Cmadong Chula

ไม่ว่ายุดใดสมัยใด    นักเรียนนอกก็ครองเมือง  เห็นด้วยไหมครับ ?

พี่ตะวัน,คุณpipat(who??),
ก่อนอื่นอยากให้นิยามคำว่า"นักเรียนนอก"ก่อน ได้มั้ยคะ?
เพราะความหมายครอบคลุมไม่น้อยว่าสั้นยาว,จบไม่จบ
อยู่ระยะแค่ไหน?จึงจะเป็นนักเรียนนอก
ไปเรียนแค่ภาษาคอร์สสั้นๆก็เป็นนักเรียนนอก,เรียนอะไร
ก็ได้ Bachelor,Certification,just paper to qualifyว่าร่วมcourse
แม้ไม่มีสอบ ไม่มี examก็เป็นนักเรียนนอก??
หรือเหยียบย่างเท้านานเกินปี...ก็แฮพเป็นได้ ไม่มีใครรู้??

อะไรแน่คะ?

nn.(นักเรียน-อยู่เมืองนอก)

จะไปเรียนตำส้มตำ แบบเจ้าตำหรับที่เวียงจันทน์สัก 2-3 สัปดาห์
กลับมาจะจดลิขสิทธิ์ส้มตำในเมืองไทยให้หมด   emo20:)):) emo20:)):)

พี่แอ๊ะอยากจะกลับไปเป็นนักเรียนใหม่จัง
จะได้ไปต่อเมืองนอก จะได้เป็นนักเรียนนอกมั่ง

เห็นคุณอภิสิทธิ์ พูดภาษาอังกฤษแล้ว ชื่นใจจัง

สำเนียงดีมั๊กๆๆ ไม่อายใคร

		อ้างถึง			ข้อความของ Nat Rattanadilok เมื่อ 15 มกราคม 2552, 11:52:20
	จะไปเรียนตำส้มตำ แบบเจ้าตำหรับที่เวียงจันทน์สัก 2-3 สัปดาห์ กลับมาจะจดลิขสิทธิ์ส้มตำในเมืองไทยให้หมด   emo20:)):) emo20:)):)

ส้มตำนี้...
โดยนักเรียนนอกเชียวหนา...
พี่จาดั้นด้น...ไปชิม
p.nn

 .....โอ้.....หวัดดีคุณเป็ด(พิพัฒน์  ระเบียบ)เป็นทั้งพี่+เพื่อนสุดlove   ยอมรับว่าภาษา.อ.มีผลมากหากเติบโตในแวดวงบริหารแต่คงต้องวิถีตะวันออกผสมกลมกลืนเข้าไปครับ  สมัยปี 40 imf  ธุรกิจต้องมีธรรมาภิบาล  มาปี 52 คงต้องย้อนถามธรรมาภิบาลอย่างเขาหรือ.....ถึงจะเป็นนายกบ้านนอกพูดฝรั่งบ่ได้ใช้ล่ามผู้เชี่ยวชาญถึงแก่นความหมายหรือการสื่อตรงใจผมว่าไม่น่าอาย(ความเห็นผมนะ)        หวั่น  สบายดี.....   พี่+เพื่อนหลายคนคิดถึงนึกว่าหายสาบสูญไปแล้ว สำหรับชาวหอนักเรียนทุน afs  คนนี้ พิพัฒน์  ระเบียบ.....

สวัสดีคุณพี่พิพัฒน์ 21,
มาเปิดกระทู้แล้ว แวะมาคุยกันบ่อยๆสิคะ
พี่ๆน้องๆขอปลื้มด้วยคน.

nn.27

Dear all,

Nowadays anybody can be "Nakriannok", provided that he or she had been studying abroad before and got at least one acdemic degree. In Thailand, most high-level bureaucrats in various ministries had their educations abroad either in bachelor or master degrees level. As for the Thai cabinet circle, most of them are local politicians mixed with some Nakriannok with high qualifications. Do you agare with me?

นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  5  ซึ่งเมืองไทยเริ่มเปิดประเทศและส่งข้าราชบริพารไปเรียนเมืองนอกเป็นต้นมา   นักเรียนนอกก็ได้เข้ามามีบทบาทและดำรงตำแหน่งสำคัญๆในการบริหารปกครองประเทศมาโดยตลอด   ไม่ว่านักเรียนนอกที่ไปเรียนในระดับใดก็ตาม  เช่น ตั้งแต่ระดับมัธยมไปจนถึงปริญญาเอก         และไปด้วยทุนใดก็ตาม  เช่น  ทุนส่วนตัว    ทุนรัฐบาล    ทุนอานันทมหิดล    ทุน AFS      ทุนองค์กรเอกชน  ฯลฯ

ผู้มีอำนาจในแผ่นดินไทยไม่ว่าจะเป็นวงการการศึกษา    การเมือง   ภาคเอกชน และอื่นๆ    หากเราไปค้นประวัติดูก็จะพบว่าทุกคนหรือเกือบทุกคนเป็นนักเรียนนอก     คนที่ไม่ใช่นักเรียนนอกนั้น   แม้จะเป็นใหญ่ก็ใหญ่ในหน่วยงานเล็กๆเท่านั้น   แม้บางกรณีจะมีคนที่ไม่ใช่นักเรียนนอกแต่เป็นใหญ่กว่านักเรียนนอกก็ตาม      ยุคที่ทหารปฎิวัติล่าสุดเมื่อ  19  กันยายน  2549       ก็ยังมีนักเรียนนอกเป็น ครม. ถึง 20  คนจากจำนวน ครม.ทั้งหมด 25  คน  ดังนี้

                 จบจากอเมริกา          12   คน
                จบจากอังกฤษ           4    คน
                จบจากออสเตรเลีย     2   คน
                จบจากฝรั่งเศส          1   คน
                จบจากเนเธอแลนด์    1   คน 

หน่วยงานราชการ......คนที่เป็นปลัดกระทรวง 29  กระทรวง และอธิบดีกรมต่างๆ    ลองไปดูประวัติดูจะพบว่าเป็นนักเรียนนอกแทบทั้งนั้น
สายการเมือง.......ระดับนายกและรัฐมนตรี    ก็เป็นนักเรียนนอกแทบทั้งนั้น
สายการศึกษา....อาจารย์สอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยดังๆ   อธิการบดี  คณบดี     ก็เป็นนักเรียนนอกแทบทั้งนั้น
สายเศรษฐกิจ   การเงินการธนาคาร.......   ผู้บริหารระดับสูง   ก็เป็นนักเรียนนอกแทบทั้งนั้น
หน่วยงานอิสระ.... แบงก์ชาติ     ตลาดหลักทรัพย์     กกต.       ผู้บริหารระดับสูงก็เป็นนักเรียนนอกแทบทั้งนั้น
รัฐวิสาหกิจ......ปตท.   กฝน.  กฝผ. ฯลฯ    ผู้บริหารระดับสูงก็เป็นนักเรีนนอกแทบทั้งนั้น
บริษัทเอกชนทั้งที่เป็นลูกครึ่งและไม่ใช่ลูกครึ่ง   ผู้บริหารระดับสูงก็เป็นนักเรียนนอกแทบทั้งนั้น    คณะผู้บริหารธนาคารไทยทุกแห่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนนอก      ลองไปดูประวัติผู้บริหารของหน่วยงานของท่านดูซิ      อนึ่ง คนที่ไม่ใช่นักเรียนนอกก็พยายามดิ้นรนหรือหาทางไปดูงานเมืองนอก  เพื่อให้ได้ชื่อว่าเคยผ่านเมืองนอกมาก่อน            ถ้าเอางบประมาณการอบรมหรือดูงานเมืองนอกของทุกหน่วยงานในเมืองไทยมารวมกันก็จะพบว่าใช้เงินไปปีละหลายพันล้านบาท      ไปกันทุกปี       พอไปดูงานกลับมาก็บอกว่าคนไทยเก่งกว่าหรือคนไทยเก่งสู้ฝรั่งได้     เก่งกว่าแล้วไปดูงานเขาทำไมฟะ    ควรเลิกไปดูงานเมืองนอกกันเสียซิ   บางครั้งก็นักเรียนนอกนั่นแหละที่ไปเรียนกลับมาแล้วก็บอกว่าคนไทยเก่งกว่า     เก่งกว่าแล้วไปเรียนเมืองนอกทำไมฟะ   พูดเสร็จก็พากันไปดูงานเมืองนอกเสียอีกด้วย(ไปทำไมฟะ)      เก่งกันขนาดนี้      ไหงเมืองไทยมันได้แค่นี้  ไม่ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้นะแต่ไหงออกมาเป็นเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้    อาจเป็นเพราะไม่ใช่นักเรียนนอกสติปัญญาเลยสับสน  ขอโทษนะครับ

