านๆ อย่างนี้ต่อไป * อยากฟังรายละเอียดไปที่ http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ufPFFSAjNWo .................................................... ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 139 วันที่ 2 - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 มิถุนายน 2555, 18:41:58 "วสันต์" ปัดศาลจุ้นนิติบัญญัติ ยันรับคำร้องตามรธน. หวังผู้แจงให้คำมั่นสัญญาปชช.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ปธ.ศาลรธน.ปัดรับ 5 คำร้องวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหวังขวางกระบวนการสภา ระบุมีผู้ร้องมาตาม ม.68 ก็ต้องไต่สวน ชี้ถ้าไม่ล้มล้างการปกครองก็ยกคำร้อง หากมาชี้แจงก็เท่ากับให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชน ยันไม่ได้จุ้นนิติบัญญัติแต่ตรวจสอบเพื่อลดความระแวงของสังคม ถ้าบริสุทธิ์ใจก็จบ ขออย่าเหมารวมปรองดอง ด้านตุลาการฯ เผยพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว บอกแจ้งไปแล้วถ้ายังดื้อลงมติสภาต้องรับผิดชอบ ใครอยากถอดถอนก็ไม่ว่ากัน วันนี้ (3 มิ.ย.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับ 5 คำร้องกรณีขอให้วินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาวินิจฉัย ว่า ไม่ใช่เพราะมีเจตนาที่จะขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากมีผู้มาร้องขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งศาลก็ต้องไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงว่าการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่ หากการให้ข้อเท็จจริงทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้อง ยังไม่มีพฤติการณ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ศาลก็ยกคำร้อง “ แม้ขณะนี้ยังไม่มีการยกร่างกันเป็นรายมาตรา และถ้าจะอ้างว่าผู้ที่ยกร่างก็เป็นส.ส.ร.ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือ พรรคการเมือง แต่คนเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่ส.ส.ร.เป็นผู้ยกร่าง จึงถือได้ว่าเป็นอำนาจสุดท้ายในการดำเนินการ อีกทั้งหากส.ส.ร.ทำผิดหลักการขึ้นมาจะทำกันอย่างไร ดังนั้นศาลจึงอยากที่จะรู้ว่า คนเหล่านี้ มีความคิดในเรื่องรูปแบบของการปกครองอย่างไร เช่น ถ้าบอกว่าจะไม่แตะสถาบัน แต่ทำไมถึงไม่ยกเว้นในหมวด 1 หมวด 2 ไว้ อย่างนี้มันต้องชัดเจน และต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน และผู้ที่ร้องมา เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้เช่นกัน ซึ่งผู้ที่จะมาชี้แจงในชั้นไต่สวนก็เหมือนกับการให้สัญญาประชาคมกับสังคมและผู้ร้อง ว่า ถ้าหากส.ส.ร.ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกมาไม่เป็นไปตามที่ชี้แจงในชั้นไต่สวน คนเหล่านี้ก็จะไม่ยกมือรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเขาแถลงอย่างหนึ่ง แต่พอถึงเวลา กลับทำอีกอย่างหนึ่งประชาชนก็จะได้รู้ว่าใครโกหก ซึ่งก็เหมือนกับเป็นสัญญาลูกผู้ชาย สัญญาลูกผู้หญิง และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่เลยเถิดเราต้องตรวจสอบตรงนี้ก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการถ่วงดุล” ประธานศาลรธน. กล่าว นายวสันต์ ยังกล่าวอีกว่า การรับพิจารณาคำร้องดัง กล่าวไม่ถือว่าศาลเข้าไปแทรกแซงฝ่ายบริหาร หรือไปแทรกแทรงฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เป็นการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ให้อำนาจเอาไว้ ถือเป็นการถ่วงดุลในการตรวจสอบ ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจเข้าไปก้าวล่วงไปกำกับรัฐสภา จึงควรมองในทางบวก ว่า การที่ศาลรับคำร้องและมีการไต่สวน ก็เพื่อทำให้ลดความตรึงเครียด และความหวาดระแวงของสังคมที่มีต่อรัฐบาล และรัฐสภาลงได้ อีกทั้งเป็นผลดีทั้งรัฐบาลและรัฐสภาด้วยซ้ำที่จะได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้ ถ้าพวกเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมาว่าไม่มีพฤติการณ์ตามที่เขาสงสัยมาก็จบ ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งคนละเรื่องกันอย่าเอามารวมกัน เมื่อถามว่า ความรวดเร็วในการรับพิจารณาคำร้องดังกล่าว อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังอยู่ในชั้นของการยกร่างอาจทำให้ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่า ไปรับงานใครมาหรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า หมายถึงใครถ้าหมายถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จำได้ว่า เคยพูดกันครั้งเดียว ขนาดไปงานพระราชพิธี เจอและนั่งใกล้กันยังไม่เคยหันหน้าไปพูดกันเลย เพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และเห็นว่าขณะนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังจะผ่านวาระ 3 ซึ่งในเนื้อหาค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร รวมทั้งหากพ้นจากวาระ 3 ไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถไปดำเนินการใดๆ ได้แล้ว หรือแม้แต่เมื่อส.ส.ร.ยกร่างเสร็จแล้วเป็นร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัย “ ศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เราสนใจ และก็ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้ร้องเขาร้องมา แต่ประเด็นอยู่ที่ก่อนการดำเนินการต่อไปต้องชัดเจนก่อนว่ามีการซ่อนรูปแบบการปกครองบางอย่างเอาไว้หรือไม่ และจะเป็นการเอามาใช้แทนรูปแบบการปกครองในปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีหรือที่ประชาชนจะได้รับทราบพร้อมๆ กันในระหว่างที่ศาลไต่สวน ก่อนที่จะมีการแก้ไขต่อไป และอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญปี 50 นั้นก็ได้ผ่านการทำประชามติมา ก็ถือได้ว่ามาจากประชาชน เพราะฉะนั้นจะเป็นไรไปถ้าหากให้ประชาชนได้ทราบก่อนว่าการแก้ไขจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หรือ ศาลไม่ได้ห้ามไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญเสียเมื่อไหร่ ”นายวสันต์ กล่าว ด้านนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณที่มีนักวิชาการออกมาแสดงความเห็นว่าการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกิดขอบเขต ใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติและการออกคำสั่งดังกล่าวนั้นเข้าลักษณะที่อาจถูกถอดถอนได้ ว่า กรณีดังกล่าวเมื่อมีผู้ร้องมาเราก็ดำเนินการพิจารณาและก่อนที่จะลงมติก็ได้มีการพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าสมควรที่จะดำเนินการเช่นนั้น จึงมีหนังสือไปยังเลขาธิการสภา แจ้งต่อประธานสภา และสมาชิก ทราบว่าศาลได้มีคำสั่งให้ชะลอการลงมติในวาระที่ 3 ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา ซึ่งคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ตุลาการฯ ก็ได้มีการพิจารณากันแล้วว่า การสั่งให้ชะลอการลงมติก็ไม่มีผลอะไร ที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ช้าหน่อย เพื่อความชัดเจนก็เห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เแต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญบอกไปแล้วไม่ฟังหากเกิดเรื่องขึ้นมาสภาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ “ เมื่อมีคนร้องขึ้นมาว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้นมันผิดหลักการ เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ ซึ่งเราตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมาพิจารณาว่า จริงหรือไม่ ไม่ได้เป็นการไปขั้ดขวางไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการอย่างทราบความชัดเจนในการดำเนินการว่าผิดหลักการตามที่ผู้ร้องร้องมาหรือไม่ หากไม่มีคนร้องศาลก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการดำเนินการออกคำสั่งไปนั้นเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งก็ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน ส่วนใครเห็นว่าเราทำเกินอำนาจหน้าที่อยากจะถอดถอนก็ไม่ได้ว่าอะไร และรัฐธรรมนูญก็ให้สิทธิ์ไว้ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนไป อีกทั้งที่เห็นว่าเป็นการก้าวก่ายก็เป็นเพียวความเห็นของนักวิชาการ หรือใครก็มีความเห็นได้ไม่ได้ว่าอะไร และขอยืนยันว่าเราดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่ให้ไว้” นายบุญส่ง กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 04 มิถุนายน 2555, 19:03:03 อึดอัดต้นสังกัด สื่อรวมตัวเปิดเพจ “สายตรงภาคสนาม” รายงานข่าวตรงสู่ ปชช. โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ สมาชิกเฟซบุ๊กอ้างเป็นผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก สุดทนสื่อหลักทั้งทีวี-หนังสือพิมพ์ อ้างความเป็นกลางพร่ำเพรื่อ ไม่ปกป้องบ้านเมือง รวมตัวเปิดแฟนเพจ “สายตรงภาคสนาม” รายงานข่าวสารตรงสู่ประชาชน พร้อมเชิญเพื่อนสื่ออึดอัดต้นสังกัด ส่งข้อมูลร่วมตีแผ่ความจริง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดความขัดแย้งจากการที่รัฐบาลหักดิบพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ ประกอบกับรัฐบาลมีท่าทีที่จะขัดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ระงับการลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ด้วยการใช้เสียงข้างมากเตรียมลงมติวาระ 3 ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 8 มิ.ย.55 นี้ ปรากฏว่ามีความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลมีเดีย จากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามจากหลากหลายสำนัก ได้ร่วมกันจัดทำแฟนเพจในเว็บไซต์เฟซบุ๊กโดยใช้ชื่อว่า “สายตรงภาคสนาม” เริ่มก่อตั้งเมื่อคืนที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา แฟนเพจสายตรงภาคสนาม ซึ่งมีสโลแกนของเพจว่า “โกหกไม่ลง พูดตรงไปเลย” และใช้สัญลักษณ์รูปลิงเปิดหู เปิดตา เปิดปาก ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลในการจัดทำแฟนเพจไว้ว่า เพจ “สายตรงภาคสนาม” เปิดขึ้นด้วยการรวมตัวของกลุ่มนักข่าวภาคสนามจากหลากหลายสังกัดที่มีความเห็นตรงกันว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศชาติเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ถือเป็นภารกิจสำคัญยิ่งของผู้ที่ทำหน้าที่สื่อสารมวลชนในการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ได้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของฝ่ายการเมือง เนื่องจากสื่อหลักมิได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็งในการปกป้องบ้านเมือง โดยมีการอ้างคำว่า “เป็นกลาง” อย่างพร่ำเพรื่อ โดยกลุ่มเพจ “สายตรงภาคสนาม” มีความเห็นที่แตกต่างออกไป เนื่องจากตามหลักวิชาการของสื่อสารมวลชนเองก็ยังมีการระบุถึงหน้าที่ไว้ว่า สื่อต้องเป็น GATEKEEPER คือประตูแห่งการกลั่นกรองข่าวสาร ดังนั้น สื่อมวลชนซึ่งเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งข่าวได้มากกว่าประชาชนทั่วไป จึงอยู่ในวิสัยที่ต้องตัดสินข้อมูลที่มีในมือได้ว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่ ด้วยการเปิดเผยแง่มุมต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้อย่างรอบด้านมากขึ้น ทั้งนี้ กลุ่ม “เพจสายตรงภาคสนาม” จะได้นำข้อมูลข่าวสารจากการทำข่าวในภาคสนามนำเสนอต่อประชาชน เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล ในภาวะที่สื่อหลักถูกแทรกซื้อ แทรกซึม แทรกแซง หรือแม้แต่สมยอมกลายเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายการเมืองใช้ในการชี้นำประชาชน เพื่อประโยชน์ในทางการเมือง ในฐานะที่พวกเราเป็นสื่อสารมวลชน ตระหนักถึงภาระหน้าที่ภายใต้จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพโดยไม่มีกรอบจำกัดของต้นสังกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงพร้อมใจรวมตัวกันสร้าง “เพจสายตรงภาคสนาม” โดยหวังว่าจะได้เป็นส่วนเล็กๆ ในการปกป้องบ้านเมืองด้วยการสร้างปัญญาผ่านข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อหยุดยั้งความสับสนในสังคมไทยที่ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะแยกแยะถูกผิดไม่ได้เพราะได้รับข้อมูลที่ไม่รอบด้าน เนื่องจากสื่อหลัก คือ หนังสือพิมพ์บางฉบับ และฟรีทีวี มิได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในภาวะที่บ้านเมืองต้องการสื่อที่มีความกล้าหาญ เพจสายตรงภาคสนาม จึงขอทำหน้าที่ผ่านโลกออนไลน์ เพื่อให้ความจริงกับสังคม เพราะพวกเรา “โกหกไม่ลง พูดตรงไปเลย” และขอเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สื่อข่าวภาคสนามที่อึดอัดกับการเสนอข่าวของต้นสังกัดตัวเอง สามารถส่งข้อมูลเพื่อร่วมตีแผ่ความจริงได้ที่เพจนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เพจสายตรงภาคสนาม” ได้เริ่มดำเนินการเผยแพร่ข่าวสารผ่านเพจของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบมาเป็นเวลา 3 วันแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 55 โดยได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก มีคนเข้าไปกดไลก์เพื่อร่วมเป็นสมาชิกแฟนเพจแล้วเกือบ 2 พันคน และมีผู้ที่เข้าชมและแชร์ข้อมูลถึง 6,690 คนต่อวัน ขณะที่ตลอดสามวันมีผู้เข้าถึงข้อมูลของเพจสายตรงภาคสนามแล้วถึง 57,525 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก สำหรับข้อมูลที่ถูกส่งต่อและเป็นที่กล่าวขานมากที่สุด คือ การนำบัญชีทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ในปี 2540,2544,2548 และ 2549 มาเปิดโปงจับโกหก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าตัวเองมีทรัพย์สินก่อนเข้าทำงานการเมือง 4.6 หมื่นล้านบาท โดยใช้ชื่อหัวข้อว่า “ปากแม้วพาจน มัดตัวเองซุกทรัพย์สินจริง” พร้อมกับนำการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 2 มิ.ย. 55 มีข้อความว่า “ต้องไปถาม พล.ต.จำลอง ที่มายืนประท้วงผม วันที่เชิญผมไปเป็น รมว.ต่างประเทศปี 37 เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ผมประกาศมีทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาท ผมมีตังค์ค้าขายร่ำรวยมาก่อน ไม่ใช่ต้มใครมาก่อนแล้วมาเป็นนักการเมืองที่มีตังค์ ผมเข้ามาการเมืองมีแต่เงินหายไป เงิน 4.6 หมื่นล้านไม่ได้ปล้นใครมา แต่เขาปล้นผมไป ต้องการให้เข้าใจว่าเป็นเงินของผม ของครอบครัวที่ถูกขโมยไป ปล้นไป” แอดมินของเพจสายตรงภาคสนาม ยังประกาศด้วยว่า “ที่นี่ไม่เป็นกลาง มีแต่ความจริงให้ประชาชน” นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ภาพสุสาน มีโลโก้สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่อง 3, 5, 7, 9, เอ็นบีที (ช่อง 11) และไทยพีบีเอสบนแท่นหินอ่อน ระบุข้อความ “Free TV Thai เอาใจนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร หุบปากจนตายโหง ตายห่าไปจากแผ่นดินไทย เพราะ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติอีกแล้ว” ซึ่งผู้ดูแลแฟนเพจดังกล่าวระบุว่า นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่พวกเราทำเพจสายตรงภาคสนาม โดยมีจำนวนคนกดถูกใจมากกว่า 100 ครั้ง อย่างไรก็ตาม จากการอ่านเนื้อหาในแฟนเพจนี้พบว่า ส่วนใหญ่จะเน้นเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกี่ยวกับการออก พ.ร.บ.ปรองดอง การประชุมรัฐสภาที่จะลงมติวาระ 3 ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ระงับก่อนหน้านี้ รวมทั้งความเคลื่อนไหวจากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการปราศรัยหัวข้อ “ผ่าความจริง หยุดกฎหมายล้างผิดคนโกง” ซึ่งจัดขึ้นโดยพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันเสาร์ (2 มิ.ย.) ที่ผ่านมา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 05 มิถุนายน 2555, 09:27:21 หุ้นปริศนา!โผล่บัญชีฯ'ขุนค้อน'
หุ้นปริศนา ! โผล่บัญชีฯ 'สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์' 102.7 ล้าน - ใช้ 'นอมินี' ถือแทน : สำนักข่าวอิศรา แกะรอยขุนค้อน “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” รวยฉับพลัน? พบหุ้นปริศนา! โผล่พรวด 102.7 ล้าน ใช้ “นอมินี” ถือแทน ก่อนหน้า 1 เดือนไร้เงินลงทุน แบกหนี้กว่า 139 ล้าน แจ้ง ปปช. มีเงินฝากติดบัญชีแสนเดียว การที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีเงินลงทุน 100,720,000 บาท กำลังถูกตั้งข้อสงสัยเมื่อพบว่า 3 เดือนก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์แจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเงินฝากเพียง 114,593.30 บาท ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า บัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้ของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ระบุว่ามีเงินลงทุนจำนวน 102,720,000 บาท โดยเป็นหุ้น บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด จำนวน 6 รายการรวมจำนวนหุ้น 1,027,200 หุ้น หุ้นละ 100 บาท แยกเป็น 1. ใบหุ้นเลขที่ 94 จำนวนหุ้น 311,398 หุ้น มูลค่า 31,139,800 บาท 2. ใบหุ้นเลขที่ 95 จำนวนหุ้น 189,453 หุ้น มูลค่า 18,945,300 บาท 3. ใบหุ้นเลขที่ 96 จำนวนหุ้น 25,499 หุ้น มูลค่า 2,549,900 บาท 4. ใบหุ้นเลขที่ 97 จำนวนหุ้น 135,900 หุ้น มูลค่า 13,590,000 บาท 5. ใบหุ้นเลขที่ 98 จำนวนหุ้น 175,496 หุ้น มูลค่า 17,549,600 บาท 6. ใบหุ้นเลขที่ 99 จำนวนหุ้น 189,454 หุ้น มูลค่า 18,945,400 บาท นายสมศักดิ์ ระบุว่า ได้รับหุ้นจำนวน 6 รายการ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 และถือหุ้นในนาม “นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์” ขณะที่เอกสารเรื่องการแสดงสิทธิ์การถือครองหุ้นดังกล่าว ต่อ ปปช. นายสมศักดิ์ ได้แนบเอกสารสำเนาใบถือครองหุ้น ในชื่อของ “นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์” ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ปปช. ในช่วงพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ว่า มีรายได้เป็นเงินเดือนจากทางราชการ จำนวน 1,251,960 บาท มีทรัพย์สินรวม 42,360,863.55 บาท เป็นเงินฝาก 114,593.30 บาท ที่ดิน 22,418,950 บาท โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง 18,806,400 บาท ยานพาหนะ 1,000,000 บาท และเงินฝากของบุตร 20,560.25 บาท มีหนี้สินจากการกู้เงินสถาบันการเงิน 139,833,778.74 บาท ทำให้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 97,472,915.19 บาท (ดูตาราง) ขณะที่การแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ระบุว่า มีรายได้จากเงินประจำตำแหน่ง+เงินเพิ่ม 1,507,080 บาท มีค่าใช้จ่ายส่วนตัว 1,200,000 บาท มีเงินฝาก 100,397.57 บาท (บุตรสาว มีเงินฝาก 26,376.24 บาท) เงินลงทุน 100,720,000 บาท มีที่ดิน 26 แปลงราคา 19,628,940 บาท โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง 17,306,400 บาท ยานพาหนะ 1 ล้านบาท น่าสังเกตว่า แจ้งว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ 2 คัน หมายเลขทะเบียน กจ 8888 ขอนแก่น ได้มาวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ราคา 500,000 บาท และหมายเลข นข 5555 กรุงเทพฯ ได้มาวันที่ 3 สิงหาคม 2552 มูลค่า 500,000 บาท และรถแทรกเตอร์ 1 คัน (ไม่แจ้งราคา) ทั้งหมดแจ้งไว้ในหมวดยานพาหนะเพียง 1 ล้านบาท ส่วนเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น เป็น 203,579,428 .74 บาท แยกเป็น บริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย 155,958,939.31 บาท ธนาคารออมสิน 16,542,483.70 บาท และบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ 31,078,005.73 บาท ซึ่งเงินกู้ทั้งสามส่วน ปัจจุบันมีการฟ้องร้องเป็นคดีความ ก่อนหน้านี้ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมครบ 1 ปี วันที่ 22 ธ.ค.2552 นายสมศักดิ์แจ้งว่ามีเงินลงทุน 3 รายการ ได้แก่ 1.หจก.ไทยสงวนก่อสร้าง ชุมแพ 250,000 บาท 2.หจก.เบรนเวิร์คมีเดีย 800,000 บาท 3.บริษัท สไมล์ เฮธ จำกัด 9400 หุ้น มูลค่า 940,000 บาท นายสมศักดิ์แจ้งว่า รายการที่ 1 และ 2 แจ้งว่าได้จดทะเบียนเลิกแล้วและนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้แล้วเมื่อ 22 ต.ค.2524 และ วันที่ 5 ก.พ.2550 ตามลำดับ รายการที่ 3 ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนเลิกเมื่อ 10 ก.ค. 2552 เท่ากับการถือหุ้นมูลค่า 100,720,000 บาทวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ของนายสมศักดิ์เกิดขึ้นภายหลังพ้นตำแหน่ง ส.ส. 10 พ.ค.2554 ประมาณ 1 เดือนเศษ และเกิดขึ้นก่อนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ประมาณ 1 เดือนเศษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์ เคยถือหุ้นอยู่ในบริษัท เอเพ็กซ์ประกันสุขภาพ จำกัดปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บริรักษ์ประกันภัย จำกัด ต่อมาขายหุ้นให้กับนายวัฒนะชัย ขาวดี ก่อนจะเข้ามาถือหุ้นบริษัท สยามประกันชีวิตจำกัด ........................ (หมายเหตุ : หุ้นปริศนา ! โผล่บัญชีฯ 'สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์' 102.7 ล้าน - ใช้ 'นอมินี' ถือแทน : สำนักข่าวอิศรา : http://www.isranews.org/) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 มิถุนายน 2555, 13:15:58 Subject: สายตรงภาคสนาม Date: Wed, 6 Jun 2012 09:31:48 +0700 ระดมลูกจ้างกรมอุทยาน / กรมทรัพยากรทางทะล /กรมชายฝั่ง5 พัน หนุนรัฐ ดันแก้ รธน.- พรบ.ล้างผิด - กดดันศาล รธน. ดีเดย์ 7 - 16 มิ.ย. นัดสุมหัวธรรมกายเอาธรรมมะบังหน้า สั่ง สลัดเครื่องแบบ ห้ามทิ้งหลักฐาน เพจสายตรงภาคสนามได้รับคำยืนยันจากข้าราชการที่มีความเป็นห่วงบ้านเมืองถึงการเคลื่อนไหวของ 3 กรมหลักในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีข้าราชการระดับสูงที่มีความสนิทสนมกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่เบื้องหลัง โดยในส่วนของกรมอุทยานฯมีการเรียกผู้อำนวยการทั้ง 16 สำนัก ให้จัดหาลูกจ้างสำนักละ 200 คน โดยแบ่งการดูแลเป็นทีมคือให้ข้าราชการ 1 คน คุมลูกจ้าง 50 คน รวมเฉพาะกรมอุทยานจะมีลูกจ้างที่เข้ามาในกรุงเทพฯทั้งหมด 3,200 คนยังไม่รวมข้าราชการที่จะทำหน้าที่คุมทีม นอกจากนี้ยังมีคำสั่งด้วยวาจาไปยังกรมทรัพยากรทางทะเลและกรมชายฝั่ง ให้จัดกำลังลูกจ้างให้ได้ 2,000 คน ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดที่จะเดินทางวันที่ 7-16 มิ.ย. โดยจะไปพักที่วัดธรรมกาย ซึ่งมีการอ้างว่าเป็นการเข้าค่ายธรรมมะ และสั่งห้ามใส่ชุดข้าราชการ ห้ามมีสัญลักษณ์ของหน่วยงาน ห้ามนำรถหน่วยงานมาเป็นพาหนะ แต่อนุญาตให้ทำบันทึกราชการว่าเดินทางมาราชการที่กรมได้ สำหรับการเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อระดมพลสนับสนุนรัฐบาลในการผลักดันกฎหมายปรองดอง การลงมติรัฐธรรมนูญวาระ 3 และการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ โดยการใช้ลูกจ้างกรมอุทยานมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเคยเกิดขึ้นแล้วในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงก่อนการรัฐประหารปี 49 โดยในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมลูกจ้างของกรมอุทยานฯในระหว่างการปาปะทัดยักษ์ป่วนการปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่สวนลุมพินีและยังมีกระแสข่าวด้วยว่ามีการระดมเจ้าหน้าที่ฝึกใช้ปืนเอชเค ซึ่งอธิบดีกรมอุทยานฯในช่วงนั้นคือ นายดำรงค์ พิเดช ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่าไม่มีการใช้เจ้าหน้าที่มาเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่างไรก็ตามหลังการรัฐประหาร นายดำรงค์ ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ และทหารได้ยึดปืนเอชเคทั้งหมดของกรมอุทยานไป แต่หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้ย้าย นายดำรงค์ กลับมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯอีกครั้ง และในการจัดงบประมาณปี 55 ได้มีการขออนุมัติเงินงบประมาณ 200 ล้านบาทเพื่อซื้อปืนเอชเค แต่ถูกกรรมาธิการงบประมาณตัดงบประมาณส่วนนี้ทิ้งไป http://www.facebook.com/SaiTrongPhakSanam สายตรงภาคสนาม วันอาทิตย์ ในฐานะที่พวกเราเป็นสื่อสารมวลชน ตระหนักถึงภาระหน้าที่ภายใต้จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ โดยไม่มีกรอบจำกัดของต้นสังกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงพร้อมใจรวมตัวกันสร้าง "เพจสายตรงภาคสนาม" โดยหวังว่าจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ในการปกป้องบ้านเมืองด้วยการสร้างปัญญาผ่านข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อหยุดยั้งความสับสนในสังคมไทยที่ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะแยกแยะถูกผิดไม่ได้ เพราะได้รับข้อมูลที่ไม่รอบด้าน เนื่องจากสื่อหลัก คือ หนังสือพิมพ์บางฉบับ และ ฟรีทืวี มิได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในภาวะที่บ้านเมืองต้องการสื่อที่มีความกล้าหาญ เพจสายตรงภาคสนาม จึงขอทำหน้าที่ผ่านโลกออนไลน์ เพื่อให้ความจริงกับสังคม เพราะพวกเรา "โกหกไม่ลง พูดตรงไปเลย" และขอเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สื่อข่าวภาคสนามที่อึดอัดกับการเสนอข่าวของต้นสังกัดตัวเอง สามารถส่งข้อมูลเพื่อร่วมตีแผ่ความจริงได้ที่เพจนี้ นักข่าวท่านใดต้องการให้เพจนี้เป็นสื่อกลางในการแชร์ความจริง ส่งข้อความมาหาได้เลย @มินเพจสายตรงภาคสนาม ยินดีรับใข้ค่ะ ^^ //// ที่นี่ไม่เป็นกลาง มีแต่ความจริงให้ประชาชน จากใจ @ มินเพจสายตรงภาคสนามทุกคน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มิถุนายน 2555, 18:04:28 คนไทยสัญชาติอเมริการ่อนจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลสหรัฐ ค้านแม้วเข้า อเมริกา หลังกระแสข่าวหนาหูวิ่งเต้นขอวีซ่าเข้าประเทศ ย้ำควรรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มากกว่าทำเพื่อคนๆเดียว
///////////////////////////////////////// An Open Letter to Deny Thaksin Shinawatra's Entry to the U.S. จดหมายเปิดผนึก เพื่อ ปฏิเสธการขอเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาของน.ช.ทักษิณ ชินวัตร As U.S. citizens from Thailand and as your constituents and supporters, we are writing you this letter to voice our very deep concerns about the position of the United State Government regarding the ex-Prime Minister of Thailand, Thaksin Shinawatra. ในฐานะพลเมืองสหรัฐฯ จากประเทศไทย และในฐานะผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และผู้สนับสนุนท่าน เราจึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาเพื่อแสดงความวิตกกังวลของเรา เกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลอเมริกัน อันเกี่ยวเนื่องกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย, น.ช. ทักษิณ ชินวัตร We have strong reason to believe that Thaksin Shinawatra is trying to gain entrance to the United States. He is a fugitive who has been evading a two-year prison sentence for corruption while holding public office in Thailand. Furthermore, he has also evaded prosecution of multiple cases in which he was indicted on charges of corruption, bribery, tax evasion, abuse of power, and well documented extra-judicial killings and countless violations of human rights of Thai citizens. More than 2,500 citizens, including innocent children, were murdered because of the heavy handed policies of the war on drugs and anti-Muslim policies of his regime. The details of all these cases are on file with Thailand's National Human Rights Commission, as have been reported by Shawn Crispin of Asia Time on October 13, 2006. Some of the examples are the killing of 9-year old, Nong Fluke, by the Thai police on February 23, 2003, during the war on drugs campaign; the Tak Bai incident on October 25, 2004 where 78 Thai Muslim civilians died from suffocation after being hand cuffed and stacked on top of each other for over three hours. เรามีเหตุผลหนักแน่นอันทำให้เชื่อได้ว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร กำลังพยายามหาหนทางเข้าประเทศสหรัฐฯ เขาเป็นนักโทษหลบหนีคดีอาญามีโทษจำคุก ๒ ปี ในความผิดทุจริตประพฤติมิชอบ ระหว่างการดำรงตำแหน่งทางการเมืองในประเทศไทย นอกจากนี้เขายังหลบหนีการดำเนินคดีอีกหลายคดี ที่ถูกฟ้องร้องในข้อหาทุจริต, ติดสินบน, หลบเลี่ยงภาษี, ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม และมีเอกสารบันทึกไว้ถึงการฆ่า และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนไทยนับครั้งไม่ถ้วน ประชาชนมากกว่า ๒,๕๐๐ คน รวมทั้งเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ ถูกฆ่าจากนโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรง และนโยบายต่อต้านมุสลิมของระบอบทักษิณ รายละเอียดของกรณีเหล่านี้ได้ถูกร้องเรียน และอยู่ในกระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามรายงานของ ชอน คริสปิน แห่งหนังสือพิมพ์เอเชียไทม์ วันที่ ๑๓ ต.ค. ๒๕๔๙ ตัวอย่างบางเหตุการณ์ คือ การฆ่าน้องฟลุค อายุ ๙ ขวบ โดยตำรวจไทย ในวันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๔๖ ระหว่างการรณรงค์สงครามปราบปรามยาเสพติด เหตุการณ์ตากใบในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ ทำให้พลเรือนไทยมุสลิมถึงแก่ความตายจากการขาดอากาศหายใจ หลังจากถูกจับใส่กุญแจมือ และจับคนเหล่านั้นนอนซ้อนทับกันนานมากกว่า ๓ ชั่วโมง Thaksin Shinawatra is known to have hired major U.S. lobbying firms to represent his interests in the United States. There are signs indicating that these lobbyists have been working with officials in the U.S. State Department with the attempt to secure an entry visa for Thaksin Shinawatra. As stated by U.S. laws prohibiting any person with criminal records, especially a convicted fugitive, from entering the United States, we strongly urge the U.S. Asministration to carefully examine this matter and to ensure that no visa entry will be granted to ex-Thai Prime Minister, Thaksin Shinawatra. เป็นที่รับรู้กันว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ได้ว่าจ้างบริษัทลอบบี้ หลายบริษัท เป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์ของเขาในสหรัฐฯ มีสัญญานบ่งชี้ว่านักลอบบี้เหล่านี้ กำลังร่วมมือกันกับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสหรัฐฯ ในความพยายามเพื่อให้น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับวีซ่าเข้าเมือง ดังที่ระบุไว้ในกฎหมายสหรัฐฯ ห้ามบุคคลใดที่มีประวัติอาชญากรรม โดยเฉพาะนักโทษหนีคดี ผ่านเข้าไปในสหรัฐอเมริกา เราขอเรียกร้องเต็มกำลัง ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนในเรื่องนี้ และทำให้แน่ใจว่าไม่มีการออกวีซ่าให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีไทย, น.ช.ทักษิณ ชินวัตร Like most U.S. citizens, we strongly believe in the rule of law of the United States and of course, Thailand. We abhor the reported broad-based colossal corruption by the current regime in Thailand, headed by Yingluck Shinawatra, the younger sister of Thaksin Shinawatra. The massive corruption of her administration and her incompetency in running the governmemt has resulted in widespread inflation and hardship throughout Thailand. The resentment felt by the mass against the current regime in Thailand and Thaksin Shinawatra is growing very quickly. เช่นเดียวกับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ เราเชื่ออย่างมั่นคงในหลักนิติรัฐของสหรัฐฯ และของประเทศไทย เรารังเกียจการทุจริตประพฤติมิชอบ ที่ทำกันอย่างใหญ่โต กว้างขวาง ภายใต้ระบอบปกครองในปัจจุบัน ภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร การทุจริตกันอย่างมโหฬารของรัฐบาล และการไร้ความสามารถของหล่อน ในการบริหารงานรัฐบาล ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง แพร่กระจายไปทั่วประเทศไทย ความรู้สึกไม่พอใจของมวลชน ต่อ รัฐบาล และ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว The issue of whether the U.S. will grant an entry visa to Thaksin Shinawatra is profoundly sensitive to Thai-Americans and the people of Thailand. In addition to Thai people everywhere, governments and good people around the world are watching the U.S. State Department very closely to see if the U.S. government will live up to its claim as the world's leader on ethics, morality, democratic principles, anti-corruption and human right issues. To protect the good name of the U.S. government and American people from being foolishly tarnished by a single foreign fugitive Thaksin Shinawatra, we hereby strongly urge the State Department of the U.S. to deny a visa to Thaksin Shinawatra for following reasons: ประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐ จะออกวีซ่าเข้าเมืองให้แก่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่นั้น มีความอ่อนไหวลึกซึ้ง ต่อ ชาวอเมริกันเชื้อสายไทย และประชาชนในประเทศไทย นอกเหนือจากคนไทยทุกแห่งหน รัฐบาลของประเทศต่างๆ และประชาชนคนดีทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามองรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะดำรงตนให้สมคำกล่าวอ้างว่าเป็นผู้นำโลกในด้านจริยธรรม ศีลธรรม หลักการประชาธิปไตย ต่อต้านการทุจริต และสิทธิมนุษยชน เพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิอันดีของรัฐบาลสหรัฐฯ และชาวอเมริกัน จากความโง่เขลามัวหมอง โดยการกระทำของนักโทษหนีคดีต่างชาติเพียงคนเดียว นั่นคือ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เราขอเรียกร้องเต็มกำลัง ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธการออกวีซ่าให้แก่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้: 1. To adhere to the U.S. laws, moral standards, and ethical practices. ๑. เพื่อยึดมั่นใน กฎหมายสหรัฐฯ, มาตรฐานศีลธรรม และหลักปฏิบัติจริยธรรม 2. To avoid association with a corrupt regime, and a loss of goodwill and legitimacy with the Thai people in the event of an Arab-Spring style uprising against the present government. ๒. เพื่อหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคมกับผู้ทุจริตประพฤติมิชอบ และสูญเสียความสัมพันธ์อันดี และความชอบธรรม ต่อชาวไทยที่กำลังลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลปัจจุบัน ในเหตุการณ์ทำนองเดียวกับอาหรับ-สปริง 3. America needs to stand firm for democracy and its ideal of respecting the rule of law and human rights. The U.S. Administration must not allow Thaksin Shinawatra, who not only has been accused of countless, well publicized and documented human rights violations, but also convicted by the Thai supreme court for corruption, (not to mention many other of charges of corruption and abuse of power still pending against him) to enter the United States. ๓. อเมริกาจำเป็นต้องยืนหยัดมั่นคงเพื่อประชาธิปไตย และอุดมคติของการเคารพต่อหลักนิติรัฐ และสิทธิมนุษยชน รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องไม่อนุญาตให้ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ไม่เพียงถูกกล่าวหาโดยมีหลักฐานเอกสารแจ้งชัด ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ยังถูกพิพากษาในความผิดทุจริตประพฤติมิชอบ ให้ลงโทษจำคุก โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (มิพักต้องกล่าวถึงคดีฟ้องร้องต่างๆ อีกมากมาย ในการทุจริตประพฤติมิชอบ และการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม ที่ยังคงค้างคา รอการตัดสินอยู่ในศาล) เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา Instead of forging the future of U.S. relations with Thaksin Shinawatra, we strongly urge the U.S. Administration to heed our requests stated in this letter, and side with the great majority of the people of Thailand for a secure and truly democratic governmemt and society in Thailand that will be strong and enduring just like in the U.S. America and thailand have been good friends and close allies for almost 200 years. We sincerely hope the relationship between our two beloved countries will continue to be good and strong for forever. Though he was on good terms with Thaksin Shinawatra, President George W. Bush refused to allow the convicted ex-Thai PM to set his feet in the U.S. during his presidential term. We sincerely hope that President Obama, and the related government agencies as well as Congressional members of both Houses will be far-sighted and prudent to reject Thaksin Shinawatra's entry visa application not allowing his dirty feet, bloddy hands, and corrupted mind to contaminate the U.S. soil. แทนที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในอนาคตของสหรัฐฯ กับ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เราขอเรียกร้องเต็มกำลังต่อรัฐบาลสหรัฐ ให้ใส่ใจในข้อเรียกร้องทั้งหมดของเราในจดหมายฉบับนี้ และเลือกยืนเคียงข้างประชาชนไทยส่วนใหญ่ในประเทศไทย เพื่อดำรงรักษาให้รัฐบาล และสังคมไทย เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อที่จะเสริมสร้างให้แข็งแรงทนทานเช่นเดียวกับประชาธิปไตยในประเทศสหรัฐฯ อเมริกาและไทยนั้นเป็นเพื่อนที่ดี และพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันมากว่า ๒๐๐ ปี เราหวังอย่างจริงใจว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอันเป็นที่รักทั้งสองของเรานั้น จะยืนยาวมั่นคงชั่วกัลปาวสาน แม้ว่าอดีตประธานาธิบดี ยอร์ช ดับเบิ้ลยู. บุช เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับ น.ช.ทักษิณ แต่เขาได้ปฏิเสธที่จะอนุญาตให้อดีตนายกรัฐมนตรีไทยผู้หนีโทษ เหยียบย่างเท้าเข้าสหรัฐฯ ระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เราหวังโดยจริงใจว่าประธานาธิบดีโอบามา และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสมาชิกคองเกรส ทั้งสองสภา ได้มองการณ์ไกล และรอบคอบ ที่จะปฏิเสธคำขอวีซ่าของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่อนุญาตให้เท้าสกปรก มือเปื้อนเลือด และจิตใจที่ฉ้อฉลของเขา มาทำความสกปรกเปรอะเปื้อนแก่ดินแดนสหรัฐอเมริกา Respectfully, ขอแสดงความนับถือ Thai American citizens and Thai immigrant families ประชาชนอเมริกันเชื้อสายไทย และ ครอบครัวผู้ย้ายถิ่นฐานชาวไทย June 2012 มิถุนายน ๒๕๕๕ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 07 มิถุนายน 2555, 21:54:36 “ดำรงค๋์” เผ่นนอก รีบร้อนจนลืมเซ็นชื่อในบันทึกข้อความ จนท. ปั๊มสำเนาแก้เกี้ยว พบพิรุธเอกสารกรมอุทยาน 4 จุด สุดมั่ว 5 มิ.ย.มีผู้ทำหน้าที่อธิบดี 2 คน ตัวจริงกับ “วันชัย” รักษาราชการแทน แถมผิดฝาผิดตัวไม่เป็นไปตามบันทึกแต่งตั้งที่ระบุให้ “เริงชัย” รับผิดชอบ เพื่อนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ โวย เพื่อนถูกเกณฑ์ไป เขาดิน ไร้เงินตอบแทน วอน สังคมเห็นใจ แนะ ประนาม อธิบดีอุทยานฯ แทน เอกสารกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช เกี่ยวกับ การส่งเจ้าหน้าที่ อบรมจริยธรรม ที่วัดธรรมกาย และ การลาราชการไปต่างประเทศของ นายดำรงค์ พิเดช ที่ปรากฏในเวปไซด์ของกรมอุทยานฯ มีทั้งหมด 9 หน้า แบ่งเป็นสองส่วน คือ บันทึกข้อความ 4 เรื่อง ประกอบด้วย บันทึกข้อความเรื่อง การเดินทางไปต่างประเทศ และให้ผู้รักษาราชการแทน 2 ฉบับ และ บันทึกข้อความ เรื่องโครงการฝึกอบรมจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ลงนามโดยนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ และบันทึกข้อความเรื่อง ให้ข้าราชการปฏิบัติงานแทน เวียนถึงบุคลาการที่เกี่ยวข้องลงนามโดย นายวันชัย วิรานันท์ ผู้อำนวยการสำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และคำสั่งกรมอุทยานฯ อีก 3 เรื่อง คือ เรื่องให้เจ้าหน้าที่เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการจริยธรรมฯ คำสั่งแต่งตั้งคณะอำนวยการและเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดฝึกอบรมฯ ลงนามโดย นายดำรงค์ และคำสั่งเรื่องให้ข้าราชการปฏิบัติงานแทน ลงนามโดย นายวันชัย จากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียดพบว่ามีพิรุธ 4 จุด คือ 1 เอกสารที่เป็นคำสั่งทุกฉบับจะพิมพ์ชัดเจนว่าเป็นสำเนา ขณะที่บันทึกข้อความ 4 ฉบับจะเป็นตัวจริงที่มีลายเซ็นผู้ลงนามกำกับ มีเพียงฉบับเดียวที่ใช้วิธีปั๊มคำว่าสำเนา ทำให้ไม่มีลายเซ็นของ นายดำรง กำกับ มีเพียงตราปั๊มชื่อและตำแหน่งเท่านั้น 2 ที่น่าสนใจคือ เอกสารที่ไม่มีลายเซ็นนายดำรงค์นั้น เป็นหนังสือที่ทำถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การเดินทางไปต่างประเทศ และให้ผู้รักษาราชการแทน เลขที่ ทส 0901.203/9424 วันที่ 5 มิ.ย. 55 แต่ในบันทึกข้อความเรื่องเดียวกันที่ทำถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องในหน่วยงาน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงบุคคลที่จะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งออกหลังบันทึกข้อความที่ทำถึงปลัดกระทรวงฯกลับมีลายเซ็นของนายดำรงค์ กำกับ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า นายดำรงค์ จะมีความเร่งรีบในการจัดทำเอกสารเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเซ็นต์ชื่อไม่ครบ เจ้าหน้าที่จึงแก้ปัญหาด้วยการปั๊มคำว่าสำเนาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องลายเซ็น 3 บันทึกข้อความเรื่อง ให้ข้าราชการปฏิบัติงานแทน ลงนามโดย นายวันชัย วิรานันท์ ผอ.สำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมอุทยานฯ ทั้ง ๆ ที่เป็นบันทึกข้อความที่ทำในวันเดียวกับที่นายดำรงค์ ยังอยู่ลงนามในเอกสารหลายฉบับ แต่ในฉบับนี้กลับเป็นนายวันชัย ปฏิบัติราชการแทน เท่ากับในวันที่ 5 มิ.ย.กรมอุทยานฯมีอธิบดี 2 คน คนหนึ่งเป็นอธิบดีโดยตำแหน่ง ส่วนอีกคนหนึ่งปฏิบัติราชการแทน 4 ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือเมื่อดูบันทึกข้อความในการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนระบุวันที่ 5-10 มิ.ย. 55 และ 13 - 15 มิ.ย. 55 คือ นายเริงชัย ประยูรเวช รองอธิบดีฯ ส่วนนายวันชัย วิรานันท์ ผอ.สำนักฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ฯ รักษาราชการแทน นายดำรงค์ในวันที่ 11 - 12 มิ.ย. 55 แล้วทำไมนายวันชัย จึงลงนามปฏิบัติราชการแทนอธิบดีฯในวันที่ 5 มิ.ย. 55 ทั้ง ๆ ที่วันดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของนายเริงชัย ตามที่มีบันทึกข้อความถึงปลัดกระทรวงฯ การกระทำของนายวันชัย ถือว่าผิดระเบียบหรือกฎหมายหรือไม่ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีความสับสนเกี่ยวกับความรับผิดชอบในฐานะรักษาราชการแทนระหว่าง นายวันชัย กับนายเริงชัย หากมีการกระทำที่ขัดต่อระเบียบ กฎหมาย หรือมีปัญหาจากการส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมจริยธรรมฯแต่กลับพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปปรากฏตัวที่เขาดินเพื่อร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามคำสั่งในหนังสือราชการ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบระหว่าง นายวันชัย และ นายเริงชัย อย่างไรก็ตามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอำนวยการและเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดฝึกอบรมตามโครงการฝึกอบรมจริยธรรม 7-16 มิ.ย. 55 คือ นายเริงชัย เพจสายตรงภาคสนาม ยังได้รับการร้องเรียนจากผู้ที่ใช้ชื่อ Gluegirl Ravinan ระบุว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ แต่ถูกเกณฑ์ให้ไปเขาดินโดยไม่เต็มใจ ทั้งที่ในเอกสารราชการกำหนดให้ไปปฏิบัติธรรม 10 วัน มีข้อความดังนี้ “พวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกบังคับให้มากันค่ะ หนังสือเขียนว่าให้มาปฏิบัติธรรม 10 วัน แต่ก็ถูกเกณฑ์ให้ไปเขาดิน ได้แจกแค่เสื่อกับยากันยุง และไม่ได้ตังค์อย่างที่คนพูดกัน และก็นอนตามพื้นในอาคารจอดรถ เพื่อนหนูคนนี้เกลียดเสื้อแดงมาก แต่ก็ต้องไปทั้งที่ไม่อยากไป (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd861618_6017598_3396074_3212183photo.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 มิถุนายน 2555, 21:18:57 อธิการฯ มธ.เตือนนักกฎหมายอย่าใช้อุดมการณ์ทำลายหลักนิติรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง
วันพุธ ที่ 06 มิ.ย. 2555 มธ.ท่าพระจันทร์ 6 มิ.ย. - อธิการบดี มธ.เตือนนักกฎหมาย อย่าใช้อุดมการณ์ทำลายหลักนิติรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเรียกร้องไม่ให้ทำตามคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ วอนอาจารย์นิติศาสตร์ มธ.อย่าเอาอุดมการณ์ตัวเองไปครอบนักศึกษา ระบุนายกรัฐมนตรี ควรทำเรื่องสำคัญกฎหมายปรองดองให้คนเข้าใจก่อน ห่วงนองเลือดหากมีการเผชิญหน้า ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการตีความของแต่ละฝ่ายแล้วยึดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ว่า การมีความเห็นต่างกันได้ไม่มีปัญหา จะบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญผิดหรือถูกได้ เหมือนที่ตนวิจารณ์บ่อยๆ ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 คดีของนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ มีความผิด ศาลตัดสินไม่ถูก โดยส่วนตัวไม่เห็นว่าผิดใน 112 หรือนายสนธิ ลิ้มทองกุล เอาเรื่องดาตอปิโดไปฟ้องหมิ่นสถาบัน ก็ไม่ผิด เพราะขาดเจตนาหมิ่นฯ ตนพูดได้ แต่ไม่เคยเรียกร้องไม่ให้ทำตามคำพิพากษาของศาล เป็นสิ่งที่ไม่ควร ดังนั้น ความเห็นต่างกันได้ แต่ต้องเป็นความเห็นที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ควรใช้เทคไซด์ ใช้สีเสื้อ อารมณ์ ความรู้ อุดมการณ์ มาตีความสับสนเกิดความวุ่นวาย ศ.ดร.สมคิด กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 พูดถึงหลักนิติธรรม เป็นฉบับแรก กับหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นหลักเดียวกัน เป็นความพยายามสถาปนาหลักการนี้ขึ้นในไทย คือให้ทุกคนยึดถือกฎหมายเป็นสำคัญ ฝึกคนในประเทศให้มีวินัยเคารพกฎหมาย จนกว่าจะเห็นว่ากฎหมายใดไม่ดีไม่ถูกต้อง ก็เสนอแก้ไขกฎหมาย แต่ไม่ใช่ทำลายกฎหมาย “นักกฎหมายต้องวางตัวให้เหมาะสม ตีความกฎหมายในทิศทางที่ควรจะเป็น อาจจะต่างกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่แบบนี้แล้วยังดื้อจะไปทำอีก อย่างนี้มีปัญหา สิ่งที่นักกฎหมาย อาจารย์กฎหมายควรจะทำ คือชี้ให้คนเห็นว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้อง ต้องยุติ นี่คือหน้าที่นักกฎหมาย แต่ถ้าเลยจากนี้ว่า ไปบอกว่าสภาไม่ต้องฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเพราะผิด อีกหน่อยมีคนบอกว่า ไม่ต้องฟังสภา ไม่ต้องฟังรัฐบาล เพราะสิ่งที่ออกมามันผิด จะเกิดโกลาหล ความปั่นป่วน ระบบไร้รัฐ ไร้กฎหมาย ระบบนิติรัฐที่นักกฎหมายพยายามสร้างจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” อธิการบดี มธ.กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่านักกฎหมายกำลังทำลายกฎหมายอยู่หรือไม่ ศ.ดร.สมคิด กล่าวว่า การเป็นนักกฎหมายแล้วมีอุดมการณ์ไม่เป็นอะไร แต่เมื่อทำงานปฏิบัติหน้าที่ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รู้กันหมดว่าใครอยู่สีเหลือง สีแดง สีขาว ไพร่ หรืออำมาตย์ ใน มธ.รู้ว่าใคร แต่ไม่ติดใจที่อาจารย์นักกฎหมายจะไปเข้าข้าง หรือขึ้นเวทีใคร แต่ถ้าอยู่ในบทบาทของการให้ความรู้ ไม่ควรจะเอาอุดมการณ์ครอบงำนักศึกษา เป็นอาจารย์กฎหมายต้องรู้เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เอาแต่วิจารณ์กฎหมาย แล้วการสอนควรจะเริ่มที่เริ่มที่ตัวบทกฎหมายก่อนแล้วลงเนื้อหา ส่วนที่เห็นว่าไม่ดีอย่างไร ไม่ใช่เริ่มจากการวิจารณ์ก่อนว่ากฎหมายนี้ไม่ดี “วันนี้เราพูดความเห็นด้านกฎหมายมาก แต่ไม่ค่อยบอกคนว่าคิดอย่างไร เช่น มาตรา 309 การใดที่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2549 ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญปี 2550 ต่อไป ผมก็อธิบายคนว่าการตีความต้องตีความตามกฎหมายไม่ใช่ตีความเข้าข้างตัวเอง บางคนพูดไปถึง คณะกรรมการตรวจสอบการกระที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ทำอะไรก็ได้ไม่ผิด ผมบอกไม่ใช่เจตนาคนร่าง หรือ ถ้าบรรเจิด สิงคะเนติ หรือ อ.แก้วสรร อติโพธิ ไปตีหัวนาย ก. ก็ต้องรับความผิด มาตรา 309 เขียนไว้ ไม่ได้คุ้มครอง อ.แก้วสรร หรือไปบอกว่าเขากลั่นแกล้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ต้องรับผิด คนไม่ได้ตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแท้จริง แต่เริ่มต้นจากความคิดเบื้องหลังบางอย่างว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เลวร้าย ก็ไปตีความทุกอย่างเลวร้ายไปหมด ผู้ร่างไม่ได้คิดจุกจิกขนาดนั้น กฎหมายมีปัญหาแน่” อธิการบดี มธ.กล่าว ต่อข้อถามที่ว่าแล้วสังคมจะพึ่งพาความเห็นด้านกฎหมายจากใครได้ ศ.ดร.สมคิด กล่าวว่า ตนเชื่อในความถูกต้องความดีเลว ความถูก ต้องชนะความไม่ถูกต้อง แต่สุดท้ายมีความเห็นที่ชนะ อย่างที่คณะนิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ว่าไม่ต้องฟังศาลรัฐธรรมนูญ หรือเสนอให้ยกเลิก มาตรา 112 แต่สภาผู้แทนราษฎร รับฟัง ตนจึงเชื่อว่าการต่อสู้ทางความคิดต่างๆ เป็นเรื่องปกติทั่วไป คณะนิติราษฎร์ จุดประกายให้คนได้พูดคุยปัญหาเป็นคุณูปการ ทำให้คนกล้าพูดมากขึ้น ท้ายสุด คนได้ถกเถียงกัน แต่เราต้องเสพข้อมูลหลายด้าน ถ้าเสพเฉพาะสื่อโดยเฉพาะมีปัญหา กรณีที่ตนเปิดเฟซบุ๊ก ต้องการให้คนมาถกเถียง จะเห็นได้ว่ามีฝ่ายเห็นด้วยและไม่ห็นด้วย ดังนั้น ไม่ได้ห้ามอาจารย์วิจารณ์ศาล แต่ไม่เห็นด้วยเลยไปถึงขอให้สภาฯ อย่าทำตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ “นี่ไม่ใช่บทบาทของอาจารย์ หลักนิติศาสตร์ที่เรียนกันมา ที่เรียนกันมา เรายอมตายเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เคารพกฎหมายคำพิศาล แม้ไม่ถูกต้องก็ต้องสู้ ไปสู้ไปศาลว่าเนื้อหาไม่ถูกต้อง อาจารย์ที่เป็นแบบนี้ไม่ถือว่าผิดวินัย แต่คนที่เป็นแบบนี้ ในสังคมวิชาการ อาจารย์ส่วนมากก็เพ่งเล็งว่าทำอะไร เอาอุดมการณ์ขึ้นมาเหนือกฎหมาย หรือเอาอุดมการณ์ขึ้นมาบดบังปัญญาและสติ ความรู้ทางวิชาการความถูกต้องไปหมด ผมก็ห่วงบ้านเมือง และกลัวเหมือนทุกคนกลัว จะเกิดการนองเลือด รัฐประหาร วันที่รัฐบาลเอากฎหมายปรองดองเข้าสภาฯ ผมก็กลัว เพราะทหารตำรวจพร้อมแล้ว ถ้าไม่ยอมกัน นองเลือดแน่ วันนั้นพระสยามเทวาธิราชมีจริง ถอนกฎหมายออกไป แล้วศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องอีก คนเลยโล่งอก เรื่องบางเรื่องสังคมไทยไม่ต้องทำขนาดนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมานานเป็นปีแล้ว มีเวลาอีกมาก 3 ปี ถ้าบอกว่ากฎหมายปรองดองสำคัญ ทำไมไม่ทำให้คนเข้าใจก่อน” อธิการบดี มธ.กล่าว.- สำนักข่าวไทย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 14 มิถุนายน 2555, 09:47:17 Suthep says Thaksin sent 'negotiator' to him Bangkokpost.com Published: 14/06/2012 at 02:28 AM Newspaper section: News Democrat MP for Surat Thani Suthep Thaugsuban is claiming ousted prime minister Thaksin Shinawatra sent a representative to approach him for reconciliation talks. However, Mr Suthep did not disclose the name of Thaksin's alleged representative. A source in the opposition party said Thaksin made contact with Mr Suthep through one of the former 111 Thai Rak Thai executives last week. Mr Suthep yesterday told the Bangkok Post that he is suspicious of Thaksin's commitment to fostering reconciliation in the country. "It is pointless to hold talks with Thaksin because he will go back on his word again. It will be hard for me to explain to people close to me and to my voters. "To be frank, I've been fooled several times. It would be a shame to be [fooled] again," Mr Suthep said. See also: Thaksin faces new malfeasance charge Mr Suthep said he has asked the "coordinator" to pass on some advice to the deposed prime minister in a goodwill gesture. The Democrat MP said he has asked Thaksin to back down on his plans to push for the charter rewrite and trying to whitewash his wrongdoings through a reconciliation bill. "If the constitutional amendment and reconciliation bids are stopped, there will be no grounds for fresh political tension," he said. Mr Suthep said he has also urged the former prime minister to allow the Pheu Thai-led administration a free hand in running the country. The Democrat MP said he is confident that the Yingluck Shinawatra cabinet is politically stable and capable of completing its four-year term if it is free of pressure from Thaksin. Mr Suthep has suggested that Thaksin hold talks with red shirts and cut ties with the hardcore ones or more damage would be inflicted upon the country. "If he can do so, half of the red shirts may end up joining Pheu Thai. When they [the hardcore] don't receive financial aid, they will be less dangerous to the country," Mr Suthep said. Mr Suthep has also asked Thaksin to stop his support for what he claimed was the training of armed groups for use in inciting violence. "I gave him my advice through the contact last week. I have no idea if he will listen," Mr Suthep said. Meanwhile, a source in Pheu Thai admitted yesterday that attempts have been under way to negotiate with the Democrat Party, especially Mr Suthep. The source said the Democrats have constantly rejected Pheu Thai. But the ruling party saw no point in having enemies after its election victory. "We've entered negotiation mode but our efforts are futile. Mr Suthep thinks he has the upper hand and rejects holding talks," said the Pheu Thai source. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 02 กรกฎาคม 2555, 21:31:52 12 วันที่เพจสายตรงภาคสนามเกาะติดกรณี NASA ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำรวจก้อนเมฆ
พวกเราพยายามอย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำรายละเอียดโครงการรวมทั้งเปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานราชการ ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลด้านที่ไม่มีการนำเสนอในสื่อหลัก ลิงค์ด้านล่างนี้ คือ ผลจากการทำงานหนักของแอดมินทุกคน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้จากเรื่องนี้ และเท่าทันรัฐบาลที่โกหกประชาชน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้่าเดินหน้าโครงการที่ขาดความโปร่งใส ไร้คำตอบในมิติด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ / @ เพจสายตรงภาคสนาม 21 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7zaouqb รัฐบาลโกหกประชาชนเรื่อง NASA 22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7mkwywc แฉเวป NASA ขนของเข้าไทย 22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6powoon แฉเวป NASA พร้อมมาไทย 22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7grlkt6 แฉเวป NASA ใช้อู่ตะเภาก่อน ครม.อนุมัต 22 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6ou2qsa เปิดตัว ER-2 พัฒนาจาก U2 23 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6sro234 10 คำถามให้รัฐบาลตอบ 23 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7xmwkyc แกะรอยคำพูด รมว.ต่างประเทศ 24 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7gslx2k วอชิงตันโพสต์ แฉสหรัฐ 25 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7xw3ymt เปิดเอกสาร กต.เข้าครม. 26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7gxxbsx เปิดเอกสาร กต.เข้าครม.ฉบับเต็ม 26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/bry9sb7 ให้ความรู้ รธน.มาตรา 179 26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/ctt3vmx รมว.ต่างประเทศขู่ NASA ไม่มาระวังน้ำท่วม 26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/8yd4o75 หลักฐานมัด รัฐบาลเอาเข้ารัฐสภา 26 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6r6or9r เปิดข้อมูลสมช.ห่วงความมั่นคง 27 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6mg2l9z ซีซีทีวีจีน ห่วง ER-2 สอดแนมจีน 28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7gkwe5x NASA ยกเลิกภารกิจไม่ได้รับอนุมัตจากรัฐบาลไทย 28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6np3ddb ย้อนรอยรัฐบาลก่อนไม่อนุมัต NASA ใช้อู่ตะเภา 28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7hnmgds เทียบวิทย์ฯกระทบมั่นคง 28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/6r7fhly ล้ม NASA เพราะรัฐบาลฟังคนอื่น? 28 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/82ugdfa แก้ความเท็จที่เสื้อแดงบิดเบือน 29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7ptudqs สื่อรัสเซียตีข่าวอเมริกาเล็งอู่ตะเภาเป็นฐานทัพ 29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/88nadvy วอลสตรีทเจอนัลวิพากษ์ภาวะผู้นำนายกฯ 29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7ux4s7z ไขปริศนาทำไมจีนระแวง ER-2 29 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7zevdnk จับพิรุธนักวิทย์ไทย 30 มิ.ย. 55 http://tinyurl.com/7ux8gje แฉ NASA ทำธุรกิจร่วม เชฟรอน 1 ก.ค. 55 http://tinyurl.com/77rxdog แผนที่ NASA พล็อตแหล่งพลังงาน 1 ก.ค. 55 http://tinyurl.com/6utortd เปิดเอกสาร ผบ.สส.ห่วงความมั่นคง 2 ก.ค. 55 http://tinyurl.com/7sqt5bk แฉNASA สำรวจเมฆกินพื้นที่ 12 ประเทศ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 กรกฎาคม 2555, 22:39:14 “เครือมติชน” ซุ่มเงียบขอขมา “หมอวิชัย” หลังยกพวกโจมตีผลสอบ “เมลฉาว”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ พบประกาศล้อมกรอบ “มติชน-ข่าวสด” ขอขมา “หมอวิชัย” ในหนังสือพิมพ์มติชนกรอบต่างจังหวัด ยอมรับและเสียใจที่ลงข่าวโจมตีทำเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง กระทั่งเจ้าตัวสุดทนฟ้องร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ วันนี้ (24 ก.ค.) มีรายงานว่า หนังสือพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์ประกาศ ความว่า ตามที่คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่อง ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอีเมลของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน 5 คน ต่อมาคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จแล้วเสนอรายงานการสอบสวนต่อคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2554 โดยคณะอนุกรรมการได้สรุปว่า การนำเสนอข่าวสารและบทความในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งของหนังสือพิมพ์ที่ถูกพาดพิงบางฉบับ โดยเฉพาะข่าวสด มติชน มีความเอนเอียงก่อให้เกิดประโยชน์แก่พรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งหนังสือพิมพ์มติชนและข่าวสดเห็นว่าตนเองเสียหาย จึงได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้และเสนอข่าวต่อเนื่องที่อาจทำให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน เสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง นายแพทย์วิชัยจึงได้ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด เป็นคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ บัดนี้ หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด ได้ทำความเข้าใจกับนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน แล้ว หากแถลงการณ์และการเสนอข่าว ของมติชนและข่าวสดทำให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้รับความเสียหาย หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด ขอแสดงความเสียใจและขออภัยมา ณ โอกาสนี้ จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน ลงชื่อ หนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด มีรายงานว่า ประกาศดังกล่าวได้มีผู้พบเห็นขณะอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างรับประทานอาหารในร้านแห่งหนึ่งที่ จ.นครราชสีมา และได้ถ่ายภาพเอาไว้ก่อนที่จะโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวในวันนี้ (24 ก.ค.) เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามผู้ที่พบเห็นเพิ่มเติม พบว่าเป็นฉบับลงวันพุธที่ 25 ก.ค. 2555 (ฉบับ 1 ดาว) หน้า 15 ตำแหน่งมุมขวาล่าง ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กรอบต่างจังหวัดและลงวันที่ล่วงหน้า สำหรับกรณีพิพาทระหว่างนายแพทย์วิชัย กับหนังสือพิมพ์เครือมติชนและข่าวสด เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 เมื่อสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้แถลงข่าวผลการสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) ของนักการเมือง ระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมี นพ.วิชัย ที่แต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เป็นผู้แถลงข่าวความคืบหน้า ซึ่งในรายงานนอกจากอีเมล์ดังกล่าว เป็นของนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และเชื่อได้ว่า นายวิมจะเป็นผู้เขียนข้อความในอีเมลเองแล้ว ยังพบว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับมีการนำเสนอข่าวช่วงเลือกตั้งมีการเอนเอียงเป็นประโยชน์พรรคเพื่อไทย แต่มีข้อจำกัดการเข้าถึงพยานหลักฐาน สร้างความไม่พอใจให้กับเครือมติชน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์เครือมติชน-ข่าวสด ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านรายงานของคณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว โดยเห็นว่าดำเนินการตรวจสอบนอกเหนือไปจากขอบเขตที่ได้รับมอบหมาย และไม่เรียกหรือสอบถามข้อเท็จจริงจากองค์กรสื่อที่พาดพิงไปถึง ทั้งๆ ที่คณะอนุกรรมการฯ ได้พยายามติดต่อเพื่อขอความร่วมมือจากผู้ที่ถูกพาดพิงผ่านองค์กรหนังสือพิมพ์ต่างๆ แต่เครือมติชนกลับไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาให้ข้อเท็จจริง นอกจากนี้ เครือมติชนยังนำข้อมูลของ นพ.วิชัย ซึ่งเป็นข้อมูลเก่าที่ปรากฏเป็นข่าวมาตั้งแต่ปี 2552 มาใช้ในการลดความน่าเชื่อถือของประธานคณะอนุกรรมการฯ กระทั่งคณะอนุกรรมการฯ ต้องออกหนังสือคำชี้แจง กระทั่งเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554 หนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ ได้แจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยอ้างว่าสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ถูกบิดเบือนด้วยอิทธิพลการเมืองจากภายนอก และอ้างว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเลื่อนลอยไร้สาระ นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว หนังสือพิมพ์ในเครือมติชน อาทิ มติชนรายวัน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ และมติชนสุดสัปดาห์ได้ใช้พื้นที่สื่อและคอลัมน์ของตนเองอธิบายถึงความเป็นกลางของตนเอง พร้อมกับโจมตีสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ถึงขนาดนำมาขึ้นปกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ในลักษณะทวงถามจรรยาบรรณสภาการหนังสือพิมพ์ฯ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 27 กรกฎาคม 2555, 10:00:11 สวัสดีตะวัน
ส่งภาพนี้มาให้ (http://www.cmadong.com/imgup/pics/cmd505127_7177469_5970825_9190628photo.jpg) จริงหรือเปล่า Nokja หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 กรกฎาคม 2555, 15:37:16
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 08 สิงหาคม 2555, 10:12:23 หมายจับ และใบแจ้งความใน USA
May 27,2010 Dear Sir/Madam, On May 25, 2010, Thaksin Shinawatra, a fugitive criminal, and former Prime Minister of Thailand, was officially put on the most wanted criminal list of Thailand, and the criminal court released an arrest warrant for the conviction of this terrorist. The charge is carried out by the Department of Special Investigation, the Thai equivalent of the American FBI. In 2007, Thaksin was convicted with numerous corruption charges and abuse of power while he was the Prime Minister of Thailand. Thaksin returned to Thailand in February 2008 to stand trial after his supportive political party, “People’s Power Party”, won a general election under the 2007 Constitution which had passed the national referendum. In August 2008 after his three lawyers were found guilty of attempting to bribe in the Supreme Court for Criminal Cases of Political Post Holders and sentenced to six-month jail, Thaksin’s family was found guilty of huge tax fraud. His wife then was sentenced to two years in jail. She was released on bail. A week later, Thaksin jumped bail and fled from Thailand. The Thai criminal court has issued a criminal arrest warrant for Thaksin. The Thai government under PM Abhisit Vejjajiva has been pursuing Thaksin, but with his billions of dollars in offshore accounts, he bought illegal nationalities from other countries to seek sanctuary abroad. From the latter half of 2008 to May 2010, in order to force amnesty for himself and to overturn his opposition party, the democratically elected Abhisit’s government which has legitimately won the House of Parliament vote over Thaksin’s supporting party, Thaksin conspired with his followers, the so-called “red-shirts” to try to sabotage and terrorize citizens and the government of Thailand. In April 2009 he instigated his followers to commit armed riots, street shooting, rampaging, looting, setting fire to government and private properties to force a termination of Asian Leaders summit meeting in Pattaya and the disrupt daily life in Bangkok during the same week. In March 2010, the Supreme Court for Criminal Cases of Political Post Holders, found Thaksin guilty of abuse of power, and confiscated over 1.5 billion USD worth of assets from him. In April and May 2010, Thaksin funded and ordered his followers to strike an all-out civil war in Bangkok and some rural provinces of Thailand, while some proxy leaders instigated, hired or lured people to rally in Bangkok to believe that they were rallying for democracy. Thaksin also hired mercenaries to carry military weapons such as AK-47 rifles, M-79 grenade launchers, M-26A grenades, molotov petrol bombs along with makeshift weapons to murder dozens of innocent civilians, five government officers, three news reporters as well as some protesters to fabricate accusations of tyranny against PM Abhisit. They also set fire to at least thirty buildings in central Bangkok which have particular importance to the country’s economy. Several banks, the Stock Exchange of Thailand, several major shopping buildings and a national television channel were set ablaze by Thaksin’s terrorists. Numerous military weapons have been discovered at the rally site while some multi-nationality aggressors have also been arrested. Along with Thaksin, twenty other Thais are also charged with conspiring terrorism. Thaksin Shinawatra, a male former policeman, was born on 26 July 1949. He has a Mongoloid-Chinese look, black eyes, black hair, approximately 170 cm in height, approximately 75 kg in weight, white-yellow complexion, and a medium-build. His Thai passports have been revoked by the Thai government, though his original Thai nationality remains intact. He may be travelling by either true or false names with a Montenegrin passport, Nicaraguan passport, Fiji passport, Cambodian passport, or Liberian passport along with those nationalities. He may travel on passport number L38RB3695 and his plane number was seen to be N300BZ. During his escape, he has been seen in those countries above, as well as in Uganda, Sri Lanka and France. While the government of the Kingdom of Thailand is processing an official request for an international arrest warrant for this fugitive, criminal, terrorist, Thaksin Shinawatra, we the citizens of Thailand, would like to ask for your co-operation to prepare for an immediate arrest of this dangerous international terrorist. For more information about this terrorist mastermind, please visit http://www.antithaksin.com or contact ronayos@gmail.com. Yours sincerely, Ronayos Konda ronayos@gmail.com หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 สิงหาคม 2555, 11:17:16 เมื่อ "ไอเอ็มเอฟ" จับโกหก "ประธานแบงก์ชาติ"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ระหว่าง นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กับ นางธาริษา วัฒนเกษ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย คนก่อนหน้า นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน เปรียบเหมือนงูกับเชิอกกล้วย เจอกันทีไร งูแพ้ทางทุกที ถูกเชือกกล้วยมัดลำตัวที่เป็นเมือกลื่น จนดิ้นไม่หลุด ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น สมัยทีนางธาริษา ยังเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติอยู่ มักจะถูกนายวีรพงษ์ ในเสื้อคลุมนักเศรษฐศาสตร์โจมตีอย่างุรุนแรงหลายครั้งว่า แบงก์ชาติ จะเป็นต้นเหตุให้เศรษฐกิจไทยพบกับความฉิบหาย เพราะไม่ยอมลดดอกเบี้ย ไม่ยอมทำให้ค่าเงินบาทอ่อน เพื่อช่วยผู้ส่งออก ตามความต้องการของนายวีรพงษ์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับอัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาท จนนางธาริษา ต้องตอบโต้นายวีระพงษ์ว่า เรื่องค่าเงินบาท จะเอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้ ต้องเอาข้อมูลมาดูกัน และอย่าดูค่าเงินบาทเป็นรายวัน อย่านำไปเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะแข็งค่า การพิจารณาค่าเงินบาทต้องเทียบกับคู่ค้า ซึ่งเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเงินสกุลอื่น ๆ มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างแต่เป็นเพียงเล็กน้อย และหากเทียบกับบางสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นน้อยกว่า และไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของการส่งออก การสวนกลับของนางธาริษาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้นายวีรพงษ์ เงียบไปเลย และหลังจากนั้นต่อมาอีกสองสามปี เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ถึงกาลฉิบหาย ตามคำทำนายของนายวีรพงษ์ การส่งออกกลับขยายตัวขึ้น ทั้งๆที่ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ มีค่าแข็งขึ้น การส่งออกมาลดลงอย่างตกใจ จนไทยอาจจะขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ในยุครัฐบาลนายกฯนกแก้ว ที่มีนายวีรพงษ์เป็นหัวเรือใหญ่ด้านเศรษฐกิจนี่แหละ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติยูโรโซน แต่อีกปัจจัยที่สำคัญคือ นโยบายที่ผิดพลาด โดยเฉพาะ การรับจำนำข้าว ที่ทำให้ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง ทำให้การส่งออกข้าวลดลงไปถึง 45 % ก่อนรับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย หรือ กยอ. นายวีรพงษ์ เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรับจำนำข้าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นการทำลายโครงสร้างตลาดข้าวในประเทศ และเป็นช่องทางฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่หลังจากเป็นประธาน กยอ,แล้ว ยังไม่เคยมีใครได้ยินนายวีรพงษ์ พูดถึง นโยบายรับจำนำข้าวอีกเลย งูกับเชือกกล้วย มาเจอกันอีกครั้ง คราวนี้นายวีรพงษ์สวมหมวกอีกใบหนึ่ง เป็นประธานคณะกรรมการแบงก์ชาติ ที่มีเป้าหมายชัดเจนว่า จะรื้อนโยบายการเงิน ที่แบงก์ชาติทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ยุคที่ม.ร.ว. จตุมงคล โสณกุล เป็นผู้ว่าการ ต่อเนื่องมาถึงยุคของนางธาริษา จนมาถึงยุคนายประสาร ผู้ว่าการ คนปัจจุบัน คือ การดำเนินนโยบายการเงิน โดยมีเป้าหมายเพื่อ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยการกำหนด เป้าหมายเงินเฟ้อ ( inflation targeting) นายวีรพงษ์นั้น ต้องการให้แบงก์ชาติใช้นโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อนั้น แก้ไม่ได้ เนื่องจาก เศรษฐกิจทั่วโลกมีการเชื่อมโยงกัน แบงก์ชาติ ควรเน้นการดูแลค่าเงินบาท ไม่ใช่ดูแลอัตราดอกเบี้ย และปริมาณเงิน ความหมายของนายวีรพงษ์ก็คือ ให้ดอกเบี้ยถูกๆ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาด ทำค่าเงินบาทให้อ่อน เพื่อจะได้ส่งออกมากขึ้น ถ้านายวีรพงษ์เป็นตัวแทนพ่อค้าอย่างเดียว ความต้องการเช่นนี้ไม่มีอะไรผิด เพราะพ่อค้าย่อมต้องการให้ดอกเบี้ยถูก แบงก์ปล่อยสินเชื่อมากๆ จะได้ขายของได้เยอะ มีกำไรมากๆ แต่บัดนี้ นายวีรพงษ์ เป็นประธานแบงก์ชาติด้วย ซึ่งธนาคารกลางทั่วโลก มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ให้เกิดเงินเฟ้อ ไม่ให้เกิดฟองสบู่ คอยกระตุกขานักการเมือง ที่มีแนวโน้มจะดำเนินนโยบายการคลังอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก เท่าที่จะทำได้ในขอบเขตอำนาจของตัวเอง แต่ประธานแบงก์ชาติคนนี้ กำลังบีบให้ผู้ว่าแบงก์ชาติ เปลี่ยนนโยบายการเงิน ให้สอดคล้องกับ นโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย เชือกกล้วยจึงต้องทำหน้าที่อีกครั้ง ด้วยการพูดถึงบทบาทของประธานแบงก์ชาติคนปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมาว่า นายวีรพงษ์กำลังสับสนกับบทบาทของตัวเอง "เท่าที่ฟังความเห็นของท่าน ดูเหมือนท่านยังแยกไม่ออกว่าพูดในฐานะอะไร เข้าใจว่าท่านพูดในฐานะประธานกรรมการแบงก์ชาติ แต่เนื้อหาที่พูดส่วนใหญ่เป็นมุมมองทางการเมือง ซึ่งอันนี้อาจสร้างความสับสนให้กับตลาดได้" นางธาริษากล่าว นอกจากนี้ นางธาริษา ยังเล็คเชอร์ บทบาทของประธานแบงก์ชาติว่า การทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ ธปท. หรือแม้แต่การประธานกรรมการขององค์กรใดๆ นั้น หน้าที่หลัก คือ สนับสนุนให้องค์กรนั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกรณีที่ตัวประธานกับองค์กรมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่การหารือควรต้องเป็นการหารือกันภายใน ไม่ควรให้คนนอกรับทราบเพราะอาจเกิดความสับสนได้ เรื่องความขัดแย้งระหว่างประธานแบงก์ชาติกับ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ไปถึงไอเอ็มเอฟ ก็เพราะว่า นายวีรพงษ์ไปอ้างในงานเสวนาเรื่อง "พลวัตรเศรษฐกิจไทย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก" ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมาว่า ความเห็นของเขาเกี่ยวกับต่อนโยบายการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อนั้น สอดคล้องไปในทางเดียวกับ นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ตอนที่ นาง ลาการ์ด เดินทางมาประเทศไทย ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงินของโลก โดยนางลาการ์ด มีความเห็นว่า ต้นเหตุของความไม่มั่นคงของประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศเล็กๆ คือ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนจะมีเสถียรภาพได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ การเคลื่อนย้ายของเงินทุน นางธาริษา สงสัยว่า ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟพูดอย่างนั้นจริงหรือ จึงสอบถามไปยังไอเอ็มเอฟ ซึ่งได้รับคำปฏิเสธว่า ไม่จริง และทำให้ไอเอ็มเอฟ ต้องทำหนังสือชี้แจงมายังธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการว่า การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ เป็นบทบาทพื้นฐานของนโยบายการเงิน ในการรักษาเสถียรภาพทางเศราฐกิจ ประเทศไทย เป็นตัวอย่างของประเทศเกิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ในการนำเป้าหมายเงินเฟ้อ มาใช้ และในช่วงระหว่างปี2008 -2011 ที่ไทยได้รับกระทบจากวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่ น และน้ำท่วมใหญ่ในประเทศ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ที่น่าเชื่อถือของไทย มีส่วนสนับสนุนการขยายตัว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่า หนังสือฉบับนี้ จะไม่มีข้อความใดเลยที่พาดพิงถึง คำพูดของนายวีรพงษ์ แต่เนื้อหาโดยรวม เป็นการปฏิเสธในคำกล่าวอ้างของนายวีรพงษ์ที่พยายามบอกว่า ไอเอ็มเอฟเองก็ยังเห็นด้วยว่า การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อนั้น ใช้ไม่ได้แล้วในโลกปัจจุบัน พูดกันในภาษาชาวบ้านก็คือ ไอเอ็มเอฟบอกว่า คำพูดของ ประธานแบงก์ชาติของไทย ไม่เป็นความจริง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 สิงหาคม 2555, 20:33:52 คำตัดพ้อจาก....'นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม' DSIคดี 'ร่มเกล้า' พลิก... คนร้ายที่จับได้หายไปไหน ?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' กำลังผลักดันอย่างหนักเพื่อที่จะเอาผิดกับ 'นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งนายทหารในกองทัพที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ที่ถูกระบุว่ามีเสื้อแดงเสียชีวิต 98 คน ซึ่งงานนี้ 'ธาริต เพ็งดิษฐ์' อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เดินเครื่องให้อย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันในส่วนของคดี 'พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม' อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ซึ่งถูก 'ชายชุดดำ' ลอบสังหารขณะปฏิบัติหน้าที่ที่สี่แยกคอกวัว กลับไม่มีความคืบหน้า และดูเหมือนจะถูกบิดเบือนให้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ แน่นอน คนที่เจ็บช้ำที่สุดเห็นจะเป็น 'นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม' ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อทวงคืนความเห็นธรรมให้กับร่างไร้วิญญาณของสามี นิชาได้เปิดใจกับ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ถึงความไม่ชอบมาพากลที่เธอได้พบเจอมาตลอดระยะเวลา 2 ปีที่พยายามติดตามคดีดังกล่าว อีกทั้งยังถามหา 'จิตสำนึก' จากบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ทราบว่าคดีของ พล.อ.ร่มเกล้า คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว และได้รับคำชี้แจงจากทางดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง จากที่ติดตามข่าวจากสื่อจะเห็นว่าดีเอสไอเปลี่ยนกลุ่มผู้กระทำความผิดคดีพี่ร่มเกล้าหลายรอบแล้ว โดยส่วนตัว ดีเอสไอไม่เคยติดต่อขอพบเพื่อชี้แจงความคืบหน้าเลย จนเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ได้ฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอซึ่งอาจารย์สมชาย หอมลออ ประธานคณะอนุกรรมการค้นหาข้อเท็จจริงของ คอป. ประสานให้มาพบ หลังจากได้ฟังและซักถามแล้ว ยังบอกเขาว่า พลเอกร่มเกล้า เสียชีวิตไป 2 ปีกว่าแล้ว แต่รายละเอียดความคืบหน้าของคดีที่ดีเอสไอทำให้ราวกับเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 สัปดาห์นี้เอง เหมือนเพิ่งเริ่มทำงาน ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าที่ควรจะเป็น ที่ผ่านมาพบความไม่ชอบมาพากลในการทำคดีของ พล.อ.ร่มเกล้า บ้างหรือไม่ อย่างไร ก็เป็นดังที่ได้แสดงความสงสัยมาตลอด สับสนในการแถลงของดีเอสไอที่กลับไปกลับมา - ครั้งแรกในปี 2553 อธิบดีธาริต แถลงว่าได้จับกุมผู้ต้องหาซึ่งใช้อาวุธสงครามร้ายแรงก่อเหตุ ถึง 8 คดี รวมถึงการยิงระเบิดในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นเหตุให้ พล.อ. ร่มเกล้าและ เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต DSI แถลงอย่างภาคภูมิใจด้วยว่าได้ร่วมกับหน่วยอรินทราชใช้เทคโนโลยีพิเศษ ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ ไม่จับแพะแน่นอน ซึ่งต่อมาผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ก็ได้รับการประกันตัวและปล่อยตัวชั่วคราว ไปจากการประสานงานของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถ้ายังจำกันได้ - ต่อมา 20 มกราคม 2554 อธิบดีธาริต แถลงว่ามีการจัดกลุ่มคดีเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 เป็นคดี พิเศษที่มีผู้เสียชีวิต ที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยผู้กระทำความผิดฐานก่อการร้ายและกลุ่มที่เกี่ยวพันกัน 8 คดี รวมผู้เสียชีวิต 12 ราย เช่น การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ทหารตำรวจและผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ 13 มกราคม 2555 -จากเอกสารสรุปข้อเท็จจริง ซึ่งได้รับจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) ปรากฏข้อความสั้นๆ เพียงว่า คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้ 15 มีนาคม 2555 - หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า “ DSI รับไม่คืบชุดดำยิงร่มเกล้า ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานชี้ชัดถึงตัวผู้กระทำผิดหรือดำเนินคดีทางกฎหมายได้ อธิบดีธาริตยังกล่าวว่า DSI ได้จัดให้การเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า อยู่ในกลุ่มของการเสียชีวิตที่นาเชื่อว่ามาจากการกระทำของผู้ที่ไม่ได้ร่วมชุมนุม คือ กลุ่มชายชุดดำ สรุปสั้นๆ ก็คือว่า ปี 2553 จับคนร้ายได้และต่อมามีการประกันตัวไป ต้นปี 2554 DSI สรุปว่าคดี พล.อ. ร่มเกล้าอยู่ในกลุ่มที่ 1 คือ เสียชีวิตจากการกระทำของ นปช. แต่พอถึงต้นปี 2555 DSI กลับบอกว่ายังไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้ และในที่สุดดีเอสไอก็เปลี่ยนตัวผู้กระทำผิดว่าไม่ใช่กลุ่มผู้ชุมนุมแต่เป็นชายชุดดำ จากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรอีกเลย อยากให้ DSI ได้ทบทวนสิ่งที่เคยแถลงไว้แล้วอธิบายแก่สังคมด้วย หากเปรียบเทียบความคืบหน้าในการทำคดี ระหว่างคดีการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า และคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมเสื้อแดงแล้ว มีความแตกต่างกันอย่างไร ในขณะที่คดีเจ้าหน้าที่ทหารถูกกระทำให้เสียชีวิตไม่คืบหน้า แต่ปรากฏว่าในช่วงหลัง ตั้งแต่ต้นปี 2555 เป็นต้นมา ปรากฏข่าวความคืบหน้าของคดีที่เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมมีความคืบหน้าไปมาก มีการส่งสำนวนให้อัยการยื่นต่อศาลเพื่อไต่สวนคดีซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐถึง 19 คดี เราก็อยากให้คดีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตของเรามีความคืบหน้าเช่นนั้นบ้าง ทางกองทัพได้ให้ความช่วยเหลือในการติดตามคดีของ พล.อ.ร่มเกล้าอย่างไรบ้าง ดิฉันได้ยื่นหนังสือขอให้กองทัพบกเป็นตัวแทนในการติดตามความคืบหน้าของคดีให้ ซึ่งกองทัพก็ได้ให้ความร่วมมือมอบหมายเจ้าหน้าที่มาช่วยติดตามคดีให้ แต่ ทบ.เองก็รับศึกหลายด้าน โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่าทหารฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ ข้อหานี้เป็นความเจ็บปวดของทหาร ดิฉันเองก็เจ็บปวดกับคำว่า ร่มเกล้าสั่งฆ่าประชาชน เพราะมันไม่เป็นความจริงเลย แต่พี่น้องเสื้อแดงถูกใส่ข้อมูลนี้ไปบ่อยๆจนเชื่อ ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคนตายเลย หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าท่าทีและภาพรวมในการปฏิบัติหน้าที่ของ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในสมัยรัฐบาลประชาธิปปัตย์ กับสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั้นแตกต่างกันมาก คิดว่าเป็นเพราะปัจจัยอะไร เพิ่งค้นเจอข่าวการให้สัมภาษณ์ของอธิบดีธาริตเมื่อ 21 ม.ค.2554 ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ในคำ สัมภาษณ์บอกว่า " ผมขอเปรียบเทียบว่า หากบ้านเมืองถูกเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องดับไฟ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็ถูกเพลิงไหม้เป็นจุล ก็เช่นเดียวกับเหตุการณ์โจรเผาบ้านเผาเมืองปล้นสะดมอย่างวิกฤติในครั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ทหารไม่เข้าไประงับเหตุก็จะเกิดมิคสัญญีเลวร้ายไปกว่านี้ ดังนั้นฝ่ายทหารควรได้รับความเป็นธรรมด้วยไม่ใช่ถูกฝ่าย นปช.ใส่ร้ายว่าฆ่าประชาชนอยู่ตลอดเวลา" (จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 21 มกราคม 2554) นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีธาริตในสมัยนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันนี้ท่านยังคิดอย่างนั้นอยู่หรือไม่ ยังยืนยันคำพูดนี้หรือไม่ ดิฉันไม่ทราบได้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้คนเราเปลี่ยน แต่ก็ให้โอกาสฟังคำอธิบายของคนเสมอก่อนจะตัดสินคนว่าเปลี่ยนหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ทิศทางคดีของพี่ร่มเกล้ามันเปลี่ยนโดยไม่มีคำอธิบาย คิดว่าทหารที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่ มีการปฏิบัติในลักษณะ 2 มาตรฐานหรือไม่ ความคืบหน้าจากการทำคดีของสองฝ่ายที่ไม่เท่ากันคงเป็นคำตอบที่เพียงพอชัดเจน นอกจากนี้อยากให้คิดว่าทหารก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดเนื้อชีวิตเหมือนกัน หลายครั้งที่ได้ฟังคำวิจารณ์ทหารในเวทีหลายแห่ง รู้สึกในใจว่าเขาไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับทหารในสิทธิพื้นฐานของความเป็นคนที่ต้องได้รับความปลอดภัยในชีวิตเหมือนกัน รัฐบาลประชาธิปัตย์และกองทัพได้แสดงความรับผิดชอบอย่างไร ต่อคำสั่งที่ให้นายทหารที่ดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอาวุธ ขณะที่กองกำลังชุดดำและผู้ชุมนุมบางส่วนมีอาวุธครบมือ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ทหารหลายนายต้องจบชีวิตลง ถ้าย้อนเวลากลับไปวันนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการใช้ความรุนแรงกันได้ถึงขั้นนั้นในระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ในใจคนเป็นทหารอย่างพี่ร่มเกล้าก็มีแต่ความบริสุทธิ์ใจกับพี่น้องผู้ร่วมชุมนุม เพราะถือว่าทุกคนเป็นคนไทย เป็นพี่เป็นน้องกัน พูดกันรู้เรื่อง ทหารไม่ได้ถูกฝึกให้มาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง แต่ในที่สุดเราก็คิดผิด ทหารถูกคนไทยด้วยกันเองฆ่า ดิฉันเข้าใจในเจตนาของรัฐบาลและกองทัพในขณะนั้น ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับกองทัพและรัฐบาลที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบรักษาความสงบจากการชุมนุมที่ไม่สงบ และต้องเป็นบทเรียนสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่จะไม่ทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก และทำให้คนถูกกลายเป็นคนผิด เพราะถึงจุดหนึ่ง วันหนึ่งเราจะไม่เหลือใครกล้าทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้เราอีกต่อไป ถ้าเกิดเหตุการณ์คราวหน้า ดิฉันเชื่อว่าไม่มีทหารคนไหนอยากออกมาเสี่ยงชีวิตและยังต้องถูกดำเนินคดีแบบนี้อีก ในฐานะภรรยาของทหารที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 คุณนิชา ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลด้วยหรือไม่ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ติดต่อเข้ามาทำเรื่องให้ จนมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยา แต่ตัวเองยังไม่ได้ไปดำเนินการขั้นตอนให้จบ ดิฉันบอกครอบครัวเจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิตด้วยกันว่า สิทธินี้ไม่ต้องเลือกว่า จะรับเงินเยียวยาหรือรับความยุติธรรม เพราะเรามีสิทธิได้รับทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ว่าเลือกรับเงินเยียวยาแล้วต้องจบคดี เงินเยียวยานั้นมอบให้เพื่อเป็นหลักประกันชีวิตในอนาคตเพื่อชดเชยการสูญเสียเสาหลักของครอบครัว โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่ใช่ผู้กระทำผิด เราจึงยืนยันสิทธิพิสูจน์ว่าสามีหรือบุตรชายของครอบครัวพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด และเราก็จะติดตามทวงถามความคืบหน้าของคดีกันต่อไป ในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่เสนอในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง โดยอ้างว่าเพื่อความปรองดอง คุณนิชามองเรื่องนี้อย่างไร เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้งสี่ฉบับของฝ่ายรัฐบาลมีแต่เรื่องของการนิรโทษกรรมทั้งสิ้น ซึ่งตามหลักการที่ดิฉันเข้าใจและเห็นในหลักการนั้น ขั้นตอนการนิรโทษกรรม ต้องเกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริงก่อน มีการสำนึกยอมรับผิด แล้วจึงมีการให้อภัย แต่สิ่งที่กำลังทำกันอยู่นี้ ข้ามขั้นตอนที่ควรจะเป็นไปทั้งหมด และเป็นเพียงการใช้ชื่อ “พ.ร.บ.ปรองดอง” เพื่อเพิ่มความชอบธรรมในการเสนอเรื่องนิรโทษกรรม แต่ผลลัพธ์ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ในที่สุด ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจ และการยอมรับของคู่กรณีที่จะนำไปสู่ความปรองดองเลย ตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งลึกขึ้นในสังคมไทยอย่างน่ากลัว ทราบว่าคุณนิชาได้ไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค ของวุฒิสภา ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง และกรรมาธิการมีแนวทางการช่วยเหลืออย่างไร ด้วยความที่ดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบการสอบสวนคดีเปลี่ยนทิศทางคดีกลับไปกลับมาตลอด ทำให้เราขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งกำลังทำหน้าที่ ยิ่งได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีดีเอสไอเมื่อสองสามวันนี้บอกว่า “ไม่มีกฎหมายใดกำหนดว่าข้าราชการประจำต้องทำงานเป็นกลาง แต่มีเพียงข้อปฏิบัติที่ต้องทำตามนโยบายและคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลหรือฝ่ายบริหาร " ยิ่งทำให้เราขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลที่เป็นคู่กรณีของความขัดแย้งในเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น อำนาจอธิปไตยมี 3 ส่วน เมื่อไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหาร จึงต้องไปพึ่งอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่สามารถถูกแทรกแซงจากฝ่ายบริหารได้ จึงได้ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ ของวุฒิสภา ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการค้นหาข้อเท็จจริงอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ก็ยังรอฟังผลการค้นหาข้อเท็จจริงของ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) และ กสม.(คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน อยากจะฝากอะไรถึงนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลชุดนี้บ้าง เหตุการณ์ความไม่สงบในปี 53 ได้สร้างความขัดแย้งของคนในชาติ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศทุกด้าน รัฐบาลเองก็ได้ประกาศเป็นนโยบายหลักเป็นวาระแห่งชาติในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือหลายฝ่ายกำลังเกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายบริหารจนเกิดเป็นการตอบโต้รายวัน ซึ่งคงไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของไทยในสายตาต่างชาติ ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงคาดหวังอยากให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศและเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายบริหาร ลงมาดูเรื่องนี้อย่างจริงจังเหมือนกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ลงมาแก้ปัญหาเรื่องน้ำอย่างจริงจังด้วยตนเอง ดิฉันเชื่อว่าหากนายกรัฐมนตรีลงมาดูแลติดตามเร่งรัดความคืบหน้าของคดีกับหน่วยงานต่างๆแล้ว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจแก่คู่กรณีได้มากขึ้น ช่วยสร้างบรรยากาศที่จะนำไปสู่ความปรองดองกันได้ ปัญหาของชาติขณะนี้คงแก้ไม่ได้ด้วยเพียงการเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองฯ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าเป็นหน้าที่ของสภา แต่คิดว่าประเทศเรากำลังต้องการบรรยากาศของความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอันดับแรก มีความมั่นใจว่าทุกฝ่ายจะได้รับความยุติธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ส่วนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองนั้น คงจะไม่เป็นผล หากยังไม่สามารถก้าวผ่านขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริง และความคืบหน้าของคดีที่กำลังอยู่ภายใต้ขั้นตอนการดำเนินการของฝ่ายบริหารในขณะนี้ คิดว่าหากปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพไร้ขื่อแปเช่นนี้ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกันในวันนี้ จะเป็นมรดกตกทอดถึงเด็กลูกหลานของเราเองในวันข้างหน้า ถ้าท่านสร้างบรรทัดฐานของความไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพศีลธรรม สิ่งนี้จะตกทอดไปถึงเยาวชนอนาคตของชาติ ซึ่งคือลูกหลานของท่านเอง สิ่งที่ดิฉันเรียกร้องในวันนี้เกิดจากความกลัวว่าสำนึกของเยาวชนที่กำลังนั่งดูผู้ใหญ่อยู่ในวันนี้ เขาจะขาดสำนึกของความผิดชอบชั่วดี สูญเสียอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าสูญเสีย “สำนึก” ท่านลองคิดถึงคนใกล้ตัวคือลูกหลานที่ท่านรัก ท่านจะยอมรับได้ไหมถ้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเขาบอกท่านว่า เขาไปฆ่าคนตายมาและการฆ่าคนตายไม่ผิด ก็ผู้ใหญ่ทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างอย่างนั้น ลูกหลานเรากำลังอยู่ในยุคที่สังคมเสื่อมทรามอยู่แล้ว เราอย่าซ้ำเติมทำให้สังคมเสื่อมจนขาดสำนึกของความเป็นคนเลย หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 สิงหาคม 2555, 22:19:59 การเมือง : ทัศนะวิจารณ์ กาแฟดำ โกหกสีขาว, ความจริงสีดำ โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ประเด็น “โกหกสีขาว” ของรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง นั้น ผมเห็นเป็นเรื่องขำๆ มากกว่าจะต้องวิเคราะห์ให้ลุ่มลึก เพราะนี่คือประเทศไทย แม้คำว่า “ปรองดอง” ดีๆ ยังเอามายำเสียเละ จนความหมายผิดเพี้ยนไป วันนี้ความหมายของคำนี้ แตกต่างไปจากที่อธิบายในพจนานุกรมโดยสิ้นเชิง ครูสอนภาษาไทยของเราจะต้องปรับความเข้าใจกับนักเรียนว่าคำนี้แต่เดิมนั้นมีความหมายอย่างไร และวันนี้ เมื่อนักการเมืองเอาไปเล่นแร่แปรธาตุแล้ว ความหมายดั้งเดิมก็หายไปโดยสิ้นเชิง และความศักดิ์สิทธิ์ของคำสลายหายไป ใครฟัง คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง พูดถึง “white lies” วันก่อน หากเห็นเป็นเรื่องของ “กลยุทธ์” ของผู้มีตำแหน่งแห่งหนบ้านเมือง ก็จะชื่นชมว่าท่านเป็นคนมีความสามารถพิเศษ และที่ให้ข้อมูลที่ท่านเองรู้ว่าไม่ถูกต้องนั้นเป็นแค่เพียงการทำให้คนไทยคนอื่นๆ มีความมั่นใจเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับบ้านเมือง ท่านอธิบายว่าการตั้งเป้ามูลค่าส่งออกว่าจะขยายตัว 15% ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้จริงนั้นเพราะว่าในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบางเรื่องที่ภาษาอังกฤษเรียก White Lies ซึ่งแปลว่า “โกหกสีขาว” คนที่เขาไม่เห็นด้วยกับคุณกิตติรัตน์ ก็จะต้องโวยวายแน่นอนว่านี่เป็นการโกหกที่มีผลเสียหาย เพราะทำให้เอกชนเข้าใจผิด วางแผนพลาดเพราะเชื่อในการพยากรณ์ของคนระดับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คนที่เขาเชื่อว่าการโกหกนั้นไม่ว่าสีอะไรก็ย่อมถือว่าโกหกอยู่ดีก็ต้องวิจารณ์ว่าอย่างนี้ จะทำให้หมดความเชื่อถือรัฐบาล และต่อแต่นี้ไป รัฐบาลพูดอะไรจะให้เชื่อได้แค่ไหน หรือจะรู้ได้อย่างไรว่าประโยคไหนเป็น “โกหกสีขาว” และประโยคไหนเป็น “โกหกสีดำ” หรือประโยคไหนเป็น "โกหกสีเทาๆ" ผมเห็นเป็นเรื่องขำ เพราะคำว่า “white lies” ในภาษาอังกฤษนั้น หมายถึง ผู้พูดตั้งใจจะพูดอะไรที่ไม่จริงเพื่อให้คนที่ฟังมีความรู้สึกที่ดี ไม่เครียด ไม่ผิดหวัง ที่สำคัญ คือ คนพูด “โกหกสีขาว” นั้นจะต้องแน่ใจว่าเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พูดไปไม่เป็นความจริง ก็ต้องแน่ใจด้วยว่าพูดออกไปแล้วจะไม่เกิดความเสียหายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นคนฟังหรือคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ จึงต้องวิเคราะห์ว่าการที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พูดด้วยความมั่นใจตอนต้นปี ว่าการส่งออกของไทยจะโต 15% ทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้นั้นจะเกิดความเสียหายกับใครหรือไม่ ถ้าคนฟังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และวางแผนตามนั้น ครั้งแรกก็จะมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจของประเทศตามที่รองนายกฯ กิตติรัตน์ ต้องการจะให้เป็น อย่างนี้ไม่เสียหาย อาจจะมีผลดีที่เกิดกำลังใจให้ทำงานต่อไป ต่อมาเมื่อความจริงปรากฏว่าการส่งออกของประเทศยังไงๆ ก็ไม่ถึง 15% แต่คนของรัฐบาลก็ยังยืนยันว่าทำได้ขณะที่เอกชนและนักวิชาการออกมาวิจารณ์ว่าไม่น่าจะทำได้ เอกชนคนนั้นจะเชื่อใครอย่างไร ไม่อาจจะรู้ได้ แต่โดยหลักการแล้ว เอกชนต้องเชื่อรัฐบาลเพราะต้องมีข้อมูล และมาตรการต่างๆ ที่นักวิชาการหรือผู้วิพากษ์วิจารณ์ไม่มี และวันดีคืนดีเมื่อคนที่พูดตั้งแต่แรกมาบอกว่าเป็น “โกหกสีขาว” เอกชนคนที่เคยเชื่อ และมั่นใจก็ย่อมจะต้องวุ่นวายใจแล้ว เพราะเคยเชื่อตัวเลข 15% และตัดสินใจทุกอย่างทางธุรกิจ และส่วนตัวตามตัวเลขนั้น ความเสียหายย่อมจะเกิดขึ้นได้ เอกชนคนนั้นมีทางเลือกสองทางคือเข้าใจว่ารองนายกฯ พูดให้เกินเลยความจริงเอาไว้เพื่อ “จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีปัญหา” และขอบคุณท่านที่เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความมั่นใจ หรือเอกชนคนเดียวกันนั้นมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ โกรธคุณกิตติรัตน์ ที่พูดออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่จริง ทำให้เขาวางแผนผิดพลาดไป เขามั่นใจตอนที่ได้ยิน 15% และต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็น “โกหกสีขาว” ก็เชื่อตัวเลข 9% ใหม่...ปัญหาของเขาคือเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเลข 9% หรือ 7.3% นั้นจะเป็น “ความจริง” หรือ “โกหก” และคราวนี้จะเป็นสีอะไร ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคนที่รู้ว่าตัวเองโกหกคนอื่น (ไม่ว่าสีอะไร) ก็ยังดีกว่าคนที่โกหกตัวเองว่าพูดแต่ความจริงเท่านั้น ผมจำได้ว่า ไมเคิล แจ็กสัน เคยพูดเอาไว้น่าฟังว่า “Lies run sprints, but the truth runs marathons.” โกหกได้แค่วิ่งร้อยเมตร แต่ความจริงวิ่งมาราธอน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กันยายน 2555, 08:36:46 ปากประตูไอซียู posttoday.com รายงานข่าวโดย: ณ กาฬ โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย ความอ่อนระโหยโรยแรงปรากฏขึ้นชัดเจนในระบบเศรษฐกิจไทย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวมากสุดก็คือการส่งออก ที่กำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก โดยกระทรวงพาณิชย์เพิ่งแถลงตัวเลขการส่งออกในเดือน ส.ค. หดตัวลงถึง 6.95% และหากนับช่วง 8 เดือนของปี (ม.ค.ส.ค.) การส่งออกลดลงเฉลี่ย 1.31% โดยมีมูลค่ารวม 1.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 1.64 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งหมดทำให้ขาดดุลการค้ากว่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภาวะขาดดุลการค้า เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการค้าขายแสวงหาเงินตราของประเทศลดต่ำลง โดยเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย นี่...เป็นการขาดดุลในประเภทแรก ถัดมารัฐบาลในฐานะขาใหญ่ของประเทศก็เกิดปัญหาขาดดุลงบประมาณ โดยมีการใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ในรูปการจัดเก็บภาษี 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค. 2554ส.ค. 2555) รัฐบาลขาดดุลงบประมาณไปถึง 3.42 แสนล้านบาท สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ คือ การกู้เงินมาชดเชยการขาดดุล ภาวะการขาดดุลงบประมาณ จึงแสดงให้เห็นความสามารถในการแสวงหารายได้ของรัฐ ทำได้ต่ำกว่าการใช้จ่ายอีกเช่นกัน หรืออาจเรียกว่า รัฐบาลใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่ผิดนัก และการขาดดุลการค้า และการขาดดุลงบประมาณ พร้อมๆ กัน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในสภาพขาดดุลคู่ หรือ Double Deficit สิ่งที่น่าห่วงก็คือ การขาดดุลคู่อาจคงอยู่ต่อไปอีก ในแง่ดุลการค้า ปัญหาความซบเซาของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้า และอาจทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้าเรื้อรัง ขณะที่รัฐบาลอยู่ในช่วงการกู้เงิน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการขาดดุลงบประมาณอีกหลายปี แล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีก...? ลองไปหาคำตอบจากวิกฤตในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ สเปน ฯลฯ ต่างมีปัญหาเรื้อรังคล้ายๆ กัน คือ การขาดดุลคู่ ทั้งการขาดดุลการค้า และการขาดดุลการคลัง ประเทศยุโรปเหล่านี้ยังจมลึกในนโยบายประชานิยม จนทำให้เงินงบประมาณหมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้สาระ ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต หรือยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ดูเหมือนว่า บ้านเมืองของเรากำลังเลียนแบบ เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งห้วงเหว รัฐบาลยังไม่รามือจากนโยบายประชานิยม แม้ว่าเงินขาดมือ ประเทศมีปัญหาขาดดุลการค้า อีกไม่นานเห็นทีได้เข้าไอซียู และเมื่อนั้นคงทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากนึกถึงพ่อแก้ว แม่แก้วกันไว้ให้ดีๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 กันยายน 2555, 09:31:40 ทัวร์ฉาวเป็นเหตุ"สื่อแดง"ปะทะเดือด posttoday.com เปิดวิวาทะเดือดสื่อสายท่านปม"ขุนค้อนทัวร์อังกฤษ" ประวิตรถามจริยธรรมสื่อร่วมทริป "ชูวัส"สวนเป็นการเปิดโอกาสดูงานเจอโลกกว้าง โดย...ทีมข่าวการเมือง กลายเป็นปมร้อนกระตุกต่อมจริยธรรมสื่อมวลชน ปัญญาชน สายท่าน จากกรณี สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาใช้งบประมาณ 7 ล้านบาทนำคณะผู้ติดตามและเครือข่าย ท่าน บินลัดฟ้าศึกษาดูงานตามโปรแกรม 3 ประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม ตั้งแต่วันที่ 19-27 ก.ย. ภาพของคณะนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ขณะชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่อังกฤษ ซึ่งมีการส่งต่อผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กอย่างกว้างขวาง นอกจากตารางทัวร์สุดหรูดูบอลพรีเมียร์ลีกส์แล้ว ประเด็นที่โดนวิจารณ์อย่างหนัก คือ การเลือกสื่อมวลชนเข้าร่วมทริปอันเต็มไปด้วยสื่อฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลอย่าง วอยซ์ทีวี จักรพันธุ์ ยมจินดาจาก อสมท.และ แม็กซีมา เทไม่ดีิชชั่น รวมถึงนักวิชาการสายแดงอย่าง พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์สำนักข่าวประชาไท 2 พิธีกรจากรายการ Wake Up Thailand ทางวอยซ์ทีวีเช่นกัน วิวาทะเดือดในโลกออนไลน์ครั้งนี้เปิดฉากโดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และปัญญาชนท่าน ที่แสดงจุดยืนเรียกร้องให้ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มี งานเขียนลงมในเว็บไซต์ประชาไทหลายชิ้น ล่าสุด ประวิตร ออกมาเขียนบทความโจมตีและตั้งคำถามถึงจริยธรรมของสื่อแดงด้วยกัน ที่เข้าร่วมทริปในหัวข้อ “การศึกษาดูงานครั้งนี้เป็นการติดสินบนสื่อโดยใช้ภาษีของประชาชนหรือไม่?” (http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42819) ประวิตร ระบุว่า ตารางทัวร์มูลค่า 7 ล้านบาท หรือ 1.8 แสนต่อหัวนั้นไม่คุ้มค่ากับภาษีประชาชนที่เสียไปเพื่อแลกมาซึ่งการเยี่ยมชมรัฐสภา สำนักข่าวบีบีซี และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่หลายกิจกรรมในทริปกลับไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านรัฐสภา แต่เน้นไปที่การท่องเที่ยวและรับประทานร้านอาหารหรู รวมถึงพักโรงแรมระดับสี่ดาว ทั้งที่งบประมาณ7 ล้านบาทหากใช้เป็นทุนคัดเลือกนักข่าวสายรัฐสภาดีเด่นไปศึกษาหรืออบรมทำข่าวรัฐสภาในต่างประเทศน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า “การจัดท่องเที่ยว ‘ดูงาน’ อย่าง อู้ฟู่และฉาบฉวยเช่นนี้ เป็นการใช้งบแผ่นดินจากภาษีประชาชนอย่างไม่คุ้มค่าและขาดความโปร่งใสและเป็น ธรรมต่อสื่อฝั่งที่ต่อต้านรัฐบาลและต่อนักข่าวสายรัฐสภา เข้าข่ายเป็นทริปตบรางวัล ติดสินบน หรือไม่ก็ซื้อใจสร้างความเกรงใจสื่อ สมควรที่องค์กรรัฐอย่าง ป.ป.ช.และผู้ตรวจการแผ่นดินจะตรวจสอบ องค์กรสื่อ และสมาคมสื่อที่เกี่ยวข้องควรตรวจสอบและมีรายงานต่อสาธารณะเช่นเดียวกัน” ประวิตร ระบุตอนหนึ่งว่า หนึ่งเดียวในองค์กรสื่อร่วมทริปที่ถูกจัดว่ามาจากองค์กรที่ถูกมองว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือ นพภัฒน์จักร อัตตนนท์ จากเนชั่นทีวี แต่นพภัฒน์จักรตัดสินใจไม่ร่วมเดินทาง โดยอธิบายในทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ว่า “ตอนแรกก็มองว่า น่าจะพอ “ได้งานกลับมา” เพราะจะได้ไปสภาและออกซ์ฟอร์ด แต่พอเห็นตารางเต็มๆ ว่ามีพักผ่อนเยอะ เลยไม่ไป” ทันทีที่บทความชิ้นนี้เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไทและมีเดียอินไซด์เอาท์ ชูวัส ในฐานะ 'เจ้าของพื้นที่' เพราะเป็น บก.เว็ปไซต์ประชาไท และหนึ่งในผู้ร่วมทริปหรู ส่งความเห็นข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษมาตอบโต้จนสนั่นเว็บบอร์ดแห่งนี้ ว่า จริยธรรมที่ประวิตรตั้งคำถามไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข่าวที่ถือว่าออกมาจาก “สำนักปั่นข่าว” เพราะตั้งแต่เดินทางมายังไม่เห็นคนจากวอยซ์ทีวีในทริปตามที่ว่า เนื่องจากบุคคลในรายชื่อ 37 คนไม่ได้ร่วมเดินทางด้วยทั้งหมด ทั้งยืนยันว่าการทัศนศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเชื่อว่าความคิดหัวก้าวหน้าของประวิตรคงไม่ได้มาจากดีเอ็นเอ แต่มาจากการเจอโลกกว้าง สำหรับตัวเองนั้นอาจเรียกได้ว่ามีโอกาส "ดูงาน" เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกับคนจำนวนมากในคณะดูงานที่วันๆ เอาแต่ทำงาน ไม่เคยได้มีโอกาสเจอโลกกว้างเหมือนประวิตร ทั้งนี้ ชูวัส ยังแสดงทรรศนะว่าคนที่ออกเงินไม่ได้มีผลชี้นำต่อความคิดของผู้ร่วมทริปเสมอไป ทั้งยังฝากถึงประวิตรตามประสาเพื่อนว่า กลัวเพื่อนจะกลายเป็นสลิ่ม ? “คุณประวิตรสวมวิญญาณพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เมื่อไร ถึงเที่ยวชี้นิ้วด่าไพร่และใครต่อใครว่าซื้อเสียง โดยไม่ได้มองตัวเองเลยว่า ตัวเองยืนอยู่บนโอกาสและความมั่งมีอยู่แล้ว แต่หลักคิดแบบนี้ ตรระกะแบบนี้ คุณประวิตรต้องไม่พลาดสิครับ” ชูวัสโต้ ชูวัส / ภาพจากwww.prachatai.com ส่วนประเด็นนักข่าวสำนักข่าวเนชั่นขอถอนตัวนั้น ชูวัส ยังตั้งคำถามว่าสาเหตุที่ถอนตัวนั้นแท้จริงแล้วอยากถามว่าคำตอบแรกต่อการเข้าร่วมโครงการนี้เป็นอย่างไร และขอถามไปยังนักข่าวเนชั่นว่า พาสปอร์ตของเขาได้คืนจากสถานทูตที่ขอวีซ่าหรือยัง? ประวิตร ในฐานะผู้เคยเจอโลกกว้าง จากการคว้าทุนรัฐบาลอังกฤษศึกษาต่อมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แจงกลับไปว่า ชูวัสคงทราบดีว่าที่วิจารณ์เพราะมีเจตนาดีต่อประชาไทและอยากเห็นประชาไทเป็นตัวอย่างของความโปร่งใส ตรวจสอบวิพากษ์ได้ อย่างไรก็ตามไม่ต้องห่วงว่าตนจะกลายเป็น 'สลิ่ม' เพราะทุกวันนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นเสื้อสีอะไรทั้งนั้น “โอเค คุณ (ชูวัส) ยืนยันว่าไป 'ดูงาน' ผมก็จะใช้คำว่า 'ดูงาน' ไปก่อนก็แล้วกันแต่ประเด็นหลักของผมคือความโปร่งใส ตรวจสอบได้ของกระบวนการจัดทริป 'ดูงาน' ต่างประเทศด้วยภาษี ประชาชน ว่ามีความเป็นธรรมกับสื่อทุกฝ่าย กับได้ประโยชน์แก่สังคม และใช้เงินไปอย่างคุ้มค่าเพียงไร และอีกอย่าง ผมคาดหวังให้ประชาไท ในฐานะสื่อทางเลือกที่ประกาศตัวชัดเจนว่ายืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม เป็นตัวอย่างที่ดี มีมาตรฐานเหนือกว่าสื่อกระแสหลักทั้งหลายที่เป็นบรรบัทสื่อ (corporate media)อย่างที่เขาพูดกันในภาษา ตกลงมีชูวัสจะช่วยเอา list สื่อที่ไปร่วม 'ดูงาน' ทั้งหมดมาลงตรงนี้ได้ไหม? ทุกคนจะได้เห็นและตัดสินกันเองว่าเป็นอย่างไร “ขอให้ชูวัสถือเสียว่า การตรวจสอบของผมต่อเรื่องทริป 'ดูงาน' เป็นประโยชน์กับความน่าเชื่อถือของประชาไทเอง เพราะคงจะแทบหาสื่อไหนในไทยไม่ได้ที่จะยอมลงบทความให้คนนอกวิจารณ์ตนเองเช่นนี้ “ผมยังเชื่อมั่นในเจตนาดีของชูวัสต่อสังคม และอุดมการณ์คุณ และก็เชื่อว่าชูวัสเข้าใจดีว่าบทความที่ผมเขียนคือความพยายามในการเปิดประเด็นตรวจสอบ หากคลาดเคลื่อนอะไรบ้างก็ต้องขออภัยด้วยความปราถนาดีจากหนึ่งในสปอนเซอร์ทริป 'ดูงาน' อังกฤษของคุณ ผ่านทางการจ่ายภาษี +กลับบ้านให้ปลอดภัยนะ” ต่อมา มีผู้ใช้ชื่อว่า นภพัฒน์จักษ์ จากเนชั่น ได้เข้ามาโพสต์ ในกระทู้หน้าเว็บเดียวกันโดยชี้แจงว่า ตอนเที่ยงของวันเดินทางยังได้รับคำตอบจากผู้ที่เชิญว่าได้รับวีซ่าล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ตัดสินใจบอกคนเชิญไปทันทีว่าตัดสินใจไม่ไปแล้ว ซึ่งยืนยันว่าปฏิเสธไม่ไปตั้งแต่ก่อนที่ทริปนี้จะมีข่าวและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว นภพัฒน์จักษ์ บอกอีกว่า เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะตัดสินใจร่วมไปทัวร์ยุโรปในครั้งนี้ แต่รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องบางอย่างจึงปฏิเสธไม่ไป แต่ไม่อยากให้ตัดสินว่าสื่อมวลชนที่ร่วมไปกับทริปนี้ว่าเป็นสื่อที่ไม่ดี แต่ควรพิสูจน์กันในระยะยาวว่า สื่อมวลชนเหล่านั้นกลับมาแล้วนำเสนอข่าวจากที่ได้ไปมาอย่างไรบ้าง หรือท่าทีและมาตรฐานการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของสื่อนั้นๆ เปลี่ยนไปอย่างไร ประวิตร / ภาพจากwww.pchannelnews.com สถานการณ์ล่าสุดในเว็บบอร์ด ชูวัส ยังแสดงความเห็นค้านบทความของ ประวิตร ในประเด็นการชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกส์ว่า การดูบอลถือเป็นการดูงานประเภทหนึ่ง การวิจารณ์ของ ประวิตร ถือว่าเต็มไปด้วยอคติ ตกอยู่ภายใต้กระแส และไม่เป็นตัวของตัวเอง เพียงเพราะการจัดประเภทว่าบอลเป็นเพียงแค่ความบันเทิง “คุณเห็นอะไรที่สนามแอนฟิลด์ไหม...คุณไม่มีทางเห็นหรืออ่านได้หากไม่สัมผัส คุณไม่มีทางรู้ได้ว่าการต้องลุกยืนลุกยืนนับร้อยๆ ครั้งตลอดการแข่งขันมันบ่งบอกอะไร คนที่นี่เขาไม่รำคาญกันเลยนะครับที่ต้องลุกยืนกันเป็นว่าเล่น เมื่อมีคนขอลุกออกจากแถวที่นั่งไปฉี่หรือไปไหน หรือเมื่อคุณต้องลุกตามเมื่อแถวหน้าลุก คุณรู้ไหมทำไม...ผมว่าอย่ารู้เลยครับ มันก็แค่ความบันเทิง ....แต่ถ้าคุณรู้และรู้ต่อไปด้วยว่า ตั๋วปีหรือที่เรียกว่าซีซั่นทิคเก็ต คืออะไร และทำหน้าที่อะไรในทางสังคมวิทยา คุณจะรู้ว่าทำไมฟุตบอลอังกฤษถึงได้รับความนิยมขนาดนี้ อยากรู้ไหมครับว่าทำไม...อย่ารู้เลยครับ ก็แค่ความบันเทิง ....ขอโทษนะครับความบันเทิงที่คุณไม่นับว่าเป็นการดูงานนี้ สร้างเงินหมุนเวียนขนาดร้อยละ 1.8 ของประเทศอังกฤษซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่านะครับ ...คุณรู้ไหมเขาเล่นพนันบอลกันอย่างไร และผมจะอธิบายอะไรในประเทศที่คาสิโนและโต๊ะบอลถูกกฎหมายมีอยู่เต็มไปหมด แต่อาชญากรรมกับน้อยกว่าประเทศไทย...อย่ารู้เลยครับ ก็แค่ความบันเทิง ...ขณะที่คุณๆ เรียกมันว่าความบันเทิง สำหรับผมแล้ว นี่คือขุมความรู้เล่มใหม่สำหรับผม ต้องขอขอบคุณ รัฐสภาให้ที่หลับที่นอนวันเสาร์อาทิตย์กับผม และผมก็ตระหนักว่า นี่คือภาษีประชาชน เหมือนที่ผมตระหนักเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา เป็นอภิสิทธิชนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ...ต้องขอขอบคุณด้วยความประทับใจยิ่งกับทีมงานสยามสปอร์ต ที่ทำให้เรารู้จักฟุตบอลว่ามันไม่ใช่ลูกกลมๆและสกอร์บนกระดาน ต้องขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักว่า ทีมข่าวที่ฝังตัวทำงานอยู่ที่นั่น ทำงานอย่างไร แต่ผมไม่เล่านะครับ...มันอาจเป็นแค่เรื่องบันเทิง” ชูวัสโพสต์ด้วยลีลาเหน็บแนมพร้อมลงท้ายชื่อตัวเองว่า “อภิสิทธิ์ชนท้ายแถว” ขณะที่ความเคลื่อนไหวนอกเว็บไซต์ประชาไท มีความเห็นจากนักวิชาการวิพากษ์ทริปนี้เช่นกัน โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการสายท่านแสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊คว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ พิชญ์ และ ชูวัส ในฐานะ สื่อ และ นักวิชาการ ไปร่วมทริปดังกล่าว พร้อมระบุว่า ขณะนี้ปัญญาชนเชิงวิพากษ์ (critical intellectuals) หลายคนกำลังอยู่ในอันตรายของการไม่ keep enough critical distance เพียงพอกับรัฐบาล และเสียงต่อการจะกลายเป็นเพียง uncritical supporters ของรัฐบาลมากเกินไป ซึ่งไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับการเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยในระยะยาว เช่นเดียวกับ พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการผู้ร่วมคณะทัวร์ ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊คตัวเองขณะอยู่อังกฤษ โดยยอมรับว่า กระบวนการเยี่ยมชมรัฐสภามีปัญหาในการประสานงานของสำนักงานเลขาธิการ สภาฯ จริง แต่เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมาทางคณะผู้ร่วมเดินทางนั้นได้เข้าไปเยี่ยมชมรัฐสภาอังกฤษแล้ว โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่า แต่ยอมรับว่าการดูงานครั้งนี้ไม่ใช่ State visit ของประธานรัฐสภา หรือ การดูงานของคณะกรรมาธิการที่เคยมีมา พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้ไปประเทศเบลเยี่ยมและล่องเรือที่ประเทศฝรั่งเศส นอกเหนือจากวันหยุดจะใช้เวลาในการดูงานและพยายามดูงานในลอนดอนเป็นหลัก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สิ้นสุดภารกิจที่สังคมจับตา และก็ต้องกลับไปตอบคำถามและตรวจสอบกันอีกมาก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 ตุลาคม 2555, 10:06:46 Letter to UN, introducing PM Yingluck Shinawatra before her speech in Sep 2012