เหตุผลที่เอาเรื่องนี้มาพูดนั้น   ไม่ต้องการบอกว่านักเรียนนอกเก่งกว่านักเรียนใน  หรือนักเรียนในเก่งกว่านักเรียนนอก     แต่กำลังบอกว่านักเรียนนอกมีบทบาทมากกว่านักเรียนใน     ดังนั้นเราและโรงเรียนควรสนับสนุนให้บุตรหลานไปเรียนเมืองนอก       ดังเช่นที่จีนและอินเดียระดมส่งคนไปเรียนที่อเมริกามากเป็นอันดับ 1  และอันดับ 2  ของโลกมาโดยตลอดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเพื่อนำเอาสรรพวิชาและเทคโนโลยีกลับมาพัฒนาประเทศ   ถ้าจะบอกว่าจีนและอินเดียเจริญมาได้รวดเร็วจนกลายเป็นดาวรุ่งของเอเชียก็เนื่องจากการส่งคนไปเรียนเมืองนอก  ก็คงไม่ผิดนัก      นอกจากนี้ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ที่พัฒนามาได้   ก็เนื่องจากส่งคนไปเรียนเมืองนอก       บางประเทศซึ่งปิดประเทศและไม่ยอมส่งคนไปเรียนเมืองนอก   ทุกวันนี้ก็ยังเป็นประเทศด้อยพัฒนาและยากจน ( เช่นบางประเทศรอบๆบ้านเรานี่แหละ)

รายชื่อนักเรียนนอกดังจะกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนักเรียนทุนรัฐบาล  ( ยังไม่ได้กล่าวถึงทุนส่วนตัวและทุนอื่นๆซึ่งมีอีกจำนวนมากมาย)   สำหรับตำแหน่งแนบท้ายนั้น    บางตำแหน่งเป็นอดีต  บางคนมีหลายตำแหน่งจนใส่ไม่หมด      ลองอ่านเล่นๆดูแล้วกัน

นายกำธร          สถิรกุล                    ผู้ว่าแบงก์ชาติ
ดร.เกษม           ศิริสัมพันธ์               รมว.สธ.
ศ.ดร. โกเมน       ภัทรภรมย์              ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ดร.โกวิท            ประวาลพฤกษ์         ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

ศ.ดร.คณิต          ณ  นคร                  อัยการสูงสุด

นายจำนง            กุมาลย์วิสัย             ตุลาการศาลรัฐธรรมนูย
คุณหญิงชัชรีย์      บุนนาค
พล.ต.อ. ชิดชัย    วรรณสถิตย์              มท. 1   รองนายก
ดร.ชูวงศ์            ฉายะบุตร                 อธิบดีกรมการปกครอง
ดร.เชาวว์           ณ  ศีลวันต์               ประธานศาลฎีกา
นายเชาว์            สายเชื้อ                   ประธานศาลฎีกา
นายดอน            ปรมัตถ์วินัย               อธิบดีกรมสารนิเทศ
ดร.เถลิง             ธำรงนาวาสวัสดิ์
ดร.ทวีศักดิ์          กออนันตกูล              ผู้บริหาร  NECTEC
มรว. ทองน้อย      ทองใหญ่

ดร.บวรศักดิ์         อุวรรโณ
พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ        ชินวัตร
นายบุญคลี                  ปลั่งศิริ