To the Honorable Excellency Secretary of the United Nations, Ambassadors and the Delegates of all nations to the United Nations, We Thais in America are protesting against Madam Prime Minister Yingluck Shinawat and her government of Thailand for the following reasons: This government is one of the puppets of fugitive, convicted, mega-billionaire terrorist, Thaksin Shinawat. Despite her winning the election in mid of 2011, there was a lot of electoral fraud and the electoral committee was corrupt. And despite her claim that she is the youngest and the first woman prime minister of Thailand, it is well proven that the reason she won, was because of her brother’s financial and political influence over corrupt Thai politicians. Not only is she foolish, she also lacks experience in solving Thailand’s critical problems in all areas. Her last year’s excessive promises to offer welfare to the people have not achieved anything but only corrupt repayment to Thaksin’s cronies and her own MPs. She leads her government fopurpose of laundering her brother Thaksin and his terrorist minions, whose crimes include the most atrocious massacre of over 100 Muslims in the south and 3,000 people murdered during his own term. Additionally there was the domestic terrorism and rioting that Thaksin fomented from abroad in 2009 and 2010. On leaving Thailand to come to brag here in USA this year and to luxuriously spend the scarce tax money from the sweat of all Thais, Madam Prime Minister Shinawat leaves one fifth of Thailand drowned in flood. That is on top of the corrupt management of last year’s most devastating flood of Thailand when she let over 800 people perish. Six months ago, she flew out to visit Japanand Korea while leaving millions of her hometown citizens in the north of Thailand asphyxiated in forest fire smoke. As for her claim of being the first female prime minister with huge plans and funds to support women’s roles in Thailand, she is actually just corrupting an already over-spent budget. The fund is not helping with any underpaid female labor or reducing the sex trade whatsoever. Worst of all, her government and her coalition parties, which are all under the commands of the fugitive convicted terrorist Thaksin, have attempted several times in the past year, to launder Thaksin through either a Constitutional amendment, passing a Reconciliation bill or, a Pardon decree. They claim peace and reconciliation at the cost of facts and justice since all of the worst crimes against humanity in Thai history, terrorism, murder, looting and arson would be dropped and silenced forever. There would be no investigation to uncover the culprits and the darkest devastation ofThailand. At present, Yingluck’s administration facilitates her fugitive, terrorist, brother Thaksin, to continue roaming the world to instigate his red army to support this dirty government of hers. Therefore, we ask the citizens of the world, all nations, the United Nations and the Government of the United States to join us in the explicit condemnation of this evil and corrupt puppet Yingluck Shinawat, her government and her brother, terrorist Thaksin Shinawat, and for all nations of the world to extradite the fugitive Thaksin Shinawat to receive his jail sentence in Thailand. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 10 ตุลาคม 2555, 18:32:27 ใครหว่าเมาแอ๋..ที่ ฮ่องกง..อยากรู้ชมเอาเอง
http://www.youtube.com/watch?v=YQp8jwRcoDo หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 24 ตุลาคม 2555, 23:48:09 หวัดดีตะวัน ฝากไปดูลาดเลาหรือติดตามเหตุการณ์ที่สนามม้า วันที่ ๒๘ ตุลาด้วยนะ แล้วจะกลับมาถามข่าวคราว Nokja หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 ตุลาคม 2555, 11:57:27
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 ตุลาคม 2555, 22:10:05
กำหนดการการชุมนุม รวมพลัง คนทนไม่ไหว หยุดวิกฤตและหายนะชาติ วันที่ 28 ตุลาคม 2555 ณ สนามม้านางเลิ้ง ************* 10.00 น. เปิดรายการโดย ผู้ดำเนินรายการ 10.05-10.20 น. วงดนตรี 1 โดย เดชอัสดง 10.20-10.25 น. สลับผู้ดำเนินรายการ 10.25-10.40 น. ผู้ปราศรัย 1 โดย เยาวชนพิทักษ์สยามขึ้นอ่านแถลงการณ์ 10.40-11.00 น. ผู้ปราศรัย 2 โดย สหายบัญชา/สหายเติ้ล กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอ่านแถลงการณ์ 11.00-11.15 น. ดนตรี 2 โดย แมน สติงเกอร์ 11.15-11.30 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 3 โดย รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค 11.30-11.45 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 4 โดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ 11.45-12.05 น. ดนตรี 3 โดย หงา คาราวาน 12.05-12.20น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 5 โดย คุณสมเกียรติ หอมละออ 12.20-12.35น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 6 โดย คุณแซมดิน เลิศบุษย์ 12.35-12.50น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 7 โดย คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย 12.50-13.10 น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 8 โดย ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ 13.10-13.30น. ***พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยามและภาคี เครือข่าย กล่าววัตถุประสงค์การชุมนุม 13.30-13.45น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 9 โดย พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคเนย์ 13.45-14.00 น. ดนตรี 4 โดย ไก่ แมลงสาบ/วสันต์ สิทธิเขต 14.00-14.20น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 10 โดย คุณพิเชฎฐ พัฒนโชติ *********** VTR รับจำนำข้าว**************** 14.20-14.40น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 11 โดย คุณนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน 14.40-15.00น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 12 โดย อ.ประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์ 15.00-15.20 น. ดนตรี 5 โดย ประทีป ขจัดพาล 15.20-15.40 น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 13 โดย คุณสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตนักการทูต 15.40-16.00 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 14 โดย พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ 16.00-16.20 น. ผู้ดำเนินรายการ และผู้ปราศรัย 15 โดย ดร.เสรี วงษ์มณฑา ************ VTR ขบวนการล้มเจ้า**************** 16.20-16.40 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัย 16 โดย 16.40-17.00 น. ผู้ดำเนินรายการและผู้ปราศรัยปิดท้าย โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ 17.00-17.20 น. พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แถลงการณ์ กล่าวคำปฏิญาณพลีชีพเพื่อชาติ ทำสงครามกับ - ขบวนการล้มเจ้า - ทวงคืน ปตท. แก้ปัญหาข้าวยากหมากแพง - หยุดการทุจริต คอร์รัปชั่น ผู้ดำเนินรายการ 1.นายขจรศักดิ์ เชาว์เจริญรัตน์ 2. นายทศพล แก้วทิมา 3.นายพิมพล แสงเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ตุลาคม 2555, 21:02:17 วันที่ 28 ต.ค. บรรยากาศการชุมนุมขับไล่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่สนามม้านางเลิ้ง นำโดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ซึ่งมีประชาชนจากภาคีเครือข่ายต่างฯ เข้าร่วมชุนนุมเป็นจำนวนมาก
ในช่วงเย็น พล.อ.บุญเลิศ แก้วประเสริฐ ประธานองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ได้ขึ้นเวทีประกาศเจตนารมณ์ต่อการชุมนุมอย่างเป็นทางการ พร้อมให้สัญญากับพี่น้องประชาชนว่า จะร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ หยุดการทำงานของรัฐบาลโดยเด็ดขาด ภายใต้เจตนารมณ์ 3 ข้อ อาทิ รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน โดยไม่มีการปราบปราม รวมไปถึงการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล นอกจากนี้ พล.อ.บุญเลิศ ยังขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่เข้ามาร่วมชุมนุมในวันนี้ พร้อมกับกล่าวว่า "ผมเป็นคนใจง่าย แต่ใจเดียวและเด็ดขาด ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมส่งเสียงร้องเพื่อแสดงพลัง ขอให้ประชาชนที่เห็นตรงกันกับเราไปชักชวนเพื่อนพี่น้องกลับมาชุมนุมในครั้งต่อไป โดยพี่น้อง 1 คน ขอให้ชักชวนคนมาร่วมให้ได้ 100 คน หรือ 99 คน เราอยากให้ออกกันมาเยอะๆ เพราะมวลชนคือจุดเปลี่ยนของรัฐบาล" (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121028-205952_975640.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121028-210157_770886.jpg) ภาพข่าว จาก มติชน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 ตุลาคม 2555, 21:21:59 ชี้รัฐก่อวิกฤต5ด้านพาประเทศสู่หายนะ "ประสงค์" ซัดรัฐบาลก่อวิกฤต 5 ข้อทำประเทศสู่หายนะ ชี้ระบอบแม้ว แปลงทุนให้เศรษฐี แปลงหนี้ให้ชาวบ้าน "เสธ.อ้าย"ตั้งเป้าม็อบครั้งหน้าลุยล้มรัฐบาล เมื่อเวลา 17.30 น.ที่สนามม้านางเลิ้ง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ขึ้นปราศรัยว่า ในฐานะที่เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญยืนยันว่าประชาชนที่มาเข้าร่วมได้ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญทุกประการ เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศตัวจริง เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศไม่ดี ประชาชนก็มีสิทธิชุมนุมและเรียกร้องให้รัฐบาลออกไปจากตำแหน่งได้ ขณะนี้บ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤต 5 ประการ ที่จะนำประเทศไปสู่หายนะในอนาคต คือ 1.วิกฤตเศรษฐกิจที่ความเป็นอยู่ของประชาชนแย่ลง เพราะข้าวของแพงขึ้น ซึ่งตั้งแต่ปี 44 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ พ.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีอำนาจ แปลงทุนให้เศรษฐี แปลงหนี้ให้ชาวบ้าน โดยใช้นโยบายประชานิยม จนมาถึงรัฐบาลนี้ก็มีการใช้งบประมาณที่มีอยู่จนหมด กู้เงินเพิ่ม รวมถึงมีการอ้างถึงวงเงินกู้เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยโดยไม่มีใครทราบว่านำไปใช้อะไรบ้าง น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า 2.วิกฤตทางสังคมและระบบราชการ ในฐานะที่อยู่ในวงการการเมืองมาหลายสมัย ไม่เคยเห็นประชาชนแตกแยกแบ่งฝ่ายเท่ายุคนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายข้าราชการน้ำดีไปอยู่ตำแหน่งที่ไม่มีบทบาท 3.วิกฤตความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา นักการเมืองเลวได้สมคบคิดนักการเมืองกัมพูชาและบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศอเมริกาที่จะมากอบโกยทรัพยากรในอ่าวไทย เห็นได้จากการจ้องจะใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา หากมีการอนุญาตจะถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง ถ้ารัฐบาลยังอยู่ต่อไป อาจสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน 4.6ตารางกิโลเมตร และพื้นที่บริเวณอ่าวไทยด้วย 4. คือ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีทั้งระบบนิติรัฐและนิติธรรม ไม่ใส่ใจที่จะดำเนินการจับกุมนักโทษหนีคดี เช่น ตำรวจ อัยการ และกระทรวงต่างประเทศที่ต่างอ้างว่าไม่รู้ที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กลับมีนักการเมืองไปพบ แต่จะไปโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้ เพราะทั้งหมดถูกสั่งการจากผู้มีอำนาจ และ 5.วิกฤตภาวะผู้นำประเทศที่ขณะนี้ผู้นำประเทศไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่สามารถที่จะตอบคำถามได้ อ้างแต่ว่า “หนูไม่รู้”เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้หลัง น.ต.ประสงค์ ปราศรัยจบ บรรดาแกนนำทั้งหมดได้ขึ้นเวที โดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การกลุ่มพิทักษ์สยาม ได้ปราศรัยสรุปว่า การชุมนุมในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมมาจากทั่วสารทิศเป็นจำนวนมากกว่า 2 หมื่นคน และทั้งหมดไม่มีใครจ้างมา ถือเป็นการแสดงออกว่าประชาชนไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.อ.บุญเลิศ ยังย้ำกับผู้ชุมนุมก่อนแยกย้ายกลับว่า ขอให้ทุกคนพาคนมาร่วมอีกคนละ 100คนในการชุมนุมครั้งต่อไป เพื่อให้การชุมนุมครั้งหน้าซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายขับไล่รัฐบาลนี้ให้ได้ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 31 ตุลาคม 2555, 19:51:22 หวัดดีตะวัน
ขอบคุณที่ให้ข้อมูลวันที่28ตุลาอย่างละเอียด เรายังอยู่มาเก๊า ไปจางเจี่ยเจี้ยมา สนุกมาก เพิ่งได้wifi จึงติดต่อห้องตะวันด้วยใจระทึก ดีใจที่เห็นพวกพ้องน้องพี่มากันเยอะแยะ Nokja หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 พฤศจิกายน 2555, 09:59:58
ระหว่างทางโทรหาเพื่อนที่ดู FM TV บอกว่าคนเยอะ เลยสบายใจ อากาศร้อนมากๆๆ แต่ก็ทนได้ แล้วจะกลับเมื่อไหร่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 02 พฤศจิกายน 2555, 14:56:53 หวัดดีตะวัน
เรากลับมาแล้ว ขอปรบมือดังๆให้"ตะวันและเพื่อน" ที่ทำหน้าที่"คนไทยหัวใจรักชาติ" พวกเรากำลังเป็นแบบในภาพหรือเปล่าหนอ (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121102-145603_964499.jpg) Nokja หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 พฤศจิกายน 2555, 18:49:34
คงใช่นะนก..แต่อย่างไร ลุงโง่..ยังย้ายภูเขาได้นะ เหนื่อยแค่ไหน ไม่กลัว กลัวแต่ คนไทย(หรือเพื่อนพ้องน้องพี่ของเรา ที่่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ใส่ใจเรื่องราวของบ้านเมืองเลย) ในขณะที่ทุกคนบอกว่า รักในหลวง แต่ไม่เห็นใคร ทำอะไรเลย เพียงแค่พูดแค่นั้น ก็ดีแล้ว..น่าเสียใจจริงๆๆ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2555, 15:36:34 ดาบสองคมข้อตกลง'ทีพีพี'ต้องพร้อม-มองยาว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ นายหฤษฎ์ รอดประเสริฐ เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เขียนบทความทางวิชาการขนาดสั้น (Focused and Quick) เรื่อง "TPP : ความตกลงแห่งอนาคต? ประเด็นท้าทาย ในการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนและการเงิน" โดยเป็นความเห็นของผู้เขียน มีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ @ความเป็นมา ทีพีพี (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement : TPP) เป็นความตกลงซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำโดยประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีสหรัฐเป็นแกนนำ มีประเทศสมาชิกก่อตั้งเป็นประเทศพัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่จากทั้งสองฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งหมด 11 ประเทศ คือ สหรัฐ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย เวียดนาม เม็กซิโก และแคนาดา และมีความเป็นไปได้ที่จะรับประเทศสมาชิกเพิ่มในอนาคต ทีพีพี อาจกลายเป็นการรวมกลุ่มเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก โดยขณะนี้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ อินโดนีเซีย ได้แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการว่าสนใจจะเข้าร่วม ทีพีพี ในอนาคต การเจรจาจัดทำความตกลงทีพีพีดำเนินมาตั้งแต่รอบแรกเมื่อเดือนมี.ค. 2553 แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะเจรจาเสร็จเมื่อใด แต่คาดว่าอาจจะเจรจาเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2013 ซึ่งหลังจากนั้น ประเทศสมาชิกก่อตั้ง ทีพีพี ทั้ง 9 ประเทศ จะต้องนำความตกลง ทีพีพีเข้าสู่กระบวนการให้สัตยาบันโดยรัฐสภาของประเทศตน ซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหลายเดือนก่อนที่ความตกลงทีพีพีจะมีผลบังคับใช้ จุดเด่นของทีพีพี การกำหนดโครงสร้าง หัวข้อ และ ประเด็นหลักในการเจรจาทีพีพีสะท้อนถึงอิทธิพลของสหรัฐ ที่จะผลักดันสิ่งที่ตนต้องการ เห็นได้จาก - การครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ ซึ่งมักจะไม่ปรากฏอยู่ในความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) โดยทั่วไป เช่น ความสอดคล้องทางกฎระเบียบ (Regulatory Coherence) มาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่าเอฟทีเออื่น - การแบ่งกลุ่มการเจรจาในทีพีพีจะแตกต่างจากเอฟทีเอโดยทั่วไป คือ จะแยกเรื่องที่สหรัฐสนใจหรือกังวลเป็นพิเศษออกมา เช่น ในการเจรจาสินค้า จะแยกสินค้าสิ่งทอออกจากสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหวสำหรับสหรัฐ @ผลทีพีพีต่อประเทศในภูมิภาค ทีพีพี อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สหรัฐใช้ถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในช่วงที่ผ่านมา มี เอฟทีเอ เกิดขึ้นหลายฉบับในภูมิภาคเอเชียโดยไม่มีสหรัฐร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้ หากว่าสหรัฐปล่อยให้ภูมิภาคเอเชียรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกันได้มากยิ่งขึ้นในลักษณะนี้ อาจจะลดบทบาทสหรัฐในภูมิภาคเอเชีย ด้วยเหตุนี้ สหรัฐจึงพยายามผลักดันให้ทีพีพี เป็นเวทีหลักในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อรักษาอิทธิพลและพิทักษ์ผลประโยชน์ของตน ทีพีพีอาจกระทบต่อบทบาทของอาเซียน โดยเฉพาะความพยายามของอาเซียนที่จะเป็นศูนย์กลางในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ผ่านมาอาเซียนได้พยายามจัดทำเอฟทีเอ กับประเทศรอบอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ แต่ถ้าหากการจัดทำทีพีพี ประสบความสำเร็จโดยที่ประเทศอาเซียนบางประเทศไม่ได้เข้าร่วม ก็อาจจะทำให้ทีพีพี กลายเป็นศูนย์กลางของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแทนที่จะเป็นเวทีอาเซียนกับคู่เจรจาอื่น นอกจากนี้ การเข้าร่วมทีพีพี ของประเทศอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และ เวียดนาม ยังชี้ให้เห็นว่าประเทศอาเซียนบางประเทศสนใจที่จะแยกตัวออกไปต่อรองและตักตวงผลประโยชน์จากเวทีอื่นในภูมิภาค มากกว่าที่จะพยายามใช้กลุ่มอาเซียนเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับประเทศอื่น @นัยของทีพีพีต่อไทย ประโยชน์และข้อกังวลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักที่ทำให้ทีพีพี แตกต่างจากเอฟทีเอ นั่นคือ มีสหรัฐเป็นหลัก ทั้งนี้ เพราะว่าสหรัฐเป็นสมาชิก ทีพีพี ประเทศเดียวที่ไทยยังไม่ได้จัดทำเอฟทีเอ หรืออยู่ในกระบวนการเจรจาเอฟทีเอ เช่น ชิลีและเปรู ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ทีพีพีจะเป็นเสมือนการรื้อฟื้น Thai-US FTA ที่ได้ยุติการเจรจาไปแล้ว ประเด็นท้าทายในการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนและการเงินภายใต้ทีพีพี มีประเด็นท้าทายและข้อกังวล 2 ประเด็น สิทธิในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย ทีพีพีมีแนวโน้มที่จะจำกัดสิทธิของสมาชิกในการดำเนินนโยบายเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน เงินทุนเคลื่อนย้าย อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง คือ - อาจทำให้ค่าเงินมีความผันผวน ซึ่งมักจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ - ในกรณีที่เงินทุนทะลักเข้าจำนวนมาก ก็อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ - ในกรณีที่เงินทุนไหลออกจำนวนมาก ก็อาจทำให้เกิดปัญหาดุลการชำระเงินและปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน จนอาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจการเงิน การเปิดตลาดบริการทางการเงิน ประเทศภาคีของทีพีพี มีความเสี่ยงจะถูกกดดันให้เปิดตลาดบริการทางการเงินตามข้อเรียกร้องของสหรัฐมากกว่าที่จะเปิดตลาดตามความพร้อมที่แท้จริง อย่างไรก็ดี การเปิดตลาดบริการทางการเงินภายใต้ ทีพีพีอาจจะไม่สอดคล้องกับความพร้อมของไทยเสมอไป เนื่องจากสหรัฐมักจะพยายามผลักดันให้ประเทศคู่เจรจาเปิดตลาดบริการทางการเงินให้ มาก ด้วยความได้เปรียบในด้านการแข่งขันในภาคธุรกิจนี้ @ข้อเรียกร้องของสหรัฐ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนามักจะมีข้อกังวลที่สำคัญ คือ วิธีการจัดทำข้อผูกพันการเปิดตลาด บริการทางการเงินแบบ Negative List คือการเปิดเสรีเกือบทั้งหมด สิ่งใดที่จะไม่เปิดเสรี ก็จะต้องเขียนเป็นข้อสงวน ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะระบุข้อสงวนได้ไม่ครบถ้วน เนื่องจากไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าจะมีสิ่งใดบ้างเกิดขึ้นจากพัฒนาการในอนาคต ที่ถือว่าจะต้องเปิดเสรีให้กับสิ่งเหล่านี้โดยอัตโนมัติ พันธกรณีที่จะต้องอนุญาตให้ต่างชาติ เข้ามาทำธุรกรรมทางการเงินใหม่ มีความเสี่ยงสำหรับประเทศที่ยังไม่มีความพร้อมในการทำธุรกรรมดังกล่าวและยังไม่มีกฎหมายรองรับในการกำกับดูแล เช่น ธุรกรรมตราสารอนุพันธ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏชัดว่า การทำธุรกรรมทางการเงินใหม่โดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลกที่ผ่านมา การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ สถาบันการเงินเต็มรูปแบบ (Full licenses) คาดว่าไทยยังไม่พร้อมกับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากต่างชาติ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยอาจต้องการเวลาในการปรับตัว การเปิดให้ต่างชาติให้บริการทางการ เงินข้ามพรมแดนได้โดยไม่ต้องเข้ามาจัดตั้งสำนักงานในประเทศเจ้าบ้าน เช่น ธุรกรรมการเงินออนไลน์ระหว่างประเทศ อาจทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบ กำกับ และติดตามช่องทางการทำธุรกรรมเหล่านี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินในฐานะผู้บริโภค การเปิดตลาดบริการทางการเงินภายใต้ ทีพีพีจึงมีความเสี่ยงที่ประเทศกำลังพัฒนาอาจจะต้องเผชิญแรงกดดันจากข้อเรียกร้องเหล่านี้ของสหรัฐ ซึ่งแตกต่างจากการเปิดตลาดภายใต้เวทีอื่นในภูมิภาค เช่น อาเซียน ซึ่งจะคำนึงถึงความพร้อมของประเทศเจ้าบ้านกว่านี้ ทั้งนี้ การเปิดตลาดบริการทางการเงินที่เหมาะสม ควรจะเป็นการเปิดตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคำนึงถึงทั้งประโยชน์ที่ผู้ใช้บริการทางการเงินจะได้รับ และความพร้อมของระบบสถาบันการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการของประเทศเจ้าบ้านมีเวลาปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน @ข้อสรุปและมองไปข้างหน้า ที่ผ่านมา มีทั้งกระแสความกลัวว่าไทยจะตกขบวนทีพีพี และกระแสความกังวลว่าหากไทยร่วมขบวนทีพีพีแล้วจะมีปัญหา ทีพีพี ถือเป็นโอกาสของไทยในการขยายการส่งออกไปประเทศสมาชิกทีพีพี โดยเฉพาะสหรัฐ และอาจรวมถึงประเทศอื่นที่อาจจะเข้าร่วมทีพีพี เช่น แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งไทยยังไม่ทำเอฟทีเอ แต่ประเด็นข้อกังวลที่สำคัญคือ การลงทุนและบริการทางการเงิน ซึ่งในเรื่องการลงทุนทีพีพีควรจะมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองนักลงทุนกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน และในเรื่องบริการทางการเงิน ทีพีพีควรจะให้เปิดตลาดบริการทางการเงินตามความพร้อมที่แท้จริงของประเทศเจ้าบ้าน ส่วนข้อกังวลในเรื่องมาตรฐานด้านแรงงานสิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงสิทธิบัตรยา คือ ไทยยังไม่มีความพร้อมในการปฏิบัติตามมาตรฐานของสหรัฐ ที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อถึงเวลาที่ผลการเจรจา TPP ปรากฏออกมาชัดเจน ไทยควรพิจารณาทั้งผลดีและผลเสียในทุกๆ ด้านอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของทุกฝ่าย และประโยชน์ต่อสาธารณชนในระยะยาว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 16 พฤศจิกายน 2555, 15:41:30 เครือข่ายพธม.ใต้16จว.ประกาศร่วมม็อบเสธ.อ้าย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เครือข่ายพธม.ใต้16จว.ประกาศร่วมม็อบเสธ.อ้าย "โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม" จี้ตร.จัดการมือที่สามจ้องป่วน เชื่อตำรวจรู้ว่าอยู่ที่ไหน โฆษณาโดย Google บ้านทิวทะเล คอนโด ชะอำจองด่วน ซื้อคอนโด แถมรถยนต์ฟรี คอนโดหรู 1 ห้องนอน เริ่ม 3.39 ลบ.www.BaanThewTalay.com เก่งอังกฤษในเวลาสั้น ๆพัฒนาภาษาอังกฤษเร็วเป็น 4 เท่า โดยเรียนรู้กับซอฟต์แวร์ที่บ้านwww.in-eng.com Krungsri Cash to Carสินเชื่อเพื่อรถบ้านรู้ผลอนุมัติเร็ว แถมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.www.krungsriauto.com/แคชทูคาร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สนามม้านางเลิ้ง มีการแถลงข่าวรายวันขององค์การพิทักษ์สยาม โดย นายสุนทร รักษ์รงค์ ผู้ประสานงานกลุ่มเครือข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า เครือข่าย 16 จังหวัดภาคใต้ได้แปรขบวนมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ ส่วนเหตุผลที่แปรขบวนเพราะได้มีการ ขับเคลื่อนขบวนทางการเมืองผู้ประชาชน ฉะนั้นวันนี้เครือข่ายฯจึงทำแถลงการณ์เรื่องประกาศจุดยืน และนำมวลชนร่วมชุมนุมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม และภาคีเครือข่าย ในวันที่ 24 พ.ย. 2555 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 09.01 น. ขณะที่ พล.อ.ท วัชระ ฤทธาคนี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ได้ส่งตัวแทนยื่นจดหมายนำเรียนถึงนายกรัฐมนตรีถึงความตั้งใจ และการที่มวลชนมาร่วมกันนั้นเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยมาตรา 63 ตามรัฐธรรมนูญไทย ฉบับปี2550 และเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหารที่จะต้องดูแลปวงประชาชนที่จะเข้ามาลานพระบรมรูปทรงมาในวันที่ 24 พ.ย. เพราะเป็นประโยชน์ส่วนรวม โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวอีกว่า การชุมนุมครั้งนี้เครือข่ายโซเซียลเน็ตเวิร์คมีการรวมตัวกันมากมายเป็นประวัติการ มากมายกว่าครั้ง พฤษภาคม 2553 ด้วยซ้ำไป เพราะการประกาศชุมนุมครั้งนี้จะไม่ยืดเยื้อมีเวลาแค่วันหรือสองวันท่านั้น ทำให้คลื่นความคิดอารมณ์ร่วมที่จะแสดงความตั้งใจที่จะยุติการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ ในเครือข่ายโซเซียลเน็คเวิร์คทราบกันดีว่าไม่ยืดเยื้อ เพราะหากไม่ออกมาจะไม่มีเวลาอีกแล้ว จึงทำให้กระแสในไซเบอร์สเปซ โลกออนไลน์ โดยเฉพาะเครือข่ายเฟสบุ๊กขณะนี้ของประเทศไทยอาจขึ้นอันดับหนึ่ง และที่มีการใช้เครือข่ายนี้มาก เพราะประชาชนตอบรับแล้วว่าวัตถุประสงค์จิตมั่นของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ นั้นต้องการที่จะขจัดนักการเมือง พรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมทุจริต คอรัปชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปล่อยปละละเลยให้คนชั่วร้ายที่จาบจ้วงสถาบันฯอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ทำอะไรอย่างเด็ดขาด แต่บางครั้งกลับส่งเสริมด้วยซ้ำ พล.อ.ท. วัชระ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้มีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคหรืออีเมลไปที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาซึ่งประสานงานกับสถานทูตเรียบร้อยแล้ว ว่าจะส่งอีเมล 2 ฉบับ โดยฉบับหนึ่งจะนำเรียนนายบารัค โอบามา ขอแสดงความยินดีที่ชนะการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง และอีกฉบับหนึ่งจะชี้แจงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ความตั้งใจ และแรงสะท้อนจากประชาชนชาวไทย คือแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะชุมนุมโดยสันติ ยึดถือรัฐธรรมนูญมาตรา 63 เป็นสำคัญ และยืนยันว่าหากท่านจะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องมาห่วงว่าทางองค์การพิทักษ์สยามจะไปทำให้ท่านระคายเคืองต่อความตั้งใจที่ท่านจะเดินทางมาประเทศไทย “ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปยื่นจดหมายด้วยตัวเองนั้นเพราะกลัวจะไปสร้างความวุ่นวายให้กับสถานทูตฯ สร้างความเดือดร้อนให้กับคณะที่จะมาอารักขานายอารัค โอบามา และขอให้หัวหน้าระดับ Secret เซอร์วิสของประธานาธิบดีสหรัฐอย่าได้กังวลใจว่าองค์กรพิทักษ์สยามจะไปทำสร้างอุปสรรคให้กับพวกท่าน”โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม กล่าว ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมายุติการชุมนุมโดยสันติวิธี หรืออำนาจไม่เป็นธรรมของรัฐและใช้อำนาจรัฐข่มขู่ประชาชนนั้น พล.อ.ท.วัชระ กล่าวว่า คิดว่าประชาชนทั่วไปมีวิจารณญาณเองว่าใครทำร้ายประชาชนใครทำร้ายประเทศชาติ สำหรับกรณีที่อาจจะมีมือที่ 3 เข้ามาป่วนนั้น มวลชนที่จะมาร่วมครั้งนี้เป็นกลุ่มชนที่มีประสบการณ์เคยชุมนุมต่อต้านรัฐบาลไม่ว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายสมัคร สุนทรเวช หรือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว ฉะนั้นในระบบการที่เคยปฏิบัติ หรือประสบการณ์ที่สัมผัสมาแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ได้เชื่อว่าจะไม่มีมือที่สาม จึงไม่ได้ประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย “โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีมวลชนอิสระที่ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมมาก่อนเลย อย่างเช่นผมที่ไม่เคยร่วมชุมนุมมาก่อน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้อยากจะถามว่ามีความปลอดภัยมากแค่ไหน ผมจึงได้บอกไปว่าผมก็ไม่เคยมีประการณ์ แต่ผมมาและคิดว่าคนที่คิดเช่นนี้จะออกมาเยอะ และตนก็ได้เคยบอกไปแล้วว่ามือชั่วที่จะมาก่อการนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง ในส่วนนี้เรียนเลยว่าตำรวจสันติบาล ตำรวจท้องที่ กองปราบปรามเองก็ทราบและอย่าได้ละเลย เขารู้ทั้งหมดมือปืนอยู่ตรงไหน อันธพาลอยู่ตรอกซอกซอยไหน เพราะฉะนั้นจึงอยากเรียนผ่านถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำไมไม่ไปกดดันคนกลุ่มนั้น จะมากดดันพวกผมทำไม ผมก็เป็นคนไทยที่บริสุทธิ์แล้วก็ตั้งใจออกมา และไม่เคยมีประสบการณ์ ตำรวจเมื่อตรวจประวัติก็น่าจะรู้ดีว่าไม่เคยร่วมชุมนุมที่ไหน”พล.อ.ท.วัชระ กล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 20 พฤศจิกายน 2555, 20:36:44 คำสั่งลับด่วนที่สุด 3 ฉบับ ที่ โอบามา เซ็นต์ทันที หลังจากเครื่องพ้นน่านฟ้าประเทศไทย !!!!!!!!!!!!!!
ตามข่าวแจ้งว่า โอบามา เซ็นต์คำสั่งทันที่สัญญาณเข็มขัดนิรภัยดังขึ้น เครื่องบินไต่ระดับเรียบร้อยแล้ว คำสั่งฉบับที่ 1 สั่งให้ตั้งกรรมการสอบสวน มหาวิทยาลัย แคนตั๊กกี้ ของอเมริกาเอง ในประเด็นการอนุมัติปริญญาให้กับนักศึกษาต่างประเทศ อันควรเชื่อได้ว่า ไม่ได้ปฎิบัติตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการอนุมัติปริญญาระดับบัณฑิตศึกษาของนายกประเทศไทย ที่ภาษาอังกฤษไม่น่าจะผ่าน เพราะพูดคุยกับพลเมืองอเมริกันไม่ได้ คำสั่งที่ 2 สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำหนังสือเชิญ นายกของไทย ให้ไปร่วมงานปาร์ตี้ส่วนตัวของผู้นำสหรัฐที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ โอบามา ได้ให้เหตุผลแบบลับๆเอาไว้ในหนังสือคำสั่งดังกล่าวว่า รับรู้ถึงสายตาของนายกไทย ที่บ่งบอกความนัยบางอย่าง แต่เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ทำให้ ตัวเขาเอง ไม่กล้าแสดงอาการตอบรับได้อย่างเปิดเผย การพบปะกันในนามส่วนตัว น่าจะตอบสนองนัยยะของนายกไทยได้ คำสั่งที่ 3 สั่งให้สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ทำการศึกษา ค้นคว้า ว่าหญิงไทยมีมารยากี่ร้อยเล่มเกวียนกันแน่ เมื่อได้ผลสรุปแล้ว ให้ส่งให้โดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันตัวเอง หากเกิดผิดพลาด เช่น ไม่ยอมกลับไทย หรือ แสดงอาการที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจเป็นอย่างอื่น จะได้มีแนวทางในการแก้ไข เพื่อหลีกเลี่ยงการโดน อิมพีชเม้นต์ ---------------------------------- หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 10:00:15 “สมเกียรติ” แฉ “แม้ว” เตรียมเขมร 5 พันคนรอป่วนม็อบ แนะปชป.ลาออกแสดงความจริงใจ
สมเกียรติ” เผยข่าวจากเขมรเสรี 3 สาย “ทักษิณ” เตรียมกองกำลังเขมรราว 4-5 พันคนรอเข้ามาป่วนม็อบองค์การพิทักษ์สยาม โดยจะอ้างว่าเป็นแดงเทียม เชื่อปรากฏการณ์เสธ.อ้าย และ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมของพันธมิตรฯ จะทำให้ปฏิวัติประชาชนสำเร็จ พร้อมแนะส.ส.ประชาธิปัตย์ลาออก ยอมเว้นวรรคการเมือง แสดงความจริงใจร่วมปฏิวัติกับประชาชน วันที่ 22 พ.ย. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย นักวิชาการอิสระ ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV โดยนายสมเกียรติกล่าวถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ว่า รัฐบาลคงประเมินแล้วว่าสมัยนายอภิสิทธิ์เคยใช้แล้วชนะ เลยกล้าประกาศ แต่อย่าลืมว่านายอภิสิทธิ์ใช้ทหารปฏิบัติการเป็นส่วนใหญ่ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ใจตำรวจมากกว่า การประกาศนี้คงเป็นความคิดของนายทักษิณ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มที่เขาจะนำมาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกัมพูชา ตนได้รับรายงานจากกลุ่มเขมรเสรี 3 สาย ในวันนี้ว่ากองกำลังของกัมพูชาจะเข้ามาราวๆ 4-5 พันคน โดยเปิดช่องสะงำ ช่องจอม และปอยเปต ไว้รอรับพวกนี้ออกไป แล้วเชื่อว่า นายฮุนเซน จ่ายเงิน 100 ล้านบาทให้ด้วย ประกอบกับ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) รายงานว่าพวกนี้เป็นแดงเทียม นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า ตนระลึกตลอดเวลาว่าการเคลื่อนไหวเมื่อ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้นของประชาชน แล้วต้องเคลื่อนไหวไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะสูงสุด คือตระกูลนี้ไม่มีอยู่ในประเทศไทย สมุนรับใช้ต้องออกไปต่างประเทศ ทั้งนี้มีโอกาสที่ทหารกับตำรวจจะปะทะกัน ถ้าทหารเห็นว่ามีการทำร้ายประชาชนมาก และตนเชื่อว่าการปฏิวัติประชาชนครั้งนี้คงได้รับผลสำเร็จ แต่เวลาไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อไหร่ รวมไปถึงประเด็น พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่พันธมิตรฯ จะเอาไปเคลื่อนไหว โดยจะทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าหากสำเร็จ น้ำมันลดทันที 19 บาท เพื่อให้คนที่ไม่รู้จักเดือดร้อน ได้รู้ถึงความเดือดร้อน ตนเชื่อว่า ปรากฏการณ์เสธ.อ้าย ปรากฏการณ์ปิโตรเลียม จะทำให้เมืองไทยปฏิวัติประชาชนได้ แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า การปฏิวัติประชาชนที่ฟิลิปปินส์ คนออกไป 2 ล้านคน ใช้วลา 4 วัน แต่เสธ.อ้ายกลับใช้เวลาครึ่งวัน โดยประกาศให้เวลาถึงแค่ 11 โมง หากคนน้อยยกเลิกชุมนุม ด้วยความเคารพ ท่านไม่ควรเร่งรัดเวลา การขับไล่รัฐบาลมันต้องอาศัยการสะสมพลังด้วย แล้วส่วนใหญ่คนจะมาเยอะช่วง 1-2 ทุ่ม อยากให้ท่านดูเวลาระหว่าง 16.00-20.00 น. ช่วงนี้เหมาะสมที่จะขอมติมหาชนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลจากปวงชน นายสมเกียรติยังกล่าวด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์มีการพูดคุยกันหลายครั้งให้ ส.ส.ลาออก แต่มันติดคนสองคนที่ไม่ยอม ตนไม่อยากเอ่ยชื่อว่าใคร คล้ายๆ รออะไรบางอย่าง ตนว่าท่านควรคิดให้ไกลกว่านี้ ลาออกเพื่อแสดงความจริงใจว่าต้องการปฏิรูปพร้อมกับประชาชน เห็นมีแต่ พ.อ.วินัย สมพงษ์ ที่กล้าประกาศยอมเว้นวรรคทางการเมือง ด้านนายชัชวาลย์กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ถ้าคนโง่ก็จะบอกว่านายกฯพูดมีเหตุผล แต่ถ้าคนมีสมองก็จะเห็นว่าสมัยอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ พี่ชายคุณก็ไปจ้างเสื้อแดงออกมาชุมนุม เผาบ้านเผาเมือง ทำไมตอนนั้นไม่แก้ปัญหาในสภา นักการเมืองเหมือนกันไม่มีผิด เวลาเป็นรัฐบาลบอกให้แก้ปัญหาในสภา เวลาเป็นฝ่ายค้านก็ออกมาเป็นม็อบข้างถนน นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า พล.อ.บุญเลิศมีพรรคพวกเยอะ รู้จักคนทุกวิชาชีพ ที่สำคัญมีพวกเป็นทหาร วันนี้มีข่าวออกมา เสื้อแดงบอกว่านายใหญ่ซื้อหัวหน้าทหารไว้ได้แล้ว แต่ทหารระดับกลาง ระดับล่าง มีความไม่พอใจรัฐบาล ที่จะเอาทหารติดคุกในคดีสลายการชุมนุมเสื้อแดง ฉะนั้นรัฐบาลจึงไม่มั่นใจ เลยเตรียมต้านรัฐประหารกันใหญ่ นอกจากนี้ม็อบเสธ.อ้ายยังคาดเดาได้ยาก ไม่รู้จะจบอย่างไร รัฐบาลเคยทำชั่วมาแล้ว ถ้าทหารออกมามันตายเลย วันนี้ประเด็นการชุมนุมมันจุดติดแล้ว คนเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เยอะจริงๆ วันนี้ถ้าเดินดีๆมันคือชัยชนะ แล้วแกนนำพันธมิตรฯ ไม่หวงมวลชน เพราะเห็นว่ามีผู้นำที่ทำเพื่อชาติยิ่งเยอะยิ่งดี พร้อมฝากถึงประชาธิปัตย์ว่า หากยังเลือกตั้งในระบบที่เต็มไปด้วยการซื้อสิทธิขายเสียง ไม่มีทางชนะเพื่อไทยได้ เพราะเขาจ่ายเยอะกว่า ประชานิยมเพื่อไทยก็ทำมาก่อน ประชาชนจำได้แบบนั้น ถ้าประชาธิปัตย์มองการไกล ยอมเว้นวรรค ร่วมปฏิรูปกับประชาชน กลับมาเลือกตั้งใหม่ก็จะเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 10:15:38 อย่าให้โจรเหยียบหัว
(http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-101231_709469.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-101302_731938.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-101405_13647.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-101448_840278.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121123-101520_198617.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 10:22:16 ร่วมการเคลื่อนไหวกับองค์กรพิทักษ์สยาม ๒๔ พย.
เอาสำนึกคุณธรรม มาสำนึก ณ.เบื้องลึกของหัวใจ ให้ปรากฏ สร้างจิตใจผู้รักชาติ อันงามงด แล้วสวมบทเสริมวิญญาณ ต้านศัตรู ณ.ที่ใดใช้เผด็จการ การกดขี่ ณ.ที่นั่นจักต้องมี การต่อสู้ เอาสายเลือดความรักชาติ มาลาดปู เดินหน้าสู่การเคลื่อนไหว ไทยสร้างไท อำนาจใดฤาหยุดยั้ง พลังประชา ที่ก้าวหน้าแลรักชาติ อันยิ่งใหญ่ สามัคคีมีรูปการ สานดวงใจ หลอมรวมให้เป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน จงชี้นิ้วไปข้างหน้า เพื่อท้ารบ กับอำนาจรัฐบัดซบ ให้ลือลั่น หมดเวลาความชั่วชาติ รัฐสามานย์ ประชาชนทุกชนชั้น...จะชิงชัย สุคม ศรีนวล ได้โพสต์ลงในชมรมพัฒนาการเมือง หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 13:07:30 โอบามา..ทำไมจึงญาติดีกับทักษิณ? โดย เปลว สีเงิน
ในขณะที่ทักษิณปลื้มกับบทบาทน้องสาวของเขาจนน้ำตาซึม แต่คนไทยแทบต้องเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ ทั้งเจ็บ ทั้งอาย ทั้งอดสู ต่อสายตาดูหมิ่น-ดูแคลน คละเคล้าเสียงหัวเราะหยามเย้ยจากชาวโลก อันมาจากพฤติกรรมนายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อ "นางสาวยิ่งลักษณ์" ในบทบาท Woman's touch ต่อประธานาธิบดีโอบามา ที่สื่อต่างๆ ทั่วโลกนำไปประจานชนิดไม่ไว้หน้า ถึงขั้นใช้คำว่า Seductive glance ขยายความ All in the eyes ของยิ่งลักษณ์! คนไทยที่อยู่ในประเทศ "ไทยมองไทย" ก็พอเข้าใจพฤติกรรมจากสันดานได้อยู่ แต่คนไทยที่อยู่ต่างประเทศซีครับ จะอธิบายเป็นการแก้ไขภาพลักษณ์ประเทศ โดยเฉพาะภาพลักษณ์หญิงไทยให้ชาวต่างชาติเขาเข้าใจตรงความเป็นจริงได้ขนาด ไหน? แค่คิด ผมยังทั้งเหนื่อย (ใจ) ทั้งอายแทน! โลกออนไลน์ตอนนี้ว่อนไปหมด ทั้งจริง ทั้งเอาจริงตัดต่อเสริมแต่งเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเวอร์ชั่นต่างๆ นานา โดยมีโอบามา-ยิ่งลักษณ์ เป็นพระเอก นางเอก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ไม่ทันข้ามคืน ด้วยบทบาท Woman's touch ของยิ่งลักษณ์ เธอเข้าสู่บท "เจ้าแม่ล่มเมือง" ได้เต็มตัว! ด้วยยุคสมัย "เทคโนโลยีการสื่อสารครองโลก" ถึงแม้สื่อใต้ระบอบทักษิณจะทำตัวเป็น "มือเดียวปิดฟ้า" ด้วยไม่นำเสนอ ไม่พูดจาถึงพฤติกรรมฉาวโลก แต่ก็ไม่สามารถปิดหรือกลบบทบาทน่าละอายของนายกฯ ไทยนางนี้ต่อการรับรู้-รับทราบของคนไทย-คนโลกได้ เพราะเรื่องฉาวในลักษณะคาวโลกนั้น มันเป็นไฟลามทุ่งด้วยระบบดาวเทียมสื่อสารทักษิณนั่นแหละ! ไม่เชื่อก็ดูจาก Weekly World News ฉบับวันที่ ๑๙ พ.ย.ก็ได้ เขาพาดหัวตัวเท่าหม้อแกงบนหน้าหนึ่ง ทับรูป "กระสันสวาท" ด้วยคำว่า THAI PRIME MINISTER FALLS IN LOVE WITH OBAMA The Prime Minister of Thailand, Yingluck Shinawatra, has fallen madly in love with President Obama. และใน "ภาพชุด" ที่นำประจาน ใต้ภาพหนึ่ง เขาเขียนคำอธิบายไว้สุดแสบ-สุดอายคล้ายสักหมึกไว้กลางหน้าผากคนไทยทั้งมวล เป็นข้อความว่า........ Prime Minister Shinawatra is lovesick and wants to return with President Obama to live with him at The White House. "The Prime Minister doesn’t care if she is the second wife to Michelle, she just wants to be with Barack Obama and will do anything for him," said a source in the Thai government. "She’s madly in love." ไม่เพียงสื่อภาษาอังกฤษ กระทั่งสื่อภาษาจีน หนังสือพิมพ์ "ไชนาเดลี" อันเป็นสื่อทางการของรัฐบาลจีน ยังลงข่าวหน้า ๑ ชาวบ้าน-ชาวเมืองวิพากษ์-วิจารณ์นายกฯ ไทยไปในทางดูหมิ่น-ดูแคลนกันฉาวฉาน ผมอ่านจีนไม่ออก วานพรรคพวกเขาอ่านพาดหัวได้ความว่า "โอบามาและนายกรัฐมนตรีสาวสวยของไทยดูเหมือนจู๋จี๋กันออกนอกหน้า ทำให้คนจีนเห็นแล้วรับไม่ได้" นี่เฉพาะจากหนังสือพิมพ์ทางการรัฐบาลจีนนะครับ ยังไม่ต้องพูดถึงด้วยเสียงวิจารณ์เสียๆหายๆ อื้ออึงจากคนจีนตามเว็บต่างๆ เอาหละ...ถ้าท่านอยากรู้รายละเอียดอันเป็น "ท่าทีจีน" ต่อกรณีนี้ คลิกไปที่ http://www.chinadaily.com.cn/hqzx/2012-11/19/content_15941848.htm อ่านดู แล้วจะรู้ว่า ทางจีนเขามีความรู้สึกตอบสนองบทบาท "ยิ่งลักษณ์-โอบามา" แบบไหน อย่างไร? มาดูภาพรวมในการมาเยือนไทยของโอบามาบ้าง ผมว่าโอบามา "ได้ใจคนไทย" ร้อยละ ๙๙.๙๙ ก่อนมา แสดงว่าโอบามาศึกษา "สังคมไทย" มาด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง ทั้งหมด-ทั้งมวล สรุปได้จากการเข้าเฝ้าฯ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ของประชาชนคนไทย มาดที่เป็นบุคลิกเด่นของโอบามาชินตาชาวโลกคือ นั่งที่ไหน ไม่ว่ากับใคร โอบามาเป็นต้อง "นั่งไขว่ห้าง" กระทั่งจากไทย ไปพบประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่พม่า ภาพที่ปรากฏ โอบามานั่งไขว่ห้างคุยกับเต็ง เส่ง สบายอารมณ์ แต่เป็นภาพแรก-ครั้งแรกก็ว่าได้ที่โอบามานั่งสำรวม ค้อมหลังน้อยๆ สองมือกุมวางไว้บนตัก สองเท้าวางบนพื้น เข่าชิด ในการเข้าเฝ้าฯ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"! และตลอดเวลาที่เรียกว่า "การสนทนา" โอบามาสำรวมระวัง กิริยานอบน้อม นุ่มนวล ไม่มีการเผลอจนมีท่าทางหลุดใดๆ ปรากฏให้เห็น ภาพคืนวันนั้น เมื่อเผยแพร่สู่สาธารณชน ผมกล้าพูดได้ว่า ไม่มีคนไทยคนไหนที่เห็นแล้วจะไม่ประทับใจ และไม่ปันใจรักให้กับโอบามา กระทั่งกับต่างชาติ-ต่างภาษา โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่มีบุคลิกทางวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่ง เมื่อเห็นบุคลิกภาพโอบามาเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" สำรวมเรียบร้อย เพียบพร้อมด้วยวัฒนธรรมตะวันออกของไทย สมกับผู้นำแห่งโลกอารยะ ผมว่าเขาต้องทึ่ง ทึ่งในตัวโอบามา จากบุคลิกภาพ "ผู้นำโลก" ที่เปลี่ยนแปลกตาด้วยท่าทีส่อถึงความเคารพ-เลื่อมใสต่อผู้อื่น อันไม่เคยปรากฏกับใคร ที่ไหนมาก่อน และจากจุดนั้น คนตะวันตกจะเกิดทัศนะศรัทธาต่อ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ด้วยความรู้สึกสืบเนื่องจาก "ความเข้าใจ" ที่โปร่งใส-ถูกต้อง ตรงนี้โอบามา "ได้ใจ" ผมไปหมดเลย! โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐคนนี้ ผมว่า "ไม่เบา" จะเป็นคู่ต่อสู้ของ "สีจิ้นผิง" ประธานาธิบดีคนใหม่ของจีน ที่มีลำหัก-ลำโค่นใน "ศึกชิงยุทธภูมิแปซิฟิกและอุษาคเนย์" ที่ใครก็ไม่หย่อนกว่าใคร จากที่เห็น โอบามา "ทำการบ้าน" เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ร่วม ไทย-พม่า-เขมร-ลาว-จีน มาดีชนิด "เข้าถึงราก" ไปพม่า ลงจากรถปุ๊บ ก็ยกมือพนมแต้ ไหว้นางอองซาน ซูจี ชนิดไม่มีอาการเก้งก้าง และการซบกอด จุมพิต-จุมฟอดนางอองซานนั้น ให้ความรู้สึกประหนึ่ง "มารดากับบุตร" ที่ห่างหน้ากันเนิ่นนาน เป็นการกอดและจูบสะท้อนนับถือศรัทธามาจากจิตใต้สำนึกบริสุทธิ์ ต่างกับท่าทีชายเจนสนาม-หญิงเจนศึก ณ ทำเนียบไทย ซึ่งให้ความรู้สึกต่างกันเหมือนหน้ามือ-หลังเท้า! การที่โอบามาพกเจตนามาไทยด้วยหวังปูทาง-วางฐานยุทธศาสตร์ "ปิดล้อมจีน" ในภูมิภาคนี้นั้น ในภาพกว้างว่ากันไม่ได้ เพราะการเมืองระหว่างประเทศนั้น ใครๆ ก็หวังประโยชน์ที่ประเทศตนจะพึงได้จากอีกฝ่ายเหมือนกันหมด ในโลกที่เป็นจริง การณ์ทุกอย่าง ใครจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว โดยไม่ยอมเสียบ้าง ก็ย่อมไม่ได้ และใครจะเสียฝ่ายเดียว โดยไม่ได้อะไรมาแลกเปลี่ยน ก็ย่อมไม่ได้ ในการคบหาเป็นมิตรสหายของไทย กับทั้งสหรัฐ และกับทั้งจีน ก็ย่อมอยู่ในฐานนี้ หลักใหญ่-ใจสำคัญอยู่ตรงว่า จะใช้ประโยชน์ชาติ-ประโยชน์ประชาชนอันเป็นส่วนรวม "เป็นตัวตั้ง" ในการยอมได้-ยอมเสีย หรือ...จะใช้ประโยชน์เฉพาะตน-เฉพาะตระกูลและพวกพ้อง "เป็นตัวตั้ง" แล้วเอาประโยชน์ชาติไปแลก ซึ่งนั่นเป็นการได้เฉพาะตน แต่เสีย "ทั้งชาติ"! คำถามที่คนไทยทั้งประเทศอยากรู้คำตอบจากปากโอบามาว่า "ทำไมจึงยอมให้ทักษิณเข้าประเทศ และมีการคบหารัฐบาลทักษิณ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประณามทักษิณว่า The crook?" แต่นักข่าวหน้าม้ารัฐบาลระบอบทักษิณไม่ถาม กลับเฉไฉด้วย "พูดฝรั่งได้" แล้วถามคำถามงั่งๆ ที่ทั้งฝรั่ง-ทั้งไทยไม่สนใจจะรู้ ประเด็นนี้ คือประเด็นโอบามาพลิกกลับมาคบหาระบอบทักษิณ สื่อฝรั่งและคนในวงทักษิณเองนั่นแหละซุบซิบกันให้แซดว่า ด้วยนโยบายสหรัฐจะกลับมาใหญ่ในแปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุนั้น ผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างทักษิณกับสหรัฐจึงเกิดขึ้น ทักษิณได้วีซ่าเข้าสหรัฐ สหรัฐได้รับเชิญเข้ามาใช้อู่ตะเภาเป็นฐานทัพ ทักษิณรับเจรจากรุยทางเข้าพม่าให้สหรัฐ โดยพม่ามีสัมปทานทางธุรกิจแลกเปลี่ยน ตลอดถึงความร่วมมือทางการทหารระหว่างไทย-พม่า-สหรัฐ เพราะสถานการณ์ขณะนี้ ผลประโยชน์ทักษิณ-สหรัฐตรงกัน สหรัฐต้องการไทย ต้องการพม่า เพื่อตัดทางออกมหาสมุทรอินเดียและอันดามันเป็นการปิดล้อมจีน ในขณะเดียวกัน ทักษิณเองทำให้เห็นว่าสนิทสนมกับจีน แต่ความจริงแล้ว "จีนไม่เอาทักษิณ"! ทำเป็นบินเข้า-ออกจีนให้เป็นข่าว แต่เปล่าหรอก...ไปก็ไปได้ แต่จีนตีกรอบให้แกร่วอยู่แถบๆ สนามบินปักกิ่งเหมือน "หมีแพนด้าในกรง" เท่านั้น จะไปโน่น-ไปนี่ทั่วเมืองจีนตามใจชอบไม่ได้ โอบามากับทักษิณเคยพบกันมั้ย....ผมไม่ทราบ แต่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เขียนเป็น "รายงานข่าว" ไว้ท้ายข่าวการมาเยือนไทยของโอบามาอย่างนี้ครับ... Reporters were led out of the room as the group continued to talk, Obama could be overheard saying he met with Prime Minister Thaksin Shinawatra in Bali last year and that it strengthened our relationship as we left. เอ้า...เพื่อความชัดเจนว่าไม่ใช่ผมพูดเองส่งเดช ท่านคลิกไปอ่านเองที่.....http://www.washingtonpost.com/blogs/worldviews /wp/2012/11/18/president-Obama-secretary-of-state-clinton-meet-King-of-thailand/ ท่านจำได้ใช่มั้ย "คดีวอเตอร์เกต" ที่ทำให้ประธานาธิบดีนิกสันต้องตกเก้าอี้ ก็เพราะการเจาะข่าวของวอชิงตันโพสต์นี่แหละ และเมื่อวอชิงตันโพสต์เขียนไว้อย่างนี้ ใครล่ะ...กล้าปฏิเสธ ฉะนั้น ระวังนะ ไอ้เบื๊อกตนไหนออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐมาเทียบท่าแถวๆ แหลมฉบังนั่นน่ะ จริงก็ดีไป แต่ถ้าเท็จแล้วปกปิด.... ก็จะรู้ว่าจีน "ซีเรียส" ขนาดไหนกับเรื่องนี้ ในทันที-ทันใด บอกไม่เชื่อ! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 16:32:43 เพลง ระดมกันออกมา
ได้รับการร้องขอ..จึงupขึ้นมาให้นำไปฟังหรือไปใช้กัน.. เพลงนี้ คุณโอ๋ นักร้อง-นักดนตรีประจำวงฆราวาส เป็นผู้แต่งทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และmix เองเสร็จ โดยนำแนวทางและเนื้อหา บางคำ เช่น กร้านกาจ แรดหรู จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์มาใช้ประกอบ และก็เร่งทำอยู่3-4 วันเพิ่งเสร็จ พอนำมาเปิด..ปรากฎว่า มีบางตอนเสียงเพี้ยน โอ๋ ก็รีบทำส่งมาให้ใหม่ . . จุดมุ่งหมายของเพลงนี้มีความคาดหวังให้คนได้เข้าใจปัญหาของประเทศ และออกมาช่วยกันแสดงความเห็น อันเป็นประชาธิปไตยทางตรงของเรา ไม่ใช่การใช้อำนาจแค่เลือกคนไปทำงานแทน(เลือกตั้งผู้แทน) .... เป็นการศึกษาประชาธิปไตยบทที่ 1... http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=qZejyaHPn-g#! หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 16:41:32 สมจิตต์ นวเครือสุนทร
ขอสามคำถามถึงนายกรัฐมนตรีผ่านเฟซบุ๊ค และอยากทราบว่า เพื่อน ๆ มีสามคำถามไหนที่อยากถามนายกฯมากที่สุด 1 การประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงโอยอ้างการข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคุกคามและต้องการล้มล้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะสวนทางกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในวันเดียวกันว่า การชุมนุมดังกล่าวไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ 2 นายกฯให้เหตุผลว่ากลไกสภาจะทำหน้าที่แก้ปัญหาและกำลังจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยรัฐบาลพร้อมที่จะชี้แจง แต่ในวันดียวกันสภาล่มเพราะไม่มีรัฐมนตรีไปตอบกระทู้สดเรื่องความไม่สงบในภาคใต้ และ ส.ส.รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา จนองค์ประชุมไม่ครบต้องปิดประชุมตอนประมาณ 14 นาฬิกา พฤติกรรมลักษณะนี้จะทำให้ประชาชนมั่นใจได้อย่างไรว่า นายกให้ความเคารพต่อระบบรัฐสภา และการเมืองในสภาจะแก้ปัญหาได้ 3 การระบุว่าการชุมนุมสามารถทำได้ตามขอบเขตของรัฐธรรมนูญคือ ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ท่านคิดว่าการชุมนุมในปี 52 ล้มการประชุมอาเซียน และ ปี 53 ที่มีกองกำลังติดอาวุธและเกิดการเผาเมือง โดยแกนนำเป็นผู้ปลุกปั่นยุยงให้มวลชนใช้ความรุนแรง เป็นการกระทำที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และในวันที่ท่านไปร่วมชุมนุมเท่ากับท่านก็คือส่วนหนึ่งของการทำผิดกฎหมายด้วยหรือไม่ หากเทียบกับการชุมนุมครั้งนี้ซึ่งแกนนำประกาศชัดว่าจะไม่มีการเคลื่อนที่ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่บุกสภา สถานที่ราชการ แต่ใช้จำนวนมวลชนกดดันรัฐบาลแทนทำไมท่านจึงคิดว่าการชุมนุมเช่นนี้เกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ และมีการสร้างภาพจากรัฐบาลว่าการชุมนุมจะเกิดความรุนแรง จนอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและเศรษฐกิจโดยรวม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 17:02:00 ไฟเขียวแช่แข็งนักการเมืองเลว
23 November 2555 - 00:00 ม็อบเสธ.อ้ายเฮลั่น! ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ก๊วนเพื่อไทยกล่าวหาล้มล้างระบอบการปกครอง ระบุไม่ปรากฏมูลเหตุ การชุมนุมวันที่ 24 พ.ย. เป็นเพียงแสดงพลังขับไล่รัฐบาล ขณะที่แนวคิดแช่แข็งประเทศ หมายถึงการแช่แข็งนักการเมืองเลว-ชั่วไว้แค่ 5 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้อง ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ได้กระทำการโดยใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ เพื่อที่ศาลจะได้นำไปพิจารณาว่าจะรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือเรียก พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคณี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม เข้าให้ถ้อยคำ แต่บุคคลทั้ง 2 ได้มอบหมายให้ทนายความ ประกอบด้วย นายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ เข้าชี้แจงต่อศาลแทน นายประยงค์กล่าวก่อนเข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ที่ พล.อ.บุญเลิศไม่ได้มาชี้แจงด้วยตัวเอง เนื่องจากติดภารกิจ จึงมอบหมายให้ตนมาชี้แจง ซึ่งจะชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ในการชุมนุมว่า เป็นไปเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการบริหารงานของรัฐบาล ที่ปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการ และแสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งยังมีการทุจริตคอรัปชั่น ดังนั้นการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ไม่เคลื่อนไหวไปยึดสถานที่ราชการ รวมถึงรัฐสภา และหากผู้ชุมนุมมาน้อยก็จะยุติการชุมนุม อย่างไรก็ตาม แม้ประชาชนจะมาร่วมชุมนุมมาก ทางกลุ่มก็คิดว่าสามารถควบคุมมวลชนได้ เพราะเป็นการชุมนุมโดยสงบ และจะไม่มีการปลุกระดมให้เกิดการคลุ้มคลั่ง รวมถึงรัฐบาลก็ระบุเองว่าจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าดูแลไม่น้อยกว่า 50,000 นาย ซึ่งทางกลุ่มก็จะมีการจัดเจ้าหน้าที่ในการตรวจไม่ให้ผู้ที่จะร่วมชุมนุมพกพาอาวุธเข้ามา ดังนั้นต่อให้ออกกฎหมายอะไรก็ไม่มิอาจยับยั้งในการชุมนุมครั้งนี้ได้ เพราะการมาชุมนุมครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าประเทศถึงทางตันแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า คำประกาศของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ระบุว่าจะแช่แข็งประเทศไทย ทำให้ถูกมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นายประยงค์กล่าวว่า พล.อ.บุญเลิศไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว ที่มีการระบุว่าจะแช่แข็งประเทศไทย และมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองนั้น น่าจะมาจากฝ่ายตรงข้ามมากกว่า ส่วนหากศาลสั่งให้ยุติการชุมนุมหรือไม่นั้น ขอฟังคำสั่งศาลก่อนว่าจะออกมาอย่างไร แล้วค่อยบอกว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป ขณะที่นายหนึ่งดินกล่าวว่า ตนได้เตรียมมอบเอกสาร และข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ตามปกติผู้ร้องไม่ต้องขอชี้แจง เป็นเรื่องของทางศาลที่จะไต่สวนผู้ถูกร้อง เพราะผู้ร้องได้ยื่นไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอวิธีการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณา คือเรื่องนี้ทางศาลรัฐธรรมนูญเคยวางบรรทัดฐานไว้สั่งให้มีการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างมีการพิจารณามาตรา 68 ของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา กับพวกที่ยื่นคำร้องกล่าวหาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างการปกครอง และศาลก็สั่งให้โดยผู้ร้องไม่ได้ขอด้วยซ้ำ เมื่อถามว่า พล.อ.บุญเลิศ ระบุว่าไม่ได้ชุมนุมล้มล้างการปกครอง ต้องการมาชุมนุมเพราะทนไม่ได้กับการทำงานของรัฐบาล นายหนึ่งดินกล่าวว่า อยากให้สื่อและประชาชนดูการกระทำซึ่งเป็นเครื่องชี้เจตนา การกระทำไม่ใช่ม็อบธรรมดา ถ้าเป็นม็อบธรรมดามากันขอให้รัฐบาลลาออกยุบสภาฯ ก็เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะเขาวางแผนว่าม้วน 2 ต้องจบ จะจบอย่างไร ไม่ใช่จบแบบทั่วไป เป้าหมายไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย การล้มล้างการปกครองต้องดูว่าล้มล้างอำนาจอะไร นิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ ซักว่า หลักฐานอะไรไปกล่าวหา นายหนึ่งดินอ้างว่า ชัดเจนเพราะเขาประกาศที่สนามม้าว่าจะขับไล่รัฐบาล การชุมนุมปกติขับไล่รัฐบาลให้ลาออกไม่แปลก แต่ขับไล่ให้ออกนอกประเทศ หยุดการทำงานอ้างเหตุเดิมๆ 3 ข้อ เราดูแค่กรรมและหลักกฎหมาย เราดูการกระทำมากกว่า กบฏแค่คิดก็ผิดแล้ว อย่างเสธ.อ้ายบอกว่าถ้ามีกำลังในมือก็จะปฏิวัติแล้ว แค่นี้ก็ผิดแล้ว ส่วนนายเรืองไกรให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตนได้นำหลักฐานที่เป็นการถอดเทปคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศ ในรายการสถานีวิทยุหนึ่ง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นเวลา 10 นาที ซึ่งมั่นใจว่าหลักฐานชิ้นนี้ชี้ชัดว่ากลุ่มองค์การพิทักษ์สยามเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครอง เชื่อมั่นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญได้ฟังคำชี้แจงดังกล่าวก็จะมีคำสั่งให้กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามยุติการชุมนุมอย่างแน่นอน ต่อมาคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา โดยโดยนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ถามนายประยงค์ ว่าที่ พล.อ.บุญเลิศพูดว่าจะแช่แข็งประเทศไทย มีความหมายอย่างไร นายประยงค์ชี้แจงว่า จริงๆ ข้อความดังกล่าวนี้ พล.อ.บุญเลิศไม่ได้พูดเช่นนั้น พร้อมยืนยันว่า พล.อ.บุญเลิศไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลว ไม่ให้ได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ กอบโกยผลประโยชน์สัก 5 ปี ไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่แข็งประเทศ ส่วนเมื่อไม่มีนักการเมืองจะมีคณะบุคคลเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยใช้วิธีการใด ตนไม่ทราบในรายละเอียด ประธานศาลรัฐธรรมนูญซักว่า การชุมนุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อไล่รัฐบาล มีความประสงค์จะได้อำนาจรัฐด้วยวิธีการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้หรือไม่ ทนายความของ พล.อ.บุญเลิศยืนยันว่า เป็นการชุมนุมก็เพื่อไล่รัฐบาล แต่ไม่ใช่การใช้วิธีการที่มิได้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เพราะการชุมนุมที่กำลังจะมีขึ้นเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้อยู่แล้ว และยืนยันว่าการกระทำครั้งนี้ พล.อ.บุญเลิศไม่ได้ประสงค์ที่จะได้อำนาจเพื่อเป็นรัฐบาล หรือเพื่อประโยชน์ขององค์การ แต่ทำเพื่อส่วนรวม “ลำพังจะใช้กระบวนการทางรัฐสภาไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำที่ไม่ชอบของรัฐบาลได้ เพราะรัฐบาลชอบอ้างว่ารัฐบาลมาจากประชาชน ดังนั้นวัตถุประสงค์การชุมนุมต้องการแสดงให้รัฐบาลเห็นว่ายังมีกลุ่มบุคคล ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ไม่มีเจตนาที่จะขับเคลื่อนมวลชนไปยึดสถานที่ราชการ รวมถึงรัฐสภา และหากผู้ชุมนุมมาน้อยก็จะยุติการชุมนุม นี่คือเจตนา ถึงที่สุดแล้วว่าไม่มีเจตนาที่จะไปข่มขู่บังคับด้วยการใช้กำลังใดๆ อันจะไปเข้าเงื่อนไขการล้มล้างหรือว่าก่อการกบฏตามที่ผู้ร้องกล่าวหา” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการไต่สวนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาไต่สวนประมาณ 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นศาลได้อ่านกระบวนการพิจารณาให้ทราบ โดยให้รอฟังคำสั่งในวันนี้ เวลา 15.30 น. ว่าจะรับคำร้องในคดีดังกล่าวไว้พิจารณาหรือไม่ พร้อมระบุว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่คำวินิจฉัย จากนั้นเวลา 15.30 น. นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 คำร้องตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา นายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความ ชมรมผู้รักความเป็นธรรม และนายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 68 ว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ได้กระทำการโดยใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวที่ระบุว่าแนวคิดการปิดประเทศ หรือแช่แข็งประเทศ เป็นความหมายว่า เป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว ไว้แค่ 5 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ การชุมนุมในวันที่ 24 พฤศจิกายน เป็นเพียงการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล “คำร้องดังกล่าวจึงยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการล้มล้างการปกครองตามที่กล่าวอ้าง ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย” หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญระบุ. หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 พฤศจิกายน 2555, 23:03:24 สิบแสน ... กระพือปีก
โดย : ดร.ไสว บุญมา ในช่วงนี้อาจมีปรากฏการณ์อันมีผู้สวมเสื้อยืดสีขาวพิมพ์ด้วยรูปผีเสื้อหลายขนาดพาดส่วนหน้าพร้อมข้อความว่า “สิบแสน ... กระพือปีก” แรงดลใจที่นำไปสู่การทำเสื้อได้แก่กลอนบทหนึ่งซึ่งผมเขียนไว้ในหน้าของเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟสบุ๊คที่มีความว่า - จงมาเป็นผีเสื้อผู้เชื่อมั่น ว่าสักวันภาวะจะเหมาะสม ปีกบางบางจะสร้างกระแสลม เป็นพายุแห่งสังคมอุดมการณ์ ต้นตอของกลอนบทนี้คือ “ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก” ซึ่งผมมักใช้เรียก “ทฤษฎีความอลวน” (Chaos Theory) เนื่องจากผลของทฤษฎีอาจมีปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “ผลลัพธ์รูปผีเสื้อ” (Butterfly Effect) ทฤษฎีความอลวนเป็นทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ซึ่งอาจนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ วิศวกรรม ชีววิทยา ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ ภูมิอากาศ การเงิน หรือการเมือง มันเป็นการศึกษาพฤติกรรมของระบบความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องซึ่งภาวะเริ่มต้นมีผลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นสูงมาก ความเปลี่ยนแปลงในภาวะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ผลที่ออกมาเปลี่ยนไปชนิดใหญ่หลวงยิ่ง สิ่งหนึ่งซึ่งอาจเกิดขึ้นนั้นเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ผลลัพธ์รูปผีเสื้อ” เนื่องจากเส้นที่ลากซ้ำๆ ตามพฤติกรรมของความเปลี่ยนแปลงดูคล้ายผีเสื้อขณะสยายปีกบิน (ดังรูป) ทฤษฎีความอลวนอาจนำมาตีความหมายในมุมมองของศาสนาพุทธเรื่องกรรมอันเป็นผลของการกระทำต่างๆ ได้ ตามทฤษฎีนี้ การกระทำทุกอย่างมีผลที่แน่นอน แต่ผลนั้นมิอาจคาดเดาล่วงหน้าได้และการเปลี่ยนแปลงของภาวะเริ่มต้นแม้เพียงเท่าเม็ดฝุ่นซึ่งอาจเป็นการโกหกของคนคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกแผ่นดินได้ ผู้นำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นที่สุดได้แก่ศาสตราจารย์เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ เขาเสนองานในการประชุมใหญ่ของสมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อปี 2515 งานชิ้นนั้นเป็นเอกสารชื่อ Predictability : Does the Flap of a Butterfly’s Wings in Brazil Set off a Tornado in Texas? ซึ่งอาจแปลว่า “ความเป็นไปได้ในการทำนายผลลัพธ์ : การกระพือปีกของผีเสื้อหนึ่งตัวในบราซิลทำให้เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ในรัฐเท็กซัสได้หรือไม่” ในตอนต้นๆ บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างพากันมองว่าเขาคงบ้าไปแล้วที่เชื่อว่าแรงลมจากการกระพือปีกของผีเสื้อเพียงตัวเดียวในทวีปอเมริกาใต้จะทำให้เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ถึงในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ต่อมาอีกนานก่อนที่งานของเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นงานชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งซึ่งช่วยสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สังคมไทยอาจมองได้ว่าเป็นระบบความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องระบบหนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมเป็นลักษณะจำเพาะของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของปัจจัยในระบบเพียงอย่างเดียวอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง แต่แน่ละ เราจะไม่สามารถทำนายผลที่จะออกมาได้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างไร อนึ่ง สภาพรอบตัวเราอาจตีความหมายได้ว่าสังคมของเรามิใช่สังคมอุดมการณ์ ฉะนั้น เราจึงพยายามทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่สังคมที่เราปรารถนาไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปในทางที่ตนคิดว่าน่าจะนำไปสู่สังคมอุดมการณ์ตามคำนิยามของตน ล่าสุดเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มพิทักษ์สยามซึ่งจะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลในวันพรุ่งนี้ ผู้นำการเคลื่อนไหวเชื่อว่าประชาชนนับล้านคนมองว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรที่เป็นปัจจัยของการพัฒนาไปสู่สังคมอุดมการณ์ตามคำนิยามของตน แต่กลับทำในทางตรงข้ามเช่นความฉ้อฉลอย่างกว้างขวาง รัฐบาลจึงควรออกไป พวกเขาเชื่อว่าถ้าประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมขับไล่ในวันพรุ่งนี้ รัฐบาลจะออกไปแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงมีการชักนำด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุม หนึ่งในหลายๆ วิธีได้แก่การอ้างถึงทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีกและบทกลอนของผม จากมุมมองของทฤษฎีดังกล่าว แต่ละบุคคลมีสภาพคล้ายผีเสื้อตัวหนึ่ง ทุกคนมีความสำคัญ ถ้าผู้นั้นไม่ออกมาร่วมชุมนุมก็หมายความว่ายังเลือกที่จะไม่กางปีกบิน ตรงข้าม การออกมาชุมนุมเป็นการกระพือปีกโผบิน การออกมาร่วมชุมนุมของใครคนใดคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงตามที่ผู้นำต้องการ แต่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าคนนั้นคือใครและเป็นคนที่เท่าไร ผู้สวมเสื้อยืดที่มีรูปผีเสื้อพิมพ์อยู่ตรงหน้านั้นมองเห็นความสำคัญของการออกมาร่วมชุมนุมซึ่งผู้นำมองว่าถ้าออกมาถึง 1 ล้าน หรือสิบแสนคน ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่แน่ละ เมื่อเกิดแล้วผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรไม่มีใครสามารถทำนายได้ล่วงหน้า ผู้ที่เลือกจะออกมาชุมนุม หรือจะไม่ออกมา หรือจะต่อต้านการชุมนุมในวันพรุ่งนี้จึงควรที่จะตระหนักในความไม่แน่นอนดังกล่าว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 07:25:23 ปล.งานเข้าแล้วไหมล่ะ บิ๊กโอ๋.... ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ชี้ สุกำพล ออกคำสั่งปลด มาร์ค ผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร มาตรา 4,5 และ 19 ระบุ หาก สด.9 เป็นเท็จ คนผิดคือเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ อภิสิทธิ์ เอาผิดไม่ได้ คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 1163 /2555 มีสาระสำคัญว่า ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำเอาใบแทน สด 9 อันเป็นเอกสารเท็จไปใช้เพื่อประกอบการขึ้นทะเบียนกองประจำการ เจ้าหน้าที่ผิดหลงจึงรับขึ้นทะเบียนกองประจำการ เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ ผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง จึงให้ลงโทษปลดออกจากราชการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 จากข้อความที่กล่าวในคำสั่งมีข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา ดังนี้ 1 ถ้าใบแทน สด 9 ไม่ถูกต้องไม่ว่า กรณีใด ๆ ผู้กระทำคือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่การกระทำของนายอภิสิทธิ์ จะลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้อย่างไร เว้นแต่นายอภสิทธิ์จะมีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วย แต่กรณีนี้ไม่มีข้อเท็จให้ฟังได้เช่นนั้น 2 ข้อเท็จจริงดังที่นำมากล่าวอ้างในการลงโทษเกิดขึ้นก่อนที่ทางราชการทหารจะรับนายอภิสิทธิ์ เข้ารับราชการเป็นทหารประจำการ เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้เป็นข้าราชการทหาร ก็จะมีการกระทำผิดวินัยทหารไม่ได้และกระทำการอันเป็นการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการไม่ได้ เพราะการการกระทำดังกล่าวต้องเกิดจากการกระทำของบุคคลที่เป็นข้าราชการเท่านั้น 3 ที่อ้างว่าให้ลงโทษทางวินัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 นั้น พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ระบุไว้ใน มาตรา 4 ว่า วินัยทหารนั้น คือ การที่ทหารต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมของทหาร และมาตรา 5 ว่า การกระทำที่ผิดวินัยทหาร มีคือ (1) ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน (2) ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย (3) ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมทหาร (4) ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร (5) เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ (6) กล่าวคำเท็จ (7) ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร (8) ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ (9) เสพเครื่องดองของเมาจนเสียกิริยา ตามบทบัญญัติในมาตรา 4 และ 5 ดังกล่าว ย่อมเห็นได้ว่า กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้บังคับแก่ทหารประจำการ แต่กรณีของนายอภิสิทธิ์ ดังกล่าวมาแล้วว่า ข้ออ้างที่ใช้อ้างในการลงโทษนายอภิสิทธิ์ เกิดก่อนที่ทางราชการทหารจะบรรจุนายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการ เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้เป็นทหารก็ย่อมกระทำผิดวินัยทหารไม่ได้และการกระทำที่นำมาอ้างในคำสั่งก็ไม่ใช่การกระทำดังที่กล่าวไว้ในมาตรา 5 จึงไม่อาจลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้ นอกจากนี้ตามมาตรา 19 ก็กำหนดให้ลงทัณฑ์ทหารที่กระทำผิดวินัยภายในสามเดือนนับแต่วันกระทำผิดวินัย ถ้าล่วงเลยสามเดือนแล้วจะลงทัณฑ์ไม่ได้ เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นทหารประจำการแล้วและเวลาที่อ้างว่ามีการกระทำผิดวินัยก็ล่วงเลยมา 20 ปีเศษแล้ว จึงไม่อาจลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน สรุปแล้ว ข้อเท็จจริงที่อ้างในคำสั่ง ไม่อาจนำกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารมาใช้เลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้ เป็นการออกคำสั่งโดยที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดเจน เครดิต เพจสายตรงภาคสนาม ปล.งานเข้าแล้วไหมล่ะ บิ๊กโอ๋.... ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ชี้ สุกำพล ออกคำสั่งปลด มาร์ค ผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร มาตรา 4,5 และ 19 ระบุ หาก สด.9 เป็นเท็จ คนผิดคือเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ อภิสิทธิ์ เอาผิดไม่ได้ คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 1163 /2555 มีสาระสำคัญว่า ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำเอาใบแทน สด 9 อันเป็นเอกสารเท็จไปใช้เพื่อประกอบการขึ้นทะเบียนกองประจำการ เจ้าหน้าที่ผิดหลงจึงรับขึ้นทะเบียนกองประจำการ เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ ผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง จึงให้ลงโทษปลดออกจากราชการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 จากข้อความที่กล่าวในคำสั่งมีข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา ดังนี้ 1 ถ้าใบแทน สด 9 ไม่ถูกต้องไม่ว่า กรณีใด ๆ ผู้กระทำคือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่การกระทำของนายอภิสิทธิ์ จะลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้อย่างไร เว้นแต่นายอภสิทธิ์จะมีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วย แต่กรณีนี้ไม่มีข้อเท็จให้ฟังได้เช่นนั้น 2 ข้อเท็จจริงดังที่นำมากล่าวอ้างในการลงโทษเกิดขึ้นก่อนที่ทางราชการทหารจะรับนายอภิสิทธิ์ เข้ารับราชการเป็นทหารประจำการ เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้เป็นข้าราชการทหาร ก็จะมีการกระทำผิดวินัยทหารไม่ได้และกระทำการอันเป็นการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการไม่ได้ เพราะการการกระทำดังกล่าวต้องเกิดจากการกระทำของบุคคลที่เป็นข้าราชการเท่านั้น 3 ที่อ้างว่าให้ลงโทษทางวินัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 นั้น พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ระบุไว้ใน มาตรา 4 ว่า วินัยทหารนั้น คือ การที่ทหารต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมของทหาร และมาตรา 5 ว่า การกระทำที่ผิดวินัยทหาร มีคือ (1) ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน (2) ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย (3) ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมทหาร (4) ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร (5) เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ (6) กล่าวคำเท็จ (7) ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร (8) ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ (9) เสพเครื่องดองของเมาจนเสียกิริยา ตามบทบัญญัติในมาตรา 4 และ 5 ดังกล่าว ย่อมเห็นได้ว่า กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้บังคับแก่ทหารประจำการ แต่กรณีของนายอภิสิทธิ์ ดังกล่าวมาแล้วว่า ข้ออ้างที่ใช้อ้างในการลงโทษนายอภิสิทธิ์ เกิดก่อนที่ทางราชการทหารจะบรรจุนายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการ เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้เป็นทหารก็ย่อมกระทำผิดวินัยทหารไม่ได้และการกระทำที่นำมาอ้างในคำสั่งก็ไม่ใช่การกระทำดังที่กล่าวไว้ในมาตรา 5 จึงไม่อาจลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้ นอกจากนี้ตามมาตรา 19 ก็กำหนดให้ลงทัณฑ์ทหารที่กระทำผิดวินัยภายในสามเดือนนับแต่วันกระทำผิดวินัย ถ้าล่วงเลยสามเดือนแล้วจะลงทัณฑ์ไม่ได้ เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นทหารประจำการแล้วและเวลาที่อ้างว่ามีการกระทำผิดวินัยก็ล่วงเลยมา 20 ปีเศษแล้ว จึงไม่อาจลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน สรุปแล้ว ข้อเท็จจริงที่อ้างในคำสั่ง ไม่อาจนำกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารมาใช้เลงโทษนายอภิสิทธิ์ได้ เป็นการออกคำสั่งโดยที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดเจน เครดิต เพจสายตรงภาคสนาม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 09:47:12 เวลา 09.15น. สื่อ2คนถูกตร.ปล่อยตัว คนนี้ช่างภาพไทยพีบีเอส กล้องหล่น บัตรสื่อหาย โดนลูกหลงช่วงปะทะที่มัฆวานฯ