ดร.ประชา                   คุณะเกษม           ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ดร.ประเทศ                 สูตะบุตร              ปลัดกระทรวงคมนาคม
พล.ต.ท.ปัญญา           มาเม่น                ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล  ?
ศ.ดร.ปุระชัย               เปี่ยมสมบูรณ์
นายแผน                   วรรณเมธี               เลขาธิการสภากาชาด
ดร.พนม                     พงษ์ไพบูลย์          ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ศ.ดร.พนัส                 สิมะเสถียร             ปลัดกระทรวงการคลัง
ดร.โภคิน                   พลกุล
 ดร.ไพศิษฐ์               พิพัฒนกุล              เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
นายมานิต                 วิทยาเต็ม               ปลัดกระทรวงการคลัง    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ดร.มีชัย                    ฤชุพันธ์
ดร.ยุวรัตน์                กมลเวชช                ประธาน กกต.
ดร.วิชัย                    ตันศิริ                     ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ศ.ดร.วิษณุ              เครืองาม
ดร.ศรีสุข                 จันทรางศุ                ปลัดคมนาคม
พล.ต.อ.วิสุทธิ์          กิติวัฒน์                   รองอธิบดีกรมตำรวจ
ดร.ศุภชัย                 พิศิษฐ์วานิช             ปลัดคลัง
ดร.สมคิด                จาตุศรีพิทักษ์
ดร.สมชัย                 ฤชุพันธ์                  อธิบดีกรมสรรพสามิต
ดร.สมพร                เทพสิทธา
ดร. สรจักร              เกษมสุวรรณ
ดร.สุธี                     สิงห์เสน่ห์                 ผู้ว่าแบงก์ชาติ   รมว.คลัง
ดร.อาทิตย์              อุไรรัตน์
ดร.อำนวย               วีรวรรณ
ดร.โฮฬาร              ไชยประวัติ
พล.ต.ท.ดร. พงศพัศ     พงษ์เจริญ          ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดร.อรัญ                  ธรรมโน                   ปลัดคลัง
ดร.เอี่ยม                 ฉายางาม                  อธิการบดี  มสธ.
นายเตช                 บุนนาค                    รมว.ต่างประเทศ

พี่พิพัฒน์,
ถ้าส่งลูกหลานไปเมืองนอก
ส่งตอนอายุยังน้อย...ดีตรง สด อ่อน
เรียนง่ายรับไว เสียตรงที่เค้าไปอยู่
เมืองนอกนาน กลับมาเมืองไทยจะ
ขาด"connection"ที่เป็นเพื่อนในรุ่น
เหงา และ เผลอๆอาจไม่เอาใคร.

ส่งไปตอนจบมหาวิทยาลัย ดีค่ะ
มีเพื่อนโรงเรียน เพื่อนมหาวิทยาลัย
แถมอาจมีเพื่อนร่วมงานหากเคยทำงาน
แต่ที่แน่ๆ เค้าจะมีรากฐานของความเป็น
ไทยแน่นกว่า ในการแยกแยะ เลือกเรียน
รู้ รับวัฒนธรรมที่ต่างจากที่เคยรู้จัก.

หนิงมองถูกมั้ยคะ

nn.27

ส่งไปดู ไปเรียนรู้
ส่งไปตั้งคำถาม ส่งไปคิด
ส่งไปตั้งหลักให้มองกลับมา
ไม่ไช่ให้เปรียบเทียบ แต่ให้แยก
มองสองด้านด้วยสายตาที่กระจ่าง
เพราะใครที่ไปเมืองนอกแป๊บๆ
จะกลับมาเล่าสูตรสำเร็จเลยว่า
เค้าเจริญ เค้าสะอาด เค้าก้าวหน้า
เค้านำสมัย แต่วิธีการที่จะมาให้ถึง
จุดนั้น ไม่ไช่ปีสองปี แต่ชั่วอายุคะ

ส่งน้องพรูไปมาเลย์ก่อนคะ...ไปดู
ระบบการ tradeยางกะทั่วโลกทำยังไง
รับรองน้องบ่าว....เรียนไม่หมด!

p.nn

ไม่ได้ดีกว่าหรอกค่ะ
เค้ามีโอกาสที่จะได้
ศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้แตกฉาน
กลับมาใช้ความแตกฉานตรงนั้นให้เป็น
ประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
ขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ หรือไม่มีโอกาส
ก็ต้องศึกษาให้แตกฉานด้วยชีวิตจริง
ด้วยการลองผิดลองถูก ด้วยการสั่งสมอันยาวนาน
ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายจึงจะรู้ในเรื่องใดๆในชีวิต
รับมาให้หมดนะคะ ความรู้ที่มีค่าจากพ่อ
พี่เชื่อว่ามีความรักความปรารถนาดีแอบแฝงอยู่ด้วย.

p.nn

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจไม่ตรงหัวข้อของกระทู้เท่าใดนัก     แต่ก็ไม่ออกนอกเรื่องมากนัก   ลองอ่านเพื่อเป็นความรู้รอบตัวนะครับ

มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก

อันดับ    1   Harvard ,  USA
อันดับ    2   Yale , USA
อันดับ    3   Cambridge , England
อันดับ    4   Oxford , England
อันดับ    5    California  College , USA
อันดับ    6    Imperial   College ,  England
อันดับ    7    University  College   of  London
อันดับ    8    Universisy  of  Chicago ,  USA
อันดับ    9    MIT ,  USA
อันดับ    10  Columbia ,  USA

มหาวิทยาลัยที่ดีท่สุดของเอเชีย

อันดับ    1     Kyoto
อันดับ    2     Hong     Kong
อันดับ    3     Singapore

มหาวิทยาลัยของไทยที่ติดอันดับโลก

จุฬาฯ         อันดับที่    116

มหิดล       อันดับที่     251

อุ้ย,เคยถกกันมันสะเด็ดไปแล้วคะพี่พิพัฒน์
ว่าใครเป็นผู้วัด ให้ค่ากันแน่
เพราะดูผ่านๆ ภาษาอังกฤษนี่คะ
แล้วภาษาอื่นๆละคะ...มีเก่าแก่อีกตั้งมากมาย
ใครบอกว่ามหาวิทยาลัยในจีน-อินเดีย-อิยิปต์
ในยุโรปอีกเป็นกุรุสไม่ได้เป็นต้นกำเนิด
ก่อนที่อเมริกาจะสร้างชาติด้วยซํ้่า!
อังกฤษเองก็ไม่ได้รุดหน้าลํ้าเลิศเกินจมูก
เพื่อนๆในยุโรปไปมากมายอะไรเท่าไหร่คะ
...นี่ comment ตรงๆแบบถ่อมเนื้อถ่อมตัว
ตามแบบฉบับ Europeanแล้วนะคะพี่..ขา

nn.(มัธยมวัดลิงขบ)

.....พิพัฒน์  ระเบียบ(เป็ด)  ตี๋  ดร.มานพ  ชูนิล.....

     (http://img177.imageshack.us/img177/8893/dsc07157j.jpg)

เนื่องในโอกาสเดือนมิถุนายนเวียนมาครบรอบ........เมื่อ   24  มิถุนายน  2475    คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศและวางรากฐานการปกครองให้ปัจจุบัน    บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในคณะราษฎรล้วนแล้วแต่เป็นคนที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ ( นักเรียนนอก)  นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่านักเรียนนอกครองเมือง (มาตั้งแต่ปี  2475  จนถึงปัจจุบัน )  จนดูเหมือนว่า .....นักเรียนนอกคือความหวังในการนำพาประเทศ   

ผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไปซึ่งจะดำรงตำแหน่งเดือนตุลาคม  2553   คือ ดร.ประสาร    ก็เป็นนักเรียนนอก  จบจากมหาวิทยาลัย  Harvard   สหรัฐอเมริกา ( คนปัจจุบันก็เป็นนักเรียนนอก ) 

เก็บมาเล่าสู่กันฟังนะครับ   เห็นด้วยหรือไม่ก็ได้    เพราะผมแค่รวบรวมข้อมูลมาเล่าเท่านั้น


QS     World   University   Rankings   Results    2010 เป็นดังนี้


อันดับ    1        University     of   Cambridge
อันดับ    2        Harvard    University
อันดับ    3        Yale     University
อันดับ    4        UCL
อันดับ    5        MIT
อันดับ    6        University   of  Oxford
อันดับ    7        Imperial   College   London
อันดับ    8        University    Of    Chicago
อันดับ    9        California    Institute   Of  Technology
อันดับ    10      Princeton    University


หมายเหตุ  1.   ใน 10  อันดับนี้  เป็นอังกฤษ  3  และเป็นอเมริกัน  7
                2.   จุฬา เคยอยู่อันดับที่   138     ตอนนี้ตกไปอยู่อันดับที่   180
                3.   เป็นครั้งแรกที่อังกฤษแซงอเมริกามาเป็นที่ 1  ได้คือ  Cambridge  

คู่แข่งขันเป็นนายกฯในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่   3  กรกฎาคม    2554     นี้      คนหนึ่งเป็นนักเรียนนอกศิษย์เก่าอเมริกา      อีกคนหนึ่งเป็นนักเรียนนอกศิษย์เก่าอังกฤษ     ไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้งแล้วได้เป็นนายกฯ       ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างว่า........นักเรียนอกครองเมือง   ( สาขาการเมือง )