ภาพ/ข่าว จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ...สำนักข่าวเนชั่น twitter@jeerapong_nna เวลา 09.15น. สื่อ2คนถูกตร.ปล่อยตัว คนนี้ช่างภาพไทยพีบีเอส กล้องหล่น บัตรสื่อหาย โดนลูกหลงช่วงปะทะที่มัฆวานฯ ภาพ/ข่าว จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ...สำนักข่าวเนชั่น twitter@jeerapong_nna เวลา 09.15น. สื่อ2คนถูกตร.ปล่อยตัว คนนี้ช่างภาพไทยพีบีเอส กล้องหล่น บัตรสื่อหาย โดนลูกหลงช่วงปะทะที่มัฆวานฯ ภาพ/ข่าว จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ...สำนักข่าวเนชั่น twitter@jeerapong_nna (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121124-094652_760218.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 09:49:58 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121124-094913_885012.jpg)
คุณยายได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตาบริเวณสะพานมัฆวาน ติดตามถ่ายทอดสดได้ทาง Bule Sky http://www.blueskychannel.tv/ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: พธู ๒๕๒๔ ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 09:52:38 แวะมาอ่านครับ
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 09:53:02 จากเพจ สมจิตต์ นวเครือสุนทร
ประชาธิปไตยมีไว้ให้สีแดง ตำรวจแบ่งแยกสิทธิไทยใช่ไหม รำลึกราชประสงค์ไฟเขียวไป แต่คนไทยจะใช้สิทธิถูกกีดกัน สะท้อนใจตำรวจไทยเลือกปฏิบัติ เห็นชัด ๆ ปี 53 ไม่แข็งขัน ขนอาวุธจุดมวลชนกันเมามัน เปิดด่านพลันให้สีแดงดาหน้ามา ถ้า 53 พวกท่านทำหน้าที่ คงไม่มีโศกนาฏกรรมช้ำหนักหนา ทั้งเผาเมืองรุนแรงยุยงมา ตำรวจจ๋าพวกท่านทำอะไร ไทยใกล้ดับตำรวจไม่ทำหน้าที่ แบ่งเลือกสีข้างนักโทษดับเทียนไข ปิดพื้นที่ริดรอนประชาธิปไตย หรือคนไทยสิทธิไม่เท่าแดง มวลมหาประชาชนทนไม่ไหว ขอใช้สิทธิแสดงออกกั้นยกแผง มีสองมือพร้อมหัวใจที่แข็งแรง ด้วยกล้าแกร่งหวังปกบ้านรักษาไทย สกัดกันเต็มที่ไม่มีท้อ ย่นระย่อกับอธรรมดั่งน้ำไหล หลากล้นสู่ลานพระรูปดูห่างไกล คนจะไปมาไม่ถึงต้องพึ่งกรุง ต่างจังหวัดมาไม่ทันถูกกีดกั้น ฝากคนกรุงพลิกผันไล่ถลุง ไทยเป็นหนึ่งรวมพลังช่วยพยุง ให้ไทยรุ่งหลุดพ้นมารครอบงำ ประชาธิปไตยแบบไหนจึงเลือกสี หากรัฐดีอย่าให้เกิดเหตุซ้ำ ไทยใช้สิทธืเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม อย่าตอกย้ำแบ่งแยกจนชาติพัง ถามนายกฯรักษาชาติหรืออำนาจ ใยจึงขลาดกลัวคนไทยที่เขาหวัง รัฐบาล 15 ล้านเสียงพร้อมรับฟัง รวมพลังสร้างสรรค์ไทยให้มั่นคง แก๊สน้ำตาใช้กับคนมือเปล่า ช่างขลาดเขลายึดอำนาจอย่างลุ่มหลง มีสติพร้อมปัญญาเพื่อปักธง ให้ไตรรงค์ครบทุกสีใช่สีเดียว ไล่ทุบตีประชาชนอายบ้างไหม เขาคนไทยแต่รัฐกลับไฟเขียว ใช้กำลังกีดกั้นเพียงอย่างเดียว คนแน่นเหนียวสู้อำนาจรัฐอธรรม ประชาชนเขาทำอะไรผิด แค่ใช้สิทธิชุมนุมรุมตีซ้ำ ประชาธิปไตยแบบไหนช่างริยำ ยิ่งตอกย้ำเผด็จการครอบงำไทย หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เจตน์ ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 09:53:28 นั่งเฝ้า นั่งเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านครับ emo28:win:
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 24 พฤศจิกายน 2555, 21:06:13 เกลียดตำรวจของไทย (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121124-210526_141458.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 09:15:22 แชร์ข้อความจาก รักเธอ ประเทศไทย
24 พ.ย. 2555 ถอยทางยุทธวิธี ... แต่ ชนะทางยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ ที่สารพัดสื่อ และ ผู้คน เคยเย้ยหยันกันมาตลอดว่า "ไม่ชัดเจน" วันนี้ มหาประชาชนที่มีสติปัญญา และ กล้าหาญ ได้อุบัติขึ้นแล้ว ขอบคุณ ความไม่ชัดเจน ========================================= me พริตตี้ รักในหลวง ค่ะ / ขอบคุณความไม่ชัดเจน เหมือนกันค่ะ เพราะความไม่ชัดเจนของยุทธศาสตร์ที่เสธอ้ายได้ทำไปวันนี้ ทำให้เราได้เห็นอะไร ๆ ในบ้านเมืองนี้ชัดเจนขึ้นค่ะ 1. ได้เห็นตัวตนคนรักชาติที่ออกมาแสดงพลัง / เพื่อนหลายคนไม่เคยไปม็อบก็ออกมา 2. ได้เห็นผู้นำม็อบที่มีความเป็นสุภาพบุรุษค่ะ / เสธอ้าย ท่านยอมถุกประนามว่าล้มรัดถะบานไม่สำเร็จ(แต่ต่อจากนี้อะไรจะเกิดกับรัดถะบานต้องดูยกที่สองค่ะ) 3. ได้เห็นการตีแผ่ขบวนการหมิ่น ที่หลายคนคิดว่าไม่มีจริง / คนที่เกี่ยวข้องกะคลิป ออกมาเ้ต้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวกเลย (อันนี้ก็มีผลตามมาอีกแน่นอน) 4. ได้เห็นตะกวดทำพลาด ทำเกินเหตุ ทั้งภาพ ทั้งคลิป เพียบ ข่าวตีไปต่างประเทศ จะเป็นไงหนอ / อย่าคิดว่าออกมาตอแหล ผ่านฟรีทีวี แล้วคนไทยทั้งประเทศจะเชื่อ คนไทยไม่ได้กินหญ้าทั้งประเทศน๊า 5. ได้เห็น คณะรัดถะมนทีน และ นางยกปูเน่า กลัวซะขรี้ไปอยู่บนหัวกันทั้งคณะ กลัวซะจนต้องรีบประกาศใช้ พรบ เพื่อความมั่นคงของรัดถะบาน โดยลืมดูไปว่ามันขัดกับกฎหมายหรือเปล่าหนอ / ใครเป็นฝายกฎหมาย รบกวนเช็คด่วนเลยค่ะ ตายหมู่ยกคณะแน่ 6. ได้เห็นว่าคนไทยผู้ไม่นิยมแม้ว แต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่าย สามารถออกศึกร่วมกันได้ / อันนี้ดีใจที่สุดเลยค่ะ ที่ทุกท่านก้าวข้ามความขัดแย้งส่วนตัว มองเห็นภัยของชาติยิ่งใหญ่กว่าเรื่องหยุมหยิมส่วนตัว ชื่นชมค่ะ และสุดท้าย 7. ได้เห็นบางคนที่ออกอาการโลกสวยเกินเหตุ อะไรก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่น่าไว้ใจ นั่งละเมอรูป นั่งฝันในอากาศ / อันนี้จะได้แยกแยะเพื่อนกลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้น คงไม่สนใจเท่าไหร่ ปล่อยให้เค้าอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างมีความสุขต่อไปค่ะ ไม่เป็นไรถ้าเพื่อนไม่พร้อมแชร์ อยู่เฉย ๆ นะ เดี๋ยวพวกเรากวาดบ้านให้ ถึงเวลาแล้วค่อยมาจอยกันใหม่นะ ขอบคุณที่ทนอ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ค่ะ ♥ เพื่อนที่น่ารักทุกท่าน ♥ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 09:18:29 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121125-091648_394823.jpg)
นีคือ กะป๋องแกสน้ำตาของตำรวจ ที่ร้าย คือ หมดอายุแล้ว...ไม่ดีได้ใจจริงตำรวจไทย ใจวรนุช ได้เวลาแฉผลงานความสารเลวของรัฐตำรวจละ...ขี้เรื้อนเผด็จการ แต่สะเออะเอาเสื้อคลุมประชาธิปไตยมาหุุ้ม..คิดเหรอว่าจะไม่มีใครเห็น...กินภาษีประชาชนแต่กลับรับใช้ทรราช...ตำรวจดีๆขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะเจ้าคะ...เราไม่เหมาเข่งคร๊า มีวุฒิภาวะพอ.. Thailand Political Watchdog (TPW) ศูนย์ติดตามข่าวสารการเมืองและปกป้องสถาบัน หลักฐานที่ตำรวจทำร้ายประชาชน / จากสถานที่เกิดเหตุ — กับ ประโยชน์ อะไรกับคำสัญญา หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 09:20:07 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121125-091905_57449.jpg)
ระบายอารมณ์ หวังจะเป็นจริงซักวัน หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 09:25:32 เกลียดตำรวจของไทย
ศอรส.แถลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการรักษาแนวป้องกันเท่านั้น!!! ไม่ได้ใช้ความรุนแรง เชื่อมันหน่อยนะฮะ เสร็จจากการชุมนุมในวันนี้ มีข้อเสนอถึง นายกฯ ให้ส่งเจ้าหน้าที่ ที่เข้ามาปฏิบัติการในครั้งนี้ทั้งหมด ลงไปดูแลความสงบเรียบร้อยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เผื่อภาคใต้ของเราจะได้เกิดความสงบขึ้นมาบ้าง (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121125-092401_792876.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 21:14:30 ควันหลง เสธอ้าย ยุติการชุมนุม เมื่อวานนี้ ..มีหลายๆกลุ่ม หลายๆฝ่าย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ..เพื่อหาสาเหตุ ปัจจัย ที่ทำให้ เสธอ้าย ด่วนถอดใจ และ ประกาศยุติการชุม นุม หรือ ยอมแพ้ เอาง่ายๆ ทั้งๆที่เหตุการณ์มันกำลังตึงเครียด และ กำลังทำท่าจะบานปลาย และ น่าจะกลายเป็นจลาจล หาก เสธอ้าย ตัดสินใจ ให้ผู้ชุมนุมอยู่ชุมนุมกันต่อไป.. หากเป็นแกนนำคนเสื้อแดง เห็นอารมณ์ของมวลชนแบบนี้ เจอตำรวจทำรุนแรงแบบนี้ พวกเขาจะเข้าไปใช้ให้เป็นประโยชน์ทันที เพื่อสร้างศพผู้คนบริสุทธิ์ เพื่อไปเอาผิดกับรัฐบาล จริงๆไม่ใช่เฉพาะแกนนำเสื้อแดงหรอก แกนนำมวลชนภาคประชาชนอื่นๆ ที่ปลุกระดมมวลชน ปลุกพลังมวลชนมาได้มากขนาดนี้ .. หากพวกเขาคิดจะทำให้สถานการณ์เกิดความรุนแรง จนเกิดมีความสูญเสีย เกิดมีการบาดเจ็บ ล้มตาย ของผู้คนบริสุทธิ์มากมาย เพื่อจะได้นำไปใช้ในการเล่นงาน รัฐบาล พวกเขาก็สามารถทำได้สบายมาก .. เราจะเห็นได้จากคนเสื้อแดง มาไม่กี่พันคน หรือ อยู่ป่วนถนนไม่กี่พันคน มันก็สามารถสร้างสถานการณ์จลาจล รุนแรง จนเกิดความวุ่นวายได้ ..นับประสาอะไร กับ ม็อบองค์การพิทักษ์สยามของ เสธอ้าย ที่มีมาเป็นแสนๆคนเมื่อวานนี้ ... หากจะใช้ความรุนแรง ผมว่า ..เช้านี้ ยิ่งลักษณ์ ไม่น่าจะอยู่เมืองไทยแล้วล่ะ !!.. หากเสธอ้ายต้องการจะสร้างสถานการณ์วุ่นวาย เพื่อเอาชนะรัฐบาล เสธอ้ายทำได้ง่ายนิดเดียว .. โดยไม่จำเป็นต้องมารอ หรือ ขอเจรจา อะไรกับตำรวจตรวจขี้หมา ให้มันเปิดทางให้หรอก !!.. จัดดาวกระจาย..บุกด้านนั้น ด้านนี้ แบบรุนแรง เหมือนที่ม็อบคนเสื้อแดงมันชอบทำกันนั้น ไม่ช้าไม่นาน แถวตำรวจที่ตั้งด่านสกัดม็อบนั้นมันก็แตก มันก็กระเจิงกันไปเอง ..แต่เสธอ้ายไม่ทำ เพราะ เสธอ้าย ไม่ตั้งใจจะมาทำถึงขั้นนั้น !!.. หากเมื่อวานตำรวจไม่มาปิดถนน ..เชื่อว่า .. ทีเด็ด ของ เสธอ้าย ..คงจะได้ผล เมื่อม็อบขยายวง ขยายแถว ขยายท้ายแถว ไปล้อมสถานที่สำคัญๆในบริเวณนั้นได้หมด และ หากไม่โดนสกัดกั้นจากตำรวจ ภาพม็อบเรือนแสนของเสธอ้าย ก็น่าจะไปสร้างแรงกดดันรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้มากจนตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดได้เช่นกัน .. แต่ก็นั่นแหละ ..อย่างที่บอก เสธอ้าย ไม่ได้ตั้งใจจะพาคนไปตาย เพื่อชัยชนะของตัวเองขนาดนั้น เสธอ้าย ตั้งแต่เริ่มแรกก่อตั้งกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามขึ้นมาแล้ว ก็เพื่อที่จะปลุกกระแสปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมา เพื่อจะสร้างภาคประชาชนที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาเต็มรูปแบบ ไม่อิงแอบพรรคการเมือง เพื่อที่จะสร้างกระแสต่อต้านระบอบทักษิณ และ ต่อต้านขบวนการล้มเจ้าที่มีทักษิณชักใย ให้เป็นรูปร่างพลังมวลชน ที่เข้มแข็ง กลุ่มใหม่ขึ้นมา .. เนื่องจากว่าที่ผ่านมา ประชาชนไม่ค่อยจะตื่นตัว และ รวมตัวกันได้สักเท่าไหร่ ? ในเรื่องของการ ออกมาปกป้องสถาบันฯ หลายๆคน หนักไปทางกล่าวหากันว่า ชอบดึงฟ้าลงต่ำ ชอบนำสถาบันฯมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง อะไรประมาณนี้มากกว่า !!.. ในขณะที่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบันฯ อาฆาตมาดร้ายสถาบันฯ ต่างๆนานา จากกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง จากกลุ่ม ส.ส.นักการเมือง พรรคเพื่อไทย บางกลุ่มบางคน และ จากปากคำ พฤติกรรม ของ ทักษิณ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของขบวนการ ..ที่ผ่านมา ไม่ค่อยจะมีใครกล้าที่จะ นำมาเปิดเผย หรือ บอกต่อ มันทำให้ชาวบ้าน หรือ ประชาชนทั่วไป เข้าไม่ถึงข้อเท็จจริงของเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ ... พอมีใครไปว่า ทักษิณ คิดล้มเจ้า พอมีใครไปว่า ทักษิณ และ คนเสื้อแดง คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง .. ก็จะโดนกลุ่มเชลียร์คนรวย เชลียร์ไพร่ โวยวายกล่าวหาว่า ไปกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย ป้ายสี ทักษิณ !!.. ดังนั้น เรื่องพวกนี้เรื่องขบวนการล้มเจ้านี้ มันจึงมองเห็นเป็นรูปเป็นร่าง อยู่เฉพาะผู้คนภายในกลุ่มเล็กๆไม่มากที่เข้ามาหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต การที่ เสธอ้าย เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เอาตัวเองขึ้นไปอาสาเปิดคลิปเสียง ของ ขบวนการล้มเจ้า ที่มีทักษิณ เป็นตัวการใหญ่ เพื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน ผ่านทางสื่อดาวเทียม และ เวทีสาธารณะ แบบนี้ .. มันจึงเป็นอะไรที่ ฝ่ายทักษิณ และ คนเสื้อแดง ก็คาดไม่ถึงว่า .. เสธอ้าย จะกล้า !!.. สังเกตได้จาก ..ผ่านมา 1 วัน ฝ่ายทักษิณ ยังไม่มีใครออกมาแก้ตัวให้ทักษิณเลยในเรื่องนี้ และ แม้ เฉลิม รองนายกฯ และ ภราดร เลขาฯ สมช. จะบอกว่า จะไปดูคลิป และ จะเอาผิด เสธอ้าย ผมว่านั่นก็คือ แผนของ เสธอ้าย ที่ต้องการให้ รัฐบาล ฟ้องเสธอ้าย เพราะคู่กรณีทั้งหมดที่อยู่ในคลิปนั้น ..มันเกี่ยวข้องกับ ทักษิณ เจ้าของรัฐบาลโคลนนิ่งยิ่งลักษณ์ ด้วยกันทั้งนั้น ..ยิ่งเรื่องนี้เป็นข่าว ทักษิณ และ สมุน ก็มีแต่เสียกับเสีย !!.. จริงๆเรื่องนี้สร้างความสะดุ้งโหยงไปหาพวกแกนนำคนเสื้อแดงด้วย เมื่อวาน ธิดาแดง เมียเหวง ถึงได้ส่ง โฆษก นปช. ออกมาแก้ตัว และ อ้างว่าพวกตนนั้น มีความจงรักภักดี อย่าเหมารวมกล่าวร้ายคนเสื้อแดง ให้มองเป็นรายๆไป ใครผิดก็ว่าไปตามผิดเฉพาะบุคคล ..นอกจากก็มี อภิวันท์ รองฯโรมานอฟ ปากดี เมื่อวานรีบแก้ตัวพัลวัน ทั้งๆที่หลักฐานมัดปากมันแน่นขนาดนั้น ซึ่งมันสะท้อนให้เห็น อาการทุรนทุรายของคนพวกนี้ได้ดี.. เนื่องจากว่า.. เมื่อวานนี้ทั้งวัน คนไทยทั่วประเทศ และ ทั่วโลก ต่างติดตามข่าวสาร การชุมนุมของ ม็อบองค์การพิทักษ์สยาม ของ เสธอ้าย ด้วยใจจดจ่อด้วยกันทั้งนั้น เพราะเสธอ้ายบอกว่าจะไล่ม้วนเดียวจบ 2 วัน และ ทีเด็ด หมัดเด็ด เอาไว้น็อครัฐบาลด้วย.. แม้ว่า เสธอ้าย จะน็อครัฐบาลไม่ได้ และ ใครบางคนก็มองว่า เสธอ้าย โดนรัฐบาลน็อค จนพ่ายแพ้ไปนั้น ดูๆไปมันไม่น่าจะใช่ตามที่เราคิด เราเห็นกันแล้วล่ะ เพราะชัยชนะ มันมีหลายรูปแบบ และ ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันก็ไม่น่าจะมาจากการ ..บุกตีชิงเอาแบบง่ายๆ เพราะเราอาจจะชนะ อาจจะได้ค่าย อาจจะได้เมือง แต่เราจะไม่ได้ใจคน !!.. ตอนนี้หลายๆคนถามไถ่หาแต่คลิปเสียงที่ เสธอ้าย เอาขึ้นไปเปิด ตอนนี้มันกลายเป็นกระแสความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ความจริงของสังคมส่วนใหญ่ขึ้นมาแล้ว คนที่มาร่วมม็อบก็จะกลับไปบอกกันปากต่อปาก คนที่ดูทีวีดาวเทียมทางบ้านก็สื่อสารกันปากต่อปาก และ ประณามการกระทำของทักษิณ .. ซึ่งมันจะไปสร้างความลำบากใจให้กับ ทักษิณ กับ เหล่าสมุนขบวนการล้มเจ้า และ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ น้องรักทักษิณ ในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน เพราะมันสะท้อนให้เห็นความเป็นคนโกหกหลอกลวงของคนพวกนี้ .. ที่ผ่านมาคนพวกนี้พยายามบอกว่า พวกตนนั้นมีความจงรักภักดี ไม่เคยหมิ่นสถาบันฯ แต่โดนฝ่ายตรงข้าม ดึงฟ้าลงต่ำ อ้างสถาบันฯ เพื่อกล่าวร้ายป้ายสี โดยเฉพาะทักษิณ ตัวการใหญ่ที่ คิดล้มเจ้า คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ผ่านมา ทักษิณ มันพยายามจะเลี้ยงกระแส เลี้ยงการปลุกระดม และ เลี้ยงแนวคิดแผนการเลวๆของมัน เอาไว้เฉพาะ..กลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น !!.. เฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง ..ที่ร่วมชุมนุม ร่วมทำกิจกรรมกันมาเท่านั้น ที่จะเข้าใจในเรื่องราวที่คนพวกนี้สื่อสารออกไป ที่คนอย่างทักษิณ อภิวันท์ ใจล์ ก่อแก้ว จตุพร และ ชูพงศ์ สื่อสารออกไป ..(จริงๆมีคนอื่นๆอีกเพียบ) .. ส่วนพวกเหยื่อทักษิณ กลุ่มพลังเงียบ ราษฎร เบอร์ 1 ที่เลือกยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นรัฐบาล พวกที่สนับสนุนการเลือกตั้ง สนับสนุนนายทุนคนรวยมาเป็นรัฐบาล พวกชาวบ้านทั่วไป ที่เขายังเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต เข้าไม่ถึงข้อมูลพวกนี้ มันไม่มีใครรู้เรื่องของขบวนการล้มเจ้า ขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ทักษิณ และ สมุนทาสบริวาร วางแผนการใหญ่เอาไว้กันหรอก .. ชาวบ้านทั่วไป ..วันๆข่าวสารบ้านเมืองแทบจะไม่ได้ดู หนังสือแทบไม่อ่าน การเมืองแทบไม่เข้าหู ดังนั้นจะให้คนพวกนี้รู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยว ขบวนการล้มเจ้านี้ มันก็ต้องอาศัยกระแสตื่นตัวไปกระชากแบบแรงๆ เหตุการณ์ สถานการณ์ ที่เป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ ..เหมือน 1 ล้านเสียง ล้มรัฐบาลเนี่ยแหละ .. ที่จะมาดึง..ผู้คนทั่วบ้านทั่วเมือง ให้หันกลับมา หรือ ให้หันมาให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้ เพื่อที่จะ รู้เท่าทันขบวนการล้มเจ้า และ ตั้งกลุ่มภาคประชาชนกลุ่มใหญ่กลุ่มใหม่ ..ขึ้นมาขัดขวาง แต่เนิ่นๆ เพราะยังไงเสียในอนาคตการเผชิญหน้า ระหว่าง กลุ่มคนเสื้อแดงล้มเจ้า กลุ่มรักทักษิณ กับ กลุ่มประชาชนที่ปกป้องสถาบันฯ กลุ่มต่อต้านทักษิณ .. หนีการเผชิญหน้ากันไม่พ้นแน่ๆ !!.. ดังนั้น .. ชัยชนะของเสธอ้าย เมื่อวานนี้ จึงไม่น่าจะอยู่ที่เป้าหมาย เอามวลชนไปไล่รัฐบาลจนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประกาศลาออก หรือ เกิดการปฏิวัติประชาชนอะไรขึ้นมาได้ .. เพราะหลายๆฝ่ายก็ทำนายกันไว้หมดแล้วว่า ม็อบเสธอ้าย ยังไงก็ไม่จบ ยังไงก็ไม่ชนะรัฐบาล และ ปลุกทหารออกมาปฏิวัติไม่ได้ แต่ที่ยิ่งลักษณ์จะไป และ จะต้องกระเด็นกระดอน ตาม ทักษิณ ออกไปนอกประเทศ มันน่าจะเป็นกลุ่มมวลมหาประชาชน กลุ่มอื่นๆเข้ามารวมกลุ่มใหม่ .. ที่มีการวมพลังกันมากกว่านี้ ที่จะออกมาขับไล่ยิ่งลักษณ์ออกไปในอนาคตมากกว่า !!.. อย่างน้อยๆ .. เสธอ้าย ก็ชนะในศึกหนนี้ไปแล้วตามเป้าหมาย แม้หลายๆคนอาจจะอยากให้มันจบแรงๆ แต่มันไม่จบแรงๆตามที่ตั้งใจ ก็อาจจะต่อว่า เสธอ้าย ว่าไร้ประสบการณ์ ไร้การบริหารจัดการม็อบที่ดี ขาดการ์ดอาสา ขาดอะไรต่อมิอะไร ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็อาจจะมีส่วน แต่มันคงไม่ใช่ทั้งหมด .. ลองคิดดูว่า .. ตั้งแต่ 28 ตุลาคม 2555 ที่สนามม้านางเลิ้ง มาถึง 24 พฤศจิกายน 2555 ที่ลานพระบรมรูป มวลชน และ แนวร่วมของเสธอ้าย ผุดขึ้นมายังกับดอกเห็ด ระยะเวลาเดือนเศษๆ สร้างมวลชน เพิ่มขึ้นมาได้มากมาย หลายเท่าตัว ทุกอย่างเกิดจากการรวมตัวและบอกต่อ และ ขอความร่วมมือ .. หากเมื่อวาน ม็อบองค์การพิทักษ์สยาม ไม่โดนตำรวจสกัดกั้น เชื่อว่าจะมีประชาชนหลั่งไหลจากทั่วประเทศเข้ามาร่วมแสดงพลังกับเสธอ้ายมากมายล้นหลาม เป็นแสนๆแน่ๆ..แต่แค่นี้ก็ดีล่ะ.. เพราะว่า .. 1. เสธอ้าย เอาทักษิณ และ กลุ่มสมุนส่วนหนึ่ง มาประจาน และ สะท้อนให้ประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เห็นถึงขบวนการล้มเจ้า และ ขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่มีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องของการกล่าวหา หรือ กลั่นแกล้งกัน .. 2. เสธอ้าย ใช้วิธีสันติอหิงสา และ รักษาสิทธิ เสรีภาพ ตามกฎหมายด้วยความอดทน อดกลั้น จนเกิดภาพมวลชนที่ดีในสายตาชาวโลก ในขณะที่รัฐบาลกลับเกิดภาพที่แย่ ที่เสื่อม จากผลงาน และ การกระทำอันโหดร้าย ของ ตำรวจ ทีกระทำรุนแรงกับประชาชน ที่รัฐบาลสั่งกีดกัน สกัดกั้นไม่ให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุม เป็นการตอกหน้ารัฐบาลประชาธิปไตยจอมปลอมของยิ่งลักษณ์ 3. เสธอ้าย สร้างมวลชน และ หลอมรวมมวลชนขึ้นมาได้มากมายขนาดนี้ ถือว่า จุดเทียนติดแล้ว แค่รอ แกนนำคนสำคัญ ที่เรียกความศรัทธาจากผู้คนได้ และ จากกลุ่มอื่นๆได้ มาสานต่อ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ ..สำหรับ ชัยชนะ ของ ผู้นำนักรบ ..ชายชาติทหาร .. พูดน้อย ต่อยหนัก ที่ ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ กลัวนักกลัวหนา !!.. วินเซนต์ 25 พฤศจิกายน 255 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 21:41:34 "พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา" รอง ผบ.ตร. ยอมรับ คลิปรถตำรวจบรรทุกแก้สน้ำตากระป๋องสีเขียวนี้ http://goo.gl/nihE3 เป็นภาพจริง และตำรวจใช้แก้สน้ำตาแบบนี้จริง
โดยพล.ต.อ.วรพงษ์ ยอมรับว่าตำรวจใช้แก้สน้ำตาแบบกระป๋องเขียวจริง แต่สื่อสารคลาดเคลื่อนกับโฆษก สตช.พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ทำให้แถลงออกมาเป็นอีกแบบ เครดิต : นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ @noppatjak (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121125-214052_451322.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 พฤศจิกายน 2555, 22:39:31 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121125-223832_642037.jpg) ถ้าเราคิดว่าเราแพ้..เราก็แพ้ แต่ถ้าเราคิดว่าจะสู้ต่อ..เราก็ยังมีหวัง เพจนี้รับสมัครคนไทยหัวใจแกร่ง ยืนหยัดปกป้องสถาบันด้วยกัน ต่อให้วันพรุ่งนี้ไม่มีองค์การพิทักษ์สยาม เราก็ยังมี " พิทักษ์จักรีวงศ์ " ให้ปกป้องตลอดไป http://www.youtube.com/watch?v=Cx7W8HygTOA หากชีวิตคือการดิ้นรน คนหนึ่งคนต้องเดินก้าวไป ให้เรารู้เส้นทางแห่งใจ แล้วก็ไปให้ถึงที่นั่น เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้ ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้ ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ หากปัญหาเข้ามาถ่างโถม อย่าไปโหมให้จงผ่อนคลาย ค่อยๆคิดสบายๆ ปล่อยมันไปตามเรื่องสักวัน เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้ ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้ Cr.ภาพ ซามูไร หัวใจไทย เทิดไท้องค์ราชันย์ @หงส์แดง พิทักษ์จักรีวงศ์ เทิดทูนองค์ภูมินทร์ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: Preecha2510 ที่ 26 พฤศจิกายน 2555, 00:13:56
เท็จจริงอย่างไรไม่รู้แต่มีข่าวลือว่าที่เลิกเพราะสาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการไม่มาตามนัดมากกว่าเหตุผลอื่น หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 พฤศจิกายน 2555, 10:03:43 กี่ตัวที่รุมกัดคนมือเปล่า
(http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121126-100323_372308.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 26 พฤศจิกายน 2555, 14:28:22 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121126-142806_635767.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ทราย 16 ที่ 26 พฤศจิกายน 2555, 15:29:58
แค่ล้ม เดี๋ยวเราก็ลุกได้ค่ะ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 27 พฤศจิกายน 2555, 22:56:34 โตขึ้น ผมไม่เป็นตำรวจเด็ดขาดครับ....ผมเกลียดตำรวจไทย ใจวรนุช
(http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121127-225511_298119.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2555, 10:50:41 คณบดีนิติฯแจงสี่เบี้ย “ทักษิณ” กินรวบประเทศไทย! ยึดได้ทุกองค์กร-จับตา “ธ.ค.” อุ้ม “แม้ว” กลับบ้าน
คณบดีคณะนิติศาสตร์นิด้า ระบุ หลังเสธ.อ้ายพ่าย? สั่งยุติการชุมนุม จะเกิดการขับเคลื่อนของ “ระบอบทักษิณ” เพื่อกินรวบประเทศไทย ทั้งการครอบงำ 3 องค์กรหลักด้วยการรุกคืบ “อำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ” และครอบงำ “ทหาร” เชื่อยึดสภากลาโหมได้ทุกอย่างก็จบ พร้อมเดินหน้าคุมพลังงาน-ขายรัฐวิสาหกิจ หมุนเอาเงินอนาคตอุดปัญหาหนี้สาธารณะ ซ้ำยังเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง จับตาธันวาคมนี้พรรคเพื่อไทยดัน พ.ร.บ.ปรองดอง-แก้รัฐธรรมนูญผ่านสภาฯ วิสามัญ มุ่งปลดล็อกอุ้มแม้วกลับบ้าน ด้านฝ่ายความมั่นคงจี้วงการกฎหมายต้องตื่นตัวสร้างบรรทัดฐานประชาธิปไตย อย่าปล่อยให้รัฐเผด็จการเข้ามาปกครองได้ “นับแต่นี้ต่อไป ให้ถือว่า เสธ.อ้าย ได้ตายไปแล้ว” คำกล่าวบนเวทีครั้งสุดท้ายของ “เสธ.อ้าย” พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกนนำกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม ยังก้องสะท้อนในใจของผู้ไปร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับความคับข้องใจว่าประชาชนไม่มีสิทธิแม้แต่ที่จะแสดงออกถึงความคิดทางกระบวนการทางประชาธิปไตยของรัฐบาลที่ประกาศเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยตลอดเวลาอย่างพรรคเพื่อไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำตัวจริง ได้เลยหรือ สิ่งที่เห็นมีแต่ความเป็นเผด็จการ ใช้ความรุนแรงเพื่อขัดขวางกระบวนการแสดงออกทางประชาธิปไตยด้วยซ้ำ และทันทีที่เสธ.อ้าย ประกาศยุติการชุมนุม จึงเกิดคำถามตามมาว่า “ระบอบทักษิณ” ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครหยุดยั้งได้จริงหรือไม่?โดยเฉพาะพลังของภาคประชาชนถึงยุคอ่อนแอจริงหรือไม่ และอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยจากนี้ไป ซึ่งทีม Special Scoop มีคำตอบ! ระบอบทักษิณเตรียมกินรวบประเทศไทย “ม็อบเสธ.อ้ายครั้งนี้สะท้อนให้ประชาชนเห็นว่าอำนาจของรัฐบาลมีความเข้มแข็งมาก แต่เป็นการเข้มแข็งในลักษณะเผด็จการซึ่งน่ากลัว” ศ.ดร.บรรเจิด สิงคเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าว และวิเคราะห์ว่า ม็อบของเสธ.อ้ายที่ต้องยุติการชุมนุมไป ทำให้เห็นภาพของการวางแผนมาดีของฝ่ายรัฐ แต่ฝ่ายรัฐไม่ได้ถือว่าชนะ เนื่องจากม็อบครั้งนี้มีประเด็นอ่อนไหวที่คนไทยรับไม่ได้ ดังนั้นในแง่ของสังคมไทย เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ยังไม่จบ อีกทั้งสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้ายังปล่อยให้ระบอบทักษิณเดินหน้าต่อไป และจะเกิดความเสียหายอย่างมาก โดยคีย์เวิร์ดของ “ระบอบทักษิณ” คือ การเข้ามาสู่ภาคการเมืองของระบบทุนนิยมเบ็ดเสร็จผ่านระบบพรรคการเมือง โดยจะยังมีการใช้พรรคการเมืองและระบบการแจกเงินรากหญ้าในโครงการประชานิยมเพื่อชนะการเลือกตั้งและก้าวเข้าสู่การคุมอำนาจรัฐในระบอบประชาธิปไตย “ระบอบนี้ไม่ได้นำเงินแค่ให้รากหญ้าหรือให้คนจน แต่จริงๆ แล้วมีการแฝงเพื่อนำเงินงบประมาณมาให้พรรคพวก สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มตัวเองในการคุมอำนาจทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จในทุกระดับด้วย” สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อระบอบทักษิณคุมอำนาจรัฐได้ สิ่งต่อมาที่ระบอบนี้จะทำ เมื่อดูจากความพยายามตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ 1 ทักษิณ 2 คือการคุมอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการอย่างเบ็ดเสร็จ ดัน พ.ร.บ.ปรองดอง-แก้ รธน.เข้าสภา ดังนั้น หากประเมินความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อการคุมอำนาจหลักของประเทศแบบเบ็ดเสร็จ คือการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อว่าจะมีการผลักดันในเดือนธันวาคมนี้ โดยใช้วิธีการเปิดประชุมสภาวิสามัญฯ “พ.ร.บ.ปรองดอง จะเป็นการปลดล็อกตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กลับมาประเทศไทยได้และดำเนินการอะไรที่ต้องการได้ ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีเป้าหมายที่จะให้สภาฯ สามารถแต่งตั้ง ส.ว. องค์กรอิสระและองค์กรศาลได้ ซึ่งเป็นการครอบงำอำนาจฝ่ายตุลาการเบ็ดเสร็จ” ตรงนี้คือสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างที่สุด! ศ.ดร.บรรเจิดกล่าวต่อว่า ขณะนี้วงการกฎหมายมีการพูดคุยกันและทราบว่าฝ่ายการเมืองมีความพยายามอย่างมากที่จะครอบงำในส่วนนี้ ทั้งในภาพรวมและส่วนบุคคล กล่าวคือ ใครที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือศาล ก็มีความพยายามที่จะเจาะเป็นรายคน หรือส่งคนของตัวเองเข้าไปให้ได้ ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญถ้าทำสำเร็จก็จะถือว่าครอบงำได้ทั้งหมด “ฝ่ายการเมืองพยายามเข้าไปวุ่นวายที่ศาลปกครองอย่างมาก ซึ่งมีข่าวว่าประธานศาลปกครองไม่แฮปปี้เลย ในส่วนของศาลยุติธรรม สิ่งที่ฝ่ายนี้ต้องการมากคือต้องการเข้าไปครอบศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ” ส่วนภาคข้าราชการ ขณะนี้ก็มีการเข้ามาแทรกแซงหมดแล้ว รวมถึงในวงการตำรวจด้วย ซึ่งเห็นภาพได้ชัด ส่วนทหาร แม้ว่าภาพจะออกมาว่าเป็นคนละกลุ่ม แต่ก็มีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้ามาต่อรองอย่างมากโดยเฉพาะประเด็นการดำเนินคดีกับทหารในช่วง พ.ค. 53 ซึ่งทำให้รัฐบาลกับทหารยังอยู่ในลักษณะความสัมพันธ์แบบประนีประนอม แต่ก็ใช่ว่าในแวดวงทหารจะไม่มีจุดอ่อนให้ฝ่ายการเมืองเจาะเข้าไป “ถ้าครอบสภาฯ กลาโหมได้เมื่อไร เมื่อนั้นจะถึงจุดเปลี่ยนของทหาร โดยสภาฯ กลาโหม จะประกอบด้วยผู้นำเหล่าทัพ รวมกับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงกลาโหมรวม 7 คน และรู้มาว่าฝ่ายการเมืองสามารถเข้าไปได้แล้วบางส่วน แต่ยังครอบงำไม่ได้ทั้งหมด ตรงนี้ถ้าครอบงำได้หมดก็เป็นจุดเปลี่ยนของทหารที่สำคัญมาก และโอกาสจะเป็นอย่างนั้นก็มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ปัจจุบันฝ่ายการเมืองต้องการที่จะรุกคืบเข้ามาทุกด้าน จึงเดินหน้าทุกทางเพื่อเข้าครอบงำทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก” ตรงนี้แหละที่ระบอบทักษิณจะเกิดแทนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่จะเหลือเพียงแต่ชื่อ แต่รูปแบบได้เปลี่ยนไปเพราะถูกฝ่ายการเมืองกลืนทั้งหมด และประเทศไทยจะกลายเป็นระบอบทุนนิยมเผด็จการตามความพยายามของกลุ่มการเมือง ถึงเวลานั้นประเทศไทยจะเป็นแบบไหน? ขายรัฐวิสาหกิจ-ปั่นเงินหมุนอุดหนี้สาธารณะ ศ.ดร.บรรเจิดกล่าวว่า ประเทศไทยจะมีการผันเงินเข้าพวกพ้องฝ่ายการเมืองกันอย่างหนัก และอีกส่วนหนึ่งภาษีของประชาชนจะถูกนำมาใช้เพื่อการหาเสียง โดยไม่สนใจเรื่องหนี้สาธารณะของประเทศ เพราะคนในระบอบนี้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และทายาททางการเมือง ซึ่งเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความสามารถในการหมุนเอาเงินอนาคตมาใช้ได้ดี ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ จะมีการขายรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นกันอย่างมาก และจะมีการกู้เงินกันมากกว่าทุกวันนี้ “สิ่งที่มีแนวโน้มเห็นได้ชัดว่ากลุ่มการเมืองฝ่ายรัฐบาลต้องการมาก 2 ส่วนคือ ส่วนของการควบคุมทรัพยากรด้านพลังงานและผลประโยชน์ และอีกส่วนคือการพยายามหารายได้จากระบบเงินที่เรียกว่า Paper Trade หรือเงินที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการลงทุนจริง และไม่ได้ทำให้เกิดผลิตผล” โดยรัฐบาลจะทำประเทศไทยให้เหมือนประเทศสิงคโปร์ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมการเงิน แต่ไม่ได้เกิดผลผลิตจริง “ท้ายที่สุดระบบนี้จะเกิดขึ้นอยู่ 2 ส่วนคือ เงินที่ได้มาจากอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการเงินจะไปกระจุกตัวอยู่กับครอบครัวและเครือข่ายทางการเมืองของรัฐบาลเผด็จการทุนนิยมเท่านั้น ต่อไปทุนต่างชาติจะเข้ามาสูบทรัพยากรของไทยจนหมด การเข้าถึงทรัพยากรของไทยจะถูกกันจนไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ฐานเกษตรกรรมของไทย หรือแม้กระทั่ง SMEs จะล่มสลายหมด ชุมชนก็จะไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้” เขาเรียกว่าระบบกินรวบ! “ดูอย่างพม่า จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ให้ความสนใจที่จะไปได้ประโยชน์จากทรัพยากรของพม่ากันอย่างมาก ประเด็นก็คือไม่ใช่ว่าใครจะเป็นคนครอบครองทรัพยากรธรรมชาตินั้นๆ แต่ใครกันที่เข้าถึงและได้ประโยชน์ ซึ่งบอกได้ว่าไม่ใช่ส่วนของประชาชนที่จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้เลย” ดังนั้นจึงมองว่า ระบอบทักษิณนี้เป็นระบอบที่น่ากลัว และเป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างมาก และจุดที่จะทำให้ระบอบทักษิณเติบโตได้มากที่สุดคือ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีความพยายามอย่างมากจากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณในเวลานี้ “มั่นคง” เชื่อประชาชน-นักกฎหมายต้องออกโรง เช่นเดียวกับแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ที่เป็นห่วงว่าระบอบทักษิณกำลังจะกินรวบประเทศไทย โดยกล่าวว่า ระบอบทักษิณนั้นชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่ามีรูปแบบเป็นเผด็จการ มีความต้องการให้ฝ่ายการเมืองครอบงำได้ทั้งหมด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และตุลาการ คำถามคือวันนี้ใครยังเป็นคนของประชาชน? แหล่งข่าวด้านความมั่นคงวิเคราะห์ว่า หลักการคานอำนาจในระบอบประชาธิปไตยไทยนั้น จะมีฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ขณะนี้ระบอบทักษิณได้เข้าครอบงำฝ่ายบริหารจากการชนะเลือกตั้งและความที่มี ส.ส.จำนวนมาก รวมกับมีคะแนนสนับสนุนจากฝ่าย ส.ว.เกินครึ่ง จึงคุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ ไว้ได้เบ็ดเสร็จในฝ่ายนิติบัญญัติแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ฝ่ายตุลาการที่ยังเชื่อว่าระบอบทักษิณยังไม่สามารถเข้าครอบงำในจุดสูงสุดได้ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง แต่ในศาลยุติธรรมยังมีปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายการเมืองรุกคืบเข้ามามาก “เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ในระบบยุติธรรมโดยเฉพาะระบบศาลยุติธรรม จะต้องมีขั้นตอนของการสืบสวนโดยตำรวจหรือดีเอสไอ ก่อนส่งต่อมายังอัยการสูงสุด และเข้าระบบศาล ตอนนี้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เขาควบคุมตำรวจ ดีเอสไอ และอัยการได้แล้ว ถ้าตำรวจทำหลักฐานอ่อน ถึงขั้นอัยการก็ส่งไม่ฟ้องก็ได้ ตรงนี้ศาลเองก็อาจใช้อำนาจไม่ได้เต็มที่” ดังนั้น หากจะหยุดยั้งระบอบทักษิณ จึงเหลือเพียงแต่การขับเคลื่อนของภาคประชาชนที่จะมีพลังที่สุด แม้จะยังเกิดขึ้นไม่ได้ “ถ้ามองในแง่ของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามเรียกว่าเสียเปรียบ ขณะเดียวกันฝ่ายได้เปรียบคือฝ่ายรัฐบาลที่กดดันม็อบได้อย่างเด็ดขาด เมื่อ เสธ.อ้ายประกาศยอมแพ้ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นภาพไม่สวยนัก แต่จริงๆ แล้วผู้ชุมนุมแม้จะโกรธในช่วงแรก แต่พอสักพักจะเข้าใจว่าผู้นำมีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตผู้ชุมนุมไว้ก่อน เพราะคาดแล้วว่ากลางคืนจะมีการสร้างสถานการณ์ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไปขว้างระเบิด ซึ่งจะเกิดความชอบธรรมในการให้ตำรวจมาสลายม็อบได้ จึงจำเป็นต้องหยุดการชุมนุมเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียชีวิต” แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุ นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า แม้ครั้งนี้รัฐบาลจะชนะการศึก แต่ยังไม่เรียกว่าชนะสงคราม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะฝ่ายตำรวจซึ่งมีท่าทีแข็งกร้าวใส่ผู้ชุมนุม ประกอบกับการที่รัฐบาลใช้วิธีการปิดกั้นการแสดงออกด้านประชาธิปไตย จึงมองว่า การจัดการชุมนุมครั้งนี้ของ เสธ.อ้าย แม้จะจุดไฟไม่ติด แต่ก็ได้เพาะเชื้อไว้แล้ว โดยเฉพาะเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง “การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เดิมคนรู้แต่ยังไม่ค่อยกระจายไปมากนัก แต่ตอนนี้กระจายไปได้มาก ก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องตอบ ขณะเดียวกันนายกฯ ก็อึดอัดใจเพราะไม่กล้าตอบ ตรงนี้จะเป็นประเด็นที่ไม่มีวันตายไปจากสังคมไทย” “รัฐตำรวจเผด็จการ”? อีกโจทย์ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะต้องตอบให้ได้คือ รัฐบาลใช้อำนาจรัฐเกินกว่ากฎหมายหรือไม่ ถ้าใช่ก็ถือว่าในขณะนี้รัฐบาลกำลังปกครองในรูปแบบที่เรียกว่า “รัฐตำรวจเผด็จการ” “คำถามคือเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพการชุมนุมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 63 ที่บังคับใช้กฎหมายอยู่ตรงไหน กับการที่รัฐพยายามอ้างว่ารัฐต้องใช้กฎหมายควบคุมฝูงชนตามกฎหมายความมั่นคงภายใน ซึ่งมีการใช้วิธีการทั้งสกัดกั้นผู้ชุมนุม ข่มขู่คุกคาม มีการใช้ตะปูเรือใบ ตั้งด่านตรวจปัสสาวะ เพื่อทำทุกอย่างไม่ให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมได้ เป็นการละเมิดสิทธิประชาชนหรือไม่” อีกประการหนึ่ง รัฐบาลยังมีท่าทีที่ขัดต่อการละเมิดสิทธิสื่อมวลชน ในการจับตัวช่างภาพที่ถ่ายรูปสถานการณ์การชุมนุมไป ทั้งๆ ที่ก็เป็นเหตุการณ์ปกติ เป็นการทำอาชีพสื่อมวลชนตามปกติ แต่รัฐบาลกลับปิดกั้นการทำหน้าที่สื่อมวลชนหรือไม่ การต่อต้านระบอบทักษิณให้ได้ จึงอยู่ที่การขับเคลื่อนของวงการกฎหมายที่ต้องออกมาแสดงบทบาทว่าการใช้กฎหมายที่ขัดกันอยู่นี้ อะไรที่ผิดหลักประชาธิปไตยกันแน่ ทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่วงการกฎหมายไทยไม่ควรจะอยู่เฉย แต่ต้องหาคำตอบในเรื่องนี้เพื่อให้ความรู้แก่สังคม ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าการที่รัฐบาลใช้ความเป็นเผด็จการเข้ามาปกครองนั้นเป็นสิ่งที่นักกฎหมายยอมรับได้ และเป็นสิ่งถูกต้อง “ถ้ายังปล่อยให้เป็นรัฐตำรวจเผด็จการต่อไป ก็จะมีการใช้อำนาจที่มากเกินกว่ากฎหมายกำหนดต่อไปอีก แล้วเสรีภาพภาคประชาชนจะอยู่ที่ไหน ตรงนี้เชื่อว่าภาคประชาชนจะไม่ยอม และกลายเป็นเชื้อที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อต่อต้านรัฐบาลต่อไป” ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ฝ่ายกฎหมายต้องออกมาแสดงให้เห็นพลังของกลุ่มนักกฎหมายด้วยว่าอันไหนเป็นการทำลายความเป็นประชาธิปไตย และต้องสร้างความกระจ่างให้สังคมเพื่อเป็นบรรทัดฐานแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย พธม.ฮึ่ม ค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง-แก้ รธน.เตรียมเคลื่อน ด้าน ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เผยท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า หากมีการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาฯ เมื่อไร กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะออกมาขับเคลื่อนมวลชนเพื่อคัดค้าน เพราะเป็นเงื่อนไขการชุมนุมที่พันธมิตรฯ ได้ประกาศไว้แล้วว่า ถ้ามีเรื่องพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะออกมาชุมนุมโดยทันที อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงต้องคิดหนักที่จะทำเรื่องนี้ เพราะเขารู้ว่าเป็นเงื่อนไขที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องออกมาชุมนุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ว่าจะอย่างไร พันธมิตรฯ ต้องทำทุกทางเพื่อหยุดยั้ง พ.ร.บ.ปรองดองให้ได้ หากรัฐบาลคิดว่าต้องการให้เกิดความขัดแย้ง หรือคิดว่าจะสามารถหยุดความขัดแย้งได้ ก็ต้องเผชิญหน้ากับตรงนั้น แต่คาดว่า การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะในฝ่ายคนเสื้อแดงเองที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็มีไม่น้อย เช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นในเรื่องของ พ.ร.บ.ปรองดองที่ล้างความผิดให้กับทหาร ยิ่งนับวันที่ได้มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพขึ้นมาว่ามีคนเสื้อแดงบางกลุ่มเสียชีวิตภายใต้การทำงานของฝ่ายทหารนั้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยากขึ้นไปอีกที่จะมีการออก พ.ร.บ.ปรองดอง ดังนั้น ในมุมของคนเสื้อแดงเองจึงไม่น่าจะเห็นด้วยกับการตรากฎหมายลักษณะนี้ขึ้นมา และหากพันธมิตรฯ ออกมาชุมนุมก็คงยากที่จะมีมวลชนคนเสื้อแดงมาคัดค้านแนวทางของพันธมิตรฯ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 28 พฤศจิกายน 2555, 21:03:19 คิดเล่นๆสนุกๆ ไว้เพื่อชุมนุมครั้งต่อไป เลิกเจ็บปวด เศร้าโศก ท้อแท้ผิดหวัง หรือถากถางกันได้แล้ว จับมือกัน สู้ต่อไป รูปแบบการชุมนุมใหม่ในโอกาสต่อไป น่าจะปลอดภัย และแก้ทางควายแดงในเครื่องแบบได้ ๑. ประกาศวัน เวลา ชุมนุมพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร หรือทุกจุดสำคัญในกรุงเทพฯ เป็นร้อยๆจุด โดยไม่ต้องบอกสถานที่ล่วงหน้า โดยขอให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมเสบียง การรอชุมนุมที่บ้านตนเอง หรือบ้านกลุ่มของตน ตามวัน เวลาที่กำหนด นอนดูเอเอสทีวีรอพลางๆก่อน ๒. ได้เวลา กำหนดจุดสถานที่ในเช้าวันนัด ทางโทรศัพท์ แฟดบุค ทางเอเอสทีวี หรือการสื่อสารอื่นๆ ใครอยู่ใกล้ที่ไหนให้เดินไปร่วมชุมนุมกันที่นั่นทันที น่าจะใช้เวลาแต่ละกลุ่มไม่เกิน ๑ ชม. ส่งผู้นำชุมนุมไปประจำแต่ละจุดทุกจุด หากแต่ละจุดมีผู้มาชุมนุมจุดละ ๕,๐๐๐ คน ๑๐๐ จุด ก็ได้ ๕๐๐,๐๐๐ คนแล้วครับ และคนก็อยากออกไปร่วม เพราะไม่ยุ่งยากอะไร เดินออกจากบ้านไปแป๊บเดียว ๓. ตร.ควายแดงไม่สามารถสกัดทุกกลุ่มได้ เพราะมีมากกลุ่ม และไม่รู้สถานที่ล่วงหน้า มีปัญหาขึ้นมาให้ทุกคนนั่งลงกลางถนน กลางสี่แยก (กลยุทธของท่านจำลองใช้ได้ผลมาแล้ว จะได้ไม่มีคนเจ็บคนตาย) ไม่ต้องไปต่อสู้หรือทำอะไร นั่งมันเฉยๆ หาเสื่อมาปูนั่งกินส้มตำกันมันกลางถนนก่อนก็ยังได้ ๔. ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือ และการสื่อสารอื่นๆมากมาย เมื่อได้เวลาคนมาแต่ละจุดมากพอสมควรแล้ว วอร์รูมแกนนำใหญ่ ติดต่อสั่งการให้ทุกจุด เคลื่อนขบวนพร้อมกันไปพบกันที่จุดนัดพบทันที โดยไม่ต้องกำหนดสถานที่ล่วงหน้า แกนนำใหญ่ขนขบวนเวที เครื่องเสียง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เตรียมพร้อมไว้ที่รถแล้วเดินทางไปติดตั้งที่จุดนัดพบทันที ต่างจังหวัดก็เต็มออกๆ จะถึงจุดนัดพบใน ๓ หรือ ๑๒ ชม.ก็ไม่เป็นไร ๕. ระหว่างเดินขบวนมา จากจุดละ ๕,๐๐๐ ตามทางคนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจ เป็น ๑๐,๐๐๐ คน เมื่อ ๑๐๐ จุดมาพบกันที่จุดนัดพบ รวมกันแล้วก็ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ๖. ตร.ควายแดงไม่มีทางสกัดได้ ทั้ง ๑๐๐ จุด และไม่รู้จะสกัดอย่างไร เตรียมการไม่ทัน เพราะไม่รู้สถานที่ล่วงหน้า ตร.ที่เกณฑ์มาก็ควายแดงทั้งนั้น ไม่มีสมองคิดเองได้ ผู้จะมาร่วมชุมนุมก็ไม่ต้องเดินทางไกล เดินออกจากบ้านมาร่วมกันในจุดที่ใกล้บ้านตนเองที่สุด เดินเฉยๆ ไม่มีอาวุธ ไม่ต้องต่อสู้ มีปัญหาก็ให้ผู้นำสั่งให้นั่งลงกับพิ้นกลางถนน กลางสี่แยก ปูเสื่อรอไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นผู้นำก็เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชุมนุม โดยขอให้เน้นประเด็น “นักการเมืองชั่วล่วงล้ำเบื้องสูง กินบ้านโกงเมือง ต้องแช่แข็งนักการเมืองชั่ว ไม่ใช่แช่แข็งประเทศ” อย่ากล่าวหาหลายประเด็นเพราะจะทำให้คนสับสน และมีช่องให้โต้แย้งได้ เรามาร่วมชุมนุมเพื่อลูกหลานของเราในอนาคต ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง ๗. ที่จุดนัดพบ แกนนำใหญ่เคลื่อนขบวนอุปกรณ์เวที เครื่องเสียง เสบียง เต็นท์ ซึ่งจัดเตรียมพร้อมไว้บนรถแล้ว ไปทำการติดตั้งทันที พร้อมด้วยการนำขบวนใหญ่ตามรถเครื่องเสียงไป ตร.ควายแดง ไม่มีทางสกัดได้ โล่ห์ กระบอง รั้วลวดหนาม แก๊สน้ำตา จะใช้ไม่ได้ เพราะมันตั้งขบวนไม่ทัน และกลุ่มย่อยทุกกลุ่มเมื่อมาถึงแล้วก็จะบีบมันทุกทางเหมือนแซนด์วิส มันแบนลูกเดียว ทุกครั้งเราเสียเปรียบเพราะถูกปิดประตูตีแมว คราวนี้เราจะบีบไข่ตีหมา เมื่อมารวมกันที่จุดนัดพบได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน แล้ว คราวนี้แกนนำจะทำอย่างไรต่อ”ก็แล๊วแต๊” "อะไรจะเกิดขึ้น พระสยามเทวาธิราชเท่านั้นที่รู้” ? หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 พฤศจิกายน 2555, 17:23:05 สนธิ บุญยรัตกลิน ทำรัฐประหารโค่นทักษิณ สนธิ บุญยรัตกลิน โหวตไว้วางใจน้องสาวทักษิณ ....โครตมันส์ การเมืองไทย.... (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121129-172211_992927.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 29 พฤศจิกายน 2555, 17:28:12 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121129-172731_677092.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121129-172344_472724.jpg) (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121129-172500_952731.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: ประทาน14 ที่ 29 พฤศจิกายน 2555, 21:34:50
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: swsm ที่ 29 พฤศจิกายน 2555, 22:02:34 (http://www.cmadong.com/imgup/pic5510/cmd121129-220222_559910.jpg)
หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 มกราคม 2556, 11:09:36 นงนุช สิงหเดชะ : ความตลกของ "ดีเอสไอ" ภายใต้ "ธาริต" .บทความพิเศษ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 28 ธันวาคม 2555 - 3 มกราคม 2556 หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้แจ้งข้อหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฐานฆ่าคนตาย อันเนื่องมาจากการสั่งกระชับพื้นที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งที่เป็นพลเรือนและเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 90 ศพ นั้น ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าดีเอสไอมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวหรือไม่ เพราะทั้งสองคนในขณะที่ถูกกล่าวหาว่าทำความผิดนั้น เป็นข้าราชการการเมือง ซึ่งอำนาจในการไต่สวนสอบสวนและนำคดีขึ้นสู่ศาลต้องเป็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ใช่ดีเอสไอ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา เพราะหากเทียบเคียงกับคดีของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ในคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำให้มีคนตายนั้น คดีก็ไปอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. เป็นผู้ไต่สวนสอบสวน ส่วนกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ อ้างว่ามีอำนาจดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โดยอ้างว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 157 เพราะไม่ใช่กรณีการทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบแต่เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพทำเกินหน้าที่ นี่เองจึงอาจถือเป็นข้ออ้างที่ฮามากของนายธาริต เพราะนายธาริตเอาประเด็นไหนมาอ้างว่าทำเกินหน้าที่ เนื่องจากการใช้อำนาจของทั้งสองคนในขณะนั้นมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินรองรับอำนาจไว้ อีกทั้งก่อนหน้านั้นศาลมีคำพิพากษาแล้วว่าการชุมนุมของผู้ชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันที่จริงความตายที่เกิดขึ้นนั้น สามารถแจ้งข้อหาทั้งสองคนได้กรณีเดียวคือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่นายธาริตหลีกเลี่ยงคำนี้ เพราะหากใช้คำว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไปแจ้งข้อหา ก็จะไปเข้าข่ายมาตรา 157 ซึ่งเท่ากับว่าไม่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ แต่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. ที่ตลกอีกก็คือในวันที่เชิญตัวนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาถามว่ากล่าวหาตนในฐานะอะไร ในฐานะนายอภิสิทธิ์ที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือนายอภิสิทธิ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอตอบในทำนองคล้ายๆ กับว่าแจ้งข้อหาในฐานะบุคคลธรรมดาที่ทำให้คนอื่นตาย อย่าลืมเป็นอันขาดว่าการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมในปี 2553 นั้น เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถ้านายอภิสิทธิ์เป็นบุคคลธรรมดา จะมีอำนาจลงนามบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนั้นหรือ แต่เหตุที่ดีเอสไอไม่ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็เพราะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เข้าข่ายมาตรา 157 นั่นเอง แต่ก็จะเห็นว่าเหตุผลที่นำมาแจ้งข้อหานั้นขัดแย้งกันเองและไม่สมเหตุผล เพราะในขณะที่อ้างว่าดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ในฐานะบุคคลธรรมดานั้น แต่ในเอกสารแจ้งข้อหากลับระบุว่า "ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตาย กรณีลงนามในคำสั่งสลายการชุมนุมปี 2553" เพราะคนที่จะลงนามในคำสั่งให้สลายการชุมนุมได้ ย่อมไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ที่เป็นบุคคลธรรมดา แต่เป็นนายอภิสิทธิ์ที่มีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ เหตุผลของนายธาริตที่อ้างว่านายอภิสิทธิ์ทำเกินหน้าที่ ก็ขัดแย้งกับสมัยที่นายธาริตเป็นอธิบดีดีเอสไอ ช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการอ้างว่าการชุมนุมของผู้ชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ เพราะในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์นายธาริตแถลงข่าวออกทีวีอยู่ทุกวันว่า ผู้ชุมนุมมีอาวุธ มีการใช้ความรุนแรง มีชายชุดดำติดอาวุธ มีการนำตัวผู้ต้องหาที่จับกุมได้มาแถลงข่าวเกือบทุกวัน หรือเมื่อไม่นานมานี้นายธาริตก็พูดเองว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2553 เป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าควบคุมเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย นายธาริตให้สัมภาษณ์เมื่อปลายเดือนสิงหาคมปีนี้เองกรณีถูกหาว่าเปลี่ยนสีว่า "นโยบายพรรคประชาธิปัตย์ เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ปราบปราม นปช.อย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข ผิดกฎหมายไหม ไม่ผิด...เหตุการณ์ความไม่สงบในปี 2553 มันเป็นจลาจลที่รุนแรง การบังคับใช้กฎหมายต้องเฉียบขาด ซึ่งในทางกฎหมายเราเรียกว่า crime control (ควบคุมอาชญากรรม) แต่ต้องยึดนิติรัฐเป็นหลัก crime control คือยึดนโยบายของรัฐในการที่จะปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างซีเรียส ขณะนั้นประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง จลาจล ก่อการร้าย ไม่ใช่ดีเอสไอหรอกหรือที่ยืนเคียงข้างรัฐบาล เพราะรัฐบาลมีนโยบาย crime control ทำให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด" หากนายธาริตกลับมาอ่านสิ่งที่ตนให้สัมภาษณ์ไว้ ถ้าเป็นคนปกติคงจะเขินตัวเองว่า ในข้อหาที่แจ้งต่อนายอภิสิทธิ์นั้น เขียนไปได้ยังไงว่า ผู้ชุมนุม ชุมนุมด้วยความสันติเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้เองดีเอสไอในระดับ "หัว" อย่างนายธาริต จึงขาดความน่าเชื่อถือ เพราะมีลักษณะไม่อยู่กับร่องกับรอย คือดูเหมือนว่าตอนอยู่กับประชาธิปัตย์ก็กระโดดไปเข้าข้างโน้นสุดขั้ว พอมาอยู่กับรัฐบาลเพื่อไทยก็กระโดดมาอยู่ข้างนี้สุดลิ่ม หาหลักการที่แน่นอนไม่ได้ ดังนั้น อย่าได้แก้ตัว อย่าได้โอดครวญว่าหากจะถูกก่นประณามว่ารับใช้การเมืองมากเกินไป ความจริงหากจะให้สง่างาม มีสปิริต ไร้ข้อครหา นายธาริตควรที่จะได้ย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ยังคงเป็นอธิบดีดีเอสไอที่มารับผิดชอบคดี 91 ศพ ที่ตัวเองก็มีส่วนทำความผิดอยู่ด้วย (หากนายธาริตเห็นว่าผิด) เพราะในตอนนั้นนายธาริตก็เป็นกรรมการ ศอฉ. อยู่ด้วย ไม่ใช่พอเปลี่ยนรัฐบาลก็กลายเป็นอธิบดีดีเอสไออีกคนที่จำร่องรอยเดิมไม่ได้เลย อันที่จริงดีเอสไอนั้น ควรจะเป็นหน่วยงานที่มีศักดิ์ศรี (หากมีหัวหน้าดี) มีความน่าเชื่อถือ เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "พิเศษ" ดังนั้น คดีที่ทำต้องเป็นคดีสำคัญและพิเศษจริงๆ แต่ก็จะเห็นว่าดีเอสไอในรัฐบาลปัจจุบันดูเหมือนจะทำคดีมะล็อกป๊อกแป๊กซึ่งดูเหมือนมีเป้าหมายเล่นงานฝ่ายการเมืองตรงข้ามรัฐบาลเสียเยอะ กลางเดือนตุลาคมก่อนที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก็มีการรับคดีที่ กทม. ต่อสัญญากับรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นคดีพิเศษ หรือก่อนหน้านั้นก็มีการส่งหนังสือไปสอบถามเจ้าของอาคารกรุงเทพทาวเวอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานีโทรทัศน์บลูสกายเรื่องค่าเช่าสถานที่ของบลูสกาย หรือการเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์เรื่องเงินบริจาคน้ำท่วม ที่มีผู้บริจาคผ่านพรรคเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 ซึ่งถึงกับจะมีการเรียกผู้บริจาคจำนวนมากไปให้ปากคำ ซึ่งสร้างความยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าเงินที่บริจาคเสียอีก บางคนบริจาคแค่ 100 บาท หรือ 400 บาท ต้องเดินทางไกลมาจากภาคใต้เพื่อมาให้ปากคำดีเอสไอ ทั้งที่เรื่องเงินบริจาคให้พรรคการเมืองนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของดีเอสไอ แต่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่ที่โหดร้ายคือถึงกับมีการเรียก พญ.สดใส เวชชาชีวะ มารดาของนายอภิสิทธิ์ ไปให้ข้อมูลเรื่องเงินบริจาคน้ำท่วมถึง 3 ครั้งและมารดาของนายอภิสิทธิ์ได้ให้ความร่วมมือทุกครั้ง ซึ่งคล้ายกับว่าจะรังควานมารดาของนายอภิสิทธิ์เพื่อบีบนายอภิสิทธิ์หลายอย่าง เพราะช่วงนั้นใกล้จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก่อนที่ต่อมาจะเล่นงานเรื่องคดี 91 ศพ การเรียกคนอื่นไปให้ถ้อยคำหลายๆ ครั้งในเรื่องเดิมๆ แบบเดียวกับที่จะทำกับนายอภิสิทธิ์ในคดี 91 ศพ คือเดี๋ยวก็เรียก เดี๋ยวก็เรียก เป็นเทคนิคที่จะสร้างความเครียดและบีบคั้นจิตใจผู้ถูกกล่าวหาและพยายามทำให้อับอายแบบเดียวกับที่เห็นในหนังแนวมาเฟีย คือเล่นงานลูกไม่ได้ก็เล่นงานแม่ เล่นงานแม่ไม่ได้ก็เล่นงานลูก หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 03 มกราคม 2556, 21:45:30 สัมภาษณ์ พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ หรือ ‘น้าเดช’ แห่งวงการรถยนต์ ใน Way Magazine (http://bit.ly/THjWnJ) ว่าด้วยรถคันแรก
"เสียระบบ" "เงินหาย" "เดือดร้อนแน่" "บริษัทดิ้นรนหนีตาย" "สงครามในวงการรถ" "ฉิบหายแน่".. ลองอ่านดู กับการที่ภาครัฐช่วยธุรกิจยานยนต์... "ธุรกิจรถยนต์มันเป็นธุรกิจเฟื่องฟู ทำเท่าไหร่ก็ขายไม่พออยู่แล้วสำหรับประเทศไทย จะเห็นว่าแม้จะผ่านน้ำท่วมมาแล้วก็ยังขายถล่มทลาย ไม่มีรถคันแรกก็ตั้งเป้าอยู่แล้วว่า 1,100,000 คัน มันเป็นการไปช่วยธุรกิจที่ยืนได้อยู่แล้ว ทำให้มันเสียระบบ" กับ SME ผลิตอะไหล่รถยนต์ "สิ่งที่คุณต้องห่วงคือพวกโรงงานเล็ก โรงงานน้อย SME ที่รัฐบาลอยากส่งเสริม Subcontract ทั้งหลายนั่นแหละ ปีนี้ (2555) เคยวางแผนว่าปีนี้จะส่งให้โรงงานโตโยต้า 100 ชิ้น ปีหน้าเพิ่มกำลังเป็น 110 ชิ้น อีกปี 130 ชิ้น อยู่ๆ ปีนี้ปาเข้าไป 150 ชิ้น พวกนี้ทำไง ก็ต้องจ้างคนงานเพิ่ม ค่าแรงก็ถูกบวกเพิ่มเป็น 300 บาท ลงเครื่องจักรใหม่เหรอ ปีเดียวก็ยังไม่คืนทุน ปีหน้าพอกำลังการผลิตเขาถอยลง เขาคาดการณ์อย่างต่ำว่าลดลงแน่ๆ 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วพวกนี้จะทำยังไง นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการรถยนต์เห็นกัน ทุกบริษัทบอกว่าปีหน้า ครึ่งปีแรกไม่มีผลกระทบหรอก เพราะยังผลิตรถส่งต่อ แต่ครึ่งปีหลังมิถุนายน เห็นผลตรงบริษัทเล็กจะดิ้นรนหนีตาย จะเกิดสงครามขึ้นอย่างรุนแรงในวงการ" กับคนที่เงินเดือนน้อย แต่อยากได้... "คือถ้าคุณคิดว่าคุณเงินเดือน 15,000 ผ่อนรถ 6,000 เหลือ 9,000 คุณคิดว่าไหว ผมว่าคุณล่มตั้งแต่แรก เพราะมันมีค่าน้ำมัน ค่าโน่นนี่อย่างที่บอก พอเข้าปีที่สองคุณจะเปลี่ยนยาง 4 เส้น คุณต้องเริ่มหาร้านผ่อนยาง 0 เปอร์เซ็นต์ละ คุณบอกงั้นจอดทิ้งไว้ที่บ้านเฉยๆ สิ คุณลองคำนวณเวลาคุณขายต่อสิ ว่าวันหนึ่งเงินคุณหายไปวันละเท่าไหร่" กับคนที่กู้เงินมาซื้อ... "คนที่ไปกู้มาซื้อจะยุ่งมากเลยนะ เอาเป็นว่าคืน หลังจากปีที่สอง หากคุณไม่มีกำลังผ่อนล่ะ ทำไง ไฟแนนซ์ยึด เขาต้องไปดูสภาพรถ คุณยังค้างหนี้อีก 4 แสน รถคันนี้ขายได้ 3 แสน เขาฟ้องคุณ 1 แสน อันนี้ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเงิน 8 แปดหมื่นที่คุณได้ ต้องคืนรัฐบาลนะครับ เพราะมีการเปลี่ยนมือแล้ว ก็มีคนถาม งั้นก็ไปขายโอนลอยสิ อ๋อ ถ้าโอนลอยตอนนี้เต้นท์รู้แล้วว่าคุณเดือดร้อน คุณจะต้องเสีย 8 หมื่น ราคารถคุณจะหายไปเท่าไหร่ เพราะเขารู้ว่าคุณจะโอนลอยหลังจากผ่านปีแรกแล้ว คุณเดือดร้อนแน่" กับความจำเป็นในการใช้รถ... "คนที่ซื้อเพราะจำเป็นต้องใช้รถ มีวินัยการเงินดี ตรงนี้โอเคเลย ผมไม่ได้ไปแตะต้อง แต่คนไทย โอ้โห แม่งได้ลดตั้งแสน ไม่ซื้อ เสียดายตายห่า พวกนี้แหละจะเจ๊ง ทั้งที่จริงๆ ยังไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเลย ยกตัวอย่าง คนที่มีบ้านอยู่บางแค บางใหญ่เริ่มทำงาน ซื้อรถคันแรกได้ส่วนลด ใช้ไปสามปี รถไฟฟ้าไปถึงละ ถามว่าคนๆนั้นจะตัดสินใจยังไง 1. จอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน ประหยัด นั่งรถไฟฟ้าเข้ามาทำงาน 2. กูมีรถแล้ว ดันทุรังขับเข้ามา น้ำมันก็แพง รถก็ติด 3.ขายรถ ก็นำเงินภาษีไปคืนรัฐบาล เพราะงั้นผู้บริโภคต้องวางแผนให้ชัดเจน ไม่งั้นเดือดร้อน" กับนโยบายประชานิยม... ผมถึงบอกว่า นโยบายรัฐบาลอยากช่วยประชาชนรากหญ้า แต่มันไม่ใช่ เพราะรถส่วนใหญ่ของโครงการมันเป็นรถใช้ในเมือง รถขนาดเล็ก ถ้ามีอีกก็ฉิบหายครับ ใครฉิบหาย ก็ทั้งหมดแหละครับ บริษัทรถก็ฉิบหายเพราะสินค้ามันไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เป็นภาพลวง บริษัทที่ไม่มีรถเข้าข่ายเงื่อนไข รถนำเข้าตายสนิท รถมือสองฉิบหายแน่ ไฟแนนซ์ก็เหมือนกัน อันสุดท้ายคือประชาชนแหละครับ ฉิบหายจากอะไร คือคนไทยเราไม่สนใจเรื่องเครดิต พอเข้าปีที่สามรถมันต้องเริ่มซ่อมละ คุณหาทางทิ้งเพื่อซื้อคันใหม่ ถ้ามีต่อแล้วร่างกติกาใหม่ก็อาจจะดีขึ้น ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าภายใต้กติกานี้ก็ฉิบหายแน่ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 04 มกราคม 2556, 07:06:55 ขออนุญาตใช้ห้องของตะวันหน่อยนะ ระยะหลังไม่ค่อยได้ดูละคร แต่พอดูเรื่อง"เหนือเมฆ". ก็ถูกใจ ทั้งเนื้อหาและนักแสดงเรืองนาม ที่เรียงหน้ากันมาแสดง คนดูกำไร นึกในใจว่า จะถูกแบนไหมเนี่ย และแล้ววันนั้นก็มาถึง. มันเร็วมาก ไม่ได้ดูวันสองวัน. ละครก็จะจบวันศุกร์นี้ เกิดอะไรขึ้น???? เกี่ยวกับการเมืองไหม หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 06 มกราคม 2556, 08:31:18 อ๋อ...มันเป็นเช่นนี้เอง (http://www.cmadong.com/picup/201212/3753113574355684931524931.jpg) อนิจจา...ประเทศไทย Nok-na หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2556, 11:56:06 เปิดเบื้องหลังปฏิบัติการจับ"กำนันเป๊าะ" โดย...วัสยศ งามขำ posttoday.com ปฏิบัติการรวบกำนันเป๊าะ หรือ นายสมชาย คุณปลื้ม ไม่ได้เกิดขึ้นจนแล้วเสร็จภายในวันเดียว แต่มันถูกวางแผนจับกุมอย่างแนบเนียน และเงียบสนิทมานานกว่า 2 เดือน แม้แต่ตัวผู้บังคับการกองปราบปรามเองก็ไม่ได้รับรู้ จนกระทั่งวันที่ชุดจับกุมจู่โจมบุกเข้าจับกุมตัวแบบไร้การขัดขืน ปฏิบัติการนี้เริ่มเปิดฉากขึ้นราวต้นเดือนธันวาคม 2555 เมื่อ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้รับจดหมายร้องเรียนจากชาวบ้าน ที่แจ้งมาว่าพบเบาะแสการเคลื่อนไหวของ นายสมชาย ในจังหวัดชลบุรี และคาดว่าจะพักอยู่ภายในบ้าน ในจดหมายยังถากถางถึงตำรวจท้องที่ จ.ชลบุรี ด้วยว่า ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปจับกุม แม้ว่าการเคลื่อนไหวบางครั้งเป็นไปอย่างเปิดเผย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ได้สั่งการแบบลับๆ ไปยัง พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม ให้เข้าจับงานนี้ด้วยชั้นความลับระดับสูงสุด หลังรับคำสั่ง พ.ต.อ.อธิป เริ่มตั้งทีมทำงานขึ้นมาทั้งหมด 30 คน ทุกคนจะได้รับข้อมูลไม่เท่ากันในการทำคดี เพื่อไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปยังหูของบุคคลอื่นๆ ขณะเดียวกันการหาข้อมูลเพิ่มเติมในระบบอินเทอร์เน็ตก็เริ่มทำงาน จนในที่สุดก็พบว่ามีนักท่องเน็ตจำนวนมาก ให้เบาะแสเข้ามาตามกระทู้ต่างๆ ส่วนมากยืนยันตรงกันว่าตัว นายสมชาย ไม่ได้หนีไปไหนแต่ซุกตัวอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของเขาเองใน จ.ชลบุรี ล่วงเข้าปลายเดือนธันวาคมข้อมูลจากชุดสืบสวน เริ่มแน่ชัดว่า นายสมชาย ไม่ได้หลบหนีไปไหนหรือเดินทางออกนอกประเทศ พ.ต.อ.อธิป พร้อมด้วย พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี สารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี สารวัตรกองกำกับการ 3 กองปราบปราม จึงลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง โดยแบ่งกำลังออกเป็นทั้งหมด 10 ชุดปฏิบัติการ ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และบางส่วนออกหาข่าวตามชายแดนทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามระหว่างการสืบสวนข่าวนี้ เรื่องราวของปฏิบัติการลับไม่ได้ล่วงรู้เข้าหูตำรวจคนไหนเลย เพียงแต่หลายคนรู้สึกสงสัยว่า ทำไมบรรยากาศที่กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษจึงเงียบสนิทผิดสังเกตนานนับเดือน การสืบสวนด้วยการวางจุดดูความเคลื่อนไหวทำให้รู้ว่าตัวของ นายสมชาย อยู่ในบ้านจริงตามที่ได้รับเบาะแส และเมื่อสืบสวนในเชิงลึกแล้วรู้ว่าในวันนี้ นายสมชาย จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมารักษาโรคประจำตัว เมื่อรถเลกซัสสีดำสนิทเคลื่อนที่ออกจากบ้านพัก ชุดสะกดรอยก็ออกติดตามทันที ขณะนี้ชุดทำงานชุดต่างๆ ถูกวางจุดให้อยู่ตามถนนหลวงทั้งสายสุขุมวิท และสายมอเตอร์เวย์ ซึ่งทั้งสองเส้นทางเป็นเส้นทางที่จะมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ แน่นอนว่าการเข้าจับกุมเจ้าพ่อที่มีลูกชายเป็นถึงรัฐมนตรีนั้นย่อมเสี่ยงต่อการปะทะหรือต่อสู้ พ.ต.อ.อธิป เน้นย้ำให้กำลังชุดที่จะเข้าจับกุมอย่าเพิ่งผลีผลาม แต่ให้ยืนยันให้ชัดเจนว่าในรถนั้นมี นายสมชาย อยู่จริง กระทั่งมาถึงโรงพยาบาลชุดสะกดรอยยืนยันว่าเป้าหมายไม่คลาดเคลื่อน แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งให้เข้าจับกุม เนื่องจาก พ.ต.อ.อธิป ประเมินว่าเป็นไปได้ที่ นายสมชาย อาจจะนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งการจับกุมจะง่ายขึ้นเพราะย่อมไม่มีทางต่อสู้หรือหลบหนี กระทั่งราว 10.00น. นายสมชาย ก็เดินทางออกจากโรงพยาบาลด้วยรถคันเดิม ชุดสะกดรอยจึงดำเนินการต่อ ขณะนั้นเองที่ พ.ต.อ.อธิป กรอกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมราว 10 นาย ไปดักรอรถเป้าหมายที่บริเวณด่านเก็บเงินลาดกระบังขาออกตามเส้นทางที่รถเป้าหมายใช้ เพราะจุดนั้นจะเป็นจุดที่รถต้องจอดเพิ่มจ่ายเงิน เมื่อรถดังกล่าวมาถึง และยื่นมือจ่ายเงินค่าผ่านทาง โดยมีคนขับร่างท้วมเป็นโชเฟอร์ ชุดจับกุมก็เข้าชาร์จทันที โดยดึงตัวคนขับออกนอกรถ และขึ้นไปขับรถแทน ขณะที่ประตูหลังถูกปลดล็อค และเปิดออกพบว่า นายสมชายอยู่เบาะหลังซ้าย ตำรวจจึงโดดขึ้นรถประกบ โดยไม่ได้ล็อคตัวลงมาจากรถ ทั้งหมดถูกประกบโดยชุดจับกุม และขับรถมายังหน่วยคอมมานโด ซอยโชคชัย 4 ทันที โดยโทรศัพท์มือถือของคนในรถทั้งหมดถูกยึด เพื่อป้องกันการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก แม้ว่าจะจับกุมตัวได้แล้ว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ รู้ดีว่าหากคดีนี้แพร่ออกไป อาจจะถูกต่อรองจากฝ่ายการเมือง และผู้บังคับบัญชา เขาจึงปิดเรื่องนี้อย่างเงียบสนิท เพียงแต่เรียกผู้สื่อข่าวไปรอที่หน่วยคอมมานโด พร้อมกับตัวเขาเท่านั้น และบอกในเบื้องต้นเพียงว่าผู้ต้องหาเป็นผู้ต้องหาระดับประเทศ เขาบอกด้วยว่ายังไม่สามารถบอกได้แม้แต่ผู้บังคับบัญชาที่อยู่สูงขึ้นไป จะบอกก็ต่อเมื่อตัวถึงหน่วยคอมมานโดกองปราบปรามแล้วเท่านั้น และก็เป็นเช่นนั้นเขาสั่งการให้ พล.ต.ต.สุพิศาล รายงานไปยัง ผบ.ตร. ทันทีที่ตัวมาถึง ต่อหน้ากล้องทีวีหลายกล้อง นี่คือทีเด็ดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่มองเกมแล้วว่าคงไม่มีใครกล้ามาโทรต่อรอง เมื่อผู้ต้องหารายนี้ออกสื่อไปแล้ว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2556, 11:58:20 จับเป๊าะสะเทือนปู โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย posttiday.com เหนือความคาดหมายไม่น้อยสำหรับการจับกุมตัว “สมชาย คุณปลื้ม” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “กำนันเป๊าะ” ผู้ต้องหาหนีหมายจับของศาลแบบเหนือเมฆสายฟ้าแลบ สร้างความตะลึงไปทั่วว่าทำไมเจ้าพ่อแห่งตะวันออกถึงมาตายน้ำตื้นแบบนี้ รายงานข่าวทุกสำนักระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า “เกิดจากความประมาทล้วนๆ” เนื่องจากมั่นใจว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คงจะคุมตำรวจได้อย่างเบ็ดเสร็จ พอจะเป็นหลักประกันความปลอดภัยได้ เอาเข้าจริงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อนายตำรวจใหญ่ “บิ๊กกิ๊ก” พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) นำทัพทีมหักชิงจับตัวกำนันเป๊าะกลางกรุงเทพฯ ชนิดที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ระแคะระคายมาก่อน หลายคนตั้งข้อสงสัยถึงมูลเหตุการจับตัวกำนันเป๊าะครั้งนี้ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่ และ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กินดีหมี มาจากไหน ทำไมถึงกล้าจับโดยที่ไม่รายงานให้ฝ่ายการเมืองและผู้บังคับบัญชาทราบก่อน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำนันเป๊าะนั้นมีบารมีมาก โดยเฉพาะการที่ “สนธยา คุณปลื้ม” ลูกชาย เป็นถึง รมว.วัฒนธรรม และเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ย่อมทำให้คนในรัฐบาลเกรงอกเกรงใจ ยิ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่กินดีหมีมา คงไม่กล้ารับงานนี้ ที่สำคัญก่อนจับต้องรายงานให้ฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบก่อน แต่งานนี้ “บิ๊กกิ๊ก” ปิดเงียบนัดแนะสื่ออย่างดี ก่อนบุกจับแบบโป้งเดียวจบ ชนิดใหญ่มาไหนก็ขอไม่ได้ ต้องติดคุกสถานเดียว ผลของปฏิบัติการครั้งนี้ แน่นอนเป็นการหักหน้าคนในรัฐบาล และ ผบ.ตร.อย่างแรงที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน และไม่สามารถช่วยเหลือกำนันเป๊าะได้ มีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุการจับกุมครั้งนี้ บ้างก็มองเป็นการสั่งสอน “บิ๊กแป๊ะ” สนธยา ที่อยากได้เก้าอี้ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพรรคชาติไทยพัฒนาของบิ๊กเติ้ง จึงอาจสะกิดให้กองปราบฯจัดการ ขณะเดียวกัน บางฝ่ายมองว่า นี่เป็นแผนการของทักษิณที่ต้องการบีบบังคับให้ “สนธยา” ต้องยุบพรรคพลังชลมารวมกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ทว่าสมมติฐานทั้งสองเรื่องดังกล่าวไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเวลานี้ “สนธยา” แฮปปี้กับกระทรวงวัฒนธรรมยิ่ง เพราะ “ยิ่งลักษณ์” เมตตา จัดงบให้กระทรวงวัฒนธรรมมหาศาลจนกำลังจะกลายเป็นกระทรวงเกรดเอที่หลายพรรคอยากจะมาคุม นอกจากนี้ พรรคพลังชลก็ไม่ได้เปิดศึกอะไรในทางการเมืองเวลานี้ แม้แต่การปรับ ครม.แทน “ชุมพล ศิลปอาชา” อดีต รมว.ท่องเทียวและกีฬา “สนธยา” ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวจะรุกเอาเก้าอี้คืน และ “บรรหาร ศิลปอาชา” ก็ไม่ได้แนบแน่นกับ “บิ๊กกิ๊ก” ดังนั้น ปมขัดแย้งในทางการเมืองคงปิดประตูไปได้ ถ้าจะหาเหตุผลว่าทำไมกำนันเป๊าะถึงมาเสียท่า ต้องบอกว่านอกเหนือจากความประมาทแล้ว ก็ยังมีสาเหตุมาจากความเหนือเมฆในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ด้วย เป็นไปได้อย่างไรที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร. แทบจะไม่ระแคะระคายภารกิจของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ย้อนกลับไปช่วงโยกย้ายนายตำรวจกลางปี 2555 ก็ปรากฏเกมการเมืองภายใน สตช.พอสมควร เมื่อ “บิ๊กกิ๊ก” เป็นตัวเต็งที่มีแนวโน้มได้ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่ฝ่ายการเมืองไม่เอาด้วย โดยเห็นว่า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ โตขึ้นมาในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จากการสนับสนุนของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทำให้รัฐบาลไม่อาจไว้วางใจให้นั่งตำแหน่งใหญ่ได้ จึงถูกแช่แข็งให้อยู่ในเก้าอี้ตัวเดิมไปก่อน ที่สำคัญ ร.ต.อ.เฉลิม มองข้ามความสำคัญของบิ๊กกิ๊ก หันไปใช้งานตำรวจนครบาลภายใต้การนำของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หรือบิ๊กแจ๊ด เป็นหลัก และในขณะเดียวกันมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่า ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ปลื้มบิ๊กกิ๊ก ไม่เรียกใช้งาน ปล่อยให้โลกลืมภารกิจของกองบัญชาการสอบสวนกลาง ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวออกมาอีกว่า ร.ต.อ.เฉลิม เตรียมเปิดทางให้บิ๊กกิ๊ก ไปเป็น ผช.ผบ.ตร. ตามโครงสร้างใหม่ที่จะประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ เพื่อที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะได้คุมกองปราบฯเบ็ดเสร็จ รวมไปถึงตำรวจน้ำ ที่จะใช้ปราบขบวนการน้ำมันเถื่อน นี่ถึงเป็นเหตุให้บิ๊กกิ๊กเปิดปฏิบัติการจับกุมกำนันเป๊าะ ชนิดไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ส่งผลให้รัฐบาลต้องเสียหน้าอย่างยับเยิน ยิ่งลักษณ์หนีไม่พ้นกับการถูกตั้งคำถามว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้ต้องหาหนีคดีชื่อดังอีกสองคน ประกอบด้วย “วัฒนา อัศวเหม” และ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ในรายแรก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2551 ให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี จากการทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ส่วนอีกรายเป็นที่ทราบกันดีว่าศาลฎีกาฯ พิพากษาตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. 2551 ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในกรณีการซื้อที่ดินถนนรัชดาภิเษก ไม่เพียงเท่านี้ศาลยังได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้เข้ามารับการไต่สวนการทุจริตคอร์รัปชันในหลายคดี จนแล้วจนรอดผ่านมากว่า 1 ปี รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เลยว่าจะดำเนินการจับกุมบิ๊กการเมืองทั้งสองคนมารับโทษตามกฎหมาย มีเพียงแค่การพยายามเลี่ยงไปเลี่ยงมาว่าอยู่ในระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคำพูดสวนทางกับการประกาศต่อต้านการทุจริตที่ออกมาจากคำพูดของนายกฯ อย่างสิ้นเชิง “ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันนั้นเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เห็นด้วยที่จะทำให้ปราศจากทุจริตคอร์รัปชัน ต้องร่วมกัน 3 ฝ่าย ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ เราต้องไม่ให้วงจรนี้กลับมา ตั้งแต่เรื่องการจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือการซื้อขายตำแหน่ง... ...ที่สำคัญอยากเสนอให้มีเรื่องของการปลุกจิตสำนึกที่ไม่ให้เห็นว่าปัญหาทุจริตกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ เราต้องร่วมกันต่อต้านไม่ยอมรับในสิ่งนี้” ส่วนหนึ่งจากคำพูดนายกฯ ในการแถลงยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2556-2560 ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2555 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในการติดตามตัว “วัฒนาทักษิณ” ได้ เพราะยิ่งนิ่งเฉยเท่าไร ความกดดันจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พร้อมๆ กับความชอบธรรมและความสง่างามในทางการเมืองที่จะเหลือน้อยลงต่อไป จะสองมาตรฐานหรือไม่มีมาตรฐานอยู่ที่การเอาจริงเอาจังของนายกฯ ปูแต่เพียงผู้เดียว หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2556, 14:00:20 ธุดงค์ธรรมบรรลัย(2) posttoday.com โดย...สมผล ตระกูลรุ่ง นักวิชาการกฎหมายอิสระ โครงการธุดงค์ของวัดพระธรรมกายผ่านไปแล้ว เดิมตั้งใจว่าจะเขียนถึงครั้งเดียว แต่ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาแสดงความเห็นในเว็บไซต์ที่น่าจะผิดหลักทางพุทธศาสนา คือ ผู้ที่ใช้นามว่า Suwitw ซึ่งผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นสาวกหรือทีมงานแก้ต่างของธรรมกาย เพราะจะเข้ามาปกป้องธรรมกายทุกครั้งที่มีประเด็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมของธรรมกาย ผมเห็นว่า เพื่อความเป็นธรรม ควรจะนำความเห็นของคุณ Suwitw มาลงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง คุณ Suwitw แสดงความเห็นไว้ 2 ครั้ง ดังนี้ คุณ Suwitw : 30 ม.ค. 2556, 20.05 น. หรือว่าประเด็นอยู่ที่ เบียดเบียนหรือเปล่า ถ้าใช่ ต้องมาทำความเข้าใจ ที่สาธารณะ ที่ ปชช. สามารถมีสิทธิใช้ประโยชน์ร่วมกัน ใครมาถึงก่อนก็ใช้ได้ก่อน ใครมาทีหลังก็ต้องรอให้คนก่อนใช้ เสร็จและออกจากที่นั้นไปก่อนจึงจะเข้าไปใช้ได้ ดังนั้นถ้าคนที่มาทีหลังไม่ควรคิดว่าคนที่มาก่อนเบียดเบียนตนเอง เพราะมันคนที่มาทีหลังไม่มีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น เช่น คิดไปว่าเมื่อตัวเองจะใช้ถนน คนที่ใช้อยู่ข้างหน้าจะต้องออกจากถนนทันที --- ทำให้คิดถึงตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงถูกพญามารบังคับให้ลุกออกจากที่ที่พระองค์กำลังทำสมาธิวิปัสสนาอยู่ - คุณ Suwitw : 30 ม.ค. 2556, 14.07 น. ไม่ทราบว่าผู้เขียนบทความนี้ เป็นพระเจ้าศาสนาใดครับ แต่พระศาสดาองค์ปัจจุบันยังไม่สิ้นนะครับ ขอเอาข้อมูลตามพระไตยฯ แชร์ ดังนี้ครับ ธุดงควัตร หมายถึง กิจวัตรของการธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตมี 13 วิธี ขอย้ำครับ ทรงอนุญาต มิใช่ให้กระทำโดย|ปกติโดยเฉพาะการอยู่ป่า เพราะหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ออกเผยแพร่ การอยู่ป่าไม่มีประโยชน์อันใดต่อการเผยแพร่ที่พระองค์ทรงนำเหล่าพระสงฆ์ 500 รูปบ้าง 1,000 รูปบ้าง ออกเผยแพร่ไปตามเมืองสำคัญต่างๆ ในอินเดีย ไม่ได้นำเข้าป่าแต่อย่างใด จนเป็นเหตุให้ต้องมีการกำหนดช่วงเวลาเข้าพรรษาด้วยซ้ำไป แต่พระสงฆ์รูปใดต้องการจะกระทำ เพื่อการมุ่งขัดเกลาทางจิตเพื่อกำจัดกิเลส ก็ทรงอนุญาตให้กระทำได้ แต่ต้องระวัง ธุดงควัตร อารัญญิกังคะ ละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน สมาทานการอยู่ในป่าไกล 500 ชั่วคันธนู หรือราว 1 กิโลเมตร โดยจะต้องให้ตะวันขึ้นในป่า หากตัวอยู่ในบ้านตอนตะวันขึ้น เป็นอันธุดงค์แตก สมาทานถืออยู่ในป่า (วน - กลุ่มต้นไม้ อรัญญ - ป่าไกลบ้าน) แต่มีข้อควรระวัง ดังนี้ อ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า (พระพุทธเจ้าตรัส) ดูก่อน|อุบาลี ภิกษุ ผู้ถืออยู่ป่านี้มี 5 จำพวก 5 จำพวก อะไรบ้าง คือ 1.เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถืออยู่ป่า 2.เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถืออยู่ป่า 3.เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า 4.เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า สรรเสริญจึงถืออยู่ป่า 5.เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถืออยู่ป่า (พระพุทธเจ้าตรัส) ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี 5 จำพวก นี้แล” ผมยกมาโดยไม่ตัดข้อความใดๆ ออก ซึ่งจะขอชี้แจงประเด็นที่คุณ Suwitw ยกขึ้นโต้แย้ง ดังนี้ ประเด็นหลักจริงๆ ของเรื่องนี้ อยู่การทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยนไป แต่จะถือว่าเรื่องการเบียดเบียนเป็นประเด็นหลักก็ได้ เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นชัดเจนที่สุด คุณ Suwitw อ้างว่า เป็นสิทธิของคนที่จะใช้ถนน ใครมาถึงก่อนย่อมมีสิทธิใช้ คนมาทีหลังจะหาว่าเบียดเบียนไม่ได้ ข้ออ้างดังกล่าวไม่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเบียดเบียนตามโอวาทปาฏิโมกข์เลย แต่เป็นเหตุผลของพวกทุนนิยม เป็นเหตุผลที่ยึดประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ซึ่งไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้สมณะที่มีสิทธิดีกว่า เบียดเบียนผู้อื่นได้ ตัวอย่างที่ทราบกันดี คือ การบัญญัติให้สมณะงดเดินทางช่วงเข้าพรรษา เพราะไปเบียดเบียนชาวบ้าน ถามว่าพระท่านมีสิทธิที่จะเดินไปไหนมาไหนได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ แม้ท่านจะมีสิทธิ แต่ถ้าเบียดเบียนผู้อื่น พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต ผู้ที่ยังฝืนกระทำ ก็ไม่ชื่อ สมณะ อีกตัวอย่างครับ พระวินัยหมวด เสขิยกัณฑ์ ในปกิณณกะ หมวดเบ็ดเตล็ด ท่านไม่ให้ยื่นถ่ายปัสสาวะ ซึ่งผู้ที่บวชพระจะทราบกันดี ถามว่า การจะยืนหรือนั่งถ่ายปัสสาวะ เป็นสิทธิของสมณะหรือไม่ คำตอบคือ ยิ่งกว่าเป็นสิทธิเสียอีก เป็นเรื่องเฉพาะตัวและเป็นกิจที่อยู่ในที่รโหฐานด้วย แต่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้ามไว้ ผมเคยถามพระว่า มีเหตุผลอะไรที่ต้องห้ามพระยืนถ่ายปัสสาวะ มีข้อเสียอย่างไร ท่านตอบว่า เคยเห็นที่ถ่ายปัสสาวะชาย มีข้อความเขียนว่า ให้ถ่ายให้ตรงโถไหมละ เหตุเพราะหากยืนถ่ายปัสสาวะ จะกระเด็นทำให้เปรอะเปื้อนห้องสุขา ลองนึกดูว่า ถ้าภิกษุ 9 รูป เข้าไปยืนถ่ายในห้องสุขาบ้านโยม มันจะสะอาดเหมือนนั่งถ่ายหรือไม่ สิ่งที่พระท่านอธิบายให้ฟังก็คือ การยืนถ่ายปัสสาวะ เป็นการเบียดเบียนชาวบ้าน แม้เป็นสิทธิส่วนตัวที่อยู่ในที่รโหฐานไม่มีคนเห็น ท่านก็ยังห้ามไว้ การเดินธุดงค์ของธรรมกาย ผู้จัดไม่รู้หรือว่า จะทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับความเดือดร้อน ถ้ารู้แล้วยังขืนทำ ย่อมเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้าอ้างว่า คิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะทำให้รถติด ก็น่าจะไปตรวจสอบปัญญาดูหน่อยว่าอ่อนนิ่มขนาดไหนแล้ว หรือว่าเละเป็นน้ำไปแล้ว และที่คุณ Suwitw ไปคิดถึงเรื่องพญามารที่จะทำให้พระพุทธเจ้าลุกจากที่ที่พระพุทธองค์กำลังปฏิบัติอยู่นั้น มันเกี่ยวกันได้อย่างไร และการธุดงค์นี้ นำไปเปรียบกับการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้าเลยหรือ จะยกผู้ธุดงค์ที่|น่าจะเป็นเพียงสามเณรไปเทียบเท่าพระพุทธเจ้าเลยหรือ ระวังจะต้องไปอยู่กับเทวทัตนะครับ สำหรับอีกความเห็นหนึ่ง ที่ถามว่า ผมเป็นเจ้าศาสนาใดนั้น ขอตอบว่า ผมเป็นอุบาสกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ไม่เคยบิดเบือนพระธรรมวินัย ไม่เคยนำบุญมาเป็นสินค้า ไม่เขียนพระไตรปิฎกขึ้นใหม่ ผมเชื่อในแนวทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่คิดจะเพ่งลูกแก้วเพราะไม่มีอยู่ในกรรมฐาน 40 ส่วนที่คุณ Suwitw ยกเรื่องภิกษุอยู่ป่า 5 จำพวก ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นั้น กรุณายกให้หมด เพราะยังมีข้อความที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้อีกว่า ท่านสรรเสริญภิกษุผู้อยู่ป่า เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถืออยู่ป่า ท่านไม่ได้ตำหนิผู้อยู่ป่า แต่ท่านจำแนกให้เห็นถึงการปฏิบัติที่แตกต่างกัน และท่านสรรเสริญหรือชี้ทางที่ถูกต้องให้ปฏิบัติ ผมไม่ทราบว่า คุณ Suwitw ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร ต้องการให้เห็นว่า การอยู่ป่าไม่ดีอย่างนั้นหรือ สิ่งที่คุณ Suwitw ควรทำ คือ หาคำตอบให้ได้ก่อนว่า ผู้ที่มาเดินธุดงค์ ทำธรรมให้บรรลัยนั้น เป็นพระหรือเป็นเณร ถ้าเป็นพระก็อาบัติกันทั้งกลุ่มที่เดินธุดงค์ ผู้ที่เข้าใจธรรมวินัยผิดเพี้ยน นับเป็นกรรมของผู้นั้นมากอยู่แล้ว หากไปสอนให้คนอื่นเชื่อในความผิดเพี้ยนนั้นด้วย นรกเท่านั้นที่เป็นจุดหมายปลายทางที่แน่นอน สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านบทความ ธุดงค์ธรรมบรรลัย(1) ตามไปอ่าน ได้ที่นี่ครับ>> http://bit.ly/Vlfkmp หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2556, 21:09:09 สวัสดีตะวัน หายไปนาน กลับมา...ชัด...ชัดเจนทั้ง3 กระทู้ Nokja (http://www.cmadong.com/picup/201212/3214013601596874180894424.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 17 มีนาคม 2556, 15:52:17 เสริมสุข” ฉะ “ภิญโญ” เอาดีเข้าตัว ย้อนทำไมให้ราคา “หัวโต” จ้อไทยพีบีเอสเกินพอดี
ผอ.ไทยพีบีเอส ยันเบรกเทปรายการ “ตอบโจทย์” ไม่มีแรงกดดัน แต่มีสถานการณ์ตึงเครียดจึงชะลอออกอากาศ พิจารณาอย่างรอบด้าน ด้าน บก.การเมืองไทยพีบีเอสจวก “ภิญโญ” ออกแถลงการณ์เอาดีเข้าตัว ย้อนศร “สมศักดิ์ เจียมฯ” มีราคาระดับไหน จ้อเกินพอดี แต่เรื่องที่เกี่ยวกับ “ทักษิณ” ไม่เอามาคุย ยันผู้บริหารไม่เคยล้วงลูก ชี้หากไม่มีอิสระจริง “เด่น โต๊ะมีนา” ไม่ได้ออกทีวี วันนี้ (16 มี.ค.) นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส กล่าวชี้แจงกรณีที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตัดสินใจชะลอการออกอากาศเทปรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ตอน สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 15 มี.ค. หลังจากมีประชาชนจำนวนหนึ่งมาที่สถานีเพื่อขอให้ระงับการออกอากาศ ว่าเป็นการตัดสินใจโดยไม่มีแรงกดดันจากสถาบัน หน่วยงาน หรือกลุ่มบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียด และมีปัจจัยอื่นแวดล้อม อันอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของทีมงาน ทีมผู้บริหารจึงตัดสินใจชะลอการออกอากาศรายการตอบโจทย์ ตอนที่ 5 เพื่อทบทวนให้เกิดความรอบด้าน และพิจารณาความเหมาะสมรวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดกระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน ผู้บริหารจึงนำเสนอเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ของคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งเป็นกลไกตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ไทยพีบีเอสยืนยันในภารกิจของสื่อสาธารณะ ที่ต้องเปิดให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการนำเสนอประเด็นดังกล่าวมีเป้าหมาย เพื่อเปิดให้ประชาชนได้เกิดมิติการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และถกเถียงในจุดยืนที่หลากหลาย ทั้งมุ่งหวังเพื่อพัฒนาด้านความคิดในการสื่อสารทางปัญญาของประเด็นที่ถูกถกเถียงในสังคมวงกว้าง แต่ถูกจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะในมุมมืด ภายใต้รูปแบบของรายการที่ให้แต่ละภาคส่วนที่มีความเห็นต่าง โดยเฉพาะประเด็นที่ละเอียดอ่อนได้ใช้เวทีสนทนาสาธารณะด้วยเหตุและผล แม้สังคมจะไม่เข้าใจในระยะเริ่มต้นก็ตาม แต่จะเชื่อมั่นว่าน่าจะสร้างความมั่นคงให้กับสังคมและประชาชนในระยะยาว ด้านนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Sermsuk Kasitipradit” ระบุถึงกรณีที่นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ขอยุติการทำรายการนับจากบัดนี้เป็นต้นไป โดยอ้างว่าถูกการแทรกแซงการทำงานจากภายใน อย่างไม่เป็นมืออาชีพว่า “นายภิญโญคงจะดูลิเกมากไป การทำงานอย่างไม่เป็นมืออาชีพของทางรายการ ทำให้ถูกสังคมส่วนหนึ่งตั้งคำถาม จึงขอความชัดเจนว่าทำไมต้องให้พื้นที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ต่อเนื่องสามวันติดกัน มีราคาค่างวดระดับไหน ประเด็นอะไรที่แตกต่างถึงต้องให้ถึงสามวัน ซึ่งมากเกินพอดี ออกมาตีกินอย่างนี้ไม่ไหว” นายเสริมสุขกล่าวต่อว่า ตนทำงานที่นี่มาช่วงเริ่มก่อตั้ง มีโอกาสทำงานสื่อสาธารณะ สิ่งที่ยืนยันได้จากผู้บริหารที่ผ่านมาไม่เคยมีการเข้ามาล่วงลูกจากฝ่ายการเมือง นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ปกป้องคนทำงานเต็มที่ ไม่เคยมีแรงกดดันจากภายนอกผ่านมาถึงคนทำงาน ออกมาเขียนอย่างไรอย่างที่นายภิญโญทำรับไม่ได้ ไม่ได้มองตัวเองถึงงานที่ออกไป จัดมานั่งคู่กับนายสุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ก็ให้เกียรติมากไป ใครดูรายการวันนั่งดีเบต เห็นความกักขฬะ กระเหี้ยนกระหือรือ ในการแสดงออก แล้วทำไมต้องมาสามเทค ตอบให้หายข้องใจหน่อย ติดใจประเด็นนี้ประเด็นเดียว สำคัญมากจากไหน หรือมีอะไรซ่อนเร้น ความเห็นต่างต่อสถาบันรับฟังมาตลอด “หากไทยพีบีเอสไม่มีอิสระในการทำงาน รายการสัมภาษณ์ท่านเด่น โต๊ะมีนา ตระกูลที่ถูกกล่าวหามาตลอดว่ามีความคิดแบ่งแยกดินแดนรับรองออนแอร์ไม่ได้ครับ น่าจะต้องหันมาดูตัวเอง ตีกินอย่างนี้เขาไม่ทำกันท่านภิญโญ ออกแถลงการณ์อย่างนี้ท่าจะคบกันไม่ไหว ที่ผ่านมามีหลายทัศนะผมว่าสังคมน่าจะรับได้ ฟังหลายมุมมอง แต่ตอนมาเดี่ยวไมค์ แล้วมามีดีเบตอีกสองเทก อันนี้รับไม่ไหว ราคาหน้าตักมีเท่าไหร่ สมัยจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข ขณะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ศาสดาล้มเจ้า มีอำนาจเคยคิดจะมาเยือน ตรวจงานที่สถานี แต่ ผอ.เทพชัย ยุคนั้นชัดเจน จะมาทำแมวอะไร บอกไปชัดเจน มันก็เลยไม่มา เรื่องที่เกี่ยวกับท่านทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ทำให้บ้านเมืองเสียหายเห็นชัดมีความพยายามหลีกเลี่ยงไม่เอามาเป็นประเด็นพูดคุย เขียนแถลงการณ์เอาดีใส่ตัวอย่างนี้ต้องขอสักดอก” นายเสริมสุขระบุในเฟซบุ๊ก อีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวอิศรา รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ให้ข้อมูลว่า สำหรับพนักงานระดับบรรณาธิการ (บก.) ที่เข้าพบนายสมชัย ก่อนที่รายการตอบโจทย์จะถูกสั่งให้ยุติการออกอากาศเมื่อคืนวันที่ 15 มี.ค. 2556 ประกอบด้วย น.ส.ณาตยา แวววีรคุปต์ บก.ข่าวสังคมและนโยบายสาธารณะ น.ส.ณัฏฐา โกมลวาทิน บก.ข่าวอาเซียน และนายบุตรรัตน์ บุตรพรม บก.รายการข่าว ในวันเดียวกันนี้ น.ส.ณาตยาได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ใจความว่า “แนวทางการสื่อสารเรื่องอ่อนไหวในสังคมไทย ควรจะใช้วิธีที่ทำให้สื่อไม่กลายเป็นชนวนความขัดแย้งเสียเอง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งยากจะแตกต้องอย่างฉายฉวย สื่อที่จะทำเรื่องนี้ต้องมองหาทางเลือกของวิธีการนำเสนออย่างเหมาะสม เราต่างก็รู้กันดีกว่าความศรัทธาต่อสถาบันฯ เป็นเรื่องที่ยากจะแตะต้องอย่างฉาบฉวย สื่อมวลชนที่จะทำเรื่องนี้ด้วยความรับผิดชอบต้องมองหาทางเลือกของวิธีการนำเสนออย่างเหมาะสม มีกรณีตัวอย่างเช่น ศ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เคยเสนอวิธีเล่าผ่านละคร หรือในกรณีสารคดี 2475 ที่แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ก็ยังสะท้อนถึงความพยายามที่จะเล่าเรื่องอย่างมีศิลปะและรอบคอบ รวมถึงการเสนอเรื่องปฏิรูปพุทธศาสนาในประเทศไทยด้วยการตั้งคำถามใหม่ ไม่ใช่มุ่งหาคำตอบเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ บอกไว้ว่า ในความขัดแย้งเพราะศรัทธาที่แรงกล้านั้น การตั้งคำถามใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครคิดถาม ก็นับว่าได้ทำหน้าที่แล้ว เพราะเรื่องความศรัทธาของคนส่วนใหญ่นั้นอันตรายหากจะหาคำตอบจากคนไม่กี่คน และไม่มีวันที่จะได้คำตอบที่ดีพอ” น.ส.ณาตยากล่าว สำหรับการงดออกอากาศรายการตอบโจทย์ น.ส.ณาตยาได้เขียนว่า ผู้ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือผู้บริหารสูงสุดของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 19 มีนาคม 2556, 10:12:19 รสนา โตสิตระกูล
ไทยพีบีเอสเมื่อได้นำเทปเกี่ยวกับวิจารณ์สถาบันมาออกอากาสทั้ง 3ตอน โดยให้โอกาสคนๆเดียวมาออกทั้ง3ตอน ส่วน2ตอนหลังก็มีลูกคู่ที่พูดไปในทางเดียวกัน ไม่ได้ขัดแย้งกันอย่างจังๆ คนที่ไม่พอใจก็มีแต่เพียงประชาชนตาดำๆ ซึ่งถึงแม้จะมีจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีอำนาจไปทำอะไรได้ จะไปตัดงบประมาณ หรือตัดโฆษณาก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว และเรื่องทำนองนี้ไม่มีทั้งนักการเมือง และกลุ่มทุนที่จะไปคุกคามสื่อ เหมือนกรณีเหนือเมฆ การที่ไทยพีบีเอสนำเทปสัมภาษณ์มาออกอากาสได้ ย่อมถือว่าสื่อมีเสรีภาพที่จะนำเสนอประเด็นสาธารณะที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งเคยอยู่แต่ในโลกออนไลน์ และทีวีเอกชนบางช่องเท่านั้น และผู้มาออกรายการเอ่ยว่ามีคนมาสนใจอ่านถึง 5,000 คน ก็สามารถทำให้สื่อสาธารณะอย่างไทยพีบีเอสต้องให้โอกาสมาพูดออกอากาสถึง 3ครั้งต่อเนื่องกัน สำหรับการให้ข้อมูลกรณีการผูกขาดธุรกิจพลังงานทั้งระบบของปตท.นั้น เฟสบุ๊คของดิฉันทำเรตติ้งสูงขึ้นโดยตลอด จนอาทิตย์นี้ทำนิวไฮท์ที่มีคนเข้ามาอ่านถึง 997,061คน ไม่ทราบว่าไทยพีบีเอสจะให้โอกาสดิฉันไปออกอากาศสัก 3ตอน โดยให้ดิฉันพูดเดี่ยว1ตอน ส่วนอีก 2ตอนก็ขอเพิ่มลูกคู่อีก 1คนมาพูดร่วมกับดิฉันจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะถือว่าเรื่องการผูกขาดธุรกิจพลังงาน จนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ซึ่งนอกจากผูกขาดแล้ว ยังครอบงำสื่อ และเป็นรัฐซ้อนรัฐ เป็นประเด็นที่ชั่วโมงนี้ประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แม้จะมีการประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อ ให้ข้อมูลด้านเดียวในสื่อกระแสหลักมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม ไทยพีบีเอสในฐานะเป็นสื่ออิสระของประชาชน ควรเปิดประเด็นพลังงานที่ประชาชนให้ความสนใจให้มากกว่านี้ ควรทำการสืบสวนเป็นข่าวinvesigativeด้วยตัวเองแต่ที่ผ่านมากลับเปิดโอกาสให้ฝั่งธุรกิจพลังงานมาใช้พื้นที่สื่อของไทยพีบีเอสมากกว่าฝ่ายที่ตรวจสอบ ทั้งๆที่ธุรกิจพลังงานมีพื้นที่ประชาสัมพันธ์ในสื่อกระแสหลักอื่นๆกว้างขวางอยู่แล้ว ไทยพีบีเอสต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นสื่ออิสระ ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้ความกลัวต่อกลุ่มทุน และกลุ่มการเมืองจนไม่กล้าตรวจสอบ และวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจผูกขาดด้านพลังงาน และการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่มีการตรวจสอบ หวังว่าไทยพีบีเอสพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระทำ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 19 มีนาคม 2556, 22:13:58 มีคำถาม. ตอบโจทย์ใหม่หน่อย (http://www.cmadong.com/picup/201212/12331363705906351458503.jpg) Nokja หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 23 มีนาคม 2556, 09:55:13 เครือข่ายน้ำหมึก แนวเสรีนิยม (สุดโต่ง ?) และมีผลงานหรือบทสัมภาษณ์ ในเครือสำนักพิมพ์ Openbooks ของนายภิญโญ
1. นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ (อดีตอาจารย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์มติชน) 2. นายเกษียร เตชะพีระ (อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 3. นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ (ผู้ก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 4. นายปิยุบตร แสงกนกกุล (สมาชิกคณะนิติราษฎร์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 5. นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล 6. นางสาวลักขณา ปันวิชัย (คำผกา) 7. นายปราบดา หยุ่น 8. นายวรพจน์ พันธุ์พงศ์ 9. นางสาวสาวตรี สุขศรี (สมาชิกคณะนิติราษฎร์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 10. นายอภิชาติ สถิตนิรามัย (อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 11. วาด รวี (ครก. 112) 12. ใบตองแห้ง 13. นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล (สมาชกคณะนิติราษฎร์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 14. ส.ศิวรักษ์ 15. นายธเนศ วงศ์ญาณนาวา (อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 16. นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 17. นางสาวมุกหอม วงษ์เทศ (บุตรสาวนายสุจิตต์ วงษ์เทศ นักประวัติศาสตร์อิสระ เครือมติชน) 18. นายอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล (เจ้าของรางวัลภาพยนต์เมืองคานส์) 19. นายจักรภพ เพ็ญแข 20. นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ (นักวิชาการอิสระ น้องชายนายองอาจ คล้่ามไพบูลย์ สส.พรรคประชาธิปัตย์) 21. นางสาวเวียงรัฐ เนติโพธิ์ (อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) 22. นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ (อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายน้ำหมึกของนายภิญโญ หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: nok15 ที่ 23 มีนาคม 2556, 10:39:53 "น่าตกใจ". ต่อด้วย. "มิน่าล่ะ" emo19:((: (http://www.cmadong.com/picup/201212/6027313640097724518656474.jpg) หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: เหยง 16 ที่ 23 มีนาคม 2556, 12:21:29 พี่นก
เสียวไส้, กลัวตกขบวนรถไฟ เลยแย่งกันขึ้นเป็นการใหญ่ แต่ผมกลัวตายหมู่ทั้งขบวน ?? %++!!! emo47 หัวข้อ: Re: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เริ่มหัวข้อโดย: seree_60 ที่ 25 มีนาคม 2556, 14:15:24 เปิดสำนวนคำฟ้องปปช. มัด‘นพดล’ ยกแผ่นดินไทยให้เขมร
ปมลงนามแถลงการณ์ร่วมไม่นำเข้ารัฐสภาขออนุมัติ ศาลฎีกานัดประชุม26มีค. เลือกองค์คณะพิจารณาคดี มีรายงานข่าวว่าศาลฎีกา จะประชุมใหญ่ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ เพื่อเลือกองค์คณะผู้พิพากษาจำนวน 9 คน เพื่อพิจารณาคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศเป็นจำเลย ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในกรณีที่ นายนพดล ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18มิถุนายน พ.ศ.2551 ที่สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย คดีนี้ ปปช.ทั้ง9 คน ลงนามยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 โดยคำฟ้องทั้งหมด 17 หน้า ได้บรรยายย้อนเหตุการณ์ตั้งแต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ลงความเห็นเมื่อวันที่15 มิถุนายน2505 ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ภายใต้อาณาเขตอธิปไตยของกัมพูชาฯลฯ และประเทศไทยโดย พันเอกถนัด คอมันต์ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้นยื่นคำแถลงการเพื่อประท้วงคำพิพากษาศาลโลกว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรมนอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิ์ที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคตด้วย ทั้งครม.ในขณะนั้นมีมติ ว่าการกำหนดเขตบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อปฎิบัติตามศาลโลก ให้ใช้วิธีที่2ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกำหนดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบปราสาทพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 1ใน4 ตารารางกิโลเมตร มติครม.ดังกล่าวจึงยังมีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีทุกชุดต้องยึดถือปฎิบัติตามจนถึงปัจจุบันนี้ กระทั่งพ.ศ.2548 กัมพูชายื่นเอกสารต่อองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว และทางนายมนัสพาสน์ ชูโต เอกอัคราชฑูตไทยประจำสหรัฐ ไปคัดค้านไว้ในการประชุมบอร์ดมรดกโลกที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จนกัมพูชาไม่สามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช รับหน้าที่นายกรัฐมนตรีแล้ว วันที่ 3-4 มีนาคม 2551 นายสมัคร ไปพบผู้นำกัมพูชาเรื่องขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และจำเลยคือนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ไปหารือกับนายสก อาน รองนายกฯ และรมต.ประจำสำนักนายกฯกัมพูชา ที่ทางกัมพูชาของให้ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร จากนั้นจำเลยคือนายนพดล ได้นำแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา ให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศพิจารณา ทางนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายในขณะนั้น มีบันทึกช่วยจำคัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่จำเลยไม่เห็นด้วยจึงเสนอครม.ให้นายวีระชัย พลาศรัยพ้นจากตำแหน่ง ทั้งที่นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงทักท้วง แต่จำเลยยังยืนยันว่าไม่สามารถรวมงานกับอธิบดีที่มีความคิดเช่นนี้ได้ ต่อมานายนพดล จำเลยยังเดินทางไปเขมรอีกหารือกับนายสก อาน เรื่องปราสาทพระวิหารรวมไปถึงการกำหนดเขตทางทะเลระหว่างประเทศ และมีความจะทำแถลงการร่วม โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน นำเรื่องเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ แบบปิดบังอำพรางและมีเหตุจูงใจแอบแฝงอยู่ แล้วนำเข้าที่ประชุมครม.โดยไม่มีเอกสารแจกให้ที่ประชุมพิจารณาล่วงหน้า เพียงแต่แสดงแผนที่บนจอภาพ ใช้เวลา 15 นาทีมีรัฐมนตรีอภิปรายทักท้วงในเรื่องเขตแดน แต่จำเลยก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหา และกระทำอย่างลุกลี้ลุกลนให้ครม.ยอมรับร่างคำแถลงการ จนวันที่ 18 มิถุนายน 2551 จำเลยได้ลงนามในแถลงการดังกล่าว ไม่สนใจในเสียงทักท้วง ท้วงติงจากหลายฝ่าย โจทก์ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าคำแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา นี้เป็นหนังสือสัญญาซึ่งต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 190 วรรคสองและ3 ของรัฐธรรมนูญ(ต้องขออนุมัติจากรัฐสภา) เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร จะต้องออกเป็นพรบ.เพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา และรับฟังความเห็นจากประชาชน และพิจารณาตามถ้อยคำ เนื้อหาสาระในคำแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา จะเห็นได้ชัดว่า คำแถลงการนี้มีผลทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องสละสิทธิ์ในข้อสงวนที่ประเทศไทยจะต้องเอาประสาทพระวิหารกลับคืนมาในอนาคต กรณีศาลโลกได้พิพากษาเมื่อ 15มิถุนายน2505 เป็นการยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาเหนือซากของปราสาทพระวิหาร ทั้งยังเป็นการแสดงเจตนายืนยันชัดแจ้งถึงการยอมรับในแผนที่กำหนดแนวเขตที่จัดทำโดยกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว แถลงการร่วมไทย-กัมพูชา จึงมีลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย ประเด็นการกระทำของจำเลยนายนพดล ปัทมะ ขัดต่อมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญนายสุวัฒร อภัยภักดิ์ กับพวก9คน ได้ยื่นฟ้องศาลปกครอง กลาง และศาลปกครองพิจารณาแล้วมีคำสั่งกำหนดมาตราการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ไม่ให้ รมว.ต่างประเทศ และครม.ดำเนินการใดๆที่เป็นข้ออ้าง หรือใช้ประโยชน์จากมติครม.เมื่อ 17 มิถุนายน 2551และสุดท้ายศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า แถลงการร่วมนี้เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่8 กรกฎาคม2551ว่าคำแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย ฯลฯ ในคำฟ้องข้อ 6 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนายนพดล ปัทมะ รู้อยู่อย่างถ่องแท้ว่า แถลงการร่วมนี้อาจมีผลเปลี่ยนแปลงเขตแดนของประเทศไทย มีผลกระทบทางสังคม แต่จำเลยได้กระทำไปโดยปกปิดซ่อนเร้น บิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง จำเลยเอาใจฝักใส่ในผลประโยชน์ประเทศกัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศไทย ด้วยเจตนาที่แอบแฝงในประโยชน์ที่ตรงข้ามกับประโยชน์ของประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้สมเจตนาแห่งตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายด้านอาณาเขตดินแดน และอำนาจอธิปไตยของประเทศ โดยเจตนาไม่สุจริต จึงถือว่าการกระทำดึงกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เหมาะสม ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี อำนาจหน้าที่แห่งตน มิได้ยึดถือว่าตนเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ไม่ปฎิบัติหน้าที่ตามพรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กระทำขัดรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการปฎิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ไม่รับฟังความเห็นของประชาชน จึงมีผลให้การลงนามในคำแถลงการร่วมไทย-กัมพูชา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลผูกพันต่อประเทศไทย และเป็นการปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยและคนไทยทุกคน หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยสุจริต จึงมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ท้ายคำฟ้อง โจทก์ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้โปรดออกหมายเรียกนัดและเรียกจำเลย คือนายนพดล ปัทมะ มาพิจารณาลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งทางศาลฎีกา ได้นัดประชุมใหญ่ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ เพื่อเลือกองค์คณะผู้พิพากษาจำนวน 9 คน เพื่อพิจารณาคดีดังกล่าว ข่าว แนวหน้า